Thursday, 25 April 2024
WORLD

‘คุณแม่เกาหลี’ อุ้มลูกวัย 4 เดือน ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต พร้อมแจก ‘ที่อุดหู-ลูกอม-แนบโน๊ตขอโทษ’ หากมีเสียงรบกวน

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก ‘สุขภาพดี’ ได้โพสต์เรื่องราวของคุณแม่เกาหลีท่านหนึ่ง ที่ทำการแจกชุด ‘ป้องกันเสียงเด็ก’ แก่ผู้โดยสารบนเครื่องบินในเที่ยวเดียวกัน เพราะกลัวลูกน้อยร้องไห้เสียงดังรบกวน โดยระบุว่า…

“ดูเหมือนว่าคุณแม่ชาวเกาหลีรายนี้ก็รู้ดีถึงเหตุผลข้างต้น แต่เธอมีเหตุจำเป็นให้ต้องเดินทางกว่า 10 ชั่วโมง เพื่อไปที่ซานฟรานซิสโกกับลูกน้อยวัย 4 เดือน

โดยเหตุการณ์นี้ถูกโพสต์ผ่านเฟสบุ๊กของนาย Dave Corona เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2019 กล่าวถึงความประทับใจต่อคุณแม่ชาวเกาหลีรายนี้ ที่เลือกแจกชุด ‘ป้องกันเสียงเด็ก’ กว่า 200 ชุดให้กับผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกัน

โดยในถุงที่แจกประกอบไปด้วยที่อุดหู ลูกอมหลายชนิด และข้อความเขียนในนามของเด็กชายระบุว่า ‘สวัสดีครับ ผมชื่อ Junwoo (จุนวู) อายุ 4 เดือน วันนี้ผมกำลังเดินทางไปที่สหรัฐฯ กับคุณแม่และคุณยาย เพื่อไปหาคุณป้าของผม’

‘ผมรู้สึกกังวลและกลัวนิดหน่อย เพราะนี่คือไฟลท์แรกในชีวิตของผม นั่นหมายถึงผมอาจจะร้องไห้หรือส่งเสียงดังเกินไป’

‘คุณแม่ของผมจึงเตรียมถุงเล็ก ๆ นี้ไว้สำหรับคุณ จะมีทั้งลูกอมและที่อุดหู ขอความกรุณาใช้มัน เมื่อผมส่งเสียงดัง ขอให้เดินทางอย่างมีความสุขนะครับ ขอบคุณฮะ’

บอกเลยว่าใครเห็นข้อความนี้เป็นอันต้องโกรธไม่ลงแน่นอน แถมยังยิ้มออกอีกด้วย”

เอกอัครราชทูต (Ambassador) ศักดิ์ศรีของประเทศ ผู้แทนของพระราชา

โลกใบนี้มีประเทศต่าง ๆ อยู่เกือบ 200 ประเทศ ซึ่งมีความแตกต่างกันในหลากหลายมิติไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ 

การที่จะทำให้พลโลกอยู่รวมกันอย่างมีสันติสุข โดยให้เกิดความขัดแย้งน้อยที่สุด และเพื่อป้องกันไม่ให้ขยายตัวจนกลายเป็นความรุนแรง จนกลายเป็นสงครามระหว่างกันนั้น ทุก ๆ ประเทศจึงต้องมีไมตรีจิตและมิตรภาพอันดีต่อกัน

แน่นอนว่า การสร้างและรักษาไมตรีจิต-มิตรภาพอันดีระหว่างประเทศ 2 ประเทศนั้น จะดำเนินไปได้ด้วยดีถ้าทั้งสองประเทศมีผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทน, ผู้รับเจรจาแทน หรือตัวเชื่อมระหว่างกัน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของนักการทูตของประเทศนั้น ๆ โดยมี ‘เอกอัครราชทูต’ (Ambassador) เป็นหัวหน้าคณะ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนทางการทูตระดับสูงที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของประเทศนั้น เพื่อเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศตนในประเทศที่ตนประจำการอยู่ 

บทบาทหลักของ ’เอกอัครราชทูต’ คือการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ อำนวยความสะดวกด้านการค้าและการพาณิชย์ และส่งเสริมโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการศึกษา ทั้งยังต้องทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในการสร้างสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการระหว่างประเทศตนและประเทศที่ประจำการ, รายงานข้อมูลข่าวสารของประเทศที่ไปประจำการให้รัฐบาลทราบเพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายการทูตให้ถูกต้องเหมาะสมกับประเทศนั้น ๆ, ดำเนินนโยบายทางการทูต เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ, แนะนำโน้มน้าวให้ประเทศที่ไปประจำการดำเนินนโยบายที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และแนะนำมาตรการรับมือกรณีมีเหตุจำเป็นให้แก่รัฐบาล ฯลฯ

สำหรับบ้านเรา ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรด้วยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ (หัวหน้าทูตของพระราชา) เป็นตำแหน่งที่ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ต้องเข้าเฝ้าเพื่อกราบถวายบังคมลาไปปฏิบัติหน้าที่ รับพระราชทานเจิม และรับพระราชทานพระราชสาส์นตราตั้ง เพื่อนำไปยื่นต่อประมุขของประเทศที่ตนเองไปประจำการ เรียกได้ว่านอกจากจะเป็นทั้งตัวแทนและภาพลักษณ์ของประเทศแล้ว ตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นยังถือเป็นผู้แทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย 

เนื่องจากตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ เป็นตำแหน่งสำคัญด้วยเพราะเป็นทั้งตัวแทนและภาพลักษณ์ของประเทศ จึงมีการพิจารณาคัดกรองบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้วผู้ที่จะได้ดำรงตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นจะได้ถูกการคัดเลือกจากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่มีทักษะทางการทูต ความรู้ภาษาต่างประเทศ และความเชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยเพราะแม้ว่าเกือบ 200 ประเทศบนโลกนี้ แต่ไทยเรามีสถานทูตเพียง 67 แห่ง นั่นหมายถึงว่า นักการทูตที่จะก้าวสู่ตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นจะต้องมีทั้งความสามารถและประสบการณ์ในการทำงานอย่างยอดเยี่ยม มีวัตรปฏิบัติอันเป็นที่ยอมรับ นับถือ และชื่นชมของบรรดาผู้คนในสังคมโดยรวม 

นอกจากนี้แล้วตำแหน่งนี้มิใช่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเฉพาะประเทศนั้น ๆ แต่กระทรวงต่างประเทศยังต้องส่งข้อมูลประวัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนี้ไปให้ประเทศที่จะไปประจำการพิจารณาตรวจสอบด้วย 

นักการทูตไม่ว่าระดับ ‘เอกอัครราชทูต’ หรือคณะเจ้าหน้าที่ทางการทูต ฯลฯ ของไทยนั้น ถือเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติด้วยวัตรปฏิบัติในต่างแดนนั้น สุภาพ อ่อนโยน สมกับเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ โดยปัจจุบันนอกจากกระทรวงการต่างประเทศที่ส่งคณะทูตไปประจำยังมิตรประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว แทบทุกกระทรวงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานในประเทศที่มีความสำคัญต่อภารกิจของกระทรวงนั้น ๆ อีกด้วย

