Wednesday, 4 June 2025
COLUMNIST

‘The Mandela Rules’ เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ สำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ส่งผลอย่างมาก!! ต่อนโยบาย และแนวปฏิบัติ เกี่ยวกับเรือนจำทั่วโลก

องค์การสหประชาชาติ (UN) ให้ความสำคัญกับความทุกข์ยากของนักโทษและความรับผิดชอบที่ซับซ้อนของเจ้าหน้าที่เรือนจำมาโดยตลอด ดังนั้นในปี 1955 ประเทศสมาชิกของสหประชาชาติจึงได้นำกฎเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners: SMRs) มาใช้ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งแรกว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการจัดการสถานที่ในเรือนจำและการปฏิบัติต่อนักโทษมาเป็นเวลากว่า 60 ปี กฎเกณฑ์เหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนากฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับเรือนจำทั่วโลก

เมื่อกฎหมายระหว่างประเทศและความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางอาญาและสิทธิมนุษยชนได้รับการพัฒนา ประเทศสมาชิกสหประชาชาติก็ตระหนักว่ามาตรฐานการลงโทษจะได้รับประโยชน์จากการทบทวน ในปี 2011 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้จัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาลขึ้นเพื่อปรับปรุงมาตรฐานการลงโทษให้เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 โดยไม่ลดมาตรฐานที่มีอยู่ใด ๆ ตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปี 2015 ประเทศสมาชิกได้หารือเกี่ยวกับลักษณะและขอบเขตของการแก้ไขโดยได้รับความช่วยเหลือจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องยังได้รับเชิญให้มีส่วนร่วมด้วย

หลังจากวิเคราะห์ความก้าวหน้าของกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ ศาสตร์ที่เกี่ยวกับการลงโทษ และแนวทางปฏิบัติด้านการบริหารจัดการเรือนจำที่ดีตั้งแต่ปี 1955 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญได้เสนอให้แก้ไขกฎเกณฑ์เดิมมากกว่าหนึ่งในสามในเก้าประเด็นหลัก ได้แก่ ศักดิ์ศรีของนักโทษในฐานะมนุษย์ กลุ่มนักโทษที่เปราะบาง บริการด้านการดูแลสุขภาพ ข้อจำกัด วินัย และการลงโทษ การสืบสวนการเสียชีวิตและการทรมานในระหว่างการควบคุมตัว การเข้าถึงตัวแทนทางกฎหมายของนักโทษ การร้องเรียนและการตรวจสอบ การอบรมเจ้าหน้าที่เรือนจำ และคำศัพท์ที่ต้องปรับปรุง ในเดือนธันวาคม 2015 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติเห็นชอบเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติที่แก้ไขใหม่สำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ โดยเกณฑ์ดังกล่าวได้รับการตั้งชื่อว่า 'The Mandela Rules' เพื่อเป็นเกียรติแก่ 'Nelson Mandela' อดีตประธานาธิบดีแห่งแอฟริกาใต้ ซึ่งเคยถูกจำคุกเป็นเวลา 27 ปีเนื่องจากการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน

'The Mandela Rules' เป็น 'Soft law (กฎหมายอ่อน)' ซึ่งหมายความว่าข้อกำหนดนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย กฎหมายของประเทศมีอำนาจเหนือกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าข้อกำหนดเหล่านี้ไม่มีความสำคัญ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติซึ่งเป็นตัวแทนของชุมชนระหว่างประเทศได้นำข้อกำหนดเหล่านี้มาใช้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ตกลงกันโดยสากล ประเทศสมาชิกสหประชาชาติจำนวนมากได้นำบทบัญญัติของข้อกำหนดเหล่านี้มาใช้ในกฎหมายในประเทศของตนหรืออยู่ระหว่างดำเนินการ นอกจากนี้ ฝ่ายตุลาการในประเทศนั้น ๆ อาจใช้ข้อกำหนดเหล่านี้เป็นแหล่งข้อมูลรองเมื่อตัดสินว่าแนวทางปฏิบัติในเรือนจำของประเทศนั้นถูกต้องตามธรรมนูญดังกล่าวหรือไม่

“The Mandela Rules” เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษได้รับการรับรองโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2015 หลังจากผ่านกระบวนการแก้ไขเป็นเวลา 5 ปี ประกอบด้วย "ข้อกำหนด" 122 ข้อ ซึ่งไม่ใช่ข้อกำหนดทั้งหมด บางข้อเป็นหลักการ เช่น ความเท่าเทียมกันในสถาบันและปรัชญาของการกักขัง ข้อกำหนดดังกล่าวได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 1955 ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดจัดขึ้นที่เจนีวาและได้รับการอนุมัติโดยคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาติในมติเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1957 และ 13 พฤษภาคม 1977

ตั้งแต่คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมได้รับรองเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners : SMR) ในปี 1957 เป็นต้นมา เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษก็ได้กลายมาเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ แม้ว่าเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่มีข้อผูกมัดทางข้อกำหนดหมาย แต่เกณฑ์ดังกล่าวก็มีความสำคัญทั่วโลกในฐานะแหล่งข้อมูลสำหรับข้อกำหนดหมายระดับชาติที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการบริหารจัดการเรือนจำตามกฎหมายระหว่างประเทศและในประเทศสำหรับพลเมืองที่ถูกคุมขังในเรือนจำและการควบคุมตัวในรูปแบบอื่น ๆ หลักการพื้นฐานที่อธิบายไว้ในมาตรฐานดังกล่าวคือ "จะต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นอื่น ๆ ชาติกำเนิดหรือสังคม ทรัพย์สิน การเกิดหรือสถานะอื่น ๆ"

ภาคที่ 1 ประกอบด้วยเกณฑ์การใช้ทั่วไป ประกอบด้วยมาตรฐานที่กำหนดว่าอะไรเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีในการปฏิบัติต่อนักโทษและการจัดการสถาบันเรือนจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ: มาตรฐานขั้นต่ำของที่พัก (ข้อกำหนดข้อที่ 12 ถึง 17); สุขอนามัย ส่วนบุคคล (18); เครื่องแบบและเครื่องนอน* (19 ถึง 21); อาหาร (22); การออกกำลังกาย (23); บริการทางการแพทย์ (24 ถึง 35); วินัยและการลงโทษ (36 ถึง 46); การใช้เครื่องมือควบคุม (47 ถึง 49); การร้องเรียน (54 ถึง 57); การติดต่อกับโลกภายนอก (58 ถึง 63); ความพร้อมของหนังสือ (64); ศาสนา (65 และ 66); การยึดทรัพย์สินของนักโทษ (67); การแจ้งการเสียชีวิต การเจ็บป่วย การย้าย (68 ถึง 70); การเคลื่อนย้ายนักโทษ (73); คุณภาพและการฝึกอบรมของเจ้าหน้าที่เรือนจำ (74 ถึง 82); และการตรวจสอบเรือนจำ (83 ถึง 85)

*เครื่องแบบนักโทษคือชุดเสื้อผ้ามาตรฐานที่นักโทษสวมใส่ โดยทั่วไปจะประกอบด้วยเสื้อผ้าที่มองเห็นได้ชัดเจนเพื่อบ่งบอกว่าผู้สวมใส่เป็นนักโทษ โดยแตกต่างจากเสื้อผ้าของทางการอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ระบุตัวนักโทษได้ทันที จำกัดความเสี่ยงผ่านวัตถุที่ซ่อนอยู่ และป้องกันการบาดเจ็บผ่านวัตถุที่สวมบนเสื้อผ้าที่ไม่ได้ระบุตัวตน เครื่องแบบนักโทษยังสามารถทำลายความพยายามหลบหนีได้ เพราะเครื่องแบบนักโทษโดยทั่วไปใช้การออกแบบและรูปแบบสีที่สังเกตเห็นและระบุได้ง่ายแม้จะอยู่ห่างไกลออกไป การสวมเครื่องแบบนักโทษมักจะทำอย่างไม่เต็มใจและมักถูกมองว่าเป็นการตีตราและละเมิดอำนาจการตัดสินใจของตนเอง โดยในกฎข้อที่ 19 กำหนดว่า 
- ผู้ต้องขังทุกคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าของตนเอง จะต้องได้รับชุดเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและเพียงพอที่จะรักษาสุขภาพที่ดี เสื้อผ้าดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือทำให้ผู้อื่นอับอายแต่อย่างใด
- เสื้อผ้าทั้งหมดต้องสะอาดและอยู่ในสภาพที่เหมาะสม เสื้อผ้าชั้นในจะต้องเปลี่ยนและซักบ่อยเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาสุขอนามัย
- ในสถานการณ์พิเศษ เมื่อใดก็ตามที่นักโทษถูกนำตัวออกไปนอกเรือนจำเพื่อวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต นักโทษจะได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าของตนเองหรือเสื้อผ้าที่ไม่สะดุดตาอื่น ๆ

ภาคที่ 2 ประกอบด้วยเกณฑ์ที่บังคับใช้กับนักโทษประเภทต่างๆ รวมถึงนักโทษที่ถูกพิพากษาโทษ มีหลักเกณฑ์หลายประการ (ข้อกำหนดข้อที่ 86 ถึง 90) การปฏิบัติ (การฟื้นฟู) นักโทษ (91 และ 92) การจำแนกประเภทและการทำให้เป็นรายบุคคล (93 และ 94) สิทธิพิเศษ (95) การทำงาน[ 4 ] (96 ถึง 103) การศึกษาและการพักผ่อนหย่อนใจ (104 และ 105) ความสัมพันธ์ทางสังคมและการดูแลภายหลัง (106 ถึง 108) ภาคที่ 2 ยังมีเกณฑ์สำหรับนักโทษที่ถูกจับกุมหรืออยู่ระหว่างรอการพิจารณาคดี (โดยทั่วไปเรียกว่า "การพิจารณาคดีระหว่างพิจารณาคดี") เกณฑ์สำหรับนักโทษทางแพ่ง (สำหรับประเทศที่ข้อกำหนดหมายท้องถิ่นอนุญาตให้จำคุกเนื่องจากหนี้สิน หรือตามคำสั่งศาลสำหรับกระบวนการที่ไม่ใช่ทางอาญาอื่นๆ) และเกณฑ์สำหรับบุคคลที่ถูกจับกุมหรือคุมขังโดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา

ในปี 2010 สมัชชาใหญ่ได้ขอให้คณะกรรมาธิการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญาจัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาลที่เปิดกว้างเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ไขเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้านเรือนจำและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่าการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ใด ๆ จะไม่ส่งผลให้มาตรฐานที่มีอยู่ลดลง สมัชชาใหญ่ยังได้เน้นย้ำถึงหลักการหลายประการที่ควรเป็นแนวทางสำหรับกระบวนการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง รวมถึง (ก) การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์มาตรฐานใดๆ ไม่ควรทำให้มาตรฐานที่มีอยู่ลดลง แต่ควรปรับปรุงเกณฑ์เพื่อให้สะท้อนถึงความก้าวหน้าของศาสตร์ด้านการบริหารขัดการเรือนจำ และแนวทางปฏิบัติที่ดีเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย ความมั่นคง และสภาพความเป็นมนุษย์ของนักโทษ และ (ข) กระบวนการแก้ไขควรคงขอบเขตการใช้เกณฑ์มาตรฐานที่มีอยู่สำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ และยังคงคำนึงถึงความแตกต่างทางสังคม ข้อกำหนดหมาย และวัฒนธรรม ตลอดจนภาระผูกพันด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศสมาชิก

ในเดือนธันวาคม 2015 สมัชชาใหญ่ได้มีมติเห็นชอบมติ 70/175 เรื่อง "ข้อกำหนดขั้นต่ำมาตรฐานของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (“The Mandela Rules”) การอ้างอิงนี้ไม่เพียงแต่เพื่อรับทราบถึงการสนับสนุนอย่างสำคัญของแอฟริกาใต้ต่อกระบวนการแก้ไขเท่านั้น แต่ยังเพื่อเป็นเกียรติแก่“Nelson Mandela” ผู้ซึ่งใช้เวลา 27 ปีในเรือนจำระหว่างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ ดังนั้น สมัชชาใหญ่จึงได้ตัดสินใจขยายขอบเขตของ “วัน Nelson Mandela สากล” (18 กรกฎาคม) เพื่อใช้เพื่อส่งเสริมสภาพการจำคุกในเรือนจำอย่างมีมนุษยธรรม เพื่อสร้างความตระหนักรู้ว่านักโทษเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเพื่อให้เห็นคุณค่าของการทำงานของเจ้าหน้าที่เรือนจำในฐานะบริการสังคมที่มีความสำคัญ

เว็บไซต์นอร์เวย์ เปิดบันทึกพระราชหัตถเลขา ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเขียนถึง พระธิดา ทรงทำนายตั้งแต่ปี 1907 ไว้ว่า ‘ในอนาคตจะมีโทรศัพท์แบบพกพา ที่เล็กเท่านาฬิกาพก’

(1 พ.ค. 68) พอดีไปเจอบทความต่างประเทศฉบับหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ เป็นเรื่องราวจากเว็บไซต์นอร์เวย์ชื่อ Mykles.com ที่เล่าเหตุการณ์เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) และได้เสด็จถึงประเทศนอร์เวย์ ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นดินแดนแห่งเทคโนโลยีพลังน้ำที่ก้าวหน้ามากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ว่ากันว่า พระองค์ทรงเดินทางไปยังเมืองโนโทดเดิน (Notodden) เพื่อศึกษาดูงานด้านไฟฟ้า และได้พบกับวิศวกรผู้มีชื่อเสียงคือ แซม ไอเด (Sam Eyde) ผู้ก่อตั้งบริษัท Norsk Hydro ซึ่งเป็นผู้ผลิตปุ๋ยจากไนโตรเจนด้วยกระแสไฟฟ้า

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ — ในบันทึกพระราชหัตถเลขาที่พระองค์ทรงเขียนถึงพระธิดา (เจ้าหญิงน้อย) ที่กรุงเทพฯ พระองค์ได้เล่าถึงบทสนทนาในค่ำคืนหนึ่งว่า:
> “คงไม่เกินเลยนักหากจะทำนายว่าในอนาคตจะมีโทรศัพท์แบบพกพาที่เล็กเท่านาฬิกาพก เมื่อคุณต้องการสนทนา เพียงพูดกับนาฬิกา แล้วแนบหูฟังเสียงจากอีกฝ่าย...”

หลายคนที่ได้อ่านตรงนี้อาจจะตกใจ เพราะนี่มันคือภาพของ 'สมาร์ตวอทช์' อย่างแท้จริง — แต่ถูกจินตนาการไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907!!

บทความนั้นเล่าอีกว่า พระองค์ทรงเสด็จแบบ 'in cognito' หรือไม่ได้เปิดเผยสถานะความเป็นพระมหากษัตริย์ ทำให้สามารถสังเกตสังคมนอร์เวย์ในเวลานั้นได้อย่างลึกซึ้ง — ทั้งความยากจน ความตั้งใจของผู้คน และความมุมานะในการพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์

นอกจากเรื่องโทรศัพท์พกพาแล้ว พระองค์ยังสนทนากับนักวิทยาศาสตร์นามว่า คริสเตียน บีร์เคอลันด์ (Kristian Birkeland) ถึงเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า ปืนไฟฟ้า การทำฝนเทียม และการสื่อสารแบบไร้สายด้วยพลังน้ำฟ้า — ซึ่งก็ล้ำยุคไม่แพ้กัน

บทความนี้ทำให้เรากลับมาทบทวนอีกครั้งว่า พระมหากษัตริย์ไทยในอดีต มิได้ทรงเป็นเพียง 'ผู้อุปถัมภ์' เท่านั้น หากยังทรงเป็น 'นักวิทยาศาสตร์' และ 'นักพยากรณ์เทคโนโลยี' ผู้เห็นไกลเกินยุคสมัย

ในวันที่พวกเราสวมสมาร์ตวอทช์ไว้ที่ข้อมือ และคุยโทรศัพท์ผ่านนาฬิกาได้จริง ๆ นั้น... ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่กษัตริย์ไทยเคยจินตนาการไว้เมื่อ 100 ปีก่อน

ถอดรหัส 'การส่งออกก๊าซระหว่างรัสเซียและอิหร่าน' การสร้างพันธมิตรทางพลังงานและผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์

ในระยะหลังความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่านในด้านพลังงานมีการพัฒนาและขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในแง่ของการค้าพลังงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์โลก การตกลงของรัสเซียที่จะเริ่มการส่งก๊าซไปยังอิหร่านในปีนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสใหม่ในความร่วมมือทางพลังงานระหว่างสองประเทศนี้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัสเซียและอิหร่าน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทิศทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลางและมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจในระดับโลกได้

อิหร่านเป็นหนึ่งในประเทศที่มีทรัพยากรพลังงานสำคัญ โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติในขณะที่รัสเซียก็เป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ของโลก การที่ทั้งสองประเทศสามารถทำข้อตกลงในเรื่องการส่งก๊าซจะทำให้ทั้งสองฝ่ายมีอำนาจในการควบคุมตลาดพลังงานในภูมิภาคและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกันการร่วมมือด้านพลังงานนี้ยังช่วยเสริมสร้างบทบาทของทั้งสองประเทศในฐานะ "ผู้เล่นสำคัญ" ในการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีความขัดแย้งและการแทรกแซงจากประเทศภายนอกรวมถึงสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก

จากมุมมองของรัสเซียการส่งก๊าซไปยังอิหร่านไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างพันธมิตรทางพลังงานที่สามารถช่วยให้รัสเซียมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวแต่ยังเป็นการแสดงออกถึงอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ซึ่งการมีอำนาจในตลาดพลังงานเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกันอิหร่านก็จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มการจัดหาก๊าซในตลาดภายในประเทศและเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้ากับหนึ่งในประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามข้อตกลงนี้ไม่เพียงแต่จะกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมืองภายในสองประเทศเท่านั้นแต่ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบภูมิรัฐศาสตร์โลกโดยเฉพาะในแง่ของการยกระดับความตึงเครียดกับชาติตะวันตกและการสร้างแนวทางใหม่ในการคัดค้านการแทรกแซงจากมหาอำนาจต่างๆ การขยายตัวของความสัมพันธ์พลังงานระหว่างรัสเซียและอิหร่านจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่เพียงแต่ในแง่ของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแต่ยังมีผลต่อการปรับเปลี่ยนทิศทาง ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ในด้านเศรษฐกิจรัสเซียได้เผชิญกับผลกระทบจากการคว่ำบาตรที่เข้มข้นจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในด้านการส่งออกพลังงาน ทำให้ต้องหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนการสูญเสียตลาดยุโรปที่มีมูลค่าสูง ขณะเดียวกันการขยายตลาดไปยังเอเชียกลางและตะวันออกกลางช่วยให้รัสเซียสามารถรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดพลังงานโลก อิหร่านเองก็มีสถานการณ์คล้ายกัน เนื่องจากการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรทำให้การส่งออกก๊าซและน้ำมันของประเทศถูกจำกัด การมีพันธมิตรในรัสเซียจึงเป็นโอกาสที่อิหร่านสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการคว่ำบาตรและเพิ่มการเข้าถึงตลาดพลังงานใหม่ๆ ทั้งในแง่ของการส่งออกและการบริโภคในประเทศ การตกลงเพื่อส่งก๊าซระหว่างทั้งสองประเทศจึงมีความสำคัญในฐานะการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและเศรษฐกิจของทั้งรัสเซียและอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่การกดดันทางเศรษฐกิจจากประเทศตะวันตกยังคงมีอยู่

