Saturday, 19 April 2025
COLUMNIST

รู้จัก ‘กองทัพแดงญี่ปุ่น’ หนึ่งในกลุ่มก่อการร้ายสะท้านโลก จากจุดเริ่มต้นหวังโค่นล้มราชวงศ์ญี่ปุ่นสู่ปฏิบัติการป่วนโลกทุกรูปแบบ

ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงอยากจะไม่เชื่อว่า ชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันซึ่งผู้คนดูเหมือนว่า รักความสงบและไม่นิยมความรุนแรง แต่ครั้งหนึ่งเคยมีองค์กรก่อการร้ายในระดับสากลที่ชื่อว่า “กองทัพแดงญี่ปุ่น” (Japanese Red Army หรือ 日本赤軍 (Nihon Sekigun)) องค์กรก่อการร้ายแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 โดย Tsuyoshi Okudaira (ผู้นำระหว่าง 1971–พฤศจิกายน 1987) และ Fusako Shigenobu (ผู้นำระหว่าง พฤศจิกายน 1987–เมษายน 2001) “กองทัพแดงญี่ปุ่น” แยกตัวออกมาจาก “สันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งญี่ปุ่น” 

นอกจากนี้ “กองทัพแดงญี่ปุ่น” ยังเป็นที่รู้จักในนามว่า “กองพลต่อต้านจักรวรรดินิยมสากล (the Anti-Imperialist International Brigade : AIIB)” หรือ “กองพลสงครามศักดิ์สิทธิ์ (the Holy War Brigade)” หรือ “แนวร่วมต่อต้านสงครามประชาธิปไตย (the Anti-War Democratic Front)” ซึ่งมีเป้าหมายที่จะทำการโค่นล้มรัฐบาลญี่ปุ่นและโค่นล้มราชวงศ์ญี่ปุ่น รวมทั้งเริ่มการปฏิวัติโลก เครือข่ายของกลุ่มได้แพร่หลายอยู่ในหลายประเทศในเอเชีย เชื่อกันว่าฐานที่มั่นอยู่ในประเทศเลบานอนตั้งแต่ 1977 และมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์

หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Fusako Shigenobu หลังจากเรียนมัธยมปลายเธอเข้าทำงานให้กับบริษัท Kikkoman พร้อมทั้งเรียนหลักสูตรปริญญาตรีภาคค่ำที่มหาวิทยาลัยเมจิ จนสำเร็จการศึกษาศิลปะศาสตร์บัณฑิตสาขาเศรษฐศาสตร์การเมืองและประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเมจิ โดยขณะนั้นเองเธอได้เข้าร่วมขบวนการนักศึกษาที่ทำการประท้วงการขึ้นค่าเล่าเรียน และทำให้เธอได้เคลื่อนไหวในขบวนการนักศึกษาฝ่ายซ้ายทั่วไป (Zengakuren) ในทศวรรษ 1960 จนกระทั่งเธอได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำระดับสูงของ Zengakuren และร่วมก่อตั้งกองทัพแดงญี่ปุ่น ซึ่งมีรากฐานจากพรรคคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายใหม่ที่สนับสนุนการปฏิวัติผ่านการก่อการร้าย เธอและพรรคพวกได้จัดตั้งกลุ่มของตัวเองประกาศสงครามกับรัฐบาลญี่ปุ่นในเดือนกันยายน 1969 แต่ตำรวจญี่ปุ่นก็สามารถจับกุมสมาชิกหลายคนได้อย่างรวดเร็วรวมถึง Tsuyoshi Okudaira ผู้ก่อตั้งและผู้นำทางความคิด ซึ่งถูกจำคุกในปี 1970 สมาชิกส่วนที่เหลือได้รวมเข้ากับกลุ่มลัทธิเหมา (the Maoist Revolutionary Left Wing of the Japanese Communist Party) จัดตั้ง United Red Army (連合赤軍 (Rengō Sekigun)) ในเดือนกรกฎาคม 1971 กลุ่มนี้มีชื่อเสียงจากเหตุการณ์ Asama-Sanso ซึ่งเป็นการกวาดล้างจับกุมสมาชิกสิบสองคนในค่ายฝึกลับบนภูเขาฮารุนะ โดยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นหลายร้อยนายทำการปิดล้อมนานถึงหนึ่งสัปดาห์

กุมภาพันธ์ 1917 Fusako Shigenobu และ Tsuyoshi Okudaira พร้อมสมาชิกติดตามประมาณ 40 คน ได้เดินทางออกจากญี่ปุ่นไปยังประเทศในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ปี 1970 “กองทัพแดง” ได้ดำเนินการก่อการร้ายครั้งใหญ่หลายครั้ง รวมถึงการจี้เครื่องบินของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์หลายลำ การสังหารหมู่ที่สนามบิน Lod ในกรุงเทลอาวีฟ (1972) อิสราเอล ซึ่งทำให้ “กองทัพแดงญี่ปุ่น” กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มซ้ายติดอาวุธที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี 1971 กองทัพแดงญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแนวร่วมเพื่อการปลดปล่อยปาเลสไตน์ (The Popular Front for the Liberation of Palestine : PFLP) และ Wadie Haddad ในปี 1972 United Red Army ในญี่ปุ่นก็สลายตัว และกลุ่มของ Shigenobu จึงพึ่งพาอาศัย PFLP ในการจัดหาเงินทุน การฝึกอบรม และอาวุธยุทโธปกรณ์และการบุกยึดสถานทูตในประเทศต่าง ๆ ในปี 1971–72 องค์กรได้เกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่การต่อสู้ภายในกลุ่มกันอย่างรุนแรงจนมีการสังหารชีวิตสมาชิก 14 คนโดยสมาชิกกองทัพแดงด้วยกัน การสังหารเหล่านี้สร้างความตกตะลึงให้กับประชาชนญี่ปุ่น และตามมาด้วยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุจำนวนมาก แม้ว่ากองทัพแดงจะยังมีขนาดเล็ก แต่กิจกรรมก่อการร้ายของกองทัพแดงยังคงดำเนินต่อไปจนถึงช่วงทศวรรษ 1990 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 สมาชิกหลายคนถูกขับไล่ออกจากจอร์แดนและส่งตัวกลับญี่ปุ่นซึ่งทำให้พวกเขาถูกจับกุมและดำเนินคดี

ในช่วงทศวรรษที่ 1970 ถึง 1980 กองทัพแดงญี่ปุ่นได้ปฏิบัติการโจมตีทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลกหลายครั้งได้แก่ :

1. เมื่อ 31 มีนาคม 1971: สมาชิกเก้าคน (รุ่นก่อนกองทัพแดงญี่ปุ่นซึ่งผู้นำเคยเป็นส่วนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์ก่อนที่พวกเขาจะถูกขับออกไป) ได้จี้เครื่องบิน Boeing 727 JAL 351 ซึ่งเป็นเที่ยวบินภายในประเทศญี่ปุ่น บรรทุกผู้โดยสาร 129 คนจากสนามบินนานาชาติโตเกียว ไปยังเกาหลีเหนือ

2. เมื่อ 30 พฤษภาคม 1972: การสังหารหมู่ที่สนามบิน Lod กรุงเทลอาวีฟ อิสราเอล (ปัจจุบันคือสนามบินนานาชาติเบนกูเรียน) ด้วยปืนและระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน อีกประมาณ 80 คนได้รับบาดเจ็บ หนึ่งในสามของผู้ก่อการร้ายฆ่าตัวตายด้วยระเบิดมือ อีกคนถูกยิงระหว่างการต่อสู้ ผู้ที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวคือ Kōzō Okamoto โดยเหยื่อหลายคนเป็นผู้แสวงบุญชาวคริสต์ 

3. กรกฎาคม 1973: สมาชิกกองทัพแดงญี่ปุ่นจี้เครื่องบิน JAL 404 เหนือเนเธอร์แลนด์ ผู้โดยสารและลูกเรือได้รับการปล่อยตัวในลิเบีย แล้วผู้จี้ก็ทำการระเบิดเครื่องบินทิ้ง

4. มกราคม 1974: เหตุการณ์ Laju กองทัพแดงญี่ปุ่นโจมตีโรงงานเชลล์ในสิงคโปร์ และจับตัวประกันห้าคน ในเวลาเดียวกัน PFLP ได้ยึดสถานทูตญี่ปุ่นในคูเวต ตัวประกันถูกแลกเปลี่ยนด้วยค่าไถ่ และสมาชิก PFLP เดินทางไปยังเยเมนใต้ได้อย่างปลอดภัย

5. เมื่อ 13 กันยายน 1974 : สถานทูตฝรั่งเศสในกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ถูกบุกโจมตี เอกอัครราชทูตและคนอื่น ๆ อีกสิบคนถูกจับเป็นตัวประกัน และ Joke Remmerswaal ตำรวจหญิงดัตช์ถูกยิงที่ด้านหลังเจาะปอด หลังจากการเจรจาเป็นเวลานานตัวประกันได้รับการปลดปล่อยโดยแลกกับการปล่อยตัวสมาชิกกองทัพแดง (Yatsuka Furuya) ที่ถูกจำคุก เงินสด 300,000 ดอลลาร์ และเครื่องบินเดินทางไปยังเมืองเอเดนทางใต้ของเยเมน เป็นครั้งแรกซึ่งพวกเขาไม่ได้ตอบรับ จากนั้นไปยังซีเรีย แต่ซีเรียไม่ยอมรับการจับตัวประกันเพื่อเรียกค่าไถ่ และบังคับให้พวกเขาต้องคืนค่าไถ่

6. สิงหาคม 1975: กองทัพแดงญี่ปุ่นจับตัวประกันมากกว่า 50 คนที่อาคาร AIA ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานทูตหลายแห่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ตัวประกันรวมถึงกงสุลสหรัฐฯและอุปทูตสวีเดน โดยสมาชิก 5 คนที่ถูกคุมขังถูกปล่อยตัว และเดินทางไปลิเบีย

7. เมื่อ 11 สิงหาคม 1976: ในนครอิสตันบูล ตุรกี มีผู้เสียชีวิต 4 คนและบาดเจ็บ 20 คน โดย PFLP และสมาชิกกองทัพแดงญี่ปุ่นทำการโจมตีสนามบินอตาเติร์ก นครอิสตันบูล

8. กันยายน 1977: กองทัพแดงญี่ปุ่นจี้เครื่องบิน JAL 472 เหนืออินเดีย และบังคับให้ลงจอดที่กรุงธากา บังกลาเทศ รัฐบาลญี่ปุ่นยอมปล่อยตัวสมาชิกกลุ่ม 6 คนที่ถูกคุมขัง และมีข่าวว่า ต้องจ่ายค่าไถ่อีก 6 ล้านดอลลาร์ด้วย

9. ธันวาคม 1977: ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกคนเดียวของกองทัพแดงญี่ปุ่นได้จี้เครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ 653 ซึ่งมีเอกอัครราชทูตคิวบาประจำญี่ปุ่น Mario Garcia อยู่ด้วย แต่เครื่องบิน Boeing 737 ลำดังกล่าวตกทำให้คนบนเครื่องทั้งหมดเสียชีวิต

10. พฤศจิกายน 1986: Fusako Shigenobu ร่วมมือกับ New People’s Army ซึ่งเป็นของพรรคคอมมิวนิสต์ฟิลิปปินส์ลักพาตัว Nobuyuki Wakaouji ชาวญี่ปุ่น ผู้จัดการ Mitsui & Co. สาขามะนิลา ในกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์

11. พฤษภาคม 1986: กองทัพแดงยิงปืนครกใส่สถานทูตญี่ปุ่นในแคนาดา และสหรัฐอเมริกา ในกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย 

12. มิถุนายน 1987: เกิดการโจมตีด้วยปืนครกแบบเดียวกันกับสถานทูตอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในกรุงโรม อิตาลี 

13. เมษายน 1988: สมาชิกกองทัพแดงญี่ปุ่นวางระเบิดสโมสรสันทนาการทหารของสหรัฐฯ (USO) ในเมืองเนเปิลส์ อิตาลี มีผู้เสียชีวิต 5 ราย

14. ในเดือนเดียวกัน (เมษายน 1988) Yū Kikumura สมาชิกฝ่ายปฏิบัติการ กองทัพแดงญี่ปุ่นถูกจับพร้อมกับวัตถุระเบิดบนทางหลวง New Jersey Turnpike ซึ่งดูเหมือนจะตรงกับการวางระเบิด USO เขาถูกตัดสินว่า มีความผิดในข้อหาเหล่านี้ และถูกจำคุกในเรือนจำของสหรัฐอเมริกาจนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวในเดือนเมษายน 2007 เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่นเขาก็ถูกจับกุมทันทีในข้อหาใช้หนังสือเดินทางปลอม

Fusako Shigenobu มีบุตรสาวหนึ่งคน ซึ่งเกิดในปี 1973 ที่กรุงเบรุต เลบานอน ปัจจุบันเป็นนักข่าวชื่อว่า Mei Shigenobu เธอเคลื่อนไหวในตะวันออกกลางมากว่า 30 ปี การเคลื่อนไหวของเธอเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือเพื่อความเป็นปึกแผ่นของการปฏิวัติระหว่างประเทศ โดยมีแนวคิดว่า ขบวนการปฏิวัติควรร่วมมือกัน และนำไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยมระดับโลกในที่สุด จุดหมายปลายทางของเธอคือ เลบานอน และเป้าหมายของเธอคือ สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ เดิมเธอเข้าร่วมแนวร่วมเพื่อการปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PFLP) ในฐานะอาสาสมัคร แต่ในที่สุดกองทัพแดงญี่ปุ่นก็กลายเป็นกลุ่มอิสระ เธอกล่าวในหนังสือหลายเล่มของเธอว่า "เป้าหมายของภารกิจคือการรวมกลุ่มพันธมิตรในการปฏิวัติระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านจักรวรรดินิยมของโลก" Shigenobu ถูกระบุว่า เป็นบุคคลที่ต้องการตัวโดย INTERPOL ในปี 1974 หลังจากการจับตัวประกันที่สถานทูตฝรั่งเศสในกรุงเฮก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเนเธอร์แลนด์เชื่อว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้อง

ตามเอกสารของ Shigenobu ที่ยึดได้เมื่อเธอถูกจับ และหนังสือพิมพ์รายงานข่าวเรื่องนี้ว่า เธอเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นอย่างผิดกฎหมายโดยใช้หนังสือเดินทางปลอม ซึ่งเธอได้มาโดยผิดกฎหมายด้วยการแอบอ้างตัวเองเป็นบุคคลอื่น Shigenobu เดินทางเข้าและออกจากสาธารณรัฐประชาชนจีนซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 16 ครั้งจากสนามบินนานาชาติคันไซตั้งแต่ธันวาคม 1997 ถึงกันยายน 2000 ตั้งแต่ปี 1990 เธอได้ก่อตั้ง "พรรคปฏิวัติประชาชน" เพื่อจุดประสงค์ที่จะ "การปฏิวัติด้วยกองกำลังติดอาวุธ" ในญี่ปุ่น โดยมีองค์กรบังหน้าคือ "ศตวรรษที่ 21 แห่งความหวัง" ซึ่งรับผิดชอบงานด้านกิจกรรมสาธารณะ ว่ากันว่าเธอใช้องค์กรนี้เป็นหลักในการวางแผนร่วมมือกับพรรคสังคมนิยมญี่ปุ่น หลังจากนั้นเธอก็ซ่อนตัวอยู่ในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งใน Nishinari Ward โอซาก้า อยู่ช่วงหนึ่ง ในปี 2000 สำนักงานรักษาความมั่นคงสาธารณะ ส่วนที่ 3 โอซาก้า ซึ่งกำลังทำการตรวจสอบผู้สนับสนุนกองทัพแดงญี่ปุ่น และได้เริ่มสอบสวนบุคคลที่ติดต่อกับผู้หญิงที่มีลักษณะคล้ายกับ Shigenobu โดยเธอมีปานบนใบหน้าแต่ซ่อนไว้ด้วยการแต่งหน้า อย่างไรก็ตามรอยนิ้วมือของเธอก็ถูกเก็บรวบรวมจากถ้วยกาแฟที่ผู้หญิงคล้ายกับ Shigenobu ใช้ อีกทั้งวิธีการสูบบุหรี่ของหญิงผู้ต้องสงสัยก็คล้ายกับ Shigenobu และเธอมักไปดื่มในสถานที่แห่งหนึ่งเป็นประจำ เมื่อสำนักงานรักษาความมั่นคงสาธารณะฯ พบว่า ลายนิ้วมือที่เก็บมาได้ตรงกับลายนิ้วมือของ Shigenobu เป็นเวลา 26 ปีหลังจากการจี้จับตัวประกันที่สถานทูตฝรั่งเศสในกรุงเฮก ปี 1974 Shigenobu ก็ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2000 ในเมืองทาคาสึกิ นครโอซาก้า ซึ่งเธอซ่อนตัวอยู่ เธอถูกส่งตัวจากโอซาก้าไปยังกรมตำรวจนครบาลในกรุงโตเกียว และถูกควบคุมในห้องส่วนตัวของ "รถด่วนสีเขียว" Tokaido Shinkansen เพื่อป้องกันการหลบหนี ชาวญี่ปุ่นต่างตื่นตกใจเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนที่ถูกใส่กุญแจมือลงจากรถไฟที่มาถึงกรุงโตเกียว เมื่อ Shigenobu เห็นบรรดากล้องที่รอทำข่าวอยู่เธอก็ชูนิ้วโป้งขึ้น และตะโกนใส่ผู้สื่อข่าวว่า "ฉันจะสู้ต่อไป!"

เธอถูกตัดสินจำคุก 20 ปีเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2006 และได้รับคำพิพากษาขั้นสุดท้ายจากศาลสูงสุดของญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2010 ด้วยเงื่อนไขเดียวกัน การฟ้องร้องเธอในสามข้อหาคือ (1)การใช้หนังสือเดินทางปลอม (2)ช่วยเหลือสมาชิกกองทัพแดงคนอื่น ๆ ในการทำหนังสือเดินทางปลอม และ(3)พยายามฆ่าคนตายโดยมีการวางแผนและสั่งการ กักขังและจับตัวประกันในปี 1974 ที่สถานทูตฝรั่งเศสในกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ Shigenobu สารภาพผิดในสองข้อหาแรก แต่ถูกตัดสินว่า ไม่มีความผิดในข้อหาที่เชื่อมโยงเธอกับการจับตัวประกันสถานทูตใน 1974 ในบรรดาพยานของเธอที่ปรากฏตัวในศาลสำหรับการสู้คดีคือ ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการจี้เครื่องบิน TWA Flight 840 ในปี 1969 และปัจจุบันเป็นสมาชิกของสภาแห่งชาติปาเลสไตน์ ในคำพิพากษาสุดท้ายของเธอ ผู้พิพากษาระบุว่า ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า เธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการยึดสถานทูตด้วยอาวุธ ซึ่งส่งผลให้ตำรวจสองนายได้รับบาดเจ็บ หรือข้อหาพยายามฆ่า แต่ตัดสินว่า เธอสมคบคิดกับสมาชิกกลุ่มของเธอเพื่อกักขังและจับตัวประกันในสถานทูต เธอถูกตัดสินลงโทษด้วยการจำคุกเป็นเวลา 20 ปี อย่างไรก็ตามเนื่องจากการรวมการคุมขังสามปีระหว่างการพิจารณาคดีเป็นเวลา 810 วันในเรือนจำ จึงเหลือเวลา 17 ปี 

ในเดือนเมษายน ปี 2001 Shigenobu ได้ออกแถลงการณ์จากที่คุมขัง โดยประกาศว่า กองทัพแดงญี่ปุ่นได้ยุติบทบาทลงแล้ว และการต่อสู้ต่อไปควรกระทำด้วยวิธีการที่ชอบด้วยกฎหมาย Shigenobu ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2022 สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่นได้แถลงต่อสาธารณะว่า มีกลุ่มสืบทอดเจตนารมย์ของกองทัพแดงญี่ปุ่นก่อตั้งขึ้นในปี 2001 ในชื่อว่า “ขบวนการเรนไต (ムーブメント連帯 (Mūbumento Rentai)) “กองทัพแดงญี่ปุ่น” เคยถูกระบุโดนรัฐบาลสหรัฐฯว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายในบัญชีกลุ่ม/องค์กรก่อการร้ายเมื่อ 8 ตุลาคม 1997 และถูกถอดจากรายชื่อเมื่อ 8 ตุลาคม 2001 โดยครั้งหนึ่งกองทัพแดงญี่ปุ่นถูกระบุว่า เป็นหนึ่งในกลุ่มก่อการร้ายนิยมคอมมิวนิสต์ติดอาวุธที่มีความศักยภาพในการก่อการร้ายสูงที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

