Wednesday, 4 June 2025
POLITICS

‘พอล แชมเบอร์’ นักวิชาการชื่อดัง ม.นเรศวร ถูกจับข้อหา ม.112 หลังกองทัพภาคที่ 3 เข้าแจ้งความ ฐานหมิ่นสถาบันฯ

(4 เม.ย.68) นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์ วอทช์ ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้จับกุม นายพอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชื่อดัง สังกัด ม.นเรศวร โดยระบุว่า...

“ด่วน! จับนักวิชาการต่างชาติข้อหา #ม112 ตำรวจบุกจับ ‘ดร. พอล แชมเบอร์ส’ นักวิชาการชื่อดังด้านไทยศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยนเรศวร ระบุมีหมายจับจากศาลพิษณุโลก ฐานหมิ่นสถาบันกษัตริย์ โดยกองทัพภาคสามเป็นผู้แจ้งความ … นี่เรามีรัฐบาลพลเรือนที่เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยูเอ็นจริงๆ ใช่มั้ย”

ขณะที่ นายเชตวัน เตือประโคน ส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาชน โพสต์ข้อความว่า “พอล แชมเบอร์ส หนึ่งในนักวิชาการชาวต่างชาติ ม.นเรศวร ที่ศึกษาเรื่องทหารไทยและการเมืองเมืองไทยมากที่สุดคนหนึ่งถูกจับข้อหา ป.อาญา ม.112 ซึ่งคดีนี้แจ้งความโดย กองทัพภาค 3

เราอยู่ในรัฐบาลประชาธิปไตยจริงเหรอ? นี่คือรัฐบาลพลเรือนที้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจริงเหรอ? ทหารอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนจริงเหรอ?

เมื่อวานก็จับมือเผด็จการทหารพม่า วันนี้ก็มีนักวิชาการถูกจับกุม

สิทธิมนุษยชนไม่สนใจ เสรีภาพทางวิชาการถูกย่ำยีป่นปี้หมดแล้วครับ”

สำหรับ ดร. พอล แชมเบอร์ เป็นนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทหารและพลเรือนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอาจารย์และที่ปรึกษาพิเศษด้านกิจการต่างประเทศ ของ Center of ASEAN Community Studies คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

พอล แชมเบอร์ มีผลงานเป็นหนังสือและบทความในวารสารวิชาการจำนวนมาก โดย งานเขียนส่วนใหญ่ ให้ความสำคัญกับการศึกษาบทบาทของกองทัพในประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง

ทั้งนี้ งานของพอล แชมเบอร์ เป็นส่วนสำคัญในการทำความเข้าใจบทบาทของกองทัพไทยตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างอำนาจและความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือนในประเทศไทย ซึ่งยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางการเมืองของประเทศ ตลอดจนแนวโน้มในอนาคตของบทบาททางการเมืองของทหารในสังคมไทย

เปิดชื่อ ‘189 อดีตสว.’ แถลงต้านรัฐบาลดัน ‘กม.กาสิโน’ พร้อมกาง 6 ข้อเตือน ชี้! ไม้ขีดก้านเดียวทำไฟไหม้บ้านพินาศได้

เปิดชื่อ"189 อดีตสว." แถลงต้านรัฐบาลดัน "กม.กาสิโน" กาง 6 ข้อเตือน! ไม้ขีดก้านเดียวทำไฟไหม้บ้านพินาศ
(3 เม.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 189 คน ออกแถลงการณ์กรณีที่รัฐบาลเร่งรีบบรรจุวาระร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า

คำแถลงของอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เรียนประธานรัฐสภา หัวหน้าพรรคการเมือง และพี่น้องประชาชนไทย เรื่องคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร และร่างกฎหมายการพนันออนไลน์ มีเนื้อหาดังนี้

ข้าพเจ้า อดีตสมาชิกวุฒิสภา ตามรายชื่อที่ปรากฏข้างท้ายนี้ ขอแถลงว่า ในฐานะประชาชนที่มีความห่วงใยประเทศชาติ และในฐานะผู้เคยทำหน้าที่นิติบัญญัติแห่งรัฐสภา มีความเห็นร่วมกันว่าร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) และร่างกฎหมายการพนันออนไลน์ ที่จะนำเข้าสู่การรับรองของสภาผู้แทนราษฎร ในระยะใกล้นี้ จะเป็นหายนะภัยอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ ประชาชน และต่ออนาคตของลูกหลานคนไทยทั้งปวง เราขอแสดงทัศนะ ดังนี้

1.กาสิโนและการพนัน ไม่ใช่นโยบายที่พรรคร่วมรัฐบาลเคยประกาศรณรงค์ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นโครงการงอกขึ้นมาใหม่แบบผิดปกติ ซึ่งรัฐบาลกลับเห็นเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญ โดยจะเร่งนำเข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันก่อนปิดสมัยการประชุมสภา ในวันที่ 10 เมษายน 2568 ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องรอได้ เมื่อเทียบกับปรากฏการณ์แผ่นดินไหว เมื่อ 28 มีนาคม 2568 ที่ประชาชนทั้งประเทศตระหนกตกใจ และเรียกหามาตรการป้องกันภัยพิบัติในอนาคตอย่างเร่งด่วน แต่กลับไม่ได้รับความใส่ใจจากรัฐบาล

2.ข้ออ้างของรัฐบาล เรื่องจะใช้พื้นที่สำหรับกาสิโนเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถือว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอ เพราะกาสิโนมีฤทธิ์แรงร้ายที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ไม้ขีดก้านเดียวทำให้ไฟไหม้บ้านพินาศทั้งหลังได้ การพนันออนไลน์ไม่ต้องมีพื้นที่ทางกายภาพแม้เพียงตารางนิ้วเดียว แต่ทำให้เหยื่อสิ้นเนื้อประดาตัวได้ เชื้อมะเร็งที่ปอดขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว แต่ก็ลุกลามทำลายร่างกายให้เจ็บและเสียชีวิตได้ พื้นที่มากน้อยจึงไม่สำคัญเท่าพิษสงของการพนัน
3.อำนาจการพิจารณาอนุญาตและการบริหารจัดการในรายละเอียด เช่น การกำหนดพื้นที่และสัดส่วน หลักเกณฑ์การควบคุมป้องกันอบายมุขอื่นๆ การเก็บภาษี การยกเลิกกฎหมายและกฎระเบียบ ค่าธรรมเนียมในอนาคต การตรวจสอบถ่วงดุล ฯลฯ เหมือนโอนลอยอำนาจไปอยู่ในมือของคณะกรรมการนโยบายที่เปิดทาง และเอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ ทุจริตได้อย่างไร้ขอบเขตทำให้ไม่สามารถวางใจได้ว่าโครงการจะดำเนินไปอย่างโปร่งใสสุจริต มาตรฐานการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตของไทยนั้น ไม่อาจเทียบได้เลยกับสิงคโปร์ ดังที่รับทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว

4.โครงการการพนันครบวงจรตามกฎหมายสองฉบับนี้ ไม่สามารถสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจได้จริงตามที่กล่าวอ้างสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ศสช.) ชี้ไว้แล้วว่า การพนันไม่ได้มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของ GDP เพราะปราศจากการผลิตใดๆ เป็นเพียงการย้ายเงินจากมือคนหนึ่งไปสู่มืออีกคนหนึ่งเท่านั้น การพนันจึงเป็นกิจกรรมเสี่ยง ที่สร้างนักพนันเสพติด ทำให้คนเล่นหรือเหยื่อหมดเนื้อหมดตัว มีแต่เจ้ามือที่ร่ำรวย ใครเล่นได้ก็เล่นซ้ำ เพราะอยากได้เพิ่ม คนเล่นเสียก็เล่นซ้ำเพราะต้องการ ทวงคืนไม่มีนักพนันคนไหนมั่งคั่งขึ้นมาจากการพนัน ตรงกันข้ามกลับต้องเป็นหนี้ ต้องขายทรัพย์สิน แม้แต่ต้องฆ่าตัวตายเพื่อหนีหนี้

5.แหล่งกาสิโนและการพนันออนไลน์ คือ ที่รวมของการฉ้อฉลคดโกงทั้งปวง เช่น คอลเซนเตอร์ นักหลอกลวงให้ลงทุน (Scammer)  อาชญากรข้ามชาติ ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าประเวณี โจร นักตีชิงวิ่งราว และเป็นแหล่งเพาะอบายมุขทั้งปวง ที่ชุมนุมกันอยู่ตามบ่อนชายแดนให้รู้เห็น กันโดยทั่วไป แล้วถึงขั้น รัฐบาลต้องตัดไฟ ตัดการสื่อสาร ตัดการส่งพลังงาน แล้วเหตุใดรัฐบาลยังไม่ตระหนักถึงมหันตภัยเหล่านี้

6.กาสิโนไม่ได้ทำให้ประเทศร่ำรวยจริงตามคำโฆษณาของรัฐบาล ฟิลิปปินส์มีกาสิโน 50 แห่ง นับตั้งแต่ 50 ปีก่อน อีก 3 ประเทศ เริ่มมีกาสิโนตั้งแต่ 30 ปีก่อน คือ เมียนมามี 230 แห่ง ลาวมี 2 แห่ง กัมพูชามี 150 แห่ง ถ้ากาสิโนทำให้ประเทศมั่งคั่งขึ้นมาจริง ผู้คนในประเทศเพื่อนบ้านนับแสนนับล้านคน ทำไมต้องอพยพมาทำงานในประเทศไทย นักพนันมีแต่อนาคตที่จะวิบัติสถานเดียว ดังที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อ 100 กว่าปีล่วงมาแล้ว ว่า "ข้อที่เข้าใจกันว่าเล่นไม่สนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไรๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที"

ถ้ารัฐบาลเห็นว่า คนไทยทั้งประเทศสมควรตกเป็นทาสการพนัน ที่จะเสียไร่ เสียนา เสียรถ เสียทรัพย์สิน ครอบครัวพินาศ สังคมเสื่อมทราม ก็จงเดินหน้าต่อไป แต่ถ้ารัฐบาลตระหนักถึงบาปบุญ คุณโทษ ที่คนรุ่นหลังจะต้องเผชิญกับมรดกบาปของแผ่นดิน ก็จงน้อมรับพระราชปณิธานของพระพุทธเจ้าหลวงใส่เกล้าใส่กระหม่อมฯ ด้วยการถอนกฎหมาย ทั้ง 2 ฉบับ ออกไปโดยเร็วเถิด

ด้วยจิตคารวะและปรารถนาดี ลงชื่อ :

1. พล ต.อ.ประทิน สันติประภพ (สว.2543)
2. รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง (สว.2543)
3. พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ (สว.2543)
4. สมชาย แสวงการ (สว.2551,2554,2562)
5. รศ.แก้วสรร อติโพธิ (สว.2543)
6. ขวัญสรวง อติโพธิ (สว.2549)
7. ประสาร มฤคพิทักษ์ (สว.2551,2554)
8. พิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ (สว.2551,2562)
9. มาลีรัตน์ แก้วก่า (สว.2543)
10.นพ.พลเดช ปิ่นประทีป (สว.2562)

11.สมชาย เสียงหลาย (สว.2562)
12.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม (สว.2562)
13.วัลลภ ตังคณานุรักษ์ (สว.2539,2543,2562)
14.คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ (สว.2562)
15.วรารัตน์ อติแพทย์ (สว.2562)
16.นส. รสนา โตสิตระกูล (สว.2549,2551)
17.พลเอก วลิต โรจนภักดี (สว.2562)
18.สุนี  จึงวิโรจน์ (สว.2562)
19.พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ (สว.2562)
20.จินตนา ชัยยวรรณาการ (สว.2562)

21.กำพล เลิศเกียรติดำรงค์ (สว.2562)
22.รณวฤทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล (สว.2562)
23.รศ ดร.ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร (สว.2562)
24.พลเอก มารุต ปัชโชตะสิงห์ (สว.2562)
25.ผศ ดร. สมเกียรติ อ่อนวิมล (สว.2543)
26.รศ พญ พรพันธุ์ บุญรัตพันธุ์ (สว.2551,2554)
27. พลเอก สิงห์ศึก สิงห์ไพร (สว.2562)*
28. พิไลพรรณ สมบัติศิริ (สว.2554)
29.วิชัย ทิตตภักดี (สว.2562)
30.กอบกุล อาภากรณ์ ณ อยุธยา (สว.2562)