ผลประโยชน์ที่ทั้งสองชาติจะได้รับจากการส่งออกก๊าซ
รัสเซีย: การส่งก๊าซไปยังอิหร่านถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคที่มีความต้องการพลังงานสูงในช่วงนี้ การมีตลาดพลังงานใหม่ในอิหร่านและพื้นที่ตะวันออกกลางจะทำให้รัสเซียสามารถกระจายการพึ่งพาตลาดยุโรปได้มากขึ้น นอกจากนี้การเป็นผู้ส่งออกก๊าซหลักไปยังอิหร่านจะช่วยเพิ่มบทบาทของรัสเซียในฐานะผู้นำทางพลังงานของโลกในระดับภูมิภาคและทั่วโลก

อิหร่าน: สำหรับอิหร่านการรับก๊าซจากรัสเซียจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในด้านพลังงานภายในประเทศ ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาการผลิตพลังงานภายในที่ลดลงจากการคว่ำบาตรต่างๆ การมีรัสเซียเป็นพันธมิตรทางพลังงานจะช่วยให้การจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูกและสะดวกสบายยิ่งขึ้นซึ่งจะมีผลดีต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ของประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานภายในประเทศและยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ในทางภูมิรัฐศาสตร์ความร่วมมือทางพลังงานนี้ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างรัสเซียและอิหร่าน โดยทำให้ทั้งสองประเทศสามารถรับมือกับการแทรกแซงจากต่างชาติได้ดีขึ้นทั้งในระดับเศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลให้พวกเขามีอิทธิพลมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ

การตอบสนองของโลกตะวันตกต่อการขยายอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาค
ข้อตกลงระหว่างรัสเซียและอิหร่านในเรื่องการส่งออกก๊าซธรรมชาติได้สร้างความวิตกกังวลในหมู่ประเทศตะวันตกที่อาจมองว่าการร่วมมือทางพลังงานระหว่างสองประเทศนี้อาจเสริมสร้างอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในบริบทที่รัสเซียและอิหร่านมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความมั่นคงทางทหารและภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสองประเทศต่างมีความมุ่งมั่นที่จะท้าทายอิทธิพลของสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกในตะวันออกกลางและพื้นที่อื่น ๆ การที่รัสเซียสามารถส่งออกก๊าซให้กับอิหร่านได้มากขึ้น น่าจะเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างกัน ซึ่งสามารถมีผลต่ออำนาจการต่อรองในหลาย ๆ สนาม

การขยายความสัมพันธ์ทางพลังงานระหว่างรัสเซียและอิหร่านคงจะไม่ได้ผ่านไปอย่างราบรื่น เนื่องจากโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ และประเทศในยุโรปมีท่าทีต่อต้านการพัฒนาเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการส่งออกพลังงานในปริมาณมาก สิ่งนี้สามารถเสริมสร้างสถานะของอิหร่านในฐานะผู้ผลิตพลังงานสำคัญในภูมิภาคและลดผลกระทบของการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ และ EU ได้ใช้กับอิหร่านมาก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรในยุโรปอาจตอบสนองด้วยการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น เช่น การจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงาน หรือการห้ามการลงทุนในโครงสร้างพลังงานของอิหร่าน นอกจากนี้อาจมีการใช้มาตรการทางการทูตเพื่อกดดันรัสเซียและอิหร่านให้ลดความร่วมมือในภาคพลังงานรวมถึงการขยายการคว่ำบาตรจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติหรือ G7 เพื่อลดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ

การร่วมมือระหว่างรัสเซียและอิหร่านในด้านพลังงานสร้างความท้าทายทางการทูตที่ซับซ้อนสำหรับโลกตะวันตก โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐฯ และพันธมิตรไม่สามารถหาทางออกที่สามารถหยุดยั้งการเติบโตของความสัมพันธ์นี้ได้ ความพยายามที่จะจำกัดการเข้าถึงทรัพยากรพลังงานและการส่งออกของอิหร่านอาจทำให้เกิดปัญหาทางการทูตในด้านต่าง ๆ อาทิเช่น การขยายบทบาทของรัสเซียในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เช่น ในซีเรีย หรือลงลึกไปในการช่วยเหลือด้านพลังงานที่อาจสนับสนุนโครงการทางทหารของอิหร่านที่มีความเสี่ยงสูง

ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสองขั้วอำนาจนี้ สหรัฐฯ และพันธมิตรอาจมีการปรับกลยุทธ์ทางการทูตเพื่อเผชิญหน้ากับการพัฒนาความสัมพันธ์ทางพลังงานของรัสเซียและอิหร่าน โดยการเจรจากับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเพื่อเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือการสนับสนุนการดำเนินการทางการทูตที่มีลักษณะเชิงรุกมากขึ้น การขยายมาตรการคว่ำบาตรและเพิ่มแรงกดดันต่อทั้งรัสเซียและอิหร่านอาจกลายเป็นเครื่องมือหลักในการปกป้องผลประโยชน์ของโลกตะวันตกและสกัดกั้นการเติบโตของอิทธิพลรัสเซียในตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่น ๆ การพัฒนาความสัมพันธ์ทางพลังงานนี้ยังอาจเป็นการทดสอบการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงประเทศในเอเชียกลางที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ในบริเวณนี้ ท่ามกลางความกังวลที่มีต่อการขยายอิทธิพลของรัสเซียและอิหร่านในเชิงพลังงานและการเมือง

ผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
การตกลงระหว่างรัสเซียและอิหร่านในการส่งออกก๊าซธรรมชาติอาจเสริมสร้างอำนาจของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับประเทศในภูมิภาคมีความเข้มแข็งขึ้น รัสเซียได้เข้ามามีบทบาทในหลายพื้นที่สำคัญของตะวันออกกลาง อาทิเช่น ซีเรีย โดยที่การสนับสนุนของรัสเซียต่อรัฐบาลของบาชาร์ อัล-อัสซาดยังคงมีบทบาทสำคัญในการคงอำนาจของรัฐบาลในดามัสกัสและการป้องกันไม่ให้กลุ่มอำนาจตะวันตกขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้การที่รัสเซียสามารถส่งออกก๊าซไปยังอิหร่านได้มากขึ้นยิ่งทำให้รัสเซียกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักทางเศรษฐกิจในภูมิภาคซึ่งสามารถขยายอิทธิพลในระดับภูมิรัฐศาสตร์โดยการใช้พลังงานเป็นเครื่องมือในการต่อรองและการสร้างพันธมิตรกับประเทศต่าง ๆ ในตะวันออกกลาง การมีส่วนร่วมของรัสเซียในการดำเนินการทางพลังงานของอิหร่านและการส่งออกก๊าซยังช่วยเสริมความสามารถของรัสเซียในการเข้าถึงตลาดพลังงานที่สำคัญของโลกซึ่งจะทำให้รัสเซียสามารถใช้พลังงานเป็นเครื่องมือในการปรับกลยุทธ์ทางการทูตและภูมิรัฐศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในขณะที่การขยายความร่วมมือทางพลังงานกับรัสเซียจะมีผลกระทบสำคัญต่อทิศทางการดำเนินนโยบายพลังงานของอิหร่านโดยเฉพาะในด้านการส่งออกก๊าซและน้ำมันที่สำคัญ อิหร่านที่เคยต้องพึ่งพาความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคและตะวันตกในการค้าขายพลังงานอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่การพึ่งพารัสเซียมากขึ้นในการพัฒนาและส่งออกก๊าซธรรมชาติ การร่วมมือในโครงการพลังงานกับรัสเซียจะช่วยให้การส่งออกพลังงานของอิหร่านเติบโตขึ้นขณะเดียวกันก็ช่วยลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่โลกตะวันตกได้ใช้กับอิหร่านก่อนหน้านี้ นอกจากนี้อิหร่านยังสามารถใช้ความสัมพันธ์ทางพลังงานกับรัสเซียเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในประเทศซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน เช่น การขุดเจาะและขนส่งก๊าซรวมถึงการสร้างงานในภาคพลังงานภายในประเทศโดยเฉพาะในช่วงที่อิหร่านมีความพยายามในการหลีกเลี่ยงการพึ่งพิงจากประเทศตะวันตก

การขยายความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่านในด้านพลังงานไม่เพียงแต่จะมีผลกระทบต่อรัสเซียและอิหร่านเท่านั้นแต่ยังส่งผลกระทบต่อลักษณะของความสัมพันธ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางในหลาย ๆ ด้าน ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ หรือชาติในยุโรปอาจรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการขยายอำนาจของรัสเซียและอิหร่าน การเพิ่มขึ้นของอิทธิพลรัสเซียในภูมิภาคอาจทำให้ประเทศเหล่านี้มองว่าการร่วมมือระหว่างรัสเซียและอิหร่านเป็นการท้าทายอำนาจของตะวันตกในตะวันออกกลาง สำหรับประเทศที่เคยพึ่งพาพลังงานจากอิหร่านหรือรัสเซีย เช่น ประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซีย ประเทศเหล่านี้อาจต้องปรับตัวในด้านการพัฒนาพลังงานและการตลาดใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการขยายตัวของความสัมพันธ์ทางพลังงานระหว่างรัสเซียและอิหร่านที่อาจทำให้การแข่งขันในตลาดพลังงานเพิ่มสูงขึ้น การเพิ่มความร่วมมือในด้านพลังงานระหว่างสองประเทศนี้ยังอาจทำให้ความตึงเครียดในภูมิภาคที่มีอยู่แล้วระหว่างประเทศต่าง ๆ เช่น ซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ทวีความรุนแรงขึ้นและอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางการลงทุนในโครงสร้างพลังงานของประเทศต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง

บทสรุป ข้อตกลงการส่งก๊าซระหว่างรัสเซียและอิหร่านในปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่มีผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะในด้านพลังงานและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแค่เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศแต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่งในการเจรจาทางการทูตของทั้งรัสเซียและอิหร่านในเวทีโลก นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างอำนาจของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางและสามารถปรับสมดุลพลังงานในตลาดโลกได้ การส่งออกก๊าซไปยังอิหร่านไม่เพียงแค่ช่วยเสริมความมั่นคงทางพลังงานของทั้งสองประเทศ แต่ยังเสริมสร้างอำนาจและอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีการแข่งขันสูง ข้อตกลงนี้ยังสามารถเป็นเครื่องมือในการลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรของตะวันตกและช่วยให้รัสเซียและอิหร่านมีความสามารถในการต่อรองทางเศรษฐกิจและการทูต ในอนาคต ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่านคาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งขึ้นโดยเฉพาะในด้านพลังงานและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การส่งออกก๊าซจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างอิทธิพลของทั้งสองประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ขณะเดียวกันก็จะส่งผลให้เกิดการปรับตัวของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเพื่อรักษาความสมดุลและผลประโยชน์ทางพลังงานของตนเอง ความร่วมมือนี้อาจมีผลต่อทิศทางภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคในระยะยาวและกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดอนาคตของการเมืองโลก

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#20 'ทำไมสหรัฐฯ จึงไม่ชนะในสงครามอินโดจีน'

สงครามอินโดจีนที่สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมคงต้องใช้คำว่า “ไม่ชนะ” แทนคำว่า “พ่ายแพ้” เพราะอันที่จริงแล้วศักยภาพของกองทัพอเมริกันและพันธมิตรสามารถเอาชนะสงครามอินโดจีนได้ หากเป็นการรบตามแบบ และไม่คำนึงถึงปัญหาอุปสรรคอันเกิดจากข้อจำกัดต่าง ๆ ตลอดจนการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศของสหรัฐฯ เอง รวมทั้งการไม่สามารถเอาชนะทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และจิตวิทยาภายในเวียตนามทั้งเหนือและใต้อีกด้วย สงครามเวียตนามของสหรัฐฯ ผ่านการบริหารประเทศโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึง 5 คน ได้แก่ Truman, Eisenhower, Kennedy, Johnson และ Nixon

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วย OSS (ต้นกำเนิดของ CIA ในปัจจุบัน) ได้ขบวนการเวียตมินห์ (ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นกองทัพประชาชนเวียตนาม) ซึ่งโฮจินมินห์เป็นผู้ก่อตั้งเป็นพันธมิตรในการสู้รบกับญี่ปุ่น ด้วยการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อให้เวียตมินห์ช่วยเหลือนักบินอเมริกันที่ถูกยิงตกและหาข่าวให้กับ OSS หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงในปี 1945 ความผิดพลาดของสหรัฐฯ ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1946 เมื่อประธานาธิบดี Truman ได้ปฏิเสธคำขอความช่วยเหลือของโฮจิมินห์ในการขับไล่ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคม โดยเลือกที่จะสนับสนุนฝรั่งเศสแทน ทั้ง ๆ ที่ตัวโฮจิมินห์เองรู้สึกขอบคุณและชื่นชมสหรัฐฯ ที่ช่วยขบวนการเวียตมินห์จนสามารถขับไล่ญี่ปุ่นจากการยึดครองเวียตนามต่อจากฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิม อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สหรัฐฯไม่สามารถเอาชนะทั้ง “จิตใจและแนวคิด” ของชาวเวียตนามได้ ซ้ำร้ายผลจากสงครามเย็นทำให้สังคมอเมริกันโดยรวมถูกกระแสต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าครอบงำ จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับเวียตนามเหนือไม่เป็นไปด้วยดีตาม แล้วก็เข้าสู่สงครามในที่สุด

ประธานาธิบดี Harry S. Truman จึงเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ทำให้สหรัฐฯ เข้าไปเกี่ยวข้องกับเวียตนาม ในปี 1945 เขาได้รับคำเตือนจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศด้านกิจการเอเชีย ภายหลังจากการเข้ารับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt (ผู้ซึ่งต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมหรือการล่าอาณานิคม) ซึ่งเสียชีวิตในตำแหน่ง ว่า การกลับมาปกครองเวียตนามของฝรั่งเศสจะนำไปสู่ "การนองเลือดและความไม่สงบ" แต่ประธานาธิบดี Truman กลับยอมรับต่อการกลับเข้าปกครองอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศสอีกครั้ง ด้วยหวังว่า เรื่องดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการเกื้อหนุนเศรษฐกิจและเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับฝรั่งเศส (ซึ่งพ่ายแพ้ต่อเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างหมดรูป) อีกครั้งหนึ่ง ไม่ช้าฝรั่งเศสก็กลับมาปกครองเวียตนามพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์จากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และเปิดฉากสู้รบกับกองทัพประชาชนเวียตนามหรือเวียตมินห์ของของโฮจิมินห์ในทันที โดยแรก ๆ นั้น สหรัฐอเมริกายังคงดำรงความเป็นกลางอย่างเป็นทางการ หลีกเลี่ยงการติดต่อใด ๆ กับโฮจิมินห์ อย่างไรก็ตามต่อมาในปี 1947 ประธานาธิบดี Truman ยืนยันว่านโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ คือการช่วยเหลือประเทศที่ยืนหยัดต่อการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ สงครามเกาหลีในปี 1950 รวมถึงความช่วยเหลือจากจีนและสหภาพโซเวียตต่อเวียตหมินห์ทำให้ประธานาธิบดี Truman กลับมาพิจารณาและให้จัดเวียตนามเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการทำสงครามเย็น ด้วยความกลัวว่า ที่สุดเวียตนามจะกลายเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ เขาได้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมกับที่ปรึกษาทางทหารจำนวน 35 นาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดความช่วยเหลือมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ มอบให้แก่ฝรั่งเศส และยิ่งถลำลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปลายสมัยที่สองของประธานาธิบดี Truman สหรัฐฯ ได้ทุ่มงบมากกว่าหนึ่งในสามของค่าใช้จ่ายในการทำสงครามในเวียตนามให้กับฝรั่งเศส และในที่สุดได้เพิ่มจำนวนเงินงบประมาณเป็นประมาณ 80% ของค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม

ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 2 ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนาม ในปี 1954 ฝรั่งเศสประสบความพ่ายแพ้ชนิดหมดรูปที่เดียนเบียนฟู ทำให้ความพยามในการครอบครองอาณานิคมของพวกเขาสิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บางคนได้เสนอให้ทำการโจมตีทางอากาศ รวมถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อรักษาสถานภาพของฝรั่งเศส แต่ประธานาธิบดี Eisenhower ปฏิเสธ เพราะสงครามเกาหลีพึ่งจะสงบลงได้ไม่นานนัก ประธานาธิบดี Eisenhower ได้เขียนไว้ในบันทึกของเขา ว่า “ผมเชื่อมั่นว่าจะไม่มีชัยชนะทางทหารเกิดขึ้นเหมือนอดีตอีกแล้ว” แต่ด้วยเขาเป็นผู้ที่เชื่อใน "ทฤษฎีโดมิโน" ซึ่งมีแนวคิดที่ว่า หากประเทศใดประเทศหนึ่งพ่ายแพ้ต่อลัทธิคอมมิวนิสต์แล้ว จะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามมา จึงปฏิเสธที่ปล่อยเวียตนามโดยสิ้นเชิง ที่สุดเวียตนามถูกแบ่งเป็นสองประเทศโดยมีโฮจินมินห์เป็นผู้นำเวียตนามเหนือ และ Ngo Dinh Diem ผู้ซึ่งเป็นพวกนิยมชาติตะวันตกได้รับการสนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดีของเวียตนามใต้ แต่เขาเป็นชาวเวียตนามเชื้อสายจีนจากตระกูลที่มั่งคั่ง ซ้ำยังเป็นแคทอลิก ในขณะที่ชาวเวียตนามใต้ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธและมีฐานะยากจน การเลือกตั้งซึ่งควรจะเกิดขึ้นเพื่อรวมเวียตนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน แต่ถูกประธานาธิบดี Diem หยุดไว้ด้วยการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ด้วยเกรงว่า โฮจินมินห์จะชนะการเลือกตั้งและมีความชอบธรรมที่จะรวมเวียตนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน

แม้ว่า ประธานาธิบดี Diem จะถูกขุดคุ้ยตรวจสอบและประจักษ์ชัดว่า เป็นพวกเผด็จการและทุจริตโกงกิน แต่ประธานาธิบดี Eisenhower ก็เรียกเขาว่า "รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด" และ "ตัวอย่างของผู้คนที่เกลียดชังทรราชและรักเสรีภาพ" ที่สำคัญกว่านั้นเขายังได้จัดหาเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ ประธานาธิบดี Diem โดยมอบเงินช่วยเหลือจำนวนมากในระหว่างปี 1955 ถึง 1960 และเพิ่มจำนวนที่ปรึกษาทางทหารเพิ่มเป็น 1,000 นาย เมื่อประธานาธิบดี Eisenhower หมดวาระการดำรงตำแหน่ง การสู้รบอย่างเปิดเผยระหว่างกองกำลังทหารของประธานาธิบดี Diem กับเวียตกง ในเวียตนามใต้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเวียตนามเหนือก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 3 ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนามคือ ประธานาธิบดี John F. Kennedy หลังจากไปเยือนเวียตนามในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 1951 เขาได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อสาธารณชนที่สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือแก่ฝรั่งเศสในเวียตนาม โดยเขากล่าวว่า การกระทำนั้น “เป็นการท้าทายความเป็นชาตินิยมโดยรู้ล่วงหน้าว่าจะล้มเหลวอยู่แล้ว” และอีก 3 ปีต่อมาเขาได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า “ผมเชื่อในความเชื่อที่ว่า ไม่มีความช่วยเหลือทางทหารของอเมริกันจำนวนมาก…จะสามารถพิชิตศัตรูได้ทุกที่ในเวลาเดียวกัน” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1960 ด้วยความกังวลว่า จะถูกตราหน้าว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี Kennedy ได้จัดหาเครื่องบินขับไล่ไอพ่น เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินลำเลียง เรือลาดตระเวนลำน้ำ และอาวุธยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ให้กับเวียตนามใต้ นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ใช้ Napalm และ สารพิษ เช่น ฝนเหลือง (Agent Orange) และเพิ่มที่ปรึกษาทางทหารเป็น 16,000 คน บางนายมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการรบอย่างลับ ๆ ต่อมาประธานาธิบดี Diem ผู้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนถูกรัฐประหารและสังหารในปี 1963 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดี Kennedy จะถูกลอบสังหาร โดยก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิตไม่นาน เขาเคยบอกกับคณะทำงานของเขาว่า เขาอาจจะถอนกำลังและการสนับสนุนออกจากเวียตนามภายหลังจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่า เขาจะทำเช่นนั้นจริงหรือไม่

ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 4 ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนาม หลังการลอบสังหารของประธานาธิบดี Kennedy การมีส่วนร่วมในสงครามเวียตนามของสหรัฐฯ ยังค่อนข้างจำกัด แต่สิ่งนั้นได้เปลี่ยนไปในเดือนสิงหาคม 1964 “เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย” ทำให้รัฐสภาอเมริกันมอบอำนาจในการทำสงครามอย่างไม่จำกัดให้กับประธานาธิบดี Johnson ผู้ซึ่งพึ่งเข้าดำรงตำแหน่ง เพราะตระหนักว่า รัฐบาลและกองทัพเวียตนามใต้กำลังจะล่มสลาย ประธานาธิบดี Johnson ได้ส่งกำลังรบสหรัฐเข้าสู่สนามรบในเวียตนามเป็นครั้งแรกในต้นปี 1965 และให้มีการทิ้งระเบิดขนานใหญ่ในชื่อรหัสว่า Operation Rolling Thunder ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าวดำเนินต่อเนื่องมาอีกหลายปี ในไม่ช้าร่างรัฐบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสงครามเวียตนามใต้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย พร้อมกับการต่อต้านร่างกฎหมายเหล่านั้น ในปี 1967 มีทหารอเมริกันราว 500,000 นายในเวียตนามใต้ และในปีเดียวกันนั้นมีก็การประท้วงต่อต้านสงครามครั้งใหญ่ในเมืองต่าง ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ต่างยืนยันกับประธานาธิบดี Johnson ว่า ชัยชนะกำลังใกล้เข้ามา แต่ต่อมาเมื่อเอกสารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ถูกเปิดเผยในภายหลังกลายเป็นว่า ความคิดเห็นเหล่านี้ทำให้เข้าใจผิดอย่างมากมาย ในความเป็นจริงแล้วการสู้รบในเวียตนามใต้นั้นได้กลายเป็นหลุมใหญ่และลึกไปเสียแล้ว สงครามเวียตนามกลายเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก และประธานาธิบดี Johnson ก็กลายเป็นพวกกระหายสงคราม ในที่สุดประธานาธิบดี Johnson ก็ตัดสินใจที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 1968

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 5 คนสุดท้ายที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนามคือ ประธานาธิบดี Richard Nixon ในการรณรงค์ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี Nixon สัญญาว่า จะยุติสงครามเวียตนาม อย่างไรก็ตามภายหลังปรากฏว่า มีพยายามขัดขวางการเจรจาสันติภาพเพื่อทำให้คะแนนเสียงของเขาดีขึ้น ในฐานะประธานาธิบดี ประธานาธิบดี Nixon ค่อยๆ ทยอยถอนทหารอเมริกันออกจากเวียตนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Vietnamization” แต่เขาก็เพิ่มความขัดแย้งในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การอนุมัติการโจมตีทางอากาศอย่างลับ ๆ ในกัมพูชาในปี 1969 ต่อมาส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าไปยังกัมพูชาในปี 1970 และอนุมัติการบุกลาวในปี 1971 ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์อย่างยิ่งในการทำลายเส้นทางลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธปัจจัยกองกำลังเวียตกง นอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดี Nixon ยังสั่งให้มีการโจมตีทางอากาศที่รุนแรงที่สุดในสงคราม ซึ่งส่งผลเวียตนามเหนือถูกทิ้งระเบิดถึง 36,000 ตัน ในช่วงปลายปี 1972 ในเดือนมกราคมปี 1973 เมื่อกรณีอื้อฉาว Watergate ถูกเปิดเผย ประธานาธิบดี Nixon จึงยุติบทบาทการมีส่วนร่วมโดยตรงของสหรัฐฯ ในเวียตนาม โดยกล่าวว่า ปฏิบัติการ "สันติภาพอย่างมีเกียรติ" ประสบความสำเร็จ แม้จะปรากฏว่า การสู้รบในเวียตนามยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 1975 กระทั่งกองกำลังทหารเวียตนามเหนือและกองกำลังเวียตกงสามารถยึดกรุงไซ่ง่อนได้เมื่อ 30 เมษายน 1975 เมืองหลวงของเวียตนามใต้ และรวมประเทศเข้าด้วยกันภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์เวียตนาม

สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในอินโดจีนด้วยเหตุผลคือ การป้องกันการแผ่อำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต และสหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ โดยยอมละเลยอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยของตนด้วยการสนับสนุนให้กองทัพที่เป็นพวกเป็นฝ่ายที่สนับสนุนและยอมทำตามสหรัฐฯ ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้ง นี้คือ อีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ พ่ายแพ้ในภูมิภาคนี้ด้วยผู้นำทางทหารเหล่านั้นเมื่อยึดอำนาจสำเร็จแล้วแทนที่จะพัฒนาชาติบ้านเมือง กลับกลายเป็นเผด็จการทรราชทำการทุจริตโกงกินคอร์รัปชันกันอย่างมากมายมหาศาล เมื่อนายทหารใหญ่ ๆ กลายเป็นเผด็จการทรราชทุจริตโกงกินแล้ว คุณภาพของกองทัพก็ลดลงทั้งวินัย ขวัญกำลังใจ และความสามารถในการรบ อุดมการณ์รักชาติกลายเป็นอุดมกินแสวงหาผลประโยชน์เงินทองในหมู่ทหารทุกระดับชั้น เมื่อมีความสุขสบาย ความรักตัวกลัวตายจึงเกิด อีกทั้งความช่วยเหลือที่ได้รับจากสหรัฐฯ นั้นมากมายมหาศาล ในขณะที่กองกำลังคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยังคงยึดถืออุดมการณ์รักชาติ เพื่อชาติ อยู่เช่นเดิม

เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอินโดจีนถูกเผยแพร่ตีแผ่ในสื่อต่าง ๆ ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะโทรทัศน์ ชาวอเมริกันได้เห็นปฏิบัติการรบ ทำให้ส่วนหนึ่งเกิดความไม่พอใจจึงการเกิดการประท้วงต่อต้านสงครามอยู่ตามมหาวิทยาลัยและตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ เด็กหนุ่มอเมริกันซึ่งแต่เดิมสหรัฐฯ ใช้ระบบการเกณฑ์ทหารต่างก็หวาดกลัวจึงพากันต่อต้านและอพยพหลบหนีออกจากประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ไปรบในเวียตนาม ความเบื่อหน่ายต่อสงครามซึ่งสหรัฐฯ เข้าร่วมตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองต่อเนื่องมา ทั้งอเมริกันชนไม่เห็นประโยชน์ในการทำสงครามเวียตนาม ทั้งสูญเสียชีวิตทหารอเมริกันเกือบหกหมื่นนาย รัฐบาลสหรัฐฯ จึงยอมเจรจาสงบศึกและทยอยถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกจากเวียตนามในปี 1973 แต่ยังคงให้การสนับสนุนรัฐบาลเวียตนามใต้ด้วยการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล โดยหวังว่า กองทัพเวียตนามใต้จะนำประชาชนจับอาวุธต่อสู้กับกองทัพเวียตนามเหนือและกองกำลังเวียตกง ด้วยความผิดพลาดจากการทำให้กองทัพเวียตนามใต้เสพติดการทุจริตคอร์รัปชันโกงกิน ใช้อำนาจในการรังแกประชาชนจนขาดความยกย่อง นับถือ และเชื่อมั่น จึงไม่มีใครร่วมที่จะต่อสู้เลย ซ้ำร้ายทหารเวียตนามใต้เองเมื่อขาดวินัย ขวัญกำลังใจต่ำมาก ๆ จึงพากันถอดเครื่องแบบหนีทัพ ที่สุดแล้วอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายมหาศาลเหล่านั้นก็ตกอยู่มือของกองทัพเวียตนามเหนือ (กองทัพเวียดนามในปัจจุบัน) แม้จะสูญเสียไปในการรบกับจีนในสงครามจีนสั่งสอนเวียตนาม สงครามในกัมพูชา รบกับกองทัพไทย ไปเป็นจำนวนมากแล้ว แต่ก็ยังคงมีเหลืออยู่อีกเป็นจำนวนมากและบางส่วนยังไม่เคยได้นำออกมาใช้งานเลย

การที่สหรัฐฯ ไม่สามารถเอาชนะในสงครามครั้งนั้นได้ ด้วยเพราะการบริหารที่ผิดพลาดทั้งการทหารและการเมือง เมื่อบริหารร่วมกันในการทำสงครามเวียตนามแล้วยิ่งผิดพลาดจนไปกันใหญ่ แม้จนปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ จะยังคงเป็นกองทัพอันดับหนึ่งของโลกก็ตาม หากแต่พิจารณาถึงสงครามที่สงครามต่าง ๆ ในระยะหลังที่กองทัพสหรัฐฯ เข้าไปมีบทบาทนั้น กองทัพสหรัฐฯ จะถูกมองในบทบาทของผู้รุกรานมากกว่าบทบาทของผู้ช่วยเหลือหรือผู้ปลดปล่อย ภาพปรากฏจึงกลายเป็นศัตรูมากกว่ามิตร เปรียบเหมือนกับกองทัพสหรัฐฯ นั้นใช้พระเดช (อำนาจ) มากกว่าพระคุณ (ไมตรีจิต-มิตรภาพ-จริงใจ-ช่วยเหลือ-ห่วงใย-ใส่ใจ) ความสำเร็จในการทำสงครามในมุมมองของผู้เขียนคือ การบริหารพระเดชและพระคุณให้เกิดความเหมาะสมสมดุล ไม่ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งมากหรือน้อยจนเกินไป แต่ใช้ทั้งสองอย่างให้เหมาะสม ตามแต่บริบทของพื้นที่และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น ๆ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) คือ สัจธรรมที่มนุษยชาติต้องประสบพบเจอ ไม่เว้นแม้แต่ สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ยี่สิบ ซึ่งเราท่านน่าจะมีโอกาสได้เห็นความเป็นไปที่เกิดขึ้นในเวลาต่อไป

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

‘มิน อ่อง หล่าย’ อาจวางมือ…ปิดฉากยุคกองทัพคุมประเทศ วิเคราะห์เบื้องหลัง? คาดเจอแรงกดดันหนักจากแผ่นดินไหวและเกมของมหาอำนาจ

(1 พ.ค. 68) มีข่าวสะพัดออกมาในช่วงที่เอย่าเดินทางไปมัณฑะเลย์ เพื่อพบปะกับเจ้าหน้าที่คนไทยที่เข้าไปช่วยกู้ภัยในเมียนมา ซึ่งข่าวนี้ทำให้เอย่าต้องหูผึ่ง จนต้องเขียนบทความในครั้งนี้ เพราะเป็นข่าวลือที่ว่า 'นายพล มิน อ่อง หล่าย' จะลาออกจากตำแหน่งผู้นำกองทัพเมียนมา

แต่ก่อนที่เราจะมาคุยเรื่องนี้ เอย่าขอเล่าให้ผู้อ่านชาวไทยเข้าใจบริบทในเมียนมาก่อน เพราะมีสื่อโซเชียลบางส่วนพยายามโจมตีภาพลักษณ์ของรัฐบาลทหารเมียนมาว่าไม่เหลียวแลประชาชนเลย ซึ่งคนอ่านก็ด่าตามโดยไม่ไตร่ตรอง

เอาแบบนี้… มาตั้งสติแล้วคิดตามเอย่าสักนิดนะคะ

หลังเกิดแผ่นดินไหว ประเทศไทยที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าเมียนมา ได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายเท่า ยังต้องตั้งกองทุนฟื้นฟูเพื่อซ่อมแซมบ้าน ดูแลผู้ประสบภัย และจัดการอาคารที่เสียหาย แล้วถามกลับว่า รัฐบาลเมียนมาชุดนี้ ที่ถูกคว่ำบาตรจากนานาประเทศ และยังถูกบางกลุ่มในไทยใส่ร้าย สนับสนุนกลุ่มต่อต้าน ทั้งเรื่องที่พักพิง อาวุธ และแหล่งเงินทุน พวกเขาจะมีทรัพยากรพอแค่ไหน? ขนาดไทยยังแจกค่าซ่อมบ้านแค่หลักร้อยหลักพัน แล้วจะให้เมียนมาทำได้ขนาดไหน?

คนเมียนมาที่ให้ข้อมูลกับเอย่าบอกว่า เขาอยากทำแบบไทยมาก แต่ก็ทำได้เท่าที่งบประมาณมี ดังนั้น หากใครเป็นสื่อแต่ไม่เข้าใจคำว่า 'จรรยาบรรณ' แล้วอ้างคำว่า 'เสรีภาพสื่อ' เพื่อทำข่าวตามใจผู้จ่ายเงิน ก็ไม่ควรเรียกตัวเองว่าสื่อ และควรเลิกอ้างว่ารักประเทศเมียนมา เพราะหากรักจริง ต้องช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ไม่ใช่ซ้ำเติมประเทศของเขา

ว่าแล้ว… มาต่อเรื่องข่าวของเราดีกว่าค่ะ ช่วงที่ผ่านมา มีข่าวลือหนาหูว่า 'มิน อ่อง หล่าย' อยากจะลาออก โดยแหล่งข่าวของเอย่าระบุว่า ครั้งนี้เขาเสียใจจริง ๆ จนสภาพจิตใจย่ำแย่ ส่งผลต่อสุขภาพที่แย่ลง และมีข่าวว่าอาจลาออกถาวรหลังการเลือกตั้ง และจะไม่รับตำแหน่งใด ๆ อีก

จริงๆ แล้วข่าวลือเรื่องลาออกนั้นมีมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว โดยมีรายงานว่าจีนเคยกดดันให้ 'มิน อ่อง หล่าย' ลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว แลกกับการที่จีนจะช่วยคืนเมืองล่าเสี้ยวและอีก 2 เมืองที่ถูกกลุ่มชาติพันธุ์ยึดไว้ แต่สุดท้าย แทนที่จะทำตาม จู่ ๆ ผู้นำเมียนมากลับไปร่วมมือกับปูติน ผู้นำรัสเซีย ทำให้จีนต้องหันกลับมาง้อ พร้อมอาสาจัดการคืนเมืองต่าง ๆ แทนแบบที่เมียนมาไม่ต้องออกแรงเลย

แต่ข่าวลาออกรอบนี้นักวิเคราะห์คาดการณ์มาเป็นสามสาย

อันแรกคือเป็นไปได้ที่ผู้นำเมียนมาจะลาออกแล้วลงเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว

อันที่ 2 คือลาออกแล้วมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำ SAC เดี่ยวๆเลย เพื่อควบคุมรัฐบาลที่เลือกตั้งมาอีกที

อันสุดท้ายที่มีคนพม่าจำนวนไม่มากเชื่อว่ารอบนี้อาจจะลาออกจริงเพื่อไปพักแล้ว เพราะจากสถานการณ์แผ่นดินไหวนี้ได้สร้างความบอบช้ำในจิตใจของนายพล มิน อ่อง หล่าย ไม่น้อย และนี่อาจจะเป็นเวลาที่ดีที่ลงจากตำแหน่ง

มีคนพม่าในไทยบางคนเปรียบเปรยว่า 'มิน อ่อง หล่าย' คล้ายกับ 'ลุงตู่' ที่ขณะดำรงตำแหน่งก็ถูกวิจารณ์อย่างหนัก แต่หากวันหนึ่งไม่มีเขา คนอาจกลับมาคิดถึง และนั่นอาจเป็นบทเรียนของเมียนมาก็ได้... ดั่งเสียงเรียกร้องให้ลุงตู่กลับมาในโลกโซเชียลที่ดังขึ้นทุกวัน — แต่วันนั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะเราไม่เห็นค่าของเขาในวันที่เขายังอยู่

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#19 'Saigon, the Last Day' 30 เมษายน 1975 วันสุดท้าย 'กรุงไซ่ง่อนและสาธารณรัฐเวียตนาม'

วันนี้ ย้อนหลังไป 50 ปีก่อนเป็นวันล่มสลายของสาธารณรัฐเวียตนามหรือเวียตนามใต้ รำลึกนึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยบทความที่แปลจากบันทึกของคุณ Loren Jenkins อดีตบรรณาธิการอาวุโสฝ่ายต่างประเทศของสำนักข่าว NPR ขณะเป็นนักข่าวของ Newsweek ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ขณะกรุงไซ่ง่อนล่มสลายจากการยึดครองของกองทัพเวียตนามเหนือ และกองกำลังเวียตกงในปลายเดือนเมษายน 1975 เขาเล่าให้ฟังถึงชั่วโมงสุดท้ายที่สุดวุ่นวายในสถานเอกอัครรัฐทูตสหรัฐฯ ซึ่งเขาเขียนและเผยแพร่ในขณะที่ยังเป็นบรรณาธิการอาวุโสฝ่ายต่างประเทศของสำนักข่าว NPR