พระสนมผู้อาภัพแห่งราชวงศ์ชิง โศกนาฏกรรมแห่งชีวิตที่จบลงก้นบ่อน้ำ

ปลายราชวงศ์ชิงของจีน นับเป็นช่วงยุ่งเหยิงของราชสำนัก เนื่องจากมีภัยจากจักรวรรดินิยมตะวันตกผสมกับชาติในเอเชียที่ต้องการครอบครองพื้นที่ และทรัพยากรของแผ่นดินมังกรแห่งนี้ แต่ภัยภายนอกนั้นยังไม่เท่าภัยภายในที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของคนในราชสำนักชิงเอง การฉ้อราษฏร์บังหลวงเป็นเรื่องปกติ การแลกผลประโยชน์กับต่างชาติเพื่อผลประโยชน์ตน เป็นธรรมเนียมที่ผู้รู้เอาตัวรอดมักทำเสมอ การเดินตามโลกไม่ทันด้วยความคิดที่ปิดตนเองจากรอบด้าน หยิ่งทะนงว่าตนคือผู้ครองแผ่นดิน ด้วยรากหยั่งลึกไม่มีสิ่งใดมาสั่นคลอนได้ ปัจจัยเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้จีนมาถึงจุดสิ้นสุดของระบอบจักรพรรดิ โดยมีผู้เร่งปฏิกิริยาอันไม่มีผู้ใดทัดทานได้อย่าง “พระนางซูสีไทเฮา” นางพญาหงส์ผู้อยู่เหนือมังกร

แต่...บทความนี้เรื่องราวหลักไม่ใช่พระนางซูสีไทเฮา แต่เกี่ยวกับพระสนมผู้อาภัพองค์หนึ่งใน “จักรพรรดิกวงซวี่” จักรพรรดิพระองค์ที่ 11 แห่งราชวงศ์ชิง ซึ่งพระสนมองค์นั้นคือพระสนม “เจินเฟย” 

พระสนมเจินเฟย เกิดเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1876 กำเนิดในเผ่าตาตาล่า กองกำลงธงแดงแห่งแมนจู มีบิดาชื่อ “จ่างซวี่” เป็นผู้ช่วยประจำกระทรวงพิธีกรรม มีมารดาแซ่จ้าว และมีพี่สาวต่างมารดาอีก 1 คน ซึ่งภายหลังก็คือพระสนมจิ่นเฟย ตามประวัติ พระสนมเจินเฟยเติบโตในเมืองกว่างโจวซึ่งเป็นเมืองท่าทางตอนใต้ของจีนโดยอาศัยอยู่กับแม่ทัพ“จ่างซ่าน” ผู้เป็นลุง ต้องบอกว่า “กว่างโจว” คือเมืองท่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนในเวลานั้น มีการค้าขายแลกเปลี่ยนทั้งในประเทศ และต่างชาติ เป็นปัจจัยทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่กว่างโจวมีหูตากว้างไกลกว่าคนคนจีนที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ ทำให้อุปนิสัยของพระสนมเจินเฟยนั้นค่อนข้างแตกต่างกับหญิงสาวคนอื่น ๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกันพอสมควร 

พระสนมเจินเฟยได้ย้ายจากกว่างโจวไปปักกิ่งเมื่อตอนอายุ 10 ปี จนเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ.188๙ ก่อนวันเกิดของพระสนมเพียง 1 วัน ในวัยย่าง 13 ปี พระสนมเจินเฟย และพระสนมจิ่นเฟยพี่สาวผู้มีอายุ 15 ปี ก็ได้รับคัดเลือกเข้าวังไปเป็นนางกำนัล จนเวลาผ่านไป 5 ปี ทั้งคู่จึงได้เป็นพระสนมใน “จักรพรรดิกวงซวี่” 

เจาะจงไปที่พระสนม “เจินเฟย” นั้นมีหน้าตาที่ค่อนข้างดี ดูน่ารัก แต่สิ่งที่ต่างจากพี่สาว และผู้หญิงในวังคนอื่น ๆ คืออุปนิสัยร่าเริง สดใส ตรงไปตรงมา กระตือรือร้น และมีความคิดที่เปิดกว้าง พร้อมรับสิ่งใหม่ๆ อาจเพราะด้วยนางได้เคยอยู่ที่กว่างโจวมาตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้มีความรู้ติดตัวมาซึ่งนี่นับเป็นพรอันประเสริฐของนาง แต่ก็เป็นคำสาปร้ายที่ทำให้บั้นปลายของนางจบด้วยความรันทด โดยผู้บันดาลพร และคำสาปนั้นมาจากพระนางซูสีไทเฮาป้าแท้ ๆ ของจักรพรรดิกวงซวี่นั่นเอง 

ว่ากันว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้นพระนางซูสีไทเฮา โปรดในทักษะความสามารถของพระสนมเจินเฟยเป็นอย่างยิ่ง ทรงว่าจ้างศิลปินชั้นนำของประเทศมาสอนพระสนมในด้านศิลปะ ด้านการดนตรี และด้านอักษรเพิ่มเติมอีกด้วย ทั้งยังรับสั่งให้ช่วยตรวจสอบเอกสารราชการ บางครั้งคราวก็ได้รับมอบหมายให้เขียนอักษรมงคลเพื่อเป็นของขวัญแด่เหล่าขุนนางในวัง ซึ่งนางปฏิบัติหน้าที่ได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง เรียกว่าถูกใจพระนางซูสีไทเฮาเป็นอย่างยิ่ง

ซึ่งมีบันทึกยืนยันตรงกันว่าพระสนมเจินเฟยนั้นเชี่ยวชาญทั้งวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ เล่นดนตรีได้ วาดรูปเป็น เขียนอักษรศิลป์ได้ และช่ำชองการเล่นหมากรุก เรียกว่าครบเครื่อง นอกจากนี้เมื่อเข้าวังแล้ว พระสนมเจินเฟย ยังมีความสนใจด้านการถ่ายภาพ ซึ่งแตกต่างไปจากคนจีนสมัยนั้นที่ยังคิดว่ากล้องถ่ายภาพคือเครื่องมือดูดวิญญาณ (พระนางซูสีกับเหล่าขันทีกลับถ่ายภาพกันเพียบ ย้อนแย้งจริงๆ) แต่พระสนมกลับไม่มีความเชื่อนี้อยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าบุคลิกแบบนี้จึงทำให้ “จักรพรรดิกวงซวี่” ซึ่งมีหัวค่อนข้างสมัยใหม่ โปรดปรานนางเป็นยิ่งนัก ทั้งสองมักจะใช้เวลาร่วมกันในการถ่ายภาพ ด้วยรูปแบบที่คล้ายกับผลงานของชาวตะวันตก กล่าวกันว่าในปี ค.ศ. 18๙4 พระสนมเจินเฟย ได้สั่งซื้อกล้องถ่ายภาพ และอุปกรณ์ครบชุดจากนอกพระราชวัง ซึ่งนางเป็นชาววังคนแรกที่นำกล้องถ่ายภาพเข้ามาใช้ในวังหลวง โดยอุปกรณ์ประกอบการถ่ายภาพที่มีทั้งฉากที่เอื้อกับการโพสต์ท่า เครื่องแต่งกายแบบตะวันตก หรือการแต่งกายแบบแฟนซี 

เมื่อได้อุปกรณ์มากพระสนมก็ขลุกอยู่แต่ในตำหนักจิ่งเหรินกงของตนเพื่อเรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพ ไม่เพียงถ่ายภาพตนเอง แต่ยังถ่ายภาพจักรพรรดิกวงซวี่รวมทั้งบรรดาข้าราชบริพาร อีกทั้งถวายการสอนเทคนิคการถ่ายภาพแด่องค์จักรพรรดิถึงพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน อันเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิด้วย เรียกว่าไม่นำพาธรรมเนียมของราชสำนัก นอกไปจากการถ่ายภาพแล้ว พระสนมยังสนทนากับองค์จักรพรรดิในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะประเด็นทางการเมือง ซึ่งแน่นอนพระสนมสนับสนุนให้องค์จักรพรรดิดำเนินการปฏิรูปบ้านเมือง เพื่อกอบกู้ประเทศที่กำลังประสบปัญหาจากรอบด้าน รวมไปถึงสะสางปัญหาการแทรกแซงการปกครองจากภายใน ซึ่งนั่นไม่รอดพ้นหูตาของพระพันปีซูสีไทเฮา 

การไม่โปรดพระสนมเจินเฟย ของพระนางซูสีไทเฮานั้นนอกจากความเป็นคนหัวสมัยใหม่เกินงามแล้ว ยังเกิดจากการไม่ยอมอยู่ในแผนงานของพระนางนั่นเอง ในแผนการของพระนางก็คือดันพระนัดดาในพระองค์คือ “พระนางหลงยฺวี่” ซึ่งมาจากเผ่าเยเฮ่อน่าลา เผ่าเดียวกับพระนางซูสีไทเฮา ให้ขึ้นเป็นพระจักรพรรดินีเพื่อจะครอบงำราชสำนักให้เบ็ดเสร็จ (จักรพรรดิก็เป็นหลาน และจักรพรรดินีก็เป็นญาติจักรพรรดิ เป็นหลานของพระองค์อีก) แต่เรื่องแบบนี้ปรบมือข้างเดียวมันไม่ดัง เพราะจักรพรรดิกวงซวี่ดันไม่สนใจพระนางหลงยฺวี่เลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังไปประทับอยู่กับพระสนมเจินเฟยแทบจะเป็นประจำ 

แม้พระนางซูสีไทเฮาทรงอยากให้ทั้งสองพระองค์นั้นรักใคร่กัน แต่ยิ่ง “พระนางหลงยฺวี่” พยายามเข้าหาองค์จักรพรรดิเท่าไหร่ พระองค์ก็ยิ่งทำนิ่งเฉยจนกลายเป็นเหินห่างมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ความประสงค์ของพระนางซูสีไทเฮาที่หวังจะใช้ “พระนางหลงยฺวี่” คอยกำกับดูแลจักรพรรดิกวงซวี่ก็ลดน้อยถอยลง ส่วน “พระนางหลงยฺวี่” เมื่อได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชาจากองค์จักรพรรดิหลายต่อหลายครั้งก็เลยเป็นแรงแค้นผลักให้พระองค์เดินหน้าจัดการพระสนมคนโปรดขององค์จักรพรรดิด้วยการเพ็ดทูลเรื่องราวต่าง ๆ อันเป็นภัยต่อพระสนมเจินเฟย โดยเฉพาะทรงเล่าเรื่องเกินจริงเกี่ยวกับความคิดที่จะก่อกบฏต่อพระนางซูสีไทเฮา

การลงโทษสนมเจินเฟยนั้นมีมาอย่างต่อเนื่องโดยเริ่มจากการชอบแต่งกายถ่ายภาพ โดยเวลาตามเสด็จจักรพรรดิกวงซวี่พระสนมมักแต่งตัวเป็นขุนนาง ถักเปียยาว สวมหมวกสีแดงแบบราชวงศ์ชิง แล้วก็ถ่ายภาพร่วมกับองค์จักรพรรดิ ซึ่งพฤติกรรมผิดกฏของวังหลวงเมื่อเรื่องนี้ถึงพระกรรณของพระนางซูสีไทเฮา พระองค์ทรงกริ้วอย่างมากก่อนจะสั่งลงโทษพระสนมเจินเฟยด้วยการตบปากซึ่งถามว่าพระสนมเข็ดไหม ? ตอบเลยว่าไม่ ? 

วิบากต่อมาก็สืบเนื่องจากการที่พระสนมชื่นชอบการถ่ายภาพอีกนั่นแหละ เลยคิดการเปิดร้านถ่ายภาพโดยดำเนินการผ่านขันทีประจำตำหนักของพระสนมนามว่า “ไต้อันผิง” ซึ่งเขามักออกไปยังร้านถ่ายภาพนอกวังหลวง ซึ่งไม่รอดพ้นสายพระเนตรของพระนางซูสีไทเฮา พระนางได้ทราบว่าพระสนมเจินเฟยได้นำเงินเก็บไปเปิดร้านถ่ายภาพ เมื่อทราบดังนั้นพระนางจึงมีรับสั่งให้ปิดร้านถ่ายภาพ สั่งประหารชีวิตไต้อันผิง และโบยพระสนมเจินเฟยซึ่งกำลังตั้งครรภ์ 3 เดือนจนแท้งลูก อีกทั้งก่อให้เกิดอาการของโรคทางนรีเวช (เกี่ยวกับระบบสืบพันธ์) ทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก (อันนี้เดาว่าไหน ๆ ก็ไหน ลงโทษทั้งทีก็จัดการไม่ให้สามารถกำเนิดโอรสสวรรค์ได้ซะเลย) 

นอกจากนี้พระสนมยังถูกกล่าวโทษว่าไปพัวพันกับการซื้อขายตำแหน่งขุนนาง (อันนี้เพียงแต่กล่าวโทษแต่ไม่ได้ระบุว่าจริงหรือไม่) แต่ประเด็นที่โดนเพ่งเล็งที่สุดคือความคิดเห็นที่มีทีท่าสนับสนุนให้จักรพรรดิกวงซวี่ปฏิรูปประเทศ เนื่องจากความเสื่อมโทรมของประเทศที่เกิดขึ้นจากทั้งภายนอกที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากชาติจักรวรรดินิยม และภายในประเทศที่เกิดจากความล้าหลังของระบบการปกครอง ทำให้องค์จักรพรรดิมีแนวคิดดังกล่าว พระองค์ได้ร่วมมือกับ คังโหย่วเหวย เหลียงฉี่เชา และขุนทหารอย่าง หยวนซื่อไข่ โดยมีเป้าหมายหลักคือปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร การศึกษาให้เทียบเท่าอารยประเทศ อันมีผลกระทบโดยตรงต่อพระนางซูสีไทเฮา เพราะจะปฏิรูปได้นั้นต้องยึดอำนาจคืนจากพระนาง แต่ทว่าการปฏิรูปเดินหน้าไปเพียงแค่ 103 วัน ก็ต้องล้มเหลวเนื่องจากมีการหักหลังจากผู้เสียประโยชน์ และผู้ที่ต้องการผลประโยชน์เหนือราชสำนักอย่าง หยวนซื่อไข่ ทำให้นักปฏิรูปถูกจับ และโดนประหาร ส่วนองค์จักรพรรดิก็ถูกนำไปกักตัวไว้ที่เกาะกลางทะเลสาบในพระราชวังฤดูร้อน โดยมีขันทีคอยดูแล ส่วนพระสนมเจินเฟยถูกโบยและนำไปจองจำที่ตำหนักเย็น

จนมาในปี ค.ศ. 1900 เกิดเหตุกองกำลังผสม 8 ชาติบุกปักกิ่ง ด้วยเหตุที่พระนางซูสีไทเฮาไปสนับสนุนกบฏนักมวยให้ทำร้ายชาวต่างชาติ พระนางจึงทรงคิดจะลี้ภัยไปซีอาน โดยเชิญเสด็จ ฯ จักรพรรดิกวงซวี่ไปด้วย ซึ่งตามบันทึกก่อนหน้าที่จะเสด็จลี้ภัย พระนางซูสีไทเฮาได้ทรงเบิกตัวสนมเจินเฟยมาเฝ้าและมีรับสั่งว่า

“เมื่อแรกเราตั้งใจจะนำเจ้าไปกับเราด้วย แต่เจ้านั้นยังอ่อนวัยและจิ้มลิ้มนัก เกรงว่าจะถูกพวกทหารต่างชาติกระทำทารุณข่มขืนเอาได้ ดังนั้น เราเชื่อว่าเจ้าคงเข้าใจว่าควรทำเช่นไรต่อไป” 

ซึ่งก็ชัดเจนว่าพระสนมนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ตามไป ทั้งยังให้กระทำ “อัตวินิบาตกรรม” แต่พระสนมไม่เพียงแต่จะไม่ทำตามแล้ว พระสนมเจินเฟยกลับหาญกล้าทูลฯ พระนางไปว่าอยากจะขอให้องค์จักรพรรดิได้ทรงอยู่ในนครปักกิ่ง เพื่อให้ชาวจีนได้มีกำลังใจสู้กลับกับแปดชาติที่รุกราน (อันนี้เหมือนนิยายไปหน่อย แต่อ่านเพลินดี) เมื่อพระนางทรงได้ยินดังนั้นก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก จึงรับสั่งให้ “ชุยอวี้กุ้ย” ขันทีคนสนิท พาเหล่าขันทีจับพระสนมเจินเฟยโยนลงบ่อน้ำด้านหน้าตำหนักหนิงโซ่วกง (ผมจำได้ว่าเคยไปชมบ่อน้ำที่ว่านี้อยู่) จนสิ้นใจในบ่อน้ำนั้น จากนั้นพระนางก็มีรับสั่งให้เผาทำลายข้าวของทั้งหมดของนาง รวมทั้งภาพถ่ายจำนวนมากที่นางเคยถ่าย ปัจจุบันจึงเหลือภาพของพระสนมเจินเฟยเพียงภาพเดียว (ภาพปกที่เห็นอยู่นี่เอง)

ผ่านไปราวปีครึ่ง พระนางซูสีไทเฮาก็เชิญเสด็จฯ จักรพรรดิกวงซวี่กลับนครปักกิ่ง พร้อมรับสั่งให้งมศพของพระสนมเจินเฟยขึ้นมาฝังที่ “เอินจี้จวง” ซึ่งเป็นสุสานสำหรับขันทีหรือนางกำนัล ดังนั้นการฝังศพของพระสนมไว้ ณ ที่แห่งนี้จึงเป็นการหลู่เกียรติ อันเป็นการลงโทษในฐานความผิดครั้งสุดท้ายของพระสนมเจินเฟินแม้จะสิ้นชีพไปแล้วก็ตาม

‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ใช่เพียงคำนิยาม แต่คือรากที่มั่นคงของแผ่นดิน หลายนโยบายรัฐบาลเหมือนต้นไม้ที่ไร้รากไม่ก่อประโยชน์อย่างแท้จริง

ในโลกที่ทุกอย่างดูเร่งรีบเหมือนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว เราอาจคิดว่าเงินที่รัฐแจกให้เด็กอายุ 16-20 ปีนั้นเป็นเหมือนเรือที่ช่วยให้พวกเขาพ้นจากการจมน้ำ หรือการที่รัฐบาลใช้ภาษีซื้อหนี้ให้ประชาชนก็เหมือนลมหายใจใหม่ให้คนที่ติดบ่วงหนี้สิน ส่วนคาสิโนที่กำลังจะตั้งก็ดูเหมือนเส้นทางใหม่ของเศรษฐกิจ แต่ถ้าเรามองให้ลึกกว่านั้น เราอาจพบว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ต้นไม้ของสังคมเติบโต หากแต่กำลังทำให้รากของมันลอยจากพื้นดิน

1. เงินแจก – รากที่ไม่ได้หยั่งลงดิน

เงินแจกให้เด็กวัยรุ่น ฟังดูเหมือนโอกาส แต่แท้จริงแล้วมันอาจเป็นกับดักที่ทำให้พวกเขาเคยชินกับการได้รับโดยไม่ต้องสร้าง การมีเงินใช้โดยไม่ต้องออกแรง อาจทำให้พวกเขาเข้าใจผิดว่าโลกนี้มีแต่ 'การให้' โดยไม่ต้อง 'แลกเปลี่ยน' เหมือนต้นไม้ที่เติบโตด้วยน้ำฝนที่หยดลงมาตลอดโดยไม่ต้องหยั่งรากลงไปดูดซับจากดิน ท้ายที่สุด เมื่อฝนหยุดตก ต้นไม้นั้นก็จะยืนต้นตาย เพราะไม่เคยมีรากของตัวเอง

2. รัฐล้างหนี้ – สร้างคนที่ไม่ต้องรับผลจากการกระทำของตน

เมื่อรัฐบาลใช้เงินภาษีของทุกคนไปซื้อหนี้ให้คนที่ก่อหนี้ ความรับผิดชอบในการบริหารชีวิตก็ถูกทำให้จางลง มันเหมือนการที่คนหนึ่งใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย แต่กลับมีคนอีกกลุ่มต้องมาช่วยจ่ายค่าใช้จ่ายให้ ถ้าเราเปรียบเทียบกับธรรมชาติ นี่ก็เหมือนกับฝูงนกที่ไม่ต้องบินหาอาหารเอง เพราะมีคนมาโยนเศษขนมให้ทุกวัน เมื่อถึงเวลาที่คนหยุดให้อาหาร นกเหล่านั้นก็ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ เพราะพวกมันไม่เคยต้องหาอาหารเอง

3. คาสิโน – เมืองมายาที่ดูเหมือนทองคำแต่เต็มไปด้วยโคลน

คาสิโนฟังดูเป็นแหล่งเงินหมุนเวียนใหม่สำหรับเศรษฐกิจ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเศรษฐกิจแบบ 'มายา' คือเงินไม่ได้ถูกสร้างจากผลผลิตที่แท้จริง แต่เป็นการหมุนเงินผ่านการพนันและความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของผู้คน คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งหมดตัว เหมือนแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ มันให้แสงสว่าง แต่เป็นแสงที่เผาผลาญทุกอย่างโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว

เศรษฐกิจพอเพียง – รากที่มั่นคงของแผ่นดิน

เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้ชีวิตเรียบง่ายหรือประหยัดเงิน แต่มันคือหลักของ “ความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต” เงินไม่ใช่ของที่ตกจากฟ้าแบบไม่มีที่มา การมีต้องมาจากการสร้าง ผลต้องมาจากการลงแรง ถ้ารัฐสร้างคนให้คุ้นชินกับการได้มาโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยน แทนที่จะแก้ปัญหา มันจะกลับทำให้คนรุ่นใหม่อ่อนแอลง ตัดรากถอนโคนการพัฒนาตัวเอง และเมื่อถึงวันที่ต้องเผชิญชีวิตจริง ไม่มีรัฐบาลที่คอยแจกอีกต่อไป พวกเขาจะหลงทางและไม่มีความสามารถในการตั้งตัว

เศรษฐกิจที่แท้จริงต้องเหมือนต้นไม้
มันต้องมีรากหยั่งลึก มีกิ่งก้านแผ่กว้าง และออกผลที่เกิดจากกระบวนการเติบโตตามธรรมชาติ ถ้าเราหลงเชื่อในเงินที่ลอยมาจากฟ้า เราจะเหมือนต้นไม้ที่ไร้ราก พอพายุมา ทุกอย่างก็พังทลาย

สุดท้ายแล้ว เราต้องเลือกเอง ว่าจะเป็นต้นไม้ที่มีรากมั่นคง หรือเป็นเพียงเศษใบไม้ที่ปลิวไปตามลม

เมื่อ VOA ถูกตัดงบ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นสงครามข่าวสารที่แท้จริง ศึกวัดพลังรัฐบาลสหรัฐฯ กับทุนข้ามชาติที่ต้องการครองสื่อโลก

(17 มี.ค. 68) ถอดรหัส Michael Abramowitz – ใครอยู่เบื้องหลังเสียงโวยวายเรื่อง VOA ถูกตัดงบ? 