โดยสรุปแล้ว นักการทูตไทยนั้น ปฏิบัติตนตามแบบแผนพิธีการทางการทูต (Diplomatic protocol) ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เป็นอย่างดี จึงได้รับการยอมรับและชื่นชมยินดีจากทุก ๆ ประเทศที่มีนักการทูตไทยไปประจำการ แตกต่างจากหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่มักจะให้นักการทูตของตนเข้าไปวุ่นวายแทรกแซงประเทศต่าง ๆ เพียงเพื่อผลประโยชน์และความต้องการของประเทศตน โดยไม่คำนึงถึง มารยาท ความถูกต้องเหมาะสม ตามแบบแผนพิธีการทางการทูต ทำให้ประชาชนของประเทศที่ไปประจำการเกิดความเกลียดชังจนกระทบไปถึงภาพลักษณ์ของประเทศของตนโดยรวมอีกด้วย

กลุ่มติดอาวุธ KNU ถอนกำลังออกจากเมียวดีชั่วคราว  หลังทหารฝ่ายรัฐกลับเข้าพื้นที่ และมีกองหนุนอาสาช่วย

(24 เม.ย.67) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ได้ถอนกำลังออกจากเมืองเมียวดีชั่วคราว โฆษกของกลุ่มระบุ หลังจากทหารฝ่ายรัฐบาลได้กลับเข้าไปยังพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่เป็นช่องทางการค้าต่างประเทศมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

“กองกำลังทหารของ KNLA จะทำลายทหารฝ่ายรัฐและกองหนุนของพวกเขาที่เคลื่อนพลไปยังเมืองเมียวดี” ซอ ตอ นี โฆษกของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงกล่าว โดยอ้างถึงกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยงที่เป็นฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของพวกเขา

แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ระบุว่าความเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของกลุ่มคืออะไร

ทั้งนี้ การต่อสู้ปะทุขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในเมืองเมียวดี ที่ส่งผลให้พลเรือนมากถึง 3,000 คน ต้องอพยพหลบหนีภายในวันเดียว ในขณะที่กลุ่มติดอาวุธต่อสู้เพื่อขับไล่ทหารฝ่ายรัฐที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณเชิงสะพานมิตรภาพ

อย่างไรก็ตาม ในวันพุธ (24 เม.ย.) ไทยกล่าวว่า การต่อสู้คลี่คลายลงแล้ว และหวังว่าจะสามารถเปิดจุดผ่านแดนได้อีกครั้ง หลังจากการค้าได้รับผลกระทบจากการสู้รบ โดยระบุว่า พลเรือนส่วนใหญ่เดินทางกลับประเทศแล้ว และยังเหลืออยู่เพียง 650 คน

“สถานการณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตาม เรากำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงและสามารถเปลี่ยนแปลงได้” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยระบุ

ไทยได้รับรายงานว่าการเจรจาอาจกำลังเริ่มต้นขึ้นระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในฝั่งพม่า และไทยได้เสนอให้ลาว ประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จัดการประชุมเพื่อหาข้อยุติวิกฤตพม่า

กองทัพพม่าเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เข้าควบคุมพม่าเป็นครั้งแรกในปี 2505 โดยติดอยู่กับความขัดแย้งในหลายแนวรบ และพยายามที่จะต่อสู้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่พังลงนับตั้งแต่รัฐประหารในปี 2564 ที่ยุติการปกครองระบอบประชาธิปไตย และการปฏิรูปที่ดำเนินมาได้เพียงไม่นาน

ประเทศติดอยู่กับสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพฝ่ายหนึ่งและอีกฝ่ายหนึ่งคือพันธมิตรที่จับมือกันอย่างหลวม ๆ ของกองทัพชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์และขบวนการต่อต้านที่เกิดขึ้นจากการปราบปรามนองเลือดของรัฐบาลทหารต่อผู้เห็นต่างต่อต้านการรัฐประหาร

รัฐบาลทหารสูญเสียการควบคุมพื้นที่ชายแดนสำคัญให้กลุ่มติดอาวุธ และภาพถ่ายที่โพสต์ในกลุ่มโซเชียลมีเดียที่สนับสนุนรัฐบาลทหารบางกลุ่มเผยให้เห็นทหารจำนวนหนึ่งกำลังชูธงที่ฐานทหารแห่งหนึ่งซึ่ง KNU ควบคุมไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนและได้ชูธงของตนเอง

ด้าน โฆษกของ KNU ระบุว่า รัฐบาลทหารที่ดำเนินการตอบโต้เพื่อยึดคืนเมืองเมียวดี ได้กลับเข้ามาในพื้นที่ด้วยความช่วยเหลือจากกองกำลังทหารอาสาในพื้นที่ ที่เคยเคียงข้าง KNU เมื่อครั้งเข้าปิดล้อมเมืองเมื่อต้นเดือน เม.ย.

รัฐบาลทหารและกองกำลังกะเหรี่ยงแห่งชาติ (KNA) ที่เคยเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดนรัฐกะเหรี่ยง (หรือกะเหรี่ยงบีจีเอฟ- Karen BGF) ไม่ตอบรับโทรศัพท์ที่รอยเตอร์ติดต่อเพื่อขอความคิดเห็น

KNA ที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายเดียวกับรัฐบาลทหาร ได้ยืนยันที่จะแยกตัวออกจากกองทัพพม่าที่อ่อนแอลงในปีนี้ แต่ไม่ได้ให้คำมั่นต่อสาธารณะว่าจะเข้าพวกกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร

อดีตกองกำลังพิทักษ์ชายแดนรัฐกะเหรี่ยงกลุ่มนี้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พ.อ.ซอ ชิด ตู่ และมีผลประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างมากในเมืองเมียวดีและพื้นที่โดยรอบ ที่รวมทั้งกาสิโน บ่อนการพนันออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์

‘กรีซ’ อ่วม!! เมฆฝุ่นจากทะเลทรายซาฮาราพัดถล่ม ‘เอเธนส์’ ทำทั้งเมืองกลายเป็น ‘สีส้ม’ แถมทิวทัศน์มองเห็นไม่ชัดเจน

(24 เม.ย.67) กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ถูกหมอกสีส้มปกคลุมทั่วทั้งเมือง เนื่องจากเมฆฝุ่นที่ลอยมาจากทะเลทรายซาฮารา ซึ่งปรากฏการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในสภาพอากาศที่แย่ที่สุด ที่ส่งผลกระทบต่อกรีซ นับตั้งแต่ปี 2561

ทั้งนี้ สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า กรีซประสบกับสภาพอากาศย่ำแย่ โดยมีเมฆสีที่คล้ายกันนี้ปกคลุมเมืองตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี.ค. จนถึงต้นเดือนเม.ย. อีกทั้งยังครอบคลุมไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ และทางตอนใต้ของฝรั่งเศส

อย่างไรก็ตาม กรีซมีคุณภาพอากาศย่ำแย่ลงในหลายพื้นที่ และในช่วงเช้าที่ผ่านมาทิวทัศน์ในกรุงเอเธนส์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป เนื่องจากมีฝุ่นหนา และชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะทางตอนใต้ของกรีซมีความอบอ้าว เนื่องจากเผชิญทั้งฝุ่น และสภาพอากาศร้อน

ด้านรัฐบาลขอให้ประชาชนใช้เวลาข้างนอกอย่างจำกัด สวมใส่หน้ากากป้องกัน และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายจนกว่าเมฆฝุ่นจะสลายไป

อย่างไรก็ดี กรมอุตุนิยมวิทยากรีซ คาดว่า ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งในวันพุธ

