Sunday, 5 May 2024
WORLD

'บุเรงนองโมเดล' กลศึกแห่งกองทัพเมียนมา เอาคืนฝ่ายต่อต้านแบบ 'บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น'

แทบจะเรียกได้ว่า 'มันจบแล้ว' ระหว่างศึกกะเหรี่ยงกับกองทัพเมียนมา เมื่อนายพลชิตตูเคลื่อนพลมาช่วยเหลือกองทัพเมียนมา จนสามารถนำทัพเข้ามายึดเมียวดีคืนได้สำเร็จ ไม่เพียงแค่นั้นฝั่งกองทัพเมียนมายังไล่ตะเพิดกลุ่ม PDF ที่ซ่อมตัวในหุบเขาแล็ตคัดต่อง จนราบคาบ และนำมาสู่การเปิดด่านพรมแดนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

หากเทียบกลศึกของพม่าในปัจจุบันมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ในพงศาวดารระบุไว้เรื่องกลศึกของบุเรงนอง จะเห็นว่ามีหลายส่วนมีความเหมือนกันอยู่ไม่น้อย ... วันนี้ 'เอย่า' จะมาถอดกลศึกของกองทัพเมียนมาว่าเหมือนกลศึกสมัยบุเรงนองเรื่องใดบ้าง?

1. นำศัตรูมาเป็นพวกตน : กลศึกนี้จะเห็นได้ว่าในพงศาวดารระบุชัดเจนว่า มีการนำฝ่ายที่เป็นศัตรูของตนมาจัดการฝ่ายเดียวกัน ซึ่งในกรณีชิตตูก็เป็นโมเดลนี้

2. กลยุทธ์องค์ประกัน : ในอดีตพระนเรศถูกนำตัวไปเป็นองค์ประกันเพื่อบังคับพระธรรมราชาอยู่ใต้อำนาจหงสาวดี แต่ในปัจจุบันทางกองทัพนำเมืองฉ่วยก๊กโก มาเป็นตัวประกันในการดึงนายพลชิตตูเข้าสู่เกมส์ศึกครั้งนี้

3. สิ่งที่เห็นได้ชัดคือกองทัพเมียนมาจัดการกลศึกในการรับใช้ที่มุ่งเน้นให้เกิดการเจรจามากกว่าต้องการที่จะใช้กองกำลังเข้ายึด โดยสังเกตจากการส่งกำลังพลและการใช้ยุทโธปกรณ์ในการรบนั้น ส่วนใหญ่ใช้กองทหารราบและยานเกราะเคลื่อนพลยึดพื้นที่เป็นหลักและยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการใช้ขีปณาวุธพื้นสู่พื้นเลย อนึ่งเพื่อจำกัดวงรบให้อยู่วงจำกัดเท่านั้น เช่นเดียวกับที่บุเรงนองพยายามรบแบบมุ่งเน้นการเจรจา

และนี่เป็นจุดใหญ่ๆ ในกลยุทธ์ของกองทัพเมียนมาที่เหมือนกับกลยุทธ์ของบุเรงนองในอดีต

จีน เผยภารกิจ ‘ฉางเอ๋อ-7’ จับมือ 6 ประเทศ ร่วมพัฒนา สำรวจวิจัย โครงสร้างของดวงจันทร์

(27 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า องค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีนประกาศว่าภารกิจสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-7 (Chang’e-7) ของจีนจะบรรทุกเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ 6 รายการ ซึ่งพัฒนาโดย 6 ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ 1 แห่ง ได้แก่ อียิปต์ บาห์เรน อิตาลี รัสเซีย สวิตเซอร์แลนด์ ไทย และสมาคมหอสังเกตการณ์ดวงจันทร์นานาชาติ

รายงานระบุว่าภารกิจฉางเอ๋อ-7 มีกำหนดเดินทางสู่อวกาศช่วงปี 2026 โดยเป้าหมายคือการสำรวจสภาพแวดล้อมพื้นผิวดวงจันทร์ น้ำ น้ำแข็ง และองค์ประกอบที่ระเหยง่ายของดินบนขั้วใต้ของดวงจันทร์ รวมถึงทำการวิจัยภูมิศาสตร์ องค์ประกอบ และโครงสร้างของดวงจันทร์

ยานลงจอดฉางเอ๋อ-7 จะบรรทุกตัวสะท้อนแสงแบบเลเซอร์ที่พัฒนาโดยอิตาลีสำหรับทำการวัดแบบแม่นยำสูงบนพื้นผิวดวงจันทร์และการบริการระบุตำแหน่งของยานโคจร รวมถึงบรรทุกเครื่องมือวัดฝุ่นและสนามไฟฟ้าบนดวงจันทร์ที่พัฒนาโดยรัสเซียสำหรับตรวจสอบสภาพแวดล้อมพลาสมาบนพื้นผิวดวงจันทร์ที่เต็มไปด้วยฝุ่น

ขณะเดียวกันยานลงจอดฉางเอ๋อ-7 ยังจะบรรทุกกล้องโทรทรรศน์บนดวงจันทร์ที่พัฒนาโดยสมาคมฯ สำหรับการสังเกตการณ์ดาราจักร โลก และท้องฟ้าทั้งหมด

ด้านยานโคจรจะบรรทุกกล้องไฮเปอร์สเปคตรัมที่พัฒนาโดยอียิปต์และบาห์เรนสำหรับจำแนกวัตถุบนพื้นผิวและสภาพแวดล้อมของดวงจันทร์ รวมถึงบรรทุกเครื่องสเปกโตรมิเตอร์แบบสองช่องสัญญาณสำหรับการวัดรังสีโลกที่พัฒนาโดยสวิตเซอร์แลนด์และจีนสำหรับเฝ้าติดตามปริมาณรังสีที่เข้าและออกจากระบบภูมิอากาศของโลกจากมุมมองดวงจันทร์เป็นครั้งแรก

นอกจากนั้นยานโคจรยังจะบรรทุกชุดเซ็นเซอร์ตรวจจับสำหรับการเฝ้าติดตามสภาพอวกาศทั่วโลก เพื่อแจ้งเตือนการรบกวนทางแม่เหล็กและการแผ่รังสีจากพายุสุริยะด้วย

เที่ยวบิน ‘เดลต้า แอร์’ ต้องบินกลับฉุกเฉิน จากเหตุ สไลด์กางออก หลัง ‘เทกออฟ’

(27 เม.ย. 67) เที่ยวบินของสายการบิน เดลต้า แอร์ไลน์ ต้องบินกลับไปนิวยอร์ก เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจาก สไลด์ฉุกเฉินด้านขวาได้กางออก หลังจากเครื่องขึ้น

เครื่องบินโบอิ้งลำดังกล่าว มุ่งหน้าไปยังลอสแอนเจลิส ได้บินกลับมาลงจอดอย่างปลอดภัย ที่สนามบินจอห์น เอฟ เคนเนดี เมื่อเวลาประมาณ 8.35 น.