"เป็นครั้งแรกในรอบ 83 ปีที่ Voice of America กำลังถูกทำให้เงียบเสียง"

นั่นคือคำแถลงของ Michael Abramowitz ผู้อำนวยการ Voice of America (VOA) หลังจากรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ตัดงบองค์กรสื่อของรัฐอย่างหนัก จนทำให้ นักข่าว โปรดิวเซอร์ และเจ้าหน้าที่กว่า 1,300 คน ถูกพักงานทันที

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังสนั่น โดย Abramowitz อ้างว่าเรื่องนี้เป็นการทำลายเสรีภาพของสื่อ และเปิดช่องให้ศัตรูของสหรัฐฯ อย่างจีน รัสเซีย และอิหร่าน ขยายอิทธิพล

แต่คำถามคือ "นี่คือเรื่องของเสรีภาพจริง ๆ หรือเป็นเกมแห่งอำนาจ?"

Michael Abramowitz – นักข่าว หรือ นักยุทธศาสตร์?
ชื่อของ Michael Abramowitz อาจดูเหมือนเป็นนักข่าวสายประชาธิปไตยที่ออกมาปกป้องเสรีภาพของสื่อ แต่หากเราขุดลึกลงไป เขาไม่ใช่แค่ผู้อำนวยการ VOA เท่านั้น

เขาเป็นอดีตประธานของ Freedom House องค์กรที่ อ้างว่าเป็นองค์กรอิสระด้านประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้ว ได้รับเงินสนับสนุนโดยตรงจากรัฐบาลสหรัฐฯ และเครือข่ายนายทุนข้ามชาติ

Freedom House มีหน้าที่ จัดอันดับความเป็นประชาธิปไตยของประเทศต่าง ๆ ซึ่งบ่อยครั้ง คะแนนของประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ มักต่ำอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ พันธมิตรของสหรัฐฯ กลับได้รับการจัดอันดับดีกว่าเสมอ

ดังนั้นจึงไม่แปลกครับที่ freedom house ต้องมาจัดอันดับประเทศไทยให้เรตติ้งร่วงทันทีที่รัฐบาลไทยเลี้ยงดูปูเสื่อผู้หลบหนีเข้าประเทศไทยชาวอุยกูรฺ์กว่า 11 ปีและส่งกลับประเทศต้นทางก็คือประเทศจีนนั่นเอง...

แล้วทำไม Abramowitz ต้องออกมาเดือดเรื่อง VOA?
เพราะ VOA เป็นกระบอกเสียงของสหรัฐฯ ที่ใช้เผยแพร่ประชาธิปไตยไปทั่วโลก และทำงานประสานกับองค์กรอย่าง Freedom House หาก VOA ถูกทำให้ไร้ประสิทธิภาพ นั่นหมายถึงอำนาจของ Freedom House ก็จะลดลงไปด้วย

Freedom House – องค์กรอิสระจริง หรือแขนขาของ CIA?
หลายคนอาจมองว่า Freedom House เป็นองค์กรอิสระที่ส่งเสริมประชาธิปไตย แต่เมื่อขุดลึกลงไป เราพบว่ามันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐฯ และหน่วยงานข่าวกรอง

กว่า 80% ของงบประมาณมาจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะ กระทรวงการต่างประเทศ (U.S. State Department) และ USAID

ได้รับทุนจาก National Endowment for Democracy (NED) ซึ่งมีประวัติว่าเคยเป็น เครื่องมือของ CIA ในการแทรกแซงรัฐบาลต่างชาติ

ในอดีตมีรายงานว่า Freedom House มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในหลายประเทศ เช่น ยูเครน อาหรับสปริง และเวเนซุเอลา

แต่ที่น่าสนใจคือ นอกจากเงินรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว Freedom House ยังได้รับเงินสนับสนุนจากเครือข่ายนายทุนที่ต้องสงสัย

George Soros และทุนลับที่อยู่เบื้องหลัง
หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเงินทุนของ Freedom House คือ George Soros มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่มีอิทธิพลมหาศาลในวงการการเมืองโลก

Soros เป็นผู้ก่อตั้ง Open Society Foundations (OSF) องค์กรที่ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยในหลายประเทศ

OSF เคยถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโค่นล้มรัฐบาลในยุโรปตะวันออกและอเมริกาใต้
Freedom House และ OSF เคยร่วมมือกันในหลายโครงการ รวมถึงการสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยในฮ่องกง

เงินของ Freedom House มาจากรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Soros? หรือทั้งสองฝ่ายต่างทำงานร่วมกัน?
หากคำตอบคือ "ทั้งสองฝ่าย" นั่นหมายความว่า Freedom House ไม่ได้เป็นแค่องค์กรส่งเสริมประชาธิปไตย แต่เป็นเครื่องมือของเครือข่ายทุนข้ามชาติที่ใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงประเทศอื่น

VOA ถูกตัดงบ – ผลกระทบต่อเครือข่าย Soros และพวก Globalist
เมื่อทรัมป์ตัดงบ VOA ไม่ใช่แค่สื่อของรัฐที่ได้รับผลกระทบ แต่มันคือการโจมตีเครือข่ายทั้งหมดที่ใช้ VOA เป็นเครื่องมือ

Freedom House สูญเสียหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ประชาธิปไตย

Open Society Foundations ของ Soros อาจได้รับผลกระทบ หาก VOA ไม่สามารถทำงานร่วมกับขบวนการของเขาได้

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์อาจกำลังพยายามลดอิทธิพลของกลุ่มทุนข้ามชาติที่ใช้สื่อเป็นเครื่องมือแทรกแซงการเมือง

สรุป – เรื่องนี้เป็นแค่การตัดงบ หรือเป็นการสกัดอำนาจของพวก Globalists?
สิ่งที่เราพบจากการถอดรหัสคือ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเสรีภาพสื่อ แต่มันคือ การต่อสู้เชิงอำนาจระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมของทรัมป์ กับเครือข่าย Globalists ที่ต้องการควบคุมข้อมูลข่าวสาร

Michael Abramowitz ไม่ใช่แค่ ผู้อำนวยการ VOA แต่เขาคือ อดีตประธานของ Freedom House องค์กรที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และอาจรวมถึงกลุ่มทุนของ George Soros

การที่เขาออกมาโวยวายเรื่อง VOA จึงไม่ใช่แค่เพราะ "เสรีภาพของสื่อ" แต่เพราะ "อำนาจของเครือข่ายที่เขาอยู่กำลังถูกท้าทาย"

คำถามที่เราต้องคิดต่อคือ "เมื่อทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง VOA จะถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือของฝ่ายอนุรักษ์นิยมแทนหรือไม่?"

และ "Freedom House จะยังเป็นองค์กรอิสระได้จริงหรือ ถ้ามันยังพึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และเครือข่ายทุนข้ามชาติ?"

นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามข่าวสารที่แท้จริง… ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับทุนข้ามชาติที่ต้องการครองสื่อโลก

Stephen Capus ซีอีโอของ RFE/RL ลั่น!! ‘อเมริกา’ ส่งของขวัญชิ้นโตให้ ‘ศัตรู’ เหตุ!! ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ หั่นงบ ‘USAID’ มอง!! สื่อเสรีภาพ ต้องได้รับการสนับสนุน

(16 มี.ค. 68) โดมิโน่สื่อสายทุนจบเห่! RFE/RL โดนหั่นงบฯ หลัง USAID เดี้ยงด้วยน้ำมือทรัมป์

เมื่อวานเดินเล่นไถฟีดไปเรื่อยๆ เจอข่าวชวนตะลึงเข้าให้—Radio Free Europe/Radio Liberty (RFE/RL) ออกมาคร่ำครวญว่าถูกตัดงบสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ แบบสายฟ้าแลบ! อ่านแล้วก็อดสะกิดใจไม่ได้ว่านี่มันอีกหนึ่งโดมิโน่เอฟเฟ็คจากการที่ USAID ถูกทรัมป์ซอยเละตั้งแต่ยุคแรกๆ แล้วนี่นา

RFE/RL นี่ไม่ใช่ใครที่ไหน สื่อที่ได้กินอิ่มกินดีจากงบประมาณของรัฐสหรัฐฯ มาตลอด 75 ปี เป็นกระบอกเสียงเสรีประชาธิปไตยสไตล์วอชิงตันที่ส่งตรงไปถึงประเทศแถบยุโรปตะวันออก รัสเซีย จีน และตะวันออกกลาง ตอนสงครามเย็นก็ทำหน้าที่ตีแผ่ความจริง (ในเวอร์ชันที่สหรัฐฯ อยากให้โลกเห็น) ใส่พวกคอมมิวนิสต์ และแม้ว่าสงครามเย็นจะจบไปนานแล้ว RFE/RL ก็ยังคงมีงบให้ได้โลดแล่นต่อไปภายใต้ข้ออ้างว่า “สื่อเสรีภาพต้องได้รับการสนับสนุน”

แต่พอทรัมป์กลับมาทวงคืนเวทีการเมือง ปฏิบัติการสับงบฯ ก็ตามมาเป็นของแถม ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนี้ USAID ก็โดนฟันมาก่อนหน้าแล้ว จะให้เหลืออะไรอีกล่ะ?

RFE/RL ลั่น: ตัดงบเรา = ของขวัญให้จีน-รัสเซีย

Stephen Capus ซีอีโอของ RFE/RL รีบออกมาจุดพลุทันที บอกว่าการถูกตัดงบนี้ เป็นเหมือนการส่งของขวัญชิ้นโตให้ศัตรูของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น จีน รัสเซีย อิหร่าน หรือผู้นำเผด็จการแห่งมินสก์ เพราะพวกนั้นคงจะฉลองกันยกใหญ่ที่สื่อขาประจำของวอชิงตันกำลังล้มระเนระนาด

Capus ไม่ได้พูดเล่น เพราะที่ผ่านมาสื่อสายทุนเหล่านี้ก็มีบทบาทชัดเจนในการเล่นเกมสงครามข้อมูลข่าวสาร ไล่ขุดแฉรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามของสหรัฐฯ ตั้งแต่เรื่องสิทธิมนุษยชน ยันการทุจริตแบบข้ามชาติ แต่พอโดนตัดงบเอง ดันออกมาโอดครวญซะอย่างนั้น

อ่านมาถึงตรงนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่า เฮ้ย แล้วตอนที่ไปเจาะข่าวประเทศอื่นเขา ทำไมไม่พูดถึงแหล่งทุนของตัวเองบ้าง? พอตัวเองโดนบ้าง กลับมาเรียกร้องเสรีภาพซะงั้น!

เมื่อ USAID เดี้ยง สื่อสายทุนก็ขาลง

มองย้อนกลับไปหน่อย USAID ไม่ใช่แค่หน่วยงานพัฒนา มันเป็น ท่อส่งเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการสนับสนุนสื่อ นักเคลื่อนไหว และ NGOs ทั่วโลก ซึ่งก็ไม่ต้องบอกนะว่าเงินไหลไปไหนบ้าง พอ USAID โดนทรัมป์ฟันงบ ก็เหมือนปิดก๊อกน้ำ ทำให้สื่อหลายเจ้าที่เคยพึ่งพางบนี้ต้องดิ้นรนหาแหล่งทุนใหม่

RFE/RL ก็คือหนึ่งในนั้น และตอนนี้ดูเหมือนว่าวิกฤตนี้จะมาถึงจุดที่พวกเขาเองก็ ต้องเผชิญความเป็นจริงว่าหากไม่มีรัฐอุ้ม ก็อยู่ลำบาก
คำถามสำคัญที่น่าสนใจคือ สื่อเสรีแบบนี้ หากไม่มีงบจากรัฐ ยังเสรีได้อยู่ไหม? หรือจริงๆ แล้วมันคือ “สื่อเสรีภาพที่มีเงื่อนไข” มาตลอด
โดมิโน่ต่อไปจะเป็นใคร?

VOA (Voice of America) ก็คงมีเสียวๆ อยู่บ้าง เพราะเป็นอีกเจ้าที่ใช้งบสนับสนุนจากรัฐสหรัฐฯ เช่นกัน จะว่าไปแล้ว ในยุคที่โซเชียลมีเดียครองเมือง สื่อที่อาศัยทุนรัฐเพื่อทำข่าวนโยบายต่างประเทศ อาจต้องเตรียมใจเผชิญยุคที่ “อเมริกาต้องมาก่อน” อย่างเต็มตัวแล้วจริงๆ
ว่าแต่… หรือพวกเขาจะหาทางออกใหม่โดยไปขอทุนจากที่อื่นแทน? หรือถ้าหมดยุคของสื่อสายทุน รัฐบาลสหรัฐฯ จะใช้ช่องทางไหนในการขยายอิทธิพลทางข้อมูลข่าวสาร? คำตอบอาจอยู่ในอนาคตที่กำลังใกล้เข้ามา…

Good Samaritan law: กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี ข้อบัญญัติที่ช่วยปกป้องบุคคลผู้ไม่เพิกเฉยต่อเพื่อนมนุษย์

เรื่องของ 'การทำคุณบูชาโทษ' ทำให้เกิดความเข็ดขยาดในหมู่พลเมืองดีผู้ที่มีจิตใจอันเป็นกุศลที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะช่วยเหลือเหล่าบรรดาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อผู้มีความตั้งใจและเจตนาอันในการช่วยเหลือผู้คน แต่กลับกลายมาเป็นคนผิด หรือกระทั่งตกเป็นจำเลยจากการฟ้องร้องจากผู้ที่ได้ให้ความช่วยเหลือหรือครอบครัวของคนเหล่านั้น ซึ่งเรื่องราวลักษณะนี้เกิดขึ้นมากมายในหลายๆสังคมและประเทศ 

ดังนั้น ในหลาย ๆ ประเทศจึงมีการออกกฎหมายที่เรียกว่า 'Good Samaritan law' หรือ 'กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี' เพื่อเป็นการคุ้มครองป้องกันการกระทำด้วยเจตนาดีเพื่อช่วยเหลือผู้คนของพลเมืองดีผู้ที่มีจิตใจอันเป็นกุศลเหล่านั้น คำว่า “Samaritan” เป็นคำนามที่หมายถึง คนที่ทำความดี, คนที่ให้ช่วยเหลือแก่ผู้อื่น โดย “กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี” เป็นกฎหมายที่ให้การคุ้มครองทางกฎหมายแก่บุคคลที่ให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมแก่บุคคลที่ได้รับบาดเจ็บ ป่วย อยู่ในอันตราย หรือไร้ความสามารถ การคุ้มครองพลเมืองดีเพื่อจุดมุ่งหมายในการลดความลังเลของผู้เห็นเหตุการณ์ที่จะให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากกลัวจะถูกฟ้องร้องหรือดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเสียชีวิตโดยผิดกฎหมาย 

กฎหมายดังกล่าวเป็นหลักการทางกฎหมายที่ป้องกันไม่ให้ผู้ช่วยเหลือที่ช่วยเหลือเหยื่อที่เดือดร้อนโดยสมัครใจถูกฟ้องร้องในข้อหากระทำผิด วัตถุประสงค์คือเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้คนลังเลที่จะช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่ต้องการความช่วยเหลือ เนื่องจากกลัวผลที่ตามมาทางกฎหมาย หากพวกเขาปฏิบัติผิดพลาดบางประการ ในทางตรงกันข้าม กฎหมายหน้าที่ในการช่วยเหลือกำหนดให้ผู้คนในเหตุการณ์เหล่านั้นต้องให้ความช่วยเหลือ และถือว่าผู้ที่ไม่ให้ความช่วยเหลือต้องรับผิดชอบต่อผลจากการปฏิเสธหรือเพิกเฉยละเลย กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีอาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละเขตอำนาจศาล เช่นเดียวกับปฏิสัมพันธ์กับหลักการทางกฎหมายอื่น ๆ เช่น ความยินยอม สิทธิของผู้ปกครอง และสิทธิในการปฏิเสธการรักษา กฎหมายดังกล่าวส่วนใหญ่ไม่ได้บังคับใช้กับพฤติกรรมการทำงานของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หรือผู้ที่มีอาชีพตอบสนองเหตุฉุกเฉินประจำ แต่กฎหมายบางประเทศได้ขยายการคุ้มครองไปยังนักกู้ภัยอาชีพเมื่อพวกเขาทำหน้าที่เป็นอาสาสมัคร

หลักการที่มีอยู่ในกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีมักใช้ในประเทศที่ระบบกฎหมายเป็นกฎหมายทั่วไปของอังกฤษ ในหลายประเทศที่ใช้กฎหมายแพ่งเป็นรากฐานของระบบกฎหมาย ผลทางกฎหมายแบบเดียวกันนี้มักจะเกิดขึ้นโดยใช้หลักการของหน้าที่ในการกู้ภัย กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีมักจะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เนื่องจากแต่ละกฎหมายได้รับการร่างขึ้นโดยอิงตามการตีความของผู้ให้บริการที่ได้รับการคุ้มครองในแต่ละพื้นที่ รวมถึงขอบเขตการดูแลที่ครอบคลุม ดังปรากฏในประเทศต่าง ๆ ดังนี้

ออสเตรเลีย รัฐและเขตการปกครองของออสเตรเลียส่วนใหญ่มีกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยทั่วไปแล้ว กฎหมายเหล่านี้จะให้การคุ้มครองหากได้รับการดูแลด้วยความตั้งใจ และ "พลเมืองดี" จะไม่ได้รับผลกระทบจากยาหรือแอลกอฮอล์ มีความแตกต่างระหว่างรัฐ ตั้งแต่ไม่บังคับใช้หาก "พลเมืองดี" เป็นสาเหตุของปัญหา (นิวเซาท์เวลส์) ไปจนถึงบังคับใช้ในทุกสถานการณ์หากพยายามด้วยความตั้งใจ (วิกตอเรีย)

เบลเยียม กฎหมายการช่วยเหลือผู้ประสบภัยของเบลเยียมกำหนดให้บุคคลใดก็ตามที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายในการช่วยเหลือบุคคลที่ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง โดยไม่ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง (มาตรา 422 ประมวลกฎหมายอาญา)

แคนาดา กฎหมายการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของจังหวัด แต่ละจังหวัดมีกฎหมายของตนเอง เช่น กฎหมายการช่วยเหลือผู้ประสบภัยของออนแทรีโอ และบริติชโคลัมเบีย ตามลำดับ กฎหมายความช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉินของอัลเบอร์ตา นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ ยูคอน และนูนาวุต และกฎหมายบริการอาสาสมัครของโนวาสโกเชีย เฉพาะในควิเบก ซึ่งเป็นเขตอำนาจศาลแพ่งเท่านั้นที่บุคคลมีหน้าที่ทั่วไปในการตอบสนองตามรายละเอียดในกฎบัตรสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของควิเบก ตัวอย่างกฎหมายทั่วไปของแคนาดามีอยู่ในรัฐบัญญัติพลเมืองดีของออนแทรีโอ ปี 2001 มาตรา 2 
การคุ้มครองจากความรับผิด 2. (1) แม้จะมีกฎหมายทั่วไป แต่บุคคลที่ระบุไว้ในมาตรา (2) ซึ่งให้บริการตามที่อธิบายไว้ในมาตราดังกล่าวโดยสมัครใจและไม่มีการคาดหวังค่าตอบแทนหรือรางวัลตอบแทนที่สมเหตุสมผล จะไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดจากความประมาทเลินเล่อในการกระทำหรือการไม่กระทำในขณะให้บริการ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลนั้น 2001, c. 2, s. 2 (1).