ทั้งนี้ ทะเลทรายซาฮารามักปล่อยฝุ่นแร่สู่ชั้นบรรยากาศ 60-200 ล้านตันต่อปี

'ไต้หวัน' เตรียมรื้อถอน อนุสาวรีย์ 'เจียง ไคเชก' ทั่วประเทศ หวังล้างภาพลักษณ์เผด็จการ ยุคแห่งความน่าสะพรึงสีขาว

รัฐบาลไต้หวันประกาศที่จะรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก ประธานาธิบดีคนแรกของไต้หวัน ที่มีอยู่ถึง 760 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงอนุสรณ์สถานใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงไทเปด้วย ท่ามกลางการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานถึงภาพลักษณ์ 2 ขั้วอันย้อนแย้งว่า เจียง ไคเชก เคยเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำที่ต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น และ ลัทธิคอมมิวนิสต์จีน-โซเวียต จนนำไปสู่การก่อตั้งสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในเวลาต่อมา 

แต่ในอีกแง่หนึ่งเขาก็เป็นผู้นำเผด็จการทหาร ที่ปกครองไต้หวันด้วยกฏอัยการศึกยาวนานถึง 38 ปี โดยที่ใช้ความรุนแรงปราบปรามกลุ่มต่อต้านอย่างโหดเหี้ยมตลอดระยะเวลาที่ครองอำนาจในไต้หวัน

แม้จะถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งไต้หวัน แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ชาวไต้หวันรุ่นใหม่รู้สึกไม่สบายใจกับการมีอยู่ของอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จนทำให้ไต้หวันถูกมองว่าเป็นเกาะแห่งอนุสรณ์สถานของ เจียง ไคเชก และเรียกร้องให้รื้อถอนอนุสาวรีย์ของอดีตผู้นำคนสำคัญออกไป 

จนเมื่อปี พ.ศ. 2561 รัฐบาลไต้หวันได้จัดตั้งคณะกรรมการยุติธรรมเพื่อสอบสวนเรื่องราว และหลักฐาน การปกครองในช่วงสมัยของ เจียง ไคเชก ตั้งแต่เพิ่งเข้ามามีบทบาททางการเมือง จนถึงปีที่เขาถึงแก่อสัญกรรมในปี 2518 

และหนึ่งในข้อเสนอคือ การรื้อถอนรูปปั้นนับพันของเจียง ไคเชก จากทุกพื้นที่สาธารณะของไต้หวัน และในวันที่ 22 เม.ย.67 สภาไต้หวันก็ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่าจะเร่งรื้อถอนอนุสาวรีย์ที่ยังเหลืออยู่อีก 760 แห่ง ออกไปให้เร็วที่สุด เพื่อตอบสนองต่อเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ของประชาชนว่าดำเนินการช้าเกินไป 

ส่วนรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดของ เจียง ไคเชก ตั้งอยู่ที่ อนุสรณ์สถานใจกลางกรุงไทเป ที่เป็นเหมือนจุดไฮไลต์ของนักท่องเที่ยว มีแผนที่จะย้ายไปตั้งไปรวมกันในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของกรุงไทเป ที่จะเก็บรวบรวมรูปปั้น เจียง ไคเชก ที่ถูกรื้อถอนไปแล้วนับพันมาไว้รวมกัน

ทั้งนี้ การถอดถอนอนุสาวรีย์ของ เจียง ไคเชก เคยเป็นประเด็นถกเดือดในสภาไต้หวันอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ซึ่งปัจจุบันเป็นฝ่ายรัฐบาลมีความเห็นว่า ไต้หวันควรถอยห่างจากประเพณีการไว้อาลัยอดีตผู้นำผู้ก่อตั้งไต้หวันได้แล้ว เพราะ เจียง ไคเชก มีภาพลักษณ์ผู้นำเผด็จการทหาร ที่ใช้อำนาจปกครองไต้หวันมานานถึง 46 ปี

แต่ฝ่ายพรรคก๊กมินตั๋งของอดีตผู้นำ เจียง ไคเชก ที่เป็นฝ่ายค้าน ตอบโต้ว่า ชาวไต้หวันก็ไม่ควรลืมเกียรติยศต่าง ๆ ที่ เจียง ไคเชก เคยทำไว้ในการต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น เพื่อรวมชาติจีนให้กลับมาเป็นปึกแผ่น และการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ต้องการแผ่อิทธิพลเหนือเกาะไต้หวัน การรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จึงไม่ต่างจากความพยายามลบประวัติศาสตร์อันเป็นรากเหง้าของชาวไต้หวัน

สำหรับ เจียง ไคเชก เป็นทั้งนักการเมืองฝ่ายชาตินิยม และผู้นำทหารที่เคยร่วมคณะปฏิวัติของ ด็อกเตอร์ ซุน ยัตเซ็น ผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติซินไฮ่ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่สู่ระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ และยังเป็นผู้นำทัพต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลงหลังความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิญี่ปุ่น เจียง ไคเชก กลับต้องเผชิญหน้ากับสงครามกลางเมือง กับกองกำลังฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดย เหมา เจ๋อตง และสุดท้ายเขาพ่ายแพ้ เจียง ไคเชก ตัดสินใจพาคณะรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง มาสถาปนาสาธารณรัฐจีนพลัดถิ่นบนเกาะไต้หวันในปี พ.ศ. 2492 

หลังจากนั้น เจียง ไคเช็ก ใช้กฏอัยการศึกปกครองไต้หวัน ที่มีการปราบปรามศัตรูทางการเมือง และผู้ที่เห็นต่างอย่างโหดเหี้ยม จนถูกยกให้เป็นยุคแห่งความน่าสะพรึงสีขาวของไต้หวัน (白色恐怖) ซึ่งช่วงเวลาของการใช้กฎอัยการศึกในไต้หวันกินเวลานานถึง 38 ปี ที่มีผู้คนมากถึง 140,000 คนถูกจำคุก และเกือบ 4,000 คนถูกประหารชีวิตจากข้อหาต่อต้านรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง ของ เจียง ไคเชก

แต่ในขณะเดียวกัน ชาวไต้หวันบางส่วนก็มองว่า เจียง ไคเชก ก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และความเจริญรุ่งเรืองของไต้หวัน อีกทั้งยังเป็นผู้วางรากฐานระบบการเมืองที่เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์ในปัจจุบัน 

ดังนั้น เกียรติยศของ เจียง ไคเชก จึงเหมือนเหรียญ 2 ด้าน ในมุมมองของกลุ่มอนุรักษ์นิยม มองว่าเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติ ที่ชาวไต้หวันไม่สามารถเลือกที่จะลบทิ้งด้านใด ด้านหนึ่งได้ แต่ในส่วนของฝ่ายเสรีนิยมก็มองว่า ไต้หวันก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นั้นมานานแล้ว และสัญลักษณ์ของการบูชาเผด็จการอำนาจนิยม ก็ไม่ควรเป็นมรดกที่สืบทอดให้กับคนรุ่นลูก 

แต่เมื่อวันนี้ฝ่ายรัฐบาลไม่ใช่พรรคก๊กมินตั๋ง การรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จึงต้องดำเนินต่อไป เพราะเชื่อว่าไต้หวันยุคใหม่ควรก้าวไปข้างหน้าบนพื้นฐานอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย จึงจำเป็นต้องทิ้ง เจียง ไคเชก อดีตผู้นำเผด็จการทหารผู้ที่เคยสร้างชาติไว้ข้างหลัง 

