Thursday, 5 June 2025
NEWS FEED

กองทัพอากาศ เล็งซื้อฝูงบิน Gripen รุ่นใหม่ ล็อตแรก 4 ลำ มูลค่ารวม 19,500 ล้านบาท

กองทัพอากาศ เปิดแผนจัดซื้อ 'Gripen E/F' ระยะที่ 1 ทดแทน F-16 ล็อตแรก 4 ลำ มูลค่ารวม 19,500 ล้านบาท ย้ำโปร่งใส คุ้มค่า รอบคอบ และมีประสิทธิภาพสูงสุด

พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ เปิดเผยว่า กองทัพอากาศ มีแผนการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีรุ่นใหม่ 'Gripen E/F' ระยะที่ 1 เพื่อทดแทนฝูงบิน F-16 ที่ประจำการมายาวนานกว่า 37 ปี โดย มีเป้าหมายเพื่อยกระดับสมรรถนะด้านการป้องกันประเทศ ด้วยคุณลักษณะที่เหนือกว่ารุ่นที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทั้งในด้านเทคโนโลยี ความเหมาะสมในการบูรณาการระบบ (Commonality & Continuity) และความสามารถในการตอบสนองภัยคุกคามยุคใหม่

สำหรับเครื่องบินขับไล่แบบ Gripen E/F ที่ถูกคัดเลือกเป็นแบบที่ตรงตามเกณฑ์ความต้องการของกองทัพอากาศมากที่สุด พร้อมติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยไกล “METEOR” และการปรับปรุงระบบเรดาร์แจ้งเตือนล่วงหน้า SAAB AEW&C โดยจัดอยู่ในแนวทางสำคัญของโครงการภายใต้ชื่อ MIDSR ประกอบด้วย Main Package: เครื่องบิน Gripen E/F จำนวน 12 ลำ โดยล็อตแรกจะมีจำนวน 4 ลำ มูลค่า 19,500 ล้านบาท พร้อมอาวุธและระบบสนับสนุน // Indirect Offset: โครงการชดเชยทางอ้อม 7 รายการ //Direct Offset: โครงการชดเชยทางตรง 7 รายการ // Synchronization: ความสอดคล้องประสานกันของโครงการในทั้ง 3 ระยะ // Risk: การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน

นอกจากนี้ โครงการยังสอดคล้องกับนโยบาย Defence Offset ของรัฐบาล ที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศภายในประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ กองทัพอากาศยืนยันว่าการจัดซื้อ Gripen E/F จะดำเนินการด้วยความโปร่งใส รอบคอบ และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้การใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนเกิดความคุ้มค่าสูงสุด โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางอากาศ ปกป้องอธิปไตย และรักษาความสงบสุขของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

นายกฯ ชม ‘หาน จื้อเฉียง’ ทูตจีนก่อนอำลาตำแหน่ง ย้ำมิตรภาพแนบแน่นในทุกระดับและทุกมิติ

สายสัมพันธ์ไทย-จีนแน่นแฟ้น! นายกฯ ชมบทบาทเอกอัครราชทูตจีนฯ ก่อนอำลาในโอกาสครบวาระ ย้ำมิตรภาพแนบแน่น "ร่วมทุกข์ ร่วมสุข"  พร้อมผลักดันความร่วมมือไทย-จีนทุกมิติ เสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคี-พหุภาคี สานความร่วมมือท่องเที่ยว-สินค้าเกษตร

(4 มิ.ย. 68) ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายหาน จื้อเฉียง  เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ 

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและชื่นชมเอกอัครราชทูตจีนฯ ที่มีบทบาทและเป็นกำลังสำคัญในการประสานงานระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศอย่างแข็งขันตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์ไทย-จีน ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกระดับและทุกมิติ โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทำงานร่วมกับเอกอัครราชทูตจีนฯ คนใหม่อย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แนบแน่นยิ่งขึ้นต่อไป

เอกอัครราชทูตจีนฯ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในวันนี้ โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี 10 เดือน ของการปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย ได้เห็นความก้าวหน้าและความใกล้ชิดของความสัมพันธ์ไทย–จีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังการรับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมบทบาทของนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือไทย-จีน ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี รวมทั้งขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีตลอดมา โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ไทย–จีนจะดำเนินไปด้วยดีแม้ในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ดังนี้