จีน มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในประเทศจีน เช่น เหตุการณ์ของเผิงหยูในปี 2006 ซึ่งพลเมืองดีที่ช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทำร้ายเหยื่อเสียเอง ในปี 2011 เด็กหญิงวัยเตาะแตะชื่อหวางเย่เสียชีวิต เมื่อเธอถูกรถสองคันชน เหตุการณ์ทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในวิดีโอ ซึ่งแสดงให้เห็นผู้คน 18 คนเห็นเด็กบาดเจ็บ แต่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ ในการสำรวจเดือนพฤศจิกายน 2011 คนส่วนใหญ่ 71% คิดว่า คนที่เดินผ่านเด็กไปโดยไม่ช่วยเหลือด้วยเพราะต่างเกรงว่าตนเองจะเดือดร้อน หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว China Daily รายงานว่า "หน่วยงานและองค์กรของพรรคและรัฐบาลอย่างน้อย 10 แห่งในกวางตุ้ง รวมถึงคณะกรรมาธิการการเมืองและกฎหมายของมณฑล สหพันธ์สตรี สถาบันสังคมศาสตร์ และสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ ได้เริ่มหารือเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างชัดเจน" เจ้าหน้าที่ของมณฑลกวางตุ้ง พร้อมด้วยทนายความและนักสังคมสงเคราะห์จำนวนมาก ได้จัดการประชุมเป็นเวลา 3 วันในนครกว่างโจว เมืองหลวงของมณฑล เพื่อหารือเกี่ยวกับคดีนี้ มีรายงานว่าสมาชิกรัฐสภาหลายคนของมณฑลได้ร่างกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี ซึ่งจะ "ลงโทษผู้ที่ไม่ช่วยเหลือในสถานการณ์ประเภทนี้และต้องชดใช้ค่าเสียหายถ้ามีการฟ้องร้อง" ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและสาธารณชนได้ถกเถียงกันถึงแนวคิดนี้เพื่อเตรียมการสำหรับการอภิปรายและการผลักดันทางกฎหมาย ในวันที่ 1 สิงหาคม 2013 กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีฉบับแรกของประเทศมีผลบังคับใช้ในนครเซินเจิ้น และต่อมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2017 กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีแห่งชาติของจีนมีผลบังคับใช้ในมาตรา 184 ในหลักการทั่วไปของกฎหมายแพ่ง

ฟินแลนด์ รัฐบัญญัติการกู้ภัยของฟินแลนด์กำหนดหน้าที่ในการกู้ภัยอย่างชัดเจนว่าเป็น "หน้าที่ทั่วไปในการกระทำ" และ "มีส่วนร่วมในกิจกรรมการกู้ภัยตามความสามารถของ [บุคคล]" รัฐบัญญัติการกู้ภัยฟินแลนด์จึงรวมถึงหลักการของความสมส่วนซึ่งกำหนดให้ผู้เชี่ยวชาญต้องให้ความช่วยเหลือทันทีมากกว่าบุคคลทั่วไป ประมวลกฎหมายอาญาของฟินแลนด์ กำหนดว่า มาตรา 15 การละเลยการช่วยเหลือ (578/1995) บุคคลที่ทราบว่าผู้อื่นกำลังตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตหรืออันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของตน และไม่ให้หรือจัดหาความช่วยเหลือดังกล่าวที่พิจารณาจากทางเลือกและลักษณะของสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างสมเหตุสมผล จะต้องถูกตัดสินจำคุกไม่เกินหกเดือนในข้อหาละเลยการช่วยเหลือ

ฝรั่งเศส กฎหมายกำหนดให้ทุกคนต้องช่วยเหลือบุคคลที่ตกอยู่ในอันตรายหรืออย่างน้อยที่สุดต้องขอความช่วยเหลือ ผู้ที่ช่วยเหลือจะไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหาย เว้นแต่ความเสียหายนั้นเกิดขึ้นโดยเจตนาหรือเกิดจากความผิดพลาด "ร้ายแรง" 

เยอรมนี การไม่ให้การปฐมพยาบาลแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจะถือเป็นความผิดตามมาตรา 323c ของประมวลกฎหมายอาญา อย่างไรก็ตาม ความช่วยเหลือใด ๆ ที่ให้ไปนั้นไม่สามารถและจะไม่ถูกดำเนินคดี แม้ว่าจะทำให้สถานการณ์แย่ลงหรือไม่เป็นไปตามเกณฑ์การปฐมพยาบาลเฉพาะก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ประชาชนจึงได้รับการสนับสนุนให้ช่วยเหลือในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แม้ว่าความพยายามนั้นจะไม่ประสบผลสำเร็จก็ตาม นอกจากนี้ ผู้ที่ให้การปฐมพยาบาลยังได้รับความคุ้มครองจากประกันอุบัติเหตุตามกฎหมายของเยอรมนีในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บ สูญเสีย หรือเสียหาย

อินเดีย ในปี 2016 เกิดอุบัติเหตุทางถนนในอินเดียประมาณ 480,000 ครั้ง โดยมีผู้เสียชีวิต 150,000 คน กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีให้การคุ้มครองทางกฎหมายแก่พลเมืองดีที่ช่วยเหลือเหยื่ออุบัติเหตุด้วยการดูแลทางการแพทย์ฉุกเฉินภายใน "ชั่วโมงทอง" ดังนั้น ประชาชนจึงได้รับการสนับสนุนให้ช่วยเหลือในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แม้ว่าความพยายามนั้นจะไม่ประสบผลสำเร็จก็ตาม

ไอร์แลนด์ รัฐบัญญัติกฎหมายแพ่ง (บทบัญญัติทั่วไป) ปี 2011 ได้ออกกฎหมายที่กล่าวถึงความรับผิดปกป้องพลเมืองดีหรืออาสาสมัครในสาธารณรัฐไอร์แลนด์โดยเฉพาะ โดยไม่กำหนดหน้าที่ในการแทรกแซง รัฐบัญญัตินี้กำหนดให้บุคคลหรือองค์กรอาสาสมัครไม่ต้องรับผิดต่อการกระทำใด ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่ให้ "ความช่วยเหลือ คำแนะนำ หรือการดูแล" แก่บุคคลที่ได้รับบาดเจ็บ มีความเสี่ยงหรือเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย (หรือดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น) โดยมีข้อยกเว้นสำหรับกรณีที่เกิด "การกระทำโดยไม่สุจริต" หรือ "ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง" ในนามของผู้ดูแล และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยานยนต์โดยประมาทเลินเล่อ รัฐบัญญัตินี้กำหนดไว้เฉพาะกรณีที่พลเมืองดีหรืออาสาสมัครไม่มีหน้าที่ในการดูแล สภาการดูแลฉุกเฉินก่อนถึงโรงพยาบาล (PHECC) กล่าวถึงส่วนพลเมืองดีของรัฐบัญญัติกฎหมายแพ่งปี 2011 โดยเฉพาะ และระบุว่า "การใช้ทักษะและยาที่จำกัดเฉพาะผู้ประกอบวิชาชีพที่ลงทะเบียนเท่านั้นจะอยู่ภายใต้รัฐบัญญัติ 'พลเมืองดี' รัฐบัญญัตินี้ถือว่าคุณไม่มีเจตนาที่จะประกอบวิชาชีพในช่วงเวลานี้ และคุณทำหน้าที่เป็นพลเมืองดี ช่วยเหลือจนกว่าหน่วยบริการฉุกเฉินจะมาถึงที่เกิดเหตุและคุณสามารถส่งมอบตัวได้"

อิสราเอล กฎหมายกำหนดให้ทุกคนต้องช่วยเหลือบุคคลที่ตกอยู่ในอันตรายหรืออย่างน้อยที่สุดคือ การร้องขอความช่วยเหลือ บุคคลที่ช่วยเหลือด้วยความจริงใจจะไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหาย ผู้ช่วยเหลือมีสิทธิได้รับค่าชดเชยสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในระหว่างการให้ความช่วยเหลือ

ญี่ปุ่น มีกฎหมายบางฉบับที่เทียบเท่ากับกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี ตัวอย่างเช่น มาตรา 37 ของประมวลกฎหมายอาญาได้ระบุว่า “การกระทำที่บุคคลถูกบังคับให้กระทำเพื่อป้องกันอันตรายในปัจจุบันต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สินของตนเองหรือบุคคลอื่นใด จะไม่ถูกลงโทษก็ต่อเมื่ออันตรายที่เกิดจากการกระทำดังกล่าวไม่เกินอันตรายที่จะหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม การกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายมากเกินไปอาจนำไปสู่การลดโทษหรืออาจช่วยให้ผู้กระทำผิดพ้นผิดเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์นั้น ๆ” และกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีอีกฉบับหนึ่งปรากฏในมาตรา 698 ของประมวลกฎหมายแพ่งของญี่ปุ่น โดยกฎหมายดังกล่าวให้การคุ้มครองผู้ช่วยจากความรับผิด ซึ่งระบุว่า “หากผู้จัดการมีส่วนร่วมในการแทรกแซงธุรกิจของผู้อื่นโดยเจตนาดีเพื่อให้ผู้ว่าจ้างหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อตัวผู้ว่าจ้าง ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ว่าจ้าง ผู้จัดการจะไม่ต้องรับผิดในการชดเชยความเสียหายที่เป็นผลจากการกระทำดังกล่าว เว้นแต่ผู้จัดการจะกระทำด้วยความไม่สุจริตหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” นอกจากนี้ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพยังต้องปฏิบัติตามหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือตามกฎหมาย 

โรมาเนีย การปฏิรูปด้านสุขภาพที่ผ่านในปี 2006 ระบุว่าบุคคลที่หากไม่ได้รับการฝึกอบรมทางการแพทย์หรือให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยสมัครใจตามคำแนะนำของสำนักงานแพทย์หรือจากความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลของตนเอง การกระทำด้วยความเต็มใจเพื่อรักษาชีวิตหรือสุขภาพของบุคคลอื่นจะไม่ถือเป็นความรับผิดชอบภายใต้กฎหมายอาญาหรือกฎหมายแพ่ง

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในเดือนพฤศจิกายน 2020 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศอาหรับประเทศแรกที่ผ่านกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี

สหราชอาณาจักร ในกฎหมายทั่วไปของอังกฤษและเวลส์ไม่มีความรับผิดทางอาญาสำหรับการไม่ดำเนินการในกรณีที่บุคคลอื่นตกอยู่ในอันตราย อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับกฎนี้ ในกรณีที่ผู้เห็นเหตุการณ์ยอมรับความรับผิดชอบ สถานการณ์อันตรายเกิดขึ้นโดยพวกเขา หรือมีหน้าที่ตามสัญญาหรือกฎหมายที่จะต้องดำเนินการ ผู้เห็นเหตุการณ์จะต้องรับผิดทางอาญาสำหรับการไม่ดำเนินการ ศาลไม่เต็มใจที่จะลงโทษผู้ที่พยายามช่วยเหลือ ในอังกฤษและเวลส์ รัฐบัญญัติการกระทำทางสังคม ความรับผิดชอบ และความกล้าหาญ 2015 ช่วยปกป้อง "พลเมืองดี" เมื่อพิจารณาการเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเลยหน้าที่ รัฐบัญญัตินี้เป็นหนึ่งในกฎหมายที่สั้นที่สุดในสหราชอาณาจักร โดยมีความยาวเพียง 300 คำเศษ ตั้งแต่ประกาศใช้เป็นกฎหมายจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยถูกใช้อ้างถึงในศาลเลย และถือว่าคลุมเครือ พรรคแรงงานวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายนี้ในช่วงเวลาที่ผ่านกฎหมายนี้ว่ามีค่าในแนวคิด แต่ขาดความพยายามอย่างจริงจัง

สหรัฐอเมริกา ทั้ง 50 รัฐและเขตโคลัมเบียมีกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีบางประเภท รายละเอียดของกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีแตกต่างกันไปตามเขตอำนาจศาล รวมถึงใครได้รับการคุ้มครองจากความรับผิดและภายใต้สถานการณ์ใด ตัวอย่างของกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ “รัฐบัญญัติความช่วยเหลือทางการแพทย์การบิน ปี 1998” ซึ่งให้ความคุ้มครองแก่ "พลเมืองดี" ขณะอยู่บนเครื่องบิน หรือ “รัฐบัญญัติการบริจาคอาหารพลเมืองดี ปี 1996” ซึ่งให้การคุ้มครองความรับผิดจำกัดแก่ผู้บริจาคอาหาร ส่วนประเทศที่ไม่มีกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีไห้แก่ ปากีสถาน แอฟริกาใต้ นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์

ลักษณะทั่วไปของกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีมักมีการผสมผสานหรือการตีความลักษณะที่คล้ายคลึงกันที่แตกต่างกัน ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีในมลรัฐมินนิโซตา เวอร์มอน และโรดไอแลนด์] กำหนดให้บุคคลที่อยู่ในที่เกิดเหตุฉุกเฉินต้องให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ความช่วยเหลือนี้อาจทำได้โดยโทร 911 การละเมิดกฎหมายในการทำหน้าที่ในการช่วยเหลือถือเป็นความผิดทางอาญาลหุโทษในมลรัฐมินนิโซตา และอาจต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 100 ดอลลาร์ในมลรัฐเวอร์มอนต์ มลรัฐอื่น ๆ อย่างน้อยห้ารัฐรวมทั้งแคลิฟอร์เนียและเนวาดาได้พิจารณาอย่างจริงจังที่จะเพิ่มกฎหมายกำหนดหน้าที่ในการช่วยเหลือลงในกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี กฎหมายของมลรัฐนิวยอร์กให้สิทธิคุ้มครองแก่ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน นโยบายสาธารณะเบื้องหลังกฎหมายมีดังนี้ “การให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ในกรณีฉุกเฉินถือเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพ ความปลอดภัย และสวัสดิการของประชาชน การดูแลทางการแพทย์ฉุกเฉินก่อนถึงโรงพยาบาล การสื่อสารที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพระหว่างรถพยาบาลและโรงพยาบาล และการดูแลและการขนส่งผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพถือเป็นบริการสาธารณสุขที่จำเป็น”

สำหรับบ้านเราแล้วยังไม่มีกฎหมายในลักษณะเช่นนี้เลย แต่กลับมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่เพิกเฉยต่อการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา (ในส่วนของลหุโทษ) มาตรา 374 ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิตซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่นแต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่เป็นความโชคดีที่พี่น้องประชาชนคนไทยไม่เคยนิ่งดูดายต่อพี่น้องร่วมชาติที่ได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อน แม้จะไม่มีกฎหมายคุ้มครองในลักษณะเช่นนี้ก็ตาม หากแต่นักการเมืองไทยที่ทำหน้าที่ในรัฐสภาจะได้ตระหนักถึงเรื่องราวเช่นนี้ และมีการออกกฎหมายในลักษณะนี้จะเป็นการสร้างความมั่นใจแก่พี่น้องประชาชนคนไทยผู้ซึ่งทำหน้าที่พลเมืองดีให้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงถึงปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะตามได้

เมื่อฝีมือทางดนตรีอันฉกาจฉกรรจ์ อาจแลกมาด้วยการทำข้อตกลงกับปีศาจ

ใดๆ digestในวันนี้ ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปพบกับหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกแห่งดนตรี  เรื่องราวลี้ลับที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ ว่าเป็นแค่เรื่องเล่า เรื่องบังเอิญ อาถรรพ์ คำสาปหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่  

The 27 Club เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักร้อง นักดนตรี ศิลปินระดับตำนานของโลกหลายคน แต่ละคนมีแนวเพลงและสไตล์ที่แตกต่างกัน แต่ละคนมีฝีมืออันเอกอุทั้งการเล่นดนตรี การร้องเพลงและแต่งเพลงเป็นที่ยอมรับในระดับสูงไปทั่วโลก มีฐานแฟนเพลงของตัวเองมากมาย หลายคนเป็นผู้วางรากฐานและสร้างสรรค์แนวทางใหม่ๆ ให้กับวงการดนตรีระดับโลกและ เป็นต้นแบบให้กับนักดนตรีรุ่นหลังมากมาย แต่ละคนดำรงอยู่คนละยุคสมัย แต่สิ่งที่เหมือนกันอย่างน่าขนลุกคือพวกเขาทุกคนเสียชีวิตตอนอายุ 27 เหมือนกัน

อาจดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญแต่เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ที่ศิลปินระดับตำนานหลายต่อหลายคนไม่สามารถข้ามผ่านช่วงอายุนี้ไปได้ ในที่สุดจึงเกิดคำว่า The 27 Club ขึ้น เพื่อใช้เรียกขานถึงเหล่าศิลปินระดับโลกทั้งนักร้องและนักดนตรีเหล่านี้ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่ออายุได้ 27 ปีเท่ากันพอดีทุกคน โดยในเบื้องต้นไม่มีใครสังเกตถึงเรื่องนี้จนกระทั่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดจึงเกิดคำว่า The 27 Club ขึ้นมา โดยสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่ของเหล่าสมาชิกแห่ง The 27 Club มักมาจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาด, อุบัติเหตุ หรือไม่ก็มักมีสาเหตุมาจากความรุนแรงเช่นการฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม และที่แน่ๆ คือไม่มีสมาชิกของ The 27 Club คนไหนที่จากไปอย่างธรรมชาติเลยซักคนเดียว

บรรดาสื่อดนตรีแขนงต่าง ๆ มักจะนำเสนอเรื่องราวของ The 27 Club อยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้น จนทำให้ The 27 Club เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมดนตรีกระแสหลักของโลกไปในที่สุด

โดยหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดอันน่าขนลุกที่เกี่ยวข้องกับ The 27 Club โดยตรงได้แก่ ตำนานเก่าแก่ในอเมริกาที่เล่าถึงการทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับ 'ปีศาจ' หรือ 'ซาตาน' ที่ทางแยก หรือ 'ทางสี่แพร่ง' โดยว่ากันว่าอายุ 27 เป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเเลกกับบางสิ่งบาง ...บางอย่างที่ 'ปีศาจ' มอบให้ผู้ทำสัญญา โดยมีเงื่อนไขที่เล่าขานต่อกันมาก็คือ ให้เขียนสิ่งที่ปรารถนาลงในกล่อง จากนั้นให้นำไปฝังใว้ที่ทางสี่เเพร่ง ก็จะพบกับปีศาจที่มาทำข้อตกลง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ โดยเเลกกับช่วงชีวิตที่เหลือหลังจากปี 27 นั่นเอง หรือพูดอีกอย่างก็คือหลังจากที่ปีศาจบันดาลสิ่งที่ต้องการให้แล้ว ราคาที่ต้องจ่ายเป็นการแลกเปลี่ยนก็คือ ปีศาจจะมารับวิญญาณไปเมื่ออายุครบ 27 ปีแล้วนั่นเอง อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในตำนานของอเมริกาครับ ก็ต้องขีดเส้นใต้หนักๆว่ากรุณาอ่านโดยใช้วิจารณญาณกันด้วย