31.กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ (สว.2562)
32.ประดิษฐ์ เหลืองอร่าม (สว.2562)
33.คำนูณ สิทธิสมาน (สว.2551, 2554, 2562)
34.จิรชัย มูลทองโร่ย (สว.2562)
35.นพ.ทวีวงษ์ จุลกมนตรี (สว.2562)
36.พิชัย ขำเพชร (สว.2543)
37.วีระพล วัชรประทีป (สว.2543)
38.จัตุรงค์ เสริมสุข (สว.2562)
39.ศ.พิเศษ กาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ (สว.2562)
40.หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล (สว.2562)

41.จรินทร์ จักกะพาก (สว.2562)
42.ทพ. อนุศักดิ์ คงมาลัย (สว.2551,2562)
43.ประพันธ์ คูณมี (สว.2562)
44.อภิรดี ตันตราภรณ์ (สว.2562)
45.บรรชา พงศ์อายุกูร (สว.2551,2562)
46.อนุมัติ อาหมัด (สว.2562)
47.เพ็ญพักตร์ ศรีทอง (สว.2562)
48.อำพล จินดาวัฒนะ (สว.2562)
49.ถาวร เทพวิมลเพชรกุล) (สว.2562)
50.จเด็จ อินสว่าง (สว.2562)

51.พลเอก สราวุฒิ ชลออยู่ (สว.2562)
52.วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี (สว.2562)
53.มหรรณพ เดชวิทักษ์ (สว.2554,2562)
54.เสรี สุวรรณภานนท์ (สว.2562)
55.วิทวัส บุญญสถิตย์ (สว.2551,2554)
56.มีชัย วีระไวทยะ (สว.2543)
57.พล ต.ต.วีระ อนันตกูล (สว.2543)
58.ถาวร เกียรติไชยากร (สว.2543)
59. สุวัฒน์ จิราพันธุ์ (สว.2562)
60.ชาญวิทย์ ผลชีวิน (สว.2562)

61.พลเอก จีระศักดิ์ ชมประสพ (สว.2562)
62.ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย (สว.2562)*
63.ถวิล เปลี่ยนศรี (สว.2562)
64.จารุพงศ์ จีนาพันธ์ (สว.2554)
65.พล.ต.อ. ชัชวาลย์ สุขสมจิตร (สว.2562)
66. พลเอก สมเจตน์ บุญถนอม (สว.2554,2562)
67. รศ ดร. ทัศนา บุญทอง (สว.2551 /2554)*
68.พลเอก สำเริง ศิวาดำรงค์ (สว.2562)
69.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ (สว.2562)
70.พลเอก ธีรเดช มีเพียร (สว.2522,2554,2562)*

71.วิทยา ผิวผ่อง (สว.2562)
72.นพ. เจตน์ ศิรธรานนท์  (สว.2551,2554,2562)
73. สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย (สว.2551,2554,2562)*
74. ยงยุทธ สาระสมบัติ (สว.2539, 2562)
75. ดวงพร รอดพยาธิ์ (สว.2562)
76.ร.อ.ประยุทธ เสาวคนธ์ (สว.2562)
77. กีรณา สุมาวงศ์ (สว.2539,2551,2554)
78.พล.อ.ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ (สว.2562)
79.พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ (สว.2562)
80.ตวง อันทะไชย (สว.2551,2554,2562)

81. ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร (สว.2562) 
82.เตือนใจ ดีเทศน์ (สว.2543)
83.พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ (สว 2562)
84.พล.อ.อ.สุจินต์ แช่มช้อย (สว.2562)
85.สำราญ ครรชิต (สว.2562)
86.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ (สว.2562)
87.สมชาย ชาญณรงค์กุล (สว.2562)
88.ชลิต แก้วจินดา (สว.2562)
89 เชิดศักดิ์ จำปาเทศ (สว.2562)
90.ศรีศักดิ์ วัฒนพรมงคล (สว.2562)

91.บุญมี สุระโคตร (สว.2562)
92.ประยูร เหล่าสายเชื้อ (สว.2562)
93.พล.อ.ชูศักดิ์ เมฆสุวรรณ์ (สว.2562)
94. ธานี สุโชดายน (สว.2562)
95.ณรงค์ รัตนานุกูล (สว.2562)
96.พล.ร.ท.สนธยา น้อยฉายา (สว.2562)
97.สุวรรณี สิริเวชชะพันธ์ (สว.2562)
98. ปรีชา บัววิรัตน์เลิศ (สว.2562)
99.พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ (สว.2562)
100.ถาวร ลีนุตพงษ์ (สว.2551/2554)

101.พลเอก อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ (สว.2562)
102.พลโท อำพน ชูประทุม (สว.2562)
103.พลเอก วสันต์ สุริยมงคล (สว.2562)
104.ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์ (สว.2551,2554)
105.พลเอก ประสาท สุขเกษตร (สว.2562)
106.ถนัด มานะพันธุ์นิยม (สว.2562)
107.ดุสิต เขมะศักดิ์ชัย (สว.2562)
108.พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ (สว.2562)
109.รศ.ดร ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ (สว.2562)
110.พล.อ.อ.อดิศักดิ์ กลั่นเสนาะ (สว.2562)
111.พลเอก วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล (สว.2562)
112.สมพล พันธุ์มณี (สว.2554)
113.มรว.ปรียนันทนา รังสิต (สว.2551)
114.กิตติ วสีนนท์ (สว.2562)
115.พลเอก ปฐมพงศ์ ประถมภัฏ (สว.2562)
116.เฉลียว เกาะแก้ว (สว.2562)
117.พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร (สว.2562)
118.พลอากาศเอก วีรวิท คงศักด์ ( สว.2551,2554)
119.ลักษณ์ วจนานวัช (สว.2562) 
120.พลเรือเอก พะจุณณ์ ตามประทีป (สว.2562)

121.พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ (สว.2554,2562)
122.วีระศักดิ์ ภูครองหิน (สว.2562)
123.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ (สว 2562)     
124.พล.ร.อ.อิทธิคมน์ ภมรสูต (สว.2562)
125.ปิยะพันธ์ นิมมานเหมินทร์ (สว.2554,2562)
126.เชิดศักดิ์ สันติวรวุฒิ (สว.2562)
127.พิเชต สุนทรพิพิธ (สว.2551,2554)
128.ณรงค์ อ่อนสะอาด (สว.2562)
129.พล.อ.สุนทร ขำคมกุล (สว.2562)
130.สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ (สว.2562)

131.พลเอก ธงชัย สาระสุข (สว.2562)
132.พลเอก ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข (สว.2562)
133.พลเอก ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ (สว.2562)
134.นิอาแซ ซีอุเซ็ง (สว.2562)
135.ภาณุ อุทัยรัตน์ (สว.2562)
136.วิรัตน์ เกสสมบูรณ์ (สว.2562)
137.พลเรือเอก ชัยวัฒน์ เอี่ยมสมุทร (สว.2562)
138.พลเอก สสิน ทองภักดี (สว.2562)
139.พล.อ.อาชาไนย ศรีสุข (สว.2562)
140.พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง (สว.2562)

141.ดร.ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล (สว.2562)
142.พล.อ.นิวัตร มีนะโยธิน (สว.2562)
143.พล.อ.อักษรา เกิดผล (สว.2562)
144.สมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ (สว.2562)
145.พลเอก พล.อ.ชาตอุดม ติตถะสิริ (สว.2562)
146.พลเอก ทวีป เนตรนิยม (สว.2562)
147.พิศาล มาณวพัฒน์ (สว.2562) 
148.พลตำรวจโท พิสัณห์ จุลดิลก (สว.2562)
149.สมบูรณ์ ทองบุราณ (สว.2543)
150.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ (สว.2562)

151.พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ (สว.2562) 
152.พล.ร.อ.กฐนิธ กิตติอำพน (สว.2562)
153.เพิ่มพงษ์ เชาวลิต (สว.2562)
154.พล.ร.อ.พัลลภ ตมิสานนท์ (สว.2562)
155.ศ.เกียรติคุณ ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ (สว.2562)
156.รศ.นรีวรรณ จินตกานนท์ (สว.2554)
157.ไพโรจน์ พ่วงทอง (สว.2562)               
158.พล.อ.วินัย สร้างสุขดี (สว.2562)
159.นพ.เฉลิมชัย เครืองาม (สว.2554/2562)
160.พล.อ.ดนัย มีชูเวท (สว2562)

161.นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ (สว.2562)
163.พล.อ.เกษมศักดิ์ ปลูกสวัสดิ์ (สว.2551)
164.พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ (สว.2562 )
165.พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ (สว.2562)
166.นายอุดม  วรัญญูรัฐ (สว.2562)
167.พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร (สว.2543)*
168.พล.ต.โอสถ ภาวิไล (สว.2562)
169.พล.อ.บุญธรรม โอริส (สว.2562)
170.อนุศาสน์ สุวรรณมงคล (สว.2551,2554,2562)

171.พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ (อดีต สว.2551)
172.วรวิทย์ วงษ์สุวรรณ (สว.2551)
173.พล.ต.ท.สานิตย์ มหถาวร (สว.2562)
174.นายประมาณ สว่างญาติ (สว.2562)
175.พล.อ.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล (สว.2562)
176.พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร (สว.2562)
177.นายอมร นิลเปรม (สว.42,สว.62)
178.ดิเรก ถึงฝั่ง (สว.2551)
179.บุญชัย โชควัฒนา (สว.2551,2554)
180.สุโข วุฑฒิโชติ (สว.2551)

181.เกียว แก้วสุทอ (สว.012 , 2562)
182.ปัญญา งานเลิศ (สว.2562)
183.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (สว.2562)
184.สุมล สุตะวิริยวัฒน์ (สว.2551)
185.สงคราม ชื่นภิบาล (สว.2551)
186.ประดิษฐ์ ตันวัฒนะพงษ์ (สว.2551)
187.พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย (สว.2562)
188.ทรงเดช เสมอคำ (สว.2562)
189.พล.ร.อ.นพดล โชคระดา (สว.2562)

ทั้งนี้ แถลงการณ์ของอดีต สว.ดังกล่าว มี 3 อดีตประธานวุฒิสภา 3 คน ร่วมลงชื่อ คือ พลตรีมนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภา ชุด 2543 , พลเอกธีรเดช มีเพียร อดีตประธานวุฒิสภา ชุด 2554 และ ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย อดีตประธานวุฒิสภาชุด 2562
และอดีตรองประธานวุฒิสภา 3 คน ร่วมลงชื่อ คือ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีตรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 สมัย 2554 , รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง อดีตรองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 สมัย 2551 และ พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร อดีตรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 สมัย 2562

นอกจากนี้ ยังมีอดีต สว.2539 ร่วมลงชื่อ อาทิ วัลลภ ตังคณานุรักษ์ , กีรณา สุมาวงศ์

อดีต สว.2543 ร่วมลงชื่อ อาทิ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล เตือนใจ ดีเทศน์ รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แก้วสรร อติโพธิ มาลีรัตน์ แก้วก่า มีชัย วีระไวทยะ พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ พล.ต.ต.วีระ อนันตกูล ถาวร เกียรติไชยากร พิชัย ขำเพชร วีระพล วัชรประทีป เสรี สุวรรณภานนท์

อดีต สว.2549 อาทิ รสนา โตสิตระกูล ขวัญสรวงค์ อติโพธิ

อดีต สว.2551 มีทั้งเลือกตั้งและสรรหาร่วมลงชื่อ อาทิ สมชาย แสวงการ ประสาร มฤคพิทักษ์ รศ.พญ.พรพันธุ์ บุญรัตพันธุ์ พิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ดิเรก ถึงฝั่ง สุขโข วุฒิโชติ บุญชัย โชควัฒนา พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ มรว.ปรียนันทนา รังสิต สงคราม ชื่นภิบาล พิเชต สุนทรพิพิธภัณฑ์ อนุศาสน์ สุวรรณมงคล ตวง อันทะไชย คำนูณ สิทธิสมาน พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์

อดีต สว.2554 ร่วมลงชื่อ อาทิ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ พิไลพรรณ สมบัติศิริ สมพล พันธ์มณี ถาวร ลีนุตพงษ์ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ นพ.เฉลิมชัย เครืองาม วิทวัส บุญญสถิตย์

