(2 มิ.ย. 68) ว่าด้วยเรื่อง การเมืองกัมพูชา ....
ถ้าจะเล่าเรื่องนี้ให้เข้าใจง่าย ๆ ต้องบอกก่อนว่า ตอนนี้รัฐบาลฮุน มาเน็ตกำลังอยู่ในภาวะกดดันอย่างสูง เพราะถูกจับตามองว่าอาจจะสืบทอดนโยบายของฮุน เซน พ่อของเขา ที่ถูกวิจารณ์มาโดยตลอดว่ามีความใกล้ชิดและพึ่งพาเวียดนามมากเกินไป
1. การใช้แผนที่ของเวียดนามในการกำหนดเขตแดน
หนึ่งในประเด็นที่สร้างแรงกระเพื่อมในกัมพูชาอย่างเงียบเชียบ แต่รุนแรงในความรู้สึกของประชาชน คือการที่รัฐบาลเลือกใช้ “แผนที่ที่เวียดนามจัดทำขึ้น” ในการเจรจากำหนดแนวชายแดนแทนที่จะใช้แผนที่สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส ซึ่งเคยเป็นหลักฐานมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ
การเปลี่ยนแปลงเชิงเทคนิคนี้ กลับมีผลทางยุทธศาสตร์มหาศาล เพราะแผนที่เวียดนามมีแนวเขตที่ “รุกล้ำเข้ามา” ในฝั่งกัมพูชาหลายจุด โดยเฉพาะใน 4 จังหวัดทางภาคตะวันออก ได้แก่ รัตนคีรี, มณฑลคีรี, กระแจะ และสตึงเตรง — ซึ่งบังเอิญเป็นพื้นที่เดียวกับที่เกิด “ข่าวลือแรง” เมื่อกลางปี 2024 ว่า รัฐบาลที่นำโดยตระกูลฮุน ได้ “ยกพื้นที่เหล่านี้ให้เวียดนามโดยพฤตินัย”
แม้รัฐบาลจะไม่ได้ประกาศใด ๆ อย่างเป็นทางการ แต่การใช้แผนที่ฝ่ายตรงข้ามในการปักหมุดพรมแดน การปล่อยให้บริษัทเวียดนามเข้ามาถือครองที่ดินจำนวนมาก และการไม่เปิดเผยข้อมูลเจรจาแนวเขตแดน กลับทำให้ข่าวลือนี้ดู “ไม่เกินจริง” ในสายตาประชาชน
ยิ่งไปกว่านั้น รายงานภาคประชาสังคมและ NGO หลายแห่งยังระบุว่า มีหมู่บ้านในเขตชายแดนที่ถูกเวียดนาม “วางหลักเขตทับ” โดยที่ชาวบ้านกัมพูชาไม่สามารถคัดค้านได้ เพราะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเองก็อ้างว่า “เป็นไปตามแผนที่รัฐ” ซึ่งไม่มีใครเคยเห็น
2. สัมปทานที่ดินขนาดใหญ่ให้กับบริษัทเวียดนาม
มีการให้สัมปทานที่ดินในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือกว่า 40,000 เฮกตาร์แก่บริษัทเวียดนาม เช่น HAGL ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกองทัพเวียดนามโดยตรง พื้นที่เหล่านี้ครอบคลุมป่าไม้ ที่ทำกิน และชุมชนของชนกลุ่มน้อยที่ถูกผลักออกไปจากถิ่นฐานเดิม
3. เขตเศรษฐกิจพิเศษที่เวียดนามได้ประโยชน์
การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ชายแดน เช่น เขต Bavet-Moc Bai กลายเป็นพื้นที่ที่ทุนจากเวียดนามเข้ามามีบทบาทสูง ทั้งในการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน และการจ้างงาน ซึ่งแรงงานกัมพูชากลับได้ค่าจ้างต่ำ และไม่มีอำนาจการต่อรองในระบบ
4. การตั้งถิ่นฐานของชาวเวียดนามในลุ่มน้ำโตนเลสาบ
พื้นที่รอบโตนเลสาบมีชุมชนชาวเวียดนามเพิ่มมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บางพื้นที่กลายเป็นชุมชนใหญ่โดยไม่มีการกำกับดูแลจากรัฐอย่างชัดเจน เรื่องนี้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงด้านอัตลักษณ์ของประชาชนกัมพูชาในพื้นที่นั้น
5. การถอนตัวจาก CLV-DTA ยังไม่ลบข้อครหา
แม้รัฐบาลฮุน มาเน็ตจะประกาศถอนตัวจากความตกลงพัฒนาเขตเศรษฐกิจร่วมกับเวียดนามและลาว (CLV-DTA) ในปี 2024 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การทบทวนสัมปทาน การแก้ไขการถือครองที่ดิน หรือการกำหนดโครงสร้างภาษีให้ทุนต่างชาติ
6. คลองฟูนานเตโช: ทางเลือกใหม่หรือกับดักใหม่?
