Sunday, 5 May 2024
POLITICS

'รมว.ปุ้ย' ย้ำ!! 'ตนเอง-ขรก.' ต้องทำงานเพื่อประชาชน หากไม่มีผลงาน ก็ต้องพร้อมแสดงความรับผิดชอบ

(2 พ.ค. 67) จากกรณีนายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดใจกับสื่อมวลชนถึงเหตุผลการลาออกว่า เกิดจากความกดดัน และน้อยใจผู้บริหาร ซึ่งเรื่องนี้ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ตนก็ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องลาออก ส่วนอธิบดีกรมโรงงานก็พบล่าสุดที่ จ.ระยอง หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ ส่วนที่ว่าท่านลาออกเพราะเกิดความน้อยใจ และความกดดันนั้น ถ้าติดตามข่าวอย่างละเอียดจะเห็นว่า ได้ให้กำลังใจคนทำงานมาตลอด และไม่ได้ระบุว่าเป็นปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ อธิบดีกรมโรงงาน แต่บอกว่า ทุกคนต้องทำงานอย่างเต็มที่ เพราะ 1 เดือนที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมเจอภาวะวิกฤตในหลายด้าน และในทุกปัญหากระทบต่อพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก มันกดดันให้เราต้องทำงานอย่างเต็มที่

“จะมาบอกว่าน้อยใจหรือเสียกำลังใจไม่ได้ เพราะเราต้องทำงาน เป็นข้าราชการต้องทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ตัวรัฐมนตรีเองก็ต้องทำงาน ถ้าไม่มีผลงานก็ต้องพร้อมที่จะแสดงความรับผิดชอบ ไม่ได้บอกว่าจะปรับเปลี่ยนใคร แต่ถ้าเมื่อไรที่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ได้ทำตามหน้าที่ สังคมก็จะต้องตั้งคำถาม ตัวดิฉันเองก็ไม่สามารถหนีความรับผิดชอบได้ เราต้องร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ไม่มีเวลามานั่งท้อหรือเสียใจ และเมื่อเกิดวิกฤตเราควรใช้โอกาสนั้นแสดงฝีมือให้ประชาชนเห็นว่า เราช่วยประชาชนได้ และที่สำคัญ ประตูห้องทำงานรัฐมนตรีก็เปิดตลอด มีปัญหาอะไรก็มาคุยกันได้” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

ส่วนความคืบหน้าไฟไหม้โรงงานสารเคมี ที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้กำชับไปแล้วว่าต้องควบคุมเพลิงให้ได้ และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่ 3 ในเวลาไล่เลี่ยกัน และบ่ายวันนี้ก็จะลงไปดูหน้างานด้วยตัวเอง

'ก้าวไกล' จวก 'เศรษฐา' เก่งแต่ต่อว่าคนอื่น แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง หลังปมเพลิงไหม้โรงงาน 'อยุธยา-ระยอง' หาจุดจบไม่ได้เสียที

(2 พ.ค. 67) นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง และนายทวิวงศ์ โตทวิววงศ์ สส.พระนครศรีอยุธยา พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงความคืบหน้ากรณีไฟไหม้โรงงานวินโพรเสส รวมถึงเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมีใน อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อคืนวันที่ 1 พ.ค.

โดยนายชุติพงศ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบข้อมูลว่าโรงงานวินโพรเสส ที่ จ.ระยอง และโกดังเก็บสารเคมี ที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา มีเจ้าของกลุ่มเดียวกัน สิ่งที่น่าสนใจ คือก่อนหน้านี้ที่อยุธยาเคยเกิดเหตุเพลิงโรงงานสารเคมี และมีการสั่งย้ายสารเคมีภายในโรงงานออกทั้งหมด จากนั้นมาเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานที่ระยอง และล่าสุดคือเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โกดังในพระนครศรีอยุธยา ระดับผู้สั่งการทำได้แค่สั่งแต่ไม่มีแผนเผชิญเหตุ จึงฝากไปถึงรัฐบาลในฐานะผู้รับผิดชอบหลัก และนายกรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ เห็นผลกระทบจากกลิ่นสารเคมี ต้องถามว่าทำงานกันเป็นหรือไม่ เพราะในการลงพื้นที่ไฮไลต์เดียวคือการไปต่อว่าอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม จนเมื่อวาน (1 พ.ค.) ต้องประกาศลาออกในที่ประชุม คณะกรรมาธิการ (กมธ.) อุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร

“ถ้าท่านอยากทำหน้าที่ใช้ปากทำงานต่อว่าคนอื่น ท่านเป็นฝ่ายค้านก็ได้ ท่านไม่ต้องเป็นรัฐบาลหรอก อำนาจสั่งการอยู่ที่ท่าน ท่านก็สั่งเลยว่าให้ตำรวจทำอะไร ให้แต่ละที่ทำอะไร และต้องฟ้องชดเชยเยียวยาอะไร เพราะอำนาจอยู่ในมือท่าน จึงต้องฝากนายกฯ เพราะท่านไปเห็นหน้างานมาแล้วว่าเหม็นขนาดไหน ถ้าหากท่านจะใช้ปากทำงานต่อว่าคนอื่น ไม่ต้องเป็นรัฐบาลก็ได้ และขอฝากถามไปถึงนายกฯ ว่าจะทำอย่างไรถึงจะจบสักที เพราะดูเหมือนว่าท่านสั่งอะไร ก็ไม่ได้ผลสักอย่าง เพราะแม้ตอนนี้จะยังไม่ทราบชัดเจนว่าสารเคมีในโรงงานมีอะไรบ้าง แต่เบื้องต้นพบว่าเป็นสารประเภทเดียวกันทั้ง 2 ที่” นายชุติพงศ์ กล่าว

เมื่อถามว่า มีความเชื่อมโยงว่ามีการเคลื่อนย้ายสารเคมีจาก จ.ระยอง มายังอ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยาหรือไม่ นายชุติพงศ์ กล่าวว่า รัฐเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้กับโรงงานเหล่านี้ ได้มีการตรวจสอบหรือไม่ว่าเอาสารเคมีอะไรเข้าไปเก็บบ้าง และมาจากที่ใด เพราะไม่มีใครรู้ หากเกิดสารเคมียังหลงเหลืออยู่แต่ไม่มีที่เก็บแล้ว จากนี้จะไปโผล่บ้านใครก็ไม่ทราบ รัฐบาลต้องทำให้ชัดเจน ว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งในการตรวจสอบในชั้นกรรมาธิการพบข้อพิรุธหลายอย่างในเรื่องนี้

ต่อข้อถามว่าหากคดีมีความชัดเจนว่าเป็นการลอบวางเพลิง เอื้อประโยชน์นายทุน ฝ่ายค้านจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง นายชุติพงศ์ กล่าวว่า เบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการแจ้งความดำเนินคดี เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ต้องติดตามว่า คดีเหล่านั้นดำเนินการไปถึงไหนแล้ว และการขนย้ายใช้งบประมาณของกรมโรงงานฯ หรือเอกชนเจ้าของโรงงาน ซึ่งฝ่ายค้านก็จะติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นบทเรียนว่าการทำแบบนี้จะต้องรับโทษอย่างไรบ้าง