อดีต สว.2562 ร่วมลงชื่อจำนวนมาก อาทิ คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย พล.ร.อ.ฐนิต กิตติอำพนธ์ พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ พล.อ.สุรพงศ์ สุวรรณอัตถ์ พล.อ.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ พล.ต.ท.สานิตย์ มหถาวร นพ.พลเดช ปิ่นประทีป วิบูลย์รักษ์ ร่วมลักษณ์ ประพันธ์ คูณมี ศ.พิเศษ กาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ จเด็จ อินสว่าง ถวิล เปลี่ยนศรี ชาญวิทย์ ผลชีวิน เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ อภิรดี ตันตราภรณ์ วีรศักดิ์ โคว้สุรัตน์ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ดร.ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล กอบกุล อาภากรณ์ ณ อยุธยา นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ลักษณ์ วจนานวัช พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ฯลฯ

รวมอดีต สว.ที่ร่วมลงชื่อเบื้องต้น 189 คน และกำลังทะยอยลงชื่อสมทบเพิ่มเติม อีกจำนวนมาก

สมุทรปราการ-อำนวย บุญริ้ว นายกแพรกษาใหม่ มั่นใจเลือกตั้ง สท.เอาอยู่!! แม้มีคู่แข่ง 

วิเคราะห์เกมการเมืองตำบลแพรกษาใหม่ ภายใต้การกำกับดูแลของ นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ หรือที่ประชาชนรู้จักกันดีในนาม นายกนาจ แม่ทัพใหญ่ตำบลแพรกษาใหม่ ที่สามารถฟันฝ่าเอาชนะอุปสรรคนานับประการมาได้ ดุจเหล็กกล้า 

เอาชนะคู่แข็งพรรคส้มในการเลือกตั้งนายกท้องถิ่นแบบลอยลำ ประชาชนเทคะแนนเสียงให้แบบขาดลอย หรือแม้แต่การเลือกตั้งสมาชิก ส.อบจ.ในเขตพื้นที่ที่ผ่านมา ก็สามารถใช้หน้าตาชื่อเสียงที่ชื่อ อำนวย บุญริ้ว อ้อนขอคะแนนเสียงพา สจ.ในเขตพื้นที่เอาชนะคู่แข่งเข้าวินไปตามคาดหมาย คงเป็นเพราะความใจถึง พึ่งได้ และความไม่ถือตัวของนายกคนนี้ทำให้เข้าไปนั่งอยู่ในใจของประชาชนโดยทั่ว

กระทั่งล่าสุดคณะสมาชิกสภาเทศบาล ( สท.) ทั่วประเทศหมดวาระไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา และกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลใหม่ ล่าสุดคณะทำงานในนามกลุ่มพัฒนาแพรกษาใหม่ ได้ยื่นใบสมัครการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ทั้ง 3 เขต 

ซึ่งแต่ละเขตจะมีสมาชิกเขตละ 6 คน และรอบนี้ก็มีคู่แข่งอีกเช่นเคยหากจะบอกว่าบังเอิญคงจะไม่ใช่ เพราะคู่แข่งมาในชื่อกลุ่มพัฒนาแพรกษาใหม่เหมือนกัน ส่งสมาชิกลงแข่งในพื้นที่เขต 1 หากย้อนถามแม่ทัพใหญ่อย่างนาย อำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีฯ ถึงความหนักใจ คงตอบได้ทันทีว่าไม่หนักใจและเอาอยู่ เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วด้วยผลงาน การบริหาร การพัฒนา หากประชาชนไม่รักไม่ศรัทธาคงมายืนอยู่จุดนี้ไม่ได้แน่นอน และเชื่อมั่นว่าคณะสมาชิกทุกคนทั้ง 3 เขต นั้นจะสอบผ่านและเข้าไปนั่งเก้าอี้สมาชิกสภาเทศบาลได้อีกสมัยอย่างแน่นอน ดั่งคำที่ว่า ทองแท้ ย่อมไม่กลัวไฟ

โลกกำลังเดินทางสู่...ขาลง เพื่อจัดระเบียบมนุษย์ ด้วยผู้คนไร้ศีล ไร้สามัญสำนึก สนับสนุนสิ่งเลว ๆ เหยียบย่ำสิ่งดี ๆ

(1 เม.ย. 68) สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อสถานศึกษาไม่ได้ช่วยให้คนไทยฉลาด คนจบการศึกษาสูง ๆ มาจากเมืองนอกเมืองนาก็ไม่ได้หมายความว่าจะมี “สามัญสำนึก” หรือ “คิดเป็น” ผู้คนจำนวนมากยังแยกแยะดีชั่วไม่ออก มองหาแต่ “ความสุขสบายส่วนตัว” โดยไม่คิดโอบกอดสังคมส่วนรวม 

หนำซ้ำผู้คนจำนวนไม่น้อยยังเคารพคนที่เปลือก นับถือเศรษฐีโดยไม่สนที่มาของเงิน กอดคอยิ้มหวานกับเหล่าอาชญากรเพียงเพราะเป็นคนที่ร่ำรวย แสดงความนอบน้อมต่อผู้มีอิทธิพลแม้เบื้องหลังจะใหญ่โตมาจากสิ่งเทา ๆ ก็ถึงเวลาที่โลกต้องออกแรงจัดระเบียบมนุษย์กันสักครั้ง

ความรุนแรงของธรรมชาตินับจากนี้ไปจะไม่มีคำว่า “เบา” 

เมื่อพลังงานเลว ๆ ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ แผ่กระจายปกคลุมท้องฟ้า จนดำมืดไปด้วยอากาศพิษ โลกก็จำต้องออกแรงขยับเขยื้อนดูดกลืนสิ่งสกปรกให้หายไปจากแผ่นดิน เพื่อความสว่างไสวของ “ความดีงาม” เกิดขึ้นอีกคราว และดำรงอยู่อย่าง “ยั่งยืน” เพื่อมวลมนุษยชาติที่ตั้งมั่นในศีลสืบไป 

ผู้คนจำนวนมาก ไร้ความเชื่อเรื่องการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ต่างไม่เกรงกลัวต่อบาป โดยเฉพาะบาปที่มาจากการทำร้ายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เอาเปรียบสังคมที่ร่วมอาศัย รวมถึงไม่ดูแลใส่ใจธรรมชาติที่เกิดและเติบโตมาจากโลกใบเดียวที่เรามี หมักหมมจนเหม็นเน่า กลายเป็นขยะที่มาจาก “พฤติกรรมเลว ๆ ของมนุษย์” ความชั่วช้าที่ถูกปกปิดไว้ จะถูกธรรมชาติช่วยเผยอเปิดออกให้ผู้คนที่ยังหลับใหล โง่งมงายแต่ของใหม่ ยินดีแต่สิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์ ได้รับรู้จนกระจ่างต่อหัวใจ 

เมื่อคำเตือนจากฟ้า คำบัญชาจากสวรรค์ “ส่งจดหมายเตือนผู้คน” ด้วยการ “สั่นสะเทือนแผ่นดิน” ใครที่คิดได้ ตระหนัก ยอมรับ และกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง “เพื่อโลกเพื่อสังคม” ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ถือว่าเป็น “มนุษย์หัวใจงาม” ส่วนคนที่ขนาด “บาปมนุษย์” ไล่ล่ามาถึงปลายจมูก ทั้งน้ำท่วม โรคระบาด ฟ้าถล่ม แผ่นดินสะเทือน ก็ยังมองเป็นเรื่องขำขัน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังเดินหน้าให้ราคาสนับสนุน “มนุษย์ที่เลว ๆ บนผืนแผ่นดินไทย” ก็คงต้องปล่อยไปตามกรรม 

โปรดจำไว้ว่า ธรรมชาติมีไว้ให้ผู้คนหวงแหน รักษา มิใช่การอยู่เพื่อเอาชนะ หรือทำลาย

คน..ก็เช่นกัน เมื่อมีบุญได้เกิดเป็นคนก็ควรกล้าหาญปกป้องคนดี มิใช่การหลับหูหลับตาสนับสนุนคนเลว ๆ ที่ทำร้ายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเพื่อนพ้องประชาชน 

ศาล สั่งจำคุก ‘สิระ เจนจาคะ’ 1 ปีไม่รอลงอาญา พร้อมตัดสิทธิ์ 20 ปี คดีลักไก่ลงสมัครเลือกตั้งสส.

ศาล สั่งคุก ‘สิระ’ 1 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมตัดสิทธิ์ลงเลือกตั้ง 20 ปี จากเหตุลักไก่ลงสมัครสส.ปี 62 ทั้งที่ตัวเองขาดคุณสมบัติ

(31 มี.ค. 68) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ห้องพิจารณาคดี 903 ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำอ.3200/2566ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายสิระ เจนจาคะ อดีต สส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นจำเลยฐานกระทำผิดรัฐธรรมนูญ 2560, พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา4,42(12),151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 มาตรา 9 (5) ,24,25 และขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลย 20 ปีด้วย

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2562 จำเลยได้บังอาจลงลายมือชื่อสมัครรับเลือกตั้ง สส.เขต 9 กทม.โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็น สส. อันเป็นลักษณะต้องห้าม เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวัน ให้จำคุก 4 เดือนฐานฉ้อโกง อันเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามคดีอาญาหมายเลขดำอ 812/2538 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2218/2538 ลงวันที่ 21 พ.ย.2538

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้นายสิระเดินทางมาเข้าฟังการพิพากษาในเวลา 09.00 น. โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับผู้สื่อข่าว

ต่อมาที่ห้องพิจารณา 903 ศาลพิพากษาว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศให้ผู้ประสงค์เข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ถึง 8 กุมภาพันธ์ 62 โดยในเขตเลือกตั้งที่ 9 และมีประการประกาศรับสมัครที่อาคารกีฬาเวช 2 จำเลยได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.เขต 9 พรรคพลังประชารัฐต่อมาจำเลยได้รับเลือกตั้ง

ต่อมาวันที่ 17 ธ.ค.2563 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาพของจำเลยนั้นสิ้นสุดลงหรือไม่เนื่องจากปรากฏว่าจำเลยมีคุณสมบัติขาดคุณสมบัติรองรับสมัครการเลือกตั้ง เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวันในคดีทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์เป็นเวลา 4 เดือน

ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาพของจำเลยได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. 62 การกระทำของจำเลยเป็นการเป็นการฝ่าฝืนการเลือกตั้งโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ทำการไต่สวนโดยให้เพิกถอนจำเลยและดำเนินคดีอาญากับจำเลยเนื่องจากเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติลงรับสมัครการเลือกตั้ง

ศาลเห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานหลักฐานพบว่าจำเลยต้องโทษคำพิพากษาถึงที่สุดที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ต่อศาลแขวงปทุมวันว่าคดีที่พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย แจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนต่อนายสิระในข้อหาฐานฉ้อโกงทรัพย์จำนวน 200,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 เป็นความผิด 2 กระทงจำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 8 เดือน

คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าจำเลยต้องโทษคำพิพากษาคดีถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวันจำเลยจึงเป็นบุคคลต้องห้ามไม่มีสิทธิ์ลงรับสมัครเลือกตั้งส.ส.