ด้านการท่องเที่ยว จีนยังพร้อมส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การแสดงทางวัฒนธรรม บัลเลต์จีน กายกรรมจีน คอนเสิร์ต โดยเอกอัครราชทูตจีนฯ กล่าวถึงงาน “สวัสดี หนีฮ่าว” ซึ่งมีผลตอบรับอย่างดี มีบริษัทจีนเข้าร่วมกว่า 350 แห่ง ขณะที่นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมยืนยันว่าจะเร่งสื่อสารเชิงบวกให้มากขึ้น ทั้งด้านความปลอดภัย การลงทุน และภาพลักษณ์ประเทศ ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และมิตรภาพระหว่างประชาชนของทั้งสองชาติ

ด้านความร่วมมือสินค้าเกษตร โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีที่ฝ่ายจีนช่วยอำนวยความสะดวกการส่งออกทุเรียนจากไทยไปจีนได้อย่างประสิทธิภาพ สามารถส่งไปยังจีนได้ภายในระยะเวลา 2 วัน จากเดิม 7-8 วัน โดยเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานจีนและหน่วยงานไทย ขณะที่ฝ่ายจีนได้ขึ้นบัญชีอนุญาตบริษัทไทยที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพให้ส่งออกทุเรียนโดยไม่ต้องตรวจซ้ำแล้วกว่า 240 แห่ง ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างกันได้อีกมาก

ด้านความร่วมมือในกรอบแม่โขง–ล้านช้าง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยยินดีต้อนรับการเยือนของนายกรัฐมนตรีจีนในช่วงปลายปีนี้ เพื่อร่วมการประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง ครั้งที่ 5 โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคในทุกมิติ ขณะที่เอกอัครราชทูตจีนฯ เห็นพ้องและอยู่ระหว่างการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศของไทย พร้อมกล่าวย้ำว่า “แม้สถานการณ์โลกจะผันผวน แต่ความสัมพันธ์ไทย–จีนจะแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เราต้องทำงานด้วยกันเพื่อที่จะร่วมทุกข์ ร่วมสุข ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ และสร้างพลังใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือต่อไป”

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตจีนฯ สำหรับความจริงใจและมิตรภาพที่มั่นคง พร้อมย้ำว่า มิตรภาพระหว่างบุคคลและระหว่างประเทศไม่ขึ้นกับตำแหน่งหน้าที่ แต่เกิดจากความเข้าใจและการประสานงานที่จริงใจ และขออวยพรให้เอกอัครราชทูตจีนฯ และภริยา ประสบความสำเร็จและมีความสุขในทุกภารกิจต่อไป

ตำรวจภาค 2 เดินหน้าฝึกยุทธวิธีขั้นสูง รับมือทุกสถานการณ์ เพิ่มทักษะ - เสริมความมั่นใจเพื่อประชาชน

(4 มิ.ย.68) ที่สนามยิงปืนบูรพา 491 กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมพัฒนาทักษะการยิงปืนภายใต้ภาวะกดดัน โดยมี 'อาจารย์หม่อม' พล.อ.ม.ล.ทศนวอมร เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธวิธีระดับประเทศ ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงให้กับข้าราชการตำรวจ

โครงการฝึกอบรมในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ที่ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มีศักยภาพและความทันสมัย รองรับสถานการณ์จริงที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยได้รับการสนับสนุนจาก พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 และกำลังพลผู้เข้ารับการฝึกจากพล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการทำงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่

การฝึกอบรมครั้งนี้เน้นทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติจริง ครอบคลุมการใช้ปืนพกและปืนลูกซอง เพื่อยกระดับความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 2

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ กล่าวว่า
“ภารกิจของตำรวจยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายและสถานการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมที่ซับซ้อน หรือเหตุการณ์ที่ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและแม่นยำ การฝึกอบรมจึงต้องทันสมัย สอดคล้องกับความเป็นจริง เพื่อให้ตำรวจมีทักษะที่พร้อมใช้งานและสามารถดูแลประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

สำหรับการอบรมในครั้งนี้ มีข้าราชการตำรวจเข้าร่วมกว่า 160 นาย จากหลายหน่วยงานในสังกัดตำรวจภูธรภาค 2 โดยได้รับการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากครูฝึกและวิทยากรผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด กำหนดการฝึกอบรมจะดำเนินไประหว่างวันที่ 4 - 11 มิถุนายน 2568

โครงการนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เน้นยกระดับตำรวจไทยสู่ความเป็นมืออาชีพ พร้อมพิทักษ์ ปกป้องสถาบันหลักของชาติ และเน้นการให้บริการประชาชนด้วยมาตรฐานสูงสุด สร้างความเชื่อมั่นและความอุ่นใจให้กับสังคม

การพัฒนาตำรวจภูธรภาค 2 ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเสริมทักษะเฉพาะทาง แต่ยังสะท้อนความตั้งใจในการยกระดับศักยภาพของเจ้าหน้าที่ให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับประชาชนในทุกมิติ

‘ลานนา คัมมินส์’ ประกาศขาย ‘เฮือนสุนทรี’ ร้านอาหารสไตล์ล้านนา ริมแม่น้ำปิง 55 ล้านบาท

ลานนา คัมมินส์ ประกาศขาย เฮือนสุนทรี ร้านอาหารสไตล์ล้านนา ริมแม่น้ำปิง พื้นที่ 1,000 ตารางเมตร ราคา 55 ล้านบาท

เมื่อวันที่ (3 มิ.ย. 68)  นักร้องสาว ลานนา คัมมินส์ เจ้าของผลงานเพลงติดหูอย่าง “ไว้ใจได้กา” ได้ประกาศขายกิจการร้านอาหารเฮือนสุนทรี เป็นร้านอาหารของ นางสุนทรี เวชานนท์ ซึ่งเป็นแม่ของ ลานนา พื้นที่ประมาณ 1,064 ตร.ม. ราคา 55 ล้านบาท ผ่านเฟซบุ๊ก Lanna Commins

โดยรุบข้อความว่า “ขายกิจการร้านอาหารเฮือนสุนทรี พร้อมที่ดินริมแม่น้ำปิง ใจกลางเชียงใหม่ เนื้อที่ 553 ตร.วา | พื้นที่ใช้สอยประมาณ 1,064 ตร.ม. | ราคา 55 ล้านบาท (ค่าโอนคนละครึ่ง)

ใครที่กำลังมองหาทำเลริมแม่น้ำปิงในตัวเมืองเชียงใหม่-เงียบสงบ ร่มรื่น เป็นส่วนตัว และมากด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรม

วันนี้ ‘เฮือนสุนทรี’ ร้านอาหารชื่อดังของเชียงใหม่ เปิดขายพร้อมที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อาคารสไตล์ล้านนาแท้ รองรับลูกค้าได้หลายร้อยคน พร้อมลานจอดรถขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับสานต่อธุรกิจร้านอาหาร หรือรีโนเวทเป็นรีสอร์ต Wellness Space หรือบ้านพักส่วนตัวริมแม่น้ำ

จุดเด่น 

ที่ดินหน้ากว้าง ติดแม่น้ำปิง หาทำเลแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
ใกล้โรงแรม รีสอร์ต
บรรยากาศสงบ ร่มรื่น เป็นธรรมชาติ
ทำเลทอง เหมาะแก่การลงทุนระยะยาว”... 

'พล.ต.อ.กรไชยฯ' ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ชื่นชมเป็นหน่วยงานที่สร้างภาพลักษณ์ด้านดีให้กับองค์กรอย่างต่อเนื่อง 

(4 มิ.ย.68) เวลา 12.00 น. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายในการปฏิบัติหน้าที่แก่ข้าราชการตำรวจกองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร (ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ) โดยมี พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ สว่างงาม ผู้บังคับการตำรวจจราจร , พ.ต.อ.ประทีป ศรีหรั่งไพโรจน์ ผู้กำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ให้การต้อนรับ โดย พล.ต.อ.กรไชยฯ เลี้ยงอาหารกลางวันและมอบนโยบายแก่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ณ กองกำกับการ 6 (จราจรโครงการพระราชดำริ) กองบังคับการตำรวจจราจร กองบัญชาการตำรวจนครบาล

พล.ต.อ.กรไชยฯ กล่าวว่า เป็นอีกครั้งที่ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยงานนี้ ในฐานะที่เคยกำกับดูแลและเคยร่วมปฏิบัติภารกิจ และความรับผิดชอบตามที่ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในงานด้านบริหาร โอกาสนี้จึงมาขอบคุณและเป็นกำลังใจตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริทุกนาย ซึ่งตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริมีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในสายการแพทย์ ที่สำคัญคือภารกิจการนำส่งอวัยวะหัวใจที่ได้นำส่งมาแล้วถึง 128 ดวง จึงขอเน้นย้ำกำลังพลทุกนายมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ด้วยจิตวิญญาณของการเป็นตำรวจ เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง โดยยึดหลักตามแนวทางพระราชดำริและอุดมคติของตำรวจเป็นที่ตั้ง ดูแลทุกข์สุขของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ ปฏิบัติหน้าที่ดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้ประชาชนและสังคมเกิดความเชื่อมั่นศรัทธา ตามเจตนารมย์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 