เมื่อถามว่า มองว่ามีความจำเป็นที่โรงงานต้องเกิดเหตุไฟไหม้ในตอนนี้หรือไม่ นายชุติพงศ์ กล่าวว่า ค่าขนย้ายสารเคมีไปกำจัดมีราคาแพง

ด้านนายทวิวงศ์ กล่าวว่า ปัจจุบันทีมผจญเพลิงรับมือ ได้มีการเตรียมแผนรับมือไว้ เนื่องจากพบกรดกัดกร่อนรุนแรงที่พื้นโรงงาน หลังจากไฟไหม้ตลอดทั้งคืน จึงต้องปรับแผนไปดับเพลิงบนหลังคา จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเตรียมแผนรับมือ ชดเชยเยียวยาให้กับประชาชนที่เดือดร้อน และมาตรการดูแลเจ้าหน้าที่ ทั้งการตรวจสุขภาพ และการรักษาในระยะยาว ทั้งนี้ทราบบว่าเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พบรอยตัดรั้วลวดหนาม หลังถูกดำเนินคดีที่ใช้กันพื้นที่โรงงานหลังถูกดำเนินคดีฟ้องร้อง จึงต้องไปตรวจสอบว่าเกิดจากสาเหตุใด

อย่างไรก็ตามนายชุติพงศ์ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในการประชุม กมธ.อุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า เข้าร่วมประชุมกมธ. ด้วยในฐานะ สส.จ.ระยอง พื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งตนได้ถามอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับ งบประมาณในการขนย้ายสารเคมี ซึ่งอธิบดีกรมโรงงานฯ ที่นั่งอยู่ข้างตนก็ได้ตอบว่า "อ่อผมลาออกแล้วครับ" ตอนนั้นรู้สึกช็อกมาก

เมื่อถามว่าอธิบดีกรมโรงงานฯ ได้แจ้งเหตุผลของการลาออกหรือไม่ นายชุติพงษ์ กล่าวว่า ไม่แน่ใจ น่าจะเป็นเพราะถูกนายกฯ ต่อว่า และทราบว่ากำลังถูกสั่งย้าย ท่านจึงลาออก ซึ่งเรื่องนี้น่าสงสัย เพราะท่านเป็นคนเสนอให้ใช้เงินประกันที่ศาลมาดำเนินการขนย้ายสารเคมี ซึ่งก็ต้องรอผลในวันที่ 7 พ.ค.นี้ จึงต้องติดตามต่อไป เพราะประชาชนเริ่มสงสัยว่าเป็นการวางเพลิงต่อเนื่องหรือไม่

‘อรรถกร’ เผย 'บิ๊กป้อม' กำชับลุยงาน ‘รมช.เกษตร’ ให้เต็มที่สมที่ไว้วางใจ พร้อมอวยผลงาน ‘ธรรมนัส’ 7 เดือนชิ้นโบแดงทำกดดัน แต่พร้อมลุย

(2 พ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ เวลา 08.20 น. เป็นไปอย่างคึกคัก หลังรัฐมนตรีใหม่ได้ทยอยเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อตรวจคัดกรองเชื้อโควิด (RT PCR) ที่ห้องเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่วันที่ 3 พ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีใหม่เข้าถวายสัตย์ฯ ในเวลา 17.00 น. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน อาทิ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว. สาธารณสุข, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โดยนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ว่า ขณะนี้เป็นการเตรียมตัวทำงาน และดีใจที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร และตั้งแต่วันที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส่งชื่อ และทราบว่าจะได้เป็นรัฐมนตรี ก็ได้มีการคิดล่วงหน้าและเตรียมความพร้อม ว่าเมื่อเรามีโอกาสได้เข้ามาทำงานในฐานะรัฐมนตรีช่วย ก็จะทำให้ดีที่สุด

อย่างไรก็ตามเมื่อได้มอบหมายให้รับผิดชอบมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถือเป็นกระทรวงใหญ่ เป็นกระทรวงที่ดูแลเกษตรกรที่มีจำนวนมากในประเทศไทย ยอมรับว่าก็อาจจะรู้สึกกดดันบ้าง อีกทั้งตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ทำงานไว้ผลงานระดับชิ้นโบแดง แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณบ้าง แต่ดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ก็เป็นเชิงบวกอย่างที่ทุกคนเห็นอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า การที่พรรคพลังประชารัฐ ได้ดูกระทรวงเกษตรทั้งหมด จะส่งผลอย่างไร? นายอรรถกร กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรตนไม่ทราบ แต่เบื้องต้นเท่าที่ได้คุยกับ ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไรกันอยู่แล้ว ตนเองตั้งใจที่จะทำงานเพื่อแบ่งเบาภารกิจของท่าน และพร้อมสนับสนุนในทุก ๆ เรื่องที่จะสามารถแบ่งเบาได้ และในฐานะคนรุ่นใหม่ ก็จะทำตามนโยบาย รมว.เกษตร ที่ได้วางนโยบายไว้ คือการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ และใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าไปทำงาน ดังนั้นการสื่อสารถือเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะเกษตรกรที่สูงอายุ โดยเฉพาะเมื่อโลกเปลี่ยนไป หากเราใช้รูปแบบเดิม ๆ ผลลัพธ์อาจจะเป็นแบบเดิมหรือน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เนื่องจากทุกอย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะภูมิอากาศซึ่งส่งกระทบกับผลผลิต จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งกระทรวงเกษตรก็มีหลายหน่วยงาน และนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถจะเข้าไปช่วยตรงนี้ได้"

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเข้ามาทำงานตรงนี้ พล.อ.ประวิตรได้ฝากฝังอะไรหรือไม่? นายอรรถกร กล่าวว่า "ท่านบอกว่าอย่าให้เสียชื่อ ท่านมอบความไว้วางใจแล้ว ท่านให้โอกาสแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ครับ"

นายอรรถกร กล่าวว่า หลังจากได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรีขณะนี้ยังไม่ได้รับมอบหมายงาน แต่ที่ตนตั้งใจไว้คือ ต้องการแบ่งเบาภารกิจของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ได้มากที่สุด 

ส่วนสาเหตุที่ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีได้อย่างไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทางพรรคพลังประชารัฐก็เสนอรายชื่อแคนดิเดตรัฐมนตรีหลายคนเพื่อให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ? นายอรรถกร กล่าวว่า "เท่าที่ทราบตามข่าว พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐ ส่งรายชื่อไป 3-4 รายชื่อ หลังจากนั้นก็ขึ้นกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งกรุณาเลือกตนเข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรี เพื่อมาทำงานร่วมกับร.อ.ธรรมนัส และเชื่อว่าตัวเอง และ ร.อ.ธรรมนัส จะทำงานร่วมกันได้อย่างดี เพื่อประโยชน์ของประชาชนต่อไป โดยเป้าหมายส่วนตัว จะผลักดันนโยบายต่าง ๆ ที่ท่านนายกรัฐมนตรี และ ร.อ.ธรรมนัส ได้มอบไว้ให้และจะทำให้บรรลุในทุกข้อ"

ผู้สื่อข่าวถามถึงสาเหตุที่นายกรัฐมนตรีเลือกเข้ามาเพราะมีภาพคนรุ่นใหม่เป็นองค์ประกอบร่วมด้วยใช่หรือไม่? นายอรรถกร กล่าวว่า "ตนตอบแทนนายกรัฐมนตรีไม่ได้ แต่ในเมื่อมีโอกาสมาทำงานตรงนี้ สะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่มีโอกาสเข้ามาทำงาน และทราบมาว่า ครม.ชุดนี้ มีคนรุ่นใหม่หลายคนเข้ามา ก็เชื่อว่าจะร่วมมือกันทำงานมิติใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น"

