Saturday, 19 April 2025
COLUMNIST

‘ร้านอาหารจีน’ ขึ้นป้ายเก็บ ‘ค่าบริการ 104%’ ลูกค้าอเมริกัน ลั่น หากมีปัญหากรุณากลับไปถามสถานทูตสหรัฐฯ

ร้านเด็ดแดนมังกรขึ้นป้ายสุดปั่น! เก็บ 'ค่าบริการ 104%' สำหรับลูกค้าอเมริกัน — งงให้ไปถามสถานทูตเอง

งานนี้เรียกว่าเผ็ดไม่แพ้หมาล่า เมื่อร้านอาหารแห่งหนึ่งในจีนติดป้ายประกาศกลางร้านแบบไม่แคร์ลุงแซมว่า “ตั้งแต่วันนี้ ทางร้านจะคิดค่าบริการ 104% สำหรับลูกค้าสัญชาติอเมริกัน หากมีข้อสงสัย กรุณาสอบถามสถานทูตสหรัฐฯ”

แค่เห็นตัวเลขก็สะดุ้งแล้ว ค่าบริการแรงกว่าราคากับข้าว! ชาวเน็ตจีนพากันแชร์ภาพนี้รัว ๆ บ้างก็แซวว่า “ถ้าเป็นอเมริกันจริงๆ คงต้องพกนักการทูตมาด้วย” ขณะที่ฝั่งต่างชาติบางคนถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ถามว่า “นี่ล้อเล่นหรือจริง?”

ถึงแม้จะยังไม่ชัวร์ว่าร้านนี้อยู่เมืองไหน แต่ดูจากสไตล์ร้านแล้วน่าจะเป็นร้านหม้อไฟหรือร้านแนวสตรีทฟู้ดยอดนิยมในเมืองใหญ่ของจีน แถมการตั้งราคานี้ก็สะท้อนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับบรรยากาศทางการเมืองระหว่างสองประเทศได้แบบแสบ ๆ คัน ๆ

ใครจะกินก็คิดดี ๆ ล่ะครับ ถ้าเกิดถือพาสปอร์ตอเมริกันขึ้นมา อาจจะได้กินหม้อไฟหมื่นหยวนไม่รู้ตัว

แกะรอยอคติจากปลายปากกา ผู้ต้องหาตามมาตรา 112 เรื่องเล่าจากบทความปี 2009 ของ ‘Paul Chambers’

(10 เม.ย. 68) ในโลกของนักวิชาการต่างชาติที่เขียนถึงประเทศไทย มีไม่กี่คนที่ข้าพเจ้าจำชื่อได้แม่นเท่า Paul Chambers ไม่ใช่เพราะลุ่มหลงในภูมิปัญญาของเขา แต่เพราะเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ใช้คำว่า “เครือข่ายวัง” (network monarchy) อย่างสม่ำเสมอราวกับเป็นสูตรสำเร็จของทุกปัญหาไทย

ไม่ว่าจะรัฐประหารปีไหน หรือใครขึ้นเป็นนายกฯ ใหม่ สุดท้ายเขาก็จะพาเรื่องวกกลับไปสรุปว่าสถาบันฯ คือผู้เล่นเบื้องหลัง เป็น “ตัวแปรหลัก” ของทุกการเมืองไทย และกองทัพก็เป็นเพียง “หุ่นเชิดในระบบอุปถัมภ์”

ข้าพเจ้าเคยคิดว่าอาจเป็นเพียงความบังเอิญของคนมองไทยจากภายนอก แต่เมื่อได้อ่านบทความของเขาที่ลงใน New Mandala เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2009 ชื่อว่า
"Thailand’s military: perpetually political, forever factionalized, again ascendant"
ความสงสัยของข้าพเจ้ากลับกลายเป็นความมั่นใจ—ว่างานเขียนของเขาไม่ได้ต้องการ “เข้าใจไทย” หากแต่เป็นการ “ตั้งธง” เพื่อชี้นำผู้อ่านให้มองสถาบันกับกองทัพไทยในแง่ลบโดยมีเป้าหมายบางอย่างแอบแฝงอยู่

เบื้องหลังบทความวิชาการ: เมื่อพอล แชมเบอร์สสวมเสื้อคลุมนักวิชาการเพื่อจ้องรื้อโครงสร้างของสถาบัน

ในโลกวิชาการที่ควรตั้งอยู่บนฐานของข้อเท็จจริงและความเป็นกลาง งานเขียนของ พอล แชมเบอร์ส ใน New Mandala กลับเป็นตัวอย่างชัดเจนของการ บิดเบือนบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และแทรกความคิดเชิงครอบงำของตะวันตกเข้ามาในบริบทที่เขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้

จุดตั้งต้นของการเหมารวม: สถาบันคือปัญหา

แชมเบอร์สพยายามผูกโยง สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ากับเครือข่ายอำนาจทางทหารโดยมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นศูนย์กลาง ซึ่งในทางรูปแบบเหมือนจะเป็นการวิเคราะห์โครงสร้างอำนาจ แต่ในทางเนื้อหา กลับสอดแทรกอคติในลักษณะ “ลดทอนบทบาทของสถาบันให้เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง”

เขาเขียนด้วยภาษาชี้นำเต็มเปี่ยม เช่น “palace-backed generals” หรือ “monarchical network,” วางน้ำหนักทุกบรรทัดเพื่อพาไปสู่บทสรุปเดียวว่า—สถาบันคือแกนกลางของโครงสร้างที่ขัดขวางประชาธิปไตย

แต่ข้าพเจ้ากลับพบสิ่งที่น่าสงสัยมากกว่านั้น:

เขาไม่พูดถึงบริบทความไม่มั่นคงของประเทศในช่วงหลังสงครามเย็น

เขาไม่แตะเลยถึงปัญหาคอร์รัปชันของนักการเมืองที่ทำให้ทหารต้องเข้ามา

เขามองข้ามการเคลื่อนไหวขององค์กรต่างชาติที่มีบทบาทในหลายวิกฤตการเมืองไทย

ทุกอย่างถูกโยนเข้ากองเดียวกัน—ว่าสถาบันฯ หนุนหลัง และกองทัพคือเครื่องมือ

นักวิชาการหรือนักปลุกปั่นแฝงตัว?

สิ่งที่น่าสังเกตคือ แชมเบอร์สไม่ได้ตั้งคำถามกับความชอบธรรมของการเลือกตั้ง หรือกลุ่มทุนผูกขาดที่แทรกซึมการเมืองไทย หากแต่เลือกโจมตีเฉพาะ “ความใกล้ชิดระหว่างกองทัพกับสถาบันพระมหากษัตริย์” ราวกับว่า สถาบันเป็นต้นเหตุของความล้าหลังและไม่เป็นประชาธิปไตย

นี่ไม่ใช่เพียงความเข้าใจผิด แต่คือเจตนาแทรกแซงในระดับโครงสร้าง

การพยายามแปะป้ายว่าสถาบันเป็น “ศูนย์กลางอำนาจที่ครอบงำการเมือง” คือความพยายาม เปลี่ยนสถานะของสถาบันจาก “สัญลักษณ์แห่งชาติ” ให้กลายเป็น “ฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้ง” ซึ่งถือเป็นการจงใจสร้างภาพเท็จและกระทบต่อความมั่นคงของชาติ

บทความเดียวที่กลายเป็นพิมพ์เขียวของทุกงานหลังจากนั้น

สิ่งที่ข้าพเจ้าพบคือ: บทความในปี 2009 นี้ กลายเป็นพิมพ์เขียวของทุกสิ่งที่ Paul Chambers จะเขียนในทศวรรษถัดมา ไม่ว่าจะกรณีรัฐประหารปี 2557 การเมืองหลังการเลือกตั้ง 2562 หรือการเปลี่ยนแปลงผู้นำกองทัพ เขายังคงลากสถาบันเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ ไม่ว่าจะมีหลักฐานชัดเจนหรือไม่ก็ตาม

การเชื่อมโยงแบบข้ามขั้นตอน (shortcut reasoning) ที่เขาใช้ เป็นกลยุทธ์การสร้างวาทกรรมมากกว่างานวิเคราะห์—พูดง่าย ๆ คือเขา “วางหมากไว้ก่อน แล้วเขียนให้เข้าหา”

อคติที่แฝงอยู่ในโครงสร้างของภาษา

เมื่อข้าพเจ้าพิจารณาบทความปี 2009 ให้ลึกลงไป สิ่งที่สะดุดใจที่สุดไม่ใช่เพียงเนื้อหา แต่คือภาษาที่เขาเลือกใช้:

เขาใช้คำที่พาให้ผู้อ่าน “คล้อยตาม” โดยไม่ได้ตั้งคำถาม เช่น “again ascendant,” “factionalized by royal patrons”

เขาไม่เคยเปิดพื้นที่ให้อธิบายสถาบันในมิติที่เป็น ศูนย์รวมใจ หรือ หลักประกันของเสถียรภาพรัฐ

เขาไม่ให้เครดิตกับบทบาทการประสานและคลี่คลายความขัดแย้งที่สถาบันเคยทำมา

ทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่า - Chambers ไม่ได้เขียนเพื่ออธิบาย แต่เขียนเพื่อ “เจาะความชอบธรรม” ของสถาบันในสายตานานาชาติ

การเมืองเชิงวาทกรรม: กับดักของภาษาและความเป็นอาณานิคม

แชมเบอร์สใช้กลวิธีแบบ “วาทกรรมวิพากษ์” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมในวงการรัฐศาสตร์สายตะวันตก เช่นการใช้คำว่า “networks of palace-backed military elites” หรือ “network monarchy” ที่ดูเหมือนจะมีน้ำหนักทางวิชาการ แต่ เป็นการสร้างภาพว่าไทยถูกครอบงำโดยกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่ไม่ผ่านประชาธิปไตย

คำถามคือ ทำไมนักวิชาการฝรั่งเหล่านี้ไม่ตั้งคำถามกับ ประธานาธิบดีที่ใช้อำนาจผ่านกองทัพในลาตินอเมริกา หรือราชวงศ์ตะวันออกกลางที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ?

คำตอบชัดเจน—พวกเขาไม่ได้ต้องการความยุติธรรมทางวิชาการ แต่ต้องการ เปลี่ยนสมการอำนาจของโลกให้เป็นไปตามค่านิยมตะวันตกเท่านั้น

ความเข้าใจผิดที่จงใจสร้าง: สถาบันมิได้สั่งการ แต่ดำรงอยู่เพื่อรักษาสมดุล

แม้ในหลายช่วงเวลา สถาบันจะมีความสัมพันธ์กับกองทัพในฐานะองค์อุปถัมภ์ แต่การเหมารวมว่าสถาบัน “ควบคุม” หรือ “กำหนดการเมืองไทย” คือการบิดเบือนที่ร้ายแรง

ในรัฐธรรมนูญไทย สถาบันเป็นกลางทางการเมืองและมิได้มีอำนาจบริหารใด ๆ การที่กองทัพจะอ้างความจงรักภักดีนั้น เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์การวางตนทางการเมืองของกองทัพเอง มิใช่เจตนาของสถาบัน
การวิเคราะห์โดยเหมารวมว่าสถาบัน “เอื้อ” หรือ “หนุน” รัฐประหารทุกครั้ง จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เป็น ความพยายามสร้างตราบาปให้สถาบันผ่านงานวิชาการ

เรื่องนี้สำคัญอย่างไร?

ข้าพเจ้ามองว่านี่ไม่ใช่เพียง “บทความหนึ่งชิ้นในอดีต” แต่คือ รากฐานของวาทกรรมที่ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ผ่านเวทีสื่อตะวันตก สื่อภาษาอังกฤษ และแม้กระทั่งนักศึกษาบางกลุ่มในประเทศไทย

เมื่อกรอบคิดที่มีอคติถูกเผยแพร่โดยนักวิชาการต่างชาติที่ได้รับเครดิตในเวทีโลก งานของเขาจึงไม่ใช่แค่ “ข้อคิดเห็น” แต่กลายเป็น เครื่องมือแทรกแซงความเข้าใจของสังคมไทย

และทั้งหมดนี้… เริ่มจากบทความปี 2009 ที่คนส่วนใหญ่ไม่ทันได้ระวัง

ปัจฉิมบท: ความเป็นวิชาการมิใช่เกราะกำบังอคติ

งานเขียนของ Paul Chambers ทำให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่า ความเป็นนักวิชาการมิใช่ข้อยกเว้นจากความลำเอียง

เพราะหากเราไม่ตั้งคำถามกับ “ความรู้ที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อื่น” เราก็อาจยอมให้คนภายนอกเป็นผู้กำหนดอนาคตของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว

> และเพราะเหตุนี้เอง ข้าพเจ้าจึงต้องเริ่มต้นที่บทความเล็ก ๆ ในปี 2009เพื่อเปิดโปงอคติที่แฝงอยู่หลังถ้อยคำที่ดูเหมือนเป็นกลาง แต่แท้จริงแล้ว—ไม่เป็นกลางเลยแม้แต่น้อย.

แล้วข้าพเจ้าเชื่อว่างานเขียนหลังจากนี้ จะมีหลายๆงานเขียนที่เข้าล่วงไปถึง บ้านเมืองไม่น้อยเลยทีเดียว

‘สเตฟาน บันเดรา’ กับกระแสนีโอนาซีในยูเครน ผู้ถูกกล่าวมีส่วนสังหารหมู่ชาวโปแลนด์และยิวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

สเตฟาน บันเดรา (Stepan Bandera, 1909–1959) เป็นผู้นำของขบวนการชาตินิยมยูเครน (OUN – Organization of Ukrainian Nationalists) มีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องเอกราชของยูเครนจากสหภาพ โซเวียต ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาได้ร่วมมือกับฝ่ายอักษะ กลุ่มของเขา (OUN-B) ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงและการสังหารหมู่ชาวโปแลนด์และชาวยิวในโวลฮีเนีย (Volhynia) และกาลิเซีย (Galicia) ในช่วงปีค.ศ. 1943–1944

หลังการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซียในปี ค.ศ. 1917 ความพยายามสร้างรัฐชาติยูเครนเริ่มต้นขึ้น แต่ถูกรัฐโซเวียตควบรวมเข้าเป็นหนึ่งในสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1922 การเรียกร้องเอกราชของยูเครนทำให้ยูเครนกลายเป็นกระแสต้านอำนาจของรัฐรัสเซีย-โซเวียต ในทศวรรษ 1930 การปราบปรามทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมโดยเฉพาะยุทธการกวาดล้างทางชนชั้นและความอดอยากครั้งใหญ่ (Holodomor) ได้ส่งผลต่อการตื่นตัวของแนวคิดชาตินิยมยูเครน

บันเดราได้เข้าร่วมกับองค์การชาตินิยมยูเครน (OUN) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อปลดปล่อยยูเครนจากการปกครองของทั้งโปแลนด์และโซเวียต โดยเน้นความรุนแรง การลอบสังหาร และการก่อกบฏในรูปแบบกองโจร ในปี ค.ศ. 1934 เขาถูกจับในโปแลนด์หลังการลอบสังหารรัฐมนตรีมหาดไทยของโปแลนด์แม้จะถูกจำคุกแต่เขายังคงได้รับความเคารพในหมู่ชาตินิยมยูเครน ในปีค.ศ. 1940 ขบวนการ OUN แบ่งออกเป็นสองฝ่าย: OUN-M นำโดยอันเดรย์ เมลนิก (Andriy Melnyk) และ OUN-B นำโดยสเตฟาน บันเดรา

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกลุ่ม OUN-B (องค์การชาตินิยมยูเครน - ฝ่ายบันเดรา) ได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธของตนเองคือ กองทัพกบฏยูเครน «Українська повстанська армія, UPA» ขึ้นในปี ค.ศ. 1942 – 1943 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรัฐยูเครนอิสระภายใต้แนวคิดชาตินิยมสุดโต่ง หนึ่งในเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของ UPA คือการขจัด 'ศัตรูภายใน' ได้แก่ ชาวโปแลนด์ ชาวยิวและชาวรัสเซียซึ่งถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการก่อตั้งรัฐชาติยูเครนที่ 'บริสุทธิ์ทางชาติพันธุ์' โดยชาวยิวถูกตราหน้าว่าเป็น 'ส่วนหนึ่งของคอมมิวนิสต์โซเวียต' และถูกกำจัดในฐานะศัตรูของรัฐยูเครนใหม่ ในช่วงเริ่มต้นของการยึดครองโดยนาซี (1941) สมาชิก OUN บางส่วนให้ความร่วมมือกับหน่วยสังหารของนาซี (Einsatzgruppen) ในการระบุตัวและข่มเหงชาวยิว ในช่วงปี ค.ศ. 1943 – 1944 กองกำลัง UPA ถูกกล่าวหาว่าดำเนินการ “การกวาดล้างชาติพันธุ์” (ethnic cleansing) ต่อชาวโปแลนด์ในภูมิภาคโวลฮีเนียและกาลิเซียซึ่งอยู่ภายใต้การยึดครองของนาซีเยอรมนีในเวลานั้น มีการจู่โจมหมู่บ้านชาวโปแลนด์กว่า 1,000 แห่ง รายงานจากทั้งฝั่งโปแลนด์และนักประวัติศาสตร์สากลระบุว่ามีชาวโปแลนด์เสียชีวิตราว 40,000 – 100,000 คน เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในโวลฮีเนีย” (Volhynian Genocide) โดยในปี ค.ศ. 2016 รัฐสภาโปแลนด์ลงมติประกาศว่าเหตุการณ์ในโวลฮีเนียเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยเจตนา

เมื่อเยอรมนีรุกรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1941 บันเดราและ OUN-B ประกาศเอกราชของยูเครนในเมืองลวีฟ (Lviv) โดยหวังว่าเยอรมนีจะสนับสนุนรัฐยูเครนอิสระ แต่เมื่อฝ่ายนาซีไม่ยอมรับความเป็นเอกราชของยูเครนจึงทำให้บันเดราถูกจับโดยเกสตาโปและส่งไปยังค่ายกักกันซัคเซนเฮาเซน (Sachsenhausen) จนถึงปี ค.ศ.1944 แม้จะถูกกักขังแต่การกระทำของเขาถูกจดจำว่าเป็นก้าวที่กล้าหาญทางการเมืองในการประกาศเอกราชยูเครนอย่างเปิดเผย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงครามโลก

บันเดรานำเสนอแนวคิด “ยูเครนสำหรับชาวยูเครน” «Україна для українців» โดยเน้นการสร้างชาติผ่านการปลดปล่อยจากอำนาจโซเวียตและรัสเซีย การกำจัดอิทธิพลจากชาวยิวและโปแลนด์ การต่อสู้ด้วยกองกำลังกึ่งทหารและกองโจรในชนบทตะวันตก หลังถูกสังหารโดย KGB ในเยอรมนีตะวันตกในปี ค.ศ. 1959 ชื่อของสเตฟาน บันเดราได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต้านโซเวียต โดยเฉพาะในยูเครนตะวันตก ซึ่งถือว่าเขาเป็น “นักสู้เพื่อเสรีภาพ” ขณะที่รัสเซียยังคงมองว่าเขาคือ “ผู้ทรยศและนาซี”

หลังเหตุการณ์ 'การปฏิวัติสีส้ม' (Orange Revolution) ในปีค.ศ. 2004–2005 ซึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในยูเครน ประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยูชเชนโกซึ่งมีจุดยืนในความเป็นชาตินิยมและความใกล้ชิดกับตะวันตกอย่างชัดเจน เขาได้ผลักดันแนวทางการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ยูเครนผ่านมุมมองของชาตินิยมตะวันตก หนึ่งในนโยบายที่สำคัญคือการรื้อฟื้นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ต่อต้านจักรวรรดิรัสเซียและสหภาพโซเวียตให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาติยูเครน ในมุมมองของประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยูชเชนโกบันเดราเป็น “นักสู้ผู้กล้าหาญเพื่ออิสรภาพของยูเครน” โดยไม่ให้ความสำคัญกับข้อครหาทางด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับนาซีหรือการใช้ความรุนแรงของ OUN-B

ในวันที่ 22 มกราคม ปีค.ศ. 2010 ซึ่งเป็นวันแห่งความสามัคคีของชาวยูเครน ประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยูชเชนโกได้ลงนามใน คำสั่งประธานาธิบดีที่ 46/2010 «Указ Президента України № 46/2010» ยกย่องบันเดราเป็นวีรบุรุษแห่งยูเครน «Герой України» ซึ่งเป็นเกียรติสูงสุดที่มอบให้กับพลเมืองที่ทำคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ประเทศ

การประกาศยกย่องให้สเตฟาน บันเดราเป็นวีรบุรุษของชาติยูเครนนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศกับรัสเซีย ในยูเครนตะวันตกโดยเฉพาะแคว้นลวิฟและอิวาโน-ฟรานคิฟส์ค ยกย่องบันเดราเป็น 'วีรบุรุษทางจิตวิญญาณ' เป็น 'วีรบุรุษ' แห่งการต่อสู้เพื่อเอกราช มีการตั้งอนุสรณ์สถาน รูปปั้น ถนน และโรงเรียนในชื่อของเขา ในทางตรงกันข้ามในยูเครนตะวันออกและใต้ซึ่งมีประชากรรัสเซียจำนวนมากตอบโต้ด้วยความไม่พอใจเห็นว่าเป็นการให้เกียรติแก่ 'ผู้ร่วมมือกับนาซี' ในขณะที่ชนกลุ่มน้อยชาวยิวและโปแลนด์ประท้วงต่อต้านอย่างรุนแรง โดยกล่าวถึงบทบาทของ OUN-B ในการสังหารหมู่พลเรือนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐสภายุโรปออกมาแสดงความ “เสียใจอย่างสุดซึ้ง” (deep regret) ต่อการยกย่องบันเดราของรัฐบาลยูเครน เนื่องจากอาจบั่นทอนกระบวนการสมานฉันท์และการยอมรับคุณค่าร่วมของยุโรป รัฐบาลรัสเซียออกมาประณามคำสั่งของยูเชนโกทันที โดยระบุว่าเป็น “การฟื้นฟูแนวคิดฟาสซิสต์ในยุโรปตะวันออก”ความขัดแย้งนี้กลายเป็น 'สนามรบทางประวัติศาสตร์' (memory war) ระหว่างยูเครนและรัสเซีย

หลังจากประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยูชเชนโกพ่ายแพ้การเลือกตั้งและวิกเตอร์ ยานูโควิช ซึ่งมีจุดยืนฝักใฝ่รัสเซียขึ้นเป็นประธานาธิบดี คำสั่งที่ยกย่องบันเดราถูกศาลปกครองในเมืองโดเนตสค์ถูกเพิกถอนในปี ค.ศ. 2011 โดยระบุว่า “บันเดราไม่ใช่พลเมืองของยูเครน” (ตามกฎหมายว่าด้วยสถานะพลเมืองปี ค.ศ. 1991) จึงไม่มีสิทธิได้รับเกียรตินี้ อย่างไรก็ตามการยกย่องดังกล่าวยังคงมีผลในเชิงสัญลักษณ์ในหมู่ชาตินิยมยูเครนและยังเป็นหัวข้อสำคัญในการต่อสู้ทางความทรงจำ (memory politics) โดยกลุ่มขวาจัดหรือนีโอนาซีบางกลุ่มในยูเครน เช่น Azov Battalion หรือกลุ่ม Right Sector อ้างอิงและเชิดชูบันเดราในเชิงอุดมการณ์

การเชื่อมโยงทั้งหมดของรัฐยูเครนกับบันเดรานั้นเป็นการขยายผลเชิงโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซีย โดยรัสเซียกล่าวหาว่ายูเครนเป็น 'รัฐนาซี' ทั้งที่ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีนั้นเป็นชาวยิว รัสเซียใช้ บันเดราเป็นภาพแทนของ 'ความสุดโต่งของยูเครน' เพื่อให้การบุกยูเครนเป็น 'ภารกิจการต่อต้านนาซี' «денацификация Украины» สื่อรัสเซียอย่าง RT และ Sputnik รวมถึงนักคิดฝ่ายสนับสนุนรัฐ อย่างเช่น อเล็กซานเดอร์ ดูกิน (Aleksandr Dugin) ได้ใช้ภาพของบันเดราเป็นสัญลักษณ์ของ 'ภัยคุกคามฟาสซิสต์' โดยในสายตาของโปแลนด์ รัสเซีย และยิว บันเดราถูกมองว่าเป็น “พวกหัวรุนแรงทางชาติพันธุ์” ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัสเซียใช้คำว่า “บันเดรอฟซึ่ย” «бандеровцы» เป็นวาทกรรมหลักในการวาดภาพลักษณ์ของผู้นำและกองกำลังยูเครนว่าเป็นพวก “ฟาสซิสต์-นีโอนาซี”เป้าหมายคือ ลดทอนความชอบธรรมของรัฐบาลยูเครน โดยโยงกับประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายของ OUN-B เห็นได้จากคำปราศรัยของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2024 ที่กล่าวว่า เราจะทำการดีนาซิฟิเคชันยูเครน «денацификация Украины»... เพื่อปกป้องผู้คนจากบันเดรอฟซี่และพวกนีโอนาซี...” สัญลักษณ์ของบันเดราถูกใช้เป็นข้ออ้างเชิงอุดมการณ์ว่า “ยูเครนไม่ใช่รัฐประชาธิปไตยแต่เป็นรัฐหัวรุนแรงที่เคารพบูชาผู้ร่วมมือกับนาซี”

​ในรัสเซียชื่อของ สเตฟาน บันเดรา (Stepan Bandera) ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของความสุดโต่งและนีโอนาซีในยูเครนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการชี้นำและควบคุมความรับรู้ของประชาชนภายในประเทศ โดยเน้นไปที่ผู้สูงอายุที่มีความทรงจำเกี่ยวกับ "สงครามผู้รักชาติ" (Great Patriotic War) กับนาซีเยอรมนี​

การสร้างภาพศัตรูผ่านบันเดราของรัสเซีย โดยรัฐบาลและสื่อที่ควบคุมโดยรัฐได้ใช้ชื่อของบันเดราเพื่อเชื่อมโยงขบวนการชาตินิยมยูเครนกับนาซีเยอรมนี โดยเรียกผู้สนับสนุนยูเครนว่า "บันเดรอฟซี่" (Banderites) เพื่อสร้างความหวาดกลัวและความไม่ไว้วางใจต่อยูเครนในหมู่ประชาชนรัสเซีย ​โดยเน้นความทรงจำในสงครามโลกครั้งที่สองสำหรับผู้สูงอายุที่มีความทรงจำเกี่ยวกับสงครามกับนาซีเยอรมนี รัสเซียยังได้ใช้การเปรียบเทียบระหว่างบันเดรากับนาซีเพื่อกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและความภาคภูมิใจในชัยชนะของสหภาพโซเวียตในสงครามครั้งนั้น ​รวมถึงการควบคุมสื่อและการเผยแพร่ข้อมูลโดยนำเสนอเนื้อหาที่เชื่อมโยงยูเครนกับนาซีและบันเดราอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการรับรู้ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ​

นอกจากนี้รัสเซียยังเชื่อมโยงยูเครนกับนาซีผ่านบันเดราเพื่อสร้างความชอบธรรมในการดำเนินการทางทหารของรัสเซียในยูเครน โดยอ้างว่ารัสเซียกำลังต่อสู้กับนีโอนาซีเพื่อปกป้องประชาชนช่วยกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ของรัสเซีย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความทรงจำเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง

สรุป สเตฟาน บันเดรายังคงเป็นบุคคลที่มีภาพลักษณ์หลากหลายและเต็มไปด้วยความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ยูเครนสมัยใหม่ สำหรับชาวยูเครนบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มชาตินิยม บันเดราคือวีรบุรุษผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชจากสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตาม ในสายตาของชาวรัสเซียและประชาคมนานาชาติบางกลุ่มเขาถูกมองว่าเป็นผู้นำขบวนการหัวรุนแรงที่มีบทบาทในการร่วมมือกับนาซีและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รัสเซียใช้ชื่อของบันเดราเป็นสัญลักษณ์ของ "นีโอนาซีในยูเครน" เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการแทรกแซงทางทหาร โดยเฉพาะในการอ้างว่าการ "ลดทอนลัทธินาซี" «денацификация» เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของปฏิบัติการทางทหารในยูเครน กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนยุทธศาสตร์ด้านข้อมูลของเครมลินเท่านั้น หากแต่ยังชี้ให้เห็นถึงการใช้ประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์-การเมืองเพื่อควบคุมการรับรู้ของประชาชนทั้งในและนอกประเทศ ในบริบทของสงครามรัสเซีย–ยูเครนการถกเถียงเกี่ยวกับตัวตนและบทบาทของบันเดราจึงไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้ทางประวัติศาสตร์เท่านั้น หากแต่กลายเป็นสงครามแห่งการเล่าเรื่อง (narrative war) ที่มีเดิมพันคือความชอบธรรมของรัฐชาติ และการกำหนดภาพลักษณ์ของศัตรูในสายตาสาธารณะ

‘ไฮโซเก๊’ เกมลวงที่ฝังรากจากเครือข่ายเด็กปั้นสายเสรีนิยม จากประชาธิปไตยพันธุ์ปลอมสู่ความเสียหายระดับสถาบัน

ข่าวใหญ่ที่ทำให้สังคมหันมามองไม่ใช่แค่เพราะดาราสาว คะน้า ริญญารัตน์ ถูกชายหนุ่มหลอกให้แต่งงานด้วย 'ทองปลอม แหวนเพชรปลอม และคำพูดปลอม' หากแต่เบื้องหลังของชายคนนี้ซับซ้อนกว่าที่คิด — ไม่ใช่แค่ 'นักต้มตุ๋น' ธรรมดา แต่คือภาพสะท้อนของ 'ระบบเครือข่าย' ที่ปลูกฝังมาเป็นสิบปีในนามของประชาธิปไตย เสรีภาพ และความยุติธรรม

ชายผู้หลอกดาราสาวคนนั้นมีชื่อว่า ธนายุทธ สิงหเสนี  ซึ่งความจริงแล้ว นามสกุล 'สิงหเสนี' ที่ใช้ก็เป็นของปลอม — ถูกสร้างขึ้นเพื่อแอบอ้างความเชื่อมโยงกับตระกูลเก่าแก่ที่เกี่ยวข้องกับคดีสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย 

อัปเดตชื่อทั้งหมดที่เคยใช้เท่าที่มีการรวบรวมไว้คือ
ชื่อที่ใช้ประกอบไปด้วย
นายธนายุทธ สิงหเสนี
นายธนายุทธ พึ่งพิบูลย์

ล่าสุดดูเหมือนว่าจะมีชื่อปลอมเพิ่มขึ้นคือ
นายธัญเทพ พึ่งพิบูลย์
นายธัญเทพ ศิริทรัพย์เดชากุล
ดร. ธัญเทพ ศิริทรัพย์เดชากุล ชื่อเล่น ฮอท (ใช้แอบอ้างในปัจจุบัน)

ข้าพเจ้าขอเรียกบุคคลคนนี้ชื่อว่านายธนายุทธละกันนะครับเพื่อความสะดวก....

แต่เรื่องของธนายุทธไม่เริ่มต้นจากคดีหลอกแต่งงาน หากย้อนกลับไปในอดีต เขาคือหนึ่งในบุคคลสำคัญในเครือข่ายเยาวชนที่ชื่อว่า 'สถาบันยุวชนสยาม' ก่อตั้งเมื่อปี 2557 ซึ่งมีที่ปรึกษาคือ ส. ศิวรักษ์ ,คุณดุษฎี พนมยงค์ ,ชาญวิทย์ เกษตรศิริและ ก็ยังมีอีกหลายคน โดยกลุ่มนี้เป็นแหล่งบ่มเพาะนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่จำนวนมาก หนึ่งในนั้นรวมถึงบุคคลที่วันนี้เรารู้จักดีในฐานะ 'นักเคลื่อนไหวสิทธิเสรีภาพ' อย่าง เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และ อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์

ธนายุทธปั้นตัวเองในเครือข่ายนี้โดยอ้างว่าเป็นทายาทของ 'ตระกูลสิงหเสนี' ซึ่งเกี่ยวพันกับคดีลอบปลงพระชนม์ รัชกาลที่ 8 พร้อมประกาศตนเป็น “ผู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับนายชิตสิงหเสนี” ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดรับรอง แต่กลับใช้เรื่องเจ้า เรื่องแผ่นดิน และเรื่องบาดแผลในประวัติศาสตร์ เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง

ในช่วงระหว่างปี 2553–2556 ซึ่งเป็นยุคที่รัฐเปิดพื้นที่ให้กับภาคเยาวชน ภายหลังรัฐประหาร 2549 เพื่อสร้างภาพลักษณ์ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม จึงเกิดเวทีอย่าง 'สภาเด็กและเยาวชน' ซึ่งกลายเป็นเวทีบ่มเพาะนักกิจกรรมรุ่นใหม่จำนวนหนึ่ง บางคนโตไปเป็นนักพัฒนา บางคนเป็นนักการเมือง แต่บางคน...กลับใช้เวทีนี้เป็นเครื่องมือสร้างตัวตนและเครือข่ายเพื่อวาระส่วนตัว

ธนายุทธ สิงหเสนี (ชื่อที่แอบอ้าง) คือหนึ่งในเยาวชนที่เข้ามาแทรกตัวอยู่ในเวทีดังกล่าวในช่วงเวลาเดียวกับบุคคลที่ต่อมากลายเป็นที่รู้จักในระดับสากลอย่าง ต้า วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ — นักเคลื่อนไหวสายประชาธิปไตย ของพรรคเพื่อไทยในเวลานั้น ซึ่งภายหลังลี้ภัยการเมืองและหายตัวไปในประเทศกัมพูชา

ธนายุทธเคลื่อนไหวควบคู่กับวันเฉลิมและคนรุ่นเดียวกัน ผ่านบทบาทใน สภาเด็กและเยาวชนระดับกรุงเทพมหานคร รวมถึงองค์กรที่มีแนวโน้มผลักดันวาทกรรมเชิงเสรีนิยมและประชาธิปไตยแบบตะวันตก โดยใช้ภาษาของ 'สิทธิเด็ก' 'สิทธิเสรีภาพ' 'ประชาธิปไตย' และ 'ความเท่าเทียม' เป็นฉากหน้า

ซึ่งทำให้เขารู้จักกับพวกกลุ่ม ยุวทัศน์กรุงเทพฯในช่วงนั้น

และเขาก็เคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับเยาวชนในกลุ่มหัวฝ่ายซ้ายมาโดยตลอดในช่วงเวลานี้ในฐานะคนที่มีนามสกุลสิงหเสนี

เขาอ้างนามสกุล 'สิงหเสนี' เพื่อสร้างภาพลักษณ์ความเกี่ยวพันกับชนชั้นนำในประวัติศาสตร์ไทย แสดงบทบาท 'ผู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตระกูลสิงหเสนีย์' ผ่านกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับคดีลอบปลงพระชนม์ รัชกาลที่ 8

จนกระทั่งเขาสามารถก่อตั้ง สถาบันยุวชนสยาม ได้ในปี 2557 นั้นเอง ซึ่งช่วงนั้นก็จะมีกิจกรรม offline ร่วมกับองค์กรที่ชื่อว่า 'กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท'

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2559 — ธนายุทธถูกจับในคดี 'ฉ้อโกงที่ดิน' คดีอาญาเต็มรูปแบบ ที่ทำให้เครือข่ายเดิมอย่าง ยุวทัศน์กรุงเทพฯ ซึ่งมีผู้นำคือ “สองพี่น้องตระกูลประจวบลาภ” ต้องรีบออกมาประกาศ “ปัดความเกี่ยวข้อง” และตัดชื่อธนายุทธออกจากทุกบทบาท โดยระบุชัดว่าเขา “ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจทางการเมืองของเครือข่าย”
การถูกจับกุมในคดีนั้นส่งผลทำให้แนวทางของการเคลื่อนไหวของกลุ่มยุวชนสยาม ต้องยุติบทบาทลงไป...

ส่วน อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์ เนี่ยเคยถูกจับกุมครั้งหนึ่งในข้อหาการชูป้ายประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร ปี2557 ร่วมกับ เนติวิทย์ ซึ่งในเวลาออกมาได้ถูกปล่อยตัว ....แล้วเข้ารับราชการ เกี่ยวข้องกับการตรวจการแผ่นดิน

แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ... ใครกันที่มาประกันตัวให้เขาในคดีนั้น?
คำตอบคือ 'ธนายุทธ' บุคคลจากเครือข่ายเดียวกัน ที่ร่วมกิจกรรมกับ "อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์" มาตั้งแต่ยุวชนสยาม รวมไปถึงนิติราษฎร์มีความสนิทสนมกับอาจารย์อย่างเช่นนิธิเอี่ยวศรีวงศ์และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล  ทำกิจกรรมต่อต้านมาตรา 112 มาโดยตลอด

โดยในเวลาต่อมา 'อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์' ได้เติบโตขึ้นไปทำงานใน “วงการยุติธรรม” และล่าสุดได้มีบทบาทเป็นหนึ่งใน คณะกรรมการ Amnesty International ประเทศไทย รุ่นเดียวกับเนติวิทย์ แล้วทำกิจกรรมตามหา ต้า วันเฉลิม ที่หายสาบสูญในกัมพูชา โดยโจมตีว่าเป็นการกระทำของฝ่ายรัฐไทย  ....

การที่ มีการเปิดเผยว่า **ธนายุทธ เป็นคนยื่นประกันตัว อภิชาติ... ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันสะท้อน “สายสัมพันธ์แน่นแฟ้น” ที่โยงกันมาตั้งแต่ยุคเด็ก — กลุ่มเดียวกัน โตมาด้วยกัน จับมือกันเคลื่อนไหว ...

ชื่อของเนติวิทย์ อภิชาติ และธนายุทธ จึงวนกลับมาอยู่ในกรอบเครือข่ายเดียวกัน — เครือข่ายที่เติบโตจากอุดมการณ์ แต่ค่อย ๆ บิดเบี้ยวจนบางคนใช้สิทธิเสรีภาพเป็นฉากหน้า และใช้ "เรื่องเจ้า" เป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจให้ตัวเอง

ปล. ที่ไฮโซเก๊คนนี้เข้าถึงผู้ใหญ่ คนใหญ่คนโตได้ระดับคุณทักษิณ ชินวัตร นั้น ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เพราะว่าคนรอบข้างที่ไฮโซเก๊ ฝังตัวอยู่นั้นก็ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่สนิทสนมกันดีกับครอบครัวชินวัตร ทั้งคุณ ทักษิณ คุณ ยิ่งลักษณ์หรือแม้แต่คุณอุ๊งอิ๊ง คนเหล่านี้ก็สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นคนเหล่านี้ทำงานให้กับพรรคเพื่อไทยกันมานาน โดยไม่รู้ว่าบางคนใช้ชื่อเสียงนำไปสู่การก้าวล่วงสถาบันฯ เกินกว่าเหตุ

‘Mr. S - Miss W’ นร.นอกที่จบจากตะวันตก ปั่นกระแส ทำลายความสัมพันธ์ ‘ไทย - จีน’ ใส่ร้าย!! สร้างวาทกรรม ‘จีนเทา’ ทั้งที่จริงนักลงทุนจีน 99% ดำเนินกิจการ อย่างโปร่งใส

(7 เม.ย. 68) มองให้ลึก ก่อนเหมารวม : เมื่อความเงียบกลายเป็นพลังบ่อนทำลาย

ช่วงนี้ในแวดวงความคิดเห็นและการเมืองระหว่างประเทศ เริ่มมีกระแสบางอย่างที่น่าสนใจและควรค่าแก่การจับตา

มีกระแสหนึ่งที่กำลังค่อย ๆ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนอย่างเงียบเชียบ มีทิศทางชัดเจน และใช้กลวิธีที่แนบเนียน

เบื้องหลังของกระแสดังกล่าว มีบุคคลกลุ่มเล็ก ๆ โดยเฉพาะสองคนที่รู้จักกันในวงในชื่อย่อว่า Mr. S และ Miss W สองนักเรียนนอกจากโลกตะวันตก ผู้ร่วมกันผลักดันวาทกรรมในเชิง “ป้ายสีจีน” ด้วยการหยิบยกข้อมูลบางด้าน และใช้เทคนิคทางภาษาเพื่อชี้นำสังคมให้เข้าใจผิด เหมารวมว่านักลงทุนจีนทั้งหมดเป็น “ทุนสีเทา”

หลายฝ่ายในวงการเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจไม่ใช่แค่ความเห็นส่วนตัว แต่เป็นการ “ปั้นกระแส” อย่างมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน

สิ่งที่สังคมไทยควรตั้งสติและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนคือ—เราไม่ควรเหมารวมบริษัทจีนทั้งหมดว่าเป็นกลุ่มทุนสีเทา

ในความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนจีนกว่า 99% ที่เข้ามาในประเทศไทย ล้วนเป็นบริษัทระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง โปร่งใส และสร้างงานให้กับคนไทยอย่างจริงจัง อาทิ :
 • GWM
 • Haier
 • Midea
 • Hisense
 • BYD
 • GAC AION
 • Longi
 • MG
 • ChangAn
 • CATL
 • SVOLT

บริษัทเหล่านี้ปฏิบัติตามกฎหมายไทย และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ

แม้จะไม่มีใครกล้ายืนยันว่าเบื้องหลังของกระแสนี้คืออะไรแน่ แต่ในโลกของการทูต “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ”

ทุกกระแสที่ถูกจุดขึ้น ล้วนมีที่มา

และทุกความเคลื่อนไหว ย่อมมี “ราคา” ที่ตามมาเสมอ

‘โอเดสซา’ เป้าหมายสำคัญ!! ทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลต่อพลังอำนาจ คุมเมืองนี้ได้!! หมายถึง การปิดล้อมยูเครน จากทะเลโดยสมบูรณ์

(7 เม.ย. 68) เมืองโอเดสซา (Odesa) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยูเครนริมฝั่งทะเลดำ เป็นหนึ่งในเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน เนื่องจากบทบาททั้งทางเศรษฐกิจ การทหาร และประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า หากโอเดสซาถูกยึดครองโดยรัสเซีย ความมั่นคงของยูเครนและโครงสร้างพลังงาน-การค้าของยุโรปจะถูกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง

เราสามารถเห็นตลอดสงครามที่ผ่านมาโอเดสซาเป็นเป้าหมายสำคัญของการการโจมตีของฝั่งรัสเซียมาโดยตลอด เมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่าโอเดสซามีความสำคัญ 5 ด้านด้วยกัน

1) โอเดสซาเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลและการค้าโลก
โอเดสซา (Odessa หรือ Odesa) ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลดำในตอนใต้ของยูเครน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก ทำเลของโอเดสซาเอื้อให้เมืองนี้ทำหน้าที่เป็น “ประตู” สำคัญของยูเครนในการเชื่อมต่อกับภูมิภาคอื่นๆ ได้แก่ ยุโรปตอนใต้ (ผ่านช่องแคบบอสฟอรัส) ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (ผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) รวมถึงเครือรัฐเอกราช (CIS) และตลาดยูเรเซียน ในแง่นี้ โอเดสซาทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ และ จุดผ่านส่งออกสินค้าเกษตร พลังงาน และสินค้าอุตสาหกรรมของยูเครน โดยเฉพาะธัญพืช เช่น ข้าวโพดและข้าวสาลี ซึ่งยูเครนถือเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก

ท่าเรือโอเดสซา (Odesa Port) เป็นหนึ่งในท่าเรือเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดของทะเลดำ โดยมีโครงสร้างพื้นฐานครบครันทั้งสำหรับการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ สินค้าเหลว สินค้าเทกอง และเรือโดยสารรองรับการขนส่งมากกว่า 40 ล้านตันต่อปี เป็นศูนย์กลางของเครือข่ายรางและถนนที่เชื่อมต่อกับยุโรปตะวันออก มีเขตปลอดภาษีและเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ เมื่อเทียบกับท่าเรืออื่น ๆ เช่น มิโคลาอีฟ(Mykolaiv) หรือ โครโนมอรสก์ Chornomorsk โอเดสซามีบทบาทสำคัญกว่าทั้งในแง่ของขนาด ความสามารถในการรองรับเรือขนาดใหญ่และการเป็นศูนย์ควบคุมด้านการค้า

โอเดสซาจึงเป็นท่าเรือใหญ่ที่สุดของยูเครนและมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ เป็นท่าเรือส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด และน้ำมันพืช ไปยังตลาดโลก โดยเฉพาะในแอฟริกาและตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีบทบาทสำคัญใน "ข้อตกลงธัญพืช" (Black Sea Grain Initiative) ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างยูเครน–ตุรกี–สหประชาชาติ–รัสเซีย เพื่อให้การส่งออกผ่านทะเลดำดำเนินต่อไปได้แม้ในช่วงสงคราม หากโอเดสซาถูกปิดล้อมหรือยึดโดยรัสเซียจะทำให้ระบบส่งออกของยูเครนล่มสลาย และตลาดอาหารโลกเกิดความปั่นป่วน แสดงให้เห็นว่าโอเดสซาไม่ได้มีความสำคัญเพียงสำหรับยูเครนหรือรัสเซียเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อ เสถียรภาพทางอาหารของโลกโดยตรงอีกด้วย

2) โอเดสซาเป็นจุดเชื่อมสำคัญของ NATO และตะวันตก
โอเดสซาอยู่ใกล้พรมแดนมอลโดวาและอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มประเทศ NATO ในยุโรปตะวันออก เช่น โรมาเนียและบัลแกเรีย ดังนั้นโอเดสซาจึงมีบทบาทเป็นแนวหน้าในการต้านการขยายอิทธิพลของรัสเซียทางทะเล การควบคุมโอเดสซาจะทำให้รัสเซียสามารถคุกคามน่านน้ำของ NATO ได้มากขึ้น และอาจกลายเป็นจุดตัดเส้นทางการขนส่งยุทโธปกรณ์และความช่วยเหลือจากตะวันตกผ่านทะเลดำ

3) การเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ "Land Bridge" สู่ทรานส์นิสเตรีย
ทรานส์นีสเตรีย (หรือ “ПМР” – Приднестровская Молдавская Республика) เป็นดินแดนที่ประกาศเอกราชจากมอลโดวาในช่วงหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย และยังคงมีทหารรัสเซียประจำการอยู่ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ทรานส์นิสเตรียมีประชากรเชื้อสายรัสเซียและยูเครนจำนวนมาก มีรัฐบาลเฉพาะกิจและนโยบายที่ใกล้ชิดกับเครมลิน มีกองกำลังรัสเซียจำนวน1,500 นายประจำการในนาม “กองกำลังรักษาสันติภาพ” ดังนั้น ทรานส์นีสเตรียจึงเป็น “ด่านหน้าของรัสเซีย” ในยุโรปตะวันออก และอาจกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับการขยายอิทธิพลไปยังมอลโดวาและคาบสมุทรบอลข่าน

ในบริบทของสงครามรัสเซีย–ยูเครน แนวคิด “Land Bridge” หมายถึงการสร้างแนวต่อเนื่องของพื้นที่ควบคุมทางบกของรัสเซียจากดอนบาส ผ่านแคว้นเคอร์ซอน–ซาปอริซเซีย–ไครเมีย และลงมาทางโอเดสซา จนไปถึง ทรานส์นีสเตรีย (Transnistria) — ดินแดนที่รัสเซียให้การสนับสนุนอย่างไม่เป็นทางการในมอลโดวาตะวันออก หากรัสเซียสามารถควบคุมดินแดนนี้ได้ทั้งหมด จะทำให้เกิด “โค้งอิทธิพล” เชิงพื้นที่ที่เชื่อมรัสเซียกับดินแดนมอลโดวาตะวันออกโดยไม่ขาดตอน สามารถเสริมเส้นทางส่งกำลังทหาร/ข่าวกรอง/ทรัพยากร ระหว่างรัสเซีย–ไครเมีย–ทรานส์นีสเตรีย โดยไม่พึ่งทางอากาศหรือทะเลที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตี ซึ่งถือเป็นชัยชนะเชิงภูมิรัฐศาสตร์สำคัญ สามารถเชื่อมอิทธิพลทางทหารจากทะเลดำเข้าสู่ยุโรปตะวันออกตอนล่างและปิดกั้นทางออกทะเลของยูเครนอย่างสมบูรณ์ นี่จึงเป็นหนึ่งใน “Grand Strategy” ของรัสเซีย ที่ไม่ได้หยุดแค่ดอนบาสหรือไครเมีย แต่ครอบคลุมถึงการสร้าง “แนวต่อเนื่องแห่งอิทธิพล” บนแผ่นดินยุโรปตะวันออก

ซึ่งเห็นได้ชัดจากคำกล่าวของ พลโทรุสตัม มินเนคาเยฟ (Rustam Minnekayev) รองผู้บัญชาการกองทัพภาคกลางของรัสเซีย ที่กล่าวต่อสาธารณะในปี 2022 ว่า “เป้าหมายประการหนึ่งของปฏิบัติการทางทหารพิเศษคือการสร้างการควบคุมอย่างเต็มรูปแบบเหนือพื้นที่ทางใต้ของยูเครน ซึ่งจะช่วยให้มีทางออกอื่นสำหรับทรานส์นีสเตรีย” แสดงให้เห็นว่า "Land Bridge" ไม่ใช่แนวคิดสมมุติ แต่เป็น เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่อยู่ในการพิจารณาของกองทัพรัสเซีย

4) ความหมายเชิงประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์
โอเดสซาเป็นเมืองที่มีความสำคัญในสมัยจักรวรรดิรัสเซียและสหภาพโซเวียต มีประชากรรัสเซียจำนวนมากในอดีต แม้ว่ายูเครนจะเป็นรัฐอธิปไตยตั้งแต่ปี 1991 แต่โอเดสซายังคงมีประชากรจำนวนมากที่ใช้ภาษารัสเซียเป็นหลัก และมีประวัติของการสนับสนุนแนวคิดนิยมรัสเซียในบางช่วงเวลา หลังการปฏิวัติยูโรไมดานในปี 2014 และการผนวกไครเมียโดยรัสเซีย มีความตึงเครียดในโอเดสซาระหว่างกลุ่มสนับสนุนยูเครนกับกลุ่มนิยมรัสเซีย เช่นเหตุการณ์ไฟไหม้อาคารสหภาพแรงงานในเดือนพฤษภาคม 2014 ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 40 ราย เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่รัสเซียใช้เพื่อชี้ถึงการ “ปราบปรามชาวรัสเซีย” ในยูเครน

นอกจากนี้เป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม การค้า และการทหารที่เคยเป็นของจักรวรรดิรัสเซียตั้งแต่ศตวรรษที่ 18  โอเดสซาก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1794 โดยคำสั่งของจักรพรรดินีแคเธอรีนมหาราชา หลังจากรัสเซียได้ดินแดนจากอาณาจักรออตโตมันผ่านสงคราม ในช่วงศตวรรษที่ 19 เมืองนี้กลายเป็นท่าเรือสำคัญและเมืองพหุวัฒนธรรมภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย มีบทบาทโดดเด่นในระบบเศรษฐกิจของจักรวรรดิและในเวลาต่อมาของสหภาพโซเวียต โดยมีประชากรพูดภาษารัสเซียจำนวนมาก สถาปัตยกรรม วรรณกรรม และชีวิตทางวัฒนธรรมของโอเดสซาสะท้อนอัตลักษณ์รัสเซียอย่างลึกซึ้ง โอเดสซายังเป็นบ้านของนักเขียนชื่อดัง เช่น อิสฮัก บาเบล (Isaac Babel) ซึ่งสะท้อนภาพเมืองในฐานะศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของรัสเซียทางตอนใต้

ดังนั้นโอเดสซาจึงเป็นเป้าหมายสำคัญใน “นโยบายรวมชาติชาวรัสเซีย” (русский мир) หรือ “Russian World” ของเครมลินซึ่งเป็นแนวคิดเชิงภูมิรัฐศาสตร์-วัฒนธรรมที่กลายมาเป็นรากฐานสำคัญของนโยบายต่างประเทศของรัสเซียภายใต้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 2000 เป็นต้นมา แนวคิดนี้เสนอว่ารัสเซียมีหน้าที่และสิทธิในการปกป้อง “โลกของชาวรัสเซีย” ซึ่งหมายถึงประชาชนเชื้อสายรัสเซีย ชาวสลาฟอีสเทิร์น-ออร์โธดอกซ์ และผู้ใช้ภาษารัสเซียในประเทศอื่น ๆ ของอดีตสหภาพโซเวียต โดยเฉพาะในยูเครน เบลารุส คาซัคสถาน และประเทศในคอเคซัสและบอลติก ภายใต้นโยบาย (русский мир) โอเดสซาไม่ได้ถูกมองเพียงในมิติภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นการ “กู้คืน” เมืองประวัติศาสตร์ที่ถูก “แยก” ออกจากโลกของรัสเซียโดยความผิดพลาดของประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในมุมมองของผู้นำรัสเซียซึ่งเชื่อว่าการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็น “โศกนาฏกรรม” ทางภูมิรัฐศาสตร์ ในปี 2021 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินได้เขียนบทความชื่อว่า “On the Historical Unity of Russians and Ukrainians” ซึ่งกล่าวถึงยูเครนว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “โลกเดียวกัน” กับรัสเซีย เมืองอย่างโอเดสซาจึงถูกตีความว่าเป็น “เมืองรัสเซียโดยธรรมชาติ” ที่ควรกลับคืนสู่โลกของรัสเซีย

5) สถานการณ์ทางทหารและการโจมตี
ตั้งแต่เริ่มสงครามในปี 2022 โอเดสซาเป็นเป้าหมายของขีปนาวุธจากรัสเซียซ้ำแล้วซ้ำเล่า โครงสร้างพื้นฐานพลังงานและท่าเรือถูกโจมตีหลายครั้งมีความพยายามในการใช้โดรนโจมตีท่าเรือและโกดังธัญพืชอย่างต่อเนื่องเป็นจุดที่ยูเครนพยายามตั้งระบบป้องกันทางอากาศอย่างเข้มข้น 

โดยเหตุการณ์การโจมตีที่สำคัญมีดังนี้

6 มีนาคม 2024: ขีปนาวุธของรัสเซียระเบิดใกล้กับสถานที่ที่ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี และนายกรัฐมนตรีกรีซ คีเรียกอส มิตโซตากิส กำลังประชุมกันในโอเดสซา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน

17 พฤศจิกายน 2024: รัสเซียเปิดฉากการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2024 โดยยิงขีปนาวุธประมาณ 120 ลูกและโดรน 90 ลำ ไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วยูเครน รวมถึงโอเดสซา การโจมตีครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คนในโอเดสซา และตัดการจ่ายน้ำและไฟฟ้าในเมือง 

18 พฤศจิกายน 2024: ขีปนาวุธของรัสเซียโจมตีโอเดสซา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน และบาดเจ็บ 44 คน โดยผู้เสียชีวิตรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 นาย เจ้าหน้าที่การแพทย์ 1 คน และพลเรือน 2 คน 

31 มกราคม 2025: รัสเซียยิงขีปนาวุธใส่ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของโอเดสซา ซึ่งเป็นพื้นที่มรดกโลกของยูเนสโก ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 7 คน และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่ออาคารประวัติศาสตร์ 

11 มีนาคม 2025: การโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซียทำให้เรือบรรทุกสินค้าธัญพืชในท่าเรือโอเดสซาได้รับความเสียหาย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน 

21 มีนาคม 2025: รัสเซียเปิดฉากการโจมตีด้วยโดรนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งต่อโอเดสซา ทำให้เกิดไฟไหม้ขนาดใหญ่และมีผู้บาดเจ็บ 3 คน
การโจมตีต่อเมืองนี้สะท้อนถึงความพยายามของรัสเซียในการควบคุมเส้นทางการค้าและตัดยูเครนออกจากการเข้าถึงทางทะเล

สรุป โอเดสซาไม่ได้เป็นเพียงเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจของยูเครนเท่านั้น แต่คือ "จุดยุทธศาสตร์" ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อโครงสร้างพลังอำนาจในทะเลดำและยูเรเซีย เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อทั้ง การทหาร เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง ในสงครามรัสเซีย–ยูเครน การควบคุมเมืองนี้จะทำให้รัสเซียได้เปรียบเชิงโครงสร้างทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ การยึดครองโอเดสซาอาจหมายถึงการปิดล้อมยูเครนจากทะเลโดยสมบูรณ์ และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสมดุลอำนาจระหว่างรัสเซียกับตะวันตก ขณะที่สำหรับยูเครน การรักษาโอเดสซาไว้ได้ คือการคงไว้ซึ่งเส้นทางสู่ทะเลดำและความอยู่รอดในระดับชาติ

กลยุทธ์บ่อนเซาะอำนาจรัฐไทย ยังดำเนินต่อไป เปลี่ยนคนพูด แต่ไม่เปลี่ยนคนเขียนบท อ้าง!! กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ความเป็นจริง เต็มไปด้วย ถ้อยคำ ‘ปลุกใจเสือป่า’

(7 เม.ย. 68) ข้าพเจ้าเคยพูดไว้แล้วเรื่องนโยบายของพรรคเป็นธรรม—ไม่ว่าจะเป็นการเสนอถอนทหาร ยกเลิกกฎหมายพิเศษ หรือผลักดันให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ปกครองตนเอง ทั้งหมดล้วนเป็นกลยุทธ์บ่อนเซาะอำนาจรัฐไทยอย่างเป็นระบบ ภายใต้ฉากหน้าคำว่า "สิทธิมนุษยชน" และ "สันติภาพ"

ล่าสุด ขบวนการนี้ยังไม่หยุดพัก เมื่อมีการจัดงาน Green Melayu 2025 โดยอ้างว่าเป็น “กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม” แต่ในความเป็นจริง เวทีนี้กลับเต็มไปด้วยถ้อยคำปลุกใจเสือป่าในนาม “ราชอาณาจักรปาตานี” พูดถึงอัตลักษณ์ มรดกแผ่นดิน และอำนาจที่ “ต้องทวงคืน”

ผู้ปราศรัยอย่าง มูฮัมหมัดอาราดี เด็งนิ และ ฮาซัน ยามาดีบุ แม้จะถูกมองว่าเป็น “หน้าใหม่” ในสายตาคนนอก แต่ความจริงแล้ว พวกเขาคือ “คนกันเอง” ในเครือข่ายเดียวกับ รอมฎอน ปันจอ และ กัณวีร์ สืบแสง ตัวละครชุดเดิมที่แค่เปลี่ยนเวที เปลี่ยนฉากหน้า

จะเป็นพรรคประชาชนที่ล่มไป หรือพรรคเป็นธรรมที่ยังวิ่งอยู่
จะเป็นเวทีสิทธิมนุษยชน หรือเวทีสิ่งแวดล้อม
จะเป็นงานวิชาการ หรือกิจกรรมวัฒนธรรม

ทั้งหมดล้วนเป็นมุกเก่าในบทใหม่
ทั้งหมดล้วนเป็นคนกันเองที่เปลี่ยนหน้ากากตามสถานการณ์

และเป้าหมายก็ยังไม่เปลี่ยน—ท้าทายอำนาจรัฐไทย และแยกดินแดนในทางอุดมการณ์โดยไม่ต้องใช้ปืนแม้แต่นัดเดียว

พวกเขาอาจเรียกมันว่า “กิจกรรมของคนรุ่นใหม่”

แต่ข้าพเจ้าเห็นชัดว่า มันคือยุทธศาสตร์เดิม ที่เปลี่ยนแค่คนพูด ไม่เคยเปลี่ยนคนเขียนบท

รู้จัก 'คริสเตียนวิทยาศาสตร์' (Christian Science) ศาสนาที่ดาราฮอลลีวูดและคนดังศรัทธา

การเสียชีวิตของ Val Edward Kilmer พระเอก Batman Forever เมื่อ 1 เมษายนที่ผ่านมา โดยที่เขาเป็นคริสต์ศาสนิกชนภายใต้นิกายคริสเตียนวิทยาศาสตร์ ดังนั้น ในช่วงแรก Kilmer จึงลังเลใจที่จะเข้ารับการรักษาทางการแพทย์เนื่องจากความเชื่อในคริสเตียนวิทยาศาสตร์ แต่สุดท้ายเขาก็เข้ารับการทำเคมีบำบัดและผ่าตัดเปิดคอสองครั้ง ในปี 2020 Kilmer ระบุว่า เขาหายจากอาการป่วยเป็นมะเร็งมาเป็นเวลาสี่ปีแล้ว แต่ยังคงต้องเข้ารับการบำบัดทางการแพทย์ รวมถึงการรับอาหารทางสาย

ทั้งนี้คริสต์ศาสนามีนิกายหลัก ๆ อยู่ 3 นิกายคือ (1)นิกายคาทอลิก (Catholicism) เป็นนิกายสายอนุรักษนิยมและสายปฏิรูปด้านความเป็นสากล (2)นิกายออร์ทอดอกซ์ (Orthodoxy) เป็นนิกายสายอนุรักษนิยมด้านจารีตดั้งเดิมในศาสนาคริสต์ตะวันออก และ(3) นิกายโปรเตสแตนต์ (Protestantism) เป็นนิกายสายเสรีนิยม ซึ่งทั้ง 3 นิกายยังมีนิกายแยกย่อยไปอีกเป็นจำนวนมาก โดยคริสเตียนวิทยาศาสตร์จะอยู่ในร่มใหญ่ของนิกายโปรเตสแตนต์ 

คริสเตียนวิทยาศาสตร์ก่อตั้งขึ้นในสหรัฐอเมริกาในปี 1879 โดย Mary Baker Eddy (1821–1910) ผู้เขียนหนังสือที่มีคำชี้แจงที่ชัดเจนเกี่ยวกับคำสอนของนิกายนี้ ชื่อว่า Science and Health with Key to the Scriptures (1875) Mary Baker Eddy (Eddy เป็นชื่องสามีคนที่สามของเธอ) เติบโตในบ้านที่เคร่งครัดของคริสตจักร Congregationalism* ในชนบทของมลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ 
*คริสตจักร Congregationalism* ซึ่งเป็นคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ที่ได้รับการปฏิรูป ซึ่งคริสตจักรใช้การปกครองแบบ 'คริสตจักรคองเกรเกชันนัล' โดยชุมชนแต่ละแห่งดำเนินการกิจการของตนเองอย่างอิสระ หลักการเหล่านี้ได้รับการบรรจุอยู่ใน Cambridge Platform (1648) และ Savoy Declaration (1658) ถือเป็นความต่อเนื่องของประเพณีทางเทววิทยาที่ยึดถือโดยพวก Puritans (ชาวอังกฤษโปรเตสแตนต์ในศตวรรษที่ 16 และ 17 ที่ต้องการกำจัดสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นการ ปฏิบัติ แบบโรมันคาธอลิก ออกไปจากคริสตจักรแห่งอังกฤษ โดยยืนกรานว่า คริสตจักรแห่งอังกฤษยังไม่ได้รับการปฏิรูปอย่างสมบูรณ์ และควรจะเปลี่ยนมาเป็นโปรเตสแตนต์มากขึ้น พวก Puritans มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษ และอเมริกายุคแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตปกครองตนเองในบริเตนใหญ่ และการตั้งถิ่นฐานในอเมริกานช่วงแรกแถบนิวอิงแลนด์)

Eddy มีความเชื่อในศาสนาที่แตกต่างไปจากบิดาของเธอ แต่เธอยังคงยึดมั่นในความศรัทธาที่เน้นพระคัมภีร์เป็นหลัก  ความโชคร้ายส่วนตัวและปัญหาสุขภาพเป็นปัจจัยที่ Eddy หมกมุ่นอยู่กับคำถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบของพระเจ้าต่อความทุกข์ของมนุษย์ การแสวงทางแก้ไขปัญหาสุขภาพของทำให้เธอได้ทดลองใช้วิธีการรักษาทางเลือกต่าง ๆ รวมถึงโฮมีโอพาธี (อ่านได้ที่ “โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy)” ศาสตร์การแพทย์ทางเลือก https://thestatestimes.com/post/2021071006) การบำบัดด้วยน้ำ และเทคนิคการบำบัดของ Phineas Parkhurst Quimby นักบำบัดพื้นบ้าน นักอ่านใจ และนักสะกดจิต จากมลรัฐเมน ซึ่งผลงานของเขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นรากฐานของกระแสความคิดใหม่ (New Thought) ความสัมพันธ์ของ Eddy กับเขาตั้งแต่ปี 1862 ถึง 1865 ทำให้เธอมีความเชื่อมากขึ้น ซึ่งได้รับจากการทดลองโฮมีโอพาธีเกี่ยวกับธรรมชาติทางจิตของโรค นอกจากนี้ยังเป็นแรงผลักดันให้เธอแสวงหาความหมายของเรื่องราวการรักษาโรคในพันธสัญญาใหม่

จากแนวคิดริเริ่มใหม่ของ Eddy โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจิตวิญญาณและสุขภาพ ได้รับแรงบันดาลใจจากการบำบัดรักษาสุขภาพในปี 1866 ซึ่งเธอได้ใช้เวลาหลายปีในการศึกษาพระคัมภีร์ การอธิษฐาน และการวิจัยรักษาหลากหลายวิธี ผลที่ได้จากการสรุปของเธอก็คือวิธีการรักษาที่เธอขนานนามว่า “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ในปี 1879 หนังสือของเธอ ชื่อ “วิทยาศาสตร์และสุขภาพกับกุญแจไขพระคัมภีร์” ได้เปิดมุมมองความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์กันของร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ เธอลงมือก่อตั้งวิทยาลัย คริสตจักร ธุรกิจสำนักพิมพ์ และหนังสือพิมพ์ที่ชื่อ “จับตามองคริสเตียนวิทยาศาสตร์” เพราะความคล้ายคลึงกับกลุ่มอื่น ๆ ทำให้หลายคนเชื่อว่า “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” เป็นเพียงลัทธิที่ไม่ใช่นิกายของคริสเตียน

การที่ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” สอนว่าพระเจ้า บิดามารดาของทุกคนนั้น ดีพร้อม และอยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ และกล่าวว่า สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมด รวมถึงลักษณะนิสัยแท้จริงของทุกคน เหมือนพระเจ้าด้านจิตวิญญาณที่ดีพร้อม เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเป็นสิ่งที่ดี ความชั่วร้ายเช่นโรคภัย ความตายและความบาปไม่สามารถมีส่วนในสัจธรรมพื้นฐาน แต่ ความชั่วร้ายเหล่านี้เป็นผลมาจากการมีชีวิตที่ออกห่างจากพระเจ้า การอธิษฐานเป็นทางสายกลางที่เข้าใกล้ชิดพระเจ้าและรักษาความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งสิ่งนี้แตกต่างจากพระคัมภีร์ ที่สอนว่าคนเกิดมาในความบาปที่สืบสายมาจากอาดัมที่ล้มลงในความและสอนว่าความบาปแยกเราขาดจากพระเจ้า ถ้าไม่มีพระคุณแห่งความรอดของพระเจ้าโดยการพลีพระชนม์ของพระคริสต์บนกางเขน เราจะไม่มีวันได้รับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บขั้นสูงสุดคือความบาป

ดังนั้นชาว “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ส่วนใหญ่จึงถือเอาการบำบัดด้านจิตวิญญาณเป็นตัวเลือกอันดับแรกและทำให้พวกเขายึดเอา “พลังแห่งการอธิษฐานแทนการรักษาทางการแพทย์” อย่างไรก็ตาม คริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ไม่มีนโยบายจัดการด้านบริการสุขภาพแก่สมาชิกแต่อย่างใด “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ไม่มีนักเทศน์ผู้รับใช้ โดย พระคัมภีร์ และหนังสือวิทยาศาสตร์และสุขภาพ ทำหน้าที่เป็นบาทหลวงและนักเทศน์ โดยมีผู้ที่ศึกษาบทเรียนพระคัมภีร์ประจำวันและอ่านออกเสียงดังในวันอาทิตย์ซึ่งคัดเลือกจากสมาชิกสองคนในคริสตจักร คริสเตียนวิทยาศาสตร์ ท้องถิ่นแต่ละแห่ง โบสถ์ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ยังมีการประชุมเป็นพยานทุกสัปดาห์ เป็นที่ซึ่งสมาชิกคริสตจักรจะมาบอกเล่าประสบการณ์ของการบำบัดรักษาและการฟื้นฟูใหม่

กล่าวกันว่า ในบรรดาหลักความเชื่อ “คริสเตียน” ที่มีอยู่นั้น “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” น่าจะเป็นชื่อที่เรียกอย่างไม่ถูกต้องมากที่สุด ทั้งนี้เพราะ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ไม่เป็นมีความเป็นทั้ง “คริสเตียน” หรือ “มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์” เลย เพราะ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ปฏิเสธแก่นความจริงของทุกสิ่งที่เป็นระบบ “คริสเตียน” ที่แท้จริง “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ และมุ่งไปที่ด้านจิตวิญญาณยุคใหม่ที่ลึกลับ ว่าเป็นแนวทางสำหรับการรักษาฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ถูกมองว่าเป็นที่มาของการพัฒนาของลัทธิสตรีนิยมในโลกแห่งศาสนา แม้ว่าจะไม่ใช่ “นักสตรีนิยม” แต่ Eddy ก็ได้ “ทำการปลดปล่อย” อย่างชัดเจน โดยมอบหมายให้ผู้หญิงที่เข้มแข็งดำรงตำแหน่งผู้นำที่สำคัญ และสอนว่าความเท่าเทียมกันทางจิตวิญญาณระหว่างผู้ชายและผู้หญิงจะต้องมีผลทางการเมืองและสังคม เธอเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างมาก แต่บรรดานักวิชาการตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เป็นต้นมาได้ท้าทายการรับรู้เชิงลบของนักวิจารณ์และนักเขียนชีวประวัติในยุคแรก ๆ ได้สำเร็จ

ในช่วง 20 ปีหลังจากการเสียชีวิตของ Eddy ในปี 1910 จำนวนคริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” เพิ่มขึ้นจาก 1,213 เป็น 2,400 แห่ง จากรายงานของสำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐอเมริกาในปี 1936 ระบุว่า มีสมาชิกคริสตจักรแม่ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 269,000 ราย หลังจากการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่ปรับระดับลงในช่วงทศวรรษที่ 1930 และ 1940 และลดลงอย่างต่อเนื่องนับแต่นั้นเป็นต้นมา ยกเว้นในบางพื้นที่ (โดยเฉพาะบางประเทศในโลกที่สาม) ที่สมาชิกเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1970 เพื่อกระตุ้นสภาวะที่ซบเซา คริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” จึงพยายามฟื้นฟูการเคลื่อนไหวนี้ ในปี 1972 ศูนย์กลางคริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ได้เปิดทำการในนครบอสตันและกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ Christian Science Monitor ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันระดับนานาชาติที่คริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” จัดพิมพ์ในนครบอสตันประสบความสำเร็จอย่างมาก และในช่วงทศวรรษที่ 1980 คริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” พยายามขยายการเข้าถึงผ่านวิทยุและโทรทัศน์ แต่ในที่สุดการพบว่า การนำเสนอทางโทรทัศน์มีค่าใช้จ่ายสูงเกินไปและถูกยกเลิกไปท่ามกลางข้อโต้แย้งภายใน ช่วงต้นศตวรรษที่ 21 คริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” อ้างว่ามีคริสตจักรภายใต้ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” มากกว่า 1,700 แห่งใน 80 ประเทศ และคาดว่าสมาชิกจะอยู่ระหว่าง 100,000 ถึง 400,000 รายทั่วโลก

อย่างไรก็ดี “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ก็มีผู้นับถือศรัทธาที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย โดยเฉพาะในวงการภาพยนตร์ อาทิ Carol Channing และ Jean Stapleton, Colleen Dewhurst, Joan Crawford, Doris Day, George Hamilton, Mary Pickford, Ginger Rogers, Mickey Rooney, Horton Foote, King Vidor, Robert Duvall และ Val Kilmer ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ศรัทธาใน 'คริสเตียนวิทยาศาสตร์' นอกจากนั้นยังมี  Helmuth James Graf von Moltke นักกฎหมายผู้มีชื่อเสียง Daniel Ellsberg นักวิเคราะห์ทางทหาร Ellen รวมทั้งดาราดังในอดีต เช่น DeGeneres, Henry Fonda, Audrey Hepburn,  James Hetfield, Marilyn Monroe, Robin Williams, Elizabeth Taylor และ Victor Cazalet นักการเมืองชาวอังกฤษ พ่อทูนหัวของ Taylor อีกด้วย

ไม่พลาด!!!
ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน ในวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงครามอินโดจีน 30 เมษายน พ.ศ. 2568

‘ประยูร–ปรีดี’ ความใกล้ชิดผู้ร่วมก่อการ 2475 คือที่มา 'ต้นกำเนิดแท้จริงของคณะราษฎร'

หากจะถามว่าใครคือ “พยานคนสำคัญ” ที่อยู่ในจุดเริ่มต้นที่สุดของการกำเนิดคณะราษฎร — คำตอบนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก พลโทประยูร ภมรมนตรี ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้มีบทสนทนาสำคัญกับ นายปรีดี พนมยงค์ ในวินาทีที่แนวคิดเปลี่ยนการปกครองเริ่มก่อตัว และริเริ่มการลงมือวางแผนอย่างเป็นระบบ

ความสัมพันธ์ระหว่างประยูรกับปรีดีนั้นไม่ได้เป็นเพียงมิตรภาพทางอุดมการณ์ แต่คือสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่ เป็นจุดเปลี่ยนให้ปรีดีตัดสินใจลงมือจัดตั้งคณะราษฎรจริงจัง ดังปรากฏชัดในคำบอกเล่าของปรีดีเอง ในบทความ “บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย” ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือ เบื้องแรกประชาธิปไตย เล่ม 1 หน้า 49 โดยระบุว่า 

> "...โดยเฉพาะการตัดสินใจที่จะทำการกันอย่างเอาจริงเอาจังในการเปลี่ยนระบบสมบูรณาฯ นั้น ในสยามก็มีคนรุ่นหนุ่มจำนวนหนึ่งได้ตกลงกันไว้แล้วร่วมสมทบเข้าอยู่ในคณะราษฎรภายหลังที่ข้าพเจ้ากับเพื่อนก่อตั้งคณะราษฎรที่กรุงปารีสได้กลับสยามแล้ว ส่วนข้าพเจ้ากับเพื่อนที่อยู่ในกรุงปารีสนั้นได้มีการทาบทามกันมาก่อนหลายปีแล้ว

ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๒๕ ปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งราษฎรสมัยนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งเจ้านายบางองค์ที่ทรงถือสัจจะตามพุทธวจนะ “สัจจังเว อมตา วาจา” คงเล่าให้ฟังว่า เสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนระบบสมบูรณาฯ ในสยามมีมากถึงขนาดไหน

ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ที่เคยเป็นผู้บังคับหมวดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์และเป็นมหาดเล็กเคยรับใช้ใกล้ชิดรัชกาลที่ 6 นั้น เมื่อมาถึงปารีสใน ค.ศ. ๑๙๒๕ และได้พบข้าพเจ้า ก็ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงความเสื่อมโทรมของระบบสมบูรณาฯ และเสียงเรียกร้องของราษฎรในสยามที่ต้องการให้เปลี่ยนระบบนั้น

ฉะนั้นใน ค.ศ. ๑๙๒๕ นั้นเอง ภายหลังที่ข้าพเจ้าได้สนทนากับ ร.ท. ประยูรหลายครั้งแล้ว จึงได้ชวนเขาไปเดินเล่นที่ถนน Henri Martin ปรารภกันว่าได้ยินผู้ที่ต้องการเปลี่ยนระบบสมบูรณาฯ มามากหลายคนแล้ว แต่ยังไม่มีใครจะตัดสินใจเอาจริง ฉะนั้นเราจะไม่พูดแต่ปาก คือจะต้องทำจริงจากน้อยไปสู่มาก แล้ววางวิธีการชวนเพื่อนที่ไว้ใจได้ร่วมเป็นหน่วยแรกขึ้น

ต่อมาจึงชวน ร.ท. แปลก. ร.ต. ทัศนัย ซึ่งย้ายจากบ้านพักเดิมไปอยู่ถิ่นเดียวกับข้าพเจ้าที่ “Quartier Latin” จึงได้สนทนากันแทบทุกวัน แล้วก็ได้ชวนเพื่อนอื่นๆ ให้ร่วมด้วย

เราได้วางแผนปลุกจิตสำนึกเพื่อนนักศึกษาทั่วไปให้เกิดความรู้สึกถึงความจำเป็นต้องเปลี่ยนระบบสมบูรณาฯ ว่าโอกาสที่เหมาะที่สุดคือในระหว่างมีการชุมนุมประจำปี ค.ศ. ๑๙๒๕ ของสมาคมที่ข้าพเจ้าเป็นสภานายกอยู่นั้นจะได้จัดให้เพื่อนไทยอยู่ร่วมกัน ณ คฤหาสน์ใหญ่ที่ตำบล “Chatrettes” ซึ่งสมาคมเช่าไว้เฉพาะการนั้นมีกำหนด ๑๕ วัน

เราได้จัดให้มีกีฬาแทบทุกชนิดรวมทั้งการยิงเป้าเพื่อเป็นพื้นฐานแห่งการฝึกทางอาวุธ
ในเวลาค่ำก็มีการแสดงปาฐกถาในเหตุการณ์ระหว่างประเทศและเหตุการณ์ภายในประเทศและมีการโต้วาทีในหัวข้อที่เป็นคติ มีการแสดงละครที่เป็นคติ เช่น เรื่อง "โลเลบุรี” ของพระมงกุฎเกล้าฯ ที่แสดงถึงความแหลกเหลวแห่งการศาลและอัยการของบุรี ที่พระองค์สมมุติว่า “โลเล” มีการดนตรีและขับร้องบ้าง แต่ไม่มีการเต้นรำยั่วยวนกามารมณ์

การชุมนุมในฤดูร้อน ค.ศ. ๑๙๒๕ ได้ดำเนินไปอย่างได้ผลถึงความสนิทสนมกลมเกลียวของเพื่อนนักศึกษาไทยที่ร่วมประชุมถึงขีดที่เมื่อครบกำหนด ๑๕ วันแล้วหลายคนก็ได้แสดงถึงความอาลัยที่ต่างคนจะต้องแยกย้ายกันไป

ครั้นแล้วข้าพเจ้ากับเพื่อนที่ริเริ่มซึ่งออกนามมาแล้วจึงได้ปรึกษาตกลงกันว่าในการประชุมประจำปีต่อไปคือในเดือนกรกฎาคม ๑๙๒๖ สมควรที่จะพัฒนาจิตสำนึกของเพื่อนนักศึกษาให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่งถึงขั้นต่อสู้กับอัครราชทูต ซึ่งเป็นตัวแทนของระบบสมบูรณาฯ ในต่างประเทศ

แต่จะต่อสู้โดยวิธีที่ธรรมเนียมประเพณีอนุญาตไว้ คือการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อพระปกเกล้าฯ ซึ่งเพิ่งทรงขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากรัชกาลที่ 6

ในการนั้นก็จะต้องถือเอาความไม่พอใจที่นักศึกษาส่วนมากมีอยู่เป็นพื้นฐาน เนื่องจากอัครราชทูตจ่ายเงินกระเป๋าให้น้อยเกินไป ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนมีงบประมาณที่ทางรัฐบาลหรือทางบ้านได้มอบไว้ที่อัครราชทูตอย่างเพียงพอ เราถือเอาเศรษฐกิจเป็นรากฐานที่จะพัฒนาจิตสำนึกให้เป็นทางการเมืองตามกฎวิทยาศาสตร์สังคมแห่งการพัฒนาจิตสำนึก..."

จากข้อความข้างต้นนี้เองที่ทำให้เราเข้าใจได้อย่างกระจ่างว่า การคิดวางแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นมี “องค์ประกอบของการจัดตั้ง การฝึก และการใช้กำลัง” อย่างจริงจัง ไม่ได้เป็นเพียงอุดมการณ์ในอากาศ หากแต่มีโครงสร้างที่เริ่มวางรากไว้ล่วงหน้าเป็นปี

ด้วยเหตุนี้เอง หนังสือ ชีวิต 5 แผ่นดินของข้าพเจ้า โดย พลโทประยูร จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ เพราะเป็น คำให้การจากปากของผู้ที่อยู่ตรงนั้นจริงในวินาทีแรก อีกทั้งยังเผยให้เห็นมูลเหตุจูงใจที่หลากหลายของแต่ละบุคคลในยุคนั้น ซึ่งหากต้องการเข้าใจ “ต้นกำเนิดแท้จริงของคณะราษฎร” ให้ลึกซึ้งครบถ้วน — ก็ต้องเริ่มอ่านจากตรงนั้น

อ้างอิง
ปรีดี พนมยงค์. “บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย.” ใน เบื้องแรกประชาธิปไตย เล่ม 1, หน้า 49. 
ประยูร ภมรมนตรี. ชีวิต 5 แผ่นดินของข้าพเจ้า

‘ป่าฮาลาบาลา’ ผืนป่าแห่งความอุดมสมบูรณ์ ตำนานแห่งอาถรรพ์ลี้ลับปลายด้ามขวานไทย

ในเวลานี้ผืนป่าดงดิบที่โด่งดังขึ้นมาและอยู่ในกระแสความสนใจของผู้คนคงไม่มีอะไรเกินไปกว่าผืนป่าดิบชื้นผืนสุดท้ายแห่งปลายด้ามขวาน “ฮาลาบาลา” อีกแล้ว

ป่าฮาลาบาลา เป็นผืนป่าฝนเขตร้อนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดผืนหนึ่งของประเทศไทย ตั้งอยู่ในจังหวัดนราธิวาสป่าแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลาครอบคลุมพื้นที่อำเภอแว้งและอำเภอสุคิริน  

ป่าฮาลาบาลามีความสำคัญต่อระบบนิเวศหลายด้านเช่น 
1 มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ประกอบไปด้วยพันธุ์ไม้หายากและสัตว์ป่ามากมาย จนได้รับอีกสมญานามหนึ่งว่า 'ป่าอเมซอนแห่งเอเชีย' 

2 มีนกเงือกอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ถึง 10สายพันธุ์จากทั้งหมด 13 สายพันธุ์ที่พบในประเทศไทย

3 เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายาก เช่น กระซู่ หรือแร่ดสุมาตราที่เคยมีรายงานการพบในอดีต สมเสร็จ เสือดำ เสือโคร่ง และเก้งหม้อ  

4 เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวและจุดชมวิวที่น่าสนใจ เช่นจุดชมวิวทะเลหมอกผาฆูมิงที่สามารถชมทะเลหมอกและวิวภูเขาสลับซับซ้อนอันสวยงาม, เขื่อนบางลาง สามารถล่องเรือชมธรรมชาติที่สวยงามของอ่างเก็บน้ำได้, น้ำตกสิรินธร เป็นน้ำตกที่สวยงามท่ามกลางป่าดิบ  

ป่าฮาลาบาลา ได้รับสมญานามว่า “แดนสวรรค์แห่งสุดท้ายของไทย” เนื่องจากมีธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์และเงียบสงบ เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติและการผจญภัย  

ป่าฮาลาบาลาไม่เพียงแต่มีความสำคัญทางธรรมชาติ แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องเล่า ตำนาน และความเชื่อเกี่ยวกับ อาถรรพ์และ สิ่งลี้ลับมากมายที่ทำให้ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์และความน่ากลัวไปพร้อมกัน  

ตำนานลี้ลับแห่งป่าฮาลาบาลา

1 เมืองลับแลแห่งฮาลาบาลา
มีเรื่องเล่าว่า ลึกเข้าไปในป่าฮาลาบาลามีเมืองลับแลซ่อนอยู่ เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้คนโบราณที่ไม่ปรากฏในโลกภายนอก ว่ากันว่าผู้ที่เดินทางเข้าป่าโดยไม่เคารพสถานที่ หรือหลงเข้าไปในบางเส้นทาง อาจพบกับเมืองลับแลนี้โดยบังเอิญ แต่จะไม่มีทางกลับออกมาได้  นักเดินป่าหลายคนเล่าว่า บางครั้งพวกเขารู้สึกเหมือนมีคนมอง หรือได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ แต่เมื่อหันไปกลับไม่พบใคร ซึ่งเชื่อว่าอาจเป็นชาวเมืองลับแลกำลังเฝ้ามองอยู่  

2 ผีบังบดและภูตป่าฮาลาบาลา
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าฮาลาบาลาเชื่อว่าในป่ามี วิญญาณเฝ้าป่าหรือที่เรียกว่า ผีบังบดซึ่งเป็นดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในป่าหรือวิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขา หากมีคนบุกรุกโดยไม่ขออนุญาต หรือทำลายธรรมชาติ ผีบังบดอาจแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็น เช่น ทำให้หลงป่า แม้จะเดินทางบนเส้นทางเดิมก็หาทางออกไม่เจอ  บางคนที่รอดกลับมาเล่าให้ฟังว่า พวกเขาเห็นหมู่บ้านหรือบ้านเรือนกลางป่า แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับหายวับไปทันที เหมือนเป็น ภาพลวงตาของภูตผีในป่า

3 อาถรรพ์นกเงือก นกศักดิ์สิทธิ์แห่งฮาลาบาลา
นกเงือกถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของป่าฮาลาบาลา และมีความเชื่อกันว่า นกเงือกเป็นดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่คอยเฝ้าดูแลผืนป่า ชาวบ้านบางคนเชื่อว่าหากใครฆ่านกเงือก จะต้องเผชิญกับเคราะห์ร้าย หรือ อาจพบกับวิญญาณของนกเงือกที่จะมาเอาคืนในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ล้มป่วย หรือหลงป่าแบบไร้เหตุผล  

4 คำสาปแห่งต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
มีต้นไม้ขนาดใหญ่หลายต้นในป่าฮาลาบาลาที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีวิญญาณสิงสถิต บางต้นมีผ้าสีผูกไว้เป็นการบูชา แต่ก็มีคนเล่าว่าหากมีใครไปลบหลู่ หรือพยายามตัดต้นไม้เหล่านี้ อาจพบกับเคราะห์กรรมหนัก เช่น ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง หรือเกิดเรื่องลึกลับจนต้องรีบออกจากป่า หนึ่งในต้นไม้ที่มีเรื่องเล่าขานมากคือ “ต้นไม้ร้องไห้" ว่ากันว่าบางคืนต้นไม้บางต้นในป่าฮาลาบาลาจะส่งเสียงเหมือนเสียงร้องไห้ของผู้หญิง ไม่มีใครรู้ว่าเสียงนั้นมาจากอะไร แต่บางคนเชื่อว่าเป็น เสียงของวิญญาณที่สิงอยู่ในต้นไม้

5 ทหารผีแห่งฮาลาบาลา
เนื่องจากในอดีต พื้นที่นี้เคยเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบและเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเกี่ยวกับกลุ่มกองกำลังบางกลุ่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หลายคนที่เข้าไปในป่าลึกในเวลากลางคืน เคยเห็นเงาลางๆ ของชายในชุดทหารเดินอยู่ตามเส้นทางหรือบางครั้งได้ยินเสียงปืนและเสียงฝีเท้า แต่เมื่อมองไปรอบๆ กลับไม่พบใคร  นักเดินป่าบางคนเล่าว่า มีทหารลึกลับโบกมือเรียกให้เดินไปตามเส้นทางบางสายและถ้าหลงเชื่อตามไป อาจพบว่าตัวเองหาทางกลับออกมาไม่ได้  

6 เรื่องเล่าของพรานป่าและการหายตัวไปอย่างลึกลับ
มีเรื่องเล่าว่าพรานป่าบางคนที่เข้าไปล่าสัตว์ในป่าฮาลาบาลา หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยบางครั้งพบอุปกรณ์ล่าสัตว์หรือแคมป์ที่ถูกทิ้งร้าง แต่ไม่พบร่างของพวกเขา บางคนเชื่อว่าพวกเขาถูก "เจ้าป่า" หรือ "ผีป่า" พาไป ไม่สามารถกลับออกมาได้  นักเดินป่าบางคนเคยพบ “รอยเท้าปริศนา” ที่มีเพียงรอยเข้าไป แต่ไม่มีรอยเดินกลับออกมา ทำให้เกิดความเชื่อว่าอาจมี "ประตูมิติ" หรือ "พลังลี้ลับ" ที่ซ่อนอยู่ในป่า  

อย่างไรก็ดี แม้ว่าป่าฮาลาบาลาจะเต็มไปด้วยเรื่องเล่าลึกลับมากมาย แต่หนึ่งในตำนานที่เล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านและพรานป่าที่เคยเข้าไปลึกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่เรื่องราวนี้ถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ และยังคงเป็นปริศนาเกี่ยวกับสิ่งที่อาจซ่อนอยู่ในป่าอันกว้างใหญ่แห่งนี้  ก็คือตำนานมนุษย์กินคนในป่าฮาลาบาลา

มีเรื่องเล่าว่าลึกเข้าไปในป่าฮาลาบาลา อาจมี กลุ่มชนลึกลับที่แยกตัวจากโลกภายนอกพวกเขาอาศัยอยู่ในป่าลึก ไม่คบหากับคนนอก และมีกฎเกณฑ์ในการดำรงชีวิตที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป  

บางเรื่องเล่ากล่าวว่ากลุ่มคนเหล่านี้อาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่ตกทอดมาจากอดีต หรืออาจเป็นกลุ่มนักโทษหรือกบฏที่หนีเข้าไปซ่อนตัวในป่าและอยู่รอดได้ด้วยการล่าสัตว์และการใช้ชีวิตแบบดึกดำบรรพ์ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาถูกเล่าขานอย่างน่ากลัวก็คือ พฤติกรรมกินเนื้อมนุษย์ และนำเอามนุษย์ที่ล่าได้ไปบูชายันแก่ดวงวิญญาณหรือภูตผีปีศาจที่เป็นที่เคารพนับถือของชนเผ่า

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีรายงานเกี่ยวกับ นักเดินป่า พราน หรือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่เข้าไปในป่าฮาลาบาลาแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย บางกรณีพบอุปกรณ์ของพวกเขาถูกทิ้งไว้ แต่ไม่มีร่างของพวกเขา บางคนที่โชคดีรอดออกมาได้ เล่าว่าพวกเขาเห็นเงาตะคุ่มของมนุษย์ที่ไม่ใช่คนทั่วไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้  พรานป่าบางคนเล่าว่า พวกเขาเคยเจอ ซากศพของคนที่หายไป แต่ร่างกายถูกกินไปบางส่วน ลักษณะของบาดแผลไม่ใช่การถูกสัตว์ป่าทำร้าย แต่เหมือนถูกตัดหรือกัดด้วยฟันของมนุษย์ นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งก็เป็นได้ที่ทำให้เกิดข่าวลือเกี่ยวกับมนุษย์กินคนในป่าฮาลาบาลา  

แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะถูกเล่าต่อกันมาและไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน แต่การหายตัวไปของผู้คนในป่าฮาลาบาลานั้นเป็นเรื่องที่ได้มีการบันทึกไว้จริง แต่ด้วยเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานบวกกับความทรงจำอันพร่าเลือนของผู้คน ทำให้ตำนานความลี้ลับและเรื่องเล่าแห่งอาถรรพ์ของป่าฮาลาบาลายังคงความขลังและขนหัวลุกแก่ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงและเหล่านักเดินป่ามาจนถึงในปัจจุบัน

ปี้บ่อนเบี้ย : จากเศรษฐกิจเงา สู่บาดแผลของชาติ บทเรียนจากรัชกาลที่ 5 ถึงสังคมไทยปัจจุบัน

(3 เม.ย. 68) กลางแสงไฟมัวหมองของโรงบ่อนในสมัยรัชกาลที่ 5 เสียงเม็ดถั่วกระทบโต๊ะหินดังกระทบหูผู้คนที่เบียดเสียดกันในวงพนัน ภาพชายชาวจีนในเสื้อคอกลม มือข้างหนึ่งถือ “ปี้” เซรามิก อีกข้างคลึงลูกปัดนับแต้ม เสียงเรียก “ถั่วโป!” ดังสลับกับเสียงหัวเราะคละเคล้าเสียงถอนหายใจ เป็นฉากชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรื่องปกติในหัวเมืองสยามจากเกมเสี่ยงโชค สู่กลไกรัฐ: บ่อนเบี้ยและอากรในราชสำนัก

หากมองการพนันเพียงผิวเผิน อาจเป็นเพียงเรื่องของความบันเทิงส่วนบุคคล แต่ในสมัยอยุธยาเรื่อยมาถึงต้นรัตนโกสินทร์ การพนันกลับกลายเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้ของรัฐ ผ่านระบบสัมปทานที่เรียกว่า “อากรบ่อนเบี้ย” รัฐเปิดให้เอกชนผูกขาดกิจการบ่อน แลกกับการเก็บภาษีเข้าท้องพระคลัง ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 3 เคยทำรายได้ถึงปีละ 400,000 บาท

ขุนพัฒน์ แซ่คู และอำนาจในเงามืด

ในกลุ่มผู้รับสัมปทานบ่อนเบี้ย “นายอากร” ที่มีบทบาทสำคัญคือ นายเส็ง แซ่คู (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น “ชินวัตร”) ผู้ได้รับสัมปทานบ่อนในจันทบุรี ก่อนจะขยายอิทธิพลไปสู่ภาคเหนือ เบื้องหลังความสำเร็จของนายเส็ง คือความชำนาญในการจัดการระบบปี้ — เหรียญเซรามิกที่ใช้แทนเงินในบ่อน

แต่ปี้ไม่ได้อยู่แค่ในวงพนัน เมื่อเศรษฐกิจขาดแคลนเงินปลีก ปี้เหล่านี้ก็หลุดออกมาสู่ตลาด ถูกใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายของจริง กลายเป็น “เงินคู่ขนาน” ที่ไม่ผ่านมือรัฐ

พระราชหัตถเลขาจากยุโรป: เมื่อในหลวงทรงลองเล่นการพนัน

ในพระราชหัตถเลขาเมื่อปี พ.ศ. 2450 ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีถึงกรมพระยาดำรงราชานุภาพจากเมืองซานเรโม อิตาลี พระองค์ทรงเล่าว่า

> “ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจ ข้อซึ่งเข้าใจว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้น ไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไร ๆ หมด
ชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ”

เป็นคำกล่าวที่ไม่ได้มีเจตนาเย้ยหยันประชาชน แต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยอย่างลึกซึ้ง หากกิจกรรมอย่างการพนันที่สนุกเกินต้าน ไร้การควบคุม เข้าถึงปัจเจกชนอย่างไม่มีกรอบ — สังคมจะเดินไปทางใด?

เลิกบ่อน: การปฏิรูปครั้งใหญ่ในยุครัชกาลที่ 5

หลังเสด็จกลับจากยุโรป รัชกาลที่ 5 ทรงตัดสินใจเลิกบ่อนเบี้ยทั่วราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2460 โดยมีการสำรวจพบว่า หลังเลิกบ่อนแล้ว อาชญากรรมลดลง วิวาทในครอบครัวลดลง และการค้าขายกลับดีขึ้น

จากพระราชดำรัส...สู่คำถามในยุคปัจจุบัน

บทเรียนจากอดีตถูกบันทึกไว้ครบถ้วน ทว่าผ่านมาเพียงร้อยปี คำถามกลับหวนกลับมาอีกครั้งในรูปของ “คาสิโนถูกกฎหมาย” ที่ถูกเสนอเป็นนโยบายเพื่อหารายได้เข้ารัฐ

ใช่, รายได้จากคาสิโนอาจมหาศาล แต่หากไม่เข้าใจบทเรียนของ "ปี้โรงบ่อน" ไม่เข้าใจว่าทำไมรัชกาลที่ 5 จึงยอมเสียรายได้จำนวนมหาศาลเพื่อปิดบ่อน แล้วเราในวันนี้จะเดินหน้าไปโดยไม่สนใจร่องรอยจากอดีตเลยหรือ?

บทสรุป: การพนันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายในตัวเอง — หากควบคุมไม่ได้ มันก็กลายเป็นภัย

การพูดถึงปี้ในบ่อนเบี้ย หรือชื่อของผู้ที่เคยได้รับสัมปทาน ไม่ได้หมายถึงการประณามหรือรื้อฟื้นเพื่อลงโทษใครในประวัติศาสตร์ หากแต่เป็นการย้ำเตือนว่า ระบบเศรษฐกิจใดก็ตามที่ไม่อยู่ภายใต้กรอบความรับผิดชอบของรัฐ — ย่อมย้อนกลับมาทำลายสังคมในที่สุด

และไม่ว่าคาสิโนจะถูกเรียกด้วยถ้อยคำใหม่ว่า “รีสอร์ทครบวงจร” หรือ “เครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจ” คำถามเดิมก็ยังตามมา :

เราแน่ใจหรือว่าได้วางรากฐานไว้ดีพอ…ก่อนจะอนุญาตให้คนทั้งประเทศเข้าไปเล่นด้วยกัน?

บรรณานุกรม
1. ธัชพงศ์ พัตรสงวน. “ปี้ในบ่อนเบี้ยหัวเมือง.” กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร. สืบค้นเมื่อ 2565.
2. เฉลิม ยงบุญเกิด. ปี้โรงบ่อน. พระนคร: ศิวพร, 2514.
3. Kom Chad Luek. “เปิดตำนานตระกูลชินวัตร.” คมชัดลึกออนไลน์, 2566.
4. ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 8, ตอนที่ 40. “ข้อบังคับสำหรับนายอากรบ่อนเบี้ย.” 3 มกราคม ร.ศ. 110 (พ.ศ. 2434).
5. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 17 ตำนานเรื่องเลิกหวยแลบ่อนเบี้ยในกรุงสยาม. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2463.
6. เอกสารจดหมายเหตุแห่งชาติ. “บ่อนเบี้ยมณฑลฝ่ายเหนือ.” กรมราชเลขาธิการ ร.5 ค 14.1 ค/2.

ด้วยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในสภาวะวิกฤติ ตัวชี้วัดสภาวะผู้นำในสถานการณ์ฉุกเฉิน

(30 มี.ค. 68) ในช่วงสถานการณ์ไม่ปรกติแบบนี้ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในสภาวะวิกฤติเป็นสิ่งสำคัญอย่างอย่างยิ่งครับ โดยเฉพาะในบริบทของการบริหารจัดการในยามคับขัน หรือ Crisis Management เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดความตื่นตระหนกของประชาชน ป้องกันความเข้าใจผิด และเพิ่มโอกาสในการจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพนะครับ 

ขออนุญาตงดเว้นการยกตัวอย่างผู้นำท่านต่างๆที่ปรากฏตัวออกสื่อในช่วงเวลานี้ เพราะพวกเราก็คงจะเห็นและประเมินสภาวะผู้นำของแต่ละท่านผ่านสื่อได้ตามวิจารณญาณของแต่ละคน ในฐานะของคนที่เล่าเรียนมาทางด้านรัฐศาสตร์และการสื่อสารทางการเมือง ขออนุญาตสรุปแนวทางการสื่อสารในสภาวะวิกฤติไว้ให้นะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย 

1. ความชัดเจนและกระชับ
- ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน หลีกเลี่ยงศัพท์เฉพาะหรือคำที่อาจก่อให้เกิดความสับสนหรือคลุมเครือ
- ส่งสารอย่างตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ เนื้อๆเน้นๆ 
- สรุปโครงสร้างการจัดการปัญหาที่ชัดเจน เช่น ใครต้องทำอะไร เมื่อไหร่ และอย่างไร  

2. การสื่อสารอย่างรวดเร็วและทันท่วงที
- ส่งสารโดยเร็วที่สุดเพื่อลดความสับสนและความกังวลของคนจำนวนมาก
- ให้ข้อมูลปัจจุบัน และ update เป็นระยะ 
- ใช้ช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทันที เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หรือ Social Media ต่างๆ

3. การใช้แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
- ข้อมูลที่เผยแพร่ต้องมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น หน่วยงานรัฐ หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์
- ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเผยแพร่ เพื่อหลีกเลี่ยงข่าวลือหรือข้อมูลเท็จ  

4. การใช้ช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย
- ผสมผสานช่องทางการสื่อสาร เช่น การแถลงข่าว อีเมล ข้อความ SMS และ Social Media
- คำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีข้อจำกัด เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้พิการ  

5. การสื่อสารแบบสองทาง (Two-Way Communication) 
- เปิดโอกาสให้ประชาชนหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถสอบถามหรือให้ข้อมูลกลับมาได้  
- มีช่องทางติดต่อที่ชัดเจน เช่น ศูนย์ข้อมูล หรือสายด่วน 

6. การสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจและความมั่นใจ
- แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความกังวลของประชาชน  
- ให้ข้อมูลที่สร้างความมั่นใจ พร้อมแนวทางแก้ปัญหา  

โดยสรุปก็คือ 
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในภาวะวิกฤติ ต้องเป็น “ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน ทันเวลา เชื่อถือได้ และเปิดกว้างสำหรับการตอบกลับ” เพื่อช่วยลดความตื่นตระหนก และเพิ่มความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาจากผู้เชี่ยวชาญและประชาชนครับ

‘รัฐประหารในกาตาร์’ ปี 1996 ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพียงเพราะทหารรับจ้างลืมแผนที่ - หาพระราชวังไม่เจอ

กาตาร์หรือรัฐกาตาร์ เป็นประเทศในเอเชียตะวันตก ตั้งอยู่ในคาบสมุทรกาตาร์บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอาหรับ มีพรมแดนทางบกติดกับซาอุดีอาระเบียทางทิศใต้ และดินแดนส่วนที่เหลือล้อมรอบด้วยอ่าวเปอร์เซียและอ่าวบาห์เรน โดยมีอ่าวเปอร์เซียแบ่งกาตาร์ออกจากบาห์เรนที่อยู่ติดกัน เมืองหลวงคือกรุงโดฮาซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรกว่า 80% ของประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่ของกาตาร์เป็นที่ราบลุ่มทะเลทราย

กาตาร์ปกครองโดยราชวงศ์ Al Thani ในฐานะรัฐราชาธิปไตยด้วยการสืบทอดสายเลือดตั้งแต่ Mohammed bin Thani ได้ลงนามในข้อตกลงกับอังกฤษในปี 1868 หลังจากการปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน กาตาร์กลายเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ ในปี 1916 และได้รับเอกราชในปี 1971 Emir (เจ้าผู้ครองรัฐ) คนปัจจุบันคือ ชีค Tamim bin Hamad Al Thani ซึ่งดำรงตำแหน่งทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการเกือบทั้งหมด (ตั้งแต่ปี 2013) ด้วยระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญของกาตาร์ โดยแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี สภาที่ปรึกษาที่ได้รับการเลือกตั้งบางส่วน และสามารถขัดขวางกฎหมายและมีอำนาจในการปลดรัฐมนตรี

ในช่วงต้นปี 2017 ประชากรของกาตาร์อยู่ที่ 2.6 ล้านคน แม้ว่าจะมีเพียง 313,000 คนเท่านั้นที่เป็นพลเมืองกาตาร์ โดย 2.3 ล้านคนเป็นชาวต่างชาติและแรงงานข้ามชาติ มีศาสนาอิสลามเป็นประจำชาติ มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อหัวสูงเป็นอันดับสี่ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 42 ในดัชนีการพัฒนามนุษย์ซึ่งเป็น HDI ที่สูงเป็นอันดับสามของโลกอาหรับ เศรษฐกิจที่มั่งคั่งมาจากแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติและน้ำมันสำรองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก กาตาร์เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวรายใหญ่ที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน

กาตาร์ในขณะที่ปกครองโดย ชีค Hamad bin Khalifa Al Thani ผู้ซึ่งเผชิญกับความพยายามก่อรัฐประหารที่แปลกประหลาดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่การโค่นล้มแบบทั่ว ๆ ไปที่มีทั้งการระเบิดและคำปราศรัยที่ดราม่า แต่เป็นเรื่องราวของการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลว ซึ่งหน่วยข่าวกรองกาตาร์เรียกความพยายามก่อรัฐประหารในครั้งนั้นว่า "ปฏิบัติการอาบู อาลี (Abu Ali Operation)" ไม่ใช่เพราะการทรยศหรือขาดกำลังอาวุธ แต่เพราะทหารรับจ้างที่รับงานรัฐประหารมานั้นไม่สามารถหาที่ตั้งของพระราชวังเจอ ข้อมูลเรื่องราวสุดเหลือเชื่อของความพยายามก่อรัฐประหารในกาตาร์ในปี 1995 มีดังนี้

ในปี 1995 กาตาร์ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของชีค Khalifa bin Hamad Al Thani (1972-1995) ในขณะที่ทรงพักผ่อนในสวิตเซอร์แลนด์ โดยเวลาเดียวกัน ชีค Hamad bin Khalifa Al Thani พระโอรสของพระองค์ ทรงตัดสินใจว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว ด้วยการสนับสนุนจากสมาชิกพระองค์อื่น ๆ ในราชวงศ์ Al Thani ชีค Hamad จึงทรงทำรัฐประหารโดยไม่นองเลือด และทรงยึดบัลลังก์พระบิดาของพระองค์ในขณะที่ไม่อยู่ โดยไม่มีการต่อสู้ เป็นการยึดอำนาจรัฐที่ราบรื่น แต่ ชีค Khalifa พระบิดาทรงไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ หนึ่งปีต่อมา ชีค Khalifa พระบิดาทรงตัดสินใจทวงบัลลังก์คืน พระองค์ทรงวางแผนไว้ว่าจะทรงจ้างทหารรับจ้างเพื่อบุกพระราชวัง และยึดอำนาจกลับคืนมาด้วยแผนการที่ฟังดูง่าย แต่ไม่ใช่เลย เมื่อทหารรับจ้างของพระองค์กลับมีฝีมือลายมือเหมือนกับผู้ร้ายสองคนใน Home Alone มากกว่าพระเอกใน Mission Impossible 

ความพยายามในการทำรัฐประหารที่ล้มเหลวอยู่ภายใต้การนำของ Hamad bin Jassim bin Hamad Al Thani อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรอาหรับดั้งเดิมของกาตาร์หลายชาติได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน และอียิปต์ โดย ซาอุดีอาระเบีย และอียิปต์ ให้การสนับสนุนด้านการข่าว และได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จาก บาห์เรน และอียิปต์ สืบเนื่องจากสมาชิกระดับสูงหลายคนของราชวงศ์ Al Thani ซึ่งยังคงเป็นพันธมิตรกับชีค Khalifa อดีต Emir ที่ถูกรัฐประหารได้ร่วมกันก่อรัฐประหารเพื่อโค่นล้มชีค Hamad กาตาร์อ้างว่ารัฐประหารครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์และบาห์เรน บทความของ New York Times ในปี 1997 ระบุว่า นักการทูตตะวันตกที่ไม่ได้เปิดเผยชื่อหลายคนเชื่อว่า “รัฐประหารครั้งนี้สามารถวางแผนได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แล้วเท่านั้น”

ความพยายามก่อรัฐประหารที่กลายเป็นเรื่องตลกที่เกิดจากความผิดพลาด เกิดขึ้นในคืนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1996 ไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากชีค Hamad ครองอำนาจ แผนการเบื้องต้นของชีค Khalifa ดูเหมือนจะไร้ข้อผิดพลาด จนกระทั่งมันกลายเป็นจริงจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ขั้นตอนที่ 1 : การจ้างทหารรับจ้าง ชีค Khalifa ได้ทรงจ้างทหารรับจ้างหลายสัญชาติจำนวนหนึ่ง (ตอนแรกทรงตั้งพระทัยจะจ้างทหารรับจ้างชาวแอฟริกาใต้ ต่อมาเป็นชาวฝรั่งเศส แต่รัฐบาลฝรั่งเศสไม่ยินยอม) เพื่อดำเนินแผนการของพระองค์ พวกเขาไม่ใช่ทหารรับจ้างธรรมดาแต่กลับกลายเป็นนักรบที่ติดการใช้ชีวิตหรูอยู่สบาย เริ่มด้วยการพักในโรงแรมระดับห้าดาวเมื่อเดินทางมาถึงกรุงโดฮา ด้วยเพราะกลุ่มทหารรับจ้างเหล่านั้นคิดว่าทำไมถึงต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากด้วยในเมื่อพวกเขากำลังจะโค่นล้มรัฐบาลอยู่แล้ว

ขั้นตอนที่ 2 : การบุกพระราชวัง ภารกิจแรกของทหารรับจ้างคือ การบุกพระราชวัง แต่ประเด็นสำคัญคือพวกเขาหาไม่พบพระราชวัง ชาวกาต้าร์บอกว่าเห็นพวกเขาเดินเตร่ไปทั่วกรุงโดฮาแล้วเที่ยวถามว่า "พระราชวังอยู่ที่ไหน" ราวกับการบุกประเทศหนึ่งด้วยหน่วยรบชั้นยอด แต่กลับลืมนำแผนที่มาด้วย

ขั้นตอนที่ 3 : หลังจากที่ได้ข้อสรุปในที่สุดว่า “พระราชวังตั้งอยู่ที่ไหน” กลุ่มทหารรับจ้างก็ต้องเผชิญกับปัญหาอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือพวกเขาไม่มีเรือที่จะข้ามแม่น้ำไปยังพระราชวัง เมื่อต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่างการบุกพระราชวังด้วยการเดินเท้า หรือกลับไปพักผ่อนยังโรงแรมสุดหรู พวกเขาเลือกเอาอย่างหลัง และเพียงชั่วพริบตา ความพยายามก่อรัฐประหารก็จบลงด้วยกลุ่มทหารรับจ้างเดินกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนแทน ทำให้ในเวลาต่อมาทางการกาต้าร์ได้เริ่มปฏิบัติการต่อต้าน กวาดล้าง และปราบปรามการรัฐประหารดังกล่าวได้สำเร็จ

ในปี 2018 หนึ่งปีหลังจากวิกฤตการทูตกาตาร์เริ่มต้นขึ้น Al Jazeera ได้รายงานรายละเอียดใหม่ที่ชัดเจนในสารคดีเกี่ยวกับปฏิบัติการซึ่งกล่าวหาว่า ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน อียิปต์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) วางแผนโค่นล้มชีค Hamad สารคดีระบุถึงประเด็นสำคัญในปฏิบัติการคือการที่กลุ่มชายติดอาวุธจะกักบริเวณชีค Hamad ไว้ในพระราชวังซึ่งอยู่ติดกับถนน Al Rayyan เดิมทีมีกำหนดจะกักบริเวณในเวลา 05.00 น. ของวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1996 ซึ่งเป็นวันที่ 27 ของเทศกาลถือศีลอด ทำให้มีกำลังทหารของกองทัพกาต้าร์ที่เตรียมพร้อมอยู่เพียง 20% แต่ได้เปลี่ยนเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์เพื่อลดโอกาสที่จะถูกค้นพบ ตามข้อมูลข่าวกรองของกาตาร์การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นคำสั่งของ Mohamed bin Zayed Al Nahyan (ประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์คนปัจจุบัน) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ เอกสารข่าวกรองของกาตาร์ยังอ้างว่า หลังจากผู้วางแผนเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังทหารของกาตาร์อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ผู้วางแผนจะส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากกองกำลังติดอาวุธในซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม ในที่สุด การรัฐประหารก็ถูกค้นพบและขัดขวางได้ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ 

ตามรายงานของ Al Jazeera ระบุว่า Paul Barril อดีตเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของฝรั่งเศสได้รับมอบหมายให้จัดหาอาวุธให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อดำเนินการก่อรัฐประหารในกาตาร์ ซึ่ง Anwar Gargash รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตอบโต้สารคดีดังกล่าว โดยระบุว่า Paul Barril เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของชีค Khalifa ซึ่งเดินทางเยือนนครอาบูดาบี และไม่มีความสัมพันธ์กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกล่าวว่า สารคดีดังกล่าวเป็นความพยายามโกหกเพื่อพาดพิงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่าเกี่ยวข้องกับความพยายามในการก่อรัฐประหารในกาต้าร์ 1996

แม้ว่าความพยายามก่อรัฐประหารในปี 1995 จะเป็นเพียงบันทึกเล็ก ๆ ในประวัติศาสตร์ของกาตาร์ แต่ประเทศและราชวงศ์ที่ปกครองอยู่ก็มีความน่าสนใจในแบบของตัวเอง นี่คือข้อเท็จจริงที่น่าสนใจบางส่วน :
1. ราชวงศ์ Al Thani ปกครองกาตาร์มาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 พวกเขามีชื่อเสียงในเรื่องความรู้ด้านการทูตและความสามารถในการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคที่มักเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
2. ความมั่งคั่งของกาตาร์ กาตาร์เป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เนื่องจากมีก๊าซธรรมชาติสำรองอยู่เป็นจำนวนมาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของประเทศเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อหัวที่สูงที่สุดในระดับโลก และยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมที่หรูหราที่สุด ห้างสรรพสินค้า และสถาปัตยกรรมล้ำสมัยอีกด้วย

3. เกาะเพิร์ล-กาตาร์ เป็นเกาะเทียมของกาตาร์ซึ่งมีรูปร่างเหมือนสร้อยไข่มุก เกาะแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของการใช้ชีวิตที่หรูหรา มีร้านบูติกระดับไฮเอนด์ ร้านอาหาร และท่าจอดเรือ
4. ฟุตบอลโลก 2022 กาตาร์สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022 กลายเป็นประเทศตะวันออกกลางประเทศแรกที่ได้เป็นเจ้าภาพ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกาตาร์ในการจัดการแข่งขันระดับโลก แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากชุมชนนานาชาติ

5. ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ข้อดีอย่างหนึ่งของการอาศัยอยู่ในกาตาร์คือไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ถูกต้องแล้ว ประชาชนสามารถเก็บรายได้ทั้งหมดไว้ได้ ซึ่งเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศนี้ดึงดูดชาวต่างชาติได้มาก

ความพยายามก่อรัฐประหารในกาตาร์เมื่อปี 1995 เป็นการเตือนใจว่าแม้แต่แผนการที่วางไว้อย่างดีที่สุดก็อาจผิดพลาดอย่างน่าขบขันได้ ไม่ว่าจะเป็นการลืมนำแผนที่มาด้วยหรือการจองโรงแรมระดับห้าดาวให้กับทหารรับจ้าง บางครั้งความจริงก็แปลกประหลาดกว่านิยาย กลายเป็นประวัติศาสตร์ของความพยายามในการก่อรัฐประหารที่ไร้เหตุผล ประหลาด และโง่เขลา อย่างแท้จริง และบางครั้งล้มเหลวเพราะการวางแผนที่ไม่ดี ในขณะที่บางครั้งล้มเหลวเพราะผู้นำลืมรายละเอียดพื้นฐาน เช่น แผนที่ GPS ฯลฯ ดังนั้น ครั้งต่อไปที่มีการวางแผนทำการรัฐประหาร โปรดจำไว้ว่า ต้องแผนที่หรือ GPS ติดตัวไปด้วยเสมอ ตรวจสอบข้อมูลให้ดี และหลีกเลี่ยงการพักในโรงแรมระดับห้าดาวก็ได้ และถ้าทุกอย่างล้มเหลว ให้จำคำพูดของชีค Khalifa ที่ว่า "บ้าเอ๊ย น่าจะจ้างพวก Wagner มากกว่า" 

หลังจากลี้ภัยในต่างประเทศอยู่หลายปี ในที่สุด Hamad bin Jassim bin Hamad Al Thani ลูกพี่ลูกน้องของชีค Hamad อดีตรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจและหัวหน้าตำรวจ ผู้วางแผนในการทำรัฐประหารก็ถูกจับกุมในเดือนกรกฎาคม 1999 และถูกนำตัวขึ้นศาลในเดือนกุมภาพันธ์ 2000 โดย Hamad bin Jassim รวมถึงผู้ร่วมก่อการอีก 32 คน ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาวางแผนรัฐประหาร มีผู้ต้องหาอีก 85 คนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร บางคนถูกพิจารณาคดีลับหลัง ซึ่งจำเลยทั้งหมดที่เข้าร่วมให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทหารรับจ้างต่างชาติที่รับงานนี้มาหลังเหตุการณ์

ผลพวงจากความพยายามก่อรัฐประหารในกาตาร์ปี 1996 น่าสนใจไม่แพ้การก่อรัฐประหารเลยทีเดียว แม้ว่าการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลวโดยกลุ่มทหารรับจ้างจะถือเป็นหายนะที่น่าขบขัน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของกาตาร์ไปมากนัก และกลับทำให้ตำแหน่งของชีค Hamad bin Khalifa Al Thani ในฐานะ Emir แห่งกาตาร์แข็งแกร่งขึ้น และปูทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศให้กลายเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาคด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ :

1. การรวมอำนาจของชีค Hamad หลังจากความพยายามในการทำรัฐประหารโดยพระบิดาของพระองค์ล้มเหลว ชีค Hamad ได้ทรงกระชับอำนาจของพระองค์ให้มั่นคงขึ้น พระองค์ยังทรงปกครองกาตาร์โดยเน้นที่การปรับปรุงให้ทันสมัยและการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ การครองราชย์ของพระองค์ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตของกาตาร์ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญบนเวทีโลก ด้วยแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลและนโยบายการทูตเชิงยุทธศาสตร์
2. การเปลี่ยนแปลงของกาตาร์ภายใต้การนำของชีค Hamad (1995–2013) ซึ่งมักถูกเรียกว่า “ยุคทองของกาตาร์” ต่อไปนี้คือการเปลี่ยนแปลงสำคัญบางส่วนที่พระองค์ทรงดำเนินการ :
- การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ชีค Hamad ทรงลงทุนในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ของกาตาร์อย่างมากมาย จนทำให้กาตาร์กลายเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก ความมั่งคั่งดังกล่าวทำให้กาตาร์สามารถระดมทุนสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ การปฏิรูปการศึกษา และโครงการทางสังคมได้