สิ่งที่ผมจำได้เกี่ยวกับวันสุดท้ายในเวียตนาม ผมตื่นขึ้นมาก่อนรุ่งสางจากเสียงและแรงระเบิด ในช่วงครึ่งหลับครึ่งเคลิ้มผมกลิ้งไปบนพื้น ดึงที่นอนที่อยู่ด้านบนแล้วนอนหลับต่อ ปฏิกิริยานั้นเป็นสัญชาตญาณ Pavlovian Reflex เพื่อหลีกเลี่ยงเศษกระจกที่แตกกระจายหากมีการระเบิดใกล้ ๆ แต่แล้วผมก็ตื่นขึ้น และตระหนักว่า การระเบิดนั้นเป็นการระดมยิงด้วยปืนใหญ่ไปยังสนามบิน Ton Son Nhut กองกำลังเวียตนามเหนือเคลื่อนที่ไปทางใต้เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว โดยก่อนหน้านั้นคลื่นขนาดยักษ์ของผู้ลี้ภัย ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็มาถึงกรุงไซ่ง่อน หลังจากเวลาผ่านไปสิบปีสงครามก็กำลังจะสิ้นสุดลง

เมื่อฝ่ายเวียตนามเหนือกำลังเข้ายังมีนักข่าวมากมายที่พูดคุยกันไม่หยุดหย่อนในลานของโรงแรม Continental Palace ซึ่งเป็นที่พักของนักข่าวต่างประเทศ เราควรจะอยู่เพื่อบันทึกการเข้ายึดครองกรุงไซ่ง่อนที่เราอยู่มานานของกองทัพเวียตนามเหนือเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหรือไม่? หรือเราควรปฏิบัติตามแผนการของสถานทูตสหรัฐฯ ที่จะส่งรถบัสมารับไปยังสนามบิน Ton Son Nhut เพื่อขึ้นเครื่องบินอพยพไปยังเกาะกวมซึ่งบินมารอแล้วหลายสัปดาห์หรือไม่? แผนการอพยพของสหรัฐฯ นั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหมือนการผจญภัยในสหรัฐอเมริกา แต่เกิดขึ้นในเวียตนาม เมื่อมีการตัดสินใจที่จะดึงปลั๊กปฏิบัติการในเวียตนามใต้เป็นครั้งสุดท้าย เพลง "White Christmas" จะถูกเปิดโดยสถานีวิทยุของกองทัพสหรัฐฯ นั่นจะเป็นสัญญาณให้คนอเมริกันหลายพันคนที่ยังคงอยู่ในกรุงไซ่ง่อนรีบเดินทางไปยังสถานที่ที่ได้รับการเตรียมการทั่วเมืองเพื่อรอรถบัสที่จะมารับและพาไปยังสนามบิน Ton Son Nhut

แต่ในฐานะผู้สื่อข่าวของ Newsweek ซึ่งติดตามปฏิบัติการครั้งสุดท้ายของอเมริกาในเวียตนาม การไปสนามบินเป็นความคิดที่ตัดทิ้งไปเลย ขณะที่กรุงไซ่ง่อนล่มสลายสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากทำ เมื่อประธานาธิบดี ฟอร์ดสั่งให้การอพยพของชาวอเมริกันในกรุงไซ่ง่อนเริ่มต้น เนื่องจากการโจมตีสนามบินผมเลือกที่จะบันทึกนาทีสุดท้ายของปฏิบัติการของสหรัฐฯในเวียตนามที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงไซ่ง่อนแทน สถานทูตฯ ล้อมรอบด้วยกำแพงคอนกรีตสีขาวยาว 15 ฟุต เสริมด้วยขดลวดหนาม อาคารสถานทูตหกชั้นเป็นป้อมปราการที่ทันสมัยตั้งตระหง่านอยู่เหนืออาคารทรงเตี้ยที่ล้อมรอบ ที่นั่นนโยบายของสหรัฐฯ ถูกนำมาปฏิบัติมายาวนาน และที่นี่ในที่สุด Graham Martin เอกอัครรัฐทูตประจำสาธารณรัฐเวียตนาม ผู้ซึ่งต้องปฏิบัติตามนโยบายฯ เป็นคนสุดท้าย

ผมจำได้ว่า เมื่อเช้านั้นได้พบกับ David Greenway แห่ง The Washington Post ที่แผนกต้อนรับของ Continental Palace เขาค่อย ๆ ควักเงินเวียตนามที่กำลังจะหมดค่าออกมาจ่ายค่าโรงแรม โดยพูดว่า ไม่มีสุภาพบุรุษคนไหนออกจากโรงแรมโดยไม่จ่ายบิล และเราขับรถไปที่สถานทูตฯ ด้วยรถยนต์โตโยต้าของ The Washington Post ไปตามถนนที่ไม่มีการจราจรซึ่งผิดปกติ บนถนนเกลื่อนไปด้วยเครื่องแบบและรองเท้าบู๊ทของทหารเวียตนามใต้ถอดทิ้งเอาไว้ เมื่อเรามาถึงสถานทูตฯ ประตูปิดอยู่ และนาวิกโยธินติดอาวุธยืนเฝ้าอยู่เหนือกำแพงคอนกรีต เมื่อชาวเวียตนามนับพันเริ่มร้องขอให้นำอพยพออกมาพร้อมกับชาวอเมริกัน เราทั้งผลักทั้งดันกลุ่มคนเวียตนาม แสดงหนังสือเดินทางของสหรัฐฯ และกดบัตรที่ประตู แล้วมีคนมาเปิดและให้พวกเราเข้าไปในสถานทูตฯ

ภายในมีความวุ่นวาย ไร้ระเบียบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนาวิกโยธิน เจ้าหน้าที่ซีไอเอ และอาสาสมัครของกระทรวงการต่างประเทศเดินไปมาทั่วบริเวณ และจัดวางกำลังพร้อมอาวุธหลากหลายประเภท ตั้งแต่ปืนกลมือทอมสันโบราณไปจนถึงมีดล่าสัตว์ติดกับเข็มขัด ชาวเวียตนามหลายพันคนที่กำลังสิ้นหวัง กรีดร้อง และกำลังพยายามปีนกำแพง และมุดผ่านขดลวดหนาม ซึ่งก็ถูกผลักกลับเข้าไปในถนนด้วยปืน M16 อย่างไร้ความปราณี ต้นมะขามขนาดใหญ่ที่บังเงาให้รถของเอกอัครรัฐทูตพึ่งถูกตัดและลากไปไว้ด้านข้างเพื่อเปลี่ยนลานจอดรถให้เป็นจุดลงจอดของเฮลิคอปเตอร์ ยิ่งไปกว่านั้นมีคนหลายร้อยถูกปล่อยให้เข้ามา เพราะทำงานร่วมกับชาวอเมริกันรวมตัวกันอยู่กลางกองกระเป๋าเดินทาง กล่องกระดาษแข็งและเสื้อผ้า มีนายพลเวียตนามใต้อย่างน้อยสามคนในชุดเครื่องแบบกับครอบครัว นักการเมืองเวียตนามใต้ อดีตนายกเทศมนตรีกรุงไซ่ง่อน หัวหน้าหน่วยดับเพลิงและคนของเขาอีกสิบคนยังคงสวมหมวกเหล็ก ชาวเวียตนามคนอื่น ๆ บุกเข้าไปในโรงอาหารของสถานทูตเพื่อค้นหาเครื่องดื่ม และอาหารเท่าที่พวกเขาสามารถหาได้

ชั้นบนสุดของอาคารซึ่งจัดเก็บเอกสารลับสุดยอดไว้ เอกสารที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ เรียงซ้อน และทิ้งออกนอกหน้าต่างออก มีควันจากสำนักงานบางแห่งที่มีการเผาเอกสารอื่น ๆ และจนถึงจุดหนึ่งเจ้าหน้าที่ซีไอเอสามคนในเสื้อแจ็กเก็ตเลื่อนรถเข็นที่เต็มไปด้วยธนบัตรร้อยดอลลาร์จากตู้เซฟ และทิ้งลงในเตาเผาขยะด้านนอก จากนั้นก็มีเสียงของใบพัดเฮลิคอปเตอร์ที่บินลงมาจากท้องฟ้าสีคราม เฮลิคอปเตอร์ CH-46 ขนาดใหญ่บินจากเรือรบของกองเรือที่ 7 แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ลอยลำอยู่ในทะเลจีนใต้ ความวุ่นวายเป็นกิจวัตรเช่นนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน เฮลิคอปเตอร์บินเข้ามาและบินจากไป ในที่สุดเวลา 18 ชั่วโมงหลังจากการอพยพเริ่มขึ้น ประธานาธิบดีฟอร์ดได้สั่งให้ยุติการอพยพโดยทีมเฮลิคอปเตอร์ 80 ลำที่บินแล้วจนหมดแรงแล้ว 495 เที่ยว มีการบอกกล่าวอย่างเงียบ ๆ กระจายออกไปว่าจะมีเพียงชาวอเมริกันที่เหลือเท่านั้นที่จะได้รับการอพยพ ทหารนาวิกโยธินบนกำแพงถอยกลับเข้าไปในอาคารสถานทูตฯ ประตูถูกปิดและพวกเราข้างในก็ขยับขึ้นไปบนหลังคา

ในที่สุดประมาณตี 4 ทูต Graham Martin ปรากฏตัวเงียบ ๆ พร้อมกับทีมงานบนหลังคาอาคารอย่างเงียบ ๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอิดโรย มีธงชาติสหรัฐฯ ของสถานทูตฯ ที่พับแล้วอยู่ใต้วงแขนของเขา ผมเข้าไปร่วมกับเลขานุการส่วนตัวของเขาและ Nitnoy สุนัขพุดเดิ้ลสีดำสัตว์เลี้ยงของเขา (น่าจะเป็นชื่อไทยว่า “นิดหน่อย” ด้วยตัวทูต Graham Martin เคยเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย) ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ CH-46 ลำหนึ่งบนหลังคา ในขณะที่เฮลิคอปเตอร์ CH-46 ยกตัวออกมา มุมมองสุดท้ายต่อประเทศที่เขาเป็นดั่งอุปราชอเมริกันคือ ภาพของพลุดอกไม้ไฟขนาดยักษ์ที่เกิดจากบรรดากระสุนที่ทิ้งไว้ในค่าย Bien Hoa ทางทิศเหนือเกิดระเบิดขึ้น และแสงไฟจากรถบรรทุกที่ยาวเหยียดไกลสุดสายตา ซึ่งสามารถเห็นได้ว่า ขบวนรถของกองทัพเวียตนามเหนือมุ่งลงไปทางใต้เพื่อชัยชนะ

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

บทเรียนจากไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในยุโรป ไทยพร้อมรับมือหรือยัง? หากต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้

เมื่อวานนี้ (28 เม.ย.68) เกิดเหตุไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในยุโรปที่ไม่เคยมีมาก่อน ครอบคลุมพื้นที่ 4 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม สเปน โปรตุเกส และภาคใต้ของฝรั่งเศส โดยเหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางวัน ระบบไฟฟ้าของแต่ละประเทศล่มพร้อมกันในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่งผลให้ระบบคมนาคมหลักอย่างสนามบิน รถไฟ รถราง และรถไฟใต้ดินต้องหยุดให้บริการทันที บางขบวนหยุดกลางเส้นทาง ผู้โดยสารหลายหมื่นคนติดค้างอยู่กลางทางโดยไม่มีการสื่อสาร

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในหลายพื้นที่หยุดทำงาน ประชาชนไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสิ้นเชิง บรรยากาศในเมืองใหญ่หลายแห่งเงียบสนิทราวกับกลายเป็นเมืองร้างชั่วขณะหนึ่ง สถานพยาบาลต้องหันไปใช้ไฟฟ้าสำรองด้วยเครื่องปั่นไฟ ส่วนร้านค้า สถานีบริการน้ำมัน และตู้เอทีเอ็มต่าง ๆ ก็หยุดชะงักไปตามกัน ความเสียหายครั้งนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะระบบไฟฟ้าเท่านั้น แต่ขยายวงไปกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง

แม้ว่ายังไม่มีการยืนยันสาเหตุอย่างเป็นทางการ แต่หลายฝ่ายรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์ต่างตั้งข้อสันนิษฐานไปในทิศทางเดียวกันว่านี่ไม่น่าใช่อุบัติเหตุธรรมดา หากแต่เป็นการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างจงใจ หลายคนสังเกตว่าความพร้อมเพรียงในการล่มของระบบหลายประเทศในเวลาใกล้เคียงกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และอาจมี 'แผนการ' หรือ 'วาระซ่อนเร้น' อยู่เบื้องหลัง

เหตุการณ์ครั้งนี้จึงนำมาสู่คำถามสำคัญที่เราคนไทยต้องย้อนกลับมามองตัวเองอย่างจริงจังว่า —

หากวันหนึ่งประเทศไทยต้องเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน เราพร้อมรับมือหรือยัง?

ระบบไฟฟ้า ระบบคมนาคม เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และอินเทอร์เน็ต คือหัวใจหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยในทุกวันนี้ แต่ในขณะเดียวกัน โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ก็เต็มไปด้วยความเปราะบาง หากถูกโจมตีพร้อมกันแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ผลกระทบอาจหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าที่เราคาดคิด

เรามีระบบเตือนภัยไซเบอร์แบบเรียลไทม์เพียงพอหรือไม่?

เรามีแผนสำรองรองรับสถานการณ์ไฟฟ้าดับหรือเครือข่ายล่มระดับประเทศหรือไม่?

เราซักซ้อมประชาชนให้รู้วิธีรับมือในภาวะไร้ไฟ ไร้สัญญาณ หรือไร้เงินสดหรือยัง?

ที่สำคัญกว่านั้น — เราพร้อมจะลงทุนป้องกันภัยที่ 'อาจจะเกิด' ก่อนที่มันจะกลายเป็นภัยที่ 'เกิดขึ้นจริง' หรือไม่?

บทเรียนจากยุโรปในวันนี้ กำลังส่งสัญญาณเตือนเราดัง ๆ ว่า โลกในยุคนี้ไม่ได้แข่งขันกันแค่เศรษฐกิจหรือเทคโนโลยี แต่กำลังแข่งขันกันเรื่อง 'ความอยู่รอด' ของโครงสร้างพื้นฐานด้วยเช่นกัน และใครที่ไม่เตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ อาจไม่มีโอกาสได้แก้ตัวในวันพรุ่งนี้

และสิ่งที่เราต้องตระหนักให้ชัดเจนคือ — เหตุการณ์ครั้งนี้อาจไม่ได้เป็นเพียง 'ภัยธรรมชาติ' หรือ 'ความผิดพลาดของระบบ' แต่อาจเป็นสัญญาณชัดเจนของ 'สงครามพลังงาน' และ 'สงครามลูกผสม' (Hybrid Warfare) รูปแบบใหม่ ที่ศัตรูไม่จำเป็นต้องยิงปืนสักนัด ก็สามารถทำให้ทั้งประเทศเป็นอัมพาตได้ในเวลาไม่กี่นาที

สงครามพลังงาน (Energy War) ใช้อาวุธที่มองไม่เห็น — คือการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน เพื่อบั่นทอนเศรษฐกิจ เสถียรภาพ และความมั่นใจของประชาชน ขณะที่สงครามลูกผสม (Hybrid Warfare) ผสานทั้งการโจมตีทางไซเบอร์ การบิดเบือนข้อมูล และการทำลายระบบสาธารณูปโภคในคราวเดียวกัน

วันนี้ยุโรปได้เผชิญหน้าไปแล้ว — พรุ่งนี้จะถึงคราวของเราหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า "วันนี้" เราจะเริ่มป้องกันตัวเองทันหรือเปล่า

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#18 ‘ซวนล็อก’ สมรภูมิสุดท้ายของ ‘กองทัพเวียตนามใต้’

เมื่อสงครามเวียตนามใกล้จะสิ้นสุดมีการรบที่ดุเดือดที่สุด แต่แทบจะไม่มีการกล่าวถึงเลย ด้วยหลังจากการรบครั้งนั้น 9 วัน เวียตนามใต้ก็ล่มสลายเมื่อกองกำลังเวียตนามเหนือและเวียตกงเข้ายึดครองกรุงไซ่ง่อนได้สำเร็จ “สมรภูมิซวนล็อก (Battle of Xuân Lộc)” เป็นการสู้รบใหญ่ครั้งสุดท้ายในสงครามเวียตนาม โดยตั้งแต่ต้นปี 1975 กองทัพประชาชนเวียตนาม (PAVN) ได้ปฏิบัติการกวาดล้างกองกำลังเวียตนามใต้ (Army of the Republic of Vietnam : ARVN) ในจังหวัดทางตอนเหนือของเวียตนามใต้บริเวณที่ราบสูงตอนกลาง ทำให้กองพลที่ 2 ของกองทัพบกเวียตนามใต้ถูกทำลายอย่างย่อยยับในขณะที่พยายามเคลื่อนพลไปยังพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง การรบที่เมืองเว้และดานัง กองกำลังเวียตนามใต้นั้นละลายโดยแทบจะไม่มีการต่อต้าน ความพ่ายแพ้อย่างหนักของกองทัพบกแห่งสาธารณรัฐเวียดนาม (ARVN) ทำให้สมัชชาแห่งชาติเวียดนามใต้ตั้งกระทู้ถามกับประธานาธิบดีเหงียนวันเทียวถึงกรณีดังกล่าวจนทำให้ประธานาธิบดีเหงียนวันเทียวต้องลาออกจากตำแหน่ง

หลังจากการล่มสลายของกองพลที่ 1 และ 2 ของกองทัพบกเวียตนามใต้ กองทัพปลดปล่อยเวียตนาได้เคลื่อนพลเข้าสู่กรุงไซง่อน โดยมีกองพลทหารราบที่ได้รับการเสริมกำลังอย่างหนักจำนวน 15 กองพล โดยกองพล 3 กองพลได้เข้าโจมตีเมือง “ซวนล็อก” ซึ่งอยู่ห่างจากไซง่อนไปทางตะวันออกเฉียงเหนือบนทางหลวงหมายเลข 1 ประมาณ 30 ไมล์ กองกำลังเวียตนามใต้เคลื่อนกำลังที่เหลือเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของกองพลทหารราบที่ 18 ภายใต้พลจัตวา Lê Minh Đảo เพื่อป้องกันเมือง "ซวนล็อก" อันเป็นสี่แยกยุทธศาสตร์ ด้วยหวังที่จะชะลอการบุกของกองทัพประชาชนเวียตนาม การสู้รบครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 9 ถึง 21 เมษายน 1975 และจบลงเมื่อกองทัพประชาชนเวียตนามสามารถยึดครองเมืองนี้ โดยกำลังพลจากกองทัพน้อยที่ 4 นำโดยพลตรี Hoàng Cầm เมือง "ซวนล็อก" ถือเป็นแนวป้องกันด่านสุดท้ายของกองทัพภาคที่ 3 ของเวียตนามใต้ให้การคุ้มกันแนวรบทางตะวันออกของกรุงไซ่ง่อนเมืองหลวงของเวียตนามใต้ ด้วยเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อเมือง Bình Dương ฐานทัพอากาศ Bien Hoa, เมือง VũngTàu, เมือง Long An และ เมือง lynchpin อันมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง "ซวนล็อก" ซึ่งกำลังทหารเวียตนามใต้ได้ร่วมกันในความพยายามทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายเพื่อป้องกันกรุงไซ่ง่อนและปกป้องเวียดนามใต้ ประธานาธิบดีเหงียนวันเทียวได้สั่งให้กองพลทหารราบที่ 18 รักษาเมือง "ซวนล็อก" ให้ได้ด้วยทุกวิธี 

กองกำลังเวียตนามใต้ทำการป้องกันกรุงไซ่ง่อน โดยครอบคลุมถนนสายหลักทั้ง 5 ที่นำไปสู่กรุงไซ่ง่อน ทางตอนเหนือของไซ่ง่อน กองพลที่ 5 ป้องกันการโจมตีของศัตรูบนทางหลวงหมายเลข 13 ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง กองพลที่ 18 ป้องกันเมือง "ซวนล็อก" ครอบคลุมทางหลวงหมายเลข 1 และเมือง Bình Dương และฐานทัพอากาศ Bien Hoa ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงไซ่ง่อน ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบินและกองกำลังจู่โจม (ซึ่งทั้งหมดมีศักยภาพในการรบเหลือประมาณ 50 %) และทางหลวงหมายเลข 15 ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงไซ่ง่อน กองพลที่ 22 ป้องกันทางหลวงหมายเลข 4 เส้นทางหลักจากสามเหลี่ยมแม่น้ำโขงไปยังกรุงไซ่ง่อนและตะวันตกเฉียงเหนือ กองพลที่ 25 ป้องกันเส้นทางหมายเลข 1 ระหว่างเมือง Tay Ninh และกรุงไซ่ง่อน

กองทัพน้อยที่ 4 ของกองทัพประชาชนเวียตนามได้รับคำสั่งให้ยึด "ซวนล็อก" เพื่อเปิดประตูสู่กรุงไซ่ง่อน ในช่วงเริ่มต้นของการรบกองพลทหารราบที่ 18 สามารถเอาชนะกองทัพน้อยที่ 4 ของกองทัพประชาชนเวียตนามได้ ทหารเวียตนามใต้ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญท่ามกลางอุปสรรคมากมาย กองทัพอากาศของเวียตนามใต้ให้การสนับสนุนด้วยเฮลิคอปเตอร์และการโจมตีทางอากาศ รวมถึงการใช้ระเบิดคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ และระเบิด "เดซี่คัตเตอร์" และระเบิดเพลิงอบบ CBU-55B ซึ่งเป็นระเบิดเพลิงอากาศแบบแรกที่ใช้ในการสู้รบ จนทำให้ทหารของกองทัพประชาชนเวียตนามหนึ่งกองพลต้องล่าถอยด้วยความสูญเสียอย่างหนัก เพื่อยึดครองเมือง "ซวนล็อก" ให้สำเร็จ ผู้บัญชาการกองทัพน้อยที่ 4 จึงได้เปลี่ยนแผนการรบ แต่แล้วในวันที่ 19 เมษายน 1975 กองกำลังของพลจัตวา Đảo ได้รับคำสั่งให้ถอนตัวหลังจากเมือง "ซวนล็อก" ถูกโดดเดี่ยวเกือบทั้งหมด โดยหน่วยของเวียตนามใต้ที่เหลือทั้งหมดถูกทำลายอย่างย่อยยับ ความพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นจุดสิ้นสุดของอาชีพทางการเมืองของประธานาธิบดีเหงียนวันเทียว โดยที่เขาลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 เมษายน 1975 ด้วยประโยคที่ว่า "ผมขอลาออก แต่ผมจะไม่หนี" แล้ว 5 วันต่อมา เขาก็ขึ้นเครื่องบินลำเลียง C-118 หนีไปไต้หวันพร้อมด้วยกระเป๋าที่หนักอึ้งเป็นจำนวนมาก

ทหารฝ่ายป้องกันของเวียดนามใต้ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญท่ามกลางอุปสรรคมากมาย Xuan Loc ได้รับการปกป้องโดยกองพลที่ 18 ของเวียดนามใต้ ซึ่งประกอบด้วยกรมทหารราบ 3 กรม ได้แก่ กรมที่ 43 กรมที่ 48 และกรมที่ 52 นอกจากนี้ยังมีกองพลยานเกราะอีก 5 กองพัน กองกำลังภูมิภาคอีก 4 กองพัน (กองพันที่ 340 กองพันที่ 342 กองพันที่ 343 และกองพันที่ 367) หน่วยปืนใหญ่ 2 หน่วย (กองพันปืนใหญ่ที่ 181 และ 182) พร้อมปืนใหญ่ 42 กระบอก และกองกำลังป้องกันตนเองของประชาชนอีก 2 กองร้อย  ในวันที่ 12 เมษายน ยังได้รับการเสริมกำลังด้วยกองพลทหารราบทางอากาศที่ 1 กองพลยานเกราะ 3 กองพล (กองพลยานเกราะที่ 315, 318 และ 322) กองกำลังเฉพาะกิจที่ 8 จากกองพลที่ 5 และกองพันทหารพรานที่ 33 การสนับสนุนทางอากาศมาในรูปแบบของกองพลอากาศโยธินอีก 2 กองพล ได้แก่ กองพลอากาศโยธินที่ 5 ประจำการที่ฐานทัพอากาศเบียนฮัว และอากาศโยธินที่ 3 ฐานทัพอากาศเตินเซินเญิ้ต นอกจากนี้ยังมีกองทัพอากาศของเวียดนามใต้ให้การสนับสนุนทางเฮลิคอปเตอร์และการโจมตีทางอากาศ รวมถึงการใช้ระเบิดคลัสเตอร์ขนาดใหญ่และระเบิด "เดซี่คัตเตอร์" และระเบิดเชื้อเพลิงอากาศ CBU-55B ซึ่งเป็นระเบิดเชื้อเพลิงอากาศลูกแรกที่เคยใช้ในการสู้รบ เนื่องจากกองกำลังเวียตนามใต้ที่ทำหน้าที่ป้องกันสูญเสียกำลังพลไป 30% 

วันที่ 23 เมษายน 1975 กองพลที่ 18 ได้เคลื่อนพลถอยไปยังกรุงไซง่อนบนทางหลวงหมายเลข 2 โดยที่หน่วยสนับสนุนและปืนใหญ่ยังคงอยู่ครบถ้วน ทำให้เมือง “ซวนล็อก” ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังคอมมิวนิสต์ในวันเดียวกัน แม้ว่าครั้งหนึ่ง กองทัพสหรัฐฯ จะไม่ให้การยอมรับทหารกองพลที่ 18 แต่ภายใต้การนำของพลจัตวา Lê Minh Đảo กองพลนี้ได้กลายเป็นหน่วยที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันกรุงไซง่อน สมรภูมิ "ซวนล็อก" สิ้นสุดลงลงในวันที่ 21 เมษายน 1975 โดยกองทัพน้อยที่ 4 ของเวียตนามเหนือสามารถเอาชนะกำลังผสมชุดสุดท้ายของกองทัพภาคที่ 3 ของเวียตนามใต้ แล้วอีก 9 วันต่อมาเมื่อรถถัง T-54 ของกองทัพประชาชนเวียตนามชนผ่านประตูทำเนียบประธานาธิบดีเวียตนามใต้ในวันที่ 30 เมษายน 1975 จึงเป็นการสิ้นสุดสงครามเวียตนามอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียตนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#17 สหรัฐฯ ถอนทหารออกจาก เวียตนามใต้

หลังจากให้ความช่วยเหลือทางการทหารทางอ้อมโดยรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเวลาสองทศวรรษ ในปี 1961 ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี แห่งสหรัฐฯ ได้ตัดสินส่งกำลังทหารสหรัฐฯ จำนวนมากชุดแรกในฐานะ “ที่ปรึกษาทางทหาร” ไปสนับสนุนระบอบเผด็จการที่ไร้ประสิทธิภาพของเวียตนามใต้ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์เหนือ สามปีต่อมา เมื่อรัฐบาลเวียตนามใต้ล่มสลาย ประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสันจึงสั่งโจมตีเวียตนามเหนือด้วยการทิ้งระเบิดในจำนวนจำกัด หลังจากรัฐสภาสหรัฐฯ อนุมัติการใช้กำลังทหารโดย “มติอ่าวตังเกี๋ย” ในปี 1965 การรุกคืบของเวียตนามเหนือทำให้ประธานาธิบดีจอห์นสันต้องเลือกระหว่างเพิ่มจำนวนทหารสหรัฐฯ หรือถอนทัพ ประธานาธิบดีจอห์นสันตัดสินใจเลือกสั่งอย่างแรก และในไม่ช้าจำนวนกำลังทหารสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 300,000 นาย แล้วกองทัพอากาศสหรัฐฯ เริ่มต้นปฏิบัติการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ในช่วงไม่กี่ปีต่อมา สงครามเวียตนามที่ยาวนาน ทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และการเปิดเผยการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในอาชญากรรมสงคราม เช่น การสังหารหมู่ที่หมู่บ้านไมไล จึงทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากออกมาประท้วงต่อต้านสงครามเวียตนาม กอปรกับการรุกช่วงเทศกาลตรุษญวนของฝ่านคอมมิวนิสต์ในปี 1968 ทำลายความหวังของสหรัฐฯ ที่จะยุติความขัดแย้งโดยเร็ววัน และกระตุ้นให้ชาวอเมริกันจำนวนมากต่อต้านสงคราม คะแนนนิยมของประธานาธิบดีจอห์นสันลดลงจาก 48% เหลือเพียง 36% เพื่อเป็นการตอบสนองมติมหาชน ประธานาธิบดีจอห์นสันได้ประกาศในเดือนมีนาคม 1968 ว่าเขาจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีก โดยอ้างถึงสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของเขาในการสร้างความแตกแยกในระดับชาติอันน่ากลัวเกี่ยวกับเวียตนาม นอกจากนี้ เขายังอนุมัติให้เริ่มการเจรจาสันติภาพอีกด้วย 

ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1969 ขณะที่การประท้วงต่อต้านสงครามทวีความรุนแรงขึ้นในสหรัฐฯ กำลังทหารของสหรัฐฯ ในเวียตนามใต้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามแห่งนี้ถึงจุดสูงสุดที่เกือบ 550,000 นาย ริชาร์ด นิกสันประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ จึงเริ่มสั่งให้มีการถอนทหาร และ “ทำให้เวียตนามเป็นเวียตนาม”  ในความพยายามทำสงครามในปีนั้น แต่เขากลับเพิ่มการทิ้งระเบิด การถอนทหารจำนวนมากของสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไปในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เมื่อประธานาธิบดีนิกสันขยายการปฏิบัติการทางอากาศและทางบกเข้าไปในกัมพูชาและลาวเพื่อพยายามปิดกั้นเส้นทางส่งกำลังบำรุงของคอมมิวนิสต์ตามแนวชายแดนเวียตนาม การขยายสงครามครั้งนี้ให้ผลเชิงบวกเพียงเล็กน้อย แต่กลับนำไปสู่การประท้วงระลอกใหม่ในสหรัฐอเมริกาและที่อื่น ๆ

ในที่สุด ในเดือนมกราคม 1973 ผู้แทนของสหรัฐฯ เวียตนามใต้ เวียตนามเหนือ และเวียตกงได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่กรุงปารีส ยุติการมีส่วนร่วมทางทหารโดยตรงของสหรัฐฯ ในสงครามเวียตนาม สานะสำคัญ ได้แก่ การหยุดยิงทั่วทั้งเวียตนาม การถอนกำลังทหารของสหรัฐฯ การปล่อยเชลยศึก และการรวมเวียตนามเหนือและใต้เข้าด้วยกันโดยสันติวิธี รัฐบาลเวียตนามใต้จะคงอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ และกองกำลังของเวียตนามเหนือในเวียตนามใต้จะต้องไม่รุกคืบต่อไปหรือได้รับการเสริมกำลังอีก การยุติสงครามทำให้สหรัฐฯ สามารถถอนตัวออกจากสงคราม และนำเชลยศึกชาวอเมริกันกลับบ้าน ประธานาธิบดีนิกสันได้รับรับรองว่าจะให้การสนับสนุนเวียตนามใต้ข้อตกลงผ่านจดหมายทางการทูตหลายฉบับในกรณีที่เวียตนามเหนือละเมิดข้อตกลง

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงท่าทีเพื่อรักษาน้ำใจของรัฐบาลสหรัฐฯ เท่านั้น ก่อนที่กองทหารสหรัฐฯ ชุดสุดท้ายจะออกเดินทางในวันที่ 29 มีนาคม ฝ่ายเวียตนามทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว โดยเวียตนามเหนือได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงจึงทำให้สงครามยังคงดำเนินต่อไป และในช่วงต้นปี 1974 สงครามเต็มรูปแบบก็ได้กลับมาปะทุอีกครั้ง ช่วงปลายปี 1974 ทางการเวียตนามใต้รายงานว่าทหารและพลเรือนของตนเสียชีวิตจากการสู้รบถึง 80,000 นาย ทำให้เป็นปีที่สูญเสียมากที่สุดในสงครามเวียตนาม

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 1973 หน่วยทหาร สหรัฐฯ ชุดสุดท้าย ออกจากเวียตนามเมื่อถึงเวลานั้น ฝ่ายคอมมิวนิสต์และเวียตนามใต้ได้เปิดฉากสงครามที่นักข่าวเรียกกันว่า "สงครามหลังสงคราม" โดยทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าอีกฝ่ายละเมิดข้อตกลงสันติภาพอย่างต่อเนื่องสหรัฐฯ ยังคงดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่เวียตนามใต้อย่างเต็มที่ แต่ความสามารถในการมีบทบาทต่อเหตุการณ์ในเวียตนามของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกจำกัดลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่สถานะส่วนตัวของประธานาธิบดีนิกสันพังทลายลงจากการเปิดเผยกรณี “วอเตอร์เกต” ทำให้รัฐสภาสหรัฐฯ เคลื่อนไหวเพื่อขัดขวางความเป็นไปได้ใด ๆ ของการดำเนินการทางทหารเพิ่มเติมในเวียตนาม ในช่วงฤดูร้อนของปี 1973 รัฐสภาฯ ได้ผ่านมาตรการห้ามปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ในหรือเหนืออินโดจีนหลังจากวันที่ 15 สิงหาคม รัฐสภาฯ ได้ดำเนินการอีกขั้นในวันที่ 7 พฤศจิกายน 1973 เมื่อเพิกถอนการยับยั้งของประธานาธิบดีนิกสันในการผ่านรัฐบัญญัติอำนาจสงคราม ซึ่งตามทฤษฎีแล้วกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ประธานาธิบดีต้องหารือกับรัฐสภาก่อนที่จะส่งกองกำลังสหรัฐฯ ไปประจำการนอกสหรัฐฯ

วันที่ 30 เมษายน 1975 ชาวอเมริกันกลุ่มสุดท้ายที่ยังอยู่ในเวียตนามใต้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากประเทศโดยเฮลิคอปเตอร์ในขณะที่กรุงไซง่อนถูกกองกำลังคอมมิวนิสต์ยึดครองได้สำเร็จ พันเอกบุ้ยตินแห่งเวียตนามเหนือ ซึ่งยอมรับการยอมแพ้ของเวียตนามใต้ในเวลาต่อมา กล่าวว่า “คุณไม่ต้องกลัวอะไรเลย ระหว่างเวียตนามไม่มีผู้ชนะและพ่ายแพ้ มีแต่ชาวอเมริกันเท่านั้นที่พ่ายแพ้” สงครามเวียตนามเป็นสงครามต่างประเทศที่ยาวนานที่สุดและไม่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิต 58,000 ราย ทหารและพลเรือนเวียตนามทั้งเหนือและใต้เสียชีวิตมากถึง 2 ล้านคน

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียตนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

เกิดอะไรขึ้นภายหลังการสิ้นพระชนม์ของ ‘สมเด็จพระสันตะปาปา’ พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อเลือกผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวคาทอลิกทั่วโลก

(27 เม.ย. 68) จากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้ตำแหน่งประมุขผู้นำสูงสุดของชาวคาทอลิกทั่วโลกว่างลง จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญของวาติกันอีกครั้งที่จะจัดให้มีการเลือกสมเด็จพระสันตะปาปา (Pope) พระองค์ใหม่ในคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกขึ้น เป็นกระบวนการที่มีชื่อเรียกว่า Conclave (คองเคลฟ) ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะพระสันตะปาปาเป็นผู้นำสูงสุดของศาสนจักรคาทอลิกทั่วโลก และมีบทบาทสำคัญทั้งทางจิตวิญญาณและการบริหารงานต่างๆของศาสนจักร 

ใดๆdigest ขอนำท่านผู้อ่านไปรู้จักกับกระบวนการที่เกิดขึ้นภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปารวมไปถึงพิธีสำคัญของโลกพิธีหนึ่งมี่มีความสำคัญมากกับผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกกันครับ 

เมื่อพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ จะเกิดกระบวนการที่เป็นระเบียบและสืบทอดกันมายาวนานในศาสนจักรคาทอลิก เพื่อจัดการช่วงเวลาสำคัญนี้ ทั้งด้านจิตวิญญาณ พิธีกรรม และการบริหารซึ่งสามารถแบ่งสิ่งที่เกิดขึ้นออกเป็น 3 ระยะหลัก ๆ ดังนี้

1. การยืนยันการสิ้นพระชนม์ โดยพระคาร์ดินัลคาเมอเลงโก (Camerlengo)ซึ่งรับหน้าที่ดูแลศาสนจักรระหว่างที่ไม่มีพระสันตะปาปา จะเป็นผู้ยืนยันว่าพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์แล้วอย่างเป็นทางการ โดยธรรมเนียมดั้งเดิม (ในอดีต) คาเมอเลงโกจะเรียกชื่อพระสันตะปาปา 3 ครั้งเพื่อดูว่ามีการตอบหรือไม่ ปัจจุบันจะใช้วิธีทางการแพทย์ประกอบด้วย เมื่อตรวจสอบแล้วว่าแน่ชัด คาเมอเลงโกจะสั่ง ทำลายแหวนประจำตำแหน่งของพระสันตะปาปา หรือที่รู้จักกันในนามแหวนแห่งชาวประมง (Ring of the Fisherman) เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเอกสารในนามพระองค์

2.  การประกาศ Sede Vacante และการดูแลศาสนจักร Sede Vacante แปลว่า “ที่นั่งว่าง” เป็นช่วงเวลาที่ตำแหน่งพระสันตะปาปาว่างลง และในช่วงเวลานี้ตราประจำตำแหน่งขององค์พระสันตะปาปาจะเปลี่ยนชั่วคราว โดยมีภาพร่ม (ombrellino) และกุญแจสองดอกไขว้กันโดยในช่วงเวลานี้พระคาร์ดินัลทั้งโลกจะได้รับการแจ้งให้เดินทางมายังกรุงวาติกัน และไม่มีใครสามารถออกกฎหมายศาสนาใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงอะไรในเชิงนโยบายจนกว่าจะมีพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่

3. พิธีฝังพระศพและการเตรียม Conclave โดยในช่วงพิธีฝังพระศพร่างของพระสันตะปาปาจะถูกนำไปวางไว้ที่มหาวิหารนักบุญเปโตร เพื่อให้ประชาชนร่วมไว้อาลัยและมีการประกอบพิธีศพอย่างสมเกียรติ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีพิธีที่เรียกว่า Novemdiales ซึ่งคือพิธีภาวนา 9 วัน เพื่ออุทิศให้พระสันตะปาปาหลังจากนั้น พระศพจะถูกฝังในถ้ำใต้มหาวิหารนักบุญเปโตร หรือสถานที่อื่นตามแต่อดีตพระสันตะปาปาได้ทรงแสดงเจตจำนงไว้ก่อนสิ้นพระชนม์

จากนั้นการเตรียมการเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ (Conclave) ก็จะเริ่มขึ้น

ความสำคัญของ Conclaveต่อชาวคริสตชนคาทอลิกกว่า 1.3 พันล้านคนทั่วโลก 

1. พระสันตะปาปาคือผู้สืบตำแหน่งต่อจากนักบุญเปโตร ซึ่งเป็นอัครสาวกของพระเยซูและถือว่าเป็นพระสันตะปาปาองค์แรก จึงถือว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่สำคัญอย่างยิ่งของชาวครทอลิกทั่วโลก 

2. เมื่อพระสันตะปาปาองค์ก่อนสิ้นพระชนม์หรือสละตำแหน่ง ต้องมีการเลือกองค์ใหม่โดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดความว่างเปล่าในผู้นำและรักษาเสถียรภาพของศาสนจักร และเป็นการรักษาเอกภาพของศาสนจักรเอาไว้ 

3. เป็นกระบวนการที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์และเอกภาพของศาสนจักร
เพราะการเลือกต้องผ่านการพิจารณาโดยพระคาร์ดินัล ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปาองค์ก่อน เป็นกระบวนการที่ต้องใช้การอธิษฐานขอการนำทางจากพระผู้เป็นเจ้า

กระบวนการของ Conclave อย่างเป็นลำดับ มีอะไรบ้าง

1. เกิดภาวะ"Sede Vacante"(ตำแหน่งว่างของพระสันตะปาปา) ขึ้นเมื่อพระสันตะปาปาองค์ก่อนสิ้นพระชนม์หรือสละตำแหน่ง  พระคาร์ดินัลคาเมอเลงโก (Camerlengo) ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนจะรับผิดชอบการบริหารศาสนจักรชั่วคราวจนกว่าจะได้พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ 

2. จัดการนัดประชุม Conclave ที่วาติกัน
ซึ่งพระคาร์ดินัลที่มีอายุต่ำกว่า 80 ปีจากทั่วโลกจะถูกเรียกให้มาชุมนุมกันภายใน 15-20วันหลังจากตำแหน่งว่างลง แต่ละรูปมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งได้จนกว่าจะได้พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่

3. พระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิ์เลือก (Electors) จะเข้าไปในโบสถ์น้อยซีสทีน (Sistine Chapel)ซึ่งตั้งอยู่ภายในวาติกัน

พิธีเริ่มด้วยคำว่า "Extra omnes!" (ทุกคนออกไป!) เหลือเฉพาะผู้มีสิทธิ์เลือกเท่านั้น

4. กระบวนการลงคะแนนจะต้องได้เสียง 2ใน 3 ของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมดจึงจะถือว่าได้รับเลือก  โดยมีการลงคะแนนวันละ 2 ครั้งเช้า-บ่าย  และหากยังไม่สามารถเลือกได้ จะมีการเผาบัตรเลือกตั้งพร้อมสารเคมีทำให้เกิดควันสีดำ (Fumata nera)เพื่อแสดงว่ายังไม่มีผู้ได้รับเลือก

และหากเลือกได้แล้ว ควันจะเป็นสีขาว (Fumata bianca) พวยพุ่งออกจากปล่องควันของโบสถ์น้อยซิสทีนพร้อมเสียงระฆังสัญญาณ

5. จะมีการถามผู้ได้รับเลือกว่า “ยอมรับหรือไม่” และ “จะใช้พระนามใด”
 เมื่อผู้ได้รับการเลือกตั้งได้ยอมรับแล้ว จะถือเป็นพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่อย่างเป็นทางการทันที และจะสวมชุดขาวออกมาแสดงตัวที่ระเบียงหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร (St. Peter’s Basilica)

ความสำคัญและลึกซึ้งทางจิตวิญญาณของพิธี Conclave นั้น ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกผู้นำองค์กร หากแต่เป็น การอธิษฐานขอการนำทางจากพระเจ้าเพื่อให้ได้ผู้นำที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ รวมทั้ง Conclave นั้นดำเนินการด้วย การประชุมแบบปิดล้อม (con-clave มีความหมายตรงตัวว่า “ด้วยกุญแจ") แสดงถึงการละจากโลกภายนอก เพื่อมุ่งสู่ความเงียบและการไตร่ตรอง

กล่าวโดยสรุป Conclave ก็คือการเลือกพระสันตะปาปาใหม่ผ่านการอธิษฐาน ไตร่ตรอง และลงคะแนนเสียง โดยพระคาร์ดินัลที่มีสิทธิ์ โดยเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทรงนำทางในกระบวนการนี้นั่นเอง โดย Conclave ครั้งล่าสุดที่กำลังจะถูกจัดให้มีขึ้นในครังนี้ พระคาร์ดินัลชาวไทยที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุมเพื่อเลือกพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ในปี 2025 คือ พระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช โดยท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลโดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในปี ค.ศ. 2015 และยังมีอายุต่ำกว่า 80 ปี จึงมีสิทธิ์เข้าร่วมลงคะแนนเสียงตามกฎของวาติกัน

พระคาร์ดินัลเกรียงศักดิ์ ถือเป็นบุคคลสำคัญของคริสตจักรคาทอลิกไทยทีเตรียมบินไปวาติกัน เลือกตั้งพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ท่านจะเป็นหนึ่งในคณะพระคาร์ดินัลประมาณ 120–135 องค์ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนในพิธี Conclave เพื่อเลือกพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ที่จะถูกจัดขึ้นอย่างลับสุดยอดนั่นเอง

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#16 ‘พลอากาศโท Pham Tuân’ เสืออากาศแห่งกองทัพอากาศเวียตนามเหนือ

สหรัฐฯ ถือเป็นผู้ครองอากาศทั้งหมดทั้งมวลเหนือดินแดนเวียตนามทั้งเหนือและใต้ในระหว่างสงคราม และแทบจะไม่มีปฏิบัติการทางอากาศของกองทัพอากาศเวียตนามเหนือในดินแดนเวียตนามใต้เลย และการปฏิบัติบนน่านฟ้าเวียตนามเหนือเป็นเพียงการต่อสู้กับเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ซึ่งมาจากกองทัพอากาศ กองทัพเรือ และกองกำลังนาวิกโยธิน แต่กระนั้นแล้ว กองทัพอากาศเวียตนามเหนือก็ยังมีนักบินขับไล่ซึ่งสามารถยิงเครื่องบินรบสหรัฐฯ ตกตั้งแต่ 5 ลำขึ้นไปกลายเป็นเสืออากาศถึง 19 นาย ส่วนกองทัพสหรัฐฯ มีนักบินขับไล่ที่เป็นเสืออากาศในสงครามเวียตนาม 5 นาย

พลอากาศโท Pham Tuân เป็นหนึ่งในเสืออากาศอันดับต้น ๆ ของกองทัพอากาศเวียตนามเหนือ ด้วยผลงานยิงเครื่องบินของศัตรูตกไป 8 ลำ (อันดับหนึ่งมีสถิติ 9 ลำ) แต่เป็นนักบินขับไล่กองทัพอากาศเวียตนามเหนือคนแรกที่ยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 ของสหรัฐฯ ตก และต่อมาเขาเป็นชาวเวียตนามคนแรกและเป็นคนแรกของภูมิภาค ASEAN ที่ได้เดินทางไปในอวกาศ

พล.อ.ท. Pạm Tuân เกิดที่เมือง Kiến Xương จังหวัด Thái Bình ทางตอนเหนือของเวียตนาม เข้าร่วม VPAF หรือกองทัพอากาศเวียตนาม (กองทัพอากาศเวียตนามเหนือ) ในปี 1965 เริ่มต้นจากนักเรียนช่างเรดาร์ จากนั้นก็ได้รับเลือกให้เข้ารับการฝึกเป็นนายทหารนักบินชั้นสัญญาบัตร เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนการบิน Krasnodar ในสหภาพโซเวียต เป็นนักบิน MiG-17 ในปี 1967 จากนั้นจึงย้ายไปฝึกบิน MiG-21 และได้รับมอบหมายให้ประจำหน่วยฝึกบิน VPAF 910 ระหว่างปี 1968-69 เขามีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคนิคการสกัดกั้นในเวลากลางคืนเพื่อต่อต้านการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ จากนั้นจึงย้ายมาประจำกรมการบินที่ 932 ระหว่างปี 1969-1970 และสุดท้ายประจำกรมการบินที่ 921 ระหว่างปี 1970-1973

ระหว่างคืนวันที่ 18-27 ธันวาคม 1972 ในปฏิบัติการ Linebacker II (the Christmas Bombing) นาวาอากาศตรี Pham Tuân ได้นำเครื่องบินขับไล่แบบ MiG-21 ติดขีปนาวุธอากาศสู่อากาศแบบแสวงความร้อนเข้าต่อสู้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 Stratofortress ของสหรัฐฯ ไม่ต่ำกว่า 12 ครั้ง วันที่ 27 เขาบิน MiG-21MF (หมายเลข 5121) ด้วยความเร็วเหนือเสียง และสามารถเจาะเข้าไปในขบวนบินของ B-52 ยิงขีปนาวุธ 2 ลูกในระยะน้อยกว่า 4 กม. ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาแล้วรายงานว่า ขีปนาวุธของเขายิงถูก B-52D จนตกเหนือเขตติดต่อของจังหวัด Hoa Binh กับ Vinh Phuc การอ้างชัยชนะนี้ ทำให้ B-52 ลำนี้เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดเพียงลำเดียวที่ถูกยิงตกในการสู้รบทางอากาศ แต่กลับถูกโต้แย้งโดยบันทึกของสหรัฐฯ ซึ่งอ้างว่า B-52 ลำนี้ถูกยิงโดยขีปนาวุธพื้นสู่อากาศเช่นเดียวกับ B-52 ลำอื่น ๆ ที่ถูกยิงระหว่างสงคราม ในหนังสือชื่อ "Hà Nội - Điện Bien Phủ trên không" (ฮานอย - ยุทธการเดียนเบียนฟูในอากาศ) โดย Nguyễn Minh Tâm จัดพิมพ์โดย Nhà xuất bản Quân đội Nhân dân Việt Nam (Viet Publishing House's) ผู้เขียนยืนยันว่า นต. Pham Tuân ยิง B-52 ด้วยขีปนาวุธอากาศสู่อากาศแบบ K-13 สองลูกภายในระยะ 4 กิโลเมตร

นต. Pham Tuân เล่าว่า “เมื่อผมตรวจพบเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินของผมอยู่ห่างจากเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ประมาณ 10 กม. ผมจึงทิ้งถังเชื้อเพลิงภายนอก และขอคำสั่งโจมตีทันที แม้ว่าผมจะเข้าใกล้เครื่องบินทิ้งระเบิดแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก โชคดีที่ฝูงบินคุ้มกัน F-4 ของศัตรูก็ไม่มองเห็นผม แต่เพื่อความแน่ใจ ผมยังคงบินเข้าใกล้ต่อไปจนเหลือระยะ 3 กม. แล้วถึงได้ปล่อยขีปนาวุธ ในขณะที่ผมกำลังหลบหนี ผมก็เห็นตอนที่ขีปนาวุธทั้งสองพุ่งชนเข้ากับ B-52 แล้วระเบิด ซึ่งตอนนั้นไฟกำลังลุกไหม้ B-52 และมีเครื่อง F-4 พยายามไล่ตามผมมา แต่ตอนนี้ผมก็รอดแล้ว" Tuân เล่าว่า เนื่องจาก B-52 ติดตั้งอุปกรณ์ลวงอินฟราเรดจำนวนมาก เขาจึงต้องเข้าใกล้เป้าหมาย (ในระยะ 2-3 กิโลเมตร) เพื่อให้แน่ใจว่า จรวดจะไม่พลาด แม้ว่าระยะปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับการยิงขีปนาวุธคืออย่างน้อย 8 กิโลเมตร การอ้างชัยชนะทางอากาศโดยนักบิน MiG ของ VPAF ต่อเครื่องบินรบของสหรัฐฯ มักได้รับการโต้แย้งว่าเป็นการสูญเสีย B-52 มาจากขีปนาวุธพื้นสู่อากาศหรือปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน เนื่องจากถือว่า "น่าอับอายน้อยกว่า" การที่ถูกนักบินฝ่ายศัตรูยิงตก ปฏิบัติการ Linebacker II มีนักบินและลูกเรือเสียชีวิต 33 นาย โดยเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 Stratofortress จำนวน 15 ลำถูกยิงตก และจนทุกวันนี้กองทัพอากาศสหรัฐฯ ก็ยังไม่ยืนยันว่า Tuân เป็นผู้ยิง B-52 ตกระหว่างปฏิบัติการ Linebacker II

Tuân ได้รับรางวัลและคำชื่นชมในการปฏิบัติงานที่มีความโดดเด่นมากมาย ในปี 1973 Tuân ได้รับตำแหน่ง "วีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชน" ของเวียตนามเหนือ รวมทั้ง Ho Chi Minh Order นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัล Order of Lenin และได้รับเกียรติอันหาได้ยากด้วยการเป็นหนึ่งในชาวต่างชาติไม่กี่คนที่ได้รับ "Hero of the Soviet Union" จากภารกิจในอวกาศ Interkosmos program โดยทำหน้าที่เป็นนักบินผู้บังคับยานอวกาศในเที่ยวบิน Soyuz 37 ซึ่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 23  กรกฎาคม 1980 ไปยังสถานีอวกาศ Salyut 6 และกลับสู่เพื่อโลกเมื่อ 31 กรกฎาคม 1980 รวมเวลาที่เขาอยู่ในอวกาศ 7 วัน 20 ชั่วโมง 42 นาที Tuân นำสิ่งของหลายอย่างติดตัวไปด้วยในเที่ยวบิน Soyuz 37 ซึ่งรวมถึงรูปภาพของอดีตประธานาธิบดี Hồ Chí Minh, Lê Duân เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียตนาม, ประกาศเจตจำนงของ Hồ Chí Minh, ธงชาติเวียตนาม โดยเขาได้นำสิ่งของทั้งหมดเอาไปไว้บนสถานีอวกาศแล้วนำพวกมันกลับมายังโลก ในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้รับรางวัล "วีรบุรุษแรงงานแห่งเวียดนาม"  ต่อมาในปี 1989 เขาได้รับตำแหน่ง "รองผู้บัญชาการ" กองทัพอากาศเวียดนาม ได้รับการเลื่อนยศเป็นพลอากาศโทในปี 1999 และดำรงตำแหน่ง "อธิบดีกรมอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ" ในปี 2000 และเกษียณจากตำแหน่งในปลายปี 2007 ปัจจุบัน พลอากาศโท Pham Tuân ยังคงมีชีวิตอยู่ และใช้ชีวิตกับภรรยาอย่างมีความสุข

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#15 ปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุด ในสงครามเวียตนาม

การรุกตรุษญวน (Tet Offensive) เป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในสงครามเวียตนาม เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 30 มกราคม 1968 โดยกองกำลังเวียตกง (VC) และกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) กับกองกำลังเวียตนามใต้ สหรัฐอเมริกา และพันธมิตร เป็นการรบแบบการจู่โจมต่อที่ตั้งของกองบัญชาการทหารและพลเรือน ตลอดจนศูนย์ควบคุมและสั่งการทั่วประเทศเวียตนามใต้ การรุกนี้ได้ชื่อจากวันหยุดตรุษญวน (Tết) ด้วยกำลังผสมของกองกำลังเวียตกงและกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือประมาณ 5 แสนนาย เปิดฉากการบุกโจมตีพร้อมกันหลาย ๆ จุดในหลาย ๆ เมืองของเวียตนามใต้ จนเป็นการสู้รบที่ดุเดือดต่อเนื่องยาวนานหลายเดือนไปจนถึงวันที่ 23 กันยายน 1968

ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้มีการตระเตรียมกำลังพลถึง 1 ใน 3 (กว่าสี่แสนนาย) ของกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) และระดมกำลังพลของเวียตกงอีกประมาณ 70,000 คน โดยผู้บัญชาการทหารของฝ่ายเวียตนามเหนือ พลเอกโวเหงียนเกี๊ยบได้เลือกเอาวันที่ 31 มกราคม ซึ่งเป็นวันปีใหม่ในปฏิทินจันทรคติของชาวเวียตนามเป็นการเปิดฉากจู่โจมในครั้งดังกล่าว โดยพลเอกเกี๊ยบได้วาดหวังผลทางยุทธศาสตร์เอาไว้ว่า การบุกจู่โจมดังกล่าวจะสามารถพิชิตกองทัพของฝ่ายเวียตนามใต้ (ARVN : Army of the Republic of Vietnam) ลงได้ ทั้งยังจะสามารถสร้างความวุ่นวายและปลุกปั่นกระแสต่อต้านรัฐบาลเวียตนามใต้ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เขายังต้องการที่จะกระตุ้นตอกย้ำรอยร้าวของความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงระหว่างรัฐบาลเวียตนามใต้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้สหรัฐฯ หาทางเจรจาและต้องถอนกำลังทหารออกไปจากเวียตนามใต้

ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ทำการโจมตีเป็นระลอกในกลางดึกของวันที่ 30 มกราคมในเขตยุทธวิธีที่ 1 และที่ 2 ของกองทัพเวียตนามใต้ การโจมตีช่วงแรกนี้ไม่นำไปสู่มาตรการป้องกันอย่างกว้างขวาง เมื่อปฏิบัติการหลักของคอมมิวนิสต์เริ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น การรุกก็ลามไปทั่วประเทศและมีการประสานงานอย่างดี จนสุดท้ายมีกำลังคอมมิวนิสต์กว่า 80,000 นายเปิดฉากโจมตีเมืองต่าง ๆ กว่า 100 แห่ง ซึ่งรวมเมืองหลักของ 36 จาก 44 จังหวัด เขตปกครองตนเอง 5 จาก 6 แห่ง เมืองรอง 72 จาก 245 แห่ง และกรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียตนามใต้ ในเวลานั้น การโจมตีครั้งนี้เป็นปฏิบัติการทางทหารใหญ่ที่สุดของทั้งสองฝ่าย การโจมตีในระยะแรกทำให้กองทัพสหรัฐฯ และเวียตนามใต้สับสนจนเสียการควบคุมในหลายเมือไปชั่วคราว แต่ที่สุดก็สามารถจัดกำลังใหม่จนสามารถต่อต้านการโจมตีและตีโต้จนฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องล่าถอยกลับไป 

แผนการบุกจู่โจมของฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มขึ้นตรงตามที่ได้มีการวางวางแผนไว้ ในกรุงไซง่อนซึ่งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเวียตนาม ที่มั่นของฝ่ายรัฐบาลเวียตนามใต้ เช่น สถานทูตสหรัฐฯ ถูกก่อวินาศกรรมโดยหน่วยกล้าตายเวียตกงประมาณ 19 นาย หน่วยจู่โจมดังกล่าวปะทะกับทหารเวียตนามใต้และสหรัฐฯ และสามารถยึดที่มั่นสำคัญของฝ่ายเวียตนามใต้แห่งนี้ได้นานถึง 6 ชั่วโมง ก่อนที่จะถูกกราดยิงจากเฮลิคอปเตอร์ของฝ่ายเวียตนามใต้และสหรัฐฯ จนเสียชีวิตหมด หน่วยกล้าตายเวียตกงอีกหน่วยสามารถบุกไปยังทำเนียบประธานาธิบดี สถานีวิทยุ ศูนย์กลางกองทัพเรือ กองพลทหารพลร่ม ศูนย์กลางตำรวจ รวมถึงคลังน้ำมันที่ 4, 5. 6, 7, 8 ในกรุงไซง่อน ความสำเร็จในการบุกจู่โจมกรุงไซง่อนของเวียตกงได้แสดงให้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของสงครามว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำอย่างที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ เคยบอกตลอดมา นอกจากนี้ความจริงดังกล่าวยังเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของทหารอเมริกัน ในวันเดียวกันของการเริ่มปฏิบัติการที่เมืองเว้ ฝ่ายคอมมิวนิสต์สามารถบุกยึดเมืองดังกล่าวได้สำเร็จ และปล่อยนักโทษที่ถูกฝ่ายตรงข้ามคุมขังให้เป็นอิสระได้ถึง 2,000 คน

ในกรุงไซง่อนการขับไล่กองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ของทหารเวียตนามใต้และอเมริกันเป็นไปด้วยความยากลำบาก หน่วยจู่โจมฝ่ายคอมมิวนิสต์แทรกซึมอยู่ทั่วกรุงไซง่อนมาหลายสัปดาห์แล้ว อาศัยเสบียงที่พอจะประทังชีวิตได้ รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ กองทัพอเมริกันได้โต้กลับด้วยวิธีการที่รุนแรงด้วยการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดและปืนใหญ่เข้าทำลายพื้นที่ทั้งหมดในทั้งกรุงไซง่อนและพื้นที่อื่น ๆ ที่มีกำลังของฝ่ายคอมมิวนิสต์อยู่ ระหว่างยุทธการที่เมืองเว้มีการสู้รบอย่างดุเดือดกินเวลาถึงหนึ่งเดือน ทำให้กองกำลังสหรัฐต้องทำลายเมืองเว้จนเสียหายอย่างหนัก และระหว่างการยึดครองเมืองเว้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ได้ประหารชีวิตประชาชนหลายพันคน (เหตุการณ์การสังหารหมู่ที่เมืองเว้) 

ขณะเดียวกัน ยังมีการสู้รบบริเวณรอบ ๆ ฐานทัพสหรัฐฯ ที่เคซานต่อมาอีกสองเดือน แม้ว่าปฏิบัติการจู่โจมดังกล่าวจะไม่ได้ประสบกับความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ทำให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องสูญเสียกำลังพลมหาศาล และถือเป็นความพ่ายแพ้ทางทหารสำหรับฝ่ายคอมมิวนิสต์ แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะทำให้สาธารณชนชาวอเมริกันต้องตกตะลึงจากความเชื่อซึ่งถูกผู้นำทางการเมืองและการทหารบอกว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์กำลังปราชัย และไม่สามารถดำเนินความพยายามขนาดมโหฬารเช่นนี้ได้ การสนับสนุนสงครามของสาธารณชนชาวอเมริกันจึงลดลงเรื่อย ๆ และในที่สุดสหรัฐฯ ต้องแสวงหาการเจรจาเพื่อยุติสงคราม

การรุกในวันตรุษญวนทำให้ทหารของกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) และเวียตกง (VC) เสียชีวิตกว่า 1 แสนนาย ทหารของกองทัพสหรัฐฯ เวียตนามใต้ และพันธมิตรเสียชีวิตกว่า 10,000 นาย เหตุการณ์นี้กองกำลังทหารไทยในเวียตนามใต้ได้มีส่วนร่วมในการสู้รบด้วย แม้ว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่การรุกในวันตรุษญวนส่งผลในทางจิตวิทยาเป็นอย่างมาก โดยเป็นการแสดงศักยภาพด้านการทหารของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นการจุดกระแสต่อต้านสงครามเวียตนามในสหรัฐฯ จนติด และนำไปสู่การถอนทหารสหรัฐฯ จากเวียตนามใต้ และที่สุดนำไปการล่มสลายของเวียตนามใต้ (สาธารณรัฐเวียตนาม) ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1975

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

บทบาท ‘ทรัพยากรเชิงชาติพันธุ์’ ของชาวไทยเชื้อสายจีน เบื้องหลัง!! ความสัมพันธ์เศรษฐกิจ ‘จีน – ไทย’

(26 เม.ย. 68) แม้ว่าประเทศไทยและจีนจะมีความสัมพันธ์อันดีในหลายมิติ แต่เมื่อพูดถึงคำว่า 'พี่น้องไทย - จีน' แล้ว ที่มาและความหมายที่แท้จริงของคำนี้คือความเป็นพี่น้องทางสายเลือดจริง ๆ ซึ่งถ้าใครอยู่ในวงการความสัมพันธ์ไทย-จีนนั้น ก็น่าจะเคยได้ยินฝ่ายจีนใช้คำว่า '血脉相连 - เสว่ ม่าย เซียง เหลียน' ซึ่งแปลว่า 'เชื่อมต่อกันทางสายเลือด' โดยหมายถึงชาวไทยเชื้อสายจีน หรือชาวจีนที่เกิดในประเทศไทยและเป็นเชื้อสายของผู้อพยพชาวจีน หรือชาวจีนโพ้นทะเล ที่มีอยู่ประมาณ 10 ล้านคนในประเทศไทย คิดเป็น 11–14% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ ที่จำนวนมากเติบโตและประสบความสำเร็จด้านการค้าขาย เป็นผู้นำองค์กร เป็นผู้ถือครองทรัพย์สินจำนวนมาก บ้างก็มีตำแหน่งสำคัญในราชการ 

นายกรัฐมนตรีไทยจำนวน 19 จาก 31 คน ล้วนมีเชื้อสายจีนทั้งสิ้น

แม้ว่าคนไทยเชื้อสายจีนจำนวนมากจะถูกกลืนกินทางวัฒนธรรมจนกลายเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังมีเครือข่ายสายสัมพันธ์กับคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งได้กลายมาเป็น 'ทรัพยากรเชิงชาติพันธุ์' และกลายเป็น 'สะพาน' ในการเชื่อมสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน อย่างมีนัยยะสำคัญมาโดยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

ในยุคที่จีนดำเนินนโยบายตามกรอบแนวคิดริเริ่ม 'หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง' (Belt and Road Initiative - BRI - 一带一路) และยุทธศาสตร์ 'เดินออกไปข้างนอก' (Going Out Strategy - 走出去战略) ของรัฐบาลจีน ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 มีเป้าหมายในการผลักดันบริษัทจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศ ขยายเครือข่ายธุรกิจ และสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระดับโลก

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนจีนไม่ได้พิจารณาเพียงปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเท่านั้น หากยังได้รับอิทธิพลจากเครือข่ายทางสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะชุมชนชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างจีนและประเทศเป้าหมายในระดับพื้นที่ ซึ่งกลายเป็น 'ทรัพยากรเชิงชาติพันธุ์' ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญตามทฤษฎีเศรษฐกิจเชิงชาติพันธุ์ (Ethnic Economy)

ประเด็นนี้เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย ที่การเข้ามาของ FDI นั้น มักต้องอาศัยพันธมิตรในท้องถิ่น ความรู้เชิงบริบท และการเข้าถึงระบบราชการ ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติต้องพึ่งพา 'กลุ่มตัวกลาง' ในท้องถิ่น ในการอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ตามทฤษฎีการตัดสินใจของ FDI ในตลาดเกิดใหม่ (FDI Decision-making in Emerging Markets) รวมถึงทฤษฎีเครือข่ายทางสังคม (Social Network Theory) ที่มองว่าความสัมพันธ์ทางสังคมมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในบริบทที่มีความไม่แน่นอนสูง เช่น การลงทุนข้ามชาติในประเทศเกิดใหม่ ประเทศที่การเมืองไม่มั่นคง หรือประเทศที่มีอัตราการคอร์รัปชันสูงในระดับท้องถิ่น

ทั้งนี้ บทบาทของชาวไทยเชื้อสายจีนตามกรอบแนวคิดและทฤษฎีข้างต้นนี้ โดยหลักแล้วถือว่าเป็น 'ตัวกลางทางเครือข่าย' รวมถึงเป็น 'กลุ่มผลประโยชน์' และ 'พันธมิตรสนับสนุน' (advocacy coalition) ความร่วมมือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะบทบาทการเชื่อมโยงนักลงทุนและรัฐบาลท้องถิ่น ทั้งการสนับสนุนด้านข้อมูลทางกฎหมาย นโยบาย การทลายกำแพงด้านภาษาและวัฒนธรรม รวมถึงการสร้างอำนาจต่อรอง บริหารและจัดสรรผลประโยชน์ของทุกฝ่ายบนหน้าฉากก็ดี... หลังฉากก็ดี... (กรณีนี้คือว่ากันตามหลักการ ในความเป็นจริงอาจมีประเด็นผลประโยชน์ส่วนตัวและการคอร์รัปชัน ที่เป็นต้นตอของปัญหาเรื่องทุนต่างชาติสีเทาในปัจจุบัน)

ในรูปธรรมของการก่อตัวเป็นกลุ่มผลประโยชน์ของคนไทยเชื้อสายจีนนั้น สามารถเห็นได้จากการตั้งองค์กรในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ สมาคมการค้า หอการค้า สภาธุรกิจ หรือมูลนิธิอาสา ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น จัดงานเลี้ยง งานประชุม งานอาสาต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการสร้างชุมชน China town ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวจีนโพ้นทะเลในท้องถิ่นต่าง ๆ เพิ่มโอกาสในการพบปะทางสังคม และมีบทบาทในการสร้างเครือข่ายผลประโยชน์ ส่งต่อกันแบบรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะในระดับประเทศ หรือระดับท้องถิ่น เป็นพื้นที่ที่นักลงทุนทั้งสองฝ่ายรู้สึก 'ปลอดภัย' และ 'เข้าถึงง่าย' ช่วยให้สามารถเข้าถึงตลาด ทำให้นักธุรกิจจีนเกิดความรู้สึก 'เหมือนอยู่บ้าน'

ในทางกลับกัน ฝ่ายรัฐบาลท้องถิ่นที่ต้องการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากภายนอกนั้น ก็สามารถดำเนินการประสานด้านข้อมูลและใช้เครือข่ายขององค์กรสมาคมการค้าและมูลนิธิต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนจีนเช่นกัน

องค์กรรูปแบบนี้สามารถพบเห็นได้ในแทบจะทุกจังหวัดของประเทศไทย จะมีมากและเข้มแข็งเป็นพิเศษในเมืองยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น กรุงเทพฯ, สมุทรปราการ หาดใหญ่, เชียงใหม่, ภูเก็ต, กลุ่มจังหวัดโซน EEC และหลายจังหวัดในภาคอีสาน (ที่อาจเป็นทางผ่านของรถไฟความเร็วสูง)

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า นัยยะสำคัญของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับจีนไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับข้อตกลงหรือเอกสารทางการต่าง ๆ เท่านั้น แต่มาจากความสัมพันธ์ของผู้คน ความเชื่อใจ ความใกล้ชิด และเครือข่ายที่ยึดโยงกันข้ามรุ่น จากบทบาทของคนไทยเชื้อสายจีนในฐานะ 'ตัวกลาง' ที่เข้าใจทั้งสองฝั่งอย่างลึกซึ้ง

ไม่เพียงแค่ไทยเท่านั้น ชาวจีนโพ้นทะเลจำนวนมากที่กระจายอยู่ทั่วโลกก็กำลังมีบทบาทเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในกลุ่ม ASEAN ที่มีชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลที่ค่อนข้างเข้มแข็งและมีบทบาทต่อเศรษฐกิจ

ด้วยเหตุเช่นนี้ การ 'เดินออกไปข้างนอก' ตามยุทธศาสตร์ Going Out Strategy นั้น จึงเป็นการ 'เดินออกไปข้างนอกแต่ก็ยังเจอเพื่อน' ที่จะช่วยแนะนำที่ทางในการค้าขาย และเป็น 'กันชนทางวัฒนธรรม' ที่ทำหน้าที่ลด culture shock และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 'เจ้าบ้าน' และ 'แขกหน้าใหม่' พร้อมสร้างความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นวัฒนธรรมและระบบ เกิดความยั่งยืนจากการส่งต่อแบบรุ่นสู่รุ่น

พระราชไมตรีระหว่าง ‘ไทย - ภูฏาน’ ท่ามกลางระเบียบโลก ที่เปลี่ยนแปลง สองประเทศเล็ก ที่เชื่อมั่นในความพอเพียง จะก้าวเดินร่วมกัน โดยไม่หวั่นไหว

กลางหุบเขาสูงเสียดฟ้าแห่งราชอาณาจักรภูฏาน ภาพแห่งมิตรภาพที่งดงามได้บังเกิดขึ้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ตามคำทูลเชิญของ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก พร้อมด้วยการต้อนรับที่เปี่ยมด้วยไมตรีจิตและวัฒนธรรมอันงดงาม

กิจกรรมที่สะท้อนสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น

ตั้งแต่การเสด็จฯ ถึงสนามบินพาโรที่ยากที่สุดในโลก
การตรวจแถวกองเกียรติยศ ณ ป้อมทาชิโช
การร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ณ พระพุทธรูปดอร์เดนมา
ทอดพระเนตรโครงการหลวงเดเชนโชลิง และนิทรรศการผลิตภัณฑ์ชุมชน
เยี่ยมชมศิลปวัฒนธรรมภูฏาน การยิงธนู และหัตถกรรมท้องถิ่น
ตลอดจนการพบหารือกับผู้นำรัฐบาลภูฏาน

ทุกกิจกรรมไม่ได้เป็นเพียงพิธีการ แต่เป็นการถักทอสายใยแห่งพระราชไมตรีอย่างแท้จริง — สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น เสมือนพี่น้องที่เข้าใจหัวใจกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำมากนัก

จับมือกัน... ท่ามกลางโลกที่สั่นไหว

ในห้วงเวลาที่ระเบียบโลกเก่ากำลังสั่นคลอน — เมื่อมหาอำนาจแข่งขันกันอย่างรุนแรง ทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี ประเทศเล็กและกลางต้องเลือกระหว่าง การไหลตามกระแส หรือ การวางรากฐานให้มั่นคงด้วยตนเอง

ไทยและภูฏานต่างเลือกหนทางที่คล้ายกัน คือ การพึ่งตนเองอย่างพอเพียง ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด และสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการพัฒนาจากภายใน ไม่ใช่การไขว่คว้าตัวเลข GDP ที่ว่างเปล่า

การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าการเยือน แต่คือ การประกาศเจตจำนงเงียบ ๆ ว่า ไทยและภูฏานจะไม่เป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งในเกมโลก แต่จะยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรี โดยจับมือกันไว้ เดินไปด้วยกัน บนเส้นทางที่มั่นคงจากภายในสู่ภายนอก

บทเพลงที่พูดแทนใจสองชาติ

การที่ชาวภูฏานเลือกเพลง 'จับมือไว้' ของไทย มาใช้ในการแสดงต้อนรับเสด็จ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากคือสัญญะสำคัญ — ว่าในวันที่โลกวุ่นวายที่สุด มนุษย์สองประเทศเล็กกลางหุบเขา ก็ยังสามารถ จับมือกันไว้ ด้วยหัวใจที่เชื่อมั่นในสันติ ความพอเพียง และการก้าวเดินร่วมกันอย่างไม่หวั่นไหว

บทสรุป
ในวันที่ความขัดแย้งและความโลภฉุดกระชากโลกให้ปั่นป่วน
สองราชอาณาจักรเล็ก ๆ อย่างไทยและภูฏาน เลือกจะไม่แย่งชิงบทบาท
แต่เลือกที่จะยืนยัน — ด้วยรอยยิ้ม ด้วยมิตรภาพ และด้วยเศรษฐกิจพอเพียง — ว่าความมั่นคงที่แท้จริงนั้น ไม่ได้วัดด้วยขนาดหรืออำนาจ แต่ด้วยรากฐานของหัวใจที่ไม่หวั่นไหว

"จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน" จึงไม่ใช่แค่ทำนองเพลง แต่คือพันธสัญญาร่วมกันในโลกที่กำลังเปลี่ยน"

จากความหลากหลายสู่ภัยความมั่นคงทางศีลธรรม กับวาทกรรมต่อต้าน LGBT ในยุทธศาสตร์อำนาจของรัสเซีย

(24 เม.ย. 68) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหพันธรัฐรัสเซียได้ผลักดันนโยบายและวาทกรรมทางการเมืองที่แสดงออกถึงการต่อต้านขบวนการ LGBT อย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่ในเชิงวัฒนธรรมและสังคม หากแต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีการจัดให้ "ขบวนการ LGBT" เป็นภัยคุกคามต่ออัตลักษณ์ของชาติ ศีลธรรมดั้งเดิม และความมั่นคงของรัฐ ความเคลื่อนไหวล่าสุดในการขึ้นบัญชี LGBT movement เป็น “องค์กรหัวรุนแรง” หรือแม้แต่ “องค์กรก่อการร้าย” สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของวาทกรรมอำนาจ ซึ่งมุ่งเน้นการผูกโยง “ความหลากหลาย” เข้ากับ “ความเสี่ยงทางความมั่นคง” โดยจะอธิบายผ่านบริบททางการเมืองและสังคมของรัสเซียต่อประเด็น LGBT ดังนี้