สำหรับโครงการตำรวจจราจรในพระราชดำริ เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร จึงมีพระราชดำริที่จะแก้ไขปัญหาให้ทุเลาลงด้วยการพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 8 ล้านบาท ให้กรมตำรวจ (ในขณะนั้น) นำไปซื้อรถจักรยานยนต์เป็น 'หน่วยเคลื่อนที่เร็ว' ทำหน้าที่ 'สายตรวจจราจร' รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการซื้อวิทยุสื่อสาร ค่าเบี้ยเลี้ยง ฯลฯ ในการนี้พระองค์ได้พระราชทานแนวทางการปฏิบัติในโครงการนี้  5 ประการ คือ
1. แสวงหาแนวทางให้ผู้ใช้รถใช้ถนน เคารพกฎจราจร และมีมารยาท
2. ใช้รถจักรยานยนต์ เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วแก้ปัญหาจุดที่รถติด เสมือน 'รถนำขบวน' โดยรถจักรยานยนต์จะเข้าไปแก้ไขปัญหาทำให้ขบวนรถเคลื่อนที่ไปได้
3. ใช้รถจักรยานยนต์ดูแลการจราจรบนถนน ให้รถเคลื่อนตัวไปได้เรื่อยๆ ตามความเหมาะสม
4. ถนนที่เป็น 'คอขวด' ให้รถจักรยานยนต์เข้าไปแก้ไขให้เคลื่อนตัวได้เรื่อยๆ เสมือนเทน้ำออกจากขวด
5. ให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการจราจร

โครงการนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2536 โดยการนำเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการตำรวจจราจร จำนวน 150 นาย เข้ารับการอบรมความรู้เพิ่มเติมด้านการจราจรตามแนวพระราชดำริ รวมทั้งการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการประชาสัมพันธ์ และนับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนและสังคมรวมระยะเวลา 32 ปี

ไทยส่ง F-16 ตรึงน่านฟ้า หลังเสียงปืนสนั่นจากเมียนมา พร้อมเสริมกำลังเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดน

(4 มิ.ย. 68) สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-เมียนมายังตึงเครียด หลังกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาโจมตีฐานทหารเมียนมา 'ทิบาโบ' ในเขตอำเภอซูการี จังหวัดเมียวดี เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยใช้โดรนทิ้งระเบิดและอาวุธหนักหลากชนิด ขณะทหารเมียนมาตอบโต้ด้วยการยิงสนับสนุนและใช้อากาศยานโจมตี ส่งผลให้เสียงปืนดังสะเทือนข้ามมายังฝั่งไทย

พื้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ บริเวณตรงข้ามบ้านหมื่นฤาชัย หมู่ 5 ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ซึ่งอยู่ห่างจากจุดปะทะเพียง 1 กิโลเมตร การโจมตีครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามผลักดันทหารเมียนมาออกจากรัฐกะเหรี่ยง ปัจจุบันเหลือเพียง 4 ฐานทหารเมียนมาในพื้นที่

เพื่อป้องกันการละเมิดอธิปไตยไทย กองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบิน F-16 จากฐานบินตาคลีขึ้นบินลาดตระเวนในพื้นที่ตั้งแต่ 27 พฤษภาคม เพื่อแสดงแสนยานุภาพและยับยั้งเหตุการณ์รุนแรงไม่ให้ลุกลามเข้าสู่ฝั่งไทย

ขณะเดียวกัน มีผู้หนีภัยจากความไม่สงบในเมียนมาจำนวน 508 คน ที่ยังพักพิงอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว 3 แห่งในอำเภอพบพระ ได้แก่ วัดมอเกอร์ไทย โกดังเอกพันธ์ และคริสตจักรบ้านหมื่นฤาชัย โดยเจ้าหน้าที่เร่งให้ความช่วยเหลือและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดทีมสาธารณภัย-หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ลุยบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยธรรมชาติภาคเหนือ อีสาน และกลาง แจกจ่ายน้ำดื่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่ากว่า 11 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (3 มิ.ย.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์  และนายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมเจ้าหน้าที่แผนกสาธารณภัย แผนกบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่มอบน้ำดื่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำมัน น้ำปลา และปลากระป๋อง บรรจุถุงผ้ามูลนิธิฯ ให้แก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี รวม 600 ชุด พร้อมจัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ โดยมี นางสาวชลธิชา วงษ์อุตสาห์ นายอำเภอเลาขวัญ  พร้อมด้วยคณะอาสาสมัครเฉพาะกิจมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ บริเวณวัดศรีพนมเทียน (ห้วยรวก) ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี

โดยระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคม - 8 มิถุนายน พ.ศ. 2568 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใยประชาชนหลังประเทศเกิดภัยธรรมชาติในหลากหลายพื้นที่ จึงมอบหมายให้ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย คุณศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมเจ้าหน้าที่แผนกสาธารณภัย แผนกบรรเทาสาธารณภัย และแผนกอาสาสมัคร จัดทีมพื้นที่มอบน้ำดื่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ให้แก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ ครอบคลุมภาคเหนือ ภาคอีสาน และ ภาคกลาง ประกอบด้วย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ราชบุรี และ กาญจนบุรี รวม 29 จังหวัด 20,200 ชุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 11,110,000 บาท (สิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งสมาคม/มูลนิธิแต่ละจังหวัด เป็นผู้ประสานงานและร่วมให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัคร ออกหน่วยมให้บริการประชาชนฟรีในหลากหลายพื้นที่ ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ โดยมีประชาชนให้ความสนใจและเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาการดำเนินงานอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป ติดต่อสอบถาม ตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ชายแดนตึงเครียด!..ทหารกัมพูชาลาดตระเวนเข้ม พบวางทุ่นระเบิดเพิ่ม เตือนประชาชนหลีกเลี่ยงเข้าป่า

(4 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊กข่าวทหาร รายงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาให้เพิ่มความระมัดระวังขั้นสูงสุด หลังพบรายงานว่าทหารกัมพูชาได้เพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน และมีการวางทุ่นระเบิดเพิ่มเติมในบางจุด ซึ่งเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต หากเผลอเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว

โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มที่นิยมเข้าป่า หาเห็ด หรือหาของป่า ถูกขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงการเดินทางในพื้นที่แนวชายแดนในช่วงนี้อย่างเด็ดขาด ห้ามเข้าไปคนเดียว และควรแจ้งผู้นำชุมชนหรือเจ้าหน้าที่ก่อนทุกครั้งหากมีความจำเป็น รวมทั้งควรระวังบุคคลแปลกหน้า ทหารต่างชาติ หรือวัตถุต้องสงสัยต่าง ๆ

ทั้งนี้ สถานการณ์ล่าสุดยังไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น แต่ความเสี่ยงยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง ประชาชนจึงควรติดตามประกาศจากทางการอย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนกันภายในชุมชนเพื่อความปลอดภัยร่วมกัน หากพบสิ่งผิดปกติให้โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีเพื่อรับความช่วยเหลือโดยเร็ว

‘สมเด็จพระพันปีหลวง’ กับพระตำหนักเสื่อลำแพน พระเมตตาธิคุณที่เกื้อการุณย์ให้แก่ ‘ชาวเขมรอพยพ’

(4 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ดร.โญ มีเรื่องเล่า ของ ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคลได้โพสต์ข้อความว่า ...พระตำหนักเสื่อลำแพน ราชการุณย์ ณ เขาล้าน จังหวัดตราด 

ในสถานการณ์ที่รัฐบาลเขมรกำลังหาเรื่องหาราวเพื่ออยากให้กลายเป็นประเด็นข้อพิพาทระหว่างประเทศ มีเรื่องที่อยากเล่า ซึ่งครั้งนี้นำมาเล่าเป็นครั้งที่ 3 แล้ว เป็นเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาธิคุณในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งไม่เพียงพสกนิกรชาวไทยของพระองค์เท่านั้น น้ำพระทัยของพระองค์ยังแผ่ให้ความเมตตาแก่ประชาชนของประเทศเพื่อนบ้านผู้ซึ่งหนีร้อนมาพึ่งเย็นอีกด้วย

'พระตำหนักเสื่อลำแพน'

ครั้งเกิดสงครามกลางเมืองเขมร มีการอพยพเข้ามาในฝั่งไทย
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไม่ทรงนิ่งนอนใจ
แม้จะไม่ใช่คนไทยแต่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เสด็จฯ ไปยังพื้นที่อันตรายเพื่อสร้างศูนย์อพยพ

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ ออกไปควบคุมการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง บางครั้งก็ทรงค้างคืนบนสถานที่คล้ายศาลาโล่งๆ ฝาทำด้วยเสื่อลำแพน ด้านหนึ่งเป็นพระพุทธรูปบูชา เพราะทรงถือว่าพระเป็นจุดรวมจิตที่เราจะยึดเป็นที่พึ่งทางใจ

ทรงสอนให้ผู้ที่อยู่ศูนย์รู้จักสวดมนต์กลางคืน โดยเปิดเทปบทสวด 'องค์ใดพระสัมพุทธ' กระหึ่มกังวานไปทั่ว และทรงนำน้ำพระพุทธมนต์ไปพรมเพื่อปัดรังควาน ให้ทุกคนปลอดภัยและอยู่เย็นเป็นสุข..

