Sunday, 5 May 2024
WORLD

สภาสหรัฐฯ โหวตท่วมท้น 'แบนติ๊กต็อก' ไม่สนเสียงคัดค้าน-ปิดกั้นเสรีภาพผู้ใช้

เมื่อวานนี้ (21 เม.ย. 67) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โหวตรับรองร่างกฎหมายบังคับให้ไบต์แดนซ์ขายติ๊กต็อก หรือปล่อยให้แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยมนี้ถูกแบนจากตลาดอเมริกา ด้านติ๊กต็อกออกแถลงการณ์ร้องเรียนทันควันชี้เป็นการเหยียบย่ำสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีของชาวอเมริกัน 170 ล้านคน ทำลายธุรกิจ 7 ล้านแห่ง และปิดแพลตฟอร์มที่สร้างรายได้ปีละ 24,000 ล้านดอลลาร์ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ

เจ้าหน้าที่อเมริกาและตะวันตกกังวลว่า ความนิยมในติ๊กต็อกในหมู่หนุ่มสาวจะเปิดโอกาสให้จีนสอดแนมข้อมูลผู้ใช้ เฉพาะอเมริกามีผู้ใช้แอปนี้ถึง 170 ล้านราย

เจ้าหน้าที่เหล่านั้นยังกล่าวหาว่า ติ๊กต็อกอยู่ใต้อำนาจของปักกิ่ง และเป็นช่องทางเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของจีน ซึ่งทั้งรัฐบาลจีนและติ๊กต็อกต่างปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้

ร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ให้ความเห็นชอบด้วยคะแนนท่วมท้น 360 ต่อ 58 เสียงเมื่อวันเสาร์ (20 เม.ย.) ซึ่งอาจนำไปสู่ขั้นตอนที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักในการกีดกันไม่ให้บริษัทเอกชนทำธุรกิจในอเมริกานั้น จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาในสัปดาห์นี้

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุว่า จะลงนามรับรองร่างกฎหมายนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ย้ำความกังวลเกี่ยวกับติ๊กต็อกระหว่างหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเมื่อต้นเดือน

การยื่นคำขาดต่อติ๊กต็อกครั้งนี้รวมอยู่ในร่างกฎหมายการให้ความช่วยเหลือยูเครน อิสราเอล และไต้หวัน

ทางด้านติ๊กต็อกร้องเรียนทันควันโดยออกแถลงการณ์ ระบุว่า น่าเสียดายที่สภาล่างสหรัฐฯ อาศัยร่างกฎหมายความช่วยเหลือต่างประเทศและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อเร่งรัดร่างกฎหมายแบนติ๊กต็อก ซึ่งจะเป็นการเหยียบย่ำสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีของชาวอเมริกัน 170 ล้านคน ทำลายธุรกิจ 7 ล้านแห่ง และปิดแพลตฟอร์มที่สร้างรายได้ปีละ 24,000 ล้านดอลลาร์ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ

ภายใต้ร่างกฎหมายนี้ ไบต์แดนซ์ บริษัทไฮเทคสัญชาติจีน ต้องเลือกระหว่างขายกิจการติ๊กต็อกในอเมริกาภายใน 1 ปี หรือติ๊กต็อกถูกถอดออกจากแอปสโตร์ของแอปเปิลและกูเกิลในอเมริกา

เดือนที่แล้ว สภาล่างสหรัฐฯ อนุมัติร่างกฎหมายแบนติ๊กต็อกที่กำหนดให้ไบต์แดนซ์ต้องขายหุ้นติ๊กต็อกให้บริษัทสัญชาติอเมริกันภายใน 6 เดือน หรือถูกแบนในอเมริกา ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายนี้อยู่ในการพิจารณาของสภาสูง

สตีเวน มนูชิน อดีตรัฐมนตรีคลังในคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความสนใจซื้อกิจการติ๊กต็อก และขณะนี้กำลังรวบรวมกลุ่มนักลงทุน

ติ๊กต็อกตกเป็นเป้าหมายการเพ่งเล็งของทางการสหรัฐฯ มานานหลายปี ภายใต้ข้อกล่าวหาว่า แพลตฟอร์มยอดฮิตนี้ช่วยให้ปักกิ่งสอดแนมผู้ใช้ในอเมริกา

อย่างไรก็ตาม กฎหมายแบนติ๊กต็อกอาจนำไปสู่การฟ้องร้อง โดยกฎหมายนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุแอปพลิเคชันที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ หากแอปดังกล่าวควบคุมโดยประเทศที่ถือเป็นศัตรูของอเมริกา

วันศุกร์ที่ผ่านมา (19 เม.ย.) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มเอ็กซ์ หรือทวิตเตอร์ในอดีต ออกมาต่อต้านการแบนติ๊กต็อกโดยระบุว่า แม้การดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลดีต่อเอ็กซ์ แต่เป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของผู้คน

‘จีน’ ออกมาตรการหนุน ‘ต่างชาติ’  ดันให้ลงทุนด้าน ‘วิทย์-เทคโนฯ’ 

(21 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กลุ่มหน่วยงานทางการจีนออกเอกสารแจกแจงมาตรการชุดใหม่ ซึ่งส่งเสริมบรรดาสถาบันในต่างประเทศเข้ามาลงทุนในกลุ่มผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในประเทศจีน

เอกสารข้างต้นร่วมออกโดยกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานรัฐบาลอีก 9 แห่ง ประกอบด้วย 16 มาตรการที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการบริการจัดการ การสนับสนุนทางการเงิน การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือ รวมถึงยกระดับกลไกการถอนตัว

จีนจะอนุมัติคำขอของนักลงทุนต่างชาติประเภทสถาบันที่ใช้สกุลเงินดอลลาร์และมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ (QFII) รวมถึงนักลงทุนต่างชาติประเภทสถาบันที่ใช้สกุลเงินหยวนและมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ (RQFII) ตามกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนั้นจีนจะสนับสนุนสถาบันในต่างประเทศเข้ามาลงทุนในกลุ่มผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในประเทศผ่านโครงการหุ้นส่วนจำกัดต่างชาติที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ (QFLP)

กองทุนร่วมลงทุนภายในประเทศที่จัดตั้งโดยสถาบันจากต่างประเทศจะได้รับการกำกับดูแลอย่างเท่าเทียมกับกองทุนร่วมลงทุนภายในประเทศที่จัดตั้งโดยนักลงทุนภายในประเทศ

จีนจะส่งเสริมสถาบันจากต่างประเทศที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ออกตราสารหนี้สกุลเงินหยวนในจีนและลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงขยับขยายโครงการนำร่องทั่วประเทศที่เกื้อหนุนการเงินข้ามพรมแดน

ขณะเดียวกันจีนจะสนับสนุนธนาคารภายในประเทศเพิ่มความร่วมมือกับสถาบันจากต่างประเทศด้วย

‘รัสเซีย’ ใช้โดรนราคาถูก $500 ทำลายรถถังสหรัฐฯ $10 ล้านในยูเครน ย้ำ!! มีความแม่นยำมากกว่า 90% โจมตียานเกราะ ในจุดที่อ่อนแอที่สุด

(21 เม.ย.67) สื่อมวลชนอเมริการายงานว่า มีรถถังเอบรามส์อย่างน้อย 5 คัน จากทั้งหมด 31 คันที่สหรัฐฯ จัดหาให้แก่ยูเครน ถูกรัสเซียทำลายไปแล้ว พร้อมบอกว่ามีอีก 3 คันที่ได้รับความเสียหายพอประมาณ

รายงานข่าวระบุว่า กรณีส่วนใหญ่รถถังเอบรามส์เหล่านี้ถูกทำลายโดยโดรนกามิกาเซ แบบ first-person view หรือที่รู้จักกันในฐานะกระสุนแบบดักรออยู่กับที่ (loitering munition) จากลักษณะการทำงานของมันคือ การดักรออยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเพื่อระบุเป้าหมายก่อนที่จะโจมตี