ในสมัยสหภาพโซเวียต ความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศถือเป็น “พฤติกรรมเบี่ยงเบน” และถูกทำให้เป็นอาชญากรรมภายใต้ประมวลกฎหมายอาญาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934 ตามนโยบายของโจเซฟ สตาลิน ซึ่งมาตรา 121 ของกฎหมายอาญาโซเวียตระบุว่าการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน (เฉพาะในผู้ชาย) มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี แนวคิดของโซเวียตสะท้อนการมองว่า LGBT เป็นภัยต่อโครงสร้างครอบครัวแบบสังคมนิยม และถูกเชื่อมโยงกับ “ความเสื่อมทรามของทุนนิยมตะวันตก” แม้ในยุคหลังสงครามเย็นภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน แม้รัสเซียจะยกเลิกมาตราดังกล่าวในปี ค.ศ. 1993 แต่อคติทางสังคมและการตีตราก็ยังคงอยู่ในระดับสูง

กฎหมายปี ค.ศ. 2013 หรือที่รู้จักในชื่อ “กฎหมายต่อต้านการโฆษณาเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน” (Law on the Propaganda of Non-Traditional Sexual Relationships to Minors) มีสาระสำคัญคือการห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่ “ส่งเสริมความสัมพันธ์รักร่วมเพศ” ต่อเด็กและเยาวชน โดยมีบทลงโทษทั้งทางแพ่งและอาญา เช่น ปรับเงิน หรือจำกัดสิทธิ์ทางสื่อสารมวลชน ต่อมาในปี ค.ศ. 2022 กฎหมายดังกล่าวได้ถูกขยายขอบเขตให้ครอบคลุม “การโฆษณา LGBT ในที่สาธารณะ” ทั้งหมดไม่จำกัดเฉพาะต่อผู้เยาว์ ซึ่งหมายความว่าการพูดถึงความหลากหลายทางเพศในเชิงบวก การจัดกิจกรรม หรือสื่อที่เกี่ยวข้องสามารถถูกปรับโทษตามกฎหมายได้อย่างกว้างขวาง นี่เป็นพัฒนาการสำคัญที่รัฐรัสเซียได้บูรณาการวาทกรรมต่อต้าน LGBT เข้าสู่กลไกของกฎหมายอย่างเป็นทางการ

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2023 ศาลฎีกาของรัสเซียได้มีคำวินิจฉัยให้ “ขบวนการ LGBT International Public Movement” เป็น “องค์กรสุดโต่ง” «экстремистская организация» ตามคำร้องจากสำนักงานอัยการสูงสุด โดยให้เหตุผลว่ากลุ่มดังกล่าว “ทำลายคุณค่าดั้งเดิมของชาติและเป็นภัยต่อศีลธรรม” ต่อมาในปี ค.ศ. 2024 มีการประกาศโดยทางการบางระดับว่าการแสดงออกเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศอาจเข้าข่าย “การก่อการร้ายทางวัฒนธรรม” (cultural terrorism) หรือ “ภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางอารยธรรมของรัสเซีย” นี่ไม่ใช่แค่การกำหนดให้ LGBT movement เป็นกลุ่มผิดกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับการต่อต้าน LGBT ไปสู่ระดับความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงจาก “วาทกรรมทางศีลธรรม” ไปสู่วาทกรรมความมั่นคงและรัฐนิยม

เมื่อเราวิเคราะห์ในมิติของวาทกรรมความมั่นคง (Security Discourse) และทฤษฎีวาทกรรม (Discourse Theory) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) โอเล่ วีเวอร์ (Ole Wæver) และสจ๊วต ฮอลล์ (Stuart Hall) โดยเฉพาะเมื่อรัฐใช้วาทกรรมในการกำหนดว่า “อะไรคือภัยคุกคาม” และ “ใครคือศัตรูของชาติ” พบว่าในทศวรรษที่ผ่านมารัฐรัสเซียได้ใช้วาทกรรมที่ร้อยเรียง LGBT เข้ากับภาพของ “ภัยต่อความมั่นคงทางศีลธรรม” ตัวอย่างวลีสำคัญที่ปรากฏในสื่อและกฎหมายรัฐ ได้แก่

1) “ภัยต่อเด็ก”: โดยเฉพาะในกฎหมายปี ค.ศ.2013 ที่เน้นการปกป้องเยาวชนจาก “โฆษณา” ความหลากหลายทางเพศ กรอบนี้ทำให้รัฐสามารถนำเสนอการต่อต้าน LGBT ในฐานะการปกป้องเด็กแทนที่จะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
2) “สงครามอารยธรรม”: รัฐบาลและสื่อกระแสหลักใช้แนวคิดว่าค่านิยมตะวันตกที่ยอมรับ LGBT คือการรุกรานทางวัฒนธรรม (Cultural Aggression) และรัสเซียต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องอัตลักษณ์ดั้งเดิม
3) “ภัยจากตะวันตก”: LGBT ถูกโยงเข้ากับภาพลักษณ์ของ “ตะวันตกที่เสื่อมทราม” ที่ต้องการแทรกแซงและทำลายโครงสร้างครอบครัวของรัสเซีย

วาทกรรมเหล่านี้ทำหน้าที่ จัดระเบียบความคิดของประชาชน และสร้างความชอบธรรมในการปราบปรามภายใต้กรอบของ “การปกป้องชาติ”

การวิเคราะห์แนวนี้สามารถวางอยู่บนฐานความคิดของซามูเอล ฮันติงตัน (Samuel Huntington) 
ซึ่งมองว่าโลกหลังสงครามเย็นจะเข้าสู่การขัดแย้งระหว่าง “อารยธรรม” แทนอุดมการณ์ รัสเซียได้หยิบยืมกรอบนี้มาใช้ในเชิงวาทกรรมเพื่อวาดภาพความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมรัสเซีย (ที่เน้นความเป็นครอบครัว, ศีลธรรม, ศาสนาออร์โธดอกซ์) กับอารยธรรมตะวันตกที่เสื่อมทราม (ที่ยอมรับเสรีภาพทางเพศ) ดังน้น LGBT จึงถูกนำเสนอในฐานะเครื่องมือหรือผลพวงของลัทธิฝรั่งนิยม (Westernism) ที่คุกคามคุณค่าของโลกสลาฟ เป็นส่วนหนึ่งของ “การรุกรานด้วยซอฟต์พาวเวอร์” (soft power invasion) ที่มุ่งทำลายอัตลักษณ์ของรัสเซียจากภายใน

ในเชิงทฤษฎีอัตลักษณ์ (Identity Politics) และวาทกรรมของเออร์เนสโต้ ลาคลาวและชองทัล มูฟเฟ (Ernesto Laclau & Chantal Mouffe) ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญในสาย post-Marxist ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการวิเคราะห์การเมืองแบบวาทกรรม โดยเฉพาะในประเด็นอัตลักษณ์ ความขัดแย้ง และอำนาจของรัฐ 
พวกเขาปฏิเสธแนวคิดที่มองวาทกรรมเป็นเพียงการใช้ภาษาหรือการสื่อสารทั่วไป แต่เสนอว่า “วาทกรรมคือโครงสร้างของความหมาย” ที่มีผลต่อการจัดระเบียบโลกความจริง (social reality) โดยวาทกรรมคือกลไกที่ สร้างความจริง มากกว่าที่จะสะท้อนความจริง การผลิตอัตลักษณ์ของชาติรัสเซียยุคปูตินอาศัยการสร้าง “คู่ตรงข้าม” อย่างเข้มข้น โดย“เรา” คือประชาชนรัสเซียที่ยึดมั่นในคุณค่าดั้งเดิมของชาติ ศาสนา ครอบครัว ในขณะที่ “พวกเขา” คือกลุ่มเคลื่อนไหว LGBT, นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน, ตะวันตก และ NGO ต่างชาติ ซึ่งการกำหนดว่าใคร “ไม่ใช่พวกเรา” คือกลไกสำคัญในการรวมพลังชาติผ่านศัตรูร่วม ซึ่งในกรณีนี้ LGBT ถูกทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการคุกคามความมั่นคงทางวัฒนธรรมทั้งในด้านศีลธรรม ครอบครัว และอธิปไตย

เมื่อเราพิจารณา “LGBT ในฐานะศัตรูที่ผลิตได้” ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นร่วมสมัยที่สำคัญในรัฐศาสตร์เชิงวิพากษ์และทฤษฎีอำนาจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาผ่านแนวคิดของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) จิออจิโอ อากัมเบน (Giorgio Agamben) และฌาคส์ เดอริดา (Jacques Derrida) ที่มองว่ารัฐสามารถ “ผลิตความจริง” และ “กำหนดศัตรู” เพื่อควบคุมสังคมได้ เราพบว่า รัฐรัสเซียได้ใช้ประเด็น LGBT มาจัดระเบียบทางศีลธรรม (Moral Ordering of Society) ของสังคม รัฐชาติในยุคหลังสมัยใหม่โดยเฉพาะรัฐที่มีแนวโน้มอำนาจนิยมแบบอนุรักษนิยม มักใช้อำนาจทางวาทกรรมในการกำหนดขอบเขตของ "ศีลธรรมที่ถูกต้อง" ซึ่งเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ชาติ เช่น ศีลธรรมแห่งครอบครัว (Familial Morality) ศาสนาออร์โธดอกซ์ และเพศตามกำเนิดและบทบาททางเพศที่ชัดเจน กลุ่ม LGBT จึงถูกจัดให้อยู่นอกกรอบนี้และถูกใช้เป็น “คนอื่น” (Other) ที่รัฐสามารถจัดความหมายว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงทางวัฒนธรรมและจริยธรรม เช่นเดียวกับการที่รัฐเคยจัด “กลุ่มศัตรูของชนชั้น” หรือ “กลุ่มแปลกแยกทางอุดมการณ์” ในยุคสงครามเย็น วาทกรรมแบบนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงนโยบายทางเพศแต่เป็นการควบคุมความจริงในระดับอัตลักษณ์ของประชาชน

นอกจากนี้ LGBT ยังถูกกำหนดให้อยู่ในฐานะเป้าเบี่ยงเบนความสนใจจากวิกฤตเศรษฐกิจหรือสงครามซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่รัฐใช้อธิบายและควบคุมความไม่พอใจจากประชาชนคือ “การผลิตศัตรูภายใน” เพื่อเบี่ยงประเด็นจากความล้มเหลวของรัฐในด้านอื่น เช่น ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ ความสูญเสียในสงครามหรือความไม่พอใจของสาธารณะในบริบทการเมืองระหว่างประเทศ ในกรณีรัสเซียตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.2022 เป็นต้นมา กลุ่ม LGBT ถูกนำเสนอผ่านสื่อรัฐในฐานะสัญลักษณ์ของความเสื่อมทรามที่รุกรานจากตะวันตก และเป็น “เป้าหมายที่ง่าย” ต่อการโจมตีได้โดยไม่ต้องเผชิญแรงต้านจากผู้มีอำนาจหรือกลุ่มทุน แนวทางนี้คล้ายกับกลไกของ “แพะรับบาป” (scapegoating) ที่ใช้ในระบอบอำนาจนิยมหลายแห่ง เช่น การต่อต้านยิวของเยอรมนียุคนาซี 

การสร้างศัตรูภายในยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรวมศูนย์อำนาจให้กับวลาดิมีร์ ปูตินผู้นำ ลดทอนการถ่วงดุลจากฝ่ายค้านหรือภาคประชาสังคม รวมถึงกำหนดกรอบของ “ความรักชาติ” ให้หมายถึง “การปกป้องค่านิยมต่อต้าน LGBT” ผู้นำสามารถ “ผูกขาดคุณค่าทางศีลธรรม” ได้ภายใต้กรอบว่าเป็น “ผู้พิทักษ์ชาติจากภัยเสื่อมทราม” วาทกรรมนี้ยังส่งเสริมการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษนิยม ศาสนา และชนชั้นแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโดยให้ความรู้สึกมีส่วนร่วมกับการปกป้องชาติ โดยไม่ต้องเข้าใจนโยบายเศรษฐกิจหรือการเมืองระหว่างประเทศ

เมื่อเราพิจารณาในระดับนานาชาติ รัสเซียไม่ได้เป็นรัฐเดียวที่ใช้วาทกรรมต่อต้าน LGBT เพื่อยืนยัน “อัตลักษณ์ของรัฐ” หรือ “ปกป้องศีลธรรม” ยังมีอีกหลายประเทศที่ใช้วาทกรรมการต่อต้าน LGBT ยกตัวอย่างเช่นฮังการี ภายใต้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีวิกเตอร์ ออร์บาน ฮังการีได้ผ่านกฎหมายห้ามเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ LGBT ในสื่อที่เด็กเข้าถึงได้ในปี ค.ศ. 2021 วาทกรรมเน้นว่า LGBT เป็นภัยคุกคามต่อครอบครัวแบบดั้งเดิมและค่านิยมของชาติ รัฐบาลออร์บานยังอ้างว่า ยุโรปตะวันตกพยายาม “บังคับ” ค่านิยมเสรีนิยมเข้าสู่ประเทศยุโรปตะวันออก ในขณะที่อิหร่าน การมีเพศสัมพันธ์เพศเดียวกันยังคงผิดกฎหมายและมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต กลุ่ม LGBT ต้องดำรงชีวิตใน “พื้นที่เงา” โดยไม่มีการคุ้มครองจากรัฐ และถูกกีดกันจากการศึกษา การทำงาน และบริการสาธารณะ รัฐมักใช้ศาสนาและกฎหมายชารีอะห์เป็นเครื่องมือในการควบคุมอัตลักษณ์และศีลธรรม เมื่อเปรียบเทียบกับรัสเซีย รัสเซียตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างฮังการี (แนวอำนาจนิยมแบบเลือกตั้ง) และอิหร่าน (รัฐศาสนา) รัฐใช้ “ศีลธรรมรัสเซียดั้งเดิม” เป็นกรอบการจัดระเบียบทางอุดมการณ์ โดยนำเสนอ LGBT เป็นภัยต่ออารยธรรมสลาฟ-ออร์โธดอกซ์ และ “ภัยจากตะวันตก”

ดังนั้นวาทกรรมต่อต้าน LGBT ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระดับสัญลักษณ์ทางการเมือง แต่มีผลกระทบที่ชัดเจนต่อการดำรงชีวิต กฎหมาย “ต่อต้านโฆษณา LGBT” (ในปี ค.ศ. 2013 และขยายในปี ค.ศ. 2022) ทำให้กิจกรรมทางวัฒนธรรม การให้ข้อมูล และการแสดงออกทางอัตลักษณ์ถูกตีความว่า “ผิดกฎหมาย” ปี ค.ศ. 2023-2024 กลุ่ม LGBT ถูกจัดเป็น “องค์กรสุดโต่ง” ส่งผลให้องค์กรช่วยเหลือและพื้นที่ปลอดภัยต้องปิดตัว มีรายงานว่ากลุ่ม LGBT ถูกตำรวจตรวจสอบอย่างเข้มข้นในโรงเรียน มหาวิทยาลัย และสถานที่ทำงาน กลุ่มอนุรักษนิยมที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐมักใช้ความรุนแรงกับกลุ่ม LGBT โดยไม่มีการลงโทษทางกฎหมายพื้นที่ออนไลน์ที่กลุ่ม LGBT เคยใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือช่วยเหลือกัน กำลังถูกตรวจสอบและแบนอย่างเป็นระบบ

องค์กรสิทธิมนุษยชน อย่างเช่น Human Rights Watch และ Amnesty International ได้ออกแถลงการณ์ประณามรัสเซียหลายครั้งว่า “ล้มเหลวในการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน” มีการรวบรวมข้อมูลและจัดทำรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของ LGBT ในรัสเซีย ซึ่งถูกใช้ในการนำเสนอในเวทีสหประชาชาติ ในขณะที่ประชาคมระหว่างประเทศ สหภาพยุโรป (EU) ได้แสดงท่าทีประณามและกำหนดมาตรการจำกัดความร่วมมือทางวัฒนธรรมบางด้าน UN Human Rights Council ตั้งข้อสังเกตว่า รัสเซียมีแนวโน้มละเมิดหลักการ “non-discrimination” ตามพันธกรณีของกติการะหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ประเทศพันธมิตรของรัสเซียบางแห่ง เช่น เบลารุส, อิหร่าน, ซาอุดีอาระเบีย กลับสนับสนุนท่าทีดังกล่าวของรัสเซีย โดยอ้างเรื่อง “อธิปไตยทางวัฒนธรรม”

บทสรุป ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านของระเบียบโลก รัสเซียได้ใช้ LGBT ไม่เพียงในฐานะกลุ่มประชากร แต่ในฐานะ “วาทกรรมทางการเมือง” ที่สามารถจัดระเบียบอุดมการณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาชน ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับโลกภายนอก ภายใต้ยุทธศาสตร์ของอำนาจแบบอนุรักษนิยม รัฐบาลรัสเซียได้ลดทอน “ความหลากหลายทางอัตลักษณ์” ให้กลายเป็น “ภัยความมั่นคงของชาติ” ผ่านการสร้างศัตรูภายใน การควบคุมทางศีลธรรม และการประกาศใช้กฎหมายที่มีลักษณะกดทับพื้นที่ของกลุ่มเพศหลากหลาย กลไกของรัฐอาศัย วาทกรรมความมั่นคง (securitization discourse) โดยผูกโยง LGBT เข้ากับแนวคิด “ภัยจากตะวันตก”, “ภัยต่อเด็ก”, และ “สงครามอารยธรรม” เพื่อทำให้ประชาชนยอมรับมาตรการที่จำกัดสิทธิเสรีภาพได้ภายใต้ข้ออ้างเพื่อความมั่นคงและศีลธรรมของชาติ การสร้าง “เรา–พวกเขา” (us–them) ดังกล่าวยังทำหน้าที่ผลิต “ศัตรูที่จัดการได้” (manageable enemy) เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ การคว่ำบาตร หรือภาวะสงคราม อย่างไรก็ตามแนวโน้มในอนาคตชี้ให้เห็นว่า การเมืองอัตลักษณ์ (identity politics) กำลังกลายเป็นสนามต่อสู้สำคัญในการกำหนดทิศทางของระเบียบโลกใหม่ รัฐต่าง ๆ โดยเฉพาะอำนาจที่ต่อต้านเสรีนิยมตะวันตกอาจหันมาใช้วาทกรรมแบบเดียวกันนี้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรูปแบบอำนาจที่รวมศูนย์และต่อต้านสิทธิมนุษยชน ในบริบทนี้ LGBT ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มเปราะบางทางสังคม แต่กลายเป็นจุดตัดของอุดมการณ์ อำนาจ และภูมิรัฐศาสตร์ ที่ควรถูกทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและรอบด้าน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top