ทัพ ‘ทุเรียนไทย’ เร่งบุก ‘ตลาดจีน’ ผ่านร้านค้า-ซูเปอร์มาร์เก็ต คาด!! ยอดจำหน่ายแตะระดับสูงสุดภายในเดือนพฤษภาคม

(24 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คำบอกเล่าจาก หวงหรงเซิง ชาวเมืองชินโจว เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ผู้สั่งซื้อทุเรียนทางออนไลน์เป็นครั้งที่ 3 ในฤดูทุเรียนปีนี้ ได้ระบุว่า “กดเปิดแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนแล้วเลือกทุเรียนพันธุ์ที่ถูกใจ รออยู่ที่บ้านไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็ได้ทุเรียนอร่อย ๆ มาแล้ว…ทุเรียนไทยพูสวยและรสชาติหวานมันกลมกล่อม”

พร้อมกล่าวเสริมว่า คนขายบางส่วนให้บริการสั่งทางออนไลน์และจัดส่งถึงที่หรือไปรับที่หน้าร้าน ทั้งยังมีการรับประกันการชดเชยหรือเปลี่ยนสินค้าที่เสียหายเพื่อควบคุมคุณภาพ ทำให้เลือกซื้อได้อย่างสบายอกสบายใจ

ซึ่งบ้านของหวงนั้น อยู่ไม่ไกลจากซูเปอร์มาร์เก็ตโลตัส มาร์เก็ต (Lotus Market) ที่ซึ่งเมื่อไม่นานนี้ได้เปิดบูธวางจำหน่ายทุเรียนหลายพันธุ์นำเข้าจากไทยภายใต้แบรนด์ซีพี เฟรช (CP Fresh) ทั้งพันธุ์หมอนทอง พันธุ์พวงมณี และพันธุ์มูซังคิง โดยกลิ่นหอมเตะจมูกและรูปลักษณ์เตะตาดึงดูดผู้คนเดินเข้าดูและเลือกซื้อ

โดยพนักงานประจำแผนกผลไม้ของซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้เผยว่า ตอนนี้ทุเรียนสดจากไทยทยอยเข้ามาตลาดจีนแล้ว แม้มีปริมาณจำกัดและราคาสูง แต่ยังคงเป็นที่นิยมชมชอบของเหล่าผู้บริโภคเหมือนเดิม โดยทุเรียนหมอนทองได้รับความนิยมมากที่สุด และมักจำหน่ายทางออนไลน์จนหมดตั้งแต่ช่วงเย็น

ทั้งนี้ ทุเรียนในภาคตะวันออกของไทยจะเริ่มถูกเก็บเกี่ยวขนานใหญ่ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ก่อนทยอยขนส่งสู่ตลาดจีนทางถนน รถไฟ เรือ และเครื่องบินแบบแบ่งล็อตตั้งแต่กลางเดือนเมษายน โดยได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP)

ไทยถือเป็นผู้ส่งออกทุเรียนสดสู่จีนเจ้าแรกและเจ้าใหญ่ที่สุด โดยความนิยมมาเนิ่นนานและความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดจีนช่วยอัดฉีดแรงกระตุ้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองประเทศ นำพาโอกาสทางธุรกิจมาสู่เกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง

ด้าน โม่เจียหมิง ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทเทคโนโลยีการเกษตรแห่งหนึ่งของกว่างซี กล่าวว่าตั้งแต่เข้าเดือนเมษายน บริษัทของเขานำเข้าทุเรียน 50 ตู้คอนเทนเนอร์แล้ว ตอนแรกมีแค่พันธุ์กระดุมทองก่อนจะเพิ่มพันธุ์หมอนทองเป็นหลัก และมองว่าทุเรียนไทยจะยังคงเป็นที่นิยมของตลาดจีนต่อไปในปีนี้

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โม่เพิ่งเดินทางเยือนจังหวัดจันทบุรีเพื่อสั่งซื้อทุเรียน โดยบริษัทของเขาทำธุรกิจนำเข้าผลไม้ปริมาณมากจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนจนก่อเกิดห่วงโซ่อุปทานทุเรียน มะพร้าว และผลไม้อื่น ๆ ในช่วงหลายปีมานี้ ขณะเดียวกันยังจัดจำหน่ายทุเรียนไทยผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและซูเปอร์มาร์เก็ต นอกเหนือจากการขายส่ง

ยอดจำหน่ายทุเรียนที่เฟื่องฟูช่วยเพิ่มความมั่นใจของผู้ประกอบการในการวางแผนจัดจำหน่ายในปี 2024 ดังเช่นไล่ผิงเซิง ประธานบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารและการเกษตรในกว่างซี สังกัดซีพี กรุ๊ป (CP Group) เผยแผนการนำเข้าทุเรียนไทย 3,000 ตู้ โดยส่วนหนึ่งจะถูกจัดจำหน่ายในกว่างซีราว 324 ตัน ผ่านซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าเป้าหมาย 600 แห่ง

โม่เสริมว่า ตอนนี้กำลังซื้อของผู้บริโภคชาวจีนเพิ่มขึ้นไม่หยุดเช่นเดียวกับความต้องการบริโภคทุเรียนของชาวจีนที่ขยับขยายต่อเนื่อง ส่วนทุเรียนไทยจะยังคงเป็นดาวเด่นในตลาดจีนต่อไป และคาดว่ายอดจำหน่ายทุเรียนไทยในตลาดจีนจะแตะระดับสูงสุดภายในเดือนพฤษภาคมนี้

บทสรุปราคาน้ำมันอาเซียน ใต้ ‘อุณหภูมิโลก-ตะวันออกกลาง’ เดือด ราคาเบนซินไทยเกาะกลุ่มกลางตาราง ส่วนดีเซลราคายังรั้งท้าย

เดือดปุดทั้งอาเซียน สมกับเป็นหน้าร้อนจริง ๆ เมื่อราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเร็วและแรงไปทั่วโลก จากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ผสานเข้ากับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่พุ่งไม่แพ้กัน จากโลกที่ร้อนเข้าขั้นเดือด เพราะดวงอาทิตย์มาอยู่แถวนี้พอดี ซึ่งโดยรวม ๆ แล้วทั้งโลก และหมายรวมถึงอาเซียนบ้านเรา ก็คงได้รับผลกระทบจากราคาที่ปรับขึ้นนี้ไปตาม ๆ กัน

ว่าแล้ว วันนี้เลยขอถือโอกาสมาเช็กราคาน้ำมันเชิงเปรียบเทียบ เอาแค่ในประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนดูกันสักเล็กน้อย ว่า ณ ตอนนี้ ที่ไหน ถูก- แพง กันบ้าง? เผื่อคนไทยเราจะสบายใจกันขึ้นเล็ก ๆ

อย่างไรก็ตาม อยากให้เข้าใจก่อนว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันถูกหรือแพงนั้น จะขึ้นอยู่กับ…

1. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ประเทศไหนสามารถผลิตเองได้ ก็นับว่าโชคดีไป ที่บรรพบุรุษหามาให้เป็นทรัพย์สมบัติ
2. ค่าขนส่งน้ำมัน ถ้าประเทศที่ต้องนำเข้าคงไม่ต่างกันมากนัก แต่ประเทศที่ผลิตเองได้ ก็จะทำให้ค่าขนส่งถูกลง
3. ประเทศที่มีโรงกลั่นน้ำมันเอง ซึ่งในอาเซียน มีอยู่ 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์, ไทย, มาเลเซีย และ เวียดนาม 
4. ภาษีต่าง ๆ ที่ในแต่ละประเทศเรียกเก็บ