เดลต้า บอกกับอินดิเพนเดนท์ว่า เที่ยวบิน 520 ประกาศเหตุฉุกเฉิน หลังจากลูกเรือสังเกตเห็นสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับทางออกฉุกเฉินทางปีกขวา รวมถึงเสียงที่ไม่คุ้นเคยจากปีกขวา

สายการบินระบุว่า มีผู้โดยสาร 176 คน นักบิน 2 คน และลูกเรือ 5 คน บนเครื่องบินลำนี้ ทั้งนี้ สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ ระบุว่า หน่วยงานของรัฐบาลกลางกำลังสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว

เดลต้า ยืนยันกับ ดิอินดิเพนเดนท์ว่า เครื่องบินโบอิ้ง 767 -300อีอาร์ ได้ถูกถอดออกจากการให้บริการแล้ว

“เนื่องจากไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของลูกค้า และบุคลากรของเรา ลูกเรือของเดลต้า ได้จัดการตามขั้นตอนเพื่อเดินทางกลับไปยังเจเอฟเค ขอบคุณในความเป็นมืออาชีพและความอดทนของลูกค้า ต่อความล่าช้าในการเดินทาง”

ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าว นับได้ว่าเป็นประเด็นล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินของโบอิ้ง และ การตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทที่เพิ่มขึ้น ขณะนี้ FAA กำลังตรวจสอบปัญหาของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ ยาง แรงดันในห้องโดยสาร และ ปัญหาเกี่ยวกับเครื่องยนต์

เมื่อ ‘ราคาน้ำมันโลก’ พุ่ง!! แต่ ‘ค่าเงินบาท’ อ่อน ‘ระบบน้ำมันสำรอง 90 วัน’ คือหนึ่งทางเลือกของไทย

ปัจจุบันพี่น้องชาวไทยต่างได้รับผลกระทบจาก ‘ราคาน้ำมันดิบโลก’ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบพุ่งถึง 84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อันเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณน้ำมันที่เก็บสะสมไว้ในสหรัฐ มีการบริโภคน้ำมันเพิ่มมากขึ้น หรือแรงกดดันจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่าง OPEC ซึ่งนำโดยซาอุดีอาระเบีย ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก และการบอยคอตผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่างอิหร่านและรัสเซีย รวมถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ด้วยปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก และมีแนวโน้มว่า อาจทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ในอนาคตไม่ไกล ตลอดจนมีส่วนกดดันให้เงินบาทไทยอ่อนค่าลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยค่าเงินบาทไทยวันนี้ (26 เม.ย.67) อัตราขายถัวเฉลี่ยอยู่ที่ 37.2588 บาทต่อดอลลาร์ ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย

ฉะนั้นเหตุผลเมื่อน้ำมันปรับตัวขึ้น เงินบาทจึงอ่อนค่าลง จึงพอสรุปได้ว่า…

1.  เมื่อราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้นจึงส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูง ดังนั้นธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อเป็นการสกัดการเกิดเงินเฟ้อ จนนักลงทุนพากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยง จนกระทั่งทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง กลายเป็นผลกระทบต่อเนื่องไปทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนไทยต้องปิดรับความเสี่ยงจากตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน จึงเกิดเป็นแรงกดดันทำให้เงินบาทอ่อนต้องค่าลงตามไปด้วย

2.  ไทยต้องนำเข้าน้ำมัน ดังนั้นหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หมายความว่า คนไทยก็ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อน้ำมันน้ำเข้าในราคาที่แพงขึ้น

ปัจจัยจากราคาน้ำมันจึงส่งผลทำให้มูลค่าการนำเข้าของประเทศไทยขยายตัว โดยที่การส่งออกอาจจะยังอยู่ในระดับเดิม จึงทำให้เกิดการขาดดุลทางการค้า (Trade Deficit) จากการที่มูลค่าของการนำเข้าสูงกว่ามูลค่าการส่งออก และหากตัวแปรทั้งหมดเหมือนเดิมแต่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น คนไทยจึงต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์เพื่อซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ จำนวนเงินที่ใช้จ่ายเพื่อการนำเข้าสูงกว่าจำนวนเงินที่ได้รับจากการส่งออก และส่งผลต่อเนื่องจนทำให้เกิดการขาดดุลทางการค้า

แน่นอนปัจจัยที่เกิดจากราคาน้ำมันโดยตรงเป็นสิ่งที่รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากการหาแหล่งผู้ขายรายใหม่ ๆ การเพิ่มกลไกเพื่อทำให้ผู้ค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันในราคาที่สะท้อนต้นทุนตามความเป็นจริง ณ เวลาที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีการปรับขึ้นหรือลง ดังเช่นที่รองฯ พีระพันธุ์ ได้ให้กระทรวงพลังงานออกประกาศและได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา และการจัดทำระบบการสำรองน้ำมัน 90 วัน เป็นต้น

แต่ปัจจัยในส่วนของค่าเงินบาทเป็นปัจจัยที่รัฐบาลสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง ด้วยค่าเงินตราของประเทศต่าง ๆ นั้นจะมีเสถียรภาพคงที่ อ่อนค่า หรือ แข็งค่า เกิดจาก…

1. อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ
2. การค้าและการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ
3. นโยบายการเงินของธนาคารกลาง
4. สถานการณ์ในประเทศและปัจจัยระหว่างประเทศ

โดยข้อ 1 และ 3 เป็นบทบาทหน้าของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง รัฐบาลอาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้ในกรณีฉุกเฉินและจำเป็น สำหรับข้อ 2 และ 4 เป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของรัฐบาล

แต่สิ่งที่สังคมไทยไม่ได้คำนึงถึงคือ เรื่องของ Digital wallet ซึ่งต้องใช้เงินกว่าหกแสนล้านบาท อันจะเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงต่อความเชื่อถือในระดับนานาชาติต่อเรื่องของวินัยทางการเงินและการคลังของประเทศ แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งย่อมส่งผลกระทบทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะเมื่อประเทศมีปัญหาเรื่องวินัยทางการเงินและการคลังเกิดขึ้นจะทำให้ระดับความน่าเชื่อถือของประเทศที่ถูกประเมินโดยสถาบันการประเมินระดับโลกต่าง ๆ ลดลงอย่างแน่นอน แล้วส่งผลทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงตามไปด้วย แม้รัฐบาลปัจจุบันจะอ้างว่า การใช้ Application ‘ทางรัฐ’ ที่ในอนาคตคนไทยทุกคนจะต้องใช้ เพื่อให้สังคมสามารถก้าวย่างสู่ Digital Economy หรือ Digital World ในอนาคต จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องใช้งบประมาณกว่าหกแสนล้านบาทเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น ทั้ง ๆ มี Application ‘เป๋าตัง’ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันใช้อยู่แล้ว การพัฒนา Application ที่มีอยู่น่าจะประหยัดกว่าและรวดเร็วกว่าการออกแบบและพัฒนา Application ใหม่ขึ้นมา แม้จะมีการอ้างว่า Application ‘เป๋าตัง’ เป็นของธนาคารกรุงไทย แต่ต้องไม่ลืมว่า ธนาคารกรุงไทยเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง ย่อมสามารถดำเนินการทุกอย่างที่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายอยู่แล้ว หากมีปัญหาข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้นจากกรณีนี้ย่อมกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างแน่นอน และจะกลายเป็นผลกระทบในวงกว้างซึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่เคยมีนักการเมืองและพรรคการเมืองใดที่แสดงความรับผิดชอบเลย

‘ญี่ปุ่น’ เตรียมขึ้นฉากกั้น ปิดจุดถ่ายภาพหน้าร้าน LAWSON ใกล้ ‘ภูเขาไฟฟูจิ’ เพื่อตัดปัญหานักท่องเที่ยวไร้ระเบียบ ‘ทิ้งขยะเรี่ยราด-ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร’

เมื่อวานนี้ (26 เม.ย. 67) เมืองฟูจิคาวากุจิโกะ มีจุดถ่ายภาพมุมมหาชนของนักท่องเที่ยว บริเวณเชิงเขาโยชิดะสู่ภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งแต่ละวันเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่พยายามจะถ่ายภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่ยืนอยู่หน้าร้าน Lawson's เพื่อต้องการถ่ายภาพความแตกต่างระหว่างร้านที่สว่างไสวด้วยแสงไฟนีออนกับภูเขาอันงดงามอลังการด้านหลัง

แต่หลังจากนี้ จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ของ เมืองฟูจิคาวากุจิโกะ เปิดเผยว่า หลังจากประสบปัญหานักท่องเที่ยวทิ้งขยะและไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างต่อเนื่อง เช่น การข้ามถนน ไปจนถึงการปีนป่ายอาคารรอบ ๆ แม้จะมีป้ายและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยเตือนแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์เดิม ๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไป

เหตุผลดังกล่าว ทำให้ทางการญี่ปุ่นตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด เตรียมสร้างฉากกั้นมีความสูง 2.5 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เมตร ที่จะถูกติดตั้งขึ้นในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อบดบังไม่ให้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิแบบเดิมอีก

‘เซี่ยงไฮ้’ เตรียมเปิดสวนสนุก ‘เปปปาพิก’ ใหญ่สุดในโลก ปี 2027 หวังขับเคลื่อน ศก. - ยกระดับให้เป็นจุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก

(25 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฮาสโบร (Hasbro) บริษัทของเล่นและเกมชั้นนำ และบริษัท แมกซ์-แมทชิง เอนเตอร์เทนเมนท์ส จำกัด (Max-Matching Entertainments) เปิดเผยว่าสวนสนุกกลางแจ้งเปปปาพิก (Peppa Pig) แห่งแรกในเอเชียที่จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จะเปิดตัวที่มหานครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีนในปี 2027

สวนสนุกแห่งนี้ใช้เงินลงทุนกว่า 2.4 พันล้านหยวน (ราว 1.2 หมื่นล้านบาท) จะครอบคลุมพื้นที่ราว 290 หมู่ (ราว 121 ไร่) บนเกาะฉางซิง เขตฉงหมิงของเซี่ยงไฮ้ โดยอยู่ห่างจากใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ไปทางเหนือ 90 กิโลเมตร หรือราวหนึ่งชั่วโมงครึ่งหากขับรถจากกลางเมือง

ด้าน จ้าวหยาง ประธานบริษัทแมกซ์-แมทชิง เอนเตอร์เทนเมนท์ส ระบุว่า สวนสนุกเปปปาพิกจะโดดเด่นด้วยองค์ประกอบที่เป็นนวัตกรรม โดยมีพื้นที่ เครื่องเล่น การแสดงแสงสีน่าตื่นตาตื่นใจ และมีโรงแรมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับตลาดจีน โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 3 ช่วงวัยในหนึ่งครอบครัว

ไช่เสี่ยวเฟย รองผู้อำนวยการคณะกรรมการบริหารเกาะฉางซิง เปิดเผยว่า สวนสนุกเปปปาพิกจะยกระดับเซี่ยงไฮ้ให้กลายเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้ ทั้งทำให้เกาะฉางซิง เขตฉงหมิง และเซี่ยงไฮ้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อโดยรวมอีกด้วย

