Saturday, 19 April 2025
NEWS FEED

ผบช.สตม. สั่งการ ตม. ปล่อยแถวพร้อมกันทั่วประเทศ สร้างความเชื่อมั่นเทศกาลสงกรานต์ 68 เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศวันละ 1.5 แสนคน 

(10 เม.ย.68) เวลา 16.00 น. ที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2  ปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่การท่าอากาศยาน สั่งการ ตม.ทั่วประเทศปล่อยแถวพร้อมกัน พร้อมอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติและพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ 

พล.ต.ท.ภาณุมาศฯ กล่าวว่า ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ตนจึงได้สั่งการ ตม.ทั่วประเทศปล่อยแถวบูรณาการร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมพร้อมกันทุกจังหวัด เพื่อดูแลความปลอดภัย สร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวที่ดี ส่งเสริมให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ โดยได้มอบหมาย รอง ผบช.สตม. ร่วมปล่อยแถวบูรณาการกับส่วนราชการในพื้นที่ จังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ดังนี้

ใจกลางกรุงเทพมหานคร บริเวณท้องสนามหลวง ร่วมกับกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา โดยมี นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธี  ภาคเหนือ ได้มอบหมาย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ร่วมกับ บก.ตม.5 ที่ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ จ.เชียงใหม่ ภาคอีสาน พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สตม. ร่วมกับ บก.ตม.4 ที่ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 จ.นครพนม และ ภาคใต้ พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ รอง ผบช.สตม. ร่วมกับ บก.ตม.6 ที่ด่านพรมแดนสะเดา จ.สงขลา โดยเน้นการสืบสวน หาข่าวในพื้นที่ ดูแลความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ผบช.สตม. กล่าวอีกว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ เป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินเข้ามาเป็นจำนวนมากถึงวันละ 1.5 แสนคน เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว สตม. จึงต้องเตรียมพร้อมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง สนามบิน บริเวณช่องตรวจทุกระบบ พิจารณาลดขั้นตอนในการตรวจหนังสือเดินทาง เตรียมความพร้อมแก้ปัญหาอาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีผู้มาใช้บริการหนาแน่นมากๆ ประสานความร่วมมือกับบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และสายการบิน ในการดูแลอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้โดยสารที่ต้องใช้ช่องทางเร่งด่วน หรือ priority ต่างๆ เช่น ผู้พิการ เด็กเล็ก เป็นต้น

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประชุมตำรวจทั่วประเทศ ขับเคลื่อนมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และการอำนวยความสะดวกการจราจร ช่วงเทศกาลสงกรานต์

(10 เม.ย.68) เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 โดยมี พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ณพวัฒน์ อารยางกูร ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.กฤษฎา สุรเชษฐพงษ์  ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียน “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นภาพลักษณ์และประเพณีที่ดีงามของไทย ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายได้ตระหนักถึงหน้าที่ การรักษาความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย บรรยากาศที่ดีงาม ในงานประเพณีดังกล่าว จึงกำชับให้ทุกหน่วยดำเนินการ ดังนี้  

1. มาตรการด้านการข่าว และการป้องกันเหตุ : ให้ทุกหน่วยติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ และสถานการณ์ในภาพรวม เพื่อบริหารจัดการมาตรการรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการในพื้นที่ โดยกำชับให้มีการทำแผน ซักซ้อมการปฏิบัติ เน้นการแสดงกำลัง Show of Force ตรวจค้น บังคับใช้กฎหมาย , การละเล่นต่าง ๆ จะต้องไม่เกินเลย ไม่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือกระทำใด ๆ ที่ก่อความวุ่นวาย จะต้องจุดชุดปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ ระงับเหตุได้อย่างทันท่วงที ไม่ปล่อยให้เหตุลุกลามบานปลาย จะต้องกำหนดแผนเผชิญเหตุ พื้นที่ทางการแพทย์ กองอำนวยการร่วมในการช่วยเหลือประชาชน เช่น ปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยเหลือคนหายพลัดหลง ทรัพย์สินสูญหาย  

2. มาตรการการรักษาความปลอดภัยพื้นที่จัดงาน : เทศกาลสงกรานต์ 2568 นี้ มีสถานที่การจัดงานขนาดใหญ่ทั่วประเทศ จำนวน 71 แห่ง อาทิ ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 20 แห่ง เช่น ถนนข้าวสาร , สนามหลวง , ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ , พื้นที่ จ.ชลบุรี 6 แห่ง , จ.เชียงใหม่ 7 แห่ง , จ.ภูเก็ต 2 แห่ง , จ.นครราชสีมา 1 แห่ง กำชับให้ทุกพื้นที่ ทุกหน่วย เตรียมแผนการปฏิบัติและแผนเผชิญเหตุ มาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ต้องชัดเจน มอบหมายผู้รับผิดชอบพื้นที่ให้ชัดเจน มีความเข้าใจบทบาท หน้าที่ สามารถตอบสนองและปฏิบัติได้ จัดเตรียมข้อมูลพื้นที่รับผิดชอบ ซักซ้อมการปฏิบัติ กรณีที่มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก จะต้องตัดสินใจในการระงับหรืองดการละเล่น กิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระมัดระวังไม่ให้คนหนาแน่นจนเกิดอันตรายต่อประชาชน , ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ระบบการติดต่อสื่อสาร และเส้นทางหลัก เส้นทางรอง เส้นทางฉุกเฉิน และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในบริเวณที่จัดงานให้มีการไหลเวียนของยานพาหนะ กำหนดจุดรับ ส่ง จุดจอดรถ โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยในบริเวณดังกล่าวด้วย เพื่อป้องกันอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์สิน

3. มาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม : กำชับการเปิดสัญญาณไฟวับวาบ การตรวจสอบบุคคล ยานพาหนะต้องสงสัย การตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และผู้บังคับบัญชาตรวจสอบสถานที่ในโครงการ “ตำรวจร่วมใจ ยกระดับความปลอดภัยบ้านประชาชน” (ฝากบ้าน 4.0) ร่วมกับเจ้าหน้าที่สายตรวจ จราจร และฝ่ายสืบสวนด้วย เน้นย้ำทุกพื้นที่ต้องไม่ให้มีการก่อเหตุซ้ำรอยจากการปฏิบัติที่ผ่านมา ผบก. ผกก. หัวหน้า สน./สภ. ต้องดูแลรับผิดชอบในพื้นที่อย่างชัดเจน เตรียมแผนและคัดกรองบุคคลให้ไม่มีอาวุธ หรือสิ่งเทียมอาวุธ อย่างเด็ดขาด 

ห้วงที่ผ่านมา วันที่ 21-30 มีนาคม 2568 ได้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วประเทศ เน้นเป้าหมายการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด และบุคคลตามหมายจับ โดยจับกุมตรวจยึดอาวุธปืนได้ 5,398 กระบอก เครื่องกระสุน 39,069 และบุคคลตามหมายจับ 18,746 ราย และการระดมกวาดล้างอาชญากรรมของ ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ห้วงวันที่ 7-9 เมษายน 2568 จับกุมชาวต่างชาติกระทำผิดกฎหมาย รวม 8,687 ราย

4. มาตรการด้านการจราจร : เส้นทางที่ประชาชนใช้จำนวนมาก จะต้องมีการปรับแผนการเร่งความเร็วรถอย่างต่อเนื่อง เตรียมการพื้นที่พักรถ ประสานสถานีให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิง จุดชารท์รถไฟฟ้า และประสานหน่วยงานในการช่วยเหลือรถเสีย ซ่อมแซม ยกรถ ขอคืนพื้นที่การจราจร

ทั้งนี้ ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศในการดูแลการจราจร ซึ่งคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีปริมาณรถเข้า-ออกกรุงเทพมหานคร ในช่วงวันที่ 11 - 17 เมษายน 2568 จำนวนมากกว่า 7 ล้านคัน (มากกว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ที่มีจำนวนประมาณ 6.8 ล้านคัน) โดยคาดว่าประชาชนจะเริ่มเดินทางตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568 ปริมาณรถที่จะออกมากที่สุดในวันที่ 12 เมษายน 2568 (คาดการณ์ที่ 6.7 แสนคัน) ปริมาณรถที่จะกลับเข้ากรุงเทพมหานครมากที่สุดในวันที่ 16 และ 17 เมษายน 2568 (คาดการณ์วันละ 5.8 แสนคัน) ตั้งเป้าลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนน จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ (admit) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติช่วงเทศกาลสงกรานต์ เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง โดยเฉพาะช่วงควบคุมเข้มข้น 7 วัน ระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2568

นอกจากนี้ สั่งการให้สำรวจจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ที่มีปัจจัยจากสภาพถนนที่เป็นจุดเสี่ยง เพื่อประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาต่อไป และกำหนดช่องหรือแนวทางเดินรถขึ้นและล่อง และควบคุมหรือห้ามเลี้ยวรถในทางร่วมทางแยกในถนนบางสาย ห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไปเดินรถในบางเส้นทาง พร้อมกำชับการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก โดยกำหนด 5 เน้นหนัก ได้แก่ เมาแล้วขับ , ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด , ไม่สวมหมวกนิรภัย , ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย , ขับรถย้อนศร และบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดเมาแล้วขับซ้ำภายในสองปีนับแต่วันที่กระทำผิดครั้งแรก และสอบสวนขยายผลกรณีผู้ขับขี่เป็นเด็กหรือเยาวชนด้วย

5. มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์ : กำชับโฆษกหน่วย โดยเฉพาะในพื้นที่การจัดงาน หน่วยที่ดูแลภาพรวมการจราจร ได้แก่ กองบังคับการตำรวจจราจร และกองบังคับการตำรวจทางหลวง จะต้องมีการประชาสัมพันธ์เส้นทาง การปฏิบัติตนในพื้นที่การจัดงาน การกระทำที่สุ่มเสี่ยง ฝ่าฝืนกฎหมาย การให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบ การบริหารจัดการพื้นที่ และการประชาสัมพันธ์การทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานหน่วยงานช่วยเหลือในการประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์ในภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเอื้ออาทรในการใช้ทาง และเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการแจ้งเหตุ ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือสอบถามเส้นทางจราจร ได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 , สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนกองบังคับการตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

กองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพไทย จัดชุดปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว เมียนมา