ทีนี้เราลองมาทำความรู้จักกับสมาชิกที่โด่งดังของ The 27 Club กันดีกว่าครับว่ามีใครบ้าง 
1. Robert Johnson 
ศิลปินผู้เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานการขายวิญญาณให้กับปีศาจเพื่อแลกกับฝีมือกีตาร์ระดับเทพเจ้า โดยมือกีตาร์และศิลปินเพลงแนว Delta Blue ระดับตำนานผู้นี้ ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานเพลงอมตะไว้ทั้งหมด 29 เพลงที่ได้รับการยอมรับจากผู้ฟังอย่างมากมายมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นต้นแบบให้กับมือกีตาร์สาย Blues และ Rock หลายคน โดยมีผลงานขึ้นหิ้งของเขาอย่าง Crossroad, Love in Vain และ Ramblin’ On My Mind เป็นต้น โดยเรื่องเล่าที่เป็นตำนานของเขาก็คือ ในระยะแรกเขาเป็นเพียงนักดนตรีดาดๆ ที่เล่นตามคลับทั่วไปใน Mississippi โดยหลายคนค่อนขอดว่าฝีมือของเขาห่วยแตกเลยด้วยซ้ำ แต่อยู่มาวันหนึ่งเขาก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเวลาหลายวัน และเมื่อเขากลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็มาพร้อมกับฝีมือกีตาร์ที่ฉกาจฉกรรจ์ขึ้นเป็นคนละคนภายในชั่วข้ามคืน ซึ่งตรงนี้มีหลักฐานจากบทสัมภาษณ์เพื่อนๆ ของเขาที่เคยเล่นอยู่ในวงเดียวกัน ซึ่งทุกคนก็พูดตรงกันว่ารู้สึกตกใจที่อยู่ๆฝีมือของเขาก็รุดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นมากๆ ซึ่งก็ดูจะเป็นเรื่องเกินวิสัยของมนุษย์ธรรมดาไปอยู่ไม่น้อย โดยตัวของ Robert Johnson เกิดที่รัฐ Mississippi ซึ่งหลายๆ คนก็เชื่อว่ารัฐนี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการทำสัญญาระหว่างตัวเขากับซาตาน หลังความโด่งดังที่ได้เล่นรวมกับศิลปินชื่อดังมากมายในช่วง ปี 30s ในเดือนสิงหาคม ปี 1938 Robert Johnson ได้ถูกวางยาพิษที่ใส่ไว้ในแก้ววิสกี้ หลังจากนั้น 3 วันเขาก็ได้เสียชีวิตลง แต่ที่น่าแปลกคือ Robert Johnson ได้เสียชีวิตลงในวัย 27 ปี พอดิบพอดี และถือเป็นคนแรกที่ได้เข้าสู่ The 27 club

2. Jimi Hendrix 
กีตาร์ไอคอน, ฟรอนต์แมนและมือกีตาร์แห่ง The Jimi Hendrix Experience มือกีตาร์ผู้เป็นตำนานในหมู่ตำนาน ชายผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นมือกีตาร์ที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งเท่าที่โลกนี้เคยมีมา ผู้เป็นเจ้าของสไตล์การเล่นกีตาร์กลับหัวด้วยมือข้างซ้ายมาพร้อมกับการแต่งตัวฉูดฉาดเป็นเอกลักษณ์ และการแสดงสดอันทรงพลังที่เร้าใจ ผู้ซึ่งเคยจุดไฟเผากีตาร์สดๆ บนเวทีมาแล้ว ทำให้ชื่อของ Jimi Hendrix ยังถูกกล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้ เขาเสียชีวิตจากการสำลักอาเจียนของตัวเองอันเป็นอาการต่อเนื่องมาจากการเสพยาเกินขนาดในปี 1970 เมื่ออายุได้ 27ปี 295วัน  

3. Janis Joplin
เสียงขับขานและกวีเอกฝ่ายหญิงแห่งยุคบุปผาชน นักร้องนักแต่งเพลงมากฝีมือคนนี้ จบชีวิตลงด้วยการใช้ยาเสพติดเกินขนาดเช่นกัน โดยมีบันทึกไว้ว่าภายหลังจากที่อัดเสียงเพลง 'A Woman Left Lonely' ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายในชีวิตที่เธอทิ้งไว้ให้กับโลกใบนี้ Janis กลับมาที่ห้องในโรงแรม ฉีดเฮโรอีนเข้าเส้นเลือดจำนวนมากและเดินลงไปซื้อบุหรี่แล้วกลับเข้ามาในห้อง ก็เกิดอาการช็อกและล้มลงหัวฟาดพื้น เสียชีวิตในที่สุด เป็นการจากไปในขณะที่อาชีพการงานของเธอกำลังรุ่งเรืองสุดขีดและผลต่อวงการดนตรีอย่างมาก อายุของเธอเมื่อจากโลกนี้ไปคือ 27ปี 258วัน

4. Jim Morrison 
นักร้องนำ และฟรอนต์แมนผู้ทรงเสน่ห์และมากล้นความสามารถแห่งวง The Doors เขาเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวจากการใช้ยาเกินขนาดในปี 1971 ซึ่งด้วยผลงานการเขียนเพลงที่ไพเราะสวยงามประหนึ่งบทกวี ทำให้หลายคนเชื่อเหลือเกินว่าถ้าเขายังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ วง The Doors จะกลายเป็นวงระดับตำนานเช่นเดียวกับวงอย่าง The Beatles อย่างไม่มีข้อกังขา Jim Morrison เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 27ปี 207วัน

5. Kurt Cobain
มือกีตาร์, นักร้อง และผู้นำแห่งวง Nirvana บิดาแห่งวงการเพลงกรันจ์ และหัวหอกแห่งกระแส Seattle Sound ด้วยเนื้อหาเพลงที่เสียดสีจิกกัดสังคมได้อย่างเจ็บแสบและบุคลิกส่วนตัวของเขาที่มีความขบถอยู่ในตัวอย่างชัดเจน ชื่อของ Kurt Cobain จึงดังระเบิดไปทั่วโลกในเวลานั้น เขามีสถานะและผู้ติดตามไม่ต่างอะไรกับซูเปอร์สตาร์ฮอลลีวูด เขาเหมือนดอกไม้ไฟลูกมหึมาที่ส่องสว่างในฟากฟ้าแห่งวงการดนตรีก่อนที่จะดับวูบลงอย่างรวดเร็ว Kurt Cobain เลือกที่จะลาจากโลกนี้ไปด้วยการใช้ปืนลูกซองยิงตัวตาย แต่ชื่อของเขายังคงเป็นตำนานมาจนทุกวันนี้ และบทเพลงต่างๆ ของ Nirvana ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงมาจนถึงปัจจุบัน อายุของ Kurt เมื่อจากไปคือ 27ปี 44วัน 

6. Amy Winehouse
นักร้องและศิลปินแนวโซล ไอคอนแห่งวงการดนตรีผู้มีน้ำเสียงและทักษะการร้องเพลงที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ยากจะหาใครเปรียบ และ Amy ยังมีบุคลิกที่ทรงเสน่ห์ในทุกท่วงท่าไม่ว่าจะในการแสดงหรือการพูดคุย เธอจึงเป็นที่รักของคนทั่วโลก ชีวิตของเธอผ่านอุปสรรคปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการติดแอลกอฮอล์ ยาเสพติด และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง Amyพยายามต่อสู้กับอาการติดแอลกอฮอล์มาโดยตลอดแต่ในที่สุดเธอก็พ่ายแพ้และเสียชีวิตจากแอลกอฮอล์เป็นพิษในกระแสเลือดในปี 2011ในขณะที่มีอายุได้ 27ปี 312วัน 

การมีอยู่ของ The 27 Club นั้นเป็นทั้งเรื่องน่ายินดีและเรื่องน่าหดหู่ในขณะเดียวกัน เพราะ The 27 Club มีส่วนทำให้ชื่อของเหล่าศิลปินนักดนตรีระดับตำนานถูกยกมาพูดถึงบ่อยครั้ง เป็นเครื่องย้ำเตือนให้คนรุ่นหลังได้ทราบว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยยิ่งใหญ่แค่ไหนและเคยสร้างผลงานที่มีคุณค่าอะไรฝากไว้ให้กับโลกใบนี้บ้าง  แต่ในทางกลับกันก็เป็นเรื่องน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าพวกเขาไม่ด่วนจากไปในวัย 27 โลกและแฟนๆ ของพวกเขาก็คงยังได้เสพผลงานสร้างสรรค์จากความสามารถและจินตนาการของบรรดาไอคอนเหล่านี้อีกมากมายอย่างแน่นอน

เมื่อเงาเบื้องหลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนลดเงินสนับสนุน สงครามข้อมูลเสื่อมพลัง จำต้องใช้แนวทางรุนแรง ‘ลอบสังหาร – ก่อวินาศกรรม’

เงาแห่งปาตานี : จากกองโจรสู่สงครามข้อมูล ความซับซ้อนของขบวนการแบ่งแยกดินแดน

บทนำ: จากกองโจรสู่สงครามข้อมูล พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย—ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส—เป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งด้านความมั่นคงมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่นี้ไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวกันทั้งหมด แต่กลับมีโครงสร้างที่หลวม ประกอบด้วยกลุ่มที่มีแนวคิดและเป้าหมายที่แตกต่างกัน ตั้งแต่แนวคิดการสร้างสาธารณรัฐ (Republic) ไปจนถึงการฟื้นฟูราชอาณาจักรมลายูปัตตานี

ตั้งแต่ยุคของ พูโล (PULO - Patani United Liberation Organization) จนถึงการกำเนิดของ BRN (Barisan Revolusi Nasional) และการพัฒนาสู่แนวทางการต่อสู้เชิงข้อมูลผ่านเงินทุนของ USAID (United States Agency for International Development) ทำให้เห็นว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ไม่ได้อยู่นิ่ง แต่กลับมีพลวัตและปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทระหว่างประเทศและกระแสโลก

บทความนี้จะสำรวจพัฒนาการของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ยุคแรกของการก่อการร้าย ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่สงครามข้อมูลและการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของ 'ปาตานี'

บทที่ 1: กำเนิดของพูโลและยุคแรกของการก่อการร้าย (พ.ศ. 2511 – 2530)
1.1 จุดเริ่มต้นของขบวนการพูโล
ปี พ.ศ. 2511 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เมื่อกลุ่มพูโลก่อตั้งขึ้นโดยมี ตวนกูวีรอ อับดุลเลาะห์มาน รอเซาะ เป็นผู้นำ บางข้อมูลจะระบุว่า ตวนกูบีรอ กอตอนีลอ หรือ อดุลย์ ณ วังคราม

เป้าหมายของขบวนการนี้คือการประกาศอิสรภาพจากประเทศไทย โดยใช้ วิธีการต่อสู้ด้วยอาวุธ และอ้างสิทธิ์การฟื้นฟู 'ราชอาณาจักรปัตตานีระยา' พร้อมตั้งตนเป็นราชวงศ์แห่งสายบุรี (ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ถูกสร้างขึ้นมาเอง) พูโลได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายอิสลามหัวรุนแรงในตะวันออกกลาง และมีฐานฝึกอบรมในมาเลเซีย เงินทุนหลักมาจากตะวันออกกลางและยุโรป เป้าหมายหลักของการก่อเหตุคือ การโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ โรงเรียนไทย และโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล

1.2 การปราบปรามและการแตกตัวของพูโล
ในช่วงปลายทศวรรษ พ.ศ. 2530 รัฐบาลไทยเริ่มปราบปรามขบวนการพูโลอย่างจริงจัง ส่งผลให้แกนนำของขบวนการบางส่วนถูกจับกุม บางส่วนถูกสังหาร ขณะที่กลุ่มที่เหลือกระจัดกระจายและหลบหนีออกนอกประเทศ พูโลเริ่มอ่อนกำลังลง และแตกตัวออกเป็นกลุ่มย่อย บางกลุ่มยังคงดำเนินการต่อสู้แบบกองโจร ขณะที่บางกลุ่มเริ่มเปลี่ยนแนวทางไปสู่สงครามข้อมูลแทน

บทที่ 2: การลี้ภัยของพูโลและการเปลี่ยนผ่านสู่สงครามข้อมูล (พ.ศ. 2530 – 2553)
2.1 การสร้างเครือข่ายในต่างประเทศ
เมื่อรัฐบาลไทยสามารถปราบปรามพูโลในประเทศได้ ผู้นำบางส่วนต้องหนีไปต่างประเทศ หนึ่งในศูนย์กลางที่สำคัญของขบวนการนี้คือ สวีเดน ซึ่งเป็นที่พำนักของแกนนำอย่าง ตวนกูบีรอ อับดุลเลาะห์มาน รอเซาะ กลุ่มผู้นำที่หลบหนีไปยังสวีเดนเริ่มเปิดแนวรบใหม่ผ่านโลกออนไลน์ พวกเขาก่อตั้งเว็บไซต์ 'มนุษยะดอทคอม' โดยพยายามสร้างเนื้อหาประวัติศาสตร์เท็จ กล่าวอ้างว่าปัตตานีคือรัฐอิสระที่ถูกไทยรุกรานและยึดครอง และมีเป้าหมาย โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพูโล 

2 นักศึกษาไทยมุสลิมที่เป็นผู้ทำเว็บไซต์ งั้นกบดานอยู่ที่บางเขนแยกหลักสี่และเกือบถูกทางการไทยจับได้ แต่สุดท้ายก็ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศสวีเดนตามรอยขบวนการ
> ช่วงเวลานี้มีการเรียกร้องคืน 'ปืนใหญ่ปัตตานี' โดยอ้างว่าเป็นสัญลักษณ์ของเอกราชของปัตตานี ซึ่งเป็นการสร้างกระแสชาตินิยมเพื่อขยายแนวร่วมในระดับสากล
2.2 การช่วงชิงอำนาจนำจากกลุ่มล้มเจ้าในต่างประเทศ
หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ขบวนการล้มเจ้าจำนวนมากหลบหนีไปอยู่ในยุโรป และพบว่ากลุ่มพูโลที่ลี้ภัยอยู่เป็นเครือข่ายที่มีศักยภาพในการเคลื่อนไหวทางการเมือง นักเคลื่อนไหวอย่าง อาจารย์ใจ พยายาม ช่วงชิงอำนาจนำของขบวนการพูโล และผูกโยงขบวนการแบ่งแยกดินแดนเข้ากับขบวนการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ช่วงนี้เองเราจะเห็นเพจพูโล ในเฟสบุ๊ค ในอินเตอร์เน็ตเป็นครั้งแรกและเกิดการต่อสู้ทางความคิดผ่านบทความที่โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเด็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงรอยต่อปี 2549 จนถึงปี 2553
ในช่วงนี้เองที่มี ข่าวลือเกี่ยวกับฟ 'ชายชุดดำ' ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น กองกำลังพูโลหรือขบวนการจากสามจังหวัดชายแดนใต้ แต่สุดท้ายกลับพบว่า ข่าวลือนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเครือข่ายผู้สนับสนุนการเมืองฝ่ายซ้ายในสวีเดน (คนเสื้อแดงที่มีแนวคิดเรื่องคอมมิวนิสต์) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือโจมตีรัฐบาลไทย

บทที่ 3: การล่มสลายของพูโลและการกำเนิดของ BRN (พ.ศ. 2553 – 2560)
การเปลี่ยนผ่านจากพูโลสู่ BRN
ในช่วงปี พ.ศ. 2550 – 2555 ขบวนการพูโลเริ่มเผชิญกับภาวะล่มสลาย เนื่องจากแนวทางการใช้ความรุนแรงไม่สามารถเอาชนะกองทัพไทยได้สภาวะทางการเมืองไม่สามารถโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างที่คิดหวัง ทำให้การเคลื่อนไหวกลายเป็น สงครามที่ยืดเยื้อและเสียเปรียบเชิงยุทธศาสตร์ อดีตสมาชิกพูโลที่ต้องการสู้ต่อ จึงรวมตัวกันเป็น BRN (Barisan Revolusi Nasional - แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี) แต่ BRN ไม่มีโครงสร้างรวมศูนย์ที่ชัดเจน เพราะบางกลุ่มต้องการ รัฐสาธารณรัฐ (Republic) บางกลุ่มยังยึดแนวคิด ราชอาณาจักรมลายูปัตตานี ความหลากหลายที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลทำให้โครงสร้างของ brn มีความเทอะทะอยู่ไม่น้อยและเจรจาได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ระหว่างปี พ.ศ. 2558 – 2560 มีความพยายามที่จะเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลไทย อยู่หลายครั้ง...แต่เพราะความแตกต่างที่ไม่เหมือนพูโล นี้ทำให้ BRN ไม่มีเอกภาพและอำนาจต่อรองทางการเมืองต่ำ ส่งผลให้BRNไม่มีผลงานที่ชัดเจนแน่นอน ส่งผลทำให้เกิด ความล้มเหลวของ BRN ในการเจรจาสันติภาพ การก่อเหตุส่วนใหญ่เน้นไปที่การรักษาสถานการณ์หรือการมีตัวตนของ brn เท่านั้น...

บทที่ 4: USAID และสงครามข้อมูล (พ.ศ. 2560 – ปัจจุบัน)
การเปลี่ยนแปลงจากการใช้กำลังสู่สงครามข้อมูลในโครงสร้าง hybrid warfare
ตั้งแต่หลังปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การต่อสู้ด้วยอาวุธที่ดำเนินมาตลอดหลายทศวรรษเริ่มไม่ได้ผล และกองทัพไทยก็สามารถตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนต้องปรับแนวทางใหม่เพื่อความอยู่รอด

ในช่วงเวลานี้เอง USAID (United States Agency for International Development) ซึ่งเป็นองค์กรที่ดำเนินงานในด้านการพัฒนาและสิทธิมนุษยชนในระดับนานาชาติ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการต่างๆ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอ้างว่าเป็นโครงการพัฒนาเพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคทางสังคม

อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนจาก USAID ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การพัฒนาเศรษฐกิจหรือการฟื้นฟูชุมชน แต่กลับมีบทบาทสำคัญในการ เปลี่ยนแนวทางการต่อสู้จากการก่อการร้ายด้วยอาวุธไปสู่ “สงครามข้อมูล” ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเผชิญกับมาตรการทางทหารของรัฐไทยโดยตรง

การสร้างอัตลักษณ์ใหม่: 'Patani Madeka' และสงครามอุดมการณ์ความคิด
หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID คือ การสร้างอัตลักษณ์ทางการเมืองใหม่ของ 'Patani Madeka' หรือ 'ปาตานีเอกราช' และดึงนักการเมืองขึ้นมาเป็นปากเสียงให้กับผู้ก่อความไม่สงบ...

แนวคิด 'Patani Madeka' ไม่ได้มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ดั้งเดิมของภูมิภาคนี้ แต่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการ อ้างสิทธิในการปกครองตนเองและเรียกร้องเอกราช ผ่านการใช้แนวคิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของประชาชน (Right to Self-Determination) ยุทธศาสตร์การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของปาตานีมีหลายองค์ประกอบ ได้แก่:
1. การสร้างอัตลักษณ์ทางการเมืองให้กับ 'ปาตานี'
การรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ในแบบที่ปรับแต่งใหม่ให้สอดคล้องกับแนวคิดการแบ่งแยกดินแดน การกล่าวอ้างว่าปาตานีเคยเป็นรัฐอิสระที่ถูกไทยรุกราน การใช้ สัญลักษณ์ทางการเมือง เช่น ธงประจำขบวนการ รัฐธรรมนูญจำลอง และแผนที่ดินแดนที่ถูก 'ไทยยึดครอง'
2. การเปลี่ยน 'มหาวิทยาลัยและระบบการศึกษา' ให้กลายเป็นสนามรบทางความคิด
ก่อนหน้านี้ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเคยใช้ ปอเนาะ (โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม) เป็นฐานที่มั่นในการปลูกฝังแนวคิดให้เยาวชน

แต่หลังจากมีการปราบปราม แนวทางใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID คือ การเข้าไปแทรกแซงระบบการศึกษาของไทยโดยตรง นักวิชาการและนักศึกษาถูกปลูกฝังแนวคิด 'Patani Madeka' ผ่านงานวิจัย วิชาเรียน และโครงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ
3. การใช้นักการเมืองและโซเชียลมีเดียเป็นอาวุธหลัก
มีการผลิตเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปาตานีในรูปแบบใหม่ที่เน้นการกดขี่โดยรัฐไทย
การสร้างกระแสใน Facebook, Twitter, YouTube และ TikTok เพื่อเผยแพร่แนวคิดของขบวนการ

การใช้นักการเมืองอินฟลูเอนเซอร์และสื่อกระแสรอง เพื่อให้แนวคิด 'Patani Madeka' ถูกพูดถึงมากขึ้น และผลักดันสิ่งเหล่านี้ขึ้นในสภา

4. การผลักดันผ่านเวทีระหว่างประเทศ
การนำประเด็นปาตานีเข้าสู่เวทีระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN), องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ, และสื่อระดับโลก
การใช้แนวคิดเดียวกับ 'Catalonia Model' ของสเปน ซึ่งพยายามเรียกร้องเอกราชโดยใช้กฎหมายและประชามติแทนการใช้กำลังอาวุธ

การแทรกแซงมหาวิทยาลัย: เปลี่ยนจาก 'นักรบ' เป็น 'นักเคลื่อนไหว'
ก่อนหน้านี้ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนพยายามสร้างแนวร่วมผ่านการฝึกอาวุธและใช้กองกำลังติดอาวุธ แต่หลังจากความพยายามนี้ล้มเหลว แนวทางใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID คือ การใช้สถาบันการศึกษาเป็นเครื่องมือหลักในการปลูกฝังแนวคิด ระดับอาจารย์ มีการสนับสนุนให้อาจารย์มหาวิทยาลัยในพื้นที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับ 'สิทธิในการปกครองตนเอง'

งานวิจัยหลายฉบับได้รับทุนสนับสนุนจากองค์กรต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นที่ 'การคืนเอกราชให้ปาตานี'

ระดับนักศึกษา
นักศึกษาถูกดึงเข้าสู่ขบวนการผ่านกิจกรรมเสวนา งานวิจัย และกลุ่มเคลื่อนไหว
มีการใช้ทุนการศึกษาและโครงการแลกเปลี่ยนเพื่อดึงนักศึกษาเข้าสู่แนวคิดนี้
อย่างไรก็ตามในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2565 แนวคิดนี้กลับมีการชะลอตัวเนื่องจากสภาพการเมืองในประเทศไทยไม่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวของกลุ่ม permas ที่เคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่ม 3 นิ้วนั้นไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของการต่อสู้ทางการเมือง เคลื่อนไหวทางการเมืองในประเด็นนี้ส่วนมากถูกจับ ส่งผลทำให้แนวคิดนี้เกิดการชะลอตัว

เงามืดหลังปี 2567: การลดลงของเงินทุนจาก USAID และทิศทางใหม่ของขบวนการใต้ดิน หลังจากที่สหรัฐฯ ปรับเปลี่ยนนโยบายภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ แนวทาง 'America First' ส่งผลให้ USAID ถูกตัดงบประมาณจำนวนมาก ทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวในพื้นที่ที่เคยได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เคยพึ่งพาทรัพยากรจากภายนอกต้องปรับตัวอย่างหนัก กิจกรรมในมหาวิทยาลัยเริ่มลดลง เวทีระหว่างประเทศที่เคยเป็นแหล่งปลุกระดมและสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลไทยก็เริ่มเงียบลง แนวคิด 'Patani Madeka' ที่เคยถูกขับเคลื่อนผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเข้มข้นก็เริ่มอ่อนแรงลงตามไปด้วย ขณะที่กลุ่มเคลื่อนไหวพยายามหาช่องทางใหม่ในการสนับสนุน เช่น การหันไปขอการสนับสนุนจากประเทศในตะวันออกกลางและยุโรป แต่ความช่วยเหลือจากแหล่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีเสถียรภาพเท่ากับเงินทุนจาก USAID

เมื่อแนวทางสงครามข้อมูลเริ่มเสื่อมพลัง กลุ่มบางส่วนจึงหันกลับไปใช้แนวทางเดิม—ลอบสังหารและก่อวินาศกรรม—เพื่อรักษาอิทธิพลและสร้างเงื่อนไขต่อรอง แม้จะไม่มีทรัพยากรเพียงพอสำหรับการทำสงครามข้อมูลขนาดใหญ่เหมือนในอดีต แต่การปฏิบัติการระดับพื้นที่ยังคงดำเนินต่อไป ขบวนการเหล่านี้อาศัยช่องว่างของกฎหมายและโครงสร้างการข่าวที่ยังมีจุดอ่อนของฝ่ายความมั่นคงในการแทรกซึมและก่อเหตุ

ข้อสรุป: การต่อสู้ทางความคิดลดลง แต่ความรุนแรงกลับมา

แม้ว่าการต่อสู้ทางข้อมูลจะลดลงไป แต่สิ่งที่ย้อนกลับมาแทนคือการใช้ความรุนแรงเป็นกลไกหลัก อย่างไรก็ตาม ขบวนการ BRN หรือกลุ่มก่อการร้ายที่ยังเคลื่อนไหวในปัจจุบัน ไม่ได้มีเอกภาพชัดเจนอีกต่อไป การก่อเหตุส่วนใหญ่ ไม่ได้มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์เพื่อแบ่งแยกดินแดนโดยแท้จริง แต่เป็นการรักษาฐานอำนาจของกลุ่มที่ยังเหลืออยู่ ใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการแสดงตนเพื่อรักษาเครือข่ายสนับสนุน มากกว่าที่จะมีแผนการทางทหารหรือการเมืองที่แน่นอน

สิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐต้องตระหนักคือ ขบวนการเหล่านี้ฝังรากลึกอยู่ในเครือข่ายหมู่บ้านและสถานศึกษา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐยังเข้าไม่ถึงอย่างแท้จริง จุดอ่อนสำคัญของหน่วยงานรัฐในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้คือการที่ เจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะทหาร ต้องผลัดเปลี่ยนกำลังพลตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับชุมชนได้ ขณะที่เครือข่ายผู้ก่อการร้ายมีรากฐานอยู่ในพื้นที่มายาวนาน ใช้ความสัมพันธ์ทางครอบครัว ระบบการศึกษา และความเชื่อทางศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความต่อเนื่องในการดำเนินงาน

ดังนั้น แนวทางที่รัฐต้องใช้ในการรับมือกับปัญหานี้ ไม่ใช่แค่การปราบปรามหรือการส่งกำลังทหารเข้าไปเพียงชั่วคราว แต่จำเป็นต้องสร้างเครือข่ายของรัฐที่ฝังตัวอยู่ในพื้นที่ระยะยาว การมีเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่นานพอจะสร้างสายสัมพันธ์กับชาวบ้าน สร้างความเชื่อใจ และเข้าใจโครงสร้างของขบวนการจากระดับรากหญ้าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุด การ "ฝังตัว" ในพื้นที่จึงต้องเป็นยุทธศาสตร์หลักของฝ่ายความมั่นคง ไม่ใช่แค่การเข้าไปดูแลเป็นครั้งคราว แต่ต้องเป็นการสร้างโครงข่ายของรัฐที่สามารถเข้าถึงชุมชนในทุกระดับได้อย่างแท้จริง

รู้จัก ‘คาลินินกราด’ ไข่แดงท่ามกลางนาโต้ เมืองที่เยอรมันไม่กล้าพูดถึง แต่ก็ลืมไม่ลง

กลางสมรภูมิร้อนระอุของยุโรป มีดินแดนหนึ่งที่เปรียบเสมือนกระดูกชิ้นโตติดคอของเยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ ดินแดนที่พวกเขาอยากทำเป็นไม่สนใจ แต่กลับต้องจับตามองทุกความเคลื่อนไหว เมืองนั้นคือ คาลินินกราด อดีต 'คอนิกส์แบร์ก' เมืองหลวงแห่งปรัสเซียตะวันออก เมืองที่เคยเป็นหัวใจของอารยธรรมเยอรมัน แต่วันนี้กลายเป็น ห้องเก็บขีปนาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย ที่พร้อมจะทำให้ยุโรปทั้งทวีปต้องนั่งไม่ติด

จากศูนย์กลางแห่งปรัสเซียสู่หมากรบของเครมลิน
คอนิกส์แบร์กเคยเป็นเมืองสำคัญที่สุดเมืองหนึ่งของเยอรมัน เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอัลแบร์ทิน่า บ้านเกิดของอิมมานูเอล คานท์ นักปรัชญาผู้เปลี่ยนแปลงโลก เป็นศูนย์กลางของกองทัพรัสเซียที่สร้างนักรบผู้แข็งแกร่ง และเป็นที่ที่กษัตริย์ฟรีดริชที่ 1 ประกาศสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์แห่งปรัสเซียครั้งแรกในปี 1701 เมืองนี้เคยเป็นความภาคภูมิใจของจักรวรรดิเยอรมัน

แต่สงครามโลกครั้งที่สองได้เปลี่ยนทุกอย่าง หลังจากที่นาซีเยอรมันพ่ายแพ้ให้กับกองทัพแดงในปี 1945 คอนิกส์แบร์กก็ถูกโซเวียตเข้ายึด สตาลินสั่งขับไล่ชาวเยอรมันทั้งหมดออกจากพื้นที่ เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น 'คาลินินกราด' เพื่อเป็นเกียรติแก่มีไคโล คาลินิน ผู้นำโซเวียต และทำให้เมืองนี้กลายเป็นป้อมปราการของคอมมิวนิสต์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิปัญญาเยอรมัน กลายเป็นศูนย์กลางของอาวุธสงคราม

เมืองที่เยอรมันไม่กล้าพูดถึง แต่ก็ลืมไม่ลง
ชาวเยอรมันบางกลุ่มยังคงมองคาลินินกราดด้วยความรู้สึกเจ็บปวด มันคือดินแดนที่เคยเป็นของพวกเขา เป็นมรดกแห่งจักรวรรดิที่พวกเขาสูญเสียไปตลอดกาล แต่อย่าเข้าใจผิด ไม่มีใครในรัฐบาลเยอรมันกล้าออกมาพูดว่าพวกเขาต้องการดินแดนนี้คืน เพราะการแตะต้องเมืองนี้ก็เท่ากับ ท้าทายเครมลินโดยตรง และไม่มีใครในยุโรปอยากเป็นต้นเหตุของสงครามโลกครั้งที่สาม

แต่ถึงจะไม่พูดออกมา ความจริงก็คือ คาลินินกราดเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทำให้รัสเซียแข็งแกร่งในยุโรป และมันทำให้เยอรมันกับฝรั่งเศสต้องเกรงใจรัสเซียมากกว่าที่พวกเขาอยากยอมรับ

คลังแสงของรัสเซียที่พร้อมถล่มยุโรปตะวันตก
คาลินินกราดไม่ใช่แค่เมืองชายขอบของรัสเซีย แต่มันคือ ป้อมปราการทางทหารที่พร้อมโจมตียุโรปได้ทุกเมื่อ กองทัพรัสเซียใช้เมืองนี้เป็นฐานติดตั้ง ขีปนาวุธ Iskander-M ที่สามารถยิงหัวรบนิวเคลียร์ไปถึงกรุงเบอร์ลิน ปารีส หรือแม้แต่ลอนดอนได้ในเวลาไม่กี่นาที ไม่เพียงแค่นั้น เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ที่สามารถสกัดเครื่องบินของนาโตไม่ให้เข้าใกล้ได้

และถ้านั่นยังไม่พอ คาลินินกราดยังเป็น ที่ตั้งของกองเรือรัสเซียในทะเลบอลติก ซึ่งสามารถปิดเส้นทางเดินเรือที่สำคัญของยุโรปได้ในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง ถ้ารัสเซียต้องการเล่นเกมหนักกับนาโต พวกเขาแค่ต้องสั่งให้กองเรือจากคาลินินกราดปิดกั้นทะเลบอลติก และยุโรปเหนือจะถูกตัดขาดจากเส้นทางขนส่งทันที

เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส กับปัญหาที่พวกเขาแก้ไม่ได้
สงครามยูเครนทำให้ยุโรปต้องออกมาสนับสนุนเคียฟอย่างเต็มที่ เยอรมันกำลังส่งรถถัง เลโอโพลด์ ฝรั่งเศสกำลังส่งขีปนาวุธ อังกฤษกำลังช่วยฝึกทหารให้ยูเครน พวกเขาหวังว่า ถ้ารัสเซียแพ้ในยูเครน มันจะทำให้มอสโกอ่อนแอ

แต่ปัญหาก็คือ ถ้ารัสเซียถูกไล่ออกจากยูเครน คาลินินกราดจะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งกว่าเดิม เพราะเครมลินไม่มีวันยอมให้ตัวเองอ่อนแอลงในยุโรปโดยไม่มีการตอบโต้

เยอรมันรู้อยู่เต็มอกว่า ถ้าสงครามลุกลาม คาลินินกราดจะเป็นจุดที่ยุโรปต้องกังวลมากที่สุด พวกเขาไม่อยากให้รัสเซียใช้เมืองนี้เป็นฐานยิงนิวเคลียร์ไปยังยุโรปตะวันตก พวกเขาไม่อยากให้รัสเซียใช้มันเป็นฐานปิดล้อมทะเลบอลติก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้

รัสเซียรู้ว่าไข่แดงนี้สำคัญแค่ไหน
เครมลินรู้ดีว่า คาลินินกราดคือ ไพ่ตายของรัสเซียในยุโรป พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร แค่มีมันอยู่เฉย ๆ ก็ทำให้ยุโรปต้องนั่งไม่ติดแล้ว

ตอนนี้นาโตกำลังเสริมกำลังในโปแลนด์และลิทัวเนีย อังกฤษกำลังส่งเรือรบเข้าสู่ทะเลบอลติก ฝรั่งเศสกำลังเตรียมระบบป้องกันทางอากาศเพิ่มเติม แต่รัสเซียแค่ เพิ่มขีปนาวุธในคาลินินกราด เท่านั้นเอง และยุโรปก็ตื่นตระหนกกันไปหมด

สรุป: เมืองที่อันตรายที่สุดในยุโรป
คาลินินกราดเป็นมากกว่าเมือง มันคือ ป้อมปราการของรัสเซียในใจกลางยุโรป เป็นดินแดนที่ทำให้เยอรมันต้องเดินบนเปลือกไข่ และทำให้นาโตต้องคิดหนักก่อนจะเผชิญหน้ากับรัสเซีย

ในโลกที่เต็มไปด้วยสงครามการเมืองและการแข่งขันทางทหาร คาลินินกราดไม่ใช่แค่ 'เมืองชายขอบของรัสเซีย' แต่มันคือ หมากสำคัญบนกระดานที่สามารถเปลี่ยนดุลอำนาจของยุโรปได้ทุกเมื่อ

ไม่มีใครในตะวันตกอยากพูดถึงมัน ไม่มีใครอยากแตะมัน แต่ไม่มีใครสามารถทำเป็นลืมมันได้ เพราะพวกเขารู้ดีว่า ถ้าคาลินินกราดยังอยู่ รัสเซียก็จะไม่มีวันแพ้ในเกมอำนาจของยุโรป

จากต้นแบบ!! ของประเทศที่มี ‘เสรีภาพ-ความก้าวหน้า’ กลับกลายเป็นสมรภูมิของความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ศาสนา

(6 มี.ค. 68) ในช่วงแรกของการอพยพ ผู้อพยพชาวมุสลิมบางกลุ่มพยายามเผยแพร่ศาสนาโดยใช้วิธีที่สร้างความขัดแย้งในพื้นที่สาธารณะ พวกเขานำลำโพงติดตั้งบนรถยนต์และขับไปตามเมืองต่างๆ เปิดเสียงอาซาน (เสียงเรียกละหมาด) และบทสวดจากอัลกุรอานผ่านวิทยุและเครื่องกระจายเสียง สิ่งนี้กลายเป็นชนวนให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนท้องถิ่น เพราะมองว่าเป็นการรบกวนพื้นที่สาธารณะ และเป็นการพยายาม "บังคับ" ให้ศาสนาอิสลามเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคน

ในบางเมืองของสวีเดน ประชาชนได้ร้องเรียนถึงหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อให้ระงับการกระทำดังกล่าว โดยมองว่าสวีเดนเป็นประเทศฆราวาสที่แยกศาสนาออกจากรัฐ และการเปิดเสียงอาซานผ่านลำโพงในที่สาธารณะ เป็นการละเมิดความสงบสุขของประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้อพยพบางส่วนกลับมองว่านี่เป็น "สิทธิทางศาสนา" ของพวกเขา และถือว่าเป็นการ "ต่อสู้เชิงอุดมการณ์" ระหว่างศาสนาอิสลามกับวัฒนธรรมตะวันตก
ศาลชารีอะห์และการบังคับใช้กฎศาสนาในชุมชนมุสลิม

แม้ว่ากฎหมายชารีอะห์จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายของสวีเดน แต่ก็มีแรงกดดันจากบางกลุ่มในสังคมมุสลิมที่ต้องการให้มี "กฎหมายคู่ขนาน" ซึ่งหมายถึงการที่ชาวมุสลิมสามารถดำเนินชีวิตภายใต้กฎศาสนาได้โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ ตัวอย่างเช่น กรณีของการแต่งงานในเด็ก การหย่าร้างที่ให้สิทธิฝ่ายชายมากกว่าหญิง หรือแม้แต่การลงโทษตามหลักศาสนาในชุมชนบางแห่ง

ปัญหาคือ ในบางพื้นที่ของสวีเดน โดยเฉพาะในเขตที่มีประชากรมุสลิมหนาแน่น กฎหมายชารีอะห์ถูกใช้กันอย่างลับๆ แม้ว่าจะผิดกฎหมายของสวีเดนก็ตาม มีรายงานว่ามี "ศาลชารีอะห์" ที่ดำเนินการตัดสินคดีความในหมู่ชาวมุสลิมเอง โดยไม่ขึ้นต่อระบบยุติธรรมของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเมิดหลักนิติรัฐอย่างร้ายแรง

สตรีมุสลิม: เสรีภาพหรือการกดขี่?

อีกหนึ่งประเด็นร้อนในสังคมสวีเดนคือเรื่อง การสวมฮิญาบและบุรกา แม้ว่ากฎหมายสวีเดนจะอนุญาตให้ผู้หญิงสามารถเลือกแต่งกายตามหลักศาสนาได้ แต่ในบางชุมชนมุสลิมกลับมีการกดดันผู้หญิงให้สวมใส่ชุดคลุมโดยที่พวกเธอไม่มีทางเลือก มีรายงานว่าเด็กหญิงบางคนถูกกลั่นแกล้งหากพวกเธอไม่สวมฮิญาบไปโรงเรียน หรือแม้แต่ผู้หญิงที่พยายามปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมสวีเดน ก็อาจถูกครอบครัวและสังคมรอบตัวประณามว่าผิดหลักศาสนา

เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับ เสรีภาพที่แท้จริง เพราะในขณะที่สวีเดนให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่กลับมีบางชุมชนที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือกดขี่สมาชิกของตนเอง ทำให้เกิดสังคมคู่ขนานที่ขัดแย้งกับหลักประชาธิปไตยของประเทศ

ความขัดแย้งทางการเมืองและแนวโน้มในอนาคต

การเมืองสวีเดนเองก็แบ่งออกเป็นสองขั้วในเรื่องนี้ ฝ่ายที่สนับสนุนเสรีภาพทางศาสนามองว่า ทุกคนควรมีสิทธิในการปฏิบัติตามศาสนาของตนเอง รวมถึงการแต่งกายตามหลักศาสนา แต่ฝ่ายขวากลับมองว่า นี่คือการปล่อยให้วัฒนธรรมที่ขัดกับหลักเสรีภาพเข้ามาแทรกแซงประเทศ และเชื่อว่าการให้สิทธิที่มากเกินไปกับกลุ่มศาสนาหนึ่ง อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม

สิ่งที่ทำให้ปัญหานี้ร้อนแรงขึ้นไปอีกคือ บางเมืองในยุโรป เช่น ในฝรั่งเศสและเดนมาร์ก ออกกฎหมายห้ามสวมบุรกาและนิกอบในที่สาธารณะ โดยให้เหตุผลว่าเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่สตรี ในขณะที่สวีเดนยังคงลังเลที่จะเดินตามแนวทางนี้ เนื่องจากกลัวว่าจะละเมิดสิทธิมนุษยชน

แต่คำถามคือ เสรีภาพที่สวีเดนปกป้องอยู่นี้ เป็นเสรีภาพของทุกคนจริงหรือ? หรือเป็นเพียงเสรีภาพที่เอื้อให้บางกลุ่มสามารถบังคับใช้กฎของตนเอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักการประชาธิปไตยของประเทศ?

หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป สวีเดนอาจต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น เพราะเมื่อศาสนาและกฎหมายของรัฐเดินไปคนละทาง จุดปะทะก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ปัญหาที่เกิดขึ้นในสวีเดนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของศาสนา แต่เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลาย เมื่อมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากเข้ามาตั้งรกรากโดยไม่ได้คำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่และความแตกต่างทางวัฒนธรรม ย่อมนำไปสู่ความท้าทาย ทั้งสำหรับผู้มาใหม่ที่ต้องปรับตัว และสำหรับชุมชนเดิมที่ต้องหาวิธีอยู่ร่วมกัน

ความขัดแย้งไม่ได้เกิดจากศาสนาอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่อยู่ที่ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันระหว่างสองฝ่าย—ฝ่ายหนึ่งมองว่าควรเปิดรับความหลากหลายเต็มที่ ในขณะที่อีกฝ่ายกังวลว่าหากไม่มีการปรับตัวเข้าหากัน อัตลักษณ์และหลักการของสังคมเดิมอาจถูกสั่นคลอน ความไม่ลงรอยเหล่านี้ทำให้เกิดการต่อต้านและความหวาดระแวงกันในหลายระดับ

ทางออกของปัญหานี้ไม่ใช่การปิดกั้นหรือกีดกันศาสนาหรือวัฒนธรรมใด แต่เป็นการหาจุดสมดุลระหว่างเสรีภาพของแต่ละกลุ่มกับความเป็นปึกแผ่นของสังคมโดยรวม ทุกฝ่ายจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากัน โดยเคารพกฎหมายและคุณค่าของประเทศที่ตนอยู่ หากรัฐไม่สามารถสร้างแนวทางที่ทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล ความแตกแยกก็อาจขยายตัวมากขึ้นจนยากจะควบคุม

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องมองปัญหานี้ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวหรืออคติ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขคือเป้าหมายของทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากที่ใด

จาก ‘นักเคลื่อนไหว’ สู่ ‘หมอนวดฝ่าเท้า’ ชีวิตใหม่!! ของนายจอม ในแดนน้ำหอม เมื่อทุนขาด!! ซัพพอร์ตหาย ฝรั่งไม่จ่ายแล้ว ก็ต้อง ‘กัดฟัน’ ปั้นอาชีพกันไป

ใครจะไปคิดว่าเส้นทางชีวิตของ 'นายจอม' หนึ่งในผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะวกเข้าสู่สายอาชีพนวดฝ่าเท้ากลางกรุงปารีส จากอดีตนักเคลื่อนไหวหัวร้อน สู่มือทองนักกดจุดผ่อนคลาย ด้วยเรทราคาเป็นกันเอง 25 ยูโรต่อชั่วโมง โปรโมชันแรงเหมาได้ทั้งสามี-ภรรยา แถมรับนวดหมู่เหมือนจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ได้อีกต่างหาก

แต่นอกจากเรื่องเส้นทางชีวิตที่พลิกผัน จุดที่ชวนตั้งคำถามยิ่งกว่าเทคนิคกดจุด คือข้อความจากเจ้าตัวเองที่ประกาศชัดว่า “ไม่เคยจบคอร์สหรือมีใบรับรองจากสถาบันใด ๆ” นี่แหละประเด็น! เพราะในฝรั่งเศส การให้บริการนวดแบบเก็บเงินนั้น ไม่ใช่ว่าใครอยากทำก็ทำได้ง่าย ๆ นะเธอ

ในฝรั่งเศส การประกอบอาชีพนวดเพื่อสุขภาพ (massage bien-être) โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อ หรือระบบไหลเวียนโลหิต จำเป็นต้องมีการอบรมและได้รับ ใบรับรองจากสถาบันที่ได้รับการรับรอง (Certificat หรือ Diplôme) รวมถึงต้องจดทะเบียนธุรกิจอย่างถูกต้อง (Auto-entrepreneur) เพื่อเสียภาษีและป้องกันข้อหาแอบแฝงทำงานผิดกฎหมาย

ถ้าเป็นการนวดเฉพาะทาง เช่น นวดฝ่าเท้า (Réflexologie plantaire) ก็อยู่ภายใต้ข้อกำหนดเดียวกัน และยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะเป็นการกระตุ้นจุดสำคัญในร่างกาย หากไม่มีความรู้จริงอาจเข้าข่ายอันตรายต่อสุขภาพลูกค้า

ส่วนถ้าเป็นที่เยอรมนีก็หนักไม่แพ้กัน เพราะหากทำอาชีพนวดโดยไม่มีใบอนุญาต (Heilpraktiker) หรือไม่ได้ขึ้นทะเบียนกิจการ (Gewerbeanmeldung) และเสียภาษีอย่างถูกต้อง ก็ถือว่าเป็น การประกอบวิชาชีพผิดกฎหมาย เช่นกัน และเสี่ยงต่อโทษปรับสูงมาก หรืออาจถึงขั้นสั่งห้ามประกอบกิจการได้ทันที

พูดง่าย ๆ ว่า

ไม่มีใบรับรอง = ผิดกฎหมาย

ไม่จดทะเบียนธุรกิจ = ผิดกฎหมาย

รับเงินค่าบริการโดยไม่มีสถานะทางกฎหมาย = ผิดกฎหมาย

จะเห็นได้ว่า 'ใจรัก' อย่างเดียวอาจไม่พอ เพราะข้อกฎหมายที่ฝรั่งเศสและเยอรมนีเคร่งครัดมากเกี่ยวกับวิชาชีพสายสุขภาพแบบนี้ เพื่อปกป้องผู้บริโภคจากการรับบริการที่อาจเสี่ยงต่อสุขภาพ

และถ้าย้อนไปเมื่อก่อน ตอนยังวิ่งปราศรัยอยู่เมืองไทย ว่ากันว่าชีวิตของนายจอมก็เคยมีสายป่านต่างชาติคอยหนุน ทั้งทุน ทั้งทิป ทั้งค่าเดินทาง งานประชุมต่างแดนเรียกว่ามาครบวงจร แต่พอวันหนึ่งโลกเปลี่ยน ทุนเปลี่ยน กระแสเปลี่ยน จากที่เคยรับสปอนเซอร์ตั๋วเครื่องบินหรู ก็ต้องมานั่งนวดฝ่าเท้าคลายเส้นหารายได้จ่ายค่าเช่าห้องเองแบบเหงา ๆ

เมื่อทุนขาด ซัพพอร์ตหาย ฝรั่งไม่จ่ายแล้ว ก็ต้องกัดฟันปั้นอาชีพกันไป ใครว่าอุดมการณ์เลี้ยงท้องไม่ได้... ก็ต้องนี่แหละตัวอย่างจริง เสียงจริง นวดจริง เจ็บจริง

สุดท้ายนี้ ก็ขอเอาใจช่วยนายจอมให้หาเลี้ยงชีพได้ปลอดภัย ไม่โดนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเรียกตรวจเอกสารกลางคิวลูกค้ากำลังผ่อนคลายเท้าอยู่ละกันนะ

‘Overtourism’ นักท่องเที่ยวล้นเมืองส่อวิกฤต เหตุทำลายวิถีชีวิตคนท้องถิ่น - แย่งชิงทรัพยากร

(8 มี.ค. 68) แม้ว่า การท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และสนับสนุนความพยายามในการอนุรักษ์ที่ปกป้องสถานที่ที่น่าทึ่งที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวได้รับการจัดการที่ไม่ดี การเติบโตที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจครอบงำจุดหมายปลายทาง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนในท้องถิ่น และประสบการณ์ของผู้เยี่ยมชม ปัญหานี้ซึ่งเรียกว่าการท่องเที่ยวมากเกินไป เป็นความท้าทายเร่งด่วนสำหรับจุดหมายปลายทางยอดนิยมหลายแห่งของโลก

ภาวะนักท่องเที่ยว (Over tourism) ล้นเมืองเกิดขึ้นเมื่อมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเกินไปหลั่งไหลไปยังเมืองจุดหมายปลายทาง จนเกินความสามารถในการจัดการอย่างยั่งยืนของเมืองซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง และนำไปสู่ผลกระทบเชิงลบ เช่น นักท่องเที่ยวแออัด สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม โครงสร้างพื้นฐานตึงเครียด คุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยลดลง และทำให้ประสบการณ์ดี ๆ ของผู้มาเยือนลดลง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไปนั้นมีอยู่เท่าไร คำตอบนั้นไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากแต่ละสถานที่มีเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวของจุดหมายปลายทางนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ  เช่น โครงสร้างพื้นฐาน ความพร้อมของทรัพยากรธรรมชาติ ความสามารถในการฟื้นตัวของสิ่งแวดล้อม พื้นที่ทางกายภาพ และการรับรู้ของชุมชน จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อผลกระทบเชิงลบของการท่องเที่ยวมีมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการมีกลยุทธ์การจัดการที่ดีกว่า

การวางแผนเชิงกลยุทธ์และการจัดการเชิงรุกเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันปริมาณนักท่องเที่ยวมากจนเกินไป จุดหมายปลายทางที่ยั่งยืนต้องสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการจัดการทรัพยากร การอนุรักษ์ ความเพลิดเพลินของนักท่องเที่ยว และความพึงพอใจของผู้อยู่อาศัย ผ่านการศึกษาขีดความสามารถในการ รองรับ และการสำรวจผู้อยู่อาศัยเราช่วยให้จุดหมายปลายทางต่างๆ ติดตามผลกระทบของการท่องเที่ยวและทำความเข้าใจถึงผลที่ตามมาของการเติบโต เพื่อแจ้งนโยบายและริเริ่มต่าง ๆ ปัญหานักท่องเที่ยวมากจนเกินไปได้รับความสนใจทั่วโลกในปี 2016 เมื่อ Skift เผยแพร่บทความเรื่อง “การสำรวจอันตรายที่กำลังจะมาถึงของการท่องเที่ยวมากเกินไป” ซึ่งกล่าวถึงอันตรายจากการท่องเที่ยวมากเกินไปในจุดหมายปลายทางยอดนิยม ในช่วงหลายปีต่อมา คำว่า "การท่องเที่ยวมากเกินไป" ปรากฏอยู่ในพาดหัวข่าวสื่อต่างๆ มากมายทั่วโลก เนื่องจากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็วและทวีคูณ โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าระหว่างปี 2000 ถึง 2019  ความจำเป็นในการจัดการการเติบโตนี้อย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้นจึงไม่สามารถละเลยได้

ในขณะที่ดูเหมือนว่า ปริมาณนักท่องเที่ยวกำลังจะเกินการควบคุม อุตสาหกรรมนี้กลับต้องประสบกับภาวะตกต่ำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอันเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมนี้เป็นโอกาสในการคิดทบทวนรูปแบบการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อจำกัดในการเดินทางถูกยกเลิก ผู้คนต่างก็อยากออกไปข้างนอก และการท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ภายในสิ้นปี 2024 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนจนเกินระดับก่อนเกิดโรคระบาด น่าเสียดายที่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวมากจนเกินไปได้กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดการจำนวนผู้เยี่ยมชมและปกป้องความสมบูรณ์ของจุดหมายปลายทางยอดนิยม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาในจุดหมายปลายทางยอดนิยมเติบโตอย่างรวดเร็ว ประเทศต่าง ๆ เช่น ไทย เซเชลส์ และกรีก มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในช่วงทศวรรษก่อนเกิด COVID-19 จุดหมายปลายทางยอดนิยมบางแห่ง เช่น สาธารณรัฐโดมินิกัน มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นแซงหน้าจำนวนนักท่องเที่ยวก่อนเกิด COVID-19 ไปแล้ว 

ผลกระทบเชิงลบจากปริมาณนักท่องเที่ยวมากจนเกินไป

- ความแออัดและความแออัดยัดเยียดอย่างรุนแรง จนส่งผลให้ประสบการณ์ที่ดีของนักท่องเที่ยวและผู้อยู่อาศัยลดน้อยลง ถนนหนทางอาจติดขัด นักท่องเที่ยวต้องยืนรอคิวยาวเพื่อเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถ่ายภาพสถานที่ที่มีชื่อเสียงโดยไม่มีนักท่องเที่ยวเป็นฉากหลัง
- การชำรุดเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐานและสถานที่ทางธรรมชาติและวัฒนธรรมจึงชำรุดเสื่อมโทรมเร็วขึ้น การใช้ถนน เส้นทาง และสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะอย่างต่อเนื่องอาจทำให้สถานที่เสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วหากไม่ได้รับการบำรุงรักษาตามปกติ
- ความไม่พอใจของชุมชน แม้ว่าความแออัดและความเสียหายทางกายภาพอาจเป็นอาการที่เห็นได้ชัดที่สุดของการท่องเที่ยวมากเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ผลกระทบเชิงลบเพียงอย่างเดียว การท่องเที่ยวมีศักยภาพอย่างมากในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นและขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่การเติบโตที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจส่งผลในทางตรงกันข้าม การหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวอาจทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ยากต่อการหาที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง และทำให้ผู้อยู่อาศัยต้องอพยพ แม้จะมีรายได้จำนวนมากจากการท่องเที่ยว แต่คนในท้องถิ่นหลายคนรู้สึกว่าถูกละเลยจากเศรษฐกิจนักท่องเที่ยวที่กำลังเฟื่องฟู ทำให้ต้องทำงานที่มีค่าจ้างต่ำในขณะที่กำไรส่วนใหญ่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนภายนอกและบริษัทขนาดใหญ่ ความแตกต่างนี้ก่อให้เกิดความขุ่นเคืองในหมู่ผู้อยู่อาศัย และเพิ่มความตึงเครียดทางสังคมเนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าการท่องเที่ยวทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาแย่ลง พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงได้หากไม่เคารพประเพณีท้องถิ่น ทำลายสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือรบกวนวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น 

- การแย่งชิงทรัพยากร เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ความต้องการน้ำ การจัดการขยะ และพลังงานอาจสูงเกินกว่าทรัพยากรที่มีอยู่ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาขาดแคลน ราคาที่สูงขึ้น และความต้องการที่แข่งขันกันสูง ซึ่งทำให้ชุมชนท้องถิ่นไม่พอใจมากขึ้น 
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ เมื่อจุดหมายปลายทางได้รับความนิยมมากขึ้น ระบบนิเวศทางธรรมชาติก็ถูกปรับเปลี่ยนให้รองรับรีสอร์ท ท่าจอดเรือ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวอื่น ๆ การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวอาจทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญของสัตว์ป่า เช่น ป่าชายเลนและ ชายหาดที่วางไข่ ของเต่าทะเลได้ หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม หากไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียและบำบัดน้ำที่เหมาะสม รวมถึงการผลิตพลังงานอย่างยั่งยืน การพัฒนาเหล่านี้อาจสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อดำเนินการแล้ว 

การขาดการวางแผนและกฎระเบียบที่เหมาะสมอาจทำให้จุดหมายปลายทางต่างๆ ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากเกินกว่าที่จะรองรับได้ ส่งผลให้เกิดผลกระทบที่เป็นปัญหาดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เช่น ระบบการจัดการขยะที่ล้นเกิน ถนนที่ติดขัด และคนในท้องถิ่นไม่ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว เพื่อต่อสู้กับปัญหาการท่องเที่ยวล้นเกิน จุดหมายปลายทางต่างๆ จะต้องดำเนินการตามแผนการจัดการการท่องเที่ยวที่ครอบคลุมซึ่งสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ของผู้เยี่ยมชม และความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน จุดหมายปลายทางที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งกำลังดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวและบรรเทาผลกระทบจากภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง มาตรการที่ใช้ทั่วโลกเพื่อรับมือกับปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินไป
การถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินไปกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากนักท่องเที่ยวแห่ไปยังเมืองยอดนิยมเกินขีดความสามารถของตน

เมืองเวนิสของอิตาลี ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เริ่มเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชม 5 ยูโรสำหรับนักท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2024 เป็นต้นไป แม้ว่าค่าธรรมเนียมจะเรียกเก็บเฉพาะ 29 วันที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นที่สุดระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม 2024 แต่รัฐบาลอิตาลีอาจขึ้นค่าธรรมเนียมเป็น 10 ยูโร ในการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า กรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ได้ประกาศเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2024 ว่ามีแผนจะเริ่มลดจำนวนเรือที่สามารถแวะจอดที่ท่าเรือหลักในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันการท่องเที่ยวจำนวนมากที่เกิดจากเรือสำราญ เทศบาลกรุงอัมสเตอร์ดัมได้ประกาศไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนว่า ได้ตัดสินใจห้ามการก่อสร้างอาคารโรงแรมใหม่ในเมืองเพื่อจำกัดจำนวนการพักค้างคืนต่อปีให้อยู่ที่ 20 ล้านการเข้าพัก เมืองนี้รองรับการพักค้างคืน 20,665,000 ครั้งในปี 2023 ในทำนองเดียวกัน แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของสเปนอย่างนครบาร์เซโลนาได้ประกาศเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2024 ว่าตั้งใจจะห้ามการเช่าระยะสั้นสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งหมด เนื่องจากต้องการควบคุมต้นทุนที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงขึ้น และมอบทางเลือกที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงให้กับคนในท้องถิ่นอีกครั้ง นครบาร์เซโลนาวางแผนที่จะหยุดออกใบอนุญาตการเช่าระยะสั้นใหม่ โดยอพาร์ตเมนต์วันหยุดทั้งหมด 10,101 แห่งที่ลงทะเบียนกับเมืองในปัจจุบันจะถูกสั่งห้ามภายในเดือนพฤศจิกายน 2028 ปัจจุบัน อุทยานแห่งชาติในสหรัฐอเมริกากำหนดให้ผู้เยี่ยมชมต้องทำการจองเข้าชมล่วงหน้าเพื่อควบคุมจำนวนผู้เข้าชมในแต่ละวัน และป้องกันไม่ให้มีผู้คนหนาแน่นเกินไป ในกรณีส่วนใหญ่ จำเป็นต้องทำการจองเฉพาะในช่วงฤดูท่องเที่ยวสูงสุดเท่านั้น ในปี 2024 อุทยานแห่งชาติโยเซมิตีได้นำนโยบายการจองมาใช้อีกครั้ง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกยกเลิกเนื่องจากการคัดค้านจากธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ในพื้นที่

ในเอเชีย ประเทศไทยตัดสินใจถอนแผนที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งอย่างมากในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยว 300 บาท (ประมาณ 8.2 ดอลลาร์สหรัฐ) จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศทางอากาศ โดยรัฐบาลไทยได้ชี้แจงในเบื้องต้นว่า จุดประสงค์ของค่าธรรมเนียมดังกล่าวก็เพื่อช่วยให้แน่ใจว่า จะทำให้ได้นักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากขึ้น โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวถูกยกเลิกไปหลังจากได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาปรับขึ้นภาษีนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศจาก 1,000 เยน (7 ดอลลาร์สหรัฐ) ในปัจจุบันเป็น 3,000 หรือ 5,000 เยน (20 ดอลลาร์สหรัฐ/35 ดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินไป อีกทั้งมีการพูดคุยหารือกันมากมายเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีที่พักในแหล่งท่องเที่ยว และเทศบาลบางแห่งกำลังหารือถึงการนำระบบการคิดราคาแบบ 2 ระดับมาใช้ 

ซึ่งจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในอัตราที่สูงขึ้น เมื่อไม่นานมานี้ ปราสาทฮิเมจิซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโกในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ ได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมาก เมื่อนายกเทศมนตรีเมืองฮิเมจิเสนอแผนนำระบบการคิดราคาแบบ 2 ระดับมาใช้สำหรับผู้เยี่ยมชมปราสาท ในระหว่างการประชุมนานาชาติที่จัดขึ้นในเมือง ภายใต้ระบบที่เสนอนี้ ค่าธรรมเนียมเข้าชมจะขึ้นจาก 1,000 เยน (ประมาณ 6 เหรียญสหรัฐ) เป็นประมาณ 30 เหรียญสหรัฐสำหรับผู้เยี่ยมชมจากนอกเมือง ในขณะที่พลเมืองฮิเมจิจะลดลงเล็กน้อยเป็น 5 เหรียญสหรัฐ แม้จะมีข้อโต้แย้ง แต่การเรียกเก็บเงินจากชาวต่างชาติมากกว่าผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกในส่วนอื่น ๆ ของโลก 

ตัวอย่างเช่น ที่ทัชมาฮาลของอินเดียและนครวัดของกัมพูชา นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องจ่ายค่าเข้าชมในราคาที่สูงขึ้นอยู่แล้ว ปัญหาจำนวนนักท่องเที่ยวมากจนเกินไปสามารถสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยได้เช่นกัน ซึ่งจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในระดับเดียวกับคนไทยเท่านั้นที่สามารถอดทนกับคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ เช่นปัญหาที่ยากจนเกือบจะเกินแก้ไข ดังเช่นกรณี ‘ปาย’ ซึ่งรัฐบาลไทยโดยกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาต้องเริ่มศึกษาข้อเท็จจริงและสรุปเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรการป้องกันซึ่งจะดีกว่าการรอเพื่อปล่อยให้สถานการณ์คลี่คลายไปเองเช่นทุกวันนี้

‘ประชาไท’ กับการแทรกแซงสถาบันฯ โดยไร้ความเข้าใจ อ้างทำหน้าที่ตรวจสอบ แต่แท้จริงกลับแฝง ‘วาระซ่อนเร้น’