ด้านแมตต์ พรูลซ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายประสบการณ์ระดับโลก ความร่วมมือ และดนตรีของฮาสโบร ระบุว่า บริษัทฯ จะทำงานต่อไปเพื่อนำสวนสนุกกลางแจ้งเปปปาพิกและประสบการณ์ความสนุกสนานที่น่าจดจำไปยังเมืองต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อสร้างความสุขให้กับเด็ก ๆ และครอบครัวชาวจีน

‘หวังอี้’ วอน ‘บลิงเคน’ ช่วยแก้ปัญหาขัดแย้ง ‘จีน-สหรัฐฯ’ หวั่น!! ความสัมพันธ์ทั้งสองชาติ จะย่ำแย่เกินการควบคุม

(26 เม.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ได้หารือกับนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 26 เมษายน โดยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เรียกร้องให้บลิงเคนแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐ มิเช่นนั้นก็อาจมีความเสี่ยงที่ความสัมพันธ์จะย่ำแย่อย่างไร้การควบคุม

นี่ถือเป็นการเดินทางเยือนจีนครั้งที่สองในรอบไม่ถึง 1 ปีของบลิงเคน ขณะที่จีนกำลังไม่พอใจกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ รวมถึงการแบนการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และพยายามที่จะบีบให้บริษัท Bytedance ของจีนขายกิจการ Tiktok แอปพลิเคชันแชร์วิดีโอสั้นยอดนิยมในสหรัฐ

ทั้งนี้ นายหวัง อี้ ให้การต้อนรับนายบลิงเคน ที่เรือนรับรองเตียวหยูไถ่ ในกรุงปักกิ่ง โดยกล่าวกับบลิงเคนว่า ความสัมพันธ์ของ 2 ชาติมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐเริ่มที่จะมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดีไบเดนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้พบกันที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

นายหวังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ปัจจัยลบต่าง ๆ ในความสัมพันธ์ของสองประเทศยังคงเพิ่มมากขึ้น และจีนสนับสนุนการเคารพในผลประโยชน์หลักของแต่ละฝ่าย พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐไม่เหยียบย่ำขีดจำกัดของจีนในด้านอธิปไตย ความมั่นคง และการพัฒนา

ด้านผู้ช่วยของบลิงเคนระบุก่อนหน้านี้ว่า บลิงเคนจะยกประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นข้อกังวล อาทิ การที่จีนสนับสนุนรัสเซีย นายบลิงเคนได้กล่าวกับนายหวังในช่วงต้นของการหารือว่า ทั้งสหรัฐและจีนควรที่จะแสดงให้เห็นว่าสามารถบริหารความสัมพันธ์อย่างมีความรับผิดชอบ และทั้งสองประเทศควรที่จะมีความชัดเจนที่สุดในประเด็นที่มีความต่างอย่างน้อยที่สุดก็เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและการคำนวนผิดพลาด ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่เพื่อประชาชนของสองประเทศ แต่เพื่อผู้คนทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังไม่มีการยืนยันว่าบลิงเคนจะได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนหรือไม่

‘บังกลาเทศ’ ร้อนจัด!! อุณหภูมิสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส ตัดสินใจปิดโรงเรียนทั่วประเทศ เด็ก 33 ล้านคนต้องหยุดเรียน

(26 เม.ย. 67) บีบีซี รายงานว่า นักเรียนในบังกลาเทศ กว่า 33 ล้านคน ต้องหยุดอยู่บ้าน หลังทางการสั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศเป็นการชั่วคราวอย่างน้อยจนถึงวันที่ 27 เม.ย. ภายหลังสภาพอากาศร้อนจัด หลายพื้นที่มีอุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส

ทั้งนี้ ถือเป็นการปิดโรงเรียนระดับประเทศต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยก่อนหน้านี้อินเดียและฟิลิปปินส์สั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศเช่นกันหลังจากคลื่นความร้อนแผ่กระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชีย และตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. หน่วยงานด้านสภาพอากาศของบังกลาเทศออกแถลงการณ์เตือนภัยร้อนเป็นครั้งที่ 4

ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าจะเผชิญกับอากาศแปรปรวนสาหัส เนื่องจากบังกลาเทศมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบต่ำและเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด

ขณะที่ข้อมูลจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอซีพีพี) ระบุว่า ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น 30-45 เซนติเมตร อาจส่งผลให้ประชาชนมากกว่า 35 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ ที่อาศัยอยู่ในแถบชายฝั่งทะเลต้องพลัดถิ่น

‘ม็อบหนุนปาเลสไตน์’ ผุดขึ้นตามมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ ‘เจ้าหน้าที่’ ปราบดุ!! ใช้สารเคมี-ช็อตไฟฟ้า สลายการชุมนุม

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการแข็งกร้าวกับผู้ชุมนุมประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ที่ปักหลักชุมนุมกันตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หลังการชุมนุมลักษณะนี้แผ่ลามไปตามสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ทั่วอเมริกามากขึ้น

รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ปราบจลาจลใช้สารระคายเคืองและอุปกรณ์ช็อตไฟฟ้าเข้าควบคุมการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในขณะที่บรรดาผู้บริหารของสถาบันการศึกษาที่ทรงเกียรติที่สุดของประเทศบางแห่งกำลังดิ้นรนขัดขวางการปักหลักชุมนุมยึดสถานที่ของผู้ประท้วง

การปักหลักชุมนุมและประท้วงอันครึกโครม ผุดขึ้นมาตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ ด้วยที่พวกนักเคลื่อนไหวเรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงในสงครามระหว่างอิสราเอลกับนักรบฮามาส เช่นเดียวกับเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยทั้งหลายตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอลและบริษัทต่าง ๆ ที่พวกเขาบอกว่าโกยกำไรจากความขัดแย้งดังกล่าว

"สำหรับ 201 วัน ที่โลกเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้อิสราเอลฆาตกรรมชาวปาเลสไตน์ไปกว่า 30,000 คน" ข้อความหนึ่งที่โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์โดยแกนนำการประท้วงจุดใหม่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในลอสแอนเจลิส 

"วันนี้ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเข้าร่วมกับนักศึกษาทั่วประเทศ เรียกร้องมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของเราตัดขาดกับบริษัทต่าง ๆ ที่แสวงหาผลกำไรจากการรุกราน การแบ่งแยก และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์"

มีผู้ประท้วงมากกว่า 200 คน ถูกจับกุมในวันพุธ (24 เม.ย.) และวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในลอสแอนเจลิส บอสตัน และในเมืองออสติน รัฐเทกซัส บริเวณที่มีผู้คนกว่า 2,000 ราย มารวมตัวกันอีกครั้งในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.)