เมื่อถามว่าแต่งตั้งนายอรรถกรแล้ว ยังมีแรงกระเพื่อมในพรรคพลังประชารัฐอยู่หรือไม่? นายอรรถกร กล่าวว่า "ต้องขอบคุณพี่น้องเพื่อนในพรรคพลังประชารัฐ หลังจากมีข่าวตนได้รับการโปรดเกล้าฯ ก็มีคนเข้ามาแสดงความยินดี และตนจะตั้งใจทำงานในฐานะที่เป็นตัวแทนของพรรค และคนฉะเชิงเทราที่มีโอกาสเข้ามาทำงานฝ่ายบริหาร และให้สมกับที่นายกรัฐมนตรีให้ความไว้วางใจ"

‘กมธ.แรงงาน’ แจงกรณีมีผู้แอบอ้าง ไปตบทรัพย์ ไซต์งานก่อสร้าง  ย้ำ!! ไม่เคยตั้งหน่วยงานลับเฉพาะกิจ ให้ไปตรวจสอบ 

(1 พ.ค. 67) ที่สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร โดยนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธาน กมธ. ร่วมกับนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา (อดีต สส.ก้าวไกล) แถลงข่าวกรณีที่มีกลุ่มผู้แอบอ้างเป็นคณะทำงานของ กมธ.การแรงงาน ลงพื้นที่เรียกรับเงินจากโรงงานและไซต์งานในจังหวัดปราจีนบุรี

นายวุฒิพงศ์ กล่าวไล่เรียงเหตุการณ์ว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ได้มีผู้แอบอ้าง กมธ. การแรงงาน ติดต่อเข้ามาที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อลงพื้นที่ก่อสร้างโรงงานของบริษัททุนจีน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียกรับผลประโยชน์ แต่เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องในวันนั้นเกิดความกังวล จึงโทรศัพท์ชวนเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัด ตำรวจสันติบาล และเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จังหวัดลงพื้นที่ไปด้วย ซึ่งในวันนั้นผู้ที่แอบอ้างไม่ได้มีเอกสารอะไรมาจาก กมธ.การแรงงาน มีแต่บัตรผ่านเข้าออกอาคารรัฐสภาเท่านั้น ว่าเป็นผู้ติดตาม สส.ท่านหนึ่ง ภายหลังการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ราชการได้เชิญตัวผู้แอบอ้าง ไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ สภ.ระเบาะไผ่

นายวุฒิพงศ์ กล่าวว่า ต่อมาวันที่ 26 เม.ย.ได้ไปพบ 5 เสือแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี เนื่องจากได้รับร้องเรียนว่ากลุ่มผู้แอบอ้าง กมธ.การแรงงาน มีการให้เจ้าหน้าที่ราชการไปยืนเป็นแบล็กกราวน์ให้ ทำให้เกิดความไม่สบายใจกับเจ้าหน้าที่ กลัวว่าจะมีความผิดไปด้วย จึงร้องเรียนมาที่ตนเอง ปรากฎว่าวันที่ 27 เม.ย. กลุ่มผู้แอบอ้างกลุ่มเดิมเกิดความชะล่าใจ ลงพื้นที่ไซต์งานก่อสร้างทางหลวงชนบท เราจึงซักซ้อมแผนกันคร่าวๆ ว่าจะบุกไปจับ ซึ่งกลุ่มคนดังกล่าวอ้างชื่อ สส.คนเดิมกับวันที่ 24 เม.ย. โดยทุกคนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับ กมธ.การแรงงาน จากนั้นได้ควบคุมตัวกลุ่มคนแอบอ้างทั้งหมด 6 คน ไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.เมืองปราจีนบุรี แต่ใน 3 คนนั้นขับรถหนี คนกลุ่มนี้มักลงพื้นที่ไซต์งานที่มีขนาดกลางขึ้นไป มีคนงานประมาณ 10 คนขึ้นไป จะตระเวนไปก่อนว่ามีความผิดหรือไม่ โดยความเสียหายที่คนกลุ่มนี้ไปแอบอ้าง ข่มขู่ เรียกทรัพย์นั้น ได้เรียกรับเงินจำนวนนับหมื่นบาท

ขณะที่นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า โชคดีที่มี สส.ที่มีความเอาใจใส่และติดตามรวดเร็ว ไม่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น กมธ.การแรงงานโดนแอบอ้างมาหลายรอบ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ภาคตะวันออก พื้นที่สมุทรสงคราม สมุทรสาครก็มี หลายคนไปแอบอ้าง

“ผมเรียนยืนยันว่าคณะ กมธ.การแรงงานไม่เคยมีหนังสือ ไม่เคยในการแต่งตั้งเป็นหน่วยลับ หน่วยเฉพาะกิจให้ไปตรวจสอบที่ไซต์งาน ไม่เคยมีหนังสือสักฉบับเดียว และบุคคลกลุ่มนี้ผมไม่เคยรู้จัก และไม่ได้เป็นคณะ กมธ. ของคณะผม ผมฟังมา เป็นเพียงผู้ติดตามของ สส.ท่านหนึ่ง และอยู่ในคณะ กมธ.ชุดผม แต่ไม่ได้สอบถาม” นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าว

นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวด้วยว่า ได้เรียนต่อนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียบร้อยแล้ว ได้รับแจ้งว่าอะไรที่เป็นการผิดกฎหมาย และไม่ใช่เป็นการกระทำโดยหน้าที่ของคณะ กมธ. ก็ต้องจัดการ เพราะจะทำให้เกิดความเสื่อมเสีย

“ไปไล่บี้ตบทรัพย์ จำนวนที่ได้มาก็หลายหมื่นบาท จึงต้องนำเรียนสื่อมวลชนไปให้บริษัทอื่นๆ และในพื้นที่ที่มีโรงงานแบบนี้ ถ้ามีกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นคณะ กมธ.การแรงงาน ก็ขอให้ตรวจสอบและแจ้งมายังคณะ กมธ.การแรงงานด้วย” นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าว

เมื่อถามว่าตั้งคณะกรรมการสอบแล้วหรือยัง นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า ยังไม่ตั้งกรรมการสอบ เนื่องจากยังปิดสมัยประชุม

เมื่อถามว่า ชื่อที่ปรากฏเป็นข่าวคือนายสุเทพ อู่อ้น สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จะต้องมีการเรียกมาคุยหรือไม่ นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า ต้องมีการสอบถาม แต่โดยส่วนตัวยังไม่ได้พูดคุยกัน ทั้งนี้ ยังตอบไม่ได้ว่านายสุเทพมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ต้องฟังหลายฝ่าย โดยก็รับปากแล้วว่าจะไปตรวจสอบโรงงานที่ปราจีนบุรี จะไปพบกับทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง

ส่วนมูลค่าความเสียหายนั้น นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบตัวเลข แต่ได้รับทราบแล้วว่ามีบริษัทจ่ายไปแล้วสองครั้ง ครั้งละ 2 หมื่นบาท แต่มีบริษัทอีกบริษัทหนึ่งที่ใหญ่กว่า ยังไม่ทราบตัวเลขว่าจ่ายไปเท่าไหร่