พระองค์บรรทมบนเสื่อกระจูด หันพระเศียรไปทางที่ตั้งพระพุทธรูป พระเขนย(หมอน)ก็ไม่มี ทรงใช้ฉลองพระองค์กันฝนม้วนๆ รองพระเศียร นางสนองพระโอษฐ์ และผู้ตามเสด็จฯ นอนเรียงรายรอบพระองค์ แม้จะมีอาการคันบ้าง เพราะตัวไรที่อาศัยอยู่กับเสื่อกระจูดมีโอกาสได้เข้าเฝ้าอย่างไม่เป็นทางการ แต่ทุกคนไม่บ่น เพราะสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมิได้ทรงปริพระโอษฐ์บ่นเลยสักคำเดียว

วันที่ 22 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2522 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ร (ในขณะนั้นทรงดำรงพระอิสิริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร) ไปทรงเยี่ยมศูนย์สภากาชาดไทยแห่งใหม่ ซึ่งสร้างเสร็จแล้ว และประทับพักแรม ณ ศูนย์ฯแห่งใหม่ อนึ่งจนถึงวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2522 เวลาค่ำได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หน่วยแทพย์เตรียมห้องผ่าตัด และรับสั่งให้หน่วยแพทย์พักแรมในศูนย์สภากาชาดไทยด้วย

ราชการุณย์.. ณ เขาล้าน เรื่องที่ชาวไทยควรรับรู้

เมื่อไปเที่ยวที่ศูนย์ราชการุณย์ เขาล้าน จ.ตราด ทำให้ทราบว่า พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  ไม่เพียงแต่พี่น้องชาวไทยเท่านั้น ยังแผ่กว้างไปถึงพี่น้องชาวเขมรผู้ตกทุกข์ได้ยาก 

…. ในคราวที่คนเขมรนำกำลังเวียดนามมายึดประเทศตัวเอง และเข็นฆ่าคนเขมรด้วยกันเอง………………………..

นำมาจาก “หนังสือราชการุณย์” 

 …. วันที่เสด็จพระราชดำเนินไปคราวแรก ตรงกับวันที่ 26 พฤษภาคม 2522 ทรงพระราชนิพนธ์ว่า 

 “ฉันยังจำได้ดี เดือนพฤษภาคม 2522 ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับแรมที่หัวหิน ผู้ว่าราชการจังหวัดตราดแจ้งมาว่า มีเขมรลี้ภัยหลั่งไหลเข้ามาในเขตไทยบริเวณเขาล้าน อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ผ่านเข้ามาทางแนวเทือกเขาบรรทัดจำนวนกว่าสองแสนคนอยู่ในสภาพทุกข์ทรมานแสนสาหัส มีเด็ก ๆ เจ็บหนักเนื่องจากขาดอาหาร จำนวนคนมีกรรมหนาที่หลั่งไหลเข้ามานี้มากเกินความสามารถของทางจังหวัดที่จะรับผิดชอบช่วยเหลือได้ 

ฉันเป็นสภานายิกาของกาชาดจึงบินไปดูด้วยตนเอง พบว่า บริเวณเขาล้านไปจนชายทะเล แน่นขนัดไปด้วยชาวเขมรลี้ภัยไม่น่าเชื่อว่าพื้นที่ใหญ่ ๆ เช่นนั้น ซึ่งมีลมทะเลพัดอยู่ตลอดเวลา กลิ่นอุจจาระและปัสสาวะจะคลุ้งตลบไปหมดถึงเพียงนี้ 

ภาพเขมรบ้านแตกเมืองล่มที่เห็นอยู่ต่อหน้านั้น เป็นภาพที่ประทับอยู่ในความทรงจำของฉันไม่มีวันลืมเลือน พวกเขานอนบนพื้นดินแฉะ ๆ ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง 

แต่ละก้าวของฉันที่เดินตรวจตราดูผู้ลี้ภัย ยังต้องคอยระวังมิให้เหยียบไปบนคนที่นั่งนอนระเกะระกะ และเสบียงอาหารที่เขาฉวยติดตัวมาด้วย คือปลาเล็ก ๆ ที่วางผึ่งแดดอยู่คละไปกับกองอุจจาระ 

ตลอดจนไถ้ใส่ข้าวสารที่เขาแบกสะพายมา พื้นดินบ้างก็เป็นบ่อ เวลาฝนตก น้ำจะขังอยู่เป็นแอ่ง… นั้นแหละคือน้ำที่เขาใช้ดื่มกิน สภาพของผู้คนที่สุดแสนจะน่าเวทนาเหล่านี้ เป็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งฉันอยากให้ผู้ที่สุขสบายอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ได้เห็นสภาพของคนที่สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน เช่นนี้เหลือเกิน..” 