พลเรือโท วัชระ พัฒนรัฐ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ กล่าวให้โอวาทเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับ ชุดปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ระดับสูงในภาวะภัยพิบัติ (Medical Emergency Response Team : MERT) ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนหน่วยแพทย์ กองบัญชาการกองทัพไทย ประสานผ่านกรมแพทย์ทหารเรือ​ ได้ให้โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์​ ฐานทัพเรือสัตหีบ​ จัดชุดปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งพร้อมเดินทางปฏิบัติภารกิจ​เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม​ ในวันที่​ 11 เมษายน​ 2568 

โดยได้ทำพิธีดังกล่าว ณ ห้องประชุมกฤษณจันทร์ กิจการสโมสรโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568

วปอ.บอ รุ่นที่ 2 ร่วมกับโรงเรียนชุมพลทหารเรือ จัดกิจกรรมอนุรักษ์ทะเล ครบวงจรฟื้นฟูปะการัง และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล

ที่ บริเวณหาดเกล็ดแก้ว โรงเรียนชุมพลทหารเรือ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ นำนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ) รุ่นที่ 2 จัดกิจกรรมอนุรักษ์ทะเลครบวงจรฟื้นฟูปะการัง และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ นำโดย พลตรี ชัชวาลย์ พยุงวงศ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักร ซึ่งมี นาวาเอก ยุทธนา ชูธงชัย ผู้บังคับการโรงเรียนชุมพลทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ให้การต้อนรับ คณะ พร้อมด้วย หน่วยงานภาครัฐ-เอกชน ผู้นำชุมชุนกลุ่มประมงพื้นบ้านในพื้น เข้าร่วมกิจการ

โดยภายในกิจกรรม ทางคณะนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ) รุ่นที่ 2 ได้ร่วมกันปลูกปะการัง และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ประกอบด้วย ปู 2,222 ตัว และกุ้ง 222,222 ตัว 

พลตรี ชัชวาลย์ พยุงวงศ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักร กล่าาว สำหรับหลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต รุ่นที่ 2  ที่จัดจัดกิจกรรมอนุรักษ์ทะเลครบวงจรฟื้นฟูปะการัง และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมในพื้นที่ภาคตะวันออก     

อีกทั้ง ยังเป็นการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการลดมลพิษทางทะเล การปกป้องพื้นที่อ่าวและชายฝั่ง การอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ และที่สำคัญ เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ท้องถิ่น ในการปกป้องทะเล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยได้มุ่งเน้นการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงให้นักศึกษานำไปบริหารจัดการความมั่นคงในอนาคต ต่อไป

‘ดร.พอล’ อาจารย์ ม.นเรศวร คดี 112 ถูกถอนวีซ่า หลังศาลให้ประกันตัว ด้านทนายเตรียมอุทธรณ์คำสั่ง ตม. ใน 48 ชม.

(10 เม.ย. 68) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เผยศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ประกัน ‘ดร.พอล แชมเบอร์ส’ นักวิชาการอเมริกัน อาจารย์ ม.นเรศวร แล้ว แต่ยังถูก ตม.ควบคุมตัว เหตุถูกเพิกถอนวีซ่า ทนายเตรียมอุทธรณ์คำสั่ง ตม.ภายใน 48 ชม.

จากกรณีที่ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน ประจำสถานประชาคมอาเซียนศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถูกกองทัพภาคที่ 3 แจ้งความดำเนินคดีฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ต่อมา ดร.พอลได้เข้ามอบตัวที่สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก เมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยที่ศาลจังหวัดพิษณุโลกไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน และในวันนี้ (9 เม.ย.) ทนายความของ ดร.พอล ได้อุทธรณ์คำสั่งศาลเพื่อขอประกันตัวอีกครั้งนั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 17.58 น.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ประกันตัว "พอล แชมเบอร์ส" แล้ว แต่ทนายยังต้องติดตามไปขอประกันตัวผู้ต้องหากับทาง ตม.ต่อไป

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 15.15 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า ดร.พอล แชมเบอร์ส ได้ถูกเพิกถอนวีซ่าแล้ว ทนายเตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ตม.ภายใน 48 ชม.นี้

ต่อมาเวลา 16.20 น.ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุอีกว่า ศูนย์ทนายฯ ได้รับแจ้งว่า ตร.จะเข้าไปค้นห้องทำงาน ที่ ม.นเรศวร ของ "พอล แชมเบอร์ส" โดยเป็นหมายค้นจากศาลจังหวัดพิษณุโลก

“นายกฯ”- ครม. ชื่นมื่นร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ไทย ภายใต้แนวคิด "สงกรานต์บ้านฉัน สีสันแบบไทย สุขไกลทั่วโลก Once in a Lifetime : Experience Songkran in Thailand"

(9 เม.ย. 68) “นายกรัฐมนตรี”- ครม. ชื่นมื่นร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ไทย "เย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์" ภายใต้แนวคิด "สงกรานต์บ้านฉัน สีสันแบบไทย สุขไกลทั่วโลก Once in a Lifetime : Experience Songkran in Thailand" ชวนคนไทยทั่วประเทศรดน้ำขอพร เล่นน้ำสงกรานต์ วิถีประเพณีไทย อัตลักษณ์ที่โดดเด่น เสริมจุดแข็ง สร้างเสน่ห์ให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการเดินทางมาเยือน กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ

(๘ เมษายน ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๓๐ น.) ณ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล – กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดงานประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์บ้านฉัน สีสันแบบไทย สุขไกลทั่วโลก Once in a Lifetime : Experience Songkran in Thailand” ดึงวิถีประเพณีไทย อัตลักษณ์ที่โดดเด่น เสริมจุดแข็ง สร้างเสน่ห์ ให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการมาเยือน

ในโอกาสนี้ นางสาวแพทองธาร  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เยี่ยมชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดงานประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์บ้านฉัน สีสันแบบไทย สุขไกลทั่วโลก Once in a Lifetime : Experience Songkran in Thailand” ณ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนางสาวสุดาวรรณ  หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี นายประสพ  เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม) นางสาววราพรรณ  ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม  นางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมส่งเสริมวัฒนธรรมให้การต้อนรับ

นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ รับชมการแสดงการเล่นของเด็กไทย จากนั้น นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นำเสนอภาพรวมคุณค่าสารัตถะอันดีงามของการจัดงานประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ได้แก่ กิจกรรมสรงน้ำพระ การสาธิตการรดน้ำ ๔ ภาค และการสาธิตการทำน้ำอบและแป้งพวง

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่าภาพรวมการจัดงานสืบสานประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของกระทรวงวัฒนธรรมในปีนี้ มุ่งเน้นการจัดงานภายใต้กรอบแนวทาง ๔ มิติ ๑๗ มาตรการรณรงค์ ได้แก่ มิติด้านวัฒนธรรม มิติด้านเศรษฐกิจ มิติด้านสังคม และมิติด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมกันสืบสานประเพณีสงกรานต์ โดยเน้นเรื่องคุณค่าสาระที่ถูกต้องของวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงาม คำนึงถึงความเหมาะสมของแต่ละท้องถิ่นที่มีภูมิหลังของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของชุมชนและของประเทศ รวมถึงการร่วมด้วยช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยกำหนดจัดงานในพื้นที่ ๑๗ จังหวัด และพื้นที่ส่วนกลางกรุงเทพมหานคร  
ในส่วนของการจัดงาน ๕ เมืองอัตลักษณ์ได้แก่ 
• การจัดงานประเพณี ป๋าเวณี ปี๋ใหม่เมือง จังหวัดเชียงใหม่ (๑๒ - ๑๖ เม.ย. ๖๘) กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ ขบวนแห่รอบคูเมืองเชียงใหม่ นิทรรศการสงกรานต์ล้านนา การแสดงศิลปวัฒนธรรม การทำบุญตักบาตรวันสงกรานต์  
• การจัดงานวิถีชีวิตชาวอีสาน ถนนข้าวเหนียว จังหวัดขอนแก่น (๘ - ๑๕ เม.ย. ๒๕๖๘)กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์อีสานดั้งเดิม งานสืบสานสงกรานต์วิถีไทยบ้าน รดน้ำขอพรผู้สูงอายุ เทศกาลดอกคูนเสียงแคน การแสดง แสงสีเสียง การเล่นคลื่นมนุษย์ไร้แอลกอฮอล์
• การจัดงาน ชลบุรี อัตลักษณ์วิถีชีวิต Pattaya Old Town (๑๗ - ๑๙ เม.ย. ๒๕๖๘)กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ รำวงย้อนยุค การละเล่นพื้นบ้าน การสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์โบราณ ประติมากรรมเจดีย์ทรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
• การจัดงาน จังหวัดสมุทรปราการ อัตลักษณ์วิถีชีวิตชุมชนมอญ (๑๒ - ๑๓ และ ๒๕ - ๒๗ เม.ย. ๖๘) กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่สาธิตการทำธงตะขาบ การละเล่นพื้นบ้าน (สะบ้ารามัญ) ขบวนรถบุปผชาติ วิถีชีวิตชุมชนมอญ
• การจัดงานเทศกาลมหาสงกรานต์ แห่นางดานเมืองนคร หนึ่งเดียวในไทย จังหวัดนครศรีธรรมราช (๑๑ - ๑๕ เม.ย. ๖๘) กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ สรงน้ำพระบรมธาตุ ประเพณีแห่นางดาน และพิธีโล้ชิงช้า หนึ่งเดียวในไทย พร้อมด้วย ๑๒ เมืองน่าเที่ยว ที่มีความโดดเด่นทางอัตลักษณ์ทั้ง ๔ ภาค ประกอบด้วย
• ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดน่าน และจังหวัดนครสวรรค์
• ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดลพบุรี
• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดหนองคาย และจังหวัดสุรินทร์
• ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสงขลา จังหวัดพัทลุง และจังหวัดภูเก็ต และในพื้นที่ส่วนกลาง ๘ จุดหมายกรุงเทพมหานคร ได้แก่
• สามย่านมิตรทาวน์
• ถนนสีลม
• ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ 
• วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร 
• ไอคอนสยาม
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
• สยามสแควร์
• ท้องสนามหลวง
โดยเน้นบรรยากาศดั้งเดิม คำนึงถึงความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และความเหมาะสมตามวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ พร้อมรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนสนับสนุนศิลปินแห่งชาติและศิลปินพื้นบ้านในการแสดงทางวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่นของแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนงานตามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมด้านการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดทำทำเนียบนามศิลปินแห่งชาติและศิลปินพื้นบ้านทุกสาขา เพื่อให้สะดวกสำหรับการจ้างงานและการประสานงาน