ที่มหาวิทยาลัยเอโมรี ในแอตแลนตา ปรากฏภาพถ่ายกำลังใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าระหว่างเข้าจัดการกับพวกผู้ประท้วงที่อยู่บริเวณลานหญ้า ขณะที่เว็บไซต์ข่าวของทางมหาวิทยาลัย เผยว่า พวกเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากป้องกันแก๊สและใช้สายรัดข้อมือควบคุมตัวผู้ชุมนุม

กรมตำรวจแอตแลนตา อ้างว่าทางมหาวิทยาลัยร้องขอให้ช่วยคุ้มกันมหาวิทยาลัย "พวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเจอกับการใช้ความรุนแรง เราทราบมาว่าเจ้าหน้าที่กรมตำรวจแอตแลนตาใช้สารระคายเคืองระหว่างเหตุการณ์นี้ แต่กรมตำรวจแอตแลนตาไม่ได้ใช้กระสุนยาง"

สถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายของการประท้วง เริ่มต้นขึ้นที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก หลังจากผ่านพ้นเส้นตายที่พวกนักศึกษาได้รับคำสั่งให้รื้อถอนค่ายชั่วคราวที่พวกเขาใช้ปักหลักชุมนุมและกลายมาเป็นศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว

การประท้วงที่ลุกลามกลายมาเป็นความท้าทายใหญ่หลวงสำหรับบรรดาผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่พยายามรักษาสมดุลในพันธสัญญาของมหาวิทยาลัย ในเรื่องของสิทธิเสรีภาพการแสดงออกกับเสียงโวยวายต่าง ๆ เกี่ยวกับการล้ำเส้นของพวกผู้ประท้วง

พวกผู้ประท้วงสนับสนุนอิสราเอลและอื่น ๆ แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในมหาวิทยาลัย โดยชี้ถึงเหตุการณ์ต่อต้านยิวต่าง ๆ และกล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยทั้งหลายกำลังสนับสนุนการข่มขู่คุกคามและประทุษวาจา (hate speech)

อย่างไรก็ตาม นักศึกษาผู้ประท้วงบอกว่าพวกเขาต้องการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ในกาซา ดินแดนที่มีผู้ถูกสังหารไปแล้วแตะระดับ 34,305 คน โดยผู้ชุมนุมบางส่วน ในนั้นรวมถึงนักศึกษายิวเองจำนวนหนึ่ง ปฏิเสธคำกล่าวหาต่อต้านยิว และวิพากษ์วิจารณ์พวกเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติกับพวกเขาสวนทางกับฝ่ายสนับสนุนอิสราเอล

อิสราเอล พันธมิตรของสหรัฐฯ เปิดสงครามในกาซา แก้แค้นกรณีที่พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารผู้คนไปราว 1,170 ราย และจับตัวประกันไปประมาณ 250 คน คาดหมายว่าเวลานี้ยังเหลือตัวประกันอยู่ในกาซาอีก 129 คน แต่ในนั้น 34 คน สันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว

ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย ในลอสแอนเจลิส ซึ่งมีผู้ประท้วงถูกจับกุมฐานบุกรุก 93 รายในวันพุธ (24 เม.ย.) พวกเจ้าหน้าที่เปิดเผยว่าได้ยกเลิกกิจกรรมพิธีสำเร็จการศึกษาในวันที่ 10 พฤษภาคม

ส่วนที่มหาวิทยาลัยเอเมอร์สัน ในบอสตัน สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าได้มีการยกเลิกการเรียนการสอนในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) หลังจากตำรวจปะทะกับผู้ประท้วงเมื่อคืนที่ผ่านมา รวมถึงเข้ารื้อถอนค่ายของผู้ชุมนุมฝักใฝ่ปาเลสไตน์และจับกุมผู้ประท้วงไปราว 108 คน

ในวอชิงตัน พวกนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ และมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน จัดตั้งแคมป์ปักหลักชุมนุมเพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตันในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) โดยที่บรรดานักศึกษาของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ยังมีแผนประท้วงไม่เข้าเรียนอีกด้วย

การประท้วงและการปักหลักชุมนุมยังผุดขึ้นที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และมหาวิทยาลัยเยล แม้พบเห็นนักศึกษาหลายสิบคนถูกจับกุมไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ เช่นเดียวกับที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยบราวน์ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน และที่อื่น ๆ

เมื่อวันอาทิตย์ (21 เม.ย.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ประณามความเคลื่อนไหวต่อต้านยิวอย่างโจ่งแจ้ง โดยบอกสิ่งแบบนี้ไม่ควรมีที่ว่างตามมหาวิทยาลัยทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวบอกเช่นกันว่าท่านประธานาธิบดีสนับสนุนเสรีภาพการแสดงออก ณ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของสหรัฐฯ

‘สิงคโปร์’ ทำพิธีปล่อย ‘เรือดำน้ำ’ ลำที่ 4 สุดทันสมัย พร้อมปฏิบัติการในพื้นที่น้ำตื้นของทะเลเขตร้อน

(25 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Thaifighterclub’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ เรือดำน้ำ Type 218SG ลำล่าสุดของ ทร.สิงคโปร์ โดยระบุว่า…