สภาพของเขมรอพยพในครั้งนี้เป็นภาพที่น่าสลดใจของผู้พบเห็นดังพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อีกตอนหนึ่งว่า 

“…. ความโง่ทำให้คนเราประมาท ครั้งญวณล่ม ลาวแตก ฉันตกใจ...ตกใจมาก แต่มันยังไม่กระทบใจ ไม่ซึมซาบเท่ากับภาพที่กระทบตาฉันอยู่ขณะนี้ อย่างภาพเด็ก ๆ ที่อดอาหารนอนเป็นโครงกระดูกอยู่ สักแต่ว่ามีลมหายใจอยู่เท่านั้น…” 

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ บรมราชินีนาถ ผู้ทรงพระราชทานกำเนิดศูนย์อพยพเขาล้าน เพื่อชาวเขมรเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร " …ฉันตัดสินใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เหล่านี้ เท่าที่กำลังความสามารถของฉันจะมี…”  พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ 26 พ.ค. 2522 

นายปัญญา ฤกษ์อุไร ผู้ว่าราชการจังหวัด(ในขณะนั้น) ได้เล่าถึงความรู้สึก ในหนังสือเล่มนี้ บางส่วน ….เมื่อเมืองศรีประจันตคีรีเขตและเมืองเกาะกงแตกแล้วแม่ทัพภาคที่ 5 ของเวียดนามก็ไม่รั้งรอ มีคำสั่งด่วนให้กองพลที่ 4 5 และ 6 รีบรุกไล่บรรดาเขมรแดงฝ่ายพอลพตและบรรดาประชาชนพลเมืองฝ่ายที่เข้าข้างพอลพตทั้งหมด ….คำสั่งของเขาคือจับตายไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ใช้อาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ทำการรุกไล่อย่างกระชั้นชิดโดยไม่ลดละ 

…..ฉะนั้น ในระยะตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2522 จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2522 บรรดาเขมรอพยพหนีตายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารมากขึ้นเป็นลำดับ ….พอถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2522 ปรากฏว่ามีเขมรหนีตายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารถึง 90,000 คน ซึ่งเป็นการเกินสติกำลังปัญญาของข้าพเจ้าในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดจะช่วยเหลือบรรดาเขมรอพยพเหล่านี้อย่างทั่วถึงและให้ได้ผลได้ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรกับภาระอันแสนหนักในครั้งนี้ ….ทางรัฐบาลและนโยบายกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งถึงผู้ว่าฉบับเดียวคือให้จังหวัดผลักดันพวกเขมรเหล่านี้ออกไปให้ได้ เรื่องอื่นไม่ต้องพูด ส่วนวิธีผลักดันจะทำกันอย่างไร ไม่มีการอธิบายเพิ่มเติมหรือแนะแนวทางให้จังหวัดปฏิบัติ คงสั่งให้ผลักดันเท่านั้น

 …. เมื่อจังหวัดขอความช่วยเหลือไปก็ไม่ได้ผล เพราะเมื่อสั่งให้ผลักดันแล้วก็ย่อมไม่มีงบประมาณช่วยเหลือใด ๆ ไม่ว่าข้าวปลาอาหารหรือแม้แต่ยารักษาโรค เป็นอันว่าเหลวทั้งสิ้น …..จะผลัดดันอย่างไรชาวเขมรตั้งเก้าหมื่นคน ลองให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมานั่งผลักดันดูเองเถอะน่า แล้วจะรู้ว่าผลักยังไงก็ไม่ไหว ข้าพเจ้าคิดอยู่แต่ในใจ แต่ไม่กล้าพูด

… …พอดีขณะนั้น นายวีระ อินทประเสริฐ เป็นกำนันตำบลไม้รูด มีที่ดินอยู่ที่บ้านเขาล้านติดถนนใหญ่และติดทะเลอีกด้านหนึ่ง อยู่หลังที่อยู่อาศัยของคนไทย มีเนื้อที่ประมาณ 400 ไร่ ข้าพเจ้าจึงเอยปากขอยืมใช้ให้เขมรอพยพอยู่ชั่วคราว ซึ่งแกก็ไม่ขัดข้อง จะขัดข้องได้อย่างไรเล่าครับ เมื่อผู้ว่าฯ เอ่ยปากขอยืมทั้งที อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าบอกว่าจะขอใช้ยืมชั่วคราวประหนึ่งว่า สักระยะหนึ่งแล้วจะให้เขมรอพยพพวกนี้ไปอยู่ที่อื่น แกคงไม่รู้หรอกว่าในที่สุดพวกเขมรอพยพยังคงปักหลักอยู่ที่เขาล้านบนที่ดินแห่งนี้ตราบเท่าจนทุกวันนี้ เพราะแกถูกคนร้ายลอบยิงตายกลางตลาดเทศบาลเมืองตราดในตอนเที่ยงของวันหนึ่งกลางเดือนมีนาคม 2522 จนบัดนี้ตำรวจยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ขอให้บุญญานุภาพที่แกได้ให้ที่พักพิงแก่พวกเขมรอพยพเหล่านั้นได้อาศัยร่มไม้ชายคา จงดลบันดาลให้แก่ไปสู่ที่สุคติด้วยเถิด 