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวต่อว่า รัฐบาล และทุกภาคส่วน ร่วมบูรณาการในการส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ โดยจัดงาน "เย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์" ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมประเพณีไทย นำเสนอความงดงามของวัฒนธรรมไทยและต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก มาร่วมสัมผัสประสบการณ์สงกรานต์และร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลนี้อย่างยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน และมีความคาดหวังผลในการส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ในปีนี้ ให้คนไทยทั่วโลกภาคภูมิใจและร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พร้อมยกระดับประเพณีสงกรานต์สู่ World Event เป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้จากงานเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๘ นี้ ได้ถึง ๒๖,๕๐๐ล้านบาท / และจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาร่วมงานถึง ๔๗๖,๐๐๐คน / และนักท่องเที่ยวไทยเพิ่ม ๔,๔๑๘,๕๐๐ คน

สุดท้าย นางสาวสุดาวรรณ ฝากถึงพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวว่าประเพณีสงกรานต์เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยที่มีความหมายมากกว่าการเล่นน้ำ แต่เป็นเทศกาลแห่งความรัก ความกตัญญู และความอบอุ่นของครอบครัว ซึ่งควรค่าแก่การส่งต่อไปสู่สายตาชาวโลก "สงกรานต์ไทยคือมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และสืบทอดให้คนรุ่นหลัง เราต้องการให้สงกรานต์เป็นเทศกาลที่ทุกคนต้องมาเยือน อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต" 

กระทรวงวัฒนธรรมขอเชิญชวนทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อมกับสงกรานต์ ๒๕๖๘ ซึ่งจะเป็นเทศกาล�ที่มอบประสบการณ์สุดประทับใจให้แก่ทั้งคนไทยและชาวโลก ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมส่งเสริมวัฒนธรรม: www.culture.go.th หรือ Facebook กรมส่งเสริมวัฒนธรรม

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

เชียงใหม่-เพื่อไทย และ ประชาชน ส่งแกนนำลงพื้นที่ ช่วยผู้สมัครหาเสียง เลือกตั้งนายกฯ และ สท.

(10 เม.ย. 68) เชียงใหม่  สงกรานต์เชียงใหม่ คึกคัก เพื่อไทย และประชาชน  ส่งแกนนำช่วยผู้สมัครหาเสียงชิงนายกฯเล็ก "หน่อย" อดีตนายกฯ เล็ก ปลื้มกระแสการตอบรับจากประชาชน ด้าน กกต.เชียงใหม่ จัดกิจกรรมให้ความรู้ที่เท่าทันในการกระทำผิดทางการเมืองในระบบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกฯ และ สมาชิกสภาเทศบาล 121 แห่ง 

เมื่อวันพุธที่ 9 เมษายน 2568 ณ ห้องประชุมแกรนด์วิว
 1 ศูนย์ประชุมนานาชาติโรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว เทศบาลนครเชียงใหม่  จัดกิจกรรมให้ความรู้ที่เท่าทันในการกระทำผิดทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ และ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ โดยมีนายนพดล สุยะ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเปิดการประชุม ผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting 

โดยเทศบาลนครเชียงใหม่ มีผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่และนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ เข้าร่วมประชุม ทั้ง ผู้สมัครที่ลงในนามเพื่อไทย  เพื่อเชียงใหม่ ประชาชน และก้าวอิสระ ขาดเพียง ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ หมายเลข 5 

นายนพดล สุยะ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า คณะกรรมการเลือกตั้งจังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดกิจกรรมให้ความรู้ที่เท่าทันในการ กระทำผิดทางการเมืองในระบบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยประชุม ผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting แก่ผู้สมัครนายกฯ และ สมาชิกสภาเทศบาล 121 แห่ง  เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศนตรี การหาเสียงเลือกตั้งที่กระทำได้และกระทำไม่ได้ วิธีการหาเสียงเลือกตั้งและข้อห้ามการกระทำผิด และกฎหมายเลือกตั้ง ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งฯลฯ

สำนักงานการเลือกตั้งจังหวัดเชียงใหม่ได้เล็งเห็นความสำคัญ ในการจัดการประชุมในครั้งนี้ เพื่อจะเป็นการเตรียมพร้อมให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งได้มีความรู้ ความเข้าใจและมีส่วนร่วมในกระบวนการการเลือกตั้งได้อย่างถูกต้อง ครั้งนี้เพื่อลดปัญหาเรื่องร้องเรียน เรื่องการคัดค้านการเลือกตั้งที่เกิดจากการเข้าใจผิด ในสาระสำคัญของกฎหมาย อีกด้วย

ด้านนายอัศนี บูรณุปกรณ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่  หมายเลข 3 พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทีมพรรคเพื่อไทย เทศบาลนครเชียงใหม่ ตอนนี้ได้ดำเนินการในการเตรียมหาเสียง ในหลายๆช่องทาง เพราะว่ากาคเลือกตั้งในครั้งนึ้ มี ผู้สมัครกลุ่มอื่นๆหลายทีมที่ส่งเข้ามาได้เดินพบปะกันในการลงพื้นทึ่หาเสียง อีกทั้งช่องทางสื่อออนไลน์ ลงหาเสียงกันในทุกๆทีม 