ส่วนที่ยังไม่ถามนายสุเทพเลยนั้น นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า เพราะเพิ่งทราบเรื่องเมื่อคืนนี้ ยอมรับว่าเป็นเรื่องใหญ่ และจะมีการเรียกประชุมเร็วที่สุดในวันที่ 8 พ.ค.นี้

เมื่อถามว่าหากนายสุเทพผิดจริง จะถึงขั้นขับออกจาก กมธ.หรือไม่ นายสฤษฏ์พงษ์ ระบุว่า เรื่องขับ กมธ.ต้องดูหลายประเด็น เพราะถูกตั้งมาจากสภาใหญ่ แต่ต้องไปดูว่ามีความเกี่ยวพันถึงนายสุเทพหรือไม่ ตามต้องฟังความทั้งสองฝ่าย

‘ธนกร’ ฟาดใส่ ‘ชัยธวัช’ เอาแรงงานมาอ้าง หวังผลโจมตีทางการเมือง ชี้!! รัฐมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตปชช. ปรับค่าแรงทุกปี แต่ต้องดูให้รอบคอบ

(1 พ.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวว่ากระทรวงแรงงาน และรัฐบาลให้ความสำคัญกับพี่น้องประชาชนภาคแรงงาน เพราะถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจ ทั้งในส่วนของภาคอุตสาหกรรม การเกษตรและภาคท่องเที่ยว ล้วนต้องใช้แรงงานที่มีฝีมือและมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งล่าสุดกระทรวงแรงงานได้ประกาศข่าวดีมาแล้วว่าเตรียมขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศในปีนี้และปรับขึ้นทุกปี โดยผ่านคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งจะดำเนินการเร็วขึ้นจากแผนงานที่วางไว้

นายธนกร กล่าวว่า จากกรณีที่ นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายเซีย จำปาทอง สส.พรรคก้าวไกล ออกมาโจมตีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน และนายกฯว่าให้ความหวังผู้ใช้แรงงานลมๆ แล้งๆ ไม่ทำตามที่หาเสียงไว้นั้น ตนมองว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นอำนาจของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ที่มีผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ ดังนั้น ฝ่ายการเมืองหรือ รมว.แรงงาน จึงไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ โดยรัฐบาลต้องดูให้รอบด้านไม่ใช่มองแค่ฝ่ายลูกจ้างอย่างเดียว ต้องดูถึงสภาพคล่องและกำลังทุนของนายจ้างและผู้ประกอบการรวมถึงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศควบคู่กันไปด้วย จึงทำให้คณะกรรมการไตรภาคีต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ อีกทั้งนายกฯและรัฐบาลก็ยึดนโยบายหลักที่ได้แถลงต่อสภาไว้ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องผู้ใช้แรงงานในการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทุกปีอยู่แล้ว

“การที่พรรคก้าวไกล ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามที่หาเสียงไว้นั้น มองว่าเป็นการหวังดีประสงค์ร้าย นำผู้ใช้แรงงานมาบังหน้าเพื่อโจมตีทางการเมืองรัฐบาล เพราะถ้าหากกระทรวงแรงงาน เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซงคณะกรรมการไตรภาคี ให้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอย่างรวดเร็ว ย่อมจะถูกก้าวไกลโจมตีอีกเช่นกัน ซึ่งตามหลักการแล้ว ทุกรัฐบาลต้องหารือผ่านคณะกรรมการไตรภาคี และต้องคิดอย่างรอบคอบว่าผู้ประกอบการ จะได้รับผลกระทบแบกรับต้นทุนไหวหรือไม่ หากมีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจนทำให้ต้นทุนการผลิตสูงเกินไปจน นายจ้างผู้ประกอบการ แบกรับไม่ไหว สุดท้ายผลกระทบก็จะกลับมาที่ผู้ใช้แรงงานอยู่ดี การโจมตีทั้งขึ้นทั้งล่องแบบนี้ จึงมองว่า ก้าวไกลนำความเดือดร้อนของประชาชนมาบังหน้าเพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาล จึงอยากถามกลับว่า เป็นการหวังดีต่อพี่น้องผู้ใช้แรงงานจริงๆ หรือไม่ หรือหวังผลทางการเมืองเพียงอย่างเดียว” นายธนกร ระบุ

อดีตบิ๊กข่าวกรอง ฟันธง!! ตั้ง ‘ทนายถุงขนม’ เป็นรมต. ผิดแน่นอน ชี้!! ‘เพื่อไทย’ มีคนเก่งเยอะ แต่ดื้อตั้งไม่สนใจ เพราะตอบแทนที่รับใช้นายใหญ่ 

(1 พ.ค. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ขัดรัฐธรรมนูญไหม ?” ระบุว่า กรณีตั้งทนายถุงขนมเป็นรัฐมนตรีทำได้หรือไม่ ขัดรัฐธรรมนูญไหม

ตอนนี้ รัฐบาลอาจไม่สนคำทักท้วงใดๆ อยากตั้งใครเป็นรัฐมนตรีก็ตั้ง จะเรียกว่า รัฐบาลต่างตอบแทน ก็ได้ ใครที่เคยทำดี อุทิศตัวรับใช้นายใหญ่ เมื่อมีโอกาสก็หาทางใช้หนี้ใบยืม ไม่ต้องสนใจถูกผิด เหมาะสม หรือไม่เหมาะสม

ความจริงเพื่อไทยมีนักกฏหมายเก่งหลายคน จิ้มใครมาก็ได้ ไม่ยี้สักคน. แต่ดื้อไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม จะเอาคนนี้

ทนายถุงขนมกระทำผิดไหม ผิดสิ ละเมิดอำนาจศาล แม้จะถูกลงโทษจำคุกแต่ไม่ใช่โทษทางอาญาตามกฏหมาย ป.วิอาญา แต่ว่าถูกจำคุก โทษจำคุกเป็นโทษทางอาญา และมีโทษตามกฏหมายอื่นๆ อีกมากที่ไม่ได้อยู่ใน ป.วิอาญา ให้ลงโทษจำคุก

หากพิจารณาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต้องการให้ได้คนดี คนเก่ง มาปกครองบ้านเมือง จึงได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามไว้ตามมาตรา 160 ที่กำหนดคุณสมบัติของคนที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ว่า (4. มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ 5.ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน

หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และ 7.ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอลงอาญา เว้นแต่ความผิดโดยประมาท)

ขัดรัฐธรรมนูญไหม มั่นใจว่าขัดแน่นอน ส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญเมื่อไร ตัวใครตัวมัน

หาวิธีตอบแทนบุญคุณคนที่รับใช้ด้วยวิธีอื่นดีกว่าไหม อย่าให้ระคายเคือง ส่งคนที่มีประวัติหรือมีคุณสมบัติที่อาจจะต้องห้าม รู้ทั้งรู้ยังทำ

คลอง 'พล.อ.อาทิตย์' แห้งผาก ข้าวนาปรังรอวันยืนต้นตาย  กรมชลประทานอยู่ไหน หรือต้องรอ นายกฯ ลงมาจี้เอง