ทั้งนี้ หากในส่วนของอาเซียน ก็มีประเทศที่สามารถขุดน้ำมันมาใช้เองได้ โดยแทบไม่ต้องนำเข้าด้วย ได้แก่... 
1. มาเลเซีย
2. บรูไน
3. อินโดนีเซีย

ส่วน ประเทศไทย และ เวียดนาม ผลิตใช้เองได้เล็กน้อย คิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของปริมาณความต้องการเท่านั้น

คราวนี้ ก็ได้เวลาพามาดูราคาน้ำมันสำเร็จรูป ในกลุ่มอาเซียน ที่รายงานอยู่บนเว็บไซต์ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 พบว่า…

>> ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ในสิงคโปร์ แพงที่สุด คือ 80.29 บาทต่อลิตร ตามมาด้วย ลาว 57.57 บาทต่อลิตร, กัมพูชา 48.33 บาทต่อลิตร, เมียนมา 43.32 บาทต่อลิตร, ไทย 40.35 บาทต่อลิตร, ฟิลิปปินส์ 40.23 บาทต่อลิตร, เวียดนาม 36.61 บาทต่อลิตร, อินโดนีเซีย 33.23 บาทต่อลิตร, มาเลเซีย 15.79 บาทต่อลิตร และ บรูไน 14.33 บาทต่อลิตร

>> ส่วนราคาน้ำมันดีเซล แพงสุดก็ยังเป็น สิงคโปร์ 72.99 บาทต่อลิตร, กัมพูชา 45.59 บาทต่อลิตร, เมียนมา 43.32 บาทต่อลิตร, ลาว 36.62 บาทต่อลิตร, ฟิลิปปินส์ 36.61 บาทต่อลิตร, อินโดนีเซีย 35.85 บาทต่อลิตร, เวียดนาม 31.11 บาทต่อลิตร, ไทย 30.94 บาทต่อลิตร, มาเลเซีย 16.56 บาทต่อลิตร และ บรูไน 8.38 บาทต่อลิตร

ทั้งนี้ ต้องบอกให้ทราบกันก่อนว่า ราคาจากประเทศที่มีเห็นว่าน้ำมันถูกนั้น ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลแต่ละประเทศจะมีการอุดหนุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซีย มาเลเซียและบรูไน ที่แม้จะเป็นประเทศที่สามารถผลิตน้ำมันใช้เองได้ก็ตาม

แต่จากภาวะสงครามความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้แต่ละประเทศเริ่มอุ้มไม่ไหวแล้ว จะเริ่มลอยตัวราคาน้ำมันตามกลไกตลาดกันแล้ว เพราะการอุ้มนาน ๆ จะทำให้เศรษฐกิจส่วนอื่นไม่รู้ต้นทุนจริง สุดท้ายประเทศจะไม่มีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

อย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายราฟิซี รามลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจมาเลเซีย ก็ได้ออกมาระบุว่า มาเลเซียเตรียม ‘ลดการอุดหนุน’ ราคาน้ำมันเบนซินในปีนี้ เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งสาเหตุที่รัฐบาลมาเลเซีย เตรียมลดการอุ้มราคาน้ำมันนั้น เป็นเพราะผลจากการอุ้ม ทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณประเทศที่มีตัวเลขพุ่งไปแตะ 5% ของ GDP ในปี 2566 จนกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และไม่เพียงเท่านั้น ยังส่งผลให้สกุลเงินริงกิตของมาเลเซียใกล้แตะระดับต่ำสุดในรอบ 26 ปี ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินในเอเชียเมื่อปี 2541 อีกด้วย

ดังนั้น รัฐบาลมาเลเซีย จึงตั้งเป้าหมายในปีนี้ว่า จะลดภาวะขาดดุลงบประมาณจาก 5% ของ GDP ลงเหลือ 4.3% ของ GDP โดยเริ่มจากลดการอุดหนุนน้ำมันเบนซิน RON95 ซึ่งเป็นประเภทเบนซินราคาถูกที่สุด และชาวมาเลเซียใช้มากที่สุดด้วย โดยในปีที่แล้วรัฐบาลใช้งบประมาณไปกับการอุดหนุนเหล่านี้มากถึง 81,000 ล้านริงกิต หรือราว 622,000 ล้านบาท

*** ขนาดประเทศที่ผลิตน้ำมันใช้ได้เองอย่างมาเลเซียยังวิกฤต ก็เลยไม่อยากให้คิดว่าเมืองไทยไม่ทำอะไร ปล่อยแพงเอา ๆ

เพราะถ้าลองหันกลับมาดูประเทศไทยเราดี ๆ จะพบว่าราคาน้ำมันของไทย อยู่ในระดับกลาง ๆ ค่อนไปทางราคาถูกด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล เพราะมีการใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเข้าไปอุ้มอยู่ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หรืออุ้มน้ำมันดีเซลนาน ๆ ประเทศก็จะสูญเสียการแข่งขันเช่นกัน 

เนื่องจากตอนนี้ กองทุนน้ำมันบ้านเรา ได้เข้าอุ้มน้ำมันดีเซลอย่างเดียวก็ร่วม 60,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งถ้าจะให้พูดเชิงสำนึกกันสักหน่อย ก็น่าจะหมายถึงว่า “เวลาที่ภาคประชาชนต้องช่วยกันประหยัดน้ำมันกัน มันมาถึงแล้ว” เพราะต้องตระหนักรู้ด้วยว่า ประชาชนทุกคนที่ไม่ได้ใช้น้ำมันดีเซลก็มีเยอะ และเขาก็ต้องมาช่วยอุ้มน้ำมันดีเซลด้วยเช่นกันในตอนนี้

อย่างไรก็ดี ยังมีอีกสาเหตุที่ประเทศไทย ราคาน้ำมันไม่แพงพุ่งกระฉูด เพราะเรามีโรงกลั่นน้ำมันของเราเอง อยู่ที่จังหวัดระยอง, ชลบุรี และกรุงเทพฯ ที่มีความสามารถในการกลั่นเองมาใช้เองภายในประเทศได้หมด แถมส่งออกได้อีกต่างหาก เรียกว่าประเทศไทยแทบไม่ต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป แต่ทว่าก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบอยู่

อีกเรื่องที่จะมองข้ามไม่ได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยทำให้ราคาน้ำมันพุ่งหรือไม่ คือ สงครามในภูมิภาคตะวันออกกลาง อันมีจุดเริ่มต้นจาก ‘อิสราเอล’ กับ ‘กลุ่มฮามาส’ ที่กำลังลุกลามยกระดับไปเป็น ‘อิสราเอล’ กับ ‘อิหร่าน’ แล้วนั่นเอง!!

ทำไมต้องจับตามอง? เพราะนอกจากจะส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบพุ่งแล้ว โดยภูมิศาสตร์ภูมิภาคแถบนั้น การขนส่งน้ำมัน 30 %ของโลกต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ของอิหร่านทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าเกิดสงครามลุกลามขึ้นมา แล้วอิหร่านคิดจะกดดันด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซแบบเบ็ดเสร็จ ก็ต้องมีการขนอ้อมไปทางอื่น ซึ่งจะทำให้ค่าขนส่งพุ่งกระฉูดอีกทางหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นคงไม่ต้องคิดว่าคนไทยและชาวโลกจะเดือดร้อนขนาดไหน

อย่างไรก็ตาม เห็นข่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กำลังเร่งจัดทำระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ หรือ SPR เพื่อสำรองน้ำมัน เตรียมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เป็นเวลา 90 วัน ซึ่งจะทำให้ราคาในประเทศไม่ผันผวนตามตลาดโลกแม้มีภาวะสงคราม ซึ่งเรื่องนี้อยากให้ได้รับความสนใจจากทุกหน้าสื่อสักหน่อย 

ส่วน THE STATES TIMES เองก็สนใจเรื่องนี้พอสมควร ไว้ขอไปศึกษาและคราวหน้าจะเอารายละเอียดมาฝาก...