ในส่วนทีมพรรคเพื่อไทย เทศบาลนครเชียงใหม่ การหาเสียงลงพื้นที่ เข้าไปครบ 100 ชุมชน บรรยากาศการหาเสียงได้การตอบรับจากประชาชนในแต่ละชุมชน เป็นอย่างดี ชูนโยบายแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้ดียิ่งขึ้น ส่วนนโยบายอื่นๆ จะออกในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ ให้กับทางพี่น้องประชาชนเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ได้รับทราบกันต่อไป

หลังจากที่เปลี่ยนจากกลุ่มเชียงใหม่คุณธรรมมาเป็นพรรคเพื่อไทย เป็นการเสริมทัพระหว่างทีมท้องถิ่นและมีพรรคเพื่อไทย  พรรคใหญ่จากส่วนกลาง เข้ามาช่วย จะมีหลายๆโครงการที่จะทำให้สัมพันธ์กันได้ตอนนี้ทำเต็มที่ ทำตามแผนที่ได้วางไว้ ทำให้ดีที่สุดให้พี่น้องประชาชนไว้วางใจ ขอฝากถึงพี่น้องประชาชน ออกมาเลือกตั้งกันเยอะๆ  
ขณะเดียวกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีข่าวว่านายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเล่นน้ำสงกรานต์ที่จังหวัดเชียงใหม่ นั้นทราบจากข่าว ส่วนท่านจะมีโอกาสได้มาช่วยหาเสียงหรือไม่ นั้นต้องรอทางพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง 

นายธีรวุฒิ แก้วฟอง  ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ หมายเลข 2 พรรคประชาชน กล่าวว่า ทีมพรรคประชาชน เน้นใช้การลงพื้นที่ไปเคาะตามประตูบ้านในชุมชนต่างๆ เป็นหลัก เพื่อนำเสนอ นโยบาย อยู่ม่วน กินดี มีสุข ซึ่งมีอยู่ 73 โครงการ

ส่วนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้รับประสานทางพรรคประชาชนสาขาเชียงใหม่ จะมีแกนนำลงพื้นที่มาช่วยอย่าง
ที่ทุกคนก็ทราบกันว่าน่าจะเป็นใครและอีกหลายๆท่าน หัวหน้าพรรค หรือว่าอดีตหัวหน้าพรรค แต่ว่ากำหนดการยังไม่แน่ชัดว่าจะไปจุดใดบ้าง แต่รับรองว่ามีสีสันแน่ 
 ในขณะเดียวกัน คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียง ของผม ก็มาร่วมลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ ในเบื้องต้นจะเป็นทุกเย็นวันพุธ ส่วนสถานที่จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ตำรวจ ปส. ล้างบางขบวนการยานรก! ยึดของกลางทะลัก 6.5 ล้านเม็ด  ไอซ์-เฮโรอีนอีกเพียบ เดินหน้าตามนโยบาย "แพทองธาร" ปราบยาครบวงจร

(9 เม.ย. 68) สืบเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดย นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภาว่าปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ปราบปราม และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการขับเคลื่อนงานของตำรวจ

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./              ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.อ.ประจวบ  วงศ์สุข  รอง ผบ.ตร.(ปป) และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา และพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร.

บช.ปส. โดย พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย  ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า  รอง ผบช.ปส., ผบก.ปส.1 - 4, ผบก.สกส. และ ผบก.ขส. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนติดตามจับกุม และขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการขยายผลไปสู่การจับกุมเครือข่ายที่ยังหลบหนี และยึดทรัพย์ผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือทุกราย

วันนี้ (9 เม.ย.68)  บช.ปส. ได้บูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร, นบ.ยส.35 และ ป.ป.ส. โดย พลตรี ธีรนันท์ นันทขว้าง  ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองทางทหาร, พลตรีฉกาจ ขันตี  ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, นาย จารุวัฒน์ ทองแจ้ง นักสืบสวนสอบสวนชำนาญการพิเศษ สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. และ คุณ มัชฌิมา คีรีเพ็ชร  หัวหน้าฝ่ายสืบสวนปราบปรามที่ 4 ผู้แทนศุลกากร  โดยจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญของ บช.ปส. จำนวน 4 คดี ผู้ต้องหา 6 คน รถยนต์ของกลาง 5 คัน ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้า 6,534,400 เม็ด, ไอซ์ 15.68 กก., เฮโรอีน 11.47 กก. และตรวจยึดทรัพย์สินไว้ทำการตรวจสอบประมาณ 23 ล้านบาท ดังนี้