ตามรายงานของนิวยอร์กไทม์ส ระบุว่า เวลานี้รถถังถูกกำจัดด้วยโดรนระเบิดได้ง่ายกว่าที่พวกเจ้าหน้าที่และพวกผู้เชี่ยวชาญบางส่วนสันนิษฐานไว้ในตอนแรก พร้อมกับอ้างความเห็นของ มาร์คุส รีสเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารชาวออสเตรีย ที่ให้คำจำกัดความสถานการณ์ดังกล่าว "เหลือเชื่อมาก" ในขณะที่นิวยอร์กไทม์สให้คำนิยามอากาศยานไร้คนขับของรัสเซีย "เป็นมือสังหารรถถังแม่นยำสูง และมีราคาถูก"

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า โดรนมีความแม่นยำมากกว่า 90% พร้อมระบุพวกมันมีศักยภาพเล่นงานยานเกราะหนักในจุดที่อ่อนแอที่สุด ทั้งนี้ อากาศยานไร้คนขับมีราคาแค่ 500 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 18,000 บาท) แต่มีศักยภาพกำกจัดรถถังเอบรามส์ ที่มีราคาคันละ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 368 ล้านบาท) และยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปกป้องรถถังจากการโจมตีด้วยโดรน

รถถังเอบรามส์ ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ปรากฏตัวในแนวหน้าในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากถูกคาดหมายมาช้านาน ท่ามกลางความพยายามของยูเครนในการสกัดการรุกคืบของทหารรัสเซีย หลังจากกำลังพลของมอสโกยึดเมืองอัฟดิอิฟกา ในภูมิภาคดอนบาสได้สำเร็จ

บรรดาชาติผู้สนับสนุนรับปากส่งมอบเอบรามส์ M1 จำนวน 31 คันแก่เคียฟ เมื่อปีที่แล้ว ตั้งแต่ก่อนหน้าที่ยูเครนจะเปิดปฏิบัติการโจมตีตอบโต้แต่ประสบความล้มเหลวในช่วงฤดูร้อน อย่างไรก็ตาม การส่งมอบเพิ่งเริ่มเดินเครื่องอย่างเต็มกำลังในช่วงกลางเดือนตุลาคม ครั้งที่ปฏิบัติการโจมตีตอบโต้อ่อนแรงลงไปแล้ว

‘ตำรวจจีน’ ออกจับเหล้า ที่ถูกสวมฉลากเป็น ‘สินค้าจัดสรรพิเศษ’ ย้ำ!! ทำเพื่อ ‘ผลประโยชน์อันชอบธรรม’ ตามกฎหมายของผู้บริโภค

(20 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเริ่มต้นดำเนินการรณรงค์เพื่อปราบปรามอาชญากรรมเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปลอม ซึ่งถูกสวมฉลากเป็น 'สินค้าจัดสรรพิเศษ' แก่หน่วยงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐบาล หรือกองทัพ

รายงานระบุว่าปฏิบัติการนี้มีเป้าหมายปราบปรามการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบอย่างผิดกฎหมาย ปกป้องคุ้มครองชื่อเสียงของพรรคฯ รัฐบาล และกองทัพ พร้อมกับรับประกันสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมายของผู้บริโภค

หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วจีนจะปราบปรามการค้าขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปลอมทุกขั้นตอน ตั้งแต่ผลิต จำหน่าย ขนส่ง และจัดเก็บ รวมถึงการกระทำผิดเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายวัสดุบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปลอม และการทำผิดกฎหมายอันเกี่ยวกับการพิมพ์เครื่องหมายการค้าและสัญลักษณ์ของหน่วยงานพรรคฯ รัฐบาล และกองทัพโดยไม่ได้รับอนุญาต

นอกจากนั้นกระทรวงฯ เน้นย้ำความจำเป็นในการตรวจตราโลกออนไลน์อย่างเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ช่องทางไลฟ์สตรีมมิงหรือไลฟ์สด และแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อรวบรวมเบาะแสอันนำสู่การกระทำผิดดังกล่าว

ทั้งนี้ สำนักสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมอาหารและยาของกระทรวงฯ จะเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย

‘สหรัฐฯ’ สั่งปรับ ‘เอสซีจี พลาสติกส์’ เป็นเงิน 736 ล้านบาท จากเหตุที่ละเมิด ‘มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน’ กว่า 400 ครั้ง

(20 เม.ย.67) กระทรวงการคลังสหรัฐฯ แถลงว่า ได้สั่งปรับบริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ (SCG Plastics Co) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลาสติกสัญชาติไทย เป็นเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 736 ล้านบาท ฐานละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ มากกว่า 400 ครั้ง

ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะเล่นงานอิหร่านในทางการเงิน แม้อีกด้านหนึ่งจะต้องการลดความตึงเครียดทางทหารระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ซึ่งมีการโจมตีแก้แค้นกันไปมาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ตาม

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า เอสซีจี พลาสติกส์ ยินยอมจ่ายค่าปรับตามที่สหรัฐฯ เรียกร้อง เพื่อยุติการดำเนินคดีฐานละเมิดมาตรการคว่ำบาตรรวมทั้งสิ้น 467 ครั้ง

สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างอิงคำแถลงของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า เอสซีจี พลาสติกส์ มีการส่งออกพลาสติก High-Density Polyethylene หรือ HDPE ทว่าปกปิดต้นทางว่ามาจากอิหร่าน ส่งผลให้สถาบันการเงินของสหรัฐฯ รับทำธุรกรรมการเงินรวมทั้งสิ้น 291 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2017 และ 2018 โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

“เอสซีจี พลาสติกส์ ปกปิดข้อเท็จจริงเป็นเวลานานต่อเนื่องหลายปีว่าพลาสติก HDPE ที่ถูกจำหน่ายนั้นมีต้นทางมาจากอิหร่าน” ซึ่งสื่อให้เห็นถึง “เจตนาในการหลบเลี่ยงการตรวจสอบของสถาบันการเงินที่รับทำธุรกรรม และหลีกเลี่ยงมาตรการที่สถาบันการเงินเหล่านั้นคาดว่าจะกระทำเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายของสหรัฐฯ” กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ

“จากผลของการทำธุรกรรมเหล่านี้ทำให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจำนวนมากถูกส่งไปถึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของอิหร่าน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของระบอบอิหร่าน”

ประกาศดังกล่าวมีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่สหรัฐฯ และอังกฤษได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรโครงการโดรนทางทหารของอิหร่าน เพื่อตอบโต้ที่เตหะรานเปิดปฏิบัติการโจมตีอิสราเอลเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้วซึ่งมีการใช้โดรนและขีปนาวุธมากกว่า 300 ลูก

‘Bitcoin Halving’ ครั้งที่ 4 เพื่อจำกัดปริมาณการขุดให้น้อยลง ส่งผลให้ราคาพุ่งสูง ตามปริมาณความต้องการถือเหรียญที่มากขึ้น

(20 เม.ย.67) Bitcoin Halving สำเร็จแล้ว! สิ้นสุด 4 ปีที่รอคอย กลไกดันราคาจาก ‘บิตคอยน์ฝืด’

Bitcoin Halving สำเร็จแล้ว! สิ้นสุด 4 ปีที่รอคอยในช่วงเช้ามืดวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ‘บิทคับ’เปิด 3 ปัจจัยดันราคาหลังรีวอร์ดการขุดลดลงเหลือแค่ 3.125 เหรียญบิตคอยน์ต่อ 1 บล็อก

นับเป็นการสิ้นสุดการรอคอยอีเวนต์ใหญ่ของนักลงทุนสายคริปโทเคอร์เรนซีทั่วโลก เมื่อสกุลเงินพี่ใหญ่สุดอย่างบิตคอยน์เกิดปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่จะเกิดขึ้นทุก 4 ปีอย่าง Bitcoin Halving เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในช่วงเช้ามืดวันที่ 20 เม.ย.2567

ทำความรู้จัก Bitcoin Halving

Bitcoin Halving เป็นการลดรางวัลบล็อก (Block reward) ของนักขุดให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งคือ จะลดรางวัลบล็อกบิตคอยน์ลงจาก 6.25 BTC เป็น 3.125 BTC โดยประมาณ เพื่อจำกัดปริมาณของบิตคอยน์ในทุกรอบ 4 ปี 

โดยการลดปริมาณรางวัลการขุดบิตคอยน์ให้น้อยลง สวนทางกับปริมาณความต้องการถือเหรียญบิตคอยน์มากขึ้น จึงส่งผลให้ราคาของบิตคอยน์หลังปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ใน 3 ครั้งที่ผ่านมา เพิ่มสูงขึ้น 

ตามสถิติที่ผ่านมา หลังการเกิด Bitcoin Halving ครั้งที่ 1 ในช่วงปี 2012 ส่งผลให้บิตคอยน์สามารถทำราคาสูงสุด (ATH) ได้ที่ 1,042 ดอลลาร์ (Coinmarketcap) หรือ 37,657 บาท ต่อมาหลังการเกิด 

Bitcoin Halving ครั้งที่ 2 ในช่วงปี 2016 ส่งผลให้ราคาของบิตคอยน์ทำ ATH ได้ถึง 17,500 ดอลลาร์ (Coinmarketcap) หรือ 632,450 บาท และหลังการเกิด 

Bitcoin Halving ครั้งที่ 3 ในช่วงปี 2020 ส่งผลให้ราคาของบิตคอยน์ทำ ATH ไปได้ถึง 68,789 ดอลลาร์ (Coinmarketcap) หรือ 2,486,034 บาท โดยในวันที่ 20 เมษายน 2567 นี้ จะนับเป็น Bitcoin Halving ครั้งที่ 4

3 ปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลต่อราคา Bitcoin ในช่วงปี 2567

1. การอนุมัติของ Spot Bitcoin ETF ในฝั่งสหรัฐฯ

เมื่อเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา ได้เรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุนคริปโตทั่วโลกเป็นอย่างมาก และส่งผลให้เกิดราคาสูงสุดครั้งใหม่ New Time High ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการอนุมัติของ Spot Bitcoin ETF ครั้งนี้ ทำให้นักลงทุนรายย่อยบางส่วนกลับเข้ามาในตลาดและลงเล่นใหม่อีกครั้ง 

2. การอนุมัติ Spot Bitcoin ETF ครั้งแรกในทวีปเอเชีย และ Spot Ethereum ETF ครั้งแรกของโลก

โดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง (SFC) ได้อนุมัติผลิตภัณฑ์ของกองทุน spot Bitcoin และ Ethereum ETF เมื่อ 15 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา 

โดย Eric Balchunas นักวิเคราะห์จาก Boomblerg ได้ให้ความเห็นไว้ว่า เป็นการแสดงถึงความคืบหน้าและก้าวสำคัญของฮ่องกง แต่เนื่องจากตลาดมีขนาดเล็กกว่ามาก จึงคาดการณ์ว่าคงจะยังไม่ได้รับเงินลงทุนไหลเข้ามหาศาลจนทำให้เกิดการขยับของราคาเมื่อเทียบเท่ากับที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

3. ปรากฏการณ์ Bitcoin Halving

การลดลงของจำนวน BTC ในระบบให้มีจำนวนการเกิดขึ้นที่น้อยลงเรื่อย ๆ และยืดเวลาที่บิตคอยน์จะถูกค้นพบจนถึง 21 ล้านเหรียญให้ช้าลง จำนวนการไหลเวียนของบิตคอยน์จะเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้หายากขึ้นไปอีก 

จุดนี้เองที่จะช่วยสร้างความฝืดให้บิตคอยน์ และตาม Demand และ Supply แล้ว หากปริมาณเหลือน้อยลงแต่ความต้องการกลับมากขึ้น อาจจะทำให้เห็นของการขยับของราคาที่สูงขึ้นคล้ายกับที่เคยเกิดมาแล้ว 3 ครั้งตามสถิติที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ ราคาของบิตคอยน์อาจจะยังไม่ได้ขยับขึ้นหลังจาก Halving ในทันที เนื่องจาก Halving เป็นการทำให้คุณสมบัติของบิตคอยน์มีความ “เกิดได้ยากขึ้น” ซึ่งไม่ได้หมายความว่า บิตคอยน์จะมีมูลค่าสูงขึ้นในทันทีทันใด และต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเศรษฐกิจของโลกด้วย

นักลงทุนทั่วโลกจึงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าหลัง Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 นี้จะส่งผลต่อราคาของบิตคอยน์อย่างไร

คำเตือน:
- คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

โซเชียลรุมแซว ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ หน้าตาเหมือนผ้าอนามัย แท้ที่จริง ตั้งใจจะออกแบบให้เหมือน ‘ดอกเหมย’

(20 เม.ย.67) เป็นประเด็นที่กำลังร้อนแรงในขณะนี้ เมื่อโลกออนไลน์กำลังให้ความสนใจกับการออกแบบของ ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ ในประเทศจีน โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียชาวจีนจำนวนมากมีความคิดเห็นว่า สถานีที่มีมูลค่ากว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์นี้ มีหน้าตาเหมือนกัน ‘ผ้าอนามัยยักษ์’

ตามรายงานเผยว่าการออกแบบ ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ ได้แรงบันดาลใจมาจาก 'ดอกเหมย' หรือ 'ดอกบ๊วย' ซึ่งเป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อในเมืองนี้

ทว่าชาวเน็ตจีนหลายคนอาจไม่เห็นด้วย และชี้ว่า สถานีแห่งนี้มีหน้าตาคล้ายกับ ‘ผ้าอนามัยยักษ์’ มากกว่า โดยมีชาวเน็ตจีนรายหนึ่งตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ว่า “นี่มันผ้าอนามัยขนาดยักษ์ชัด ๆ มันน่าอายนะที่จะบอกว่ามันดูเหมือนดอกบ๊วย”

โพสต์ดังกล่าวกลายเป็นกระแสไวรัลทันที มีคอมเมนต์วิจารณ์มากมาย อาทิ

เห็นก็รู้เลยว่าผ้าอนามัย ทำไมสถาปนิกไม่สังเกต
ไม่ว่าผู้โดยสารจะเข้ามามากขนาดไหน ก็สามารถดูดซึมได้เต็มที่และแห้งได้ตลอดทั้งวัน
สไตล์นี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการรั่วซึมด้านข้างหรือไม่
ขณะที่คอมเมนต์บางส่วนเข้ามาปกป้องสถานี จนเกิดการถกสนั่น อาทิ

ทำไมผ้าอนามัยถึงมีความหมายไม่ดี ?
อย่าปากร้ายขนาดนั้น ถ้าแม่ของคุณไม่มีประจำเดือน เธอก็ไม่สามารถให้กำเนิดคุณได้ 

สำหรับ ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ เป็นการลงทุนมหาศาลสำหรับเมืองที่มีประชากร 8.5 ล้านคน และจะกลายเป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุดของเมือง สถานีนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ 14 ตารางไมล์ (37.6 ตารางกิโลเมตร) จะให้บริการผู้โดยสารประมาณ 36.5 ล้านคนต่อปี และคาดว่าสถานีรถไฟแห่งนี้จะมีมูลค่าราว 2 หมื่นล้านหยวนจีน (2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น การออกแบบเบื้องต้นได้รับไฟเขียวโดยรัฐบาลและกลุ่มการรถไฟแห่งรัฐจีน การก่อสร้างมีกำหนดจะเริ่มในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 และคาดว่าสถานีแห่งนี้จะได้รับผู้โดยสารคนแรกภายในต้นปี 2571

AI พัฒนาขึ้นมาก แต่ยังด้อยด้าน ‘เหตุผล-สามัญสำนึก’ คาดอีก 3-5 ปี ข้างหน้า อาจเข้ามาแย่งงานคน ในงานวิจัยขั้นสูง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ Business Tomorrow รายงานว่า Human-Centered Artificial Intelligence (HAI) หน่วยงานศึกษาวิจัยด้าน AI ของมหาวิทยาลัย Stanford ออกรายงานประจำปีดัชนีด้าน AI ประจำปี 2024 โดยได้แบ่งการศึกษาออกเป็นดังต่อไปนี้

AI มีความสามารถเหนือมนุษย์ แต่ยังไม่ใช่ทุกอย่าง
ในการทดสอบ 9 หัวข้อ HAI พบว่า AI มีความสามารถที่เหนือกว่าค่ามาตรฐานของมนุษย์แล้วหลายอย่าง (บางอย่างแซงนานแล้ว) เช่น การจำแนกรูปภาพ, การอ่านจับใจความ, การให้เหตุผลจากรูปภาพ, การตีความภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตามบางอย่าง AI ยังทำได้แย่กว่ามนุษย์ โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยบริบทที่ซับซ้อนประกอบ เช่น การให้เหตุผลตามสามัญสำนึก หรือคณิตศาสตร์แก้โจทย์ปัญหาระดับแข่งขัน

งานวิจัย AI เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
งานวิจัยด้าน AI มีจำนวนเพิ่มขึ้นสูงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในปี 2020 งานวิจัยมีประมาณ 88,000 หัวข้อ ส่วนปี 2022 มีถึง 240,000 หัวข้อ ส่วนโมเดล Machine Learning ที่โดดเด่นนั้น ในปีที่ผ่านมามี 51 โมเดล ที่มาจากภาคเอกชน, 21 โมเดลจากความร่วมมือสถาบันการศึกษาและเอกชน และ 15 โมเดล ที่มาจากภาคการศึกษา ส่วนใหญ่โมเดลเหล่านี้มาจากสหรัฐอเมริกา ตามด้วยจีนในอันดับสอง

AI อาจแย่งงานมนุษย์ แต่ช่วยได้มากในฝั่งวิทยาศาสตร์ 
ผลสำรวจโดย Ipsos ต่อประชาชนทั่วโลกว่ามอง AI จะส่งผลกระทบอย่างไร พบว่าการตระหนักรู้ของผู้คนนั้นมีมากขึ้น 66% (เพิ่มจาก 60%) บอกว่า AI จะกระทบกับชีวิตพวกเขาภายใน 3-5 ปี, 52% กังวลในความสามารถของ AI ที่จะส่งผลกระทบเรื่องต่าง ๆ ถึงแม้ผู้คนจะกังวลกับ AI แต่วงการวิจัยวิทยาศาสตร์ขั้นสูงนั้นได้ประโยชน์จาก AI มาก ในปี 2023 มีงานวิจัยหลายอย่างที่ใช้ AI ช่วยทำให้ได้ผลลัพธ์รวดเร็วมากขึ้น เช่น AlphaDev ที่สามารถเขียนอัลกอริทึม Sort ความเร็วสูงที่เกินกว่าคนทั่วไปเขียนได้, FlexiCubes กระบวนการขึ้นรูป 3D, GraphCast โมเดลพยากรณ์อากาศ, GNoME ที่ช่วยค้นพบวัสดุใหม่ และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ได้ AI มาช่วยเร่งความเร็วในการประมวลผล

เปิดไทม์ไลน์ 'ตึกเน่าปลาย-ตึกร้าง' หลังทุนจีนแห่หนี 'สีหนุวิลล์' ปล่อย 'กัมพูชา' ดิ้นหาทุนพันล้านเหรียญ ชุบชีวิตเมืองเอง

(19 เม.ย.67) แต่ดั้งเดิม สีหนุวิลล์ เมืองเอกของจังหวัดพระสีหนุทางตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชา ห่างจากกรุงพนมเปญ 246 กิโลเมตร เป็นเมืองที่อุดมไปด้วยป่าไม้เขียวชอุ่ม มีชายทะเลหาดทรายสวยงามบนฝั่งอ่าวไทย ที่อาจพัฒนาเป็นเมืองรีสอร์ตเป็นสวรรค์ท่องเที่ยวระดับโลก ทว่า เวลานี้ สีหนุวิลล์ ไม่ผิดอะไรกับเมืองร้าง กลายเป็น 'เมืองตึกร้าง-ตึกเน่า' ไปได้อย่างไร

มาดูไทม์ไลน์ช่วงของการเปลี่ยนแปลงและความพลิกผันของสถานการณ์ที่น่าเป็นอุทาหรณ์ในการพัฒนาบ้านเมืองกัน

-ปี 2010  สีหนุวิลล์ เริ่มเปลี่ยนไป หลังจากที่กัมพูชาประกาศแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในสีหนุวิลล์ และเป็นเมืองยุทธศาสตร์รองรับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ของจีน แน่นอนต้องอาศัยทุนต่างชาติเข้ามาช่วยขับดันการเติบโตเศรษฐกิจ และกลุ่มทุนจีนก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา

-ปี 2016 สีหนุวิลล์ พลิกโฉมอย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นเมืองทันสมัย มีโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือสมัยใหม่ ถนนใหญ่ ทางด่วน คอนโดมิเนียม โรงแรม ตึกอาคารสูง กาสิโน ร้านอาหาร จนผู้คนกล่าวขวัญว่า สีหนุจะเจริญเติบโตเป็น 'เซินเจิ้นน้อย'

สีหนุวิลล์ เป็นขุมพลังเศรษฐกิจอันดับสองอันดับสามของกัมพูชา รัฐบาลพนมเปญฝันหวานจะพัฒนาชาติเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงภายในปี ค.ศ.2030

-ปี 2018 ทุนจีนไหลบ่าเข้ามาในสีหนุวิลล์ราวกระแสน้ำเชี่ยวกราก ขณะเดียวกัน รัฐบาลกัมพูชาก็สนับสนุนธุรกิจบ่อนกาสิโน ผลักดันสีหนุวิลล์ เป็น 'มาเก๊าแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้'

ช่วงไม่กี่ปีนี้เองการเติบโตเศรษฐกิจของสีหนุวิลล์ พุ่งแรงเร็วเป็นติดจรวด ราคาอสังหาฯ ในท้องถิ่นสูงปรี๊ด เจ้าของโครงการอสังหาฯ ร่ำรวยในชั่วข้ามคืน ชาวจีนหลายหมื่นคนหลั่งไหลเข้าทำงานในบ่อนและภาคบริการของสีหนุวิลล์

- ปี 2019 รัฐบาลจีนปราบปรามอย่างจริงจังล้างบางแก๊งอาชญากรรมจีนที่แพร่กระจายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งแรงกดดันต่อกัมพูชา จนรัฐบาลกัมพูชาประกาศในเดือน ส.ค. 2019 ให้การพนันออนไลน์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย กลุ่มทุนจีนเริ่มถอนทุนออกจากสีหนุวิลล์ จากนั้นมาเศรษฐกิจสีหนุวิลล์ก็เริ่มซบเซาและตกฮวบอย่างรวดเร็ว

- ปี 2020 โรคโควิดแพร่ระบาดใหญ่ไปทั่วโลก ยิ่งซ้ำเติมสีหนุวิลล์ สำนักงานบริษัทหลายแห่งทยอยปิดตัว อาคารที่ว่างเปล่าถูกแก๊งคอลเซนเตอร์เข้ายึดเป็นศูนย์ปฏิบัติการ