เรื่อง: กองบรรณาธิการ THE STATES TIMES

‘Tesla’ กำไรไตรมาสแรกดิ่งฮวบ 55% ท่ามกลางสงครามรถยนต์อีวีที่เข้มข้น

(24 เม.ย.67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เทสลา บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าผลกำไรในไตรมาสแรกของปี 2024 ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้มข้น แต่หุ้นของเทสลากลับเพิ่มขึ้น หลังนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาได้ประกาศว่าจะเร่งแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาถูกลง

เทสลาได้เปิดเผยว่า เทสลามีผลกำไรในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 40,570 ล้านบาท จากรายได้ของเทสลา 21,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 785,362 ล้านบาท ถือว่ามีผลกำไรลดลง 55% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม หุ้นของเทสลากลับเพิ่มขึ้นมากกว่า 11% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด หลังเทสลาให้คำมั่นว่าจะเร่งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มีราคาถูกลง โดยการประกาศดังกล่าวมีขึ้นขณะที่บรรดานักลงทุนต้องการให้มัสก์ออกมาแสดงความชัดเจนเกี่ยวกับกลยุทธ์ของบริษัทมากขึ้น ขณะที่ยอดขายรถยนต์เทสลากำลังลดลง และข่าวการปลดพนักงานเทสลาทั่วโลกราว 14,000 คนเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งจะช่วยลดรายจ่ายของเทสลากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี รวมถึงการเรียกคืนรถยนต์ Cybertruck รุ่นใหม่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเร่งเครื่องยนต์

ถึงแม้ว่าเทสลาจะกำลังใช้มาตรการรัดเข็มขัด แต่เทสลายังให้รายละเอียดว่าพวกเขาเตรียมที่จะเร่งการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ที่มีราคาถูกลง โดยมัสก์เปิดเผยว่า การผลิตรถยนต์รุ่นใหม่จะเริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2024 หรือต้นปี 2025 เร็วขึ้นจากกำหนดเดิมซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ซึ่งรายงานดังกล่าวได้สร้างความพอใจให้แก่นักลงทุนบางส่วนอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตาม มัสก์ไม่ได้ชี้แจงถึงแผนการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่เพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่บอกว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในช่วงเดือนสิงหาคมนี้

‘ฮ.กองทัพเรือมาเลเซีย’ 2 ลำ ชนกันกลางอากาศ สลด!! ทหาร 10 นายเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ

(23 เม.ย.67) กองทัพเรือมาเลเซีย รายงานว่า เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ปฏิบัติการทางทะเลเอชโอเอ็ม (HOM) และเฮลิคอปเตอร์เฟนเน็กชนกันกลางอากาศเหนือฐานทัพในเมืองลูมุต รัฐเประ ประเทศมาเลเซีย เมื่อเวลา 9.32 น. ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้ทหารบนเฮลิคอปเตอร์เอชโอเอ็ม 7 นาย และบนเฟนเน็กอีก 3 นายเสียชีวิต

รายงานที่สำนักข่าวแชนแนลนิวส์เอเชีย ระบุว่า เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำบินขึ้นเมื่อเวลา 9.03 น. หลังจากนั้นเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองชนกัน เอชโอเอ็มตกไปที่บันไดของสนาม ขณะที่เฟนเน็กตกไปในสระน้ำ ส่งผลให้ทหารทั้ง 10 นายเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ส่วนร่างของเหยื่อถูกนำส่งโรงพยาบาลกองทัพเรือลูมุต เพื่อระบุอัตลักษณ์ต่อไป

ทั้งนี้ การฝึกบินดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการซ้อมเดินขบวนสวนสนามเนื่องในวันครบรอบกองทัพเรือ 90 ปี

ด้านกองทัพเรือมาเลเซียเตรียมสอบสวนเพื่อหาสาเหตุของอุบัติเหตุดังกล่าวต่อไป และขอให้สาธารณชนหยุดแชร์วิดีโออุบัติเหตุดังกล่าว เพื่อรักษาความรู้สึกอ่อนไหวของครอบครัวผู้สูญเสีย และเพื่อกระบวนการสอบสวน

ภาพอุบัติเหตุที่แชร์ในโซเชียลมีเดีย เผยให้เห็นเฮลิคอปเตอร์ 7 ลำ บินขึ้นเหนือฐานทัพแบบสะเปะสะปะ จากนั้นกล้องก็จับภาพไปยังเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำทางขวามือ แล้วทั้งสองลำก็ชนกันจนเกิดเพลิงไหม้ และควันโขมง ก่อนตกลงสู่พื้น

‘จีน’ เดินหน้าแผนริเริ่ม ‘ภูเขา-แม่น้ำ’ ลุย ‘ฟื้นฟูที่ดิน’ ราว 42 ล้านไร่

(23 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของจีนเปิดเผยว่า จีนได้ฟื้นฟูที่ดินมากกว่า 100 ล้านหมู่ (ราว 42 ล้านไร่) ระหว่างดำเนินการฟื้นฟูทางนิเวศวิทยาขนานใหญ่หรือที่เรียกว่าแผนริเริ่มซาน-สุ่ย (Shan-Shui Initiative) เมื่อวันจันทร์ (22 เม.ย.) ซึ่งตรงกับวันคุ้มครองโลก (World Earth Day)

ทั้งนี้จากรายงานระบุว่า แผนริเริ่มซาน-สุ่ย หรือแผนริเริ่มภูเขา-แม่น้ำ ถือเป็นความมุมานะพยายามของจีนในการฟื้นฟูพื้นที่ธรรมชาติอันครอบคลุมภูเขา ป่าไม้ ทุ่งหญ้า และทางน้ำใน 29 ภูมิภาคระดับมณฑลของประเทศ คิดเป็นพื้นที่ทั้งหมด 10 ล้านเฮกตาร์ (ราว 62 ล้านไร่) ภายในปี 2030

ซึ่งแผนริเริ่มซาน-สุ่ย ประกอบด้วยโครงการเกี่ยวกับการคุ้มครองแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเหลือง 31 โครงการ โครงการเกี่ยวกับการคุ้มครองที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต 7 โครงการ และโครงการผืนป่าแนวกันลมสามเหนือ 21 โครงการ

ขณะเดียวกันโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาภาคตะวันตกของจีน 22 โครงการ การฟื้นฟูภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน 4 โครงการ การพัฒนาเชิงบูรณาการของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี 4 โครงการ และการพัฒนาเชิงประสานของภูมิภาคปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย 4 โครงการ

ชาร์ลส์ การรังวา หัวหน้าฝ่ายการแก้ไขปัญหาที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (NbS) ระดับโลกขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมวันคุ้มครองโลกในเมืองหลินอี๋ มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน กล่าวชื่นชมความพยายามและความสำเร็จของจีนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ

‘Tesla’ ประกาศเรียกคืน ‘Cybertruck’ หลังพบปัญหาที่อาจทำให้ 'คันเร่งค้าง'