บก.ขส.
คดี ล่าข้ามจังหวัด ทลายเครือข่ายลำเลียงยาบ้ากว่า 5.5 ล้านเม็ด (ยาบ้า 5,584,400 เม็ด)
(ผู้นำเสนอ : พล.ต.ต.วันชนะ บวรบุญ ผบก.ขส.)
เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เวลาประมาณ 09.30 น. เจ้าหน้าที่ บก.ขส. ร่วมกับ บก.สกส. และหน่วยข่าวกรอง
ทางทหาร ศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ สืบสวนติดตามกลุ่มลำเลียงยาเสพติดจากชายแดน 
จว.เลย เข้าสู่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จนเวลาประมาณ 11.00 น. สามารถจับกุมนายทรงพล หรือ ตี๋ พร้อมยาบ้า 3,970,000 เม็ด บริเวณริมถนนพหลโยธิน ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จว.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นเวลา 13.30 น.
เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลไปจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่รอรับยาเสพติด ณ ถนนเลียบคลองสิบ ต.บึงกาสาม อ.หนองเสือ จว.ปทุมธานี จับกุมนายอนุชิต หรือ ป็อบส์ และนายสุทธาเทพ หรือ เชษฐ์ ได้ขณะขับรถบรรทุก 6 ล้อมารับยาเสพติด ต่อมาเวลา 16.00 น. จากคำให้การของผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ขยายผลตรวจค้นบ้านเลขที่ 68/6 หมู่ 6 ต.ตันหัง อ.บางปะหัน จว.พระนครศรีอยุธยา พบยาบ้าเพิ่มอีก 1,600,000 เม็ด ซุกซ่อนในรถยนต์ และพบอีก 14,400 เม็ด ในตู้ภายในบ้าน พร้อมไอซ์บรรจุกระปุกครีม 152 กระปุก (รวม 10.5 กิโลกรัม) เตรียมส่งออกต่างประเทศ จับกุมผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 ราย รวมยึดยาบ้า 5,584,400 เม็ด ไอซ์ 10.5 กิโลกรัม ผู้ต้องหาทั้งหมด 5 คน นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายจากปฏิบัติการทลายเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดจากลำน้ำโขงแนวชายแดนพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและแหล่งพักคอยในพื้นที่ปริมณฑลกลุ่มนี้ เริ่มตั้งแต่ 21 ตุลาคม 2567 ได้ไล่ล่าจับกุมสมาชิกในเครือข่ายไปแล้ว 16 คน ยึดยาบ้ากว่า 20 ล้านเม็ด  ไอซ์ 10.5 กิโลกรัม ตรวจยึดรถยนต์ 16 คัน บ้านและที่ดิน 7 หลัง พร้อมด้วยเงินสดและทองรูปพรรณ รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท

บก.สกส.
คดี ดักจับสายใต้ ยึดยาบ้าอีกเกือบล้านเม็ด (ยาบ้า 950,000 เม็ด)
(ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.ฉัตรชัย ศิลลา  ผกก.4 บก.สกส.)
เมื่อวันที่  4  เมษายน  2568 เวลาประมาณ  17.25 น. เจ้าพนักงานตำรวจ กก.4 บก.สกส. จับกุมตัวผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จำนวน 1 ราย ผู้ต้องหา 1 คน ยาบ้า 950,000 เม็ด สืบเนื่องจาก กก.4 
บก.สกส. ได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีกลุ่มบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์รับจ้างจากนายทุนภาคใต้ เพื่อให้ไปลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคเหนือ ด้าน จว.เชียงใหม่  และนำมาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา 
โดยจะใช้รถยนต์นิสสันสีดำ นาวาร่า ทะเบียน 3 ฒธ 77xx  กรุงเทพมหานคร  ในการลำเลียงยาเสพติด ต่อมาวันที่  4 เม.ย.68  เวลาประมาณ  10.00 น พบความเคลื่อนไหวของรถคันดังกล่าว  มุ่งหน้าจากทางภาคเหนือเส้นทางลงสู่ภาคใต้ จึงจัดกำลังเฝ้าตามรายทาง  จนกระทั่งเวลา 15.20 น พบรถยนต์ดังกล่าว  วิ่งเข้าพื้นที่ จว.ชุมพร จึงได้เรียกตรวจสอบที่ด่านตรวจปฐมพร นายกุหลาบคนขับให้การวกวน  จึงเชิญตัวและนำรถคันดังกล่าว มาตรวจสอบและ x-ray ที่ด่านตรวจยานพาหนะชุมพร  ผลการตรวจค้นพบของกลางยาบ้า จำนวน 660,000 เม็ด  ซุกซ่อนในตัวถัง (ที่มีการดัดแปลงสำหรับซุกซ่อนยาเสพติด) และ ยาบ้าอีกจำนวนประมาณ 290,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในล้ออะไหล่ และตรวจยึดทรัพย์สินไว้ทำการตรวจสอบประมาณ 10 ล้านบาท จึงแจ้งข้อกล่าวหานายกุหลาบ จากนั้นจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในคดีนี้ต่อไป