…. วันที่ 12 พฤษภาคม 2522 ข้าพเจ้าพร้อมด้วยคุณหมอบูรพา จนทสูตร และหมอกับพยาบาลโรงพยาบาลจังหวัดตราด ได้ไปรักษาบรรเทาทุกข์ให้กับผู้อพยพชาวเขมร วันนี้รู้สึกแช่มชื่นขึ้นทั้งหมอ พยาบาลและคนไข้เพราะมียาดี ๆ ตามที่ต้องการ เมื่อ 3 – 4 วันก่อนหรือครับ มีแต่ยาแอสไพริน ยาแดง ยาเหลือง เป็นอย่างดีที่สุดเหตุที่หายามาได้มากมายอย่างนี้ เป็นเพราะข้าพเจ้านั่งคิดนอนคิดอยู่สามวันสามคืนจนปวดหัว (ภาษาเขมรเขาว่าปวดกะบาล) ก็ยังคิดไม่ออกจนกระทั้งถึงวันเสาร์ตอนเช้าภรรยาข้าพเจ้ามาจากกรุงเทพฯ 

พอเห็นหน้าภรรยาข้าพเจ้าจึงสว่างไสว มีสติปัญญาเหมือนฟ้ามาโปรด …. 

ที่ข้าพเจ้าดีใจ เพราะภรรยาข้าพเจ้าทำให้เกิดความคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จะว่าภรรยาข้าพเจ้า คือ คำตอบที่คิดไม่ออกมาแล้วสามวันสามคืนก็คงจะได้ ด้วยเหตุที่หน้าที่ภรรยาข้าพเจ้าคือ หน้าที่ของนายกเหล่ากาชาดจังหวัด (นางบุญเลื่อน ฤกษ์อุไร) และนายกเหล่ากาชาด ก็คือ หน่วยหนึ่งของสภากาชาดไทยกรุงเทพฯ และสภากาชาดไทยมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ เป็นองค์สภานายิกา เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าก็มีโอกาสร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือไปยังสภากาชาดไทยผ่านภรรยาข้าพเจ้าได้ ….เราแจกกันอย่างมากก็ เอพีซี. หรือไม่ก็แอสไพริ

‘เอเลียด คิปโชเก’ ตำนานนักวิ่งมาราธอนโลก ฑูตด้านการท่องเที่ยวกีฬาฯ โพสต์ถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในวันเฉลิมฯ

(3 มิ.ย. 68) เอเลียด คิปโชเก ตำนานนักวิ่งมาราธอนโลก เจ้าของสถิติวิ่งมาราธอนได้ต่ำกว่า 2 ชม. และแชมป์โอลิมปิกเกมส์ 2 สมัยชาวเคนยา โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว Eliud Kipchoge ถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยข้อความระบุว่า ... 

เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับเกียรติให้เข้าร่วมวิ่งมาราธอน Amazing Thailand Bangkok 10K ร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี นับเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำที่ได้ผ่านสถานที่สำคัญและสถานที่สำคัญของกรุงเทพฯ หลายแห่ง

เนื่องในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 นี้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ทรงพระเกษมสำราญ และทรงมีความสุขกับการเฉลิมฉลองในปีต่อ ๆ ไป

สำหรับ เอเลียด คิปโชเก ในฐานะ "ฑูตด้านการท่องเที่ยวกีฬาและวัฒนธรรม" ของประเทศไทย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ให้ร่วมวิ่งกับ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในระยะ 10 กม. การแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก ครั้งที่ 7 ประจำปี 2567 รายการ "อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน แบงค็อก พรีเซ็นต์บาย โตโยต้า ครั้งที่ 7" ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยในปีนี้ เอเลียด คิปโชเก ก็จะมาร่วมการแข่งขันรายการนี้ ที่ประเทศไทย อีกครั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top