- สื่อและการศึกษา ชีค Hamad ทรงก่อตั้งสำนักข่าวนานาชาติ Al Jazeera ที่มีชื่อเสียง ในปี 1996 โดย Al Jazeera ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการกำหนดความคิดเห็นของสาธารณชนในโลกอาหรับและที่อื่น ๆ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงลงทุนในด้านการศึกษาด้วยการก่อตั้งมหาวิทยาลัยระดับโลก เช่น Education City ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียง
- สิทธิสตรีและการปฏิรูปสังคม ภายใต้การนำของชีค Hamad กาตาร์ได้ก้าวหน้าอย่างมากในด้านสิทธิสตรี รวมถึงให้สิทธิสตรีในการลงคะแนนเสียงและลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 1999 นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสนับสนุนให้สตรีมีส่วนร่วมมากขึ้นในกำลังแรงงานและชีวิตสาธารณะอีกด้วย
- อิทธิพลระดับโลก ชีค Hamad ทรงวางตำแหน่งให้กาตาร์เป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในภูมิภาคและเป็นศูนย์กลางการทูตระหว่างประเทศ ด้วยการเป็นเจ้าภาพการเจรจาสันติภาพ ลงทุนในกีฬาระดับโลก (เช่น ฟุตบอลโลก 2022) และกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของมหาอำนาจตะวันตก

ชะตากรรมของชีค Khalifa bin Hamad Al Thani หลังจากความพยายามก่อรัฐประหารล้มเหลว พระองค์ยังทรงต้องลี้ภัยไปยังฝรั่งเศส นครอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อยู่หลายปี ในที่สุดก็สามารถเสด็จกลับมายังกาตาร์ในปี 2004 หลังจากทรงคืนดีกับพระโอรส โดยชีค Hamad ได้พระราชทานอภัยโทษอย่างเป็นทางการแก่พระองค์ และชีค Khalifa ทรงใช้ชีวิตในกาตาร์จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปี 2016 การคืนดีครั้งนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพภายในราชวงศ์ A Thani ซึ่งยังคงครองอำนาจอย่างมั่นคงจนกระทั่งทุกวันนี้

ชีค Tamim bin Hamad Al Thani ทรงรับช่วงจากพระบิดาต่อในปี 2013 โดยชีค Hamad ทรงสละราชบัลลังก์โดยสมัครใจเพื่อให้ชีค Tamim bin Hamad Al Thani พระโอรสของพระองค์ขึ้นเป็น Emir แทน การถ่ายโอนอำนาจอย่างสันตินี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในภูมิภาคนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของผู้นำกาตาร์ ชีค Tamim ยังทรงดำเนินตามนโยบายของพระบิดา โดยเน้นที่การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ การทูตระดับโลก และการเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับนานาชาติที่สำคัญ เช่น ฟุตบอลโลก 2022

มรดกจากการรัฐประหารปี 1995 และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง มักถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของกาตาร์ แม้ว่าความพยายามการทำรัฐประหารจะล้มเหลวอย่างน่าตลก แต่ก็ตอกย้ำถึงความอดทนของผู้นำของชีค Hamad วิสัยทัศน์และการปฏิรูปของพระองค์ทำให้กาตาร์เปลี่ยนจากรัฐอ่าวเปอร์เซียเล็ก ๆ มาเป็นประเทศที่มีอิทธิพลระดับโลก มีมาตรฐานการครองชีพสูง เศรษฐกิจแข็งแกร่ง และมีสถานะที่แข็งแกร่งในระดับนานาชาติ เรื่องราวนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามารถในการปรับตัวและความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แม้ว่าความพยายามก่อรัฐประหารจะเป็นความผิดพลาด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาพิสูจน์ให้เห็นว่ากาตาร์มีความสามารถในการเอาชนะความท้าทายและเจริญรุ่งเรืองได้ แม้จะกาต้าร์จะต้องเผชิญกับความยากลำบากมาแล้วก็ตาม

เส้นขอบฟ้าที่ทันสมัยของกาตาร์ สัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดที่สุดอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงของกาตาร์คือเส้นขอบฟ้าอันล้ำยุคในกรุงโดฮา นครแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม เช่น Torch Doha พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลาม และ Pearl-Qatar โดยสถานที่สำคัญเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความทะเยอทะยานและความมั่งคั่งของประเทศ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยของชีค Hamad bin Khalifa Al Thani

หมายเหตุ ชาวอาหรับไม่มีนามสกุล จึงใช้ชื่อของบิดาต่อท้าย เช่น Tamim bin Hamad bin Khalifa Al Thani หมายถึง Tamim บุตรชายของ Hamad ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของ Khalifa แห่งราชวงศ์ Al Thani

ไม่พลาด!!!
ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน ในวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงครามอินโดจีน 30 เมษายน 2568

IO ไม่ใช่เครื่องมือไล่ล่าใครแต่ใช้เพื่อความมั่นคง ป้องกันกลุ่มแบ่งแยกชาติแฝงตัวในคราบนักการเมือง

ทำไมกองทัพจึงต้องมี IO: เมื่อพฤติกรรมของนักการเมืองบางคนเปิดช่องให้แนวคิดแบ่งแยกชาติฝังราก

เสียงวิจารณ์ว่ากองทัพไทยใช้งบประมาณในปฏิบัติการข่าวสาร (IO) เพื่อโจมตีนักการเมืองฝ่ายค้านนั้นมีมานาน และยิ่งดังขึ้นเมื่อคุณอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ออกมาแสดงตนว่าเป็น 'เหยื่อ IO' ด้วยวาทกรรมแรงกล้าในทุกเวทีทั้งในและนอกสภา

แต่แทนที่จะหยุดเพียงคำถามว่า “ทำไมทหารต้องทำ IO” เราควรถามกลับว่า “อะไร” คือเหตุผลที่ทำให้บางพรรคการเมืองกลายเป็นเป้าหมายของการเฝ้าระวังทางความมั่นคง

หนึ่งในคำตอบนั้นคือพฤติกรรมของบุคคลในพรรคเดียวกับคุณอมรัตน์ — นั่นคือ รอมฎอน ปันจอ สส.ผู้มีบทบาทชัดเจนในการสนับสนุนงานวิจัยเรื่อง 'สานฝันปาตานีโดยไม่ใช้ความรุนแรง' ซึ่งเผยแพร่แนวคิดเอกราชปาตานีอย่างเป็นระบบ

รอมฎอน ปันจอ เคยเป็นบรรณาธิการเว็บไซต์ Deep South Watch และมีบทบาทอย่างชัดเจนในการสนับสนุนงานวิจัยเรื่อง “สานฝันปาตานีโดยไม่ใช้ความรุนแรง” ที่เนื้อหาภายในมีลักษณะส่งเสริมแนวคิดเอกราชปาตานีอย่างเป็นระบบ

เขานำผลสำรวจความคิดเห็นของคนในพื้นที่ 1,000 คนที่ 'ยอมรับว่าต้องการเอกราช' มานำเสนอผ่านสื่อ และเรียกงานวิจัยชิ้นนี้ว่า 'สุดพีค' พร้อมเสนอว่า รัฐไทยควรยุติความพยายามในการทำให้คนปาตานีละทิ้งความฝันเรื่องเอกราช และควร 'เปิดพื้นที่' ให้แนวทางแบ่งแยกดินแดนได้อภิปรายอย่างเปิดเผยในทางการเมือง

สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ผู้ช่วยวิจัยของงานชิ้นนี้ล้วนเป็นสมาชิกของเครือข่าย The Patani และ PerMas ซึ่งเป็นกลุ่มที่รณรงค์เรื่อง สิทธิในการกำหนดใจตนเอง และมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรต่างชาติที่เคยผลักดันการแบ่งแยกดินแดนในอดีต

เมื่อบุคคลที่มีสถานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สนับสนุนงานลักษณะนี้ และพรรคการเมืองต้นสังกัดของเขากลับไม่มีท่าทีชี้แจง หรือควบคุมอย่างเป็นรูปธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่อาจมองว่าเป็นการกระทำส่วนตัว หากแต่เป็น 'การยินยอมโดยพฤตินัย' ของพรรคทั้งพรรค

นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดกองทัพ และหน่วยงานความมั่นคงจึงต้องจับตาพรรคการเมืองนี้อย่างใกล้ชิด

IO จึงไม่ใช่เครื่องมือไล่ล่าใคร แต่เป็นเครื่องมือสร้างการรับรู้ข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้เห็นอีกด้านหนึ่ง — ด้านที่ซ่อนอยู่หลังงานวิจัย วาทกรรมสิทธิ และการเคลื่อนไหวใต้ดินของขบวนการที่ไม่เคารพอธิปไตย

การมี IO จึงไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกประเทศในโลกต่างมีกลไกเช่นนี้เพื่อป้องกันภัยเงียบ เพียงแต่เขารู้ว่า 'ข้อมูลด้านความมั่นคง' ไม่ใช่สิ่งที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือปล่อยให้ต่างชาติเข้าถึงอย่างเสรี

การอภิปรายเรื่องความมั่นคงในรัฐสภาเปิด เป็นเรื่องที่อาจกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว รัฐบาลและฝ่ายการเมืองมีวุฒิภาวะพอที่จะจำกัดการพูดเรื่องความมั่นคงไว้เฉพาะในการประชุมลับของกรรมาธิการหรือหน่วยงานความมั่นคงเท่านั้น

ประเทศไทยเองก็ไม่ต่างกัน หากยังปล่อยให้แนวคิดแบ่งแยกแฝงตัวผ่านช่องทางประชาธิปไตยแบบเสรีไร้ขอบเขต โดยไม่มี IO คอยสกัดกั้นและให้ข้อมูลแก่ประชาชน สังคมไทยก็อาจตื่นรู้ไม่ทัน ก่อนที่โครงสร้างของชาติจะถูกกัดกร่อนไปทีละชั้น

‘IO’ ไม่ได้เลวร้าย หากใช้เพื่อความมั่นคง ชี้! ภัยคุกคามประเทศยุคใหม่มาได้ทุกรูปแบบ

(26 มี.ค. 68) ในยุคที่ "กระสุน" ไม่ได้มีแค่เหล็กกล้า แต่อาจมาในรูปของ “ข้อมูลปลอม ความเข้าใจผิด และกระแสบนโซเชียลมีเดีย” กองทัพในโลกยุคใหม่จึงต้องมีอาวุธชนิดใหม่ที่เรียกว่า IO หรือ Information Operation หรือ “ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร”

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า “ทำไมทหารต้องทำ IO?”
คำตอบนั้นง่ายพอๆ กับคำถามว่า “ทำไมทหารต้องมีปืน?”

เพราะโลกปัจจุบัน ภัยคุกคามไม่ได้มาแค่จากระเบิดหรือการรุกรานทางกายภาพ แต่มาในรูปของการบิดเบือนข้อมูล การสร้างความแตกแยกในสังคม และการโจมตีความชอบธรรมขององค์กรรัฐผ่านสื่อสาธารณะ — สิ่งเหล่านี้คือ “อาวุธยุคใหม่” ที่สามารถโค่นล้มรัฐบาล ล้มชาติ หรือทำให้ประชาชนสิ้นศรัทธาในสถาบันหลักได้ โดยไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว

IO คืออะไร?
IO หรือ “Information Operation” คือการวางแผน การควบคุม และการใช้ข้อมูลข่าวสาร เพื่อบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ เช่น
ปกป้องความมั่นคงของชาติ
ลดอิทธิพลของข้อมูลปลอม (Fake News)
สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในหมู่ประชาชน
ขัดขวางการปลุกปั่นของกลุ่มที่ต้องการโค่นล้มรัฐ
IO ไม่ได้แปลว่า “ล้างสมอง” หรือ “ปั่นกระแส” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มันคือการ ปกป้องความจริง และทำให้สังคมอยู่บนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง

แล้วทำไมต้องเป็นทหาร?
เพราะหน้าที่ของทหารไม่ใช่แค่การรบในสนาม แต่คือ การรักษาความมั่นคงของประเทศในทุกมิติ — ทั้งทางบก น้ำ อากาศ และ...ข้อมูล

และนี่ไม่ใช่สิ่งที่คิดขึ้นมาเอง แต่เป็น “อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย”
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 52 อยู่ในหมวด 5 ว่าด้วยหน้าที่ของรัฐ ซึ่งระบุว่า:
> "รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มีการทหาร การทูต และการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ" 

และกองทัพมีอำนาจหน้าที่ชัดเจนใน พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ที่ให้อำนาจ กองทัพในการดำเนินการใดๆ เพื่อคุ้มครองอธิปไตย ความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังทางกายภาพหรือ “ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร”
พูดง่ายๆ คือ กฎหมายเขียนไว้ชัดว่าทหารต้องทำ ไม่ใช่แค่ทำได้
เพราะถ้าไม่ใช่ทหาร... แล้วใครจะทำ?

บางคนอาจบอกว่า “ในเมื่อทหารได้เงินเดือนจากภาษีประชาชน ก็ไม่ควรใช้ IO กับประชาชน” — แต่ลืมไปหรือไม่ว่า ภัยคุกคามความมั่นคงจำนวนมากมาจาก “ประชาชน” บางกลุ่ม ที่มีวาระซ่อนเร้น ต้องการล้มรัฐ ล้มเจ้า หรือเปลี่ยนโครงสร้างประเทศโดยไม่ผ่านกลไกประชาธิปไตย

เช่นเดียวกับตำรวจที่มีหน้าที่จับโจร ซึ่งก็เป็น “ประชาชน”
เช่นเดียวกับศาลที่มีหน้าที่ตัดสินจำเลย ซึ่งก็เป็น “ประชาชน”
ทหารก็มีหน้าที่ป้องกันชาติ จากภัยคุกคาม — ไม่ว่าจะมาในคราบของ “ประชาชน” หรือ “นักการเมือง” ก็ตาม

การอภิปรายไม่ไว้วางใจ: IO หรือแค่ข้อกล่าวหาเพื่อปกป้องใครบางคน

จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวานนี้ ฝ่ายค้านพยายามชี้เป้าว่าทหารใช้ IO เพื่อ “เล่นงานประชาชน” แต่ถ้าตามดูให้ลึกลงไปในเนื้อหา จะเห็นว่าสไลด์ที่ปรากฏนั้น ไม่ได้กล่าวหาประชาชนทั่วไป แต่เจาะจงไปที่กลุ่มบุคคลที่มีบทบาทในพื้นที่อ่อนไหว โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรมแนวร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหวจากภายนอกประเทศ

นี่ไม่ใช่แค่การกล่าวหาในสไลด์ แต่คือ กลุ่มคนหน้าเดิม ๆ ที่ปรากฏในหน้าข่าวมาอย่างต่อเนื่อง คนที่เคยถูกพูดถึงว่าเดินทางไปต่างประเทศเพื่อนำแนวคิด “ลดทอนชาตินิยม” หรือแม้แต่แนวทาง “ปลดแอกจากความเป็นรัฐชาติ” เข้ามาปรับใช้ในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งความมั่นคงยังเปราะบางและต้องการความร่วมมือ ไม่ใช่ความแตกแยก

การที่ชื่อเหล่านี้ปรากฏในเอกสารข่าวกรอง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
พวกเขาคือบุคคลที่เคลื่อนไหวอยู่ในวงจรเดิม ใช้วาทกรรมประชาธิปไตยบังหน้า แต่นำเอาแนวคิดจากโลกตะวันตกเข้ามาปะทะกับโครงสร้างชาติแบบไทย

บางคนถึงขั้นเสนอให้รื้อโครงสร้างกฎหมายความมั่นคงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยไม่เคยแตะประเด็นเรื่องการก่อการร้ายเลยสักครั้ง

และนี่คือสาเหตุที่กองทัพต้องจับตามอง ไม่ใช่เพราะ "กลัวความคิด" แต่เพราะ หน้าที่ของกองทัพคือการป้องกันไม่ให้แนวคิดอันเป็นภัยคุกคามต่อชาติแทรกซึมเข้ามาทำลายความมั่นคงจากภายใน

ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ จึงไม่ได้เป็นการ "เปิดโปง" อะไรใหม่
แต่กลับเป็นการ “เปิดหน้า” ว่าใครกำลังยืนอยู่ข้างกลุ่มใด
ใครกำลังปกป้องกลุ่มที่ทำให้ความมั่นคงของชาติเปราะบาง
และใครกำลังใช้อภิสิทธิ์ในสภาเพื่อป้ายสีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงที่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย
จะว่าไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่อาจยืนยันได้ว่าเอกสารที่เอามาใช้นั้นถูกต้อง 100%
แต่ก็ต้องย้ำให้ชัดว่า เอกสารพวกนี้ ใครๆ ก็เขียนขึ้นมาได้
และหากใช้เพียงเพื่อ “ป้ายสี” ว่าทหาร — ผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ — กลายเป็นผู้ร้าย
นั่นก็ไม่ต่างจากการใช้ IO แบบกลับหัวกลับหางใส่ทหารเอง

IO ไม่ได้เลวร้าย หากใช้เพื่อความมั่นคง
สิ่งที่ควรถามไม่ใช่ว่า “ทหารทำ IO หรือไม่”
แต่ควรถามว่า “ทำ IO เพื่อใคร? เพื่อประโยชน์ใคร?”
ถ้า IO ถูกใช้เพื่อปกป้องประเทศจากการล่มสลายทางข้อมูล
จากการปลุกปั่นให้เกลียดชังกันเอง
จากการบิดเบือนอดีตเพื่อทำลายอนาคต
IO ก็คือ “เกราะป้องกันชาติ” ที่เราควรมี ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกห้าม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top