รัฐบาลเสนอสร้างคลองเชื่อมแม่น้ำโขงออกสู่อ่าวไทยเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาท่าเรือเวียดนาม แต่นักวิเคราะห์บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า โครงการนี้อาจไปเพิ่มภาระหนี้ และขึ้นกับทุนจีนแทน โดยที่โครงสร้างการเจรจากับเวียดนามก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง
สม รังสี: ความเห็นต่อรัฐบาลฮุน เซน และฮุน มาเน็ต
สม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านในต่างแดน เคยให้ความเห็นอย่างต่อเนื่องว่ารัฐบาลภายใต้ฮุน เซนได้วางนโยบายที่ทำให้เวียดนามมีอิทธิพลต่อกัมพูชามากเกินไป เขาชี้ว่าการรับรองแผนที่ของเวียดนามคือ “การยอมจำนนทางดินแดน” และการให้สัมปทานที่ดินคือ “การล่าอาณานิคมในรูปแบบใหม่”
ในกรณีของฮุน มาเน็ต สม รังสีแสดงความไม่มั่นใจในความตั้งใจที่จะปฏิรูประบบ เขาระบุว่า การถอนตัวจากข้อตกลง CLV-DTA อาจเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะยังไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมต่อการคืนความเป็นเจ้าของประเทศให้กับประชาชน
สม รังสียังกล่าวว่า “การเปลี่ยนผู้นำแต่ไม่เปลี่ยนแนวทาง คือการคงอำนาจเก่าในรูปแบบใหม่” และ “เวียดนามไม่ต้องใช้ทหาร แต่ใช้ผู้นำของเราเป็นเครื่องมือได้หากเราไม่รู้เท่าทัน”
บทสรุป
นโยบายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับเวียดนามไม่ได้อยู่แค่ในระดับมิตรภาพระหว่างประเทศ แต่มันฝังลึกถึงระดับนโยบาย โครงสร้างเศรษฐกิจ และการถือครองที่ดิน
และแม้รัฐบาลใหม่ภายใต้ฮุน มาเน็ตจะพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ แต่ตราบใดที่ยังไม่ตอบคำถามเหล่านี้อย่างชัดเจน ข้อสงสัยของประชาชนก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม — ว่ากัมพูชายังเป็นของคนกัมพูชาหรือไม่?
ในท่ามกลางความสับสน ความเงียบ และความกลัวที่จะตั้งคำถาม มีเพียงไม่กี่เสียงที่ยังคงยืนหยัดพูดความจริง — สม รังสีคือหนึ่งในนั้น เขาคือผู้ที่รู้ทันเกมของรัฐบาลฮุน เซน และเห็นแนวโน้มล่วงหน้าว่านโยบายบางอย่างกำลังคุกคามอธิปไตยของประเทศอย่างเงียบงัน
แม้เขาจะอยู่ในต่างแดน แม้จะถูกปิดกั้นทางการเมือง แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้คือเครื่องมือแห่งการตื่นรู้ เพื่อให้ประชาชนกัมพูชารู้ทันอำนาจ และกล้าที่จะตั้งคำถามกับคนที่เคยอ้างว่าทำเพื่อชาติ