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่าจำเลยรู้ตัวเองอยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามในการลงรับสมัครการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ยังลงรับสมัครเลือกตั้ง เห็นว่าจะพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือเพียงพอส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทย์ได้เชื่อว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติรับสมัครการเลือกตั้ง เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจริง

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. พ.ศ 2561 มาตรา 4,42 (12),151 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปีและให้เพิกถอนสิทธิ์ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง 20 ปีนับตั้งแต่วันมีคำพิพากษา

ต่อมาทนายความของนายสิระ ได้ยื่นหลักทรัพย์ต่อศาลเพื่อขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล

กมธ.อุตสาหกรรม หนุน ‘รมว.เอกนัฏ’ ตรวจมาตรฐานเหล็กอาคารถล่ม พร้อมเสนอตรวจมาตรฐานคอนกรีตเพิ่ม เร่งปราบเหล็กไร้มาตรฐาน

กมธ.อุตสาหกรรม หนุน รมว.เอกนัฏ เดินหน้าสั่งก.อุตสาหกรรม ลุยตรวจมาตรฐานเหล็กอาคารถล่ม เสนอตรวจมาตรฐานคอนกรีตเพิ่ม ลุยปราบเหล็กไร้มาตรฐานสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

(31 มี.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงพื้นที่อาคารที่ทรุดตัวจากเหตุแผ่นดินไหว พร้อมได้นำตัวอย่างเหล็กไปตรวจสอบ ว่า 

ทางกรรมาธิการการอุตสาหกรรมขอสนับสนุนนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้มีข้อสั่งการที่รวดเร็ว และทันท่วงที ที่ได้ให้ทางสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม(สมอ.) ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเหล็กข้ออ้อยของอาคารดังกล่าวไปตรวจสอบว่าได้มาตรฐานหรือไม่ เพื่อเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริงของการพังทลายของอาคารนั้น ทางคณะกรรมการและวิศวกรที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลที่รับผิดชอบในการตรวจสอบสาเหตุจะมีผลสรุปที่ชัดเจนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายดังนั้นผลการตรวจสอบของกระทรวงอุตสาหกรรมจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการพิจารณาตรวจสอบวิเคราะห์หาสาเหตุเรื่องดังกล่าว

โดยในส่วนของมาตรฐานของเหล็กข้ออ้อย คาดว่าในเร็ววันนี้จะได้ทราบผลการทดสอบอย่างแน่ชัด ซึ่งหากไม่ได้มาตรฐาน ตนขอสนับสนุนให้ทางกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการสืบหาแหล่งที่มา รวมถึงตรวจสอบอาคารอื่น ๆ ที่อาจจะมีการใช้เหล็กชุดเดียวกันในการก่อสร้างเพื่อหามาตรการแก้ไขอาคารที่มีการนำเหล็กชุดดังกล่าวมาก่อสร้างอาคารไปแล้วหรือหลงเหลืออยู่ในท้องตลาดจะได้ดำเนินการตามกฎหมายโดยเรียกกลับมาตรวจสอบ อายัดไว้เพื่อไม่ให้มีการนำมาใช้ในการก่อสร้างเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนผู้ใช้อาคาร และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุที่น่าสลดเช่นนี้ซ้ำในอนาคต

นอกจากนี้ทางกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ยังมีข้อเสนอแนะให้ทางสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม(สมอ.) ได้ขยายผลในการตรวจสอบมาตรฐานของคอนกรีตที่ใช้ในการก่อสร้างด้วย เนื่องจากคอนกรีตเป็นส่วนที่สำคัญในการทำให้อาคารมีความมั่นคงแข็งแรงไม่แพ้เหล็ก นอกจากนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมของ สมอ. อีกด้วย 

"เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน ทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมขอสนับสนุนทางกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งที่ผ่านมาได้เร่งตรวจสอบเหล็กข้ออ้อยที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่องก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้ตามนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเช่น ชุดตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการตรวจยึดและดำเนินคดีกับโรงงานผลิตเหล็กที่ผลิตเหล็กไม่ได้มาตรฐานมาแล้ว" นายอัครเดช กล่าว

‘เจ้าของสวนมะละกอ’ โอด!! โดนขโมยผลผลิตกว่า 1 ตันยามวิกาล แจ้งตำรวจแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า เกรงถูกขโมยซ้ำ

(29 มี.ค. 68) ข่าวรายงานว่าได้รับแจ้งจาก น.ส.พันทิพ ทิพย์กองลาส ว่าได้มีโจรลักลอบเข้ามาขโมยมะละกอในสวนที่ปลูกไว้ หมู่ที่ 4 ตำบลทรายขาว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เป็นมะละกอพันธุ์เรดเลดี้ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดในขณะนี้

“หนูลงทุน ลงแรงปลูกมะละกอพันธุ์เรดเลดี้ไว้เมื่อ 4-5 เดือนก่อน ในพื้นที่ ม.4 ตำบลทรายขาว มะละกอกำลังออกผลผลิต และเริ่มสุกทยอยเก็บขาย ซึ่งผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด” น.ส.พันทิพ กล่าว

น.ส.พันทิพ กล่าวอีกว่า เมื่อคืนวันที่ 26 มีนาคม ได้มีคนร้ายแอบเข้ามาขโมยมะละกอไปจำนวนมาก ประมาณ 1 ตัน เพราะกลางคืนไม่มีคนเฝ้า ตนเองจะพักอยู่ที่บ้านในตลาดหัวไทร กลางคืนจะไม่มีคนเฝ้า

หลังเข้าไปดูตอนเช้าพบว่า มะละกอหายไปจากต้นจำนวนมาก จึงได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.หัวไทร เพื่อให้ตำรวจติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี ซึ่งตนได้ให้รายละเอียดกับตำรวจไปหมดแล้ว ตำรวจก็เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่พบเบาะแสอะไร

“ก่อนหน้านี้กล้องวงจรปิดก็โดนทุบหมด เพิ่งติดตั้งใหม่ เมื่อวันสองวันก่อนก็มีรถไถนาเข้ามาดูลาดเลา จึงน่าสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มคนร้ายที่ขโมยมะละกอ และจ้องจะขโมยมะพร้าว”

รายงานข่าวแจ้งว่า พื้นที่อำเภอหัวไทรมีลักเล็กขโมยน้อยเกิดขึ้นจำนวนมาก เช่น ขโมยแทงปาล์มในสวนคนอื่น ขโมยทุกอย่างที่ขวางหน้า ยาเสพติดก็ระบาดไปทุกหย่อมหญ้า

“เข้าใจว่า คนร้ายน่าจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ติดยาเสพติด ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ไม่มีรายได้จากการทำมาหากินปกติ จึงต้องหาช่องทางขโมยของคนอื่นไปขาย แล้วนำเงินไปซื้อยาเสพติด”

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่าคดีลักเล็กขโมยน้อยส่วนใหญ่ตำรวจจะไม่ตั้งใจทำคดี ไม่สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ จึงทำให้คนร้ายได้ใจ เหิมเกริม ขยายวงการปฏิบัติการออกไปเรื่อย ๆ ถามว่า ตำรวจ สภ.หัวไทรพอจะรู้ไหมว่า วัยรุ่นกลุ่มไหนร่วมก่อเหตุในลักษณะนี้อยู่บ้าง ซึ่งตำรวจก็มีสายสืบ มีสายตำรวจอยู่มากมาย ไม่น่าจะรอดพ้นสายตาตำรวจไปได้ แต่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีหลายคดีไม่มีความคืบหน้า คดีโจรขึ้นบ้านอดีต ผอ.กองช่าง อบต.หัวไทร ขโมยทรัพย์สินกลางวันแสก ๆ คดีก็ไม่มีความคืบหน้า ทั้ง ๆ ที่มีสืบจังหวัดลงมาร่วมสืบด้วยแล้ว ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้

แหล่งข่าวในหัวไทร กล่าวฝากไปยัง ผกก.หัวไทร สารวัตรสืบ สภ.หัวไทร แสดงฝีมือจับกุมโจรลักมะละกอให้ได้ จะได้เห็นกันว่า ตำรวจมีฝีมือ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้

ศาลเชียงใหม่ สั่งจำคุก 'อานนท์ นำภา' 2 ปี คดีปราศรัยผิด ม.112 รวมโทษจำคุกถึงตอนนี้ 20 ปี 19 เดือน

(27 มี.ค. 68) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X ว่า วันนี้ ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาคดี #ม112 ของอานนท์ นำภา กรณีปราศรัยหอศิลป์ มช. วันที่ 23 พ.ย. 63 เห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง คำปราศรัยของจำเลยทำให้สถาบันเบื้องสูงเสื่อมเสีย

ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ฟังไม่ขึ้น เพราะการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจะใช้ได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ จะใช้จนกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐมิได้

พิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษหนึ่งในสาม เหลือจำคุก 2 ปี

รวมโทษจำคุกของอานนท์ตอนนี้ 20 ปี 19 เดือน 20 วัน ทุกคดียังไม่สิ้นสุด

โฆษกฯ ก.อุต ย้ำตัวเลข 'อ้อยเผา' น้อยสุดในประวัติศาสตร์ ติงฝ่ายค้านนำเสนอคลาดเคลื่อน ห่วงสังคมรับข้อมูลบิดเบือน

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่ฝ่ายค้านมีการอภิปรายเกี่ยวกับข้อมูลอ้อยเผาของกระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้เกิดข้อมูลคลาดเคลื่อนในหลายประเด็น ขอชี้แจงดังนี้ เรื่องตัวเลขการลักลอบเผาอ้อยที่ระบุว่า มีการลักลอบเผาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 – เดือนพฤศจิกายน 2568 คำนวณจากในแผนที่จุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม อาจจะมีการเผามากถึง 28 ล้านตัน ซึ่งข้อเท็จจริงกระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อย ปกติจะทำในช่วงเปิดหีบ ซึ่งในปีที่ผ่านมาคือระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงเมษายน 2568 รวมเป็นเวลาแค่ 4 เดือน การใช้หลักคำนวณตามที่มีการอภิปรายจำนวน 1 ปี 6 เดือน เป็นการนับรวมการเผาอย่างอื่นด้วย เช่น เผาฟืนทำอาหาร เผาข้าวโพดซังข้าว ฉะนั้นหากใช้หลักการนี้คำนวณจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ 

และในส่วนตัวเลขอ้อยเผาส่งเข้าโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรมมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทำให้อ้อยเผาขณะนี้อยู่ที่ 13.6 ล้านตัน หรือไม่ถึง 15% ของอ้อยทั้งหมด โดยมีการส่งอ้อยสดเข้าโรงงาน 85 % มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยังเอาจริงเอาจังและเข้มงวดในการเอาผิดปิดโรงงานน้ำตาล 2 แห่งเพื่อเอาผิดและเป็นตัวอย่างป้องปรามให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ เกรงกลัว และปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมขอความร่วมมือ และในส่วนข้อมูลเรื่องมีอ้อยเผาที่หลุดรอดจากระบบกว่า 10 ล้านตันนั้น มีข้อเท็จจริงคือ มีอ้อยเผาจำนวน 9 แสนตันที่เข้าสู่การแปรรูปส่งไปยังโรงงานผลิตเอทานอล เพราะเป็นอ้อยปนเปื้อนไม่สามารถผลิตเป็นอาหารได้ 

“ขอยืนยันว่ากระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นั้น เอาจริงเอาจังกับเรื่องการปราบปรามอ้อยเผามาก ทั้งในส่วนเกษตรกรชาวไร่อ้อย ที่รณรงค์ลดการเผา ลด PM2.5 และการจัดการผู้ประกอบการที่ไม่ทำตามกฎกติกา ที่ทำการรับซื้ออ้อยเผา เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดการที่ดีในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายโดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ ที่กระทรวงฯ เสนอไปนั้น เป็นตัวเลขจริงที่เกิดจากทุกฝ่ายปฏิบัติตามมาตรการ  และการทำงานอย่างหนักและเอาจริงเอาจัง จากทั้งผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ จึงขอให้การให้ข้อมูลและตัวเลขต่าง ๆ นั้น มาจากข้อเท็จจริงที่กระทรวงฯ ได้นำเสนอไปก่อนหน้า และขอให้หยุดการนำเสนอข้อมูลจากการคาดคะเนเพื่อลดการสร้างความเข้าใจผิดต่อหน่วยงาน เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นประโยชน์และความสำคัญของการไม่เผาอ้อย และเป็นตัวอย่างในการเอาจริงเอาจังกับกรณีอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต” นายพงศ์พลกล่าว

มติ ป.ป.ช. 3:3 ตีตกคำร้องเอาผิดจริยธรม กรณี ‘มงคลกิตติ์-พีระวิทย์-ณัฐชา’ ร่วมชุมนุมม็อบ ชู 3 นิ้ว

เมื่อวันที่ (24 มี.ค. 68) ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ตีตกข้อกล่าวหา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคไทยศรีวิไลย์ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคไทรักธรรม และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคก้าวไกล กระทำการอันเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธธรรมนูญและฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

กรณีเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 -20 กันยายน 2563 ที่บริเวณท้องสนามหลวง และได้แสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว อันเป็นการสนับสนุนข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่มีวัตถุประสงค์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

รายงานข่าวแจ้งว่า คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 3 ต่อ 3 เสียง เห็นว่าไม่ผิดจริยธรรม และผิดจริยธรรมเท่ากัน โดยกรรมการ 3 เสียง ที่เห็นว่าไม่ผิดจริยธรรม คือ นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง , นางสุวณา สุวรรณจูฑะ และ นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์

ส่วนกรรมการ อีก 3 เสียง ที่เห็นว่า ผิดจริยธรรม คือ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. , นายวิทยา อาคมพิทักษ์ และนายประภาศ คงเอียด ขณะที่ นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ  ลาการประชุม

ขณะที่ ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ข้อ 19 ระบุว่า การลงมติของที่ประชุมเพื่อมีความเห็นว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

เมื่อคะแนนเสียงเท่ากันถือว่าข้อกล่าวหาตกไป

กล่าวสำหรับ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ก่อนหน้านี้ ถูก ป.ป.ช.ไต่สวนคดี ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จำนวน 2 กรณี คือ

1. กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม จากการลาประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปชมภาพยนต์เรื่อง “4 KINGS อาชีวะ ยุค 90” เมื่อปี 2564

ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เสียงส่วนใหญ่เห็นว่า พฤติการณ์ของนายมงคลกิตติ์ เข้าข่ายไม่เหมาะสมผิดจริยธรรมแต่ไม่ร้ายแรง ขณะที่ปัจจุบัน นายมงคลกิตติ์ พ้นจากตำแหน่ง สส.ไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ตามข้อบังคับของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก

2.กรณีใช้เฟซบุ๊ก ชื่อบัญชี “มงคลกิดดิ์ สุขสินธารานนท์” โพสต์รูปภาพและข้อความโดยเจตนาใส่ร้ายผู้กล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวและเป็นหญิงให้ความบันเทิงแก่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อให้บุคคลทั่วไปเชื่อว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อและเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2009 (COVID-19) ซึ่งเป็นข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้ผู้กล่าวหาและนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้รับความเสียหาย

ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ 7 เสียง เห็นว่า นายมงคลกิตติ์ มีความผิด ป.ป.ช.จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาโดยตรงต่อไป

ขณะที่นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น สส.กทม. พรรคประชาชน

ส่วน นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค เป็นอดีต สส. และหัวหน้าพรรคไทรักธรรม เคยปรากฏข่าวถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี เนื่องจากจูงใจชาวบ้านให้สมัครเป็นสมาชิกพรรคและตั้งสาขาพรรคในทางที่มิชอบตามกฎหมาย

ใบแดง ‘สส.มุก’ ทำสนามเขต 8 นครศรีฯเดือด อีกหนึ่งเวทีเลือกตั้งวัดพลังพรรคการเมืองในภาคใต้

(26 มี.ค. 68) ชัดเจนแล้วว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของ ‘สส.มุก-มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล’ สส.เขต 8 นครศรีธรรมราช พรรคภูมิใจไทย นับเป็น สส.คนที่สองของพรรคภูมิใจไทยต่อจาก สส.สุวรรณ แห่งจังหวัดบึงกาฬ ที่โดนใบแดง และมี สส.ชุดปัจจุบันเพียงสองคนเท่านั้นที่โดนใบแดง

หลังจากนี้ไปคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ก็ต้องจัดเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างลงกับวาระที่เหลืออยู่เพียง 2 ปี

แน่นอนว่า สำหรับสนามเลือกตั้งซ่อมเพียง 1 เขตของนครศรีธรรมราชจะเป็นสนามเดือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องมาฟาดฟันกันเองอย่างหลักหนีไม่พ้นคำว่า ‘มารยาท’ ที่เคยกล่าวอ้างกันของพรรคการเมือง หลีกทางให้พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน คราวนี้น่าจะเป็นข้อยกเว้น สู้กันเต็มอัตราศึก

ให้เกียรติเจ้าของพื้นที่เดิม คือพรรคภูมิใจไทยคงจะไม่ได้ยิน เขต 8 ประกอบด้วย อ.ฉวาง นาบอน ช้างกลาง และพิปูน

การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะเป็นสนามวัดดวง ชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองในภาคใต้ของทุกพรรค พรรคไหนมีศักยภาพส่งได้ ส่งแน่นอน และจะระดมทุกสรรพกำลังลงไปช่วยกัน ให้หลับตานึกถึงสนามเลือกตั้งซ่อม เขต ครั้งก่อน ที่เทพไท เสนพงศ์ ถูกศาลตัดสินจำคุก ‘อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ’ จากพรรคพลังประชารัฐ กรำศึกกันหนักหน่วงกับ ‘พงศ์สิน เสนพงศ์’ น้องชายของเทพไท เสนพงศ์

พรรคประชาธิปัตย์วันนี้ในฐานะเจ้าของพื้นที่เดิมเมื่อครั้งกระโน้น ยืนยันจากปากของ ‘ชินวรณ์ บุณยะเกียรติ์’เองว่า จะย้ายกลับมาลงสมัครเขต 8 ทวงคืนแชมป์ด้วยตัวเอง ซึ่งตรงกับ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ก็ยืนยันว่า ต้องให้เกียรติพี่ชินเจ้าของพื้นที่

พรรคกล้าธรรม ‘บิ๊กโอ’ สจ.ก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ ยืนจ้องรอคิวอยู่แล้ว แต่ในฐานะลูกเขยของชินวรณ์ ก็ทำใจลำบากหน่อย ช่วงหลังบิ๊กโอใกล้ชิดกับ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม และ รอ.ธรรมนัส ก็สนับสนุนบิ๊กโอเต็มที่ด้วยบุคลิก และอะไรที่เข้ากันได้ดี เมื่อจังหวะ และโอกาสมาถึงบิ๊กโอ จึงขอลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคกล้าธรรม แม้จะต้องสู้กับพ่อตาก็ตาม

บิ๊กโอ ตั้งใจจะลงสมัคร สส.ตั้งแต่คราวที่แล้ว ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่การจัดสรรคนไม่ลงตัว เมื่อบุณยเกียรติ์ ลงสมัครถึงสองเขต ทำให้บิ๊กโอพลาดโอกาสนั้นไป ทั้ง ๆ ที่ลาออกจาก ส.อบจ.มานั่งรออยู่แล้ว 

สนามเลือกตั้งเขต 8 จะเป็นสนามแรกของพรรคกล้าธรรมในการกรุยศึกเลือกตั้ง เพราะเป็นพรรคใหม่ที่มี สส.จากพรรคพลังประชารัฐย้ายมาสังกัดถึง 23 คน และมี สส.เดิมที่ย้ายมาเช่นกันอีก 1 คน

สนามเลือกตั้งเขต 8 จึงเป็นสนามพิสูจน์ฝีมือ เพื่อเดินหน้าลุยสำหรับการเลือกตั้งปี 70 และสนามเลือกตั้งภาคใต้น่าจะเป็นสนามหลักที่พรรคกล้าธรรม จะเข้ามาหวังเสียบแทนพรรคเก่าที่ค่อยๆอ่อนแอลง 

พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังพอมีพลังในการสู้ศึกกับผลงานของสองขุนพล ‘พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค’ รมว.พลังงาน และ ‘ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์’ รมว.อุตสาหะกรรม ที่จับมือกันสร้างผลงาน สู้กับทุนพลังงาน รื้อโครงสร้างพลังงานใหม่ ถ้าผลงานผ่าน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน ภาคขนส่งลงไปได้มาก ลดต้นทุนการผลิต ราคาสินค้าก็จะลดลง สามารถแปรมาเป็นคะแนนเสียงได้

ทราบว่า ดร.คมเดช มัชฌิมวงค์ ที่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง เขต 7 ทุ่งใหญ่ ในนามพรรคพลังประชารัฐ เสนอตัวย้ายมาลงเขตนี้ เนื่องจากเป็นคนพิปูน เคยเป็นนายกฯอบต.อยู่ที่พิปูน ช่วงหลังเห็นภาพทางโซเขี่ยล ลงพื้นที่ถี่ยิบ

พรรคประชาชน กรรมการบริหารพรรคประชาชน มีมติให้ณัฐกิตต์ อยู่ด้วง ลงสมัครรับเขตเลือกตั้งที่ 8 จ.นครศรีธรรมราช แต่โอกาสของพรรคประชาชนสำหรับพื้นที่ภาคใต้ น่าจะยังยากอยู่ เว้นแต่จะมีผู้สมัครที่โดดเด่นจริงๆ คนยังติดภาพกับการแก้ ม.112 อันเกี่ยวโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ไม่รู้ว่า เสร็จศึกซักฟอกนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ จะแปรเป็นคะแนนนิยมได้แค่ไหน

น่าสนใจคือพรรคภูมิใจไทย เจ้าของพื้นที่เดิมจะหยิบใครมาลงสมัคร ที่ใช้คำว่าหยิบ เพราะมีตัวเลือกให้พิจารณาไม่น้อยกว่า 4 คน คนแรกคือ ‘ไสว เลื่องสีนิล’ สามีของ สส.มุกดาวรรณนั้นเอง ที่ผ่านมาหลังจากเกษียณอายุในตำแหน่งอาจารย์วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (ควนพลอง)ก็ทำงานพื้นที่ให้ สส.มุกดาวรรณอยู่ อยู่ที่พรรคว่าจะยังเลือกสกุล ‘เลื่องสีนิล’ให้ลงสมัครอีกหรือไม่กับตัวเลือกใหม่ ตัวเลือกใหม่ เช่น สุนทร รักษ์รงค์ ที่คราวที่แล้วได้มาอันดับ 2 พ่ายให้กับ สส.มุก เพียงไม่กี่คะแนน ซึ่งสุนทร น่าจะมีคะแนนเป็นกอบเป็นกำในแวดวงชาวสวนยาง ชาวสวนปาล์ม ที่สุนทรทำงานคลุกคลีกับชาวสวนยางมานาน เคยเป็นบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย และบอร์ดยางโลก 2 สมัย  มีภาคีเครือข่ายในแวดวงการยาง และปาล์มมากมาย ภาพลักษณ์ดี มีวิสัยทัศน์ เคยเป็นคนเขียนนโยบายยางพารา และปาล์มให้กับพรรคประชาธิปัตย์

อีกตัวเลือกหนึ่งของพรรคภูมิใจไทย และถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่น่าให้การสนับสนุน สจ.กระวี หวานแก้ว ที่เคยลงสมัคร สส.พรรคภูมิใจไทย เขต 5. นครศรีธรรมราช มี อ.พิปูน อ.ฉวาง อ.ถ้ำพรรณรา อ.ทุ่งใหญ่ (ปี 2562) แต่ครั้งนั้น สจ.กระวี ยังสอบไม่ผ่าน เพราะยังใหม่กับการเมืองอยู่มาก และพรรคภูมิใจไทยเองในยุคนั้นถือว่ายังไม่เท่าไหร่ คะแนนจึงออกมาไม่สวยงามนัก

สจ.กระวี ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สว.ณัฐกิตติ์ หนูรอด สว.นครศรีฯถือเป็นรุ่นใหม่ของพรรคภูมิใจไทย เป็นเด็กนักเรียนนอก จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยแห่งรัฐ นิวเซาท์เวลส์(UNSW) มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เกิดที่ ต.กะเปียด อ.ฉวาง ผลงานเชิงประจักษ์ สมัยเป็น สจ.มีมากมาย
จบปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต อิเล็กทรอนิกส์ ศรีปทุม ปริญญาตรี รัฐศาสตร์บัณฑิตรามคำแหง รุ่น 22 เคยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) นครศรีธรรมราช เขต อ.ฉวาง นาน 7 ปี ผลงานที่ประจักษ์ และเป็นรูปธรรมมากมาย ที่มุ่งมั่นมากคือการพัฒนาเขาศูนย์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของ อยู่.ฉวาง

หลังจากนี้ไปพรรคภูมิใจไทยคงจะตั้งลำสู้ในสนามนครศรีธรรมราช กับเป้าหมายการขยายฐาน จาก 2 เป็น 4 หรือ 6 กับการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 อยากจะโฟกัสไปที่สองคน ‘สุนทร-กระวี’ สองคนนี้มีจุดอ่อน จุดเด่นที่แตกต่างกัน กระวี เป็นคนพื้นที่เกาะติดพื้นที่ แต่ยังแคบสำหรับสนามที่ใหญ่กว่า สจ. เพราะมีพื้นที่ถึง 4 อำเภอ ไม่ใช่ 3-4 ตำบล เหมือน สจ. โลกทัศน์อาจจะแคบกว่าสุนทร ที่ประสบการณ์โชกโชนทั้งเวทีระดับ Local และเวทีสากล (International) การที่พิพัฒน์ รัชกิจประการ แต่งตั้งให้สุนทรเป็นคณะทำงาน พิพัฒน์น่าจะเห็นศักยภาพอะไรบางอย่างในตัวสุนทรที่จะใช้งานได้

พรรคภูมิใจไทยคงจะต้องคิดหนักในการตัดสินใจเลือกระหว่าง ‘สุนทร-กระวี’ ในสนามเลือกตั้งที่เห็นอยู่ว่า ดุเดือด

‘ประเทศไทย’ อุดมไปด้วย ‘นักการเมืองห่วย’ สะท้อน ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังเบาปัญญา

(25 มี.ค. 68) เราได้นักการเมืองแบบไหน นั่นเพราะเรามีประชาชนที่มีคุณภาพในแบบนั้น

ประโยคเด็ดที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความจริงของสังคมก็คือ ประเทศใดมีนักการเมืองแบบไหนเข้ามาบริหารประเทศ นั่นก็เพราะเรามีประชาชนที่ส่วนใหญ่ ๆ เป็นคนแบบนั้นเลือกเข้ามา ถ้าเรามีรัฐบาลที่ทั้งโง่ เซ่อ และทุจริตคอรัปชั่นเป็นอาชีพ ก็เพราะเรามีประชาชนที่ตาถั่ว อ่านนักการเมืองไม่ออก มัวแต่หลงเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เป็นคนเปิดทางให้เข้ามา ที่ประเทศชาติต้องอับอายขายขี้หน้าชาวโลก และสุ่มเสี่ยงต่อภัยอันตรายทุกด้าน ก็มาจากน้ำมือของ “คนเลือกนักการเมือง” ทั้งสิ้น 

ถ้าประชาชนมีสติปัญญาที่ฉลาดเฉลียวจริง พรรคการเมืองที่กระทำแต่เรื่องแย่ ๆ กับประเทศไทยคงไม่ได้ผลคะแนนที่สูง เราก็คงไม่ได้ “นายกหุ่นเชิด” ที่อดีตมีข่าวเรื่อง “โกงข้อสอบ” แถมยังมาจาก “ตระกูลหนีคดี” และเราคงไม่ได้รัฐบาลที่ทำงานไม่เป็น ปัญหาของประเทศไทยที่มี “นักการเมืองเลว ๆ” มากกว่า “นักการเมืองน้ำดี” จึงอยู่ที่ “คนเลือก” ไม่ใช่อยู่ที่ “ตัวนักการเมือง” 

ทุกประเทศ ถ้า “คนเลือก” เป็นคนที่ขาดความรู้ ไม่หัดลงลึก ไม่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง ต่อให้เรามีนักการเมืองที่ดีกับประเทศจริง ๆ “เหล่าประชาชนคนโง่เขลา” ก็จะดูไม่ออกอยู่ดี 

เพราะ “ประชาชนผู้เบาปัญญา” ชื่อก็บอกอยู่แล้ว จะกาเลือกตามกระแส เลือกตามสื่อ เลือกตามเพื่อน เลือกตามแฟน เลือกตามน้ำคำที่ปลิ้นปล้อนของนักการเมืองที่ตนเองแอบนิยมชมชอบ เราจึงได้แต่นักการเมืองห่วย ๆ ไร้ประสิทธิภาพ ผลัดเปลี่ยนกันมากระทืบประเทศไทย

คนไทยจำพวก “เลือกส่งเดช” เหล่านี้ ไม่เคยรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองเลือกเข้ามา เช่นคนจำนวนไม่น้อยเลือกนักการเมืองจากพรรคที่ตั้งหน้าตั้งตา “ล้มล้างสถาบัน” แถมยังมีกรณีหนีการเกณฑ์ทหาร, ใช้บุหรี่ไฟฟ้า, เมาสุรา, แอบเคลมของบริจาค, มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ, เอาเวลาที่ต้องเข้าสภาไปทำงานส่วนตัว, คุกคามประชาชน, ใช้ข้อมูลมั่วในการอภิปราย, แสดงความโง่ในการนับเลข และผลาญเงินภาษีพากันบินไปดูงานต่างประเทศ ถามว่า “นักการเมืองชั้นเลวเหล่านี้” มีประโยชน์ตรงไหนกับชาติบ้านเมือง และประชาชนคนไทย? 

คำตอบคือ..ไม่มี 

แล้วคนที่พากันเลือกสิ่งที่เลว ๆ จำพวกนี้เข้ามา จะมีประโยชน์กับสังคมไทยได้อย่างไร?

‘แยม ฐปณีย์’ ขอใช้สิทธิพาดพิงนอกสภาฯ หลังถูก ‘ภูมิธรรม’ ย้ำปมไม่ได้รับเชิญทำข่าวอุยกูร์ที่จีน

(25 มี.ค. 68) แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ขอใช้สิทธิพาดพิงนอกสภาฯค่ะ ว่าจะไม่ตอบโต้อะไรเรื่องการไม่ได้ตามคณะรองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย ไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่ซินเจียง และที่ผ่านมาก็แค่ตั้งคำถามทั่วไปว่า ทำไมท่าน (รัฐบาล) จึงไม่เลือกให้ไป ไม่เคยจะไปกล่าวหาทางคณะ หรือไปดูถูกเพื่อนสื่อมวลชนที่ร่วมคณะไป

แต่จากการชี้แจงของท่านรองนายกฯภูมิธรรม ที่บอกว่า "ผมเอาสื่อไปด้วยนะครับ ใครจะมาบอกว่าสื่อเหล่านี้ถูกคลอบงำโดยรัฐบาลผมว่ากล่าวหาเขาเกินไป ไม่ว่าใครก็ตามที่กล่าวหาผมมีตัวแทนเนชั่นทีวี ผู้สนใจการเมืองรู้ดีว่าเนชั่นเป็นแบบไหน
ผมมีตัวแทนของช่อง3 ไป อาจไม่ใช่ผู้สื่อข่าวบางส่วน แต่ตัวแทนช่อง 3 ผมเห็นคุณสรยุทธบอกว่าเชื่อมั่นในจรรยาบรรณคนของเค้าจะทำหน้าที่ได้ดี ไม่เหมือนใครหลายคนว่าไม่เหมือนตัวเองก็ไม่รับ"

คือฟังท่านภูมิธรรม ขออนุญาตเรียกพี่อ้วน กล่าวแบบนี้ คนฟังคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ว่าต้องเป็นแยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ตอนพี่อ้วนบอกว่า มีตัวแทนช่อง 3 ที่อาจไม่ใช่ผู้สื่อข่าวบางส่วน ไม่ใช่บางคน ก็ยังคิดว่าหมายถึงรวมๆ ไหม แต่พอระบุอ้าง คุณสรยุทธ ก็ยิ่งทำให้ชัดเจนว่า ผู้สื่อข่าวที่พี่อ้วน กล่าวถึง ต้องใช่แยมแน่นอน!!

เพราะก่อนหน้านี้ พี่ยุทธ ได้พูดเรื่องนี้ในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ มีคนตัดคลิปช่วงที่พี่ยุทธพูด ไปแชร์กันมากมาย รวมถึงไปเขียนลงเพจกัน จนคนเข้ามาแสดงความเห็นในเพจและไปทำข้อความกล่าวหาว่าแยมเป็นนักข่าวไร้สังกัด ไม่มีสังกัด !!! โดยในข่าวระบุว่า

"ถามว่าทำไมนักข่าวท่านหนึ่ง ซึ่งหลายคนคาดหวังว่า เค้าอยากจะไป ผมได้ถามแล้วเพราะว่าเค้าไม่ได้สังกัดช่องนักข่าวท่านนั้นเค้าไม่ได้สังกัดช่อง อันนี้เค้าไปในนามช่องซึ่งต้องทำพูล ทำพูลคือทำในนามช่อง ออกอากาศและให้ทุกช่องออกอากาศ เดี๋ยวมันจะเกิดปัญหา เพาะไม่ได้สังกัดช่องเลย ไม่เข้าใจเงื่อนไข อ่ะที่ถามมา ผมถามให้หมดแล้ว"

นี่คือสิ่งที่พี่ยุทธ เล่าในข่าว ซึ่งจริงๆ แยมว่าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะทางคณะก็ไปมาแล้วและแยมคิดว่าให้ข่าวที่ออกมาอธิบายตัวมันเองว่าคนไทยจะเชื่อมั่นตามนั้นหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ใจแยมเอง ตั้งใจอยากไปเพื่อจะได้รายงานข่าวว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร 

แต่จากข่าวของพี่ยุทธ ที่รายงานก็ไม่ถูกต้อง และที่บอกว่าผมถามมาหมดแล้วนั้น พี่ยุทธ ไม่เคยถามแยมค่ะ มาถามแยมสักหน่อยจะได้ชี้แจงได้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร  และหลังข่าวนี้เผยแพร่ไป ก็มีทั้งเพจ IO หรือคนที่คิดต่าง เข้ามาโจมตีกล่าวหาใส่ร้ายแยมอย่างเสียหาย 

แต่พอท่านรองนายกฯ พี่อ้วนเอาคำกล่าวอ้างที่ผิดๆ ของพี่ยุทธ ไปพูดในสภาฯ ไปกล่าวหาด้วยถ้อยคำพูดดูหมิ่นสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน แม้พี่อ้วนจะไม่ได้เอ่ยนาม แต่จากบริบทและความหมาย เป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก แยม

จึงขอใช้สิทธิตรงนี้ ชี้แจงการถูกพาดพิงของท่านรองนายกฯภูมิธรรม รวมถึงชี้แจงไปถึงพี่ยุทธ 

ที่บอกว่าแยมไม่ได้สังกัดช่อง 3 คงไม่ถูก เพราะแยมเป็นผู้สื่อข่าวรายการข่าว 3 มิติ เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการรายการข่าว 3 มิติ แม้แยมจะเป็นพนักงานของบริษัทฮอทนิวส์ ของคุณกิตติ สิงหาปัด ที่เป็นบริษัทร่วมผลิตรายการข่าว 3 มิติกับช่อง 3 แยมก็มีสิทธิในการใช้อุปกรณ์และทีมงานของช่อง3 เหมือนทีมงานรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่เป็นบริษัทร่วมผลิตของพี่ยุทธ เหมือนกับรายการข่าว3 มิติ 

ถ้าแยมที่เป็นลูกน้องพี่กิตติ ไม่ได้สังกัดช่อง3 แล้วทีมงานพี่ยุทธ รวมถึงพี่ยุทธ ที่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทของช่อง 3 ก็ไม่ได้สังกัดช่อง 3 ด้วยสิ!!

แยมไม่คิดว่าจะต้องมาอธิบายเรื่องอะไรพวกนี้ให้วุ่นวาย แต่เมื่อถูกพาดพิงในสภาฯ และถูกนำไปวิจารณ์ให้ได้รับความเสียหายแบบนี้ก็เลยต้องบอกย้ำให้จบๆ ว่า แม้แยมจะไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทช่อง3 แต่แยมก็ได้รับเกียรติและศักดิ์ศรีในการเป็นคนของช่อง 3 มาโดยตลอด เพราะข่าว 3 มิติ ก็เป็นรายการสังกัดช่อง3 ค่ะ

แล้วที่ผ่านมาแยมก็ได้เป็นตัวแทนพลูไปทำข่าวต่างประเทศกับนายกรัฐมนตรี เช่นนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้รับเชิญให้ไปทำรายงานพิเศษของรายการข่าว 3 มิติ และท่านรองนายกฯ ภูมิธรรม ก็ยังเชิญแยมไปร่วมทำข่าวพูลในกรณีท่านไปตรวจน้ำท่วมภาคเหนือ แล้วยังจะมีไปทำพลูกับกระทรวงการต่างประเทศ กรณีรมว.กระทรวงการต่างประเทศมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ไปรับตัวประกันอิสราเอล ก็ไปทำพูลทั้งในนามรายการข่าว 3 มิติ และ The Reporters ทางรัฐบาลก็เชิญไปแยมไปอยู่ค่ะ ถ้างานนั้นเข้ากับเนื้อหารายการข่าว 3 มิติ หรือแม้แต่คิวพูลสื่อออนไลน์ก็มี ก็จะวนเปลี่ยนกันไป 

ดังนั้นการจะมาอ้างว่าเพราะแยมไม่ได้สังกัดช่อง เลยไม่ได้ไปพูลนั้น ขัดกับความเป็นจริง เพราะใครๆก็รู้ว่าเหตุที่แยมไม่ได้ไป เพราะแยมรายงานข่าวอุยกูร์แบบตรงไปตรงมา ซึ่งแยมเสนอตัวที่จะไปเพราะ ท่านรองนายกฯ ประกาศไว้ในวันแถลงข่าว 27 ก.พ.68 ว่าจะเชิญสื่อไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ จะพาไปเยอะๆ ก็คิดว่าท่านจะให้สื่อไปกันเยอะๆ จริง 

แยมก็ส่งข้อความไปบอกท่านรองนายกฯ บอกผ่านท่านทวี บอกผ่านคุณจิรายุ รวมถึงอดีตโฆษกกลาโหม ที่ตอนนั้นทราบข่าวว่าทางกลาโหมจะเลือกสื่อสายทหารเป็นพูลไป

แยมไม่อยากลงลึกในรายละเอียดขั้นตอนว่าทำอะไรไปบ้าง น่าจะพลาดอยู่อย่างเดียวที่ไม่ได้แจ้งหรือถามพี่คนหนึ่งที่เป็นคนตัดสินใจเรื่องสื่อตามนายกรัฐมนตรี และงานสำคัญของรัฐบาล จึงถูกปัดชื่อตกในที่สุด (ทั้ง ๆ ที่มีข่าวว่าจะมีชื่อเป็นคิวพูลไปด้วย)

ไม่นับที่ทางสถานทูตจีนเชิญแยมไปคุยทำความเข้าใจเรื่องอุยกูร์ เขาบอกว่าจะเชิญแยมไปซินเจียงด้วย แต่รอบคณะของนายกฯ คงไม่ทัน เพราะทางรัฐบาลไทยเลือกสื่อไปแล้ว คือจีนเขาก็ไม่ได้จะอคติ ไม่ได้อยากจะสกัดไม่ให้แยมไปซินเจียง แต่ทำไมรัฐบาลไทยถึงไม่ให้ไป 

คือเรื่องอุยกูร์ แยมก็เป็นแค่นักข่าว ที่ไปทำข่าวการพบชาวอุยกูร์กลุ่มนั้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ก็ทำข่าวมาอย่างต่อเนื่อง การทำข่าวเรื่องนี้จึงอาจมีข้อสงสัยมากมายตามที่มีการตั้งประเด็นคำถามขององค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ เท่านั้น 

การที่พี่อ้วนกล่าวหาผู้สื่อข่าวบางคนว่า "เหมือนใครหลายคนว่าไม่เหมือนตัวเองก็ไม่รับ" ก็ยิ่งสะท้อนใจ ว่าเรายังอยู่ในรัฐบาลประชาธิปไตยแบบไหน  เราอยู่ในสังคมที่มีเสรีภาพแบบไหน ที่จะพูดปิดปากสื่อ คุกคามสื่อกันกลางสภาฯได้แบบนี้!!

ขอความเป็นธรรมด้วยค่ะ ในฐานะที่เป็นแค่นักข่าวคนหนึ่ง ที่ไม่มีสิทธิพูดในสภาผู้แทนราษฎร

ป.ล.ขอลงคลิปที่มารายงานของพี่ยุทธ และคลิปที่พี่อ้วนพูดในสภาฯ มาประกอบค่ะ และตัวอย่างเพจที่เอาข้อความข่าวไปเสนอต่อจนเกิดการกล่าวหาอย่างเสียหาย

ผู้เชี่ยวชาญภาษี ไขปม ‘วิโรจน์’ กล่าวหา นายกฯหนีภาษี ชี้ กรณีใช้ตั๋ว PN นายกฯ หนีภาษีจริงไหม คำตอบคือ ‘ไม่จริง’

เปิดข้อมูลรายได้ นายกแพทองธาร เสียภาษีกี่บาท ตามกฎหมายกรมสรรพากร หลังวิโรจน์ กล่าวหาแรง หนีภาษี ผู้เชี่ยวชาญจาก iTAX อธิบาย นายกหนีภาษีจริงไหม คำตอบคือไม่จริง

ควันหลงเดือด อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568 วันแรกวานนี้ (24 มีนาคม) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวหานางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่าหนีภาษี ทำนิติกรรมอำพราง โดยอ้างว่า ซื้อหุ้นจากครอบครัวด้วยสัญญาใช้เงิน หรือ PN

ทั้งนี้ ตั๋ว PN ย่อมาจาก Promissory Note หรือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นเอกสารทางกฎหมายที่ผู้กู้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะชำระเงินคืนให้ผู้ให้กู้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ โดยระบุจำนวนเงิน วันที่ครบกำหนดชำระ และอัตราดอกเบี้ย (ถ้ามี) ตั๋ว PN ใช้เป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงิน ซึ่งมีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้

ด้านนางสาวแพทองธาร ลุกขึ้นชี้แจงว่า ไม่ได้หนีภาษี ทุกอย่างทำถูกต้องตามกฎหมาย การกล่าวหาว่าหนีภาษีไม่เป็นความจริง “ที่ท่านสมาชิกอ้างว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นแหล่งทุจริต ข้าราชการผู้ใหญ่จะออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ขบวนการค้ายาเสพติดจะออกตั๋วให้กัน อันนี้อาจเป็นเรื่องที่จินตนาการไปมาก เพราะการออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะใช้กับธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ผู้ซื้อ-ผู้ขายรับภาระระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมาย”

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังทิ้งประโยคเด็ดถึงนายวิโรจน์ว่า “แม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่ดิฉันมั่นใจว่าเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่านแน่นอนค่ะ”

นายกแพทองธารเสียภาษีกี่บาท 
อ้างอิงจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่นายกรัฐมนตรียื่นบัญชีทรัพย์สิน ครั้งวาระเข้ารับตำแหน่งนายก พบว่า นางสาวแพทองธารมีรายได้ประจำ ได้แก่ เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยประชุม และโบนัส จำนวน 3,409,682.58 บาท เป็นเงินเดือนก่อนดำรงตำแหน่งนายกฯ ถึง 15 สิงหาคม และเงินเดือนภายหลังปฏิบัติหน้าที่นายกฯ

มีรายได้จากทรัพย์สินเป็น เงินปันผล 259,267,639.90 บาท ดอกเบี้ย 2,000,000 บาท ค่าเช่า 890,000 บาท รวมรายได้ต่อปี 268,567,322.48 บาท

ขณะที่คู่สมรส ปิฏก สุขสวัสดิ์ มีรายได้จากเงินเดือน 3,746,000 บาท, เงินปันผล 600,000 บาท, ดอกเบี้ย 383,100 บาท, ผลประโยชน์จากโทเคน 400,000 บาท รวมรายได้ต่อปี 5,129,100 บาท

เมื่อตรวจทานกับหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร จะคาดการณ์ได้ว่า นางสาวแพทองธารมีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร 5,428,132.76 บาท ขณะที่คู่สมรสอยู่ที่ 3,671,943.81 บาท

อย่างไรก็ดี ยังมีรายละเอียดเงื่อนไขอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะการลดหย่อน ซึ่งจะทำให้จำนวนเงินเสียภาษีมากน้อยต่างกัน

ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้ง iTAX โพสต์เฟซบุ๊ก Mickey Yutthana Srisavat ถึงกรณีการอภิปรายปมนายกรัฐมนตรี ใช้นิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีว่า นายกฯ หนีภาษีจริงมั้ย?

เรามาทำความเข้าใจข้อเท็จจริงและเรื่องภาษีไปพร้อมกันๆ ก่อนแล้วค่อยมาสรุปว่าท่านนายกฯ หนีภาษีรึเปล่า

1. เอางี้ก่อน มันเกิดอะไรขึ้น?

ก่อนหน้านี้ ท่านนายกฯ เคยได้รับโอนหุ้นจากญาติพี่น้องในรูปแบบสัญญาซื้อขาย มูลค่าประมาณ 4,400 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ชำระเงินค่าหุ้นนะ ติดหนี้ไว้ในรูปแบบตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory note: PN) อธิบายง่ายๆ คือ ออกเอกสารฉบับนึงให้เจ้าหนี้ไว้ แล้วบอกว่าตอนนี้ยังไม่พร้อมจะชำระค่าหุ้นนะ เงินไม่พอ แต่เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน ไว้อยากใช้เงินแล้วให้เอาตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับนี้มาทวง จะใช้เงินให้ทันที

ซึ่งในเรื่องนี้เป็น PN แบบใช้เงินเมื่อทวงถาม และไม่กำหนดดอกเบี้ย แปลว่า เจ้าหนี้ไม่คิดดอกเบี้ย และอยากได้เงินเมื่อไหร่ก็ไปทวงเมื่อนั้น

ตอนนั้นท่านนายกฯ ได้รับโอนหุ้นมาจากญาติพี่น้องหลายคน ได้แก่ แม่ พี่ชาย พี่สาว ลุง ป้าสะใภ้ และทุกคนได้รับ PN ไปก่อนโดยยังไม่ได้รับชำระเงินและยังไม่มีการทวงถามให้ใช้เงินแต่อย่างใด

2. ธุรกรรมนี้ใครต้องเสียภาษี?

ถ้าดูตามหน้ากระดาษ ธุรกรรมนี้คือสัญญาซื้อขาย ท่านนายกฯ ในฐานะผู้ซื้อไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ส่วนคนขายเป็นคนได้ตัง เลยต้องเป็นคนเสียภาษี แต่เรื่องนี้มี 2 ประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อน เพราะคนขายอาจจะไม่ต้องเสียภาษีก็ได้ เช่น
1) ขายหุ้นในราคาขาดทุนหรือเท่าทุน เช่น สมมติว่าพี่สาวขายหุ้นให้ท่านนายกฯ ในราคา 2,388.7 ล้านบาท แต่พี่สาวก็ได้หุ้นมาราคา 2,388.7 ล้านบาทเท่ากัน แบบนี้ต่อให้ได้เงินมาจริง แต่ก็ได้กำไร 0 บาท จึงไม่ต้องเสียภาษีอยู่ดี 

ในทางกลับกัน ถ้าพี่สาวได้หุ้นมาในราคาต่ำกว่า 2,388.7 ล้านบาท แล้วขายหุ้นให้ท่านนายกฯ ในราคา 2,388.7 ล้านบาท แบบนี้พี่สาวซึ่งเป็นคนขายจะได้กำไรและต้องเสียภาษี เว้นแต่จะเป็นการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ แม้จะได้กำไรก็ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นการขายหุ้นนอกตลาดฯ จึงไม่น่ามีประเด็นยกเว้นภาษีจากกำไร
2) ขายหุ้นได้กำไรจริง แต่ยังไม่ได้เงินจริง เพราะ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีหลักการรับรู้เงินได้ตามเกณฑ์เงินสด (cash basis) ถ้าแปลง่ายๆ คือ ได้เงินจริงปีไหน ค่อยให้เป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีปีนั้น

เช่น สมมติว่ารับงาน freelance ตอนเดือน ธ.ค. 67 แต่คนจ้างขอจ่ายเงิน ม.ค. 68 แบบนี้แม้ว่าจะส่งมอบงานเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ปี 67 แต่เนื่องจากได้รับเงินจริงตอนปี 68 ทำให้เงินค่าจ้างนั้นกลายเป็นเงินได้ของปีภาษี 68 (ปีที่ได้เงินจริง) ไม่ใช่เงินได้ของปีภาษี 67 (ปีที่ส่งงาน)

ถ้าเทียบเคียงกับกรณีขายหุ้นนี้ ท่านนายกฯ ไม่ได้ชำระเป็นเงินสด หรือโอนเงิน หรือจ่ายเช็ค หรือแม้แต่เอาทรัพย์สินหรือประโยชน์ใด เช่น รถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม ฯลฯ ไปแลกหุ้นมา มีเพียงตั๋ว PN ที่บอกว่าติดเงินไว้ก่อนนะ ไว้คนขายอยากได้เงินเมื่อไหร่ก็แวะมา ดังนั้น ตราบเท่าที่คนขายยังไม่ได้เงินซักที (เพราะยังไม่ได้ทวงเงินจากคนซื้อ) ก็เลยยังไม่มีกำไรที่ต้องนำไปเสียภาษี

จุดนี้จะมองว่าเป็นช่องสุญญากาศของกฎหมายก็ได้ เพราะที่จริงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตั้งใจเลือกใช้เกณฑ์เงินสดเพื่อความสะดวกและเข้าใจง่ายของประชาชนทั่วไป บุคคลธรรมดาจึงได้ประโยชน์จากการปรับใช้กฎหมายแบบนี้ ซึ่งถ้างานนี้คนขายเป็นบริษัทจะใช้เกณฑ์อีกแบบที่ต้องเสียภาษีทันทีที่ขายได้กำไรแม้จะยังไม่ได้เงินเข้ากระเป๋าก็ตาม

3. ถ้าโอนหุ้นให้โดยไม่ได้เงินและคนขายก็ดูไม่มีวี่แววจะทวงเงินด้วย แบบเราควรจะมองธุรกรรมนี้เป็นการให้เปล่ามากกว่ามั้ย? เพราะถ้าเป็นการให้เปล่าจริงๆ ท่านนายกฯ จะกลายเป็นคนที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีแทน

โดยปกติ การได้รับทรัพย์สินมาเปล่าๆ เช่น โอนหุ้นมาให้เฉยๆ ถ้าปีนึงได้รับไม่เกิน 10 ล้าน จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี (ถ้าคนให้เป็นบุพการี คู่สมรส หรือลูกหลาน จะได้ขยายเพดานเพิ่มเป็น 20 ล้านบาท) แต่ถ้าได้รับเกินกว่านั้นจะต้องเสียภาษีการรับให้ 5% ของส่วนเกินดังกล่าว 

เช่น สมมติว่าพี่สาวโอนหุ้นให้ท่านนายกฯ มูลค่า 2,388.7 ล้านบาทภายในปีเดียวกันโดยไม่มีค่าตอบแทน พี่สาวไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี แต่ท่านนายกฯ เองนั่นแหละที่จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในฐานะผู้ที่ได้รับทรัพย์สินมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทในคราวเดียว

แต่ถ้าพี่สาวทยอยให้หุ้นท่านนายกฯ ปีละไม่เกิน 10 ล้านบาท ทั้งท่านนายกฯ และพี่สาวจะมีใครไม่ต้องเสียภาษีเลย และสามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน เพียงแต่กว่าจะโอนหุ้นให้จนหมดอาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย ประมาณ 239 ปี

4. แค่ไหนถึงเรียกว่าหนีภาษี?

คำว่า 'หนีภาษี' เป็นคำที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังมากๆ เพราะโดยปกติเราจะสงวนไว้ใช้กับพฤติกรรมที่ดำสนิทจริงๆ เช่น เอาบัตรประชาชนของคนอื่นที่มีรายได้น้อยๆ มารับรายได้แทนตัวเองเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีแพง หรือขายของออนไลน์ได้กำไรเป็นล้านๆ แต่ไม่เคยยื่นภาษีหรือจ่ายภาษีซักบาท เป็นต้น

กรณีของท่านนายกฯ อาจเรียกได้ว่าเป็นการวางแผนภาษีแบบดุดัน (Aggressive tax planning) คือ วางแผนภาษีแบบรัดกุมสุดๆ และถูกกฎหมายทุกประการ แต่ขัดใจความรู้สึกของใครหลายคน และมองว่าเป็นการเลี่ยงภาษี (Tax avoidance) โดยการใช้ช่องว่างทางกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ถึงกฎหมายจะกำหนดให้คนไทยมีหน้าที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่มีกฎหมายข้อไหนบังคับให้ต้องเสียภาษีแพงที่สุดเท่าที่จะเสียได้ ดังนั้น การเลือกหนทางที่ทำให้ตัวเองเสียภาษีน้อยที่สุด ย่อมเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ทราบเท่าที่เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย

เราอาจจะต้องแยกให้ออกด้วยว่า 'ถูกกฎหมาย' vs. 'ถูกใจ' เป็นคนละเรื่องกัน

เมื่อ 19 ปีก่อน ครอบครัวของท่านนายกฯ ก็เคยขายหุ้น 'ชินคอร์ป' มูลค่า 73,271 ล้านบาท โดยไม่ต้องเสียภาษีซักบาท ซึ่งแม้ภายหลังจะมีคดีขึ้นสู่ศาลภาษีอากรเพื่อเก็บภาษีในส่วนนี้ แต่ท้ายที่สุดศาลพิพากษายกฟ้องอยู่ดี

แน่นอนว่าถึงจะ 'ถูกกฎหมาย' แต่ก็ไม่ได้ 'ถูกใจ' ทุกคนด้วย ยิ่งเกี่ยวข้องกับนายกฯ ก็ต้องเผื่อใจเรื่องความรับผิดชอบทางการเมืองต่อความรู้สึกของประชาชน และการเปิดช่องให้ฝ่ายค้านโจมตีได้ ซึ่งมันก็เป็นไปได้ว่าใครบางคนรู้สึกไม่สบายใจที่ท่านนายกฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมนี้แล้วจะไม่อยากสนับสนุนท่านนายกฯ ต่อ ก็เป็นประเด็นทางการเมืองที่ท่านนายกฯ และพรรคการเมืองที่ท่านสังกัดต้องรับมือต่อไป เพราะท่านต้องรู้อยู่แล้วว่าคนไทยพร้อมใส่ใจท่านนายกฯ เสมอ รถทัวร์ก็รออยู่แล้วหลายคัน งานทอดกฐินก็มีคนพร้อมจองตลอดเวลา อบอุ่นแน่นอน

ซึ่งเรื่องนี้ ท่านนายกฯ ได้ชี้แจงว่าตอนนั้นไม่พร้อมชำระเงินตามตั๋ว PN แต่ได้ตกลงกับครอบครัวแล้วว่าจะชำระเงินค่าหุ้นให้ภายในปีหน้า นั่นหมายความว่าธุรกรรมซื้อขายหุ้นนี้ ในท้ายที่สุดผู้ขายก็จะต้องเสียภาษีอยู่ดี ไม่ใช่ท่านนายกฯ ในฐานะผู้ซื้อหุ้นอยู่แล้ว

แต่มีเกร็ดเล็กน้อยที่น่าสนใจว่า การเสียภาษีช้าหน่อยก็เป็นเทคนิคการประหยัดภาษีรูปแบบนึงเช่นกัน เพราะการยื้อเวลาจ่ายภาษีให้ช้าที่สุด (Tax deferral) ก็ช่วยให้มีกระแสเงินสดไปหมุนเพื่อสร้างรายได้ระหว่างรอชำระภาษีได้ด้วยเหมือนกัน ถึงแม้สุดท้ายจะต้องจ่ายภาษีจำนวนเท่าเดิม แต่การเสียภาษีช้าก็ได้ประโยชน์มากกว่าเสียภาษีทันที

5. สรุปท่านนายกฯ หนีภาษีจริงมั้ย?

จากข้อมูลเท่าที่มีตอนนี้ ถามว่าถึงขั้นหนีภาษีมั้ย? คำตอบคือ “ไม่เป็นความจริง“

ส่วนเหตุเรื่องขายหุ้นไม่เสียภาษีของครอบครัวท่านนายกฯ นี้จะเป็นสารตั้งต้นไปสู่เหตุการณ์แบบปี 2549 ได้อีกหรือไม่? คำตอบคือ “ไม่รู้ๆๆ”

สุดท้ายนี้ ถึงผมจะอายุมากกว่าท่านนายกฯ แต่ผมก็มั่นใจว่าผมเสียภาษีให้รัฐน้อยกว่าท่านแบบถูกกฎหมายแน่ๆ เพราะผมใช้ iTAX

‘เอกนัฏ’ แจงเหมืองทองอัคราเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ไม่มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ชาติกับใคร พร้อมย้ำ ก.อุตสาหกรรมคุมเข้มเผาอ้อยต่ำกว่าที่สุดในประวัติศาสตร์ ช่วยลดปัญหา PM2.5 พร้อมมาตรการเข้มสั่งปิดโรงงานน้ำตาลถึง 2 โรง

เมื่อวันที่ (24 มี.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ชี้แจงในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่า ในครั้งนี้ตนมีกรณีที่จะต้องชี้แจงใน 2 กรณี คือ กรณีแรกเรื่องของเหมืองทองอัครา กรณีที่สองคือการเผาอ้อย

สำหรับกรณีเหมืองทองอัครา ตนขอเรียนว่าตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ไม่มีการดำเนินการต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่งแน่นอน การดำเนินการทุกขั้นตอนของเรื่องเหมืองทองอัคราเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และยึดผลประโยชน์ของประเทศของเป็นที่ตั้ง ดังนั้นการดำเนินการทุกขั้นตอนจะต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้ประเทศไทยต้องแพ้ ไม่ให้ผลประโยชน์ของชาติต้องสูญเสียไป 

ตนขอย้ำว่า ไม่เคยมีสั่งให้เลื่อนการอ่านผลของการพิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือจากรัฐบาล หรือจากนายกรัฐมนตรีทุกอย่างดําเนินการตามขั้นตอนโดยหน่วยงานที่ดําเนินการตามความรับผิดชอบภายใต้กรอบ ภายใต้กฎหมายที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดครับ ไม่เคยไปเจรจานอกรอบ หรือไปต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทีเดียวรับแต่อย่างใด

กรณีที่กล่าวถึงการออกอาชญาบัตรพิเศษ ที่ผิดกฎหมาย ทับพื้นที่อุทยาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แม้เป็นเรื่องที่เกิดก่อนตนปฏิบัติหน้าที่ แต่การดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายเหมืองแร่ ไม่มีออกอาชญาบัตรพิเศษหรือประทานบัตรที่ผิดกฎหมาย ทับซ้อนเขตอุทยาน หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

ที่บอกว่ามีการเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนล้มคดี นั้น รัฐบาลนี้หรือใครใหญ่จากไหนไม่มีใครต่อรองแลกเปลี่ยนแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไทยได้ หากทำได้ ผมมองว่าคงต่อรองเรื่องอื่น ที่มากกว่าการรักษาประโยชน์ให้กับเหมืองทองอัครา นอกจากนั้นไม่เคยแทรกแซงองค์กรอิสระ ทุกอย่างดำเนินการตามขั้นตอนรักษาประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง

สำหรับในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 แม้ว่าตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจะไม่ได้กำกับดูแลเรื่องของสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่ตนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเรื่องของสุขภาพ เรื่องของชีวิตของประชาชนชาวไทย ตนมีการเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น และสิงคโปร์เพื่อศึกษาและหามาตรการที่จะสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว 

สำหรับประเทศไทยที่เป็นทั้งประเทศผู้บริโภค และประเทศผู้ผลิต ดังนั้นการดูแลสิ่งแวดล้อมจะต้องมาจากความรับผิดชอบของผู้ผลิตด้วยเช่นกัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้กำกับดูแลอ้อย จากพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 ซึ่งตนขอยืนยันว่าอ้อยเผาในปีนี้ลดลงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 

สำหรับการเผาในอ้อยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 การเผาก่อนเข้าไปเก็บเกี่ยว เพื่อความง่ายและความสะดวกในการเก็บเกี่ยว และส่วนที่ 2 คือการเผาหลังเก็บเกี่ยวเพื่อป้องกันการปนเปื้อนและง่ายต่อการเพาะปลูกรอบใหม่

การเผาในส่วนที่ 1 กระทรวงอุตสาหกรรมมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทำให้อ้อยเผาไม่เหลือไม่ถึง 15% ของอ้อยทั้งหมด นอกจากนี้เรายังเอาจริงเอาจังซึ่งพิสูจน์จากการสั่งปิดโรงงานน้ำตาล 2 แห่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

“ถ้าบอกว่ามาตรการของรัฐบาลในช่วงนี้ไม่ชัด ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรชัดมากไปกว่าการสั่งให้ปิดโรงงานน้ำตาล 2 โรง ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ นี่คือความจริงจัง ความเข้มงวด ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นพิเศษ” นายเอกนัฏ กล่าว

การเผาในส่วนที่ 2 นั้น กระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้ใช้มาตรการเข้มงวดแต่เพียงอย่างเดียว แต่ในขณะนี้กำลังเตรียมตัวเพื่อเพิ่มมูลค่าผ่านการนำเศษชิ้นส่วนจากอ้อย โดยเฉพาะใบอ้อยไปขายยังโรงไฟฟ้าชีวมวล และเตรียมความพร้อมในการสนับสนุนอุปกรณ์ทั้งในการตัดใบอ้อย และกระบวนการรวบรวมจัดการใบอ้อย หรือรวมไปถึงการไถกลบเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน นอกจากนี้เรายังได้เตรียมความพร้อมในเรื่องของเชื้อเพลิงชีวภาพ เรื่องของพลาสติกชีวภาพ และในท้ายที่สุดอาจจะมีการกำหนดราคาน้ำตาลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกราคาหนึ่ง

กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังออกแบบมาตรการเพื่อทำงานร่วมกับโรงงาน และเกษตรกรเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ให้เป็นภาระต่อเกษตรกร และไม่ให้อ้อยถูกนำไปเผาและสร้าง PM2.5 แล้วย้อนกลับทำร้ายชีวิตของพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top