บก.ปส.3
คดี ไอซ์-เฮโรอีน ซ่อนในพัสดุ เตรียมส่งออสเตรเลีย (ไอซ์ ประมาณ 5,680 กรัม, เฮโรอีน ประมาณ 1,1470 กรัม)
(ผู้นำเสนอ  พ.ต.อ.กฤษณ์ มณีรมย์  ผกก.1 ปส.3)
ก่อนเกิดเหตุ นปส.สุวรรณภูมิ กก.1 บก.ปส.3 ได้เฝ้าระวังกลุ่มนักค้ายาเสพติดระหว่างประเทศลักลอบลำเลียงยาเสพติดทางพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศและระบบโลจิสติกส์
จนกระทั่งวันที่ 3 เม.ย.68 เจ้าหน้าที่ตามโครงการ AITF (Airport Interdiction Task Force) ประกอบด้วย นปส.สุวรรณภูมิ กก.1 บก.ปส.3, สำนักงาน ป.ป.ส. และศุลกากร ตรวจยึดพัสดุปลายทางประเทศออสเตรเลีย
จำนวน 2 คดี ดังนี้
        คดีที่ 1 ตรวจยึดไอซ์ ประมาณ 2,000 กรัม ซุกซ่อนในหัวตุ๊กตากาฟิว ที่ศูนย์กระจายสินค้าบางนา บางพลี สมุทรปราการ
       คดีที่ 2 ตรวจยึด ไอซ์ ประมาณ 3,680 กรัม และเฮโรอีน น้ำหนักประมาณ 11,470 กรัม ซุกซ่อนในแผ่นผ้า ประกบด้วยกระดาษแข็ง เย็บติดกับกล่องทิชชู่ ที่ศูนย์กระจายสินค้าเทพารักษ์ ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จว.สมุทรปราการ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป    

พลตำรวจโท สันติ ชัยนิรามัย ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) เปิดเผยว่า ปฏิบัติการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นไปตามข้อสั่งการของ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ได้มอบนโยบายให้กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง การดำเนินการดังกล่าว มุ่งเน้นการกดดันและทำลายเครือข่ายยาเสพติดทั้งในระดับผู้ค้ายารายใหญ่และรายย่อย ตลอดจนเร่งรัดขยายผลไปยังกลุ่มผู้ให้การสนับสนุน รวมถึงเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้อง โดยในห้วงที่ผ่านมา บช.ปส. ได้ระดมกำลังปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดจำนวน 10 เครือข่ายทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงการดำเนินการต่อผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยในระดับชุมชน เพื่อสร้างผลกระทบโดยตรงให้เกิดความหวาดกลัวแก่ผู้กระทำผิด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ จากสถิติผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2567 ถึง ปัจจุบัน ทั่วประเทศสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้จำนวนทั้งสิ้น 42,010 ราย ตรวจยึดของกลางยาเสพติดเป็นยาบ้า จำนวน 530,596,150 เม็ด, ไอซ์ 29,922.44 กิโลกรัม, เฮโรอีน 880.31 กิโลกรัม, คีตามีน 3,929.80 กิโลกรัม และยาอีจำนวน 119,498 เม็ด รวมทั้งสามารถดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดได้รวมมูลค่ากว่า 5,014,121,601 บาท

สำหรับการปราบปรามยาเสพติดของ บช.ปส. ตั้งแต่ 1 ต.ค.67 - ปัจจุบัน สามารถจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดทุกคดีได้ 755 คดี ผู้ต้องหา 756 คน ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้า 181,152,158 เม็ด, ไอซ์ 12,516.91 กก., เฮโรอีน 200.68 กก., คีตามีน 710 กก. และยาอี 577 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติด 1,564,021,964 บาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงาน ปปง. แถลงผลปฏิบัติการปราบปรามการฟอกเงิน 2 ไตรมาส  ยึดทรัพย์สินได้กว่า 1,900 ล้านบาท

(9 เม.ย. 68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปปง.ตร.) ร่วมกับ นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ชัยพจน สูวรรณรักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2/เลขานุการ ศปปง.ตร. พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุปผาสุวรรณ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค , และ พล.ต.ต.ภัคพงศ์ สายอุบล ผู้บังคับการอำนวยการ ตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมแถลงผลการระดมกวาดล้างปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ห้วงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึง 6 เมษายน 2568 ณ ห้องสารสิน ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นศูนย์อำนวยการและสั่งการ ติดตามสถานการณ์ ประสานงาน และรายงานผลการปฏิบัติในภารกิจสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานฟอกเงิน 29 มูลฐานความผิด และส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการปราบปราม และการบังคับใช้กฎหมายกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ได้มอบหมายให้ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดมีความรุนแรงมากขึ้นสร้างความเดือดร้อนรำคาญ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า และประชาชนรอบข้าง โดยเฉพาะเยาวชน โดยให้ทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันกับสำนักงาน ปปง. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ในการกำหนดมาตรการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำหนดมาตรการคุมเข้มปราบปรามการครอบครอง และการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ตามโรงเรียน สถานศึกษา หรือที่มีแหล่งข่าวว่าเป็นสถานที่พัก  ลักลอบเก็บอุปกรณ์ โกดัง ร้านค้า เพื่อนำออกไปจำหน่าย รวมทั้งร่วมบูรณาการกับกรมศุลกากรในการตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าในราชอาณาจักร

พล.ต.อ.ประจวบ  วงศ์สุข รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปปง.ตร. กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปีงบประมาณ 2568 ห้วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง  31 มีนาคม 2568 ได้ดำเนินการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งมีผลการดำเนินคดีอาญาฟอกเงินในภาพรวม จำนวน 252 คดี และสามารถยึดอายัดทรัพย์ได้ จำนวน 1,902,710,831.63 บาท 

ในส่วนของการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าตามนโยบายรัฐบาล    พล.ต.อ.ประจวบฯ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยทั่วประเทศเร่งปราบปรามปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะการลักลอบนำเข้า การครอบครอง และการจำหน่าย ในการนี้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปปง.ตร.) ได้สั่งการให้ทุกหน่วยที่ดำเนินการจับกุมