Sunday, 5 May 2024
WORLD

สื่อนอกตีข่าว 'ลูกค้าเทสลา' สะพัด!! บริษัทฯ ซุ่มระงับส่งมอบ 'ไซเบอร์ทรัก' คาดพบข้อบกพร่อง-เหตุขัดข้องต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีข่าวแพร่สะพัดว่า เทสลาระงับการส่งมอบ 'ไซเบอร์ทรัก' ทั้งหมดในสหรัฐฯ หลังบรรดาผู้บริโภคส่งเสียงคร่ำครวญพบข้อบกพร่องที่อาจนำมาซึ่งการเสียชีวิต เกี่ยวกับแป้นเหยียบคันเร่งของรถกระบะไฟฟ้ารุ่นนี้

สื่อมวลชนอย่างนิวยอร์กโพสต์ และเดลิเมล เปิดเผยว่า มีข่าวปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์หลายแห่ง ในนั้นรวมถึงตามกระดานสนทนาของบรรดาเจ้าของไซเบอร์ทรัก ระบุว่า พวกลูกค้าของรถกระบะไฟฟ้าของเทสลา ได้รับข้อความจากบรรดาตัวแทนจำหน่าย แจ้งให้พวกเขาทราบว่าขอยกเลิกหมายนัดการส่งมอบไปก่อน

ในรายงานระบุว่า ลูกค้าหลายคนได้รับแจ้งว่า การส่งมอบรถไซเบอร์ทรักจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะผ่านพ้นวันที่ 20 เมษายน สืบเนื่องจากการเคลื่อนที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ตามรายงานของเดลิเมล 

"ผมขอให้พวกเขาให้เหตุผลอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อความกระจ่าง แต่ถูกเพิกเฉย" ผู้ใช้รายหนึ่งในกระดานสนทนาคลับพวกเจ้าของรถไซเบอร์ทรัก เขียนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

ผู้ใช้คนอื่น ๆ คาดการณ์ว่ามันน่าจะเป็น 'ประเด็นเดียวกับคันเร่ง' หลังพวกเจ้าของไซเบอร์ทรักรายอื่น ๆ บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์และติ๊กต็อกบ่งชี้ว่ามันมี "ข้อบกพร่องด้านการออกแบบอย่างร้ายแรง ที่พวกเจ้าของทุกคนจำเป็นต้องตรวจสอบเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมันก่อให้เกิดการเร่งเครื่องโดยไม่เจตนา สืบเนื่องจากแป้นคันเร่งที่ออกแบบมาราคาถูก"

ในติ๊กต็อกผู้ใช้นามว่า el.chepito1985 เจ้าของรถไซเบอร์ทรัก อ้างว่าแผ่นรองคันเร่งเลื่อนหลุดไปข้างหน้า กดให้คันเร่งจมไปกับพื้นและทำให้รถกระบะของเทสลาพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด

จากนั้นในโพสต์ต่อมา ผู้ใช้นามว่า Garage Klub ระบุว่าเหตุการณ์ที่รถไซเบอร์ทรักคันหนึ่งพุ่งเข้าชนป้ายของโรงแรมเบฟเวอร์ลี ฮิลล์ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม น่าเชื่อว่าอุบัติเหตุดังกล่าวมีต้นตอจากปัญหาแป้นคันเร่งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตำรวจยังไม่สรุปว่าอะไรคือต้นตอของอุบัติเหตุคราวนั้น

กระแสเสียงคร่ำครวญที่บรรดาพวกผู้เป็นเจ้าของไซเบอร์ทรัก บอกเล่าเรื่องราวเหตุขัดข้องต่าง ๆ ที่พวกเขาประสบพบเจอกับรถกระบะไฟฟ้ารุ่นนี้ มีขึ้นไม่นานหลังจากไซเบอร์ทรัก ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ เริ่มวิ่งอวดโฉมบนท้องถนนเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

ตัวแทนของเทสลายังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ หลังนิวยอร์กโพสต์ติดต่อสอบถามขอความคิดเห็น

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เทสลาเพิ่งแถลงปรับลดพนักงานลงมากกว่า 10% จากที่มีอยู่ทั่วโลกราว 140,000 คน โดย อีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา บอกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากของบริษัท ในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ ท่ามกลางสงครามราคาอันหนักหน่วงสำหรับรถอีวี

HUAWEI Pura 70 Ultra ขายหมดเกลี้ยงใน 1 นาที ส่งสัญญาณยอดขาย iPhone ทรุดกว่าเดิมในจีน

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 67) HUAWEI เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในตระกูล HUAWEI Pura 70 ที่รีแบรนด์มาจาก P-series เดิม รวม 4 รุ่น ประกอบด้วย HUAWEI Pura 70, Pura 70 Pro, Pura 70 Pro+ และตัวท็อป Pura 70 Ultra ซึ่งได้กลายมาเป็นที่จับตามองของสื่อต่างประเทศทันที ด้วยความที่มือถือเหล่านี้เปรียบเสมือนเป็น ‘ตัวแทน’ ของจีน ท่ามกลางสงครามการค้ากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น ความก้าวหน้าในการพัฒนาชิปเซตของจีน และการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในจีนที่เป็นสมรภูมิสำคัญของโลก

โดยปีที่แล้ว HUAWEI ส่งสัญญาณคัมแบ็กระลอกแรก และเป็นระลอกใหญ่ โดยการเปิดตัว HUAWEI Mate 60 Pro+ ในจีน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับถล่มทลาย สินค้าขาดตลาดทุกช่องทางทั่วประเทศอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่นาน จนทำให้ยอดขาย iPhone 15 Pro Max ลดลงทันตาเห็น และ Apple ต้องอัดโปรฯ ลดราคาสู้ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว

แต่ HUAWEI Mate 60 Pro+ ก็แฝงไปด้วยปริศนาที่ทำให้ทั้งโลกมึนงง เกี่ยวกับชิป Kirin 9000S ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีการเก็งกันว่าจีนไม่น่าจะผลิตเองได้ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่กีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงเครื่องมือที่ทันสมัยได้ จนรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเข้ามาตรวจสอบในช่วงต้นปี พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า SMIC ที่เป็นผู้ผลิตชิป อาจมีการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และจนถึงตอนนี้สถานการณ์ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ในขณะที่ HUAWEI เองก็รูดซิปปิดปากเงียบ พยายามไม่พูดถึงตัวชิปในทุกวิถีทาง และเลี่ยงการตอบคำถามกับสื่อ

นอกจากนี้ หน่วยงาน Semiconductor Industry Association (SIA) ยังตรวจเจออีกว่า HUAWEI พยายามใช้วิธีซิกแซก โดยการเข้าซื้อหุ้นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์และหน่วยความจำในจีนหลังได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาล โดยการปกปิดความเกี่ยวโยงกับบริษัทแม่ เพื่อหลบเลี่ยงการแซงก์ชันจากสหรัฐฯ โดยทางสหรัฐฯ ก็แก้เกมด้วยการเพิ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าไปในบัญชีดำ Entity List เรียบร้อย แต่ยังไม่ดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติม เพราะเกรงว่าจะทำให้สถานการณ์ทางการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจจะตึงเครียดกว่าเดิม

สำหรับ HUAWEI Pura 70 Ultra หนนี้ HUAWEI ยังคงใช้แนวทางเดิมเป๊ะ คือไม่มีการโปรโมตเรื่องชิปอีกเช่นเคย รวมถึงประเด็นเรื่องการรองรับ 5G ก็หลีกเลี่ยงโดยการไม่ระบุข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับภาคการเชื่อมต่อเซลลูลาร์เลย แม้จะมีการนำเสนอถึงจุดขายว่าตัวเครื่องรับสัญญาณมือถือได้ดีมากก็ตาม

เบื้องต้นสื่อต่างประเทศให้ข้อมูลว่า HUAWEI Pura 70 Ultra น่าจะมาพร้อมชิปตัวใหม่ ที่อาจใช้ชื่อว่า Kirin 9010 ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่ทางการสหรัฐฯ จะยื่นมือเข้ามาตรวจสอบเหมือนเดิม

แต่ไม่ว่าชิปข้างในจะเป็นอะไร ก็ดูเหมือนจะไม่ได้กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าในจีนแม้แต่น้อย เพราะล่าสุดมีรายงานว่า HUAWEI Pura 70 Ultra และ Pura 70 Pro ที่เปิดขายวันนี้เป็นวันแรก ต่างขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึง 1 นาทีตั้งแต่ช่วงสาย (ตามเวลาท้องถิ่น) ส่วน HUAWEI Pura 70 Pro+ และ Pura 70 รุ่นมาตรฐาน จะวางขายตามมาภายหลังในวันที่ 22 เมษายน 2024

มีเกร็ดน่าสนใจเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย คือ ลูกค้าที่ซื้อ HUAWEI Pura 70 จะต้องทำการแกะกล่อง เปิดเครื่อง เพื่อทำการลงทะเบียนกับทาง HUAWEI ให้เรียบร้อยตั้งแต่หน้าร้าน ทั้งนี้คาดว่า HUAWEI ต้องการป้องกันพ่อค้าที่นำเครื่องไปรีเซลขายโก่งราคาในภายหลัง

‘สนามบินฮ่องกง’ ครองแชมป์ ‘ขนส่งสินค้า’ มากสุดในโลกปี 2023 จ่อเดินหน้าขยายระบบ เพื่อรับรองสินค้า 10 ล้านตันต่อปีในอนาคต

เมื่อวานนี้ (17 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ (ACI) เปิดเผยว่า ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงทางตอนใต้ของจีนยังคงครองตำแหน่งท่าอากาศยานที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าโดยรวมมากที่สุดในโลกในปี 2023 ซึ่งถือเป็นการครองตำแหน่งดังกล่าวติดต่อกัน 13 ครั้ง เมื่อนับตั้งแต่ปี 2010

ด้าน แจ็ค โซ ประธานการท่าอากาศยานฮ่องกง กล่าวว่า การครองตำแหน่งดังกล่าวพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมและการบริการขนส่งสินค้าระดับโลกของท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง ซึ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำของท่าอากาศยานฯ ท่ามกลางสภาพการณ์อันท้าทาย

ทั้งนี้ การขนส่งสินค้าทางอากาศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของภาคโลจิสติกส์และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม โดยการท่าอากาศยานฮ่องกงจะเดินหน้าความพยายามร่วมมือกับอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศ เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการขนส่งสินค้าระดับโลก

อนึ่ง ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงกำลังขยายระบบสามรันเวย์ (Three-Runway System) เพื่อตอบสนองความต้องการในระยะยาว โดยระบบดังกล่าวที่มีกำหนดสร้างเสร็จสิ้นภายในปี 2024 จะช่วยให้ท่าอากาศยานฯ สามารถรับรองผู้โดยสาร 120 ล้านคน และสินค้า 10 ล้านตันต่อปี

‘ศาลฮ่องกง’ ตัดสินจำคุก ‘นักศึกษาฮ่องกง’ วัย 22 ฐานฟอกเงินทุนที่ช่วยผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมเมื่อปี 2019


Yu Yan-yuk นักศึกษาวิทยาลัยจีนจากฮ่องกงวัย 22 ปี ซึ่งขณะก่อเหตุนั้นอายุเพียง 17 ปี ได้ถูกตัดสินจำคุก 16 เดือน หลังถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฟอกเงินเกือบ 600,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (76,620 ดอลลาร์สหรัฐฯ) จากการใช้ Spark Alliance HK แพลตฟอร์มระดมทุนสำหรับใช้ช่วยเหลือผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบต่อต้านรัฐบาลในปี 2019 โดยศาลแขวง WANCHAI ของฮ่องกง ได้ตัดสินว่า เขาเป็นผู้จัดการเงินสดในฐานะอาสาสมัครของ Spark Alliance HK

ทั้งนี้ Spark Alliance HK แพลตฟอร์มนี้ตั้งขึ้นหลังเหตุการณ์จลาจลที่มงก๊กเมื่อปี 2016 เพื่อช่วยจับกุมหรือจำคุกนักเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาระบุว่า Yu Yan-yuk ได้ฝากเงิน 23 ครั้ง และถอนเงินจากบัญชีธนาคารของเขามากกว่า 90 ครั้ง ในช่วง 6 เดือน ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2019 ระหว่างการประท้วงต่อต้านรัฐบาล และจัดการฟอกเงินประมาณ 585,000 ดอลลาร์ฮ่องกง จากแพลตฟอร์ม Spark Alliance HK

“ระยะเวลาการฟอกเงินและจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องค่อนข้างน้อยและระยะเวลาค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับคดีที่คล้ายกัน และไม่มีองค์ประกอบของการฟอกเงินข้ามแดน” ผู้พิพากษากล่าว

ผู้พิพากษากล่าวเสริมอีกว่า “ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่า เงินสดที่ถูกฟอกนั้นเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางอาญา หรือ Yu Yan-yuk จัดการเงินนั้นแม้จะรู้ว่าเกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญา แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยบรรเทาโทษได้ และจำเลยไม่เพียงแต่ให้บัญชีของเขาแก่ผู้อื่นเท่านั้น แต่เขาเป็นผู้ดำเนินการบัญชีแต่เพียงผู้เดียว เขาไม่เชื่อว่าคำกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่าเงินดังกล่าวเป็นการบริจาคให้กับ Spark Alliance HK เพื่อใช้ในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เนื่องจากองค์กรมีบัญชีธนาคารเอง และจะไม่ใช้บัญชีของอาสาสมัคร” 


Yu Yan-yuk ซึ่งขณะนั้นอายุ 17 ปี เป็น 1 ใน 4 คนที่ถูกจับกุมเมื่อเดือนธันวาคม 2019 ด้วยหลักฐานที่มีความเกี่ยวข้องกับการสอบสวนกลุ่มไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) เขาไม่ยอมรับผิดฐานฟอกเงิน แต่ถูกตัดสินว่ามีความผิดตามคำพิพากษาของศาลแขวงเมื่อเดือนที่แล้ว Fiona Nam Hoi-yan ทนายจำเลยแถลงในศาลเพื่อขอให้บรรเทาโทษว่า Yu Yan-yuk เชื่อว่าเงินดังกล่าวมาจากแหล่งที่ถูกกฎหมาย และขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษเขาในสถานกักกันเป็นการชั่วคราว เพราะขณะก่ออาชญากรรมเขาอายุเพียง 17 ปี

ทางด้านทนายจำเลยได้เสนอให้กักขังเขาในศูนย์กักกันสำหรับผู้กระทำผิดชายที่มีอายุตั้งแต่ 14-24 ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากการจำคุกในเรือนจำ โดยศูนย์กักกันเน้นที่การใช้แรงงานและวินัยเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำความผิดที่เป็นเยาวชนก่ออาชญากรรมอีก 

สำหรับผู้กระทำผิดที่มีอายุระหว่าง 21-24 ปี ระยะเวลาการควบคุมตัวในศูนย์กักกันคือตั้งแต่ 3 เดือนถึง 12 เดือน โดยจะมีการคุมประพฤติอีก 1 ปี หลังจากได้รับการปล่อยตัว โดยมีข้อจำกัด เช่น การถูกกำหนดเวลาเคอร์ฟิว 

“พ่อแม่และแฟนสาวของจำเลยอธิบายว่า เขาเป็นคนเรียบง่าย ชอบช่วยเหลือ และมีความกระตือรือร้น” ทนายจำเลยกล่าวและยังชี้อีกว่า ขณะก่อเหตุอายุของจำเลยในขณะนั้นเพียง 17 ปี และเขาได้เรียนรู้บทเรียนจากประสบการณ์ดังกล่าวแล้ว “เขาได้ไตร่ตรองการกระทำของเขาอย่างลึกซึ้ง และกล่าวว่า หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่กระทำเช่นนี้อีก” ทนายจำเลยกล่าวเสริม “จำเลยยังกล่าวอีกว่าเขาเสียใจที่ทำให้คนที่เขารักกังวล และเข้าใจถึงความรุนแรงของอาชญากรรมของเขา เมื่อเขาพลาดงานศพของคุณยายขณะถูกคุมขัง”

แต่ผู้พิพากษาปฏิเสธข้อเสนอแนะให้กักขังในศูนย์กักกัน และตัดสินว่า ลักษณะของข้อกล่าวหาและความร้ายแรงของพฤติการณ์นั้นมีความร้ายแรง แต่ได้ลดโทษในการตัดสินโทษจาก 18 เดือนเหลือ 16 เดือน เนื่องจาก Yu Yan-yuk มีผลการสอบที่ยอดเยี่ยมเมื่อเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อีกครั้ง และได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของจีน แม้ว่าจะถูกกดดันอย่างมากนับตั้งแต่เขาถูกจับกุมในปี 2019

‘ตลาดแรงงานมาเลฯ’ ให้ความสำคัญทักษะด้านภาษา มากกว่าใบปริญญา ยิ่งสื่อสาร ‘จีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น-อารบิก’ ได้ดี ยิ่งมีโอกาสหางานได้มากกว่า

ตลาดแรงงานมาเลฯ เริ่มมองหา ‘คนทำงานรุ่นใหม่’ ที่มีทักษะ ขยันเรียนรู้ มากกว่าใบเกรด และหากยิ่งรู้ภาษาจีน ก็ยิ่งได้เปรียบ

สมัยก่อน อาจจะกล่าวได้ว่า มีใบปริญญา สามารถการันตีโอกาสในการหางานที่ดีกว่าได้ ยิ่งเป็นใบปริญญาจากสถาบันที่มีชื่อเสียง ก็ยิ่งมีโอกาสมากกว่าคนอื่น 

แต่ในยุคสมัยใหม่ที่กระแสค่านิยมและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก จนความรู้เชิงวิชาการเพียงอย่างเดียว ดูจะไม่เพียงพอเสียแล้ว เมื่อนายจ้างเริ่มพิจารณาคนทำงานที่มีคุณสมบัติอื่น ๆ มากกว่า โดยเฉพาะ ทักษะประสบการณ์ทำงานจริง, ความรู้เรื่องวัฒนธรรม รวมถึงจรรยาบรรณในการทำงาน 

วิค สิทธสนาน ผู้อำนวยการของ Jobstreet by Seek Malaysia แสดงความเห็นว่า การพัฒนาด้านอาชีพกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยได้ยกรายงานจาก Hiring Compensation and Benefits Report for 2024 ซึ่งบ่งชี้ว่ามีนายจ้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เน้นคัดเลือกบุคลากรที่เคยผ่านการฝึกอบรมวิชาชีพ หรือ หลักสูตรที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ตามทักษะที่นายจ้างต้องการ มากกว่าใบปริญญาแล้ว 

แม้การพิจารณาคัดเลือกพนักงานจากวุฒิการศึกษายังคงมีอยู่ แต่ก็จะถูกลดความสำคัญลงไป เมื่อนายจ้างยุคใหม่ต้องการคนที่ผ่านการฝึกอบรมเฉพาะทางที่ตรงกับสายงานมากกว่า และจำเป็นต้องนำมาใช้งานได้จริงด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้บริหารเว็บไซท์ที่ให้บริการรับสมัคร, จัดหางานอันดับ 1 ในมาเลเซีย ยังเน้นอีกว่า ‘ภาษาอังกฤษ’ มีความสำคัญ แต่ยังไม่พอ 

เนื่องจากมาเลเซียมีเศรษฐกิจที่ผูกพันกับทางจีนอย่างมาก ความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถในการสื่อสารภาษาจีนจึงพุ่งสูงขึ้นในตลาดแรงงานมาเลเซีย โดยเฉพาะในตำแหน่งผู้บริหารระดับกลาง ที่หลายบริษัทระบุเลยว่าต้องการผู้ที่พูดภาษาจีน หรือสามารถพูดได้หลายภาษา

ความเห็นของผู้บริหาร Jobstreet สอดคล้องกับ ดาตุ๊ก ดร.ซาอีด ฮัซเซน ซาอีด ฮัสมาน ประธานสหพันธ์นายจ้างมาเลเซีย ที่ได้กล่าวว่า ปัจจุบัน นายจ้างสนใจผู้สมัครที่จบวุฒิสายอาชีพ (TVET) มากกว่า เพราะมีทักษะหลายอย่างที่สามารถนำมาประยุกต์ในการทำงานจริงได้โดยตรง โดยนายจ้างก็มีแนวโน้มประเมินผู้สมัครแบบองค์รวมมากขึ้น

และถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษยังอยู่ในห้าอันดับแรกของทักษะที่เป็นที่ต้องการ แต่ ดร.ซาอีด ฮัซเซนเห็นเช่นเดียวกับ วิค สิทธสนาน ว่าทักษะภาษาจีนกลางเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน 

ซึ่งนอกจากภาษาจีนแล้ว ผู้ที่เชี่ยวชาญทักษะภาษาอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี และ อารบิก ก็เป็นที่ต้องการสูงเช่นกัน ทั้งนี้เพราะมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศศูนย์กลางการลงทุนของบริษัทข้ามชาติ จึงมองหาบุคลากรที่สามารถสื่อสารได้หลายภาษา นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ 

จึงสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะมี ‘ความรู้’ แบบใดมาจากระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม แต่สิ่งที่เจ้าของกิจการมองหาคือ ‘ทักษะ’ ที่หมายถึง ‘ความสามารถ’ ในการใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ด้านงานช่าง งานเทคนิค ฯลฯ รวมถึงเข้าใจในการทำงานในวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายด้วย ซึ่งทักษะเหล่านี้ ไม่อาจพิจารณาจากใบปริญญาได้ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองที่หน้างานเท่านั้น 

“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง 
ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย 
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

แค่ปริญญา ไม่พอจริง ๆ”

กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา เผยตัวเลขนักท่องเที่ยว 21.70 ล้านคน ส่วนใหญ่งงตัวเลข เนื่องจากมากกว่าประชากร 17 ล้านคน

(18 เม.ย. 67) เพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' เผย กัมพูชา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา ได้เปิดเผยตัวเลขนักท่องเที่ยว ช่วงเทศกาลปีใหม่เขมร 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-16 เมษายน 2567 ว่า...

ตัวเลขนักท่องเที่ยว 21.70 ล้านคน
นักท่องเที่ยวต่างชาติ 110,000 คน

🌊เมือง-จังหวัดยอดนิยม 5 อันดับแรก 

1.จังหวัดกำปงจาม 
 *นักท่องเที่ยว 5,349,297 คน
 *นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 514 คน

2.จังหวัดเปรยแวง  
* นักท่องเที่ยว 229,867 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 คน

3.จังหวัดกำปงสปือ 
* นักท่องเที่ยว 2,102,247 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,668 คน

4.จังหวัดพระตะบอง 
* นักท่องเที่ยว 1,731,432 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 3,197 คน

5.จังหวัดกำปอต
* นักท่องเที่ยว 1,400,375 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 3,122 คน

🌊:จากความเห็นในสื่อออนไลน์  ส่วนใหญ่ยังงงตัวเลข เนื่องจากตัวเลขมากกว่าประชากร 17 ล้านคน  และบางคนบอกทำงานไม่ได้ไปเล่น   

🌊*หากยึดหลักการปี 2022-2023  
นักท่องเที่ยว 1 คนสามารถไปหลายจังหวัดจะถูกนับ 1 ทันที ที่ผ่านเขตจังหวัด

จากภาพกัมพูชาเริ่มใช้คำว่า 
Sangkrant :  สังกรานต์
Maha Sangkrant : มหา สังกรานต์

ไม่รอด!! ’Google‘ ไล่ออก 28 พนักงาน บุกเข้ายึดห้องของ CEO หลังข่มขู่ให้บริษัทหยุดทำธุรกิจกับ 'รัฐบาลอิสราเอล'

(18 เม.ย. 67) กูเกิล (Google) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบท อิงค์ (Alphabet Inc) สั่งปลดพนักงาน 28 คน หลังจากพนักงานเหล่านั้นเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านโปรเจกต์ นิมบัส (Project Nimbus) ซึ่งเป็นโครงการมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ ที่กูเกิลร่วมมือกับบริษัทอะเมซอนดอตคอม อิงค์ (Amazon.com Inc) เพื่อให้บริการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบคลาวด์แก่รัฐบาลอิสราเอล

ทั้งนี้ การประท้วงดังกล่าวซึ่งนำโดยองค์กรโน เทค ฟอร์ อะพาไทด์ (No Tech for Apartheid) เกิดขึ้นเมื่อวันอังคาร (16 เม.ย.) ทั่วสำนักงานของกูเกิลในนิวยอร์ก ซิตี, ซีแอตเทิล และซันนีเวล แคลิฟอร์เนีย โดยกลุ่มผู้ประท้วงในนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนียจัดการชุมนุมกว่า 10 ชั่วโมง รวมถึงมีการบันทึกภาพและถ่ายทอดสดผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิงทวิตช์ (Twitch) โดยผู้ประท้วงถูกจับกุม 9 รายในข้อหาบุกรุกในช่วงเย็นของวันอังคาร

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า พนักงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประท้วง รวมถึงผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการประท้วงโดยตรง ได้รับอีเมลจากกลุ่มแรงงานสัมพันธ์ของบริษัทที่แจ้งให้พวกเขาพักงาน

กูเกิลได้แจ้งในอีเมลถึงบรรดาพนักงานที่ได้รับผลกระทบว่า บริษัทจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยจะเปิดเผยข้อมูลตามความจำเป็นเท่านั้น

ด้านแถลงการณ์จากพนักงานของกูเกิลในองค์กรโน เทค ฟอร์ อะพาไทด์ระบุว่า ในช่วงเย็นวันพุธ (17 เม.ย.) พวกเขาได้รับแจ้งจากกูเกิลว่าถูกไล่ออกจากบริษัทแล้ว

ทั้งนี้ กูเกิลได้ให้การสนับสนุนวัฒนธรรมการอภิปรายแบบเปิดกว้างมาโดยตลอด แต่การเคลื่อนไหวของพนักงานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ทดสอบความมุ่งมั่นดังกล่าว โดยพนักงานของกูเกิลที่จัดการประท้วงหยุดงานในปี 2561 เพื่อต่อต้านแนวทางของบริษัทในการจัดการกับข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศได้เปิดเผยว่า กูเกิลได้ทำการลงโทษพวกเขาสำหรับความเคลื่อนไหวดังกล่าว

วิกฤต Gen Z จีน 'หางานยาก-งานรายได้ต่ำ-มีไม่กี่คนที่จะได้งาน' สุดท้ายหันมาใช้ชีวิตแบบ 'ถ่างผิง' เรียบง่าย ไร้ความทะเยอทะยาน

Gen Z หรือ Generation Z หมายถึงเด็กที่เกิดในช่วงปลายทศวรรษ 1990 จนถึงกลางทศวรรษ 2010 ดูจากอายุอานามแล้ว เป็นคนรุ่นที่กำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทในองค์กรต่าง ๆ

ทว่า ปัจจุบัน Gen Z ในจีน ได้พากันหันหลังให้กับชีวิตในบริษัทใหญ่ ๆ เหมือนคนรุ่นพ่อแม่ และปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่สนใจอาชีพการงานที่มั่นคง ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ผันผวนอย่างหนัก

ปัจจุบัน จีนมี Gen Z ราว 280 ล้านคน ผลการสำรวจทัศนคติของ Gen Z เมื่อเทียบกับคนในช่วงอายุอื่นพบว่า Gen Z ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ ‘มองโลกแง่ร้ายมากที่สุด’

มหกรรมการหางานครั้งล่าสุดในกรุงปักกิ่งตอกย้ำสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เพราะตำแหน่งที่เปิดรับมีแต่งานที่ใช้ทักษะต่ำ เช่น การเป็นผู้ช่วยขายประกัน หรือไม่ก็ผู้ช่วยขายอุปกรณ์ทางการแพทย์

หากพูดถึงเงินเดือนคาดหวังในมหกรรมการหางานดังกล่าวแล้ว ค่าเฉลี่ยสำหรับพนักงานใหม่ได้ปรับลดลงใน 38 เมืองสำคัญ ถือว่าเป็นการปรับลดครั้งที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016

หนุ่มปริญญาโทวัย 25 ที่เรียนจบสาขาวิศวกรรมซอฟท์แวร์จากเยอรมนีคนหนึ่งเชื่อว่า ผู้ที่มีความสามารถจริง ๆ จะต้องหางานได้ เขาเชื่อว่า ‘อนาคตของโลกอยู่ที่จีน’

แต่พอกลับมาถึงจีนจริง ๆ เขาเริ่มไม่มั่นใจเมื่อเจอบรรยากาศเศรษฐกิจบ้านเกิดแม้ทักษะ และองค์ความรู้ที่เขามีจะเป็นที่ต้องการอย่างมาก แต่ในความเป็นจริง มีคนที่จบจากยุโรป และเรียนมาในสาขาเดียวกันจำนวนมาก

‘งานจึงไม่ได้หาง่ายอย่างที่คิด’ เขากล่าว

เพื่อนหลายคนของเขา จึงตั้งเป้าไปที่งานราชการแทน หลังมองว่างานบริษัทเอกชนนั้น ‘อนาคตมืดมน’ ทำให้ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หนุ่มสาวชาวจีนเข้าสมัครสอบคัดเลือกรับราชการมากเป็นประวัติการณ์ คือสูงกว่า 3 ล้านคน

เขากล่าวว่า “เด็กนับล้านต่างมองหางานแน่นอน มีไม่กี่คนที่จะได้งาน และคนโชคดีที่ได้งาน ก็เป็นงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับสาขาที่จบ”

หญิงสาวชาวจีนอีกคนที่จบจากมหาวิทยาลัยในประเทศ มีความมุ่งมั่นกับการหางาน และหาอะไรทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้งานที่ต้องการ เช่น การเป็นไกด์นำเที่ยวในอุทยานแพนด้า นครเฉิงตู หรือเป็นพนักงานขายเครื่องดื่ม และฝึกงานในโรงเรียนอนุบาลก็เคยมาแล้ว

“งานพวกนี้ไม่ค่อยมีอนาคตนัก” เธอกล่าว “งานทักษะต่ำ แน่นอนเงินเดือนย่อมต่ำ ที่สำคัญถูกแทนที่ง่ายมากหากคุณหยุดงานแค่ครึ่งวัน รุ่งขึ้นก็จะมีคนใหม่มาทำแทน เมื่อเป็นแบบนี้ เด็กส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะกลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่ หรือที่เรียกว่าประกอบอาชีพลูกเต็มเวลา”

ปัจจุบัน เธอเป็นพนักงานขายหนังสือและอุปกรณ์การศึกษา แม้จะไม่ใช่งานในฝัน แต่เธอมองว่ายังดีกว่าไม่มีอะไรทำ และคิดในแง่บวกว่าเป็นการสั่งสมประสบการณ์

ในทางกลับกัน ครอบครัวของเธอเป็นกังวลมาก เนื่องจากเธอเป็นลูกหลานคนแรกของครอบครัวที่จบมหาวิทยาลัย พ่อของเธอภูมิใจมากถึงขนาดจัดเลี้ยงโต๊ะจีนกว่า 30 โต๊ะในวันรับปริญญา

“พ่อแม่คาดหวังว่าหลังจากที่พวกเขาส่งเสียฉันเรียนหนังสือ อย่างน้อยฉันจะหางานได้ พวกเขาคาดหวังให้ฉันมีชีวิตที่ดี แต่ฉันยืนยันว่าจะเดินไปตามทางของตัวเอง และในความเร็วที่ฉันกำหนดเอง”

เธอตั้งเป้าหมาย ว่าต้องไปให้ไกลกว่านี้ และหวังว่าวันหนึ่งจะไปเรียนภาษาอังกฤษที่ออสเตรเลีย เธอเชื่อว่าช่วงชีวิต Gen Z แบบเธอง่ายกว่าคนรุ่นพ่อแม่มาก เพราะตอนนั้น จีนจนกว่านี้มาก ความฝันต่าง ๆ ก็ดูห่างไกลจากความเป็นจริงแบบฟ้ากับเหว

“ยังมีเวลาอีกมากสำหรับพวกเราเพื่อไปถึงจุดหมาย เราไม่ได้สนใจหรือทุ่มชีวิตไปกับการหาเงินเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อน เรามองไปที่วิธีการที่จะทำให้ฝันเป็นจริงยังไงมากกว่า”

เช่นเดียวกับหญิงสาวอีกคนที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยในประเทศมาหมาด ๆ เธอตั้งเป้าจะทำงานในบริษัทแฟชั่นยักษ์ใหญ่ แต่หลังจากได้เข้าไปสัมผัสการทำงานจริงราว ๆ 2 ปี ความกดดัน และความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับหัวหน้างาน ทำให้เธอตัดสินใจลาออก และหันมาประกอบอาชีพ ‘ช่างสัก’

เธอและเพื่อนชาว Gen Z นับล้านคนกำลังรู้สึกไม่พอใจกับโอกาสในการทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ Gen Z ในจีนจึงพากันหันมาใช้ชีวิตแบบ ‘นอนราบ’ หรือ Lying Flat (ภาษาจีนเรียกว่า ‘ถ่างผิง’) ซึ่งหมายถึง การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไร้ความทะเยอทะยาน ทำงานเท่าที่จำเป็น และเอาเวลาว่างไปทำกิจกรรมที่ตนสนใจ

ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลจีนพยายามผลักดันตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ให้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิด COVID-19

อย่างไรก็ตาม การสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 2023 พบว่า อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวทั่วประเทศเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่เกือบ 22%

สอดคล้องกับข้อมูลจากสถาบันอุดมศึกษาที่ชี้ว่า ผู้ที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ยอมทำงานที่ต่ำกว่าวุฒิ เพื่อให้มีรายได้ประทังชีวิตไปวันวัน

สาวช่างสักบอกว่า ตอนนี้เธอมีความสุขมาก และเชื่อว่า การเดินออกมาจากบริษัทใหญ่ ไม่เพียงหลีกหนี ‘แรงกดดันที่ไม่จบ’ เท่านั้น แต่ยังเป็นการค้นพบตัวเองที่คุ้มค่ามาก

เมื่อปีที่แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ในเชิงกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ ‘กินของขม’ ซึ่งเป็นวลีภาษาจีนที่ใช้อธิบายความหมายของ ‘ความอดทนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก’

ทั้งนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ออกมากระตุ้นเป็นระยะ ให้เด็กจบใหม่เลิกคิดว่าพวกเขาดีเกินกว่าจะใช้แรงงาน โดยบอกให้พวกเขา ‘พับแขนเสื้อขึ้น’ เพื่อไปทำงานที่ใช้แรง และให้ ‘กลืนความขมขื่น’

ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายสำหรับการกำหนดนโยบายของผู้นำจีน คือการทำให้กลุ่มคน Gen Z รู้สึกสงบลง ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าที่สุดในรอบเกือบครึ่งศตวรรษ

ขณะที่เศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัว และตลาดแรงงานยังอยู่ในภาวะที่อึดอัด Gen Z เหล่านี้ต้องรับมือกับความท้าทายมากมาย อาทิ ความไม่เท่าเทียมทางสังคม การควบคุมทางการเมืองที่เข้มงวด และแนวโน้มทางเศรษฐกิจของจีนที่ยังดูไร้ความหวัง

สยอง!! ‘หลาน’ เข็น ‘ศพลุง’ เข้าธนาคาร หวังกู้เงินแสน ตีเนียนทำท่าทีว่ายังไม่ตาย สุดท้ายถูกพนักงานจับได้ 

เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก World Forum ข่าวสารต่างประเทศ ได้โพสต์ข้อความเหตุการณ์ในบราซิล โดยระบุว่า…

หลานสาวคนหนึ่งได้เข็นศพลุงไปธนาคาร เพื่อเซ็นสินเชื่อกู้เงินในชื่อของลุง โดยเธอตบตาเจ้าหน้าที่ธนาคารในเมืองรีโอเดจาเนโร (หลานสาวชื่อเอริกา เด ซูซา วิเอรา นูเนส)

ทั้งนี้ ขณะที่คอคุณลุงพับลงและตั้งไม่ตรง แต่หลานสาวก็พยายามที่จะตั้งคอขึ้น ซึ่งเธอใช้มือจับประคองไว้ และแกล้งทำเป็นกำลังพูดคุยกับลุง และบอกเขาเซ็นเอกสารเงินกู้ต่อหน้าพนักงาน

"คุณลุง ได้ยินหรือเปล่าคะ คุณลุงต้องเซ็นเอกสารนะ หนูเซ็นไม่ได้"

"เซ็นชื่อตรงนี้ และเลิกทำให้หนูปวดหัวได้แล้ว"

นั่นคือคำที่เธอแกล้งคุยกับลุงร่างที่ไร้วิญญาณ ซึ่งเธอทำเหมือนปฏิบัติกับคนปกติ

ซึ่งพนักงานธนาคารก็พูดว่า ฉันเห็นในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ใช่สิ่งถูกกฎหมาย ลุงดูไม่ค่อยสบาย และลุงหน้าซีดมาก

ทางด้านหลานสาวเอริกา ก็ตอบกลับว่า “ลุงก็เป็นปกติแบบนี้” และพูดกับลุงว่าไม่สบายหรือเปล่า จะกลับไปโรงบาลอีกไหม

จากนั้นพนักงานธนาคารเริ่มสงสัย และบันทึกคลิปของทั้งคู่ไว้ ก่อนจะเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน

ทั้งนี้ สิ่งที่ช็อกที่สุดต่อมา หน่วยกู้ภัยยืนยันว่าเปาโล โรแบร์โต บรากา ชายวัย 68 ปี เสียชีวิตแล้ว ก่อนที่หลานสาวจะลากร่างลุงไปธนาคารด้วยรถเข็น ตำรวจจึงจับกุมเอริกา ในข้อหาหลอกลวง และเปิดเผยว่าเธอพยายามจะกู้เงิน 17,000 เรอัลบราซิล (119,090 บาท)

‘ผลโพล’ ชี้!! ‘อาเซียน’ เลือกข้าง ‘จีน’ มากกว่า ‘อเมริกา’ ยกเว้นแค่ ‘ผิน-เหงียน’ ที่ยังกังขาข้อพิพาททะเลจีนใต้

เมื่อไม่นานมานี้ ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ในชาติอาเซียนเล็งคบหาจีนมากกว่าอเมริกา ถ้าหากถึงเวลาที่จะต้องเลือกข้างกันแล้ว โดยมีเพียงบางประเทศอย่างฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม ที่รู้สึกถูกปักกิ่งคุกคามเกี่ยวกับการอ้างสิทธิในทะเลจีนใต้ ซึ่งยังปักใจกับอเมริกามากกว่า ขณะเดียวกัน ผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในทั่วโลก โดยผู้ตอบแบบสำรวจเกินครึ่งบอกว่าห่วงเรื่องการว่างงานและเศรษฐกิจถดถอย

นี่เป็นครั้งแรกที่ปักกิ่งได้คะแนนมากกว่าวอชิงตันนับจากที่เริ่มทำการสำรวจความคิดเห็นประจำปีในประเด็นนี้ในปี 2020 โดยในปีนี้จำนวนคนที่เลือกอเมริกาเหลือแค่ 49.5% ลดลงจาก 61.1% เมื่อปีที่แล้ว

การสำรวจความคิดเห็นนี้จัดทำโดยศูนย์อาเซียนศึกษา (ASEAN Studies Centre) แห่งสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา-ยูซอฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) กลุ่มคลังสมองของสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 3 มกราคมถึง 23 กุมภาพันธ์ โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจ 1,994 คน ซึ่งมาจากทั้งภาควิชาการ ธุรกิจ รัฐบาล ประชาสังคม และสื่อมวลชน ในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และประเทศที่มีผู้เข้าร่วมการสำรวจมากที่สุดคือสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย

ผลสำรวจพบว่า จีนได้คะแนนกว่า 50% ในฐานะหุ้นส่วนที่มีความเกี่ยวข้องสอดคล้องทางยุทธศาสตร์มากที่สุดสำหรับอาเซียน ขณะที่ญี่ปุ่นยังคงเป็นมหาอำนาจที่ไว้วางใจได้มากที่สุด

ทั้งนี้ จีนและอาเซียนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของกันและกันติดต่อกัน 4 ปีซ้อนแล้ว โดยในปี 2023 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการค้าถึง 911,700 ล้านดอลลาร์แล้ว

กระนั้น ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบครึ่งหนึ่งยังคงแสดงความไม่ไว้ใจจีน โดย 45.5% บอกว่า กลัวว่าปักกิ่งจะใช้อำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารคุกคามผลประโยชน์และอธิปไตยของประเทศของตน

พฤติกรรมก้าวร้าวของจีนในทะเลจีนใต้เป็นประเด็นที่น่ากังวลมากที่สุดสำหรับคนฟิลิปปินส์ (90.2%) และคนเวียดนาม (72.5%) ซึ่งเป็น 2 ประเทศแนวหน้าที่มีกรณีพิพาทด้านดินแดนกับปักกิ่งในน่านน้ำดังกล่าว

ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า การที่มะนิลาอ้างสิทธิเหนือทะเลจีนใต้เป็นบางส่วนไม่ควรถูกมองว่า เป็นการยั่วยุจีน ในทางกลับกัน ฟิลิปปินส์ต้องการทำให้สิ่งต่าง ๆ อยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ และเดินหน้าเจรจาต่อไม่ว่าในระดับใด อย่างไรก็ดี ในช่วงหลัง ๆ นี้ ฟิลิปปินส์มีนโยบายหันไปร่วมมือด้านความมั่นคงมากขึ้นอย่างชัดเจนทั้งกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาค อย่างเช่น ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

สำหรับเวียดนามก็อ้างสิทธิเหนือเกาะหลาย ๆ แห่งในทะเลจีนใต้ ทับซ้อนกับจีนเช่นเดียวกัน โดยที่ปักกิ่งคัดค้านการเรียกร้องเหล่านั้น ทั้งนี้ เวียดนามแสดงท่าทีพยายามมุ่งผูกมิตรกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน แม้ยังไม่ได้ไปถึงระดับของฟิลิปปินส์

ไม่น่าแปลกใจที่ผลสำรวจคราวนี้แสดงให้เห็นว่า อเมริกายังคงได้รับความสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ในฟิลิปปินส์ (83.3%) และเวียดนาม (79%) ซึ่งแสดงความโน้มเอียงที่ต้องการผูกพันธมิตรกับวอชิงตันมากกว่าปักกิ่ง

เคนด์ดริก ชาน แห่ง แอลเอสอี ไอเดียส์ (LSE IDEAS) กลุ่มคลังสมองด้านนโยบายการต่างประเทศของ LSE (ลอนดอน สกูล ออฟ อิโคโนมิกส์ แอนด์ โพลิทิคัล ไซนส์) แสดงความเห็นว่า ถึงแม้จีนได้รับการสนับสนุนมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อมองจากความเข้าใจความรับรู้ของสาธารณชนซึ่งให้ความนิยมชมชื่นเพิ่มขึ้น แต่ควรต้องสังเกตว่า ข้อพิพาทด้านดินแดนที่รุนแรงที่สุดของจีนก็อยู่ในภูมิภาคนี้เช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นแล้ว ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบครึ่งยังคิดว่าอาเซียนควรเพิ่มความยืดหยุ่นและความเป็นเอกภาพของตน เพื่อเป็นเครื่องปกป้องการถูกบีบคั้นจาก 2 ชาติมหาอำนาจคือ จีนและอเมริกา

ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางเศรษฐศาสตร์มหภาคในทั่วโลก ยังคงเป็นข้อกังวลในภูมิภาคนี้ โดยคนส่วนใหญ่ (57.7%) กังวลกับการว่างงานและเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในจีนอาจมีส่วนกระตุ้นความกังวลเหล่านี้

ข้อกังวลอื่น ๆ ยังรวมถึงความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาสที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว และการโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดงของกลุ่มกบฏฮูตี ซึ่งแม้เหตุการณ์เหล่านี้ถึงแม้เกิดขึ้นในภูมิภาคอื่นที่ไกลออกไปจากอาเซียน แต่ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักซึ่งอาจมีผลโดยตรงต่อราคาพลังงานและอาหารได้

ชอย ชิง กว็อก ผู้อำนวยการและซีอีโอของ ISEAS ระบุว่า ผลสำรวจปีนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า ภูมิภาคนี้มีความกังวลเพิ่มมากขึ้นในเรื่องปัญหาทางเศรษฐกิจ และในความเสี่ยงที่ว่าการเป็นปฏิปักษ์กันในทางภูมิศาสตร์รัฐศาสตร์ที่ไร้การบันยะบันยังอาจส่งผลลบต่อผลประโยชน์ของภูมิภาคในระยะสั้นจนถึงระยะกลาง

“ผลสำรวจนี้แสดงให้เห็นว่า อาเซียนยังคงมีความหวังว่าชาติมหาอำนาจสามารถร่วมมือกันได้ในประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน และยินดีต้อนรับมหาอำนาจชาติอื่น ๆ เข้ามามีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับอาเซียน”

'มาเลเซีย' เตรียมลดการอุดหนุนราคาน้ำมันเบนซินในปีนี้ หลังขาดดุลงบประมาณ 5% ของ GDP และทำมูลค่าริงกิตดิ่ง

(17 เม.ย.67) ภายหลังราคาพลังงานพุ่งแรงหลังความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านเสี่ยงลุกลามเป็นสงคราม สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้าง ราฟิซี รามลี รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจมาเลเซียว่า มาเลเซียเตรียม ‘ลดการอุดหนุน’ ราคาน้ำมันเบนซินในปีนี้ เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณ

โดย ราฟิซี รามลี กล่าวว่า รัฐบาลต้องบริหารผลกระทบจากนโยบายอุดหนุนราคาพลังงาน พร้อมกับพิจารณาความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อด้วย

สำหรับสาเหตุที่รัฐบาลหันมาลดการอุ้มราคาน้ำมัน เป็นเพราะการขาดดุลงบประมาณของประเทศพุ่งแตะ 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2566 จนกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และส่งผลให้มูลค่าสกุลเงินริงกิตของมาเลเซียใกล้แตะระดับต่ำสุดในรอบ 26 ปี ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินในเอเชียเมื่อปี 2541

รัฐบาลตั้งเป้าหมายในปีนี้ว่า จะลดภาวะขาดดุลงบประมาณจาก 5% ของจีดีพีลงเหลือ 4.3% ของจีดีพี โดยเริ่มจากลดการอุดหนุนน้ำมันเบนซิน RON95 ซึ่งเป็นประเภทเบนซินราคาถูกที่สุด และชาวมาเลเซียใช้มากที่สุดด้วย โดยในปีที่แล้วรัฐบาลใช้งบประมาณไปกับการอุดหนุนเหล่านี้มากถึง 81,000 ล้านริงกิต หรือราว 622,000 ล้านบาท 

นอกจากนี้ มาเลเซียยังเผชิญยอดส่งออกที่หดตัวลงเป็นเดือนที่สองในเดือนมี.ค. และเมื่อปลายปีที่แล้ว ยอดส่งออกประเทศก็ลดลงติดต่อกัน 10 เดือน ซึ่งสะท้อนภาวะส่งออกอ่อนแอนับตั้งแต่วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2551

‘ผู้บริโภคจีน’ เปิดหลากปัจจัยทำไม 'ทุเรียนไทย' ครองใจในตลาดจีน เหตุ ‘คุณภาพเยี่ยม-ห่วงโซ่อุปทานได้เปรียบ-ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรสองประเทศ’

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ยามฤดูเก็บเกี่ยวและจำหน่าย ‘ราชาแห่งผลไม้’ อย่างทุเรียนเวียนมาถึง ทุเรียนจากกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะทยอยเข้าสู่ตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง โดยรสชาติที่อร่อยและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ทุเรียนเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของผู้บริโภคชาวจีนเพิ่มขึ้น กลายเป็นหนึ่งในผลไม้ตัวเลือกของหลายครอบครัวชาวจีน

‘ไทย’ ถือเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตและส่งออกทุเรียนแห่งสำคัญของโลก แต่ละปีส่งออกทุเรียนสู่จีนเป็นปริมาณมาก โดยปริมาณการส่งออกทุเรียนของไทยสู่จีนในปี 2023 เพิ่มขึ้นร้อยละ 81.7 เมื่อเทียบปีต่อปี และทุเรียนที่ส่งออกสู่จีนคิดเป็นร้อยละ 70 ของการส่งออกทุเรียนทั้งหมดของไทย ขณะความนิยมทุเรียนในจีนเพิ่มขึ้นไม่หยุดและความต้องการของตลาดยังคงแข็งแกร่งในปี 2024

"ทุเรียนไทยอร่อยและมีกลิ่นหอมมาก แต่ละปีครอบครัวต้องซื้อทุเรียนหมอนทองของไทยมารับประทานกัน โดยตอนนี้นอกจากทุเรียนไทยแล้วยังมีทุเรียนเวียดนามให้เลือกซื้อ นี่เป็นเหมือนโบนัสของคนรักทุเรียน" หวังอวิ๋นเจวียน ผู้บริโภคในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีนกล่าว

ยามเดินเข้าตลาดค้าส่งผลไม้ไห่จี๋ซิงในนครหนานหนิงจะพบพ่อค้าแม่ค้ามากมายที่จำหน่าย ‘ทุเรียนไทย’ โดยกวนฉ่ายเสีย ผู้ดูแลร้านผลไม้แห่งหนึ่ง บอกว่าทุเรียนหมอนทองของไทยมักวางตลาดช่วงปลายเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคม และเป็นทุเรียนที่มีฐาน ‘แฟนคลับ’ ในจีน ถึงขั้นที่ผู้บริโภคบางส่วนมาสั่งจองล่วงหน้ากันแล้ว

ด้านคนวงในอุตสาหกรรมวิเคราะห์ว่า ผู้บริโภคชาวจีนสนใจวัฒนธรรมและสินค้าพื้นเมืองของไทย ด้วยอานิสงส์จากการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการค้าระหว่างจีนและไทยที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทำให้ยอดจำหน่ายทุเรียนไทยในตลาดจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกันตลาดจีนมีทุเรียนเวียดนามเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยจุดเด่นด้านราคา คุณภาพ และการขนส่ง
ด้วยเหตุนี้ คนวงในอุตสาหกรรมมองว่าทุเรียนไทยอาจเผชิญการแข่งขันในอนาคต แม้ความต้องการทุเรียนไทยในตลาดจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

หูเชา อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี เผยว่า หลายปีที่ผ่านมา จีนนำเข้าทุเรียนจากไทยเป็นสัดส่วนสูงสุด แต่เวียดนามกำลังชิงส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนามต่างแข่งขันและเกื้อกูลกัน ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกชนิดพันธุ์และราคาเพิ่มขึ้น ส่วนสายพันธุ์ที่ต่างกันของสองประเทศได้แก้ปัญหาขาดแคลนสินค้าเมื่อสิ้นฤดู 

การเข้าสู่ตลาดของทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนามในเวลาที่แตกต่างกันไป  ช่วยให้ผู้บริโภคจีนสามารถซื้อทุเรียนสดได้ในระยะเวลาที่ยาวนานมากขึ้น ขณะความชอบทุเรียนสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกันอาจทำให้ทุเรียนบางสายพันธุ์ขาดตลาดในระยะสั้น ซึ่งจุดนี้ทุเรียนอีกสายพันธุ์จะเข้ามาทดแทนเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด โดย หูเชา ชี้ว่าตราบเท่าที่คุณภาพดี ราคาดี และรสชาติดี ย่อมเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวจีน

ปัจจุบันการพัฒนาอันรวดเร็วของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและระบบโลจิสติกส์ได้สนับสนุนความนิยมทุเรียนในตลาดจีนอย่างมาก ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อทุเรียนจากกลุ่มประเทศอาเซียนผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างสะดวกสบาย โดยเผิงเสวี่ยเยี่ยน ผู้จัดการบริษัทจำหน่ายสินค้าต่างประเทศแห่งหนึ่ง เผยว่า ทุเรียนเป็นของขวัญชั้นดีและเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวจีนเสมอ
บริษัทของเผิงได้ติดต่อสื่อสารและร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยอย่างแข็งขัน เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ทุเรียนที่มีคุณภาพสูงเข้าสู่ตลาดจีนเพิ่มขึ้น โดยการพัฒนาและยกระดับทางเทคโนโลยีโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุเรียนไทยสามารถรักษาความสดใหม่ได้ดีขึ้นระหว่างการขนส่ง ซึ่งช่วยรับประกันคุณภาพและรสชาติ

หลิวหมินคุน รองคณบดีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกว่างซี เสริมว่า ความนิยมทุเรียนไทยในตลาดจีนเป็นผลจากหลายปัจจัย ทั้งคุณภาพยอดเยี่ยม ข้อได้เปรียบด้านห่วงโซ่อุปทาน ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างสองประเทศ และการพัฒนาอันรวดเร็วของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและระบบโลจิสติกส์

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ การค้าจีน-อาเซียนเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยโอกาสที่เกิดจากระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศใหม่และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) กอปรกับระบบโลจิสติกส์ข้ามพรมแดนที่พัฒนาดีขึ้น ช่องทางการขนส่งทุเรียนอาเซียนสู่ตลาดจีนจึงมีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

เมื่อการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 'อินโดนีเซีย' กับ 'อิสราเอล' อาจจะเป็น 'การฆ่าตัวตายทางการเมือง' ของรัฐบาลจาการ์ตาในบัดดล

"ประเทศสมาชิก ASEAN 3 ชาติได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และบรูไน ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามล้วน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลเลย ขณะที่อินโดนีเซียได้ออกมาปฏิเสธรายงานที่ว่า รัฐบาลอินโดนีเซียต้องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลเพื่อสิทธิในการเข้าเป็นชาติสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) นั่นก็เพราะการกระทำเช่นนี้ในระหว่างสงครามอันโหดร้ายในฉนวนกาซา จะทำให้เกิด 'ความวุ่นวายและคลื่นแห่งความไม่เห็นด้วย' ในประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก" ผู้สังเกตการณ์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรายหนึ่งระบุพร้อมเผยอีกว่า…

หากมีการเคลื่อนไหวดังกล่าวจริงจะถือเป็น ‘การฆ่าตัวตายทางการเมือง’ แม้ข้อตกลงที่อินโดนีเซียต้องรับรู้และสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลอย่างเป็นทางการ ก่อนการลงมติให้อินโดนีเซียเข้าเป็นสมาชิกขององค์การแห่งนี้ ซึ่งมีสมาชิก 38 ประเทศรวมทั้งอิสราเอล จะได้รับการเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยเว็บไซต์ข่าว Ynet ของอิสราเอล

สำหรับ OECD เป็นองค์กรระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และยอมรับระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจการค้าเสรีในการร่วมกันและพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคยุโรปและโลก 

แต่เดิมองค์กรนี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในนาม องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรป หรือ โออีอีซี (Organization for European Economic Co-operation: OEEC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน 1948 ในช่วงสมัยสงครามเย็น วัตถุประสงค์คือ เพื่อร่วมมือกันฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจของประเทศยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้กลับคืนมาและคงไว้อย่างมั่นคงตามแนวทางเศรษฐกิจทุนนิยมโดยแผนการมาร์แชลล์ 

โดยบทบาทหลักของ OECD คือการปรับปรุงเศรษฐกิจโลกและส่งเสริมการค้าโลก เป็นทางออกสำหรับรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ในการทำงานร่วมกันเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งรวมถึงการทำงานร่วมกับประเทศประชาธิปไตยที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันในการปรับปรุงเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของประชากร

อย่างไรก็ตาม การ 'พูดถึง' การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล ไม่ว่าจะจากรัฐหรือนักการเมืองอินโดนีเซียคนใดก็ตาม "จะเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองทันที" ซึ่งนี่ก็เป็นคำกล่าวของ Dina Sulaiman นักวิชาการผู้ก่อตั้งศูนย์ศึกษาตะวันออกกลางของอินโดนีเซียที่มองว่า “ประชาชนชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ยังคงให้การสนับสนุนชาวปาเลสไตน์” ระหว่างที่เธอบอกกับ This Week in Asia

แน่นอนว่า หากประเทศใดต้องการเข้าร่วมเป็นชาติสมาชิกของ OECD ประเทศผู้สมัครจะต้องได้รับการอนุมัติจากชาติสมาชิกปัจจุบันทั้งหมด ซึ่งนั่นก็รวมถึงชาติอย่างอิสราเอลด้วย 

"ประเทศผู้สมัครที่จะได้รับการยอมรับต้องแสดงให้เห็นถึง ความคิดที่เหมือนกันทั้งคำพูดและการปฏิบัติในความสัมพันธ์กับองค์กรและชาติสมาชิกตามแผนงานเพื่อเข้าสู่การเป็นสมาชิกขององค์กรแห่งนี้" นี่คือรายงานของ Ynet ซึ่งอ้างถึงจดหมายที่ Mathias Cormann เลขาธิการ OECD ระบุไว้เมื่อเดือนที่แล้วถึง Israel Katz รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล โดยเผยว่า "OECD ตัดสินใจยึดหลักการขององค์กรในการเห็นพ้องอย่างเป็นทางการต่อเงื่อนไขเบื้องต้นที่ชัดเจนและปฏิบัติตาม ซึ่งอินโดนีเซียจะต้องสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศสมาชิก OECD ทั้งหมด ก่อนที่จะมีการตัดสินใจใดๆ ที่จะยอมรับการสมัครเป็นชาติสมาชิกของ OECD”

รายงานยังอ้างถึงจดหมายที่ระบุว่า Katz ได้ส่งถึง Cormann โดนเผยอีกว่า "เขาคาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก จาก 'นโยบายที่ไม่เป็นมิตร' ของอินโดนีเซียต่ออิสราเอล เพื่อที่ทั้งสองจะได้กระชับความสัมพันธ์" 

รายงานอ้างสิทธิ์ด้วยว่า อินโดนีเซียจะเข้าร่วม OECD ได้นานถึง 3 ปี หากยอมรับในความสัมพันธ์ดังกล่าวกับอิสราเอล แต่อินโดนีเซียก็ปฏิเสธรายงานดังกล่าว โดย Lalu Muhammad Iqbal โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า "เราไม่มีแผนที่จะเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังความโหดร้ายของอิสราเอลในฉนวนกาซา"

Lalu ระบุว่า "จุดยืนของอินโดนีเซียไม่เปลี่ยนแปลง และเรายังคงสนับสนุนเอกราชของปาเลสไตน์อย่างมั่นคงภายใต้กรอบของการแก้ปัญหาสองรัฐ อินโดนีเซียจะมีความสม่ำเสมอและอยู่ในแนวหน้าในการปกป้องสิทธิของชาวปาเลสไตน์เสมอ" 

Lalu กล่าวอีกว่า "อินโดนีเซียอาจต้องใช้เวลา 'ค่อนข้างนาน' ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ OECD" แต่ทั้งนึ้ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า จาการ์ตาวางแผนที่จะปรับ Roadmap การเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรแห่งนี้ภายในเดือนหน้าเช่นกัน

ทั้งนี้ หากย้อนไปในการประชุมเอกอัครรัฐทูต OECD เมื่อเดือนมกราคม มีรายงานว่าอิสราเอลคัดค้านอินโดนีเซียที่เข้าร่วมองค์กร เนื่องจากไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ และ รัฐบาลจาร์ตารู้ดีว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ปกติกับอิสราเอลในขณะนี้ เมื่อพิจารณาจากความรู้สึกของสาธารณชนท่ามกลางสงครามนองเลือดในฉนวนกาซา ที่มีรายงานชาวปาเลสไตน์มากกว่า 33,000 คนเสียชีวิต

"ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ความรู้สึกของสาธารณชนชาวอินโดฯ กลับมาสนับสนุนชาวปาเลสไตน์อย่างมาก เนื่องจากผู้คนมีความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา" สุไลมาน แห่งศูนย์ศึกษาตะวันออกกลางแห่งอินโดนีเซียกล่าว

การทำข้อตกลง Abraham ที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลางให้อิสราเอลกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรน 
ในปี 2020

ขณะที่การสำรวจโดยสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ของสิงคโปร์ที่เผยแพร่เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็สำทับชัดมุมมองของ สุไลมาน โดยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามชาวอินโดนีเซียร้อยละ 74.7 มองว่าสงครามอิสราเอล-กาซาเป็นปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์อันดับต้นๆ ของพวกเขา และเกือบร้อยละ 80 ของผู้ตอบแบบสอบถามกังวลว่า การโจมตีฉนวนกาซารุนแรงจนเกินไปแล้ว 

อย่างไรก็ตาม อิสราเอลยังมีแนวโน้มที่จะดำเนินการฟื้นฟูทางการทูตกับอินโดนีเซีย เพื่อสร้างมาตรฐานตามแนวทางในข้อตกลง Abraham ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลางแบบที่อิสราเอลได้ทำกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน และประเทศอาหรับอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2020 ผ่านความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ ที่ไม่เป็นทางการ เช่น เครื่องบินรบ A-4 Skyhawk ของกองทัพอากาศอินโดนีเซียที่ซื้อจากกองทัพอากาศอิสราเอลระหว่างปี 1979-1982 พร้อมทั้งมีการฝึกนักบินอินโดนีเซียที่ฐานทัพอากาศของอิสราเอลในช่วงเวลาเดียวกัน

เครื่องบินรบ A-4 Skyhawk ของกองทัพอากาศอินโดนีเซียที่ซื้อจากกองทัพอากาศอิสราเอล

สำหรับเป้าหมายของอิสราเอลที่ต้องการสถาปนาความสัมพันธ์กับอินโดฯ ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะเป็นสะพานสำคัญในการขยายการทูตไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย, ปากีสถาน และบังคลาเทศ ตามมุมมองของ Siti Mutiah Setiawati อาจารย์ด้านธรรมาภิบาลและการเมืองในตะวันออกกลาง และ OECD จะเป็นแม่เหล็กที่ทำให้อินโดนีเซียต้องตัดสินใจ แม้ใน

ทว่าในปัจจุบันก็ยังไม่มีประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนใดกล้าเสนอให้เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตตามปกติกับอิสราเอลเลย แม้แต่ Jokowi Widodo

สำหรับ ASEAN นั้น ยังไม่มีประเทศใดมีสถานภาพเป็นสมาชิกของ OECD เลย โดยอินโดนีเซียมีสถานภาพเป็นประเทศหุ้นส่วน/พันธมิตรที่เข้าร่วม (Participating Partners) และอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าเป็นสมาชิก (Negotiating Membership) 

ด้านประเทศไทยเองก็มีสถานภาพเป็นประเทศที่แสดงความสนใจที่จะเป็นสมาชิก (Expressed interest) 

ส่วนประเทศในทวีปเอเชียที่มีสถานะเป็นสมาชิกแล้วได้แก่ ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ขณะที่ อินเดีย และ จีน มีสถานภาพเป็นประเทศหุ้นส่วน/พันธมิตรที่เข้าร่วม (Participating Partners) เช่นเดียวกับ อินโดนีเซีย

'ศาลเวียดนาม' จัดโทษประหาร Truong My Lan เจ้าแม่อสังหาฯ ผู้สร้างตำนานโกงแบงก์หมื่นล้าน

เมื่อวานนี้ (11 เม.ย. 67) ศาลนครโฮจิมินห์ ได้ตัดสินคดีฉ้อโกง 1.2 หมื่นล้านเหรียญ ของเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ Truong My Lan ประธานใหญ่บริษัท Van Thinh Phat Group ที่ตอนนี้ถูกยกให้เป็นคดีประวัติศาสตร์ของเวียดนามเลยทีเดียว ด้วยมูลค่าความเสียหายจัดว่าสูงที่สุดในบรรดาคดีคอร์รัปชันทุกคดีในย่านอาเซียน 

และก็สมใจชาวเวียดนาม ที่ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดและคาดหวังให้ลงโทษสูงสุด เพื่อเป็นคดีตัวอย่างว่า รัฐบาลเวียดนามไม่ได้เก่งแต่เชือดไก่ เพราะลิงเบื่อแล้ว อยากดู 'หงส์' ถูกเชือดบ้าง 

โดยศาลเวียดนามก็จัดให้ หลังจากวินิจฉัยหลักฐานมานานกว่า 1 เดือน ด้วยการตัดสินให้ อดีตเศรษฐินีเบอร์ 1 ของเวียดนามต้องโทษสูงสุดถึง 'ประหารชีวิต' จากคดียักยอก ฉ้อโกง เงินจากธนาคาร Saigon Commercial Bank มานานกว่า10 ปี รวมมูลค่ากว่า 3 ร้อยล้านล้านดอง (1.24 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) 

คดีนี้ จัดเป็นคดีที่ไม่ธรรมดา และไม่บ่อยนักที่ศาลเวียดนามจะตัดสินโทษถึงประหารชีวิตกับผู้ต้องหาหญิง ยิ่งเป็นระดับนักธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นคดีที่ต้องพิจารณาหลักฐานจำนวนมากมายมหาศาล ด้วยเอกสารอัดแน่นถึง 104 กล่อง ที่มีน้ำหนักรวมกันถึง 6 ตัน รวมกับพยานบุคคลที่ถูกเรียกตัวมาให้การอีกกว่า 2,700 คน และใช้อัยการรัฐถึง 10 คน กับทนายอีก 200 คน ที่ต้องลงมาทำคดีนี้ 

และนอกจาก Truong My Lan แล้ว ยังมีจำเลยที่เกี่ยวข้องในคดีฉ้อโกงนี้อีก 85 คน ทั้งหมดถูกตัดสินว่าผิดจริง และ ต้องโทษจำคุกไล่เลียงกันไปตั้งแต่ 3 ปี ไปจนถึงจำคุกตลอดชีวิต 

ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหามีสามีของ และ หลานสาวของ Truong My Lan รวมอยู่ด้วย และถูกตัดสินจำคุกเช่นกัน โดยสามีของเธอจำคุกนาน 9 ปี ส่วนหลานสาวผู้ช่วยต้องโทษจำคุกนานถึง 17 ปี 

เดวิด บราวน์ อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ไม่เคยเห็นคดีที่มีการไต่สวนครั้งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนในยุครัฐบาลคอมมิวนิสต์เวียดนาม จึงพูดได้ว่านี่เป็นคดีที่น่าทึ่งที่สุดในแคมเปญการต่อต้านการทุจริตของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามยุคใหม่ ภายใต้การนำของเลขาธิการพรรค เหงียน ฟู้ จ่อง

โดย เหงียน ฟู้ จ่อง เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชัน จากกระแสความไม่พอใจของชาวเวียดนามที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคที่ผูกขาดอำนาจอย่างยาวนานในเวียดนาม 

เหงียน ฟู้ จ่อง เห็นว่าหากปล่อยปละละเลยต่อไป ไม่ช้าความไม่พอใจ ก็จะเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นของประชาชน ที่จะนำไปสู่การลุกฮือต่อต้าน ซึ่งนั้นหมายถึงภัยคุกคามของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม 

และเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม แคมเปญต่อต้านคอร์รัปชันจึงเกิดขึ้นในช่วงปี 2016 เกิดการล้างบางทุจริตในวงราชการครั้งมโหฬาร และส่งข้าราชการในตำแหน่งติดคุกมาแล้วหลายร้อยคน แถมสะเทือนถึงคนระดับผู้นำประเทศ เพราะทำให้ประธานาธิบดีถูกกดดันให้ลาออก จากข้อหาคดีคอร์รัปชันมาแล้วถึง 2 คน 

ซึ่งล่าสุด ประธานาธิบดีเวียดนาม ที่ถูกหางเลขจากนโยบายปราบโกงของพรรคจนต้องลาออกก็คือ หวอ วัน เถือง หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง  1 ปี เท่านั้น นับเป็นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดของเวียดนาม 

มาวันนี้ คดีของเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ Truong My Lan กลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนาม ที่สามารถจารึกใน Hall of Fame ของพรรคได้เลย 

และ ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวเวียดนามว่า รัฐบาลเวียดนามเอาจริง ทำผิด คิดโกง ก็ติดคุกได้หมด ไม่สนลูกใคร ไม่ใช่เก่งแค่กับคนระดับไก่กาอาราเล่ และยอมรับว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกอิจฉาเวียดนาม ว่าเขาไปไกลกว่าเราจริง ๆ 

‘โตเกียว’ พบ 18 คนป่วย ‘อาหารเป็นพิษ’ หลังกินซูชิปลา เฉลย!! เจอ ‘ปรสิต Kudoa’ แทรกซึมอยู่ อึ้ง!! เพราะเป็นครั้งแรก

(12 เม.ย.67) สำนักข่าวญี่ปุ่น รายงาน หน่วยงานบริหารมหานครโตเกียวเผยเกิดเหตุการณ์อาหารเป็นพิษครั้งใหญ่ขึ้นที่บ้านพักคนชราในเขตเนริมะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปลายเดือนมีนาคม ส่งผลให้ผู้สูงอายุ 17 คน (อายุ 63 ถึง 98 ปี) และพนักงาน 1 คนมีอาการอาเจียนและท้องเสีย

อย่างไรก็ตาม หลังจากการสอบสวนพบว่าทั้ง 18 คน มีอาการแสดงหลังจากรับประทานซูชินิกิริปลาลิ้นหมาเป็นอาหารกลางวัน และทางสาธารณสุขพบปรสิต ‘Kudoa’ ในนิกิริซูชิ นับเป็นครั้งแรกที่โตเกียวประสบภาวะอาหารเป็นพิษจากปรสิตดังกล่าว

ทั้งนี้ โชคดีที่ 18 ราย มีอาการไม่รุนแรง และกำลังพักฟื้น ศูนย์สาธารณสุขให้คำแนะนำแก่สถานที่เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ และต้นกำเนิดของปลาลิ้นหมาที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ระหว่างการสอบสวน

ตามข้อมูลของเว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ปรสิต Kudoa อาจจะสูญเสียความสามารถในการก่อโรคหากนำไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 4 ชั่วโมงขึ้นไป หรือให้ความร้อนจนถึงอุณหภูมิแกนกลางที่ 75 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 5 นาทีหรือมากกว่านั้น

ทั้งนี้ ปรสิต Kudao เป็นสกุล Myxozoa และเป็นสกุลเดียวที่ได้รับการยอมรับในวงศ์ Monotypic Kudoidae มีประมาณ 100 สายพันธุ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นปรสิตในเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อของปลาทะเลและปลาปากแม่น้ำ โดยมีขนาดประมาณ 0.01 มม. หากบังเอิญทานปลาที่มีปรสิตจำนวนมากอาจก่อให้เกิดอาการ เช่น อาเจียนและท้องร่วงจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top