น่าสงสารเกษตรกรโซนบก ของจังหวัดสงขลา (ระโนด, กระแสสินธ์, สทิงพระ, สิงหนคร) เมื่อคลอง พล.อ.อาทิตย์ จ.สงขลา น้ำแห้งผากแล้ว ข้าวนาปรังรอวันยืนต้นตาย ('คลอง พล.อ.อาทิตย์' เป็นคลองขุดใหม่ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม เพื่อใช้น้ำในการเกษตร ตั้งแต่ อ.ระโนด อ.กระแสสินธ์ อ.สทิงพระ อ.สิงหนคร จ.สงขลา)

แต่สภาพปัจจุบัน 'คลอง พล.อ.อาทิตย์' น้ำแห้ง บางช่วงร่องคลองดินแตกระแหงแล้ว ชาวสวน ชาวนาในโซนนี้เรียกร้องให้กรมชลประทานสูบน้ำเข้าคลองมานาน ตั้งแต่ฝนเริ่มทิ้งช่วง แต่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแล จนคลองน้ำแห้งดินแตกระแหง ข้าวนาปรังรอเวลายืนต้นตาย เช่นเดียวกับคนปลูกพืชผักสวนครัว ก็ไม่มีน้ำไปหล่อเลี้ยง

ยิ่งไปทางสิงหนคร ซึ่งเป็นช่วงปลายน้ำยิ่งหนัก เกษตรกรชาวสวนมะม่วง ที่ลงทุนลงแรงปลูกมะม่วงเบา มะม่วงพันธุ์พื้นถิ่นของภาคใต้ ก็กำลังประสบปัญหาอย่างหนักเช่นเดียวกัน แม้มะม่วงเบาจะเป็นที่ต้องการของตลาด ราคาดี นำไปแปรรูปเป็นมะม่วงดอง มะม่วงแช่อิ่ม แต่มองไปข้างหน้าเริ่มเห็นความวายวอดรออยู่

(พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก เดินทางไปเปิด 'คลอง พล.อ.อาทิตย์' ด้วยตัวเอง ขากลับระหว่างอยู่บนเครื่อง พล.อ.เปรมลงนามปลด พล.อ.อาทิตย์ พ้นตำแหน่ง ผบ.ทบ.สื่อจึงพาดหัวข่าวว่า 'ปลดกลางอากาศ')

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง นอกจากกรมชลประทานในการบริหารจัดการน้ำแล้ว ยังมีกรมฝนหลวง ในการทำฝนเทียม หากสภาพอากาศมีเมฆ มีความชื้นสัมผัส กรมฝนหลวงก็นำเครื่องขึ้นบินโปรยสารเคมีทำฝนเทียมได้ วันก่อนช่วงหลังสงกรานต์ท้องฟ้ามีเมฆอยู่ แต่ไม่รู้ว่ากรมฝนหลวงได้ทำหน้าที่หรือไม่ แต่ไม่มีฝนตกลงมา

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ก็เป็นอีกกรมที่จะต้องเข้าไปดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านในยามมีภัยมาเยือน ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว ไฟไหม้

รวมถึง สส.ก็มีหน้าที่ในการสะท้อนปัญหาของชาวบ้านให้รัฐบาลได้รับทราบ เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาในฐานะคนพื้นที่ รู้สภาพมากกว่า ก็ไม่รู้ว่า สส.ในโซนนี้ (เขต 4) ได้ทำหน้าที่นี้แล้วหรือยัง หรือวุ่นอยู่กับงานอื่นในพื้นที่ อย่าบอกนะว่าปิดสมัยประชุมอยู่ เพราะปิดสมัยประชุมก็เสนอผ่านช่องทางอื่นได้อีกเยอะ และที่สำคัญปิดสมัยประชุม แต่ยังกินเงินเดือนอยู่นะ

หรือว่าจำเป็นต้องให้ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ลงไปไขลานด้วยตัวเอง หรือให้เหมือนไฟไหม้โรงงานเก็บสารเคมีที่ระยอง นายกฯ ลงไป ถามอธิบดี ปรากฏว่า ลงไปดูหน้างานล่าช้ามาก จึงส่อว่าจะถูกย้าย

‘ชัยธวัช’ เรียก สส. พรรคก้าวไกล มาประชุมเฉพาะกิจ เพื่อหาแนวทางสู้คดี ล้มล้างการปกครอง หวั่นโดนยุบพรรค

เมื่อวานนี้ (30 พ.ค. 67) ที่พรรคก้าวไกล มีการประชุม สส. ประจำสัปดาห์ครั้งแรก หลังจากปิดสมัยประชุมสภาฯ โดยนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เรียก สส.ทั้งหมดมาประชุมเฉพาะกิจ เพื่อหาแนวทางในการสู้คดีล้มล้างการปกครองที่กำลังอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งท่าทีในพรรคค่อนข้างเป็นกังวล เพราะหากมีความผิดจะได้รับโทษถึงขั้นยุบพรรค 

แหล่งข่าวภายในพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า คดีนี้ เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง พร้อมส่งสำเนาคำร้องให้พรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ซึ่งเท่ากับครบกำหนดในวันที่ 17 เมษายน โดยช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการคาบเกี่ยวกับช่วงวันหยุดสงกรานต์ถึง 5 วัน (ตั้งแต่ 12-16 เม.ย.) 

แหล่งข่าวระบุว่า กระบวนการติดต่อขอสำนวนเอกสารจากหน่วยงานราชการของพรรคก้าวไกล เพื่อนำมาประกอบคำชี้แจงเป็นไปอย่างติดขัดล่าช้า พรรคจึงได้ขอศาลฯ ขยายเวลาส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาครั้งที่ 1 จำนวน 30 วัน แต่ศาลฯ อนุมัติให้ 15 วัน ครบกำหนดวันที่ 3 พ.ค.นี้

ทั้งนี้ ในวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำขอขยายเวลาครั้งที่ 2 ของพรรคก้าวไกลอีก 30 วัน ซึ่งสมาชิกและแกนนำพรรคกำลังติดตามว่าจะได้รับอนุมัติหรือไม่

'อัษฎางค์' ฟาด!! 'สลิ่มสามกีบ' ปั้นข่าวดิสเครดิต-แทงข้างหลัง 'พีระพันธุ์' แค้นประโยชน์ที่ตนสูญเสียในยุค รทสช. ด้าน 'ลุงตุ๋ย' โนแคร์แค่ผู้ไม่หวังดี

(1 พ.ค.67) เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

พี่ตุ๋ย ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็โดนแทงข้างหลัง

ตอนนี้มีความพยายามทำให้เป็นข่าว ในทำนองว่า พี่ตุ๋ย ไม่ได้รับการยอมรับในพรรค จากความเป็นคุณชาย เป็นคุณหนู ทำให้คุยกับคนในพรรคไม่รู้เรื่อง หรือไม่ใยดีกับบางคนบางกลุ่มในพรรค ซึ่งมันคือความพยายามดิสเครดิตหรือสร้างมลทินให้กับท่าน 

อันเกิดมาจากเรื่องผลประโยชน์ที่ตนเองสูญเสีย

บางคนบางกลุ่ม พูดกันตรงๆ เลยว่า เคยวิ่งไปของบจากลุงตู่มาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ รทสช. ไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาล งบนั้นก็ถูกตัด ก็เลยพาลไม่เอาพี่ตุ๋ย ด้วยการสร้างข่าวดังกล่าวขึ้นมา

ก็ไอ้พวกสลิ่มสามกีบกลุ่มที่สามนั่นแหละ รับเงินเขาแล้วก็เสียบเขาข้างหลัง สันดานของมันเลยละ สร้างความแตกแยก เห็นแก่ตัว ไอ้คนแบบนี้น่ารังเกียจมาก

ด้าน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ได้โพสต์ข้อความตอบกลับ ระบุว่า...

"ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ ผู้ไม่หวังดีโดยเฉพาะสื่อปั้นข่าวกันไปเองครับ"

เชือด 'ปานปรีย์-ชลน่าน' ใช้บริการ 'มาริษ-สมศักดิ์' สนอง 2 เรื่องใหญ่ 'ดันผลงานอิ๊ง-ชิงปูกลับบ้าน'

ทำไมทำมาปรับครม.เศรษฐา 1/1 ออก 4 เข้า 6...ครม.เต็มแม็ก 36 คน และพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวที่เกิดแรงกระเพื่อมมากกว่าที่นึก แถมลึกกว่าที่คิด...เพราะมองกันข้ามช็อต ท้ายสุด...สุดท้าย 'นายใหญ่' เอาอยู่...

ตอบคำถามกรณี ดร.ตั๊ก-ปานปรีย์ พหิทธานุกร 'หลานน้าชาติ' ไขก๊อกทิ้งเก้าอี้ รมว.ต่างประเทศ สักนิดว่าเพราะอะไร?...ในมุมข่าวมุมมองของ 'เล็ก เลียบด่วน'

1) ประเด็นหลัก...เพราะทำใจไม่ได้ ที่โดนริบเก้าอี้รองนายกฯ ซึ่งจะเสริมส่งให้ความเป็น รมว.ต่างประเทศแข็งแกร่งขึ้น และจริง ๆ แล้วตำแหน่งรองนายกฯ จะมีสักกี่ตำแหน่งก็ได้ พอโดนริบ รมว.ต่างประเทศก็ต้องไปอยู่ใต้กำกับของรองนายกฯ คนใดคนหนึ่ง...อาจจะเป็น 'ภูมิธรรม' หรือ 'สุริยะ'...ถ้าคนแรกก็ดีไป แต่ถ้าเป็นสุริยะอาจทำใจลำบาก...

2) ประเด็นอื่น...เมื่อสบโอกาสจากประเด็นแรกคือ โดนริบเก้าอี้ ก็ง่ายที่จะตัดสินใจไขก๊อก ไม่ต้องไปวัดดวงกับงานเสี่ยงภัยในอนาคต เช่น กรณีมีข่าวว่า...การกลับบ้านของอดีตนายกฯ ปู-ยิ่งลักษณ์ อาจต้องใช้สถานทูตไทยในต่างแดนเป็นกึ่ง 'คุกนอกเรือนจำ' ให้วุ่นวาย...รวมทั้งกรณีอื่น ๆ ที่หมิ่นเหม่จะผิดกฎหมาย อาทิ ดิจิทัลวอลเล็ต, กรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา...

ก็นับว่าน่าเสียดาย คนดีมีฝีมืออย่าง ดร.ปานปรีย์ ที่กำลังออกอาวุธหลายเรื่องได้ค่อนข้างดี มีอันต้องจบข่าวซะก่อน...จากนี้ไปก็ต้องตามไปดู 'อดีตทูตปู' มาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ (ปานปรีย์) คนที่เคยรับใช้ใกล้ชิดทั้ง 'นายใหญ่' ทักษิณ ชินวัตร และ นายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ซึ่งน่าจะรับประกันซ่อมฟรีว่า...ตอบโจทย์นายใหญ่และน้องสาว ได้แน่ แต่สุดท้ายจะพากันไปสุดซอยเหาะเหินเดินลงกาหรือไม่...อันนี้ไม่กล้าฟันธง...

ขอแถมท้ายด้วยกรณี 'เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าชลน่าน' สักนิด...สรุปให้ตรงประเด็นที่สุดงานนี้ ก็เพื่อตอบโจทย์ลูกสาวนายใหญ่ ที่จะต้องเร่งโชว์ฟอร์มสร้างผลงาน '30 บาทรักษาทุกที่' ให้บังเกิดทั้งเบี้ยและเม็ดงานที่งอกงาม   

ทั้งนี้ 7 เดือนที่ผ่านมานั้น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่หอบหิ้ว 'หมออ้อย' ภรรยาไปช่วยงานด้วยนั้น ว่ากันว่าเอาข้าราชการไม่อยู่...หนำซ้ำคล้าย ๆ ที่ชมรมแพทย์ชนบทแถลงออกมานั่นล่ะว่า...หลายครั้งคุณหมอถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคาม สปสช. ที่ดูแล 30 บาท อีกต่างหาก...

ก็ต้องเรียนท่านผู้อ่านว่า...เสือสองตัว ณ กระทรวงสาธารณสุขนั้น ฝั่งหนึ่ง 'ปลัด สธ.' ดูข้าราชการทั้งมวล อีกฝั่ง 'เลขาธิการ สปสช.' เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ดู 30 บาท งบประมาณมหาศาล...ทั้งสองฝั่งมีรัฐมนตรีกำกับดูแล ต้องใช้วิทยายุทธขั้นสูงทีเดียว...

ส่วน แพทองธาร ชินวัตร 'อุ๊งอิ๊ง' นั้น...วันนี้อยากขับเคลื่อน '30 บาทรักษาทุกที่' ให้แวววับจับต้องได้ เพราะคุณเธอนั่งคร่อมเก้าอี้ถึง 2 ตำแหน่ง คือ รองประธานกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ (นายกฯ ประธาน) และ ประธานคณะกรรมการบริหารพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ

งานนี้นายใหญ่และพรรคเพื่อไทยยอมจ่ายแพง...เชือดหมอชลน่าน ถ้า 30 บาทรักษาทุกที่ยังกระดื๊บ ๆ ก็ถือว่าไม่คุ้มค่า...แต่ทีมงานอุ๊งอิ๊งหลายคนมั่นใจว่า 'อาสมศักดิ์' เอาอยู่...ทำได้ 

ก็คอยดูกันต่อไป แต่ยังไง ๆ พรรคเพื่อไทย อย่าลืมเช็ดเลือดและน้ำตาให้คุณหมอด้วยล่ะ!!