ดังที่ทราบกันดีทั่วโลก ภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนมีปัญหายืดเยื้อมาหลายปี จนกระทั่งบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่อย่าง ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ (China Evergrande Group) ล้มละลายถูกสั่งเลิกกิจการในต้นปีนี้ คันทรี่ การ์เดน (Country Garden) กำลังถูกฟ้องร้องให้ปิดกิจการ เป็นต้น...ด้วยหนี้สินนับแสน ๆ ล้านเหรียญสหรัฐ

ผู้อ่านที่ติดตามปัญหาอสังหาฯ ในจีน จะได้ยินปรากฏการณ์ 'เมืองร้างเมืองผี' หมายถึงโครงการอสังหาฯ มหึมาที่สร้างเสร็จแต่ไม่มีการเปิดใช้ ไม่มีคนซื้อคนลงทุน จนมาถึงมายุคของ 'ตึกเน่าปลาย' ซึ่งเป็นคำที่แปลตรงตามอักษรภาษาจีน หล่านเว่ยโหลว (烂尾楼) หมายถึง ตึกอาคารที่สร้างไม่เสร็จ หรือสร้างค้างไว้เพราะปัญหาขาดเงินทุน

ด้วยปัจจัยลบที่กลุ้มรุมเช่นนี้ กลุ่มทุนจีนจึงแห่ถอนตัวออกจากสีหนุวิลล์ราวเผ่นหนีสงครามใหญ่ คนท้องถิ่นตกงานกันระนาว ความขัดแย้งในภาคเศรษฐกิจโผล่พรึ่บขึ้นมา โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างนักลงทุนอสังหาฯ จีนกับคนท้องถิ่นที่ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน

ภาคเศรษฐกิจแทบทั้งหมดของสีหนุวิลล์นั้น ขับเคลื่อนไปด้วยทุนจีนที่ไหลบ่าเข้ามาไม่หยุดหย่อน จากข้อมูลสถิติของสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา ระบุว่า ปี 2022 ภาคการลงทุนต่างประเทศในสีหนุวิลล์ มูลค่า 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ราวร้อยละ 90 มาจากจีน

สีหนุวิลล์ กลายเป็น 'เมืองตึกร้าง-ตึกเน่า' เช่นเดียวกับปัญหาอสังหาฯ ในจีน

-ปี 2022 สื่อท้องถิ่นรายงานโดยอ้างข้อมูลเจ้าหน้าที่ในสีหนุวิลล์ว่า จากปี 2019 ตึกในเมืองมากกว่า 1,000 หลัง ถูกปล่อยทิ้งร้าง...

- ปี 2023 สื่อท้องถิ่นอ้างตัวเลขของหน่วยงานรัฐบาลกัมพูชาล่าสุด ที่นับถึงเดือน ก.ย.2023 ระบุว่าโครงการก่อสร้างตึกอาคารขนาดใหญ่ในเมืองสีหนุวิลล์ มีจำนวนทั้งสิ้น 1,069 โครงการ มูลค่าการลงทุนสูงถึง 4,056 ล้านเหรียญสหรัฐ

จากการสำรวจของกระทรวงการก่อสร้างและวางแผนที่ดินแห่งชาติ ระบุจำนวนโครงการใหญ่ที่ก่อสร้างค้างไว้มีประมาณ 364 โครงการ นอกไปจากนี้ มีตึกที่สร้างแล้วเสร็จ แต่ไม่สามารถเปิดใช้กลายเป็นตึกร้าง มีจำนวน 177 โครงการ เมื่อรวมตึกเน่าปลายและตึกร้างก็มีจำนวนราว 540 โครงการ

หลังจากผ่านพ้นช่วงโควิดระบาดใหญ่ การปราบปรามบ่อนพนันที่ยังเข้มข้นและปัญหาของภาคอสังหาฯ จีนที่ทรุดหนัก ทำให้กลุ่มทุนจีนที่จะหวนกลับมาสีหนุวิลล์เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก ๆ

หันมาดูกระแสนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมายังกัมพูชา สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งกัมพูชาเผยว่า เมื่อปีที่แล้ว (2023) นักท่องเที่ยวชาวจีนมาเที่ยวกัมพูชาเพียง 550,000 คน ลดลงจากปี 2019 ร้อยละ 77 และกลุ่มผู้โดยสารที่มาลงที่สนามบินนานาชาติสีหนุวิลล์ มีเพียง 15,754 คน ลดลงจากปี 2019 ถึงร้อยละ 98

- ปี 2024 ปีแห่งการยก 'ภูเขาตึกเน่า' ออกไปเพื่อไปต่อ ในเดือน ม.ค.ปีนี้ นายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา นายฮุน มาเนต ประกาศมาตรการส่งเสริมการลงทุนในสีหนุวิลล์ โดยมาตรการแรกสุด คือ ให้สิทธิพิเศษและยกเว้นภาษีรายได้สำหรับนักลงทุนที่ประสงค์มารับช่วงการก่อสร้างตึกที่สร้างค้างไว้

รัฐบาลกัมพูชาประมาณว่าจะต้องใช้เงินทุนก้อนใหม่ถึง 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อฟื้นการก่อสร้างตึกเน่าให้แล้วเสร็จ

“แต่เศรษฐกิจโลกยามนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า มาตรการที่นายกฯ มาเนตประกาศต้องใช้เวลาฝ่าฟันอุปสรรคใหญ่” Ky Sereyvath ผู้อำนวยการสถาบันจีนศึกษา ที่ Royal Academy of Cambodia กล่าว

Long Dimanche รองผู้ว่าฯ จังหวัดพระสีหนุ กล่าวว่า สีหนุวิลล์ต้องสร้างความหลากหลายให้ทั้งภาคอุตสาหกรรมและประเทศที่เข้ามาลงทุน รัฐบาลฮุน มาเนต ได้แสดงการเปิดกว้างในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศแล้ว

และความเป็นไปได้หนึ่งคือการหวนคืนกลับมาของญี่ปุ่นที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในสีหนุวิลล์น้อยกว่าเวียดนามและไทย แต่ญี่ปุ่นเคยสนับสนุนการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกที่มีอยู่แห่งเดียวของกัมพูชาเมื่อราว 30 ปีที่แล้ว  

แผนร้าย Jimmy Lai จุดชนวนการล่มสลายของจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อสถาปนาประชาธิปไตยตามแบบสหรัฐฯ

Jimmy Lai เจ้าพ่อสื่อชาวฮ่องกงวัย 76 ปี ผู้ก่อตั้ง Giordano International แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง, Next Digital (เดิมชื่อ Next Media) บริษัทสื่อที่จดทะเบียนในฮ่องกง และ Apple Daily หนังสือพิมพ์ของฮ่องกงและไต้หวัน 

เขาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ และเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนสำคัญในค่ายสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะต่อพรรค Democratic ที่เป็นชนวนเหตุให้เกิดการประท้วงกระทั่งกลายเป็นการจลาจลทางการเมืองของฮ่องกง 

ทั้งนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักว่า เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองของฮ่องกง แต่จริง ๆ แล้วเขาถือสัญชาติอังกฤษมาตั้งแต่ปี 1996 

Lai ซึ่งมักจะวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่เสมอ ถูกตำรวจฮ่องกงจับกุมเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2020 ในข้อหาละเมิดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ ต่อมาได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม แต่ในวันที่ 3 ธันวาคม 2020 Lai ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกง และถูกเพิกถอนการประกันตัว ศาลฮ่องกงตัดสินจำคุก Lai จนถึงเดือนเมษายน 2021 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เขาถูกควบคุมตัว แต่ตัว Lai เองกลับมองว่า การจำคุกของเขาเป็น 'จุดสูงสุดในชีวิตของเขาเอง'

ในเดือนกรกฎาคม 2019 Lai ได้พบกับ Mike Pence รองประธานาธิบดี Mike Pompeo รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และ John Bolton ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ของสหรัฐฯ Lai กล่าวว่า "พวกเราในฮ่องกงกำลังต่อสู้กับจีนเพื่อค่านิยมร่วมกันของสหรัฐฯ เรากำลังต่อสู้ในสงครามของพวกเขาในพื้นที่ของศัตรู"

ในเดือนธันวาคม 2020 Lai ได้รับรางวัล 'Freedom of Press Award' จาก Reporters Without Borders ภายหลังการก่อตั้ง Apple Daily สำนักข่าวภายใต้การนำของ Lai ที่สนับสนุนประชาธิปไตย ซึ่งกล้าวิพากษ์วิจารณ์ระบอบการปกครองของจีนอย่างเปิดเผย ทั้งยังสนับสนุนการประท้วงเพื่อประชาธิปไตยโดยครอบคลุมอย่างกว้างขวาง 

ในวันที่ 29 ธันวาคม 2020 Lai ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการและประธานคณะกรรมการของ Next Digital ในเดือนเมษายน 2021 เขาถูกตัดสินจำคุกเพิ่มอีก 14 เดือนจากการจัดชุมนุมประท้วงโดยผิดกฎหมาย Lai ถูกจำคุกในห้องขังเดี่ยวที่เรือนจำ Stanley ของฮ่องกง

ระหว่างการไต่สวนคดีความมั่นคงที่ Lai ตกเป็นจำเลย Wayland Chan (Chan Tsz-wah) นักกฎหมายซึ่งเป็นพยานในการดำเนินคดีให้การว่า Lai ได้เล่าถึงแผนการที่จะโน้มน้าวรัฐบาลต่างประเทศระหว่างการพบปะหารือกันที่บ้านพักของ Lai ในเมืองหยางหมิงซาน กรุงไทเปในเดือนมกราคม 2020 โดยขณะนั้น Jimmy Lai ได้บอกว่า "จากประสบการณ์ในอดีต เขาเชื่อว่า การล่มสลายทางการเมืองและเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากรัฐบาลจีนระดมทรัพยากรจำนวนมากเพื่อใช้ในการติดตามตรวจสอบพลเมือง" 

ขณะที่ Chan เสริมว่า "การล่มสลายดังกล่าวมีอิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศของประเทศตะวันตก ซึ่งที่สุดจะเป็นการปูทางไปสู่การนำประชาธิปไตยแบบอเมริกันมาใช้ในจีน"

นอกจากนั้น Chan ยังให้การด้วยว่า Lai ต้องการที่จะ 'ฟอกตัว' ผู้ประท้วงหัวรุนแรงในฮ่องกงปี 2019 เนื่องจากเกรงว่า จะสูญเสียการสนับสนุนจากนานาชาติ โดย Lai กังวลว่า การกระทำที่รุนแรงของบรรดาผู้ประท้วงในฮ่องกงบางคนจะทำให้ขบวนการประท้วงสูญเสียการสนับสนุนจากนานาชาติ โดยเฉพาะการสนับสนุนจากสหรัฐฯ 

ถึงตรงนี้ คงพอจะเห็นได้ว่า ‘ประชาธิปไตย’ ยังคงเป็นคำที่ถูกใช้เครื่องมือที่ชาติตะวันตกใช้ในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ ที่รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ เห็นต่าง ไม่ยอมปฏิบัติตามนโยบายและเอื้อผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจตะวันตก จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนที่มีภูมิคุ้มกันทางการเมืองน้อยและยอมเชื่อตาม ซึ่งก็มีบทเรียนที่เกิดขึ้นในประเทศตะวันออกกลางหลายประเทศให้เห็นชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสงครามกลางเมืองใน อิรัก, ลิเบีย และซีเรีย ที่ยังไม่สามารถใช้ ‘ประชาธิปไตย’ สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้กับประเทศเหล่านั้นได้จนทุกวันนี้

'จีน' สั่งกวาดล้างเหล่าอินฟลูฯ 'สร้างข่าวลือ-ปั่นคอนเทนต์ลวง' ลั่น!! โลกโซเชียลไม่อยู่เหนือกฎหมาย ทำผิด ก็มีสิทธิติดคุก

รัฐบาลมณฑลหังโจว ประเทศจีนจัดหนัก สั่งแบนอินฟลูเอ็นเซอร์สาว ดาวโซเชียลคนดัง 'สู เจียอี๋' ผู้ใช้ชื่อบัญชีในโลกออนไลน์ว่า 'Thurman Maoyibei' ที่มีผู้ติดตามถึง 40 ล้านคน แต่ตอนนี้ถูกแบนจากทุกแพลตฟอร์มโซเชียลที่เธอใช้ ทั้ง Tiktok, Weibo และ Wechat ด้วยความผิดฐาน 'สร้างความปั่นป่วนในสังคม' และมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีได้ทั้งจำและปรับ 

'สู เจียอี๋' หรือ 'Thurman Maoyibei' เป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านแฟชัน ความงาม และไลฟ์สไตล์คนดังใน Douyin หรือ Tiktok ของจีน ที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก 

แต่ราวเดือนกุมภาพันธ์ เธอได้โพสต์คลิปขณะกำลังเที่ยวในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่ามีบริกรเข้ามาทัก บอกว่าพบสมุดการบ้าน 2 เล่มที่น่าจะเป็นของเด็กจีน ลืมไว้ในห้องน้ำที่ร้าน อยากให้ตามหาเจ้าของเพราะเห็นว่าเธอเป็นคนจีนเหมือนกัน

จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นภารกิจตามหาเจ้าของการบ้านของ Thurman Maoyibei เมื่อเธอไลฟ์ผ่านโซเชียลที่มีผู้ติดตาม 40 ล้านคน ตามหา 'ชิน หลาง' ชั้น ป.1 ห้อง 8 ที่ปรากฏชื่อบนสมุดการบ้านที่ลืมไกลถึงกรุงปารีสให้มารับสมุดคืนได้ที่เธอ จนกลายเป็นไวรัลอย่างกว้างขวาง และมีผู้แอบอ้างว่าเป็นญาติ หรือ คนรู้จัก ชิน หลาง มากมายในโลกโซเชียลจีน

หลังจากผ่านไปไม่นาน มีการตรวจสอบข้อมูลจากด่านตรวจคนเข้าเมืองของจีน ย้อนไปถึงช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ก็ไม่พบว่ามีเด็กในช่วงวัยประถมที่ชื่อ ชิน หลาง เดินทางไปต่างประเทศแต่อย่างใด 

และคดีก็พลิกทันที จน สู เจียอี๋ ต้องออกมายอมรับว่าเธอกุเรื่อง ชิน หลาง ขึ้นมา เพื่อสร้างคอนเทนด์ในช่องของเธอ โดยสมุดการบ้านนี้เธอซื้อมาทางออนไลน์ และมี 'เสว่' เพื่อนร่วมทีมอีกคนเขียนบทเรื่องราวการบ้านหายในฝรั่งเศสให้ และช่วยกันปั่นให้เกิดกระแสทั้งใน Douyin และ Weibo จนมียอดแชร์นับล้านวิว

หลังความแตก สู เจียอี๋ ออกมากล่าวขอโทษสังคมผ่านทางโซเชียล ด้วยความ 'รู้เท่าไม่ถึงการณ์' แค่ต้องการเพียงสร้างกระแสให้ช่องทางออนไลน์ของเธอเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่น ซึ่งเธอสำนึกแล้ว ต้องการให้การกระทำของเธอเป็นกรณีตัวอย่าง และต่อไปเธอสัญญาว่าจะทำแต่คอนเทนด์เพื่อสร้างสรรค์สังคมคุณภาพ