Tesla ประกาศเรียกคืน Cybertruck ที่ผลิตออกมาทั้งหมด 3,878 คัน หลังพบปัญหาคันเร่งค้าง

(23 เม.ย.67) BusinessTomorrow รายงานว่า Tesla ได้ประกาศเรียกคืนรถผ่าน National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางถนนในสหรัฐ ระบุปัญหาแป้นเหยียบคันเร่ง (pad on the accelerator pedal) อาจไปติดกับตัวรถด้านในที่อยู่เหนือคันเร่ง และอาจทำให้คันเร่งค้างได้

ทั้งนี้ Tesla ระบุว่า ได้รับแจ้งปัญหาจากลูกค้าครั้งแรกในวันที่ 31 มีนาคม และครั้งที่สองในวันที่ 3 เมษายน หลังการสอบสวนของวิศวกรก็พบว่ามีปัญหาจริง ๆ จึงตัดสินใจประกาศให้เจ้าของรถนำรถเข้าไปแก้ไขโดยไม่มีค่าใช้จ่าย (ซึ่งเจ้าของรถมีสิทธิจะไปหรือไม่ก็ได้ เป็นไปตามความสมัครใจ)

นักสู้ MMA ชาวอิหร่าน เตะก้นสาวริงเกิร์ลบนเวที อ้างไม่เหมาะ โดนตะลุมบอนยับ-แบนตลอดชีวิต-ยึดค่าจ้างให้สาวที่ถูกเตะ

(23 เม.ย.67) กลายเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมมากพอสมควร หลังจาก 'อาลี เฮบาติ' นักสู้ MMA ชาวอิหร่าน เตะไปที่ก้นของสาวที่ขึ้นมาถือป้ายระหว่างยก โดยอ้างว่าเธอแต่งตัวไม่เหมาะสม (ก็แต่งแบบนี้กันมานานแล้วไหม)

สำหรับไฟต์นี้จัดแข่งกันที่รัสเซีย โดยสู้ไปได้แค่ 30 วินาที ก็แพ้น็อกเอาท์คู่แข่งจากอาร์เมเนีย แถมยังไม่พอใจไปเล่นนอกเกมใส่อีก นอกจากนี้เห็นบอกไปเล่นงานนักพากย์ด้วย ซึ่งคาดว่าคงไม่พอใจที่ไปวิจารณ์ตนเอง

ภายหลังงานนี้ มีการตะลุมบอน อาลี เฮบาติ จนไปอ่วมเลย และจากพฤติกรรมทั้งหมดนี้ ก็ทำให้เจ้าตัวถูกแบนตลอดชีวิต และยึดค่าจ้างทั้งหมดมามอบให้กับสาวที่โดนเตะด้วย

แผ่นดินไหว 'ไต้หวัน' ต่อเนื่องกว่า 30 ครั้ง  แรงระดับ 4-6.3 ริกเตอร์ ตึกสูงเอนหวาดเสียว

(23 เม.ย.67) เครือข่ายติดตามแผ่นดินไหวแห่งจีน (China Earthquake Networks Center) รายงานเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่อำเภอ #ฮวาเหลียน #ไต้หวัน ขนาด 6.2 เมื่อเวลา 02.32 นาที ของวันที่ 23 เม.ย. ระดับความลึกแผ่นดินไหว 10 กิโลเมตร

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 02.26 นาที เกิดแผ่นดินไหว ขนาด 6.3 ที่บริเวณน่านน้ำทะเลในเขตอำเภอฮวาเหลียน ไต้หวัน โดยมีระดับความลึกแผ่นดินไหว 10 กิโลเมตร

สื่อจีนอ้างข้อมูลศูนย์ติดตามแผ่นดินไหวไต้หวัน ระบุอีกว่า จากเมื่อเวลา 17.08 น. ของวันที่ 22 เม.ย. ถึง เวลา 03.34 น. ของวันที่ 23 เม.ย. เกิดแผ่นดินไหวที่บริเวณชายฝั่งและในทะเลของเขตอำเภอฮวาเหลียน โดยครั้งที่มีความแรงขนาด 4 ขึ้นไป 26 ครั้ง, ขนาด 5 ขึ้นไป 7 ครั้ง และขนาด 6 ขึ้นไป 2 ครั้ง 

โดยทั้งหมดเป็นอาฟเตอร์ช็อกของเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.3 ในฮวาเหลียนเมื่อวันที่ 3 เม.ย. ซึ่งจนถึงขณะนี้มีอาฟเตอร์ช็อก ถึง 935 ครั้ง

หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ที่ความแรงขนาด 6 ขึ้นไปในเช้านี้ มีรายงานความเสียหายเบื้องต้น ตึกสูงสองหลัง เอียงไปอีก 

ในวันนี้ (23 เม.ย.) ทางการฮวาเหลียน สั่งด่วน หยุดการทำงาน และหยุดชั้นเรียน 

ส่วนฝั่งแผ่นดินใหญ่ มีชาวเน็ตในมณฑลฝูเจี้ยน และเมืองหังโจว มณฑลเจ้อเจียง ออกมาโพสต์ข้อความกันว่า พวกเขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว


หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวในวันที่ 23 เม.ย. ตึกโรงแรมแห่งหนึ่งในฮวาเหลียนเอียงไปด้านหนึ่ง ทั้งนี้โรงแรมที่ได้รับความเสียหายและถูกทิ้งร้างหลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.3 ที่ฮวาเหลียน ไต้หวันเมื่อวันที่ 3 เม.ย. (ภาพจากวิดีโอของหน่วยดับเพลิงไต้หวัน เผยแพร่ผ่านรอยเตอร์)

ภาพกราฟฟิกแสดงแผ่นดินไหวในเขตอำเภอฮวาเหลียน ไต้หวัน จากเวลา ราว 17.08 น. ของวันที่ 22 เม.ย. ถึง เวลา 03.34 น.ของวันที่ 23 เม.ย. โดยครั้งที่มีความแรง ขนาดกว่า 5 มีจำนวน 7 ครั้ง และครั้งที่มีความแรง ขนาดกว่า 6 มีจำนวน 2 ครั้ง

‘เนเธอร์แลนด์’ พบ ‘ชายชราวัย 72 ปี’ ติดเชื้อ ‘โควิด’ จนตาย หลังติดยาวนาน 613 วัน หวั่น!! เป็นตัวกลายพันธุ์อันตรายชนิดใหม่

(22 เม.ย.67) ทีมวิจัยชุดหนึ่งจากเนเธอร์แลนด์ พบการติดเชื้อโควิด-19 ยาวนานเป็นพิเศษในคนชรารายหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตจากไวรัสมรณะชนิดนี้เมื่อปีที่แล้ว ด้วยวัย 72 ปี ก่อความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวขึ้นมาของตัวกลายพันธุ์โคโรนาไวรัสที่อันตรายกว่าเดิม

ถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยพวกนักวิจัย ระบุว่า ชายชรารายนี้ ซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอยู่ก่อนแล้ว สืบเนื่องจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ก่อนหน้า เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในอัมสเตอร์ดัม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 หลังมีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก และไม่น่าเชื่อ ที่ผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของเขาออกมาเป็นบวกอยู่ตลอด จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในเดือนตุลาคม 2023 เท่ากับเป็นการติดเชื้อยาวนาน 613 วัน