'ธนาธร' ไม่สนเสียงเตือน กกต. เดินหน้าจูงใจเลือกสว. ด้าน กกต.ฮึ่ม!! พบฝ่าฝืนบทบัญญัติกฎหมาย ฟันทันที

(30 เม.ย.67) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"วันอาทิตย์และจันทร์นี้ผมอยู่อีสาน แต่วันอังคารกลับมาเจอพี่น้องประชาชนที่มหาชัย ล้อมวงคุยเรื่อง #สวประชาชน กันครับ

"พบกันช่วงเย็น แดดร่มลมตก ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ที่ลานริมเขื่อน หน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สมุทรสาคร"

ทั้งนี้ กกต.ได้เตือนว่า ตามที่มีกลุ่มบุคคลและตัวแทนองค์กรจัดแคมเปญ ให้มีการจูงใจ / ชี้ชวน รวบรวมบุคคลจากหลากหลายอาชีพ รวม 20 กลุ่ม ให้เป็นผู้เสนอตัวสมัครเข้ารับการเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ระดับประเทศ ที่ปรากฏในเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ประเภทต่าง ๆ นั้น

ปรากฏว่า มีบุคคลที่ประสงค์จะสมัครเข้ารับการเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาเป็นจำนวนมาก กรอกข้อมูลส่วนตัว จุดยืน วิสัยทัศน์ และข้อมูลอื่น ๆ ลงในเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้ผู้จัดแคมเปญทำการรวบรวมรายชื่อผู้สมัคร เผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ของตนเอง อันเป็นการจัดตั้งบุคคลให้มาเป็นผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น

การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมาย จึงขอแจ้งให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา อย่าได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด หรือกรอกข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งจุดยืนของตนเองให้เผยแพร่และปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ใด ๆ

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อมูล และพยานหลักฐานตามที่ปรากฏในเว็บไซต์ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมาย หรือมีผู้ร้องเรียนว่าเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย สำนักงาน ฯ จะดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายในทันที จึงขอให้ยกเลิกและยุติการกระทำดังกล่าว 

'ครูมานิตย์' ลั่น!! 'ปานปรีย์' ไม่ใช่คีย์แมนเพื่อไทย ลาออกไปไม่กระทบ ซัด!! ไม่มีคุณสมบัติเป็นนักการเมือง ที่เป็นรมต.ได้ ก็เพราะผู้แทนฯ

(30 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.จังหวัดสุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ หลังถูกปรับพ้นตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จะส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย หรือไม่? ว่า... 

"ไม่กระทบ นายปานปรีย์ อาจจะเก่งเรื่องวิชาการ แต่ไม่มีคุณสมบัติการเป็นนักการเมือง ความอดทนอดกลั้นไม่มี บางฤดูเข้าไปอยู่ในพรรคก็หายไป ตอนที่มีพรรคไทยรักษาชาติ ก็ไปเดินอยู่ในพรรคไทยรักษาชาติ พอจะมีการจัดตั้งทีมให้ออกไปช่วยงานการเมือง ก็หายไปอีก ตนมองว่านายเศรษฐา ให้เกียรติมาก ที่ให้เป็น รมว.ต่างประเทศและเป็นรองนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้ทราบว่า นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยแล้วให้รับหน้าที่อยู่ที่กระทรวงเดียว เพราะอยากให้คนอื่นมาทำบ้าง หลายเรื่องต้องมีความผูกพันกับพื้นที่ ซึ่งนายปานปรีย์ ไม่เคยรู้จักพื้นที่อยู่แล้ว และการที่ได้มารับผิดชอบกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าเป็นตำแหน่งใหญ่โตแล้ว เวลาไปเมืองนอกก็เทียบเท่าเป็นบุคคลสำคัญของประเทศไทย ส่วนการส่งหนังสือลาออกให้สื่อมวลชนก่อนส่งให้นายกรัฐมนตรี มองว่าไม่แฟร์ทางการเมือง และพิสูจน์ให้เห็นว่าคนแบบนี้ขาดน้ำอดน้ำทน อยู่กับการเมืองลำบากอยู่ไม่ได้ และในที่สุดก็ต้องอัปเปหิตัวเองออกมา"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในอนาคตนายปานปรีย์ จะยังทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่? ครูมานิตย์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้ดูถูกดูแคลนเขา เขาเกิดมาไม่ได้มีคุณสมบัติของการเป็นนักการเมือง การเป็นนักบริหาร ซีอีโอ เป็นได้ แต่ทางการเมืองนอกจากเป็นนักบริหารแล้ว ต้องมีความเป็นนักการเมืองด้วย เพราะเป็นงานที่หนัก ต้องมีการบริหารพื้นที่บริหาร สส. บริหารราชการแผ่นดิน เรื่องทุกข์สุขปากท้องชาวบ้านมีเยอะ และเรื่องนี้ยืนยันว่าไม่กระทบต่อพรรคเพื่อไทย เพราะนายปานปรีย์ ไม่ใช่คีย์แมนคนสำคัญของพรรค คนที่เก่งสามารถบริหารกระทรวงการต่างประเทศได้มีอีกเยอะ"

เมื่อถามว่าพูดแบบนี้เป็นการตัดบัวไม่ให้เหลือใย หรือไม่? ครูมานิตย์ กล่าวว่า "ไม่ได้บอกว่าตัดบัวไม่เหลือใจ ตนอยู่การเมืองมานานแทบจะไม่มีโอกาสคุยกับนายปานปรีย์ ทั้งที่คนที่เป็นผู้บริหารต้องมีความผูกพันกับนักการเมือง เช่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ที่วันนี้มีนักการเมืองมาหาจำนวนมาก ดังนั้นที่สื่อมาถามว่านายปานปรีย์ ลาออกจะกระทบอะไรกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ นายปานปรีย์ ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย หลายคนบอกว่าเสียดายนายปานปรีย์ แต่ถามว่าพรรคเพื่อไทยเสียดายหรือไม่ตนไม่รู้ แต่ส่วนตัวตนไม่เสียดาย และคิดว่าผู้แทนคนอื่นคิดเหมือนตน"

"อย่าลืมว่าคุณมาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะพวกผมมาจากผู้แทน จึงสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ การไปเป็นรัฐมนตรี ไปเป็นเสนาบดี แต่ไม่มาสัมผัสกับผู้แทนจึงไม่ได้ให้ความสำคัญ และ การที่ปรับตำแหน่งนายปานปรีย์ นายกฯพิจารณา หลายมิติแล้ว" ครูมานิตย์ ทิ้งท้าย

‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ เผยกับสื่อนอก ยัน!! จะดำเนินนโยบายอย่างอิสระ เมิน!! แรงกดดันทางการเมือง หลังโดนให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย

เมื่อวานนี้ (29 เม.ย.67) นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘Street Signs Asia’ ของสำนักข่าวซีเอ็นบีซีของสหรัฐฯ ในวันที่ 29 เม.ย. ว่า ธปท.จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเป็นอิสระ โดยไม่สนใจแรงกดดันทางการเมือง

‘ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์’ นายเศรษฐพุฒิกล่าว พร้อมระบุเสริมว่า แม้จะเผชิญเสียงเรียกร้องให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ ธปท.ไม่ได้ดำเนินการตามเสียงเรียกร้องเหล่านั้น เพราะไม่ใช่การดำเนินการอย่างเป็นอิสระ

"ผมคิดว่ากรอบการบริหารจัดการค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมานั้นอิงตามสิ่งที่เรารู้สึกว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับเศรษฐกิจประเทศ ไม่ได้พิจารณาเกี่ยวกับการผ่อนคลายแรงกดดันทางการเมืองหรือแรงกดดันอื่น ๆ"

ทั้งนี้ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ธปท.มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ในการประชุมนโยบายครั้งล่าสุดในเดือน เม.ย. แต่ธปท.ถูกรัฐบาล รวมถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กดดันอย่างหนักให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ซีเอ็นบีซีระบุว่า การปรับลดต้นทุนการกู้ยืมเงินมีแนวโน้มจะกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากส่งเสริมให้ธุรกิจกู้เงินมาลงทุนและหนุนให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเงิน

นายเศรษฐพุฒิ ระบุว่า "หากพิจารณาเหตุผลที่ทำให้เศรษฐกิจไทยซบเซา จะเห็นได้ว่าแทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยเลย"