“พิธีปล่อยเรือดำน้ำลำล่าสุดของ ทร.สิงคโปร์ ซึ่งเป็นลำสุดท้ายจากจำนวนทั้งหมด 4 ลำของเรือดำน้ำชั้น Invincible ที่ทางสิงคโปร์สั่งต่อจากเยอรมนี

ป.ล.มองประเทศเขาแล้วก็ถอนหายใจ เฮ้อเบา ๆ”

โดยมีชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก อาทิ

- ประเทศเรากำลังเป็นกองทัพเรือประมงครับ
- ที่ 1 ในใจเลยของเยอรมนี ตั้งแต่เป็นช่างซ่อมเครื่องจักรมาเกือบ 20 ปี ทุก ๆ อย่าง ของค่ายนี้สุด ๆ ทุก ๆ ด้านจริง ๆ
- ผู้นำเขายอดเยี่ยมจริง ๆ
- แสดงว่าเรือดำน้ำสำคัญ ที่ทุกประเทศอยากมี

ทั้งนี้ เรือดำน้ำชั้น Invincible ลำนี้ ได้รับการปรับปรุงพิเศษด้วยความร่วมมือระหว่าง เรือดำน้ำ Inimitable ของสิงคโปร์ อีกทั้งยังได้รับการออกแบบร่วมกันโดยกองทัพเรือสาธารณรัฐสิงคโปร์, สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (DSTA) และ Thyssenkrupp Marine Systems ของเยอรมนี

ทำให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติการในพื้นที่น้ำตื้น ที่มีการสัญจรทางทะเลเขตร้อนที่แออัดของสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นเรือที่มีความทันสมัยระดับต้น ๆ ของโลก และนับเป็นเรือดำน้ำลำใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นในเยอรมนีอีกด้วย

‘จีน’ เตือน!! ‘สหภาพยุโรป’ ไม่ควรเลือกปฏิบัติกับ บ.ต่างชาติ หลังผู้ประกอบการจีนในยุโรป โดนบุกรุกสำนักงาน-ยึดอุปกรณ์

(25 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ของจีนกระตุ้นเตือนสหภาพยุโรป (EU) สร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง ยุติธรรม เที่ยงตรง และไม่เลือกปฏิบัติ สำหรับบริษัทต่างชาติในยุโรป

โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ เรียกร้องฝ่ายยุโรปหยุดและแก้ไขการกระทำที่ไม่ถูกต้อง หลังจากฝ่ายยุโรปบุกรุกเข้าสำนักงานของกลุ่มผู้ประกอบการจีนในยุโรปและยึดอุปกรณ์เมื่อวันอังคาร (23 เม.ย.) ที่ผ่านมา

ซึ่งจีนเป็นกังวลและคัดค้านการดำเนินการของสหภาพยุโรปอย่างจริงจัง เนื่องจากละเมิดขั้นตอนอันชอบธรรมตามกฎหมาย ขัดขวางการแข่งขันตามปกติ บั่นทอนความเชื่อมั่นของบริษัทต่างชาติทั้งหมดที่ดำเนินงานในยุโรปอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ จีนจะเฝ้าติดตามการดำเนินการของฝ่ายยุโรปในอนาคตอย่างใกล้ชิด และดำเนินทุกมาตรการอันจำเป็นต่อการคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมายของบริษัทจีน

‘คุณแม่เกาหลี’ อุ้มลูกวัย 4 เดือน ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต พร้อมแจก ‘ที่อุดหู-ลูกอม-แนบโน๊ตขอโทษ’ หากมีเสียงรบกวน

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก ‘สุขภาพดี’ ได้โพสต์เรื่องราวของคุณแม่เกาหลีท่านหนึ่ง ที่ทำการแจกชุด ‘ป้องกันเสียงเด็ก’ แก่ผู้โดยสารบนเครื่องบินในเที่ยวเดียวกัน เพราะกลัวลูกน้อยร้องไห้เสียงดังรบกวน โดยระบุว่า…

“ดูเหมือนว่าคุณแม่ชาวเกาหลีรายนี้ก็รู้ดีถึงเหตุผลข้างต้น แต่เธอมีเหตุจำเป็นให้ต้องเดินทางกว่า 10 ชั่วโมง เพื่อไปที่ซานฟรานซิสโกกับลูกน้อยวัย 4 เดือน

โดยเหตุการณ์นี้ถูกโพสต์ผ่านเฟสบุ๊กของนาย Dave Corona เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2019 กล่าวถึงความประทับใจต่อคุณแม่ชาวเกาหลีรายนี้ ที่เลือกแจกชุด ‘ป้องกันเสียงเด็ก’ กว่า 200 ชุดให้กับผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกัน

โดยในถุงที่แจกประกอบไปด้วยที่อุดหู ลูกอมหลายชนิด และข้อความเขียนในนามของเด็กชายระบุว่า ‘สวัสดีครับ ผมชื่อ Junwoo (จุนวู) อายุ 4 เดือน วันนี้ผมกำลังเดินทางไปที่สหรัฐฯ กับคุณแม่และคุณยาย เพื่อไปหาคุณป้าของผม’

‘ผมรู้สึกกังวลและกลัวนิดหน่อย เพราะนี่คือไฟลท์แรกในชีวิตของผม นั่นหมายถึงผมอาจจะร้องไห้หรือส่งเสียงดังเกินไป’

‘คุณแม่ของผมจึงเตรียมถุงเล็ก ๆ นี้ไว้สำหรับคุณ จะมีทั้งลูกอมและที่อุดหู ขอความกรุณาใช้มัน เมื่อผมส่งเสียงดัง ขอให้เดินทางอย่างมีความสุขนะครับ ขอบคุณฮะ’

บอกเลยว่าใครเห็นข้อความนี้เป็นอันต้องโกรธไม่ลงแน่นอน แถมยังยิ้มออกอีกด้วย”

เอกอัครราชทูต (Ambassador) ศักดิ์ศรีของประเทศ ผู้แทนของพระราชา

โลกใบนี้มีประเทศต่าง ๆ อยู่เกือบ 200 ประเทศ ซึ่งมีความแตกต่างกันในหลากหลายมิติไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ 