นับเป็นอีกครั้งที่ 'ประชาไท' ก้าวล้ำเส้นแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ จนกลายเป็นการแทรกแซงพระราชอำนาจอย่างไม่เหมาะสม ภายใต้หน้ากากสื่อเสรีนิยม ที่อ้างตนว่าทำหน้าที่ตรวจสอบ แต่แท้จริงแล้วกลับละเมิดหลักการพื้นฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เสียเอง

กรณีการนำเสนอข่าวพระราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศทางทหารแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมตั้งข้อสงสัยถึงความถูกต้องชอบธรรม เพราะไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการนั้น เป็นตัวอย่างชัดเจนของความเขลาในกฎหมาย หรืออาจมากกว่านั้นคือเจตนาเบี่ยงเบนประเด็นสู่การลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของพระราชอำนาจ

ในเมื่อรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้แบ่งแยกอำนาจไว้อย่างชัดเจนว่า 'ราชการแผ่นดิน' (government affair) ต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการตามมาตรา 182 แต่ 'ราชการส่วนพระองค์' (royal affair) ซึ่งรวมถึงการพระราชทานยศ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือการแต่งตั้งในพระบรมราชสำนัก ตามมาตรา 15 ไม่จำเป็นต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

การที่ประชาไทนำเรื่องนี้มาวิพากษ์วิจารณ์ จึงไม่ใช่เพียงความผิดพลาดทางข้อเท็จจริง แต่ยังสะท้อนท่าทีอันอันตรายของ 'วาระซ่อนเร้น' ในการบ่อนเซาะความมั่นคงของสถาบันหลักของประเทศด้วยการสร้างความสับสนแก่ประชาชน เสมือนจงใจปลูกฝังความเข้าใจผิดว่า สถาบันฯ กระทำสิ่งใดโดยปราศจากกลไกตรวจสอบ ทั้งที่ในความเป็นจริง กลไกต่าง ๆ ถูกออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างรัดกุมและแยบยล

คำถามคือ... หากประชาไทมีความเข้าใจในรัฐธรรมนูญจริง เหตุใดจึงเสนอข่าวในลักษณะที่บิดเบือน? หรือแท้จริงแล้วนี่คือแผนปฏิบัติการ 'ทำลายศรัทธา' ผ่านเครื่องมือสื่อ โดยการใช้วาทกรรมกึ่งกฎหมายมาห่มคลุมเจตนาทางการเมือง

และท้ายที่สุด การกระทำเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เสรีภาพในการสื่อสาร หากแต่เป็นการใช้เสรีภาพอย่างเกินขอบเขต จนกลายเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยและมั่นคงของชาติ

บางครั้งการ 'ไม่รู้' อาจให้อภัยได้ แต่การ 'แกล้งไม่รู้' เพื่อละเมิด...สังคมย่อมต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่า ยังควรปล่อยผ่านหรือไม่

‘ห้องสมุดมนุษย์’ อ่านเพื่อนมนุษย์จากมุมคิดและตัวตนที่แท้จริง แนวคิดสุดเจ๋ง! ช่วยลดอคติต่อกัน – ทำให้เข้าใจผู้คนที่หลากหลาย

(5 มี.ค. 68) ห้องสมุดมนุษย์ เมื่อผู้คนอาสาสมัครมาเป็น “หนังสือ” ให้เพื่อนมนุษย์อ่าน เพื่อแบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆ นำไปสู่ความเข้าใจและโอบกอดจิตวิญญาณซึ่งกันและกัน 

เมื่อพูดถึงห้องสมุด สิ่งที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คือสถานที่ที่เต็มไปด้วยหนังสือต่างๆ แบ่งเป็นหมวดหมู่อย่างเรียบร้อย ให้เราสามารถเข้าไปนั่งอ่าน ปลดปล่อยจิตใจและสมองไปกับเนื้อหาของหนังสือเล่มต่างๆที่อยู่ตรงหน้า ทั้งอ่านเพื่อเอาความรู้และอ่านเพื่อความบันเทิง หลายๆคนก็มีห้องสมุดเป็นทั้งที่หลบภัยจากความวุ่นวาย ความกังวล และเรื่องราวต่างๆที่บีบคั้นในชีวิต รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่เราจะได้ปล่อยวางภาระและความตึงเครียดต่างๆลงได้ชั่วคราวเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับความสงบสุขในชีวิตได้ในราคาย่อมเยาหรือไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

นี่คือ concept ของห้องสมุดทั่ว ๆ ไปที่เราคุ้นเคยกันดี แต่จะดีแค่ไหนหากมีห้องสมุดซักแห่งหนึ่งที่มี “เพื่อนมนุษย์” ที่มีประสบการณ์หลากหลายมานั่งเป็น “หนังสือ” ให้เราอ่านประสบการณ์ที่ผ่านมาของพวกเขาเหล่านั้น รวมทั้งแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวที่น่าสนใจ ให้กับผู้คนผ่าน “การอ่าน” ในลักษณะของการพูดคุยตัวต่อตัวหรือกลุ่มเล็กๆ นอกจากนี้ “หนังสือมนุษย์” เหล่านี้ก็พร้อมที่จะรับฟังโดยไม่ตัดสินและเปิดใจคุยกับ “ผู้อ่าน” ทุกคนแม้ว่าจะเป็นผู้ที่เคยถูกบุลลี่ ถูกเลือกปฏิบัติ หรือถูกดูหมิ่นเหยียดหยามไม่ว่าจากสาเหตุใดๆมาก่อนก็ตาม 

ห้องสมุดมนุษย์ที่เหมือนจะมีอยู่แค่ในโลกแห่งอุดมคตินี้แท้จริงแล้วมีอยู่จริงๆในโลกของเราครับ 

โดยแนวคิดของห้องสมุดมนุษย์นี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2000 ที่ประเทศเดนมาร์ก โดยผู้ริเริ่มและก่อตั้งได้แค่คุณ รอนนี่ อเบอเกลและทีมงาน โดยมีความคิดตั้งต้นและความตั้งใจที่จะต่อสู้กับความอยุติธรรม, การเลือกปฏิบัติ และส่งเสริมความเข้าใจกันของเพื่อนมนุษย์ทุกคนผ่านการเล่าเรื่องและแบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆให้กัน โดยผ่านแนวคิดการยืมหนังสือในห้องสมุดที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่แทนที่ผู้มาเยือน หรือ “ผู้อ่าน” จะยืมหนังสือเป็นเล่มๆตามปรกติ แต่ที่ห้องสมุดมนุษย์นี้จะให้บริการยืม “คนจริงๆ” มานั่งคุยกันแทน 

หลักการทำงานของห้องสมุดมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร? 

จริงๆแล้วหลักการทำงานของห้องสมุดมนุษย์นั้นเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนเลยครับ โดยเริ่มจากการรับสมัครผู้คนที่มีภูมิหลังและประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายมาเป็น “หนังสือมนุษย์” โดยอาสาสมัครเหล่านี้มีความหลากหลายมาก มีทั้ง คนไร้บ้าน, คนพิการ, ผู้อพยพ, LGBTQ+, อดีตผู้ป่วยทางจิต, คนติดยา, ผู้เคร่งศาสนา, คนไม่มีศาสนา หรือผู้ที่มีปัญหาอื่นๆทางสังคม 

เมื่อได้อาสาสมัครจำนวนหนึ่งแล้ว ทีมงานของคุณรอนนี่ก็จะจัดอีเว้นท์ “ห้องสมุดมนุษย์” ขึ้นตามสถานที่ต่างๆเช่น อาคารสำนักงาน, ห้องสมุดของจริง, โรงเรียนและสถานศึกษา รวมไปถึงพื้นที่ในงานเทศกาลต่างๆ จากนั้นก็จะแจกโบรชัวร์ให้คนที่มาร่วมงาน ในโบรชัวร์นั้นก็จะมีข้อมูลโดยย่อของหนังสือมนุษย์แต่ละคน เพื่อให้คนที่สนใจหรือ “ผู้อ่าน” สามารถเลือกยืมหนังสือมนุษย์ที่ตัวเองสนใจไปนั่งคุยกันประมาณ 20-30 นาที หลังจากคุยกันเสร็จก็นำหนังสือมนุษย์นั้นไปส่งคืนทีมงาน หรือ “คืนหนังสือ” นั่นเอง 

ครับ ง่ายๆแบบนี้เลย 
เป้าหมายของห้องสมุดมนุษย์นี้ก็แสนจะเรียบง่ายครับ ก็คือการส่งเสริมให้มนุษย์ทุกคนลดอคติต่อกันและสร้างความเข้าใจต่อผู้คนที่มีความแตกต่างและหลากหลายผ่านการสนทนาที่เปิดกว้าง เพื่อสลายอัตตาและสร้างความเห็นอกเห็นใจกัน 

นับตั้งแต่ห้องสมุดมนุษย์ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เดนมาร์กเมื่อ 25 ปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน กิจกรรมนี้ก็ได้รับการขยายออกไปเป็นวงกว้างทั่วโลกถึงกว่า 80 ประเทศแล้วครับ โดยสถานศึกษาต่างๆ, หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน, ชุมชน รวมไปถึงกลุ่มองค์กรต่างๆ ก็ได้จัดกิจกรรมห้องสมุดมนุษย์นี้ขึ้นเพื่อส่งเสริมความเข้าใจกันของผู้คนที่มีพื้นเพและเส้นทางที่หลากหลายแตกต่างกัน ผ่านการสร้างให้เกิดบทสนทนาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้ 

หลายเรื่องราวได้ถูกเล่าขาน บางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ผู้เล่าตั้งใจถ่ายทอดให้กับคนรุ่นหลัง บางเรื่องก็เป็นรอยแผลเป็นตกสะเก็ดในใจของผู้เล่าเอง แต่ที่สำคัญคือเรื่องราวทั้งหมดเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ถูกเล่าขานออกมาเพื่อหวังให้คนฟังเกิดความเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งอย่างเท่าเทียมกันทั้งสิ้น

เรื่องราวอันน่าประทับใจที่เกิดขึ้นในห้องสมุดมนุษย์ทั่วโลกมีมากมาย อาทิเช่น 

- การไถ่บาปและการให้อภัยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง, โคเปนเฮเกน, ชายคนหนึ่งได้อาสาสมัครมาเป็นหนังสือมนุษย์เพื่อแบ่งปันเรื่องราวในอดีตของเขาในฐานะสมาชิกแก๊งอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและการทำผิดกฎหมายซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อย ๆ จนเมื่อเขาได้ใช้เวลาหลายปีในเรือนจำจึงได้คิดและต้องการมาบอกเล่าเรื่องราวความผิดพลาดของตัวเองในอดีตให้กับผู้คนเพื่อเป็นการไถ่บาปของตัวเอง และวันหนึ่งในห้องสมุดมนุษย์ เขาก็ได้นั่งลงและบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อหน้าผู้อ่านที่สูญเสียคนในครอบครัวไปจากความรุนแรงระหว่างแก๊ง ส่งผลให้ผู้อ่านคนนั้นร้องไห้อย่างรุนแรงด้วยหัวใจที่แตกสลาย แต่ภายหลังจากบทสนทนาจบลง ทั้งคู่ก็ได้โอบกอดกันด้วยความเข้าใจ และการเยียวยาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งด้วยความรู้สึกผิดที่ต้องการไถ่บาป และอีกคนด้วยความตระหนักว่าการให้อภัยและการยอมรับว่ามนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้นั่นเอง 

- การเผชิญหน้าของผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่กับสมาชิกนีโอนาซี ,เยอรมนี, ในกิจกรรมห้องสมุดมนุษย์ครั้งหนึ่ง มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่นิยมชมชอบและสนับสนุนแนวคิดนาซีแบบสุดโต่งได้เข้าร่วมกิจกรรมและเลือกที่จะนั่งสนทนากับอาสาสมัครหนังสือมนุษย์ที่เคยรอดชีวิตจากการสังหารหมู่ในค่ายกักกันของนาซีในสมัยสงครามโลก ในเบื้องต้นเด็กหนุ่มเพียงแค่สนใจว่าในสมัยนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของคนในค่ายกักกันเป็นอย่างไร แต่เมื่อหนังสือมนุษย์เริ่มเล่าถึงความทุกข์ทรมานต่างๆ ทั้งการถูกทรมานร่างกาย การเห็นคนซึ่งเป็นที่รักถูกสังหารต่อหน้าต่อตา รวมไปถึงความสูญเสีย ทุกข์ทรมานต่างๆอีกมากมายหลังจากนั้น ทำให้ความคิดของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป และในตอนสุดท้ายของการสนทนา เด็กหนุ่มได้ยอมรับกับหนังสือมนุษย์ว่า ตัวเขานั้นได้หลงผิดไปกับแนวคิดอันสุดโต่งของนีโอนาซีและสาบานว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกันอย่างเข้าใจ ที่จะนำไปสู่การลดความเกลียดชังต่อกัน นั่นเอง 

- หญิงข้ามเพศและผู้นำทางศาสนา ,อินเดีย, ผู้นำทางศาสนาผู้หนึ่งที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาทั้งชีวิตว่าการเป็น LGBTQ+ คือเรื่องผิดบาป ได้เข้าร่วมกิจกรรมห้องสมุดมนุษย์ และได้ยืมหนังสือมนุษย์ที่มีหน้าปกว่า “หญิงข้ามเพศ:เส้นทางสู่การค้นพบตัวเอง” มาสนทนาด้วย และหนังสือมนุษย์เล่มนี้ ก็ได้เล่าให้เขาฟังถึงประสบการณ์การเป็นหญิงข้ามเพศในอินเดียของเธอที่ผ่านการดูถูกเหยียดหยาม การไม่ยอมรับ และการถูกขับไล่ออกจากครอบครัวของตัวเอง มาจนถึงวันที่สามารถใช้ชีวิตด้วยตัวเอง และมีความภูมิใจในตัวเองได้ด้วยความอดทนและความมุ่งมันที่จะพิสูจน์คุณค่าของตัวเองเพียงไร ในตอนท้ายผู้นำทางศาสนาคนนี้ก็ได้ยอมรับกับหนังสือมนุษย์ว่า ตัวของเขาเองไม่เคยมีความเข้าใจมาก่อนเลยว่าการเป็นคนข้ามเพศนั้นมีความลำบากอย่างไร รวมทั้งได้ยอมรับว่ามุมมองของเขาต่อคนข้ามเพศนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่ได้บันทึกไว้จากกิจกรรมห้องสมุดมนุษย์ทั่วโลก หากจะให้สรุปผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการจัดให้มีห้องสมุดมนุษย์ขึ้นนั้น เราก็พอจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ห้องสมุดมนุษย์นั้นแท้จริงแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงการบอกเล่าหรือแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันเท่านั้น หากแต่ผลลัพธ์ที่ได้คือการเปลี่ยนมุมมองและหัวใจที่เพื่อนมนุษย์มอบให้แก่กัน การให้ผู้คนได้พูดคุยกันอย่างเปิดใจและซื่อตรงนับเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่จะลดความแตกต่าง สร้างความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน สุดท้ายก็จะนำไปสู่ความเข้าใจกันอย่างแท้จริงของผู้คนที่มีภูมิหลังอันหลายหลายแต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขด้วยการยอมรับความแตกต่างและเปิดใจยอมรับความแตกต่างนั้น พร้อมโอบกอดกันไว้ด้วยความเข้าอกเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั่นเอง

สงครามยูเครน กับทางเลือกสุดท้ายของ เซเลนสกี้ จำ!! ต้องคืนสู่โต๊ะเจรจากับ ‘วลาดีมีร์ ปูติน’

(2 มี.ค. 68) สถานการณ์สงครามยูเครนในปัจจุบันกำลังเดินไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้ง เมื่อความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี้ อาจต้องกลับไปเจรจากับรัสเซียเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้เงื่อนไขที่แทบจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบทั้งหมด ไม่ใช่เพราะเซเลนสกี้เต็มใจ แต่เพราะสถานการณ์บีบให้ยูเครนแทบไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว

1. อเมริกาถอนตัว – ยูเครนเหลือเพียงตัวเอง
หนึ่งในปัจจัยที่ผลักยูเครนเข้าสู่สถานการณ์นี้คือสหรัฐฯ กำลังแสดงท่าทีลดการสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายใน เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 ที่อาจนำโดนัลด์ ทรัมป์กลับคืนสู่ตำแหน่ง ซึ่งเขาเคยประกาศชัดว่าต้องการยุติสงครามโดยเร็ว หรือแม้แต่ฝ่ายเดโมแครตเองก็เริ่มมีความลังเลเรื่องการสนับสนุนทางการเงินและอาวุธแก่ยูเครน เมื่อเห็นว่าสงครามกำลังยืดเยื้อโดยไม่มีวี่แววของชัยชนะ นอกจากนี้ สหรัฐฯ กำลังเผชิญภาระทางทหารและเศรษฐกิจที่หนักขึ้นจากการสนับสนุนอิสราเอลในสงครามกับฮามาส การขยายบทบาทในเอเชียเพื่อสกัดกั้นจีน และการเตรียมรับมือความขัดแย้งในภูมิภาคอื่น ๆ ทั้งหมดนี้ทำให้ความสำคัญของยูเครนในสายตาของวอชิงตันลดลงไป เมื่อสหรัฐฯ ไม่สามารถให้การสนับสนุนได้เต็มที่ ยูเครนจึงต้องเผชิญชะตากรรมของตัวเอง ท่ามกลางกองกำลังรัสเซียที่ยังคงรุกคืบอย่างต่อเนื่อง

2. อธิปไตยที่ต้องแลกด้วยดินแดน?
สงครามที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2022 ทำให้ยูเครนต้องเผชิญความสูญเสียอย่างหนัก ทั้งกำลังพลกว่า 500,000 นาย ที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ ดินแดนสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น โดเนตสก์ ลูฮันสก์ ซาโปริชเชีย และเคอร์ซอน ที่ถูกรัสเซียผนวกอย่างเป็นทางการ การเจรจากลับไปสู่โต๊ะของปูตินในเวลานี้ย่อมหมายความว่ายูเครนอาจต้อง สูญเสียดินแดนบางส่วนเป็นเงื่อนไขของสันติภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไครเมีย ซึ่งรัสเซียครอบครองมาตั้งแต่ปี 2014 และปัจจุบันมีฐานทัพเรือที่สำคัญในเซวาสโตโพล นอกจากนี้ แม้ยูเครนจะรักษาอธิปไตยได้ในทางเทคนิค แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศอาจกลายเป็น รัฐกันชน (Buffer State) ที่ต้องดำรงอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสเซียโดยปริยาย หรืออาจถูกบีบให้มีสถานะคล้ายฟินแลนด์ในช่วงสงครามเย็น (Finlandization) ที่แม้จะเป็นเอกราช แต่ต้องปฏิบัติตามนโยบายต่างประเทศที่เอื้อต่อมอสโก

3. บทเรียนจากการเลือกตั้งผู้นำที่มองข้ามประโยชน์ชาติ
หนึ่งในข้อวิพากษ์สำคัญคือการตัดสินใจของยูเครนที่เลือกผู้นำซึ่ง มองข้ามความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์ และพยายามเดินหน้าชนรัสเซียอย่างไม่ไตร่ตรองถึงผลที่ตามมา เซเลนสกี้ในฐานะอดีตนักแสดงที่ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐ อาจไม่เข้าใจความซับซ้อนของเกมการเมืองระหว่างประเทศเท่าที่ควร และเลือกเดิมพันอนาคตของประเทศไว้กับการสนับสนุนของตะวันตกเพียงอย่างเดียว โดยลืมไปว่าการเจรจากับรัสเซียอาจเป็นหนทางที่หลีกเลี่ยงความเสียหายมหาศาลให้กับประเทศได้ตั้งแต่แรก

4. การเดินหมากครั้งสุดท้ายของยูเครน
แม้ว่ายูเครนจะพยายามต่อต้านต่อไป แต่ สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ กำลังพลที่ลดลง และการขาดการสนับสนุนจากตะวันตกกำลังบีบให้ยูเครนต้องคิดใหม่ หากยูเครนยังคงเลือกแนวทางแข็งกร้าว อาจเสี่ยงต่อการล่มสลายของรัฐคล้ายกับอัฟกานิสถานหลังสหรัฐฯ ถอนตัว หรืออาจถูกบังคับให้ยอมรับข้อตกลงที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมหาศาล ในท้ายที่สุด เซเลนสกี้อาจไม่มีทางเลือกนอกจากกลับไปเจรจากับปูติน แต่ คำถามที่แท้จริงคือ ยูเครนจะยังเหลืออะไรอยู่บ้างให้ต่อรอง?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top