แต่ไม่ทันแล้ว เพราะวันนี้รัฐบาลหังโจวได้สั่งแบนบัญชีออนไลน์ของ สู เจียอี๋ ในทุกแพลตฟอร์ม สูญเสียผู้ติดตามหลายสิบล้านในพริบตา และมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีในข้อหาสร้างความปั่นป่วนในสังคมด้วย

คดีของ สู เจียอี๋ เป็นอีกหนึ่งในหลายหมื่นคดี ที่กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้ออกมาประกาศจะกวาดล้างเหล่าบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ที่กุข่าวเท็จ ปั่นข่าวลือ เพื่อดึงกระแสให้ช่องทางออนไลน์ของตัวเอง และถือเป็นภัยสังคมอย่างหนึ่ง แม้จะไม่ใช่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็ตาม

และตั้งแต่ธันวาคม 2566 เป็นต้นมา มีการจับปรับเจ้ากรมข่าวลือที่ปล่อยข่าวเท็จในเน็ตไปแล้วมากกว่า 10,000 ราย และถูกจำคุกอีกกว่า 1,500 ราย 

รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะย้ำว่า โลกโซเชียลไม่ใช้พื้นที่ที่อยู่นอกกฏหมาย ชาวเน็ตจีนจึงควรตระหนักถึงกฏ ระเบียบ ในการใช้คำพูด หรือแสดงพฤติกรรมในโซเชียลให้จงหนัก เพราะรัฐบาลตามจับได้ และปรับจริง ติดคุกจริง แน่นอน

ส่วนชาวโซเชียล จำเป็นต้องมีสติในการเสพข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ ควรเช็กให้ชัวร์ก่อนแชร์ จะได้ไม่เจ็บใจทีหลัง

'กัมพูชา' ขอเอี่ยว!! ต้นกำเนิด 'ตุ๊กตาลาบูบู้' แรงบันดาลใจมาจาก 'กีรติมุกคา' ของเขมร

(19 เม.ย. 67) เรียกว่าเคลมทุกอย่างบนโลกนี้แล้ว! เมื่อ ‘ชาวกัมพูชา’ หรือ ‘ชาวเขมร’ ประกาศเคลม ‘ลาบูบู้’ (Labubu) อาร์ตทอยสุดฮิต คาแร็กเตอร์ปีศาจตัวจิ๋ว ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้เป็นของกัมพูชา

โดย ลาบูบู้ (Labubu) ได้รับการออกแบบจาก ‘Kasing Lung’ ศิลปินชื่อดังชาวฮ่องกง ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายในยุโรปผสมผสานกับเรื่องราวของเอลฟ์ แต่งานนี้ กัมพูชา ได้ออกมาเคลมว่าเจ้าลาบูบู้นี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากประเทศของตัวเอง

ซึ่งเทียบลาบูบู้กับ ‘กีรติมุกคา’ ของกัมพูชา โดยเป็นปีศาจที่สั่งให้กลืนกินตัวเอง หน้าสัตว์
ประหลาดดุร้ายกลืนกินมีเขี้ยวใหญ่และปากอ้า พร้อมเทียบภาพให้ดูกันชัด ๆ ว่า ใบหน้าของกีรติมุกคานั้นคล้ายกับเจ้าลาบูบู้

อีกทั้ง เมื่อไม่นานมานี้ มีมือดีแอบเข้าไปเปลี่ยนข้อมูลในวิกิพีเดียของ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’
หรือ ลิซ่า BLACKPINK ว่า เกิดจาก ‘พนมเปญ กัมพูชา’ ไม่ใช่ประเทศไทย ซึ่งขณะนี้คนไทยได้เข้าไปแก้ไขข้อมูลเรียบร้อยแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น กัมพูชา มักจะเคลมของต่าง ๆ ว่ามาจากประเทศตัวเองอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นของไทย และประเทศอื่น ๆ รวมถึงลายกระเป๋าแบรนด์ดัง อย่าง ‘LOUIS VUITION’ ก็ยังเคยถูกเคลมมาแล้วด้วย

‘โตโยต้า’ เรียกคืนรถรุ่น Prius กว่า 1.3 แสนคัน ในญี่ปุ่น หลังพบความเสี่ยง ‘ประตู’ อาจเปิดอ้าระหว่างขับขี่

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป เปิดเผยการเรียกคืนรถยนต์ไฮบริด รุ่นพรีอุส (Prius) ในญี่ปุ่น จำนวน 135,305 คัน เนื่องจากพบความเสี่ยงว่าประตูอาจเปิดอ้าออกระหว่างขับขี่

ทั้งนี้ รายงานการเรียกคืนรถยนต์ที่โตโยต้ายื่นต่อกระทรวงคมนาคมของญี่ปุ่น เมื่อวันพุธ (17 เม.ย.) ระบุว่า ปัจจุบันมีการร้องเรียน 3 กรณีที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของมือจับประตูด้านหลัง แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันพบการเกิดอุบัติเหตุ

โดยโตโยต้า เปิดเผยว่า รถรุ่นที่พบปัญหาคือรุ่นที่ผลิตระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2022 จนถึงเดือนเมษายน 2024 พร้อมเสริมว่า บริษัทจะระงับการผลิตและหยุดรับคำสั่งซื้อจากตัวแทนจำหน่ายจนกว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้

ด้านกระทรวงฯ กล่าวว่า ระดับการกันน้ำที่ไม่เพียงพออาจส่งผลให้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของประตูรถเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้หากโดนน้ำ ซึ่งอาจทำให้ประตูเปิดออกในขณะที่รถกำลังขับเคลื่อนอยู่

น้ำท่วมหนัก 'นครดูไบ' กระทบ 'ไฟฟ้า-น้ำประปา' ใช้งานไม่ได้ ด้านผู้ประสบภัยเซ็ง ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ

(19 เม.ย.67) น้ำท่วมหนักนครดูไบยังคงวิกฤติ ไฟฟ้าและน้ำประปายังใช้งานไม่ได้ ด้านผู้ประสบภัยบอกว่า ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ

สถานการณ์น้ำท่วมหนักในนครดูไบยังคงวิกฤติ อาสาสมัครนำเรือยางออกไปช่วยรับส่งประชาชนตามอาคารต่าง ๆ ซึ่งต้องเดินทางสัญจรไปบนท้องถนนที่จมอยู่ใต้น้ำ ในขณะที่ไฟฟ้าและน้ำประปายังใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาขาดแคลนอาหาร เนื่องจากปัญหาการขนส่ง ด้านผู้ประสบภัยบอกว่า ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ ขณะที่สื่อของทางการรายงานว่า ประธานาธิบดีชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด อัล นาห์ยัน สั่งให้ทางการประเมินความเสียหาย และเร่งให้การช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 

วิเคราะห์ทุนนิยมสไตล์ 'อเมริกัน' VS 'จีน' ฝ่ายหนึ่งละ ฝ่ายหนึ่งแทรกแซงกิจการชาติอื่น

เมื่อพูดถึงเรื่องของ ‘ทุนนิยม’ ผู้คนต่างก็มักจะมองไปยังโลกตะวันตกโดยเฉพาะ ‘สหรัฐอเมริกา’ โดยลืมไปว่า ‘สาธารณรัฐประชาชนจีน’ ก็มีระบบเศรษฐกิจที่มีความเป็น ‘ทุนนิยม’ เฉกเช่นเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่มีระบอบการปกครองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือ ‘คอมมิวนิสต์’ กับ ‘ประชาธิปไตย’ 

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับสองตามติดสหรัฐอเมริกาชนิดหายใจรดต้นคอได้ก็ด้วยเพราะ ระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นับตั้งแต่ท่านเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำจีนในยุค 1980 ได้นำหลักการตามแนวคิด ‘ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี’ มาใช้ขับเคลื่อนประเทศ

ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นี้เองที่ทำให้จีนใช้เวลาเพียงไม่ถึง 40 ปี ในการเปลี่ยนแปลงประเทศจากความล้าหลังมากมาย จนกลายเป็นความล้ำสุด ๆ และที่สำคัญที่สุดคือ ‘กลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมของโลก’ ได้เกือบทุกชนิดในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ โดยมี ‘สหรัฐอเมริกา’ ประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจอันดับหนึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด

ทั้งนี้ หากนำความหมายของคำว่า ‘ทุนนิยม’ (Capitalism) อันเป็นระบบเศรษฐกิจซึ่งนายจ้างเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิต ควบคุมการค้า อุตสาหกรรม และวิถีการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรในเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี จะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้...