ตัวอย่างการติดเชื้อโควิด-19 เป็นเวลานานของบุคคลหนึ่งที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เคยมีรายงานมากมายก่อนหน้านี้ แต่ในการค้นพบครั้งนี้ที่นำโดย แมกดา เวอร์กัวเว จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม เตรียมมีการนำเสนอต่อที่ประชุมด้านจุลชีววิทยาคลินิกและโรคติดเชื้อแห่งยุโรป ในบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 27 ถึง 30 เมษายนนี้

พวกนักวิจัยชี้ว่าเคสนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมันเน้นย้ำถึงความเป็นไปได้ที่โคโรนาไวรัสจะมีการกลายพันธุ์อย่างมีนัยสำคัญบ่อยครั้งระหว่างการติดเชื้อที่ยาวนาน เพราะฉะนั้นมันจึงก่อความเสี่ยงระดับสูงของการถือกำเนิดตัวกลายพันธุ์ที่มีศักยภาพหลบหลีกการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง

ผลวิคราะห์ตัวอย่างที่เก็บจากคนไข้รายนี้ พบว่ามีการกลายพันธุ์กว่า 50 ครั้งเมื่อเทียบกับตัวกลายพันธุ์ BA.1 โอมิครอน ที่กำลังแพร่ระบาดในวงกว้าง ณ ขณะนั้น บางส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน และสิ่งที่น่ากังวลคือ แค่ 21 วันหลังจากชายรายนี้ได้รับยาต่อต้านโคโรนาไวรัสพิเศษชนิดหนึ่ง ไวรัสได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการพัฒนาการต่อต้านยาดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ไวรัสมีพัฒนาการอย่างกว้างขวางในคนไข้รายนี้ แต่ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าเขาแพร่กระจายไวรัสตัวกลายพันธุ์ไปสู่คนอื่น ๆ

ทั้งนี้ ในถ้อยแถลง พวกนักวิจัยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดต่อวิวัฒนาการของโควิด-19 ในบุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง พวกเขาเตือนถึงความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวและการแพร่ระบาดตัวกลายพันธุ์ที่อาจก่อความท้าทายแก่ระบบภูมิคุ้มกันของบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง

'นักพี้เยอรมัน' เฮสนั่น!! รัฐบาลผ่านกฎหมายกัญชาเสรี 'ปลูก-เสพ' ได้ ไม่ผิดกฎหมาย ชี้!! ปลอดภัยกว่าก๊งเหล้า

นักพี้ชาวเยอรมันหลายพันคนเฮสนั่น เมื่อรัฐบาลผ่านร่างกฎหมายกัญชาถูกกฎหมายอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา และได้มารวมตัวสูบกัญชาฉลองชัยกันอย่างเอร็ดอร่อยที่หน้าประตูบรันเดินบวร์ค สถานที่ไอคอนที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบอร์ลิน

ตำรวจเบอร์ลินประเมินว่า มีผู้มาร่วมงานบริเวณหน้าประตูบรันเดินบวร์ก ราว 4,000 คน เพื่อมาสูบกัญชา ณ ใจกลางเมืองหลวงร่วมกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม 'Smoke-In' เพื่อฉลองชัยที่สามารถผลักดันให้กัญชาถูกกฎหมายในเยอรมัน ซึ่งนอกจากจะนัดมาสูบกัญชาร่วมกันแล้ว ยังมีงานแสดงคอนเสิร์ต และการกล่าวปราศรัยของนักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งด้วย

ในความเห็นของผู้ที่สนับสนุนร่างกฎหมายนี้มองว่า การเสพกัญชา เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการดื่มสุราหลายเท่า โดยอ้างอิงจากข้อมูลทางสถิติของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราเกินขนาด หรือ คดีอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการดื่มสุรา ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับจำนวนคนที่สูบกัญชา จึงมีผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อยชูป้ายว่า ‘ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการดื่ม’ หากมีกัญชาเป็นตัวเลือกในวงปาร์ตี้ สันทนาการ ที่ดีกว่า

จากร่างกฎหมายใหม่นี้ ชาวเยอรมันมีสิทธิ์ครอบครองกัญชาสดได้ไม่เกิน 25 กรัม หรือในรูปกัญชาตากแห้งไม่เกิน 50 กรัมต่อคน และสามารถปลูกเองที่บ้านได้ไม่เกิน 3 ต้น แต่ต้องอยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะในเยอรมัน หรือ 18 ปีขึ้นไป  

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในการเสพคือ ห้ามสูบบนทางเท้า และบริเวณใกล้โรงเรียน หรือ สนามเด็กเล่นในช่วงกลางวัน และยังห้ามสูบกัญชาในบริเวณสถานีรถไฟทั่วประเทศ เพื่อปกป้องผู้โดยสารคนอื่น โดยเฉพาะ เด็ก และเยาวชน ที่สัญจรโดยรถไฟ 

แต่ถึงแม้จะมีชาติตะวันตกอย่างเยอรมัน แคนาดา สวิสเซอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกส และ หลายรัฐในสหรัฐอเมริกา ที่รับรองการสูบกัญชาอย่างถูกกฎหมาย แต่การใช้กัญชายังเป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ว่า อาจนำไปสู่การเสพสารเสพติดที่มีฤทธิ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น อาทิ โคเคน หรือ เฮโรอีน หรือไม่ 

ด้าน ดร.สเตฟาน ทอนเนส หัวหน้าแผนกพิษวิทยาทางนิติเวชที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ต กล่าวว่า จากข้อมูลของผู้ติดยาในเยอรมันพบว่า ผู้ที่ติดเฮโรอีน มักใช้เสพสารเสพติดชนิดอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่ในทางกลับกัน กลุ่มผู้ที่เสพกัญชาจำนวนน้อยมากที่จะขยับขึ้นในเสพเฮโรอีน แม้จะมีความเชื่อมโยงระหว่างการเสพกัญชา ที่จะกระตุ้นความต้องการในการเสพยาเสพติดชนิดอื่นๆได้ในอนาคต แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่สามารถระบุว่าเป็นสาเหตุโดยตรงของการติดสารเสพติด อย่างโคเคน หรือ เฮโรอีนได้

เช่นเดียวกันกับการสำรวจข้อมูผลกระทบของกัญชาต่อสุขภาพ และการทำลายสมอง หรือคำกล่าวอ้างที่ว่าการเลือกเสพกัญชา มีอันตรายน้อยกว่าการดื่มเหล้า ก็ยังไม่มีผลงานวิจัยมายืนยันได้อย่างชัดเจนถึงข้อสรุปเหล่านี้ เพราะทั้งสุรา และกัญชา ต่างมีสารที่เป็นอันตรายในตัวเอง และมีฤทธิ์ถึงตายได้เหมือนกันขึ้นอยู่กับปริมาณการเสพ  

ดังนั้น รัฐบาลเยอรมันจึงยกให้เป็นเรื่องของความรับผิดชอบส่วนบุคคล หากเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลือกที่จะเสพกัญชา ก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย หากสูบในพื้นที่ ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด แต่ถ้าเสพหนักจนไปก่ออาชญากรรม หรือ กลายเป็นผลเสียต่อร่างกายก็เป็นเรื่องของกรรมต่างวาระ ที่ผู้เสพต้องรับผิดชอบในทุกๆการกระทำของตนเอง 

เพราะฉะนั้น นักพี้ก็ต้องเสพอย่างมีสติ แต่เกรงว่าจะมีสติได้แค่มวนแรก มวนต่อ ๆ ไป สติสตังชักไม่รู้ว่าทิ้งไว้ตรงไหนแล้วนะซี 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top