ขณะเดียวกัน นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันนั้นสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่แล้ว และสอดคล้องกับความพยายามในการลดภาระหนี้สินในระบบอย่างเป็นระบบระเบียบ ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างการไม่เพิ่มภาระหนี้สินภาคครัวเรือนมากเกินไป ในขณะเดียวกันก็ไม่ส่งเสริมให้ประชาชนก่อหนี้ก้อนใหม่เพิ่มมากเกินไป

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า อุปสรรคเชิงโครงสร้างได้ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอน โดยจำเป็นต้องเพิ่มผลิตภาพเนื่องจากไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านประชากรศาสตร์โดยมีกำลังแรงงานลดน้อยลง

นอกจากนี้ นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ไทยจำเป็นต้องให้ความสนใจเรื่องการลงทุนสาธารณะ ไม่ใช่มาตรการกระตุ้นระยะสั้น

ความบอบช้ำ 'ซ้ำซ้อน' ของประเทศชาติ 'ที่ดินรัชดา-จำนำข้าว' สู่ 'ดิจิทัลวอลเล็ต'

ตามประวัติศาสตร์โลก นักการเมืองชาติใดก็ตามที่มีพฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชัน ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ชอบ เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับตนเอง ญาติพี่น้อง และพวกพ้อง ทำให้ประชาชนตาดำ ๆ ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ 

นักการเมืองคนนั้น ๆ ก็จะถูกกำจัดให้ออกจากประเทศโดยน้ำมือของประชาชนที่เคยเลือกเข้ามาเอง เพราะหากปล่อยคนเลว ๆ ไว้แล้ว ประเทศชาติจะเสียหายหนักกว่าการเสียฟอร์มชนิดเทียบกันไม่ติด 

ยิ่งไปกว่านั้น ในสังคมประเทศอื่น ที่นักการเมืองเป็นใหญ่ขึ้นมาได้เพราะประชาชน หากแค่ทำเลวกับประชาชนหนัก ๆ เพียงครั้งเดียว ก็ไม่สามารถจะฟื้นตื่นกลับมาได้รับโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง 

ทว่า...ผิดกับคนไทย ที่เจ็บกี่ครั้งก็ไม่คิดจะจดจำ 

โจรปล้นชาติในคราบนักการเมือง ทำผิดร้ายแรงในคดีทุจริตจนถึงขนาดต้อง 'หนีคดี' ออกนอกประเทศ นอกจากไม่กล้ายอมรับในความผิด ยังสร้างความเสื่อมเสียให้กับประเทศไทยเรื่อยมา ด้วยการเดินสายป่าวประกาศในสังคมโลกว่าถูกกระบวนการยุติธรรมไทยกลั่นแกล้ง 

หนีเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีไม่กล้ากลับเข้ามายังผืนแผ่นดินไทยเพื่อมารับโทษ จนกระทั่งเหล่า 'คนเบาปัญญา' หน้าเดิม ๆ กาเลือกพรรคการเมืองภายใต้ 'อุ้งตีน' ของ 'นักการเมืองเร่ร่อน' จนสามารถกลับมามีอำนาจในการต่อรองที่สูง 

ที่สุดก็ได้เป็นรัฐบาล!!

แล้วจึงถึงเวลาที่ 'นักโทษหนีคดี' บินกลับมาเพื่อ 'พูดยอมรับความผิด' แต่ไม่ต้องอยู่ในกรงขังตามแผนเลว ๆ ที่ 'เหล่าสมุนชั่ว' ช่วยกันจนสำเร็จ 

ก่อนหนีคดีไปต่างประเทศ เคยเอาเปรียบคนไทยร่วมชาติไว้อย่างไร กลับมาก็ยังเป็นคนชั่วคนเดิมที่เอาเปรียบคนไทยร่วมชาติไม่เปลี่ยนแปลง

นักการเมืองคนโต ณ ประเทศไทยที่อดีตเป็น 'นักโทษหนีคดี' กลับถึงไทยก็แปลงร่างเป็น 'นักโทษเทวดา' ห้อมล้อมดูแลไปด้วย 'คนหัวใจสวะ' รุมช่วยไม่ให้ต้องนอนคุกเลยสักวันเดียว 

พฤติกรรมอหังการเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจในสังคมไทยมักจะยอมศิโรราบต่อ 'เงินของมหาโจร' โดยเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ที่ 'ประเทศไทย' เพียงประเทศเดียวเท่านั้น ตราบที่เรายังมีเหล่าประชาชนผู้ 'เบาปัญญา' หลับหูหลับตาสนับสนุนดังเดิม

‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ขอบคุณ ‘ชลน่าน’ ในการมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้กำลังใจ ‘สมศักดิ์’ สานต่อภารกิจ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย

(29 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ชมรมแพทย์ชนบท ขอขอบคุณ รมต.ชลน่าน ศรีแก้ว ในความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ที่ผ่านมา  ผลงานเด่นคือการวางรากฐาน reset งานใหม่ทั้งหมด หลังยุคอนุทินที่แทบไม่ได้ขยับอะไรนอกจากนโยบายกัญชา แต่อุปสรรคที่มีมาก โดยเฉพาะจากข้าราชการที่คุมไม่อยู่ ระดับบิ๊กยังอืดไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง

ไม่ตอบสนองก็แย่แล้ว แต่ยังวางยารัฐมนตรีด้วย จนถูกข้าราชการวางกับดักให้เกิดเป็นคู่ขัดแย้งอย่างไม่รู้ตัวกับ สปสช. ชัดจนคนในวงการต่างก็อ่านเกมส์ออกว่า ข้าราชการก๊กนั้น เสี้ยมและใช้รัฐมนตรีเป็นเครื่องมือคุกคาม สปสช. หวังวางระบบประกันสุขภาพที่ สธ.เป็นใหญ่ แต่เมื่อหลักการผิด แนวทางปฏิบัติไม่เวิร์ก จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ในนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกที่ที่รอการแก้ไข

ไม้ผลัดทางนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกที่ จากรากฐานที่รัฐมนตรีชลน่านวางไว้ กำลังจะถูกส่งต่อให้รัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน ภารกิจทางนโยบายที่สำคัญต่อประชาชนคนไทย และสำคัญต่ออนาคตของพรรคเพื่อไทยด้วย

แน่นอนว่าไม่ง่าย โดยเฉพาะจากข้าราชการที่ขยันเดินตามแต่ไม่ขยันทำงานยังเป็นอุปสรรค ขยันก็แต่ไหว้พระสายมูงมงายกับการขอพรและสร้างพระทำบุญหวังให้อยู่ตลอดรอดฝั่ง

นอกจากนี้ ข้าราชการก๊กนี้ยังเกียร์ว่าง ละเลยงานสุขภาพปฐมภูมิ ย้ายคนจนวุ่นวาย รากฐานงานปฐมภูมิที่วางมาดีสั่นคลอน การแก้ปัญหายาเสพติดจึงสะดุด การสาธารณสุขรากฐานไม่ก้าวหน้า  การกระจายอำนาจด้านสุขภาพก็สับสน

ชมรมแพทย์ชนบทขอเป็นกำลังใจให้กับรัฐมนตรีชลน่าน ศรีแก้ว และรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรค สานต่อภารกิจ สถาปนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดีที่สุดเพื่อคนทุกคนบนแผ่นดินไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top