(1) เอกชนสามารถถือครองทรัพย์สินได้มากเท่าที่จะหามาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 
(2) การแข่งขันเสรี ซึ่งจะทำให้ผู้ขายเสนอราคาที่เหมาะสมที่สุดด้วยศักยภาพการผลิตที่ดีที่สุด 
(3) ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ซึ่งอนุญาตให้เอกชนสามารถลงทุนในการผลิตหรือใช้จ่ายเงินเพื่อหาซื้อสินค้าและบริการได้ตามความสามารถและความต้องการ โดยไม่มีกฎระเบียบหรือข้อบังคับจากรัฐบาล ด้วยเชื่อว่าที่สุดแล้วจะทำให้ราคาของสินค้าและบริการอยู่ในจุดสมดุลที่ผู้ซื้อและผู้ผลิตเห็นตรงกันว่าราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสม 
(4) มีความอิสระในการบริหาร โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล 

ด้วยบริบทดังกล่าวนี้ที่ว่ามานี้ ทำให้ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของจีนและสหรัฐอเมริกา จึงไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดเลย

นับตั้งแต่จีนปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปตามแนวทาง ‘ทุนนิยม’ ระบบเศรษฐกิจของทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็เกื้อหนุนกันมาโดยตลอด ระบบเศรษฐกิจของจีนโดยรวมก็เติบโตและมีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐฯ เองบรรดาผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีนต่างก็ได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องเช่นกัน 

ทว่า ก็มีความแตกต่างจากประโยชน์ของสองประเทศที่ได้รับ อาทิ จีนเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจโดยภาพรวมกับประชาชนทุกระดับชั้น ในขณะที่สหรัฐฯ กลับอยู่กับเพียงคนกลุ่มเดียว (ผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีน) ในขณะที่ประชาชนชาวอเมริกันได้ประโยชน์เพียงการได้บริโภคสินค้าราคาถูกจากจีน 

อย่างไรก็ตาม ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของสองประเทศนี้ต่างก็สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชาวโลก 

ถึงกระนั้น หากดูหากภูมิหลัง ความต่อเนื่อง และบริบท ฯลฯ จะพบบทบาทและลักษณะที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจของโลกที่มีความแตกต่างกันจากทั้งสองประเทศ ดังนี้...

ความเป็น ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ มีมาต่อเนื่องยาวนานกว่าร้อยปี จึงมีพัฒนาการและการแผ่ขยายและแพร่กระจายที่เห็นได้ชัดเจนกว่า โดยสหรัฐฯ ตั้งอยู่บนทวีปอเมริกาเหนือและเชื่อมต่อกับทวีปอเมริกาใต้ การขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินจึงทำได้เพียงสองประเทศ 

ในขณะที่จีนตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและประชากรมากที่สุด ทั้งยังสามารถขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินได้จนถึงทวีปยุโรปซึ่งอยู่ติดกัน อันเป็นที่มาของนโยบาย ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative (BRI) หรือ One Belt One Road (OBOR))’ เพื่อเชื่อมจีนกับสังคมโลกด้วยระบบเศรษฐกิจเครือข่าย

กลับกัน สหรัฐฯ ซึ่งหากจะเชื่อมต่อกับทวีปอื่น ๆ จำเป็นต้องใช้การขนส่งทางน้ำและทางอากาศ สหรัฐฯ จึงยังคงใช้นโยบาย ‘เรือปืน’ (Gunboat Diplomacy) ด้วยการมีฐานทัพทางทหารอยู่ทั่วโลกกว่า 800 แห่ง มีกำลังทางเรือและกำลังทางอากาศที่สามารถปฏิบัติการได้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง 

ดังนั้น หากมองพัฒนาการ ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ ที่มีความต่อเนื่องยาวนานกอปรกับนโยบาย ‘เรือปืน’ ปฏิสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ทั่วโลก จึงมีความเป็นระบบมากกว่า และดำเนินการโดยบริษัทการค้าข้ามชาติของสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ และได้รับการสนับสนุนด้านนโยบายที่เอื้อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ จากรัฐบาลอเมริกัน 

จากนั้น บริษัทอเมริกันต่าง ๆ จึงสามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศได้อย่างสะดวกสบายโดยมีรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหลังพิง (Back-up) ตราบใดที่ยังคงเสียภาษีให้กับรัฐอย่างถูกต้อง ไม่ทำผิดกฎหมายสหรัฐฯ (และให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ของอเมริกันทั้งสองพรรค) 

ทั้งนี้ หากมองปฏิสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นไปในระดับบนหรือระดับชาติเป็นส่วนใหญ่นั้น เพราะสหรัฐฯ เองเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่มากเกือบเท่ากับจีน แต่กลับมีประชากรเพียงหนึ่งในสี่ของประชากรจีน ประกอบด้วยรัฐต่าง ๆ จึงแทบจะไม่เห็น พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวอเมริกันมาประกอบธุรกิจขนาดเล็กในประเทศต่าง ๆ 

ขณะที่จีน ซึ่งมีพลเมืองกว่า 1.4 พันล้านคน จะพบว่ามีพ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีนออกมาประกอบธุรกิจมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยของเรา

ฉะนั้น ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีน จะออกมาประกอบธุรกิจการค้าในต่างแดน โดยไม่มีรัฐบาลจีนเป็นหลังพิง (Back-up) เหมือนกับบรรดาบริษัทอเมริกันทั้งหลาย จึงต้องทำตามกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติของตามแต่ละประเทศนั้น ๆ 

แน่นอนว่า ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดในการปฏิบัติ ก็จะไม่มีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายของคนเหล่านั้น แต่กลับกันในประเทศที่ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายหย่อนยาน ไม่เคร่งครัด ในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ละโมบ โลภมาก ก็จะมีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น ดังเช่นเรื่อง 'จีนเทา' ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ซึ่งต้องยอมรับว่า เกิดจากความหย่อนยานในการปฏิบัติ ความละโมบโลภมาก เห็นแก่อามิสสินจ้าง ความเกรงกลัวต่ออิทธิพลของผู้มีอำนาจ ฯลฯ ของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเหล่านั้น 

อันที่จริงเรื่องของการกระทำผิดกฎหมาย อาชญากรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม หากเราทราบเรื่อง มีเบาะแส เกี่ยวกับความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นทั้งหลายทั้งปวง ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการทันที 

...และหากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพิกเฉยละเลย ในปัจจุบันก็มีช่องทางมากมายในการติดตามหรือเร่งรัด ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัด, กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.), คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องของรัฐสภา, สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลปกครอง เป็นต้น

สำหรับบ้านเราแล้ว ปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ จีน สามารถจัดการแก้ไขได้ง่ายกว่าปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ อเมริกัน เพราะในเรื่องของการทำผิดกฎหมายแล้ว รัฐบาลจีนจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวแทรกแซงกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวจีนหรือบริษัทไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมาย ถ้ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรม 

หากแต่ถ้าเป็นประเทศตะวันตกอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาแล้ว รัฐบาลอเมริกันพร้อมที่จะเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวอเมริกันหรือบริษัทอเมริกันไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมายในเรื่องของเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ไม่ว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรมหรือไม่ก็ตาม 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top