การที่จะทำให้พลโลกอยู่รวมกันอย่างมีสันติสุข โดยให้เกิดความขัดแย้งน้อยที่สุด และเพื่อป้องกันไม่ให้ขยายตัวจนกลายเป็นความรุนแรง จนกลายเป็นสงครามระหว่างกันนั้น ทุก ๆ ประเทศจึงต้องมีไมตรีจิตและมิตรภาพอันดีต่อกัน

แน่นอนว่า การสร้างและรักษาไมตรีจิต-มิตรภาพอันดีระหว่างประเทศ 2 ประเทศนั้น จะดำเนินไปได้ด้วยดีถ้าทั้งสองประเทศมีผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทน, ผู้รับเจรจาแทน หรือตัวเชื่อมระหว่างกัน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของนักการทูตของประเทศนั้น ๆ โดยมี ‘เอกอัครราชทูต’ (Ambassador) เป็นหัวหน้าคณะ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนทางการทูตระดับสูงที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของประเทศนั้น เพื่อเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศตนในประเทศที่ตนประจำการอยู่ 

บทบาทหลักของ ’เอกอัครราชทูต’ คือการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ อำนวยความสะดวกด้านการค้าและการพาณิชย์ และส่งเสริมโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการศึกษา ทั้งยังต้องทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในการสร้างสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการระหว่างประเทศตนและประเทศที่ประจำการ, รายงานข้อมูลข่าวสารของประเทศที่ไปประจำการให้รัฐบาลทราบเพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายการทูตให้ถูกต้องเหมาะสมกับประเทศนั้น ๆ, ดำเนินนโยบายทางการทูต เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ, แนะนำโน้มน้าวให้ประเทศที่ไปประจำการดำเนินนโยบายที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และแนะนำมาตรการรับมือกรณีมีเหตุจำเป็นให้แก่รัฐบาล ฯลฯ

สำหรับบ้านเรา ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรด้วยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ (หัวหน้าทูตของพระราชา) เป็นตำแหน่งที่ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ต้องเข้าเฝ้าเพื่อกราบถวายบังคมลาไปปฏิบัติหน้าที่ รับพระราชทานเจิม และรับพระราชทานพระราชสาส์นตราตั้ง เพื่อนำไปยื่นต่อประมุขของประเทศที่ตนเองไปประจำการ เรียกได้ว่านอกจากจะเป็นทั้งตัวแทนและภาพลักษณ์ของประเทศแล้ว ตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นยังถือเป็นผู้แทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย 

เนื่องจากตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ เป็นตำแหน่งสำคัญด้วยเพราะเป็นทั้งตัวแทนและภาพลักษณ์ของประเทศ จึงมีการพิจารณาคัดกรองบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้วผู้ที่จะได้ดำรงตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นจะได้ถูกการคัดเลือกจากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่มีทักษะทางการทูต ความรู้ภาษาต่างประเทศ และความเชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยเพราะแม้ว่าเกือบ 200 ประเทศบนโลกนี้ แต่ไทยเรามีสถานทูตเพียง 67 แห่ง นั่นหมายถึงว่า นักการทูตที่จะก้าวสู่ตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นจะต้องมีทั้งความสามารถและประสบการณ์ในการทำงานอย่างยอดเยี่ยม มีวัตรปฏิบัติอันเป็นที่ยอมรับ นับถือ และชื่นชมของบรรดาผู้คนในสังคมโดยรวม 

นอกจากนี้แล้วตำแหน่งนี้มิใช่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเฉพาะประเทศนั้น ๆ แต่กระทรวงต่างประเทศยังต้องส่งข้อมูลประวัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนี้ไปให้ประเทศที่จะไปประจำการพิจารณาตรวจสอบด้วย 

นักการทูตไม่ว่าระดับ ‘เอกอัครราชทูต’ หรือคณะเจ้าหน้าที่ทางการทูต ฯลฯ ของไทยนั้น ถือเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติด้วยวัตรปฏิบัติในต่างแดนนั้น สุภาพ อ่อนโยน สมกับเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ โดยปัจจุบันนอกจากกระทรวงการต่างประเทศที่ส่งคณะทูตไปประจำยังมิตรประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว แทบทุกกระทรวงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานในประเทศที่มีความสำคัญต่อภารกิจของกระทรวงนั้น ๆ อีกด้วย

โดยสรุปแล้ว นักการทูตไทยนั้น ปฏิบัติตนตามแบบแผนพิธีการทางการทูต (Diplomatic protocol) ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เป็นอย่างดี จึงได้รับการยอมรับและชื่นชมยินดีจากทุก ๆ ประเทศที่มีนักการทูตไทยไปประจำการ แตกต่างจากหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่มักจะให้นักการทูตของตนเข้าไปวุ่นวายแทรกแซงประเทศต่าง ๆ เพียงเพื่อผลประโยชน์และความต้องการของประเทศตน โดยไม่คำนึงถึง มารยาท ความถูกต้องเหมาะสม ตามแบบแผนพิธีการทางการทูต ทำให้ประชาชนของประเทศที่ไปประจำการเกิดความเกลียดชังจนกระทบไปถึงภาพลักษณ์ของประเทศของตนโดยรวมอีกด้วย

กลุ่มติดอาวุธ KNU ถอนกำลังออกจากเมียวดีชั่วคราว  หลังทหารฝ่ายรัฐกลับเข้าพื้นที่ และมีกองหนุนอาสาช่วย

(24 เม.ย.67) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ได้ถอนกำลังออกจากเมืองเมียวดีชั่วคราว โฆษกของกลุ่มระบุ หลังจากทหารฝ่ายรัฐบาลได้กลับเข้าไปยังพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่เป็นช่องทางการค้าต่างประเทศมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

“กองกำลังทหารของ KNLA จะทำลายทหารฝ่ายรัฐและกองหนุนของพวกเขาที่เคลื่อนพลไปยังเมืองเมียวดี” ซอ ตอ นี โฆษกของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงกล่าว โดยอ้างถึงกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยงที่เป็นฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของพวกเขา

แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ระบุว่าความเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของกลุ่มคืออะไร

ทั้งนี้ การต่อสู้ปะทุขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในเมืองเมียวดี ที่ส่งผลให้พลเรือนมากถึง 3,000 คน ต้องอพยพหลบหนีภายในวันเดียว ในขณะที่กลุ่มติดอาวุธต่อสู้เพื่อขับไล่ทหารฝ่ายรัฐที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณเชิงสะพานมิตรภาพ

อย่างไรก็ตาม ในวันพุธ (24 เม.ย.) ไทยกล่าวว่า การต่อสู้คลี่คลายลงแล้ว และหวังว่าจะสามารถเปิดจุดผ่านแดนได้อีกครั้ง หลังจากการค้าได้รับผลกระทบจากการสู้รบ โดยระบุว่า พลเรือนส่วนใหญ่เดินทางกลับประเทศแล้ว และยังเหลืออยู่เพียง 650 คน

“สถานการณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตาม เรากำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงและสามารถเปลี่ยนแปลงได้” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยระบุ

ไทยได้รับรายงานว่าการเจรจาอาจกำลังเริ่มต้นขึ้นระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในฝั่งพม่า และไทยได้เสนอให้ลาว ประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จัดการประชุมเพื่อหาข้อยุติวิกฤตพม่า

กองทัพพม่าเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เข้าควบคุมพม่าเป็นครั้งแรกในปี 2505 โดยติดอยู่กับความขัดแย้งในหลายแนวรบ และพยายามที่จะต่อสู้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่พังลงนับตั้งแต่รัฐประหารในปี 2564 ที่ยุติการปกครองระบอบประชาธิปไตย และการปฏิรูปที่ดำเนินมาได้เพียงไม่นาน

ประเทศติดอยู่กับสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพฝ่ายหนึ่งและอีกฝ่ายหนึ่งคือพันธมิตรที่จับมือกันอย่างหลวม ๆ ของกองทัพชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์และขบวนการต่อต้านที่เกิดขึ้นจากการปราบปรามนองเลือดของรัฐบาลทหารต่อผู้เห็นต่างต่อต้านการรัฐประหาร

รัฐบาลทหารสูญเสียการควบคุมพื้นที่ชายแดนสำคัญให้กลุ่มติดอาวุธ และภาพถ่ายที่โพสต์ในกลุ่มโซเชียลมีเดียที่สนับสนุนรัฐบาลทหารบางกลุ่มเผยให้เห็นทหารจำนวนหนึ่งกำลังชูธงที่ฐานทหารแห่งหนึ่งซึ่ง KNU ควบคุมไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนและได้ชูธงของตนเอง

ด้าน โฆษกของ KNU ระบุว่า รัฐบาลทหารที่ดำเนินการตอบโต้เพื่อยึดคืนเมืองเมียวดี ได้กลับเข้ามาในพื้นที่ด้วยความช่วยเหลือจากกองกำลังทหารอาสาในพื้นที่ ที่เคยเคียงข้าง KNU เมื่อครั้งเข้าปิดล้อมเมืองเมื่อต้นเดือน เม.ย.

รัฐบาลทหารและกองกำลังกะเหรี่ยงแห่งชาติ (KNA) ที่เคยเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดนรัฐกะเหรี่ยง (หรือกะเหรี่ยงบีจีเอฟ- Karen BGF) ไม่ตอบรับโทรศัพท์ที่รอยเตอร์ติดต่อเพื่อขอความคิดเห็น

KNA ที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายเดียวกับรัฐบาลทหาร ได้ยืนยันที่จะแยกตัวออกจากกองทัพพม่าที่อ่อนแอลงในปีนี้ แต่ไม่ได้ให้คำมั่นต่อสาธารณะว่าจะเข้าพวกกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร

อดีตกองกำลังพิทักษ์ชายแดนรัฐกะเหรี่ยงกลุ่มนี้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พ.อ.ซอ ชิด ตู่ และมีผลประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างมากในเมืองเมียวดีและพื้นที่โดยรอบ ที่รวมทั้งกาสิโน บ่อนการพนันออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์

‘กรีซ’ อ่วม!! เมฆฝุ่นจากทะเลทรายซาฮาราพัดถล่ม ‘เอเธนส์’ ทำทั้งเมืองกลายเป็น ‘สีส้ม’ แถมทิวทัศน์มองเห็นไม่ชัดเจน

(24 เม.ย.67) กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ถูกหมอกสีส้มปกคลุมทั่วทั้งเมือง เนื่องจากเมฆฝุ่นที่ลอยมาจากทะเลทรายซาฮารา ซึ่งปรากฏการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในสภาพอากาศที่แย่ที่สุด ที่ส่งผลกระทบต่อกรีซ นับตั้งแต่ปี 2561

ทั้งนี้ สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า กรีซประสบกับสภาพอากาศย่ำแย่ โดยมีเมฆสีที่คล้ายกันนี้ปกคลุมเมืองตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี.ค. จนถึงต้นเดือนเม.ย. อีกทั้งยังครอบคลุมไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ และทางตอนใต้ของฝรั่งเศส

อย่างไรก็ตาม กรีซมีคุณภาพอากาศย่ำแย่ลงในหลายพื้นที่ และในช่วงเช้าที่ผ่านมาทิวทัศน์ในกรุงเอเธนส์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป เนื่องจากมีฝุ่นหนา และชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะทางตอนใต้ของกรีซมีความอบอ้าว เนื่องจากเผชิญทั้งฝุ่น และสภาพอากาศร้อน

ด้านรัฐบาลขอให้ประชาชนใช้เวลาข้างนอกอย่างจำกัด สวมใส่หน้ากากป้องกัน และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายจนกว่าเมฆฝุ่นจะสลายไป

อย่างไรก็ดี กรมอุตุนิยมวิทยากรีซ คาดว่า ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งในวันพุธ

ทั้งนี้ ทะเลทรายซาฮารามักปล่อยฝุ่นแร่สู่ชั้นบรรยากาศ 60-200 ล้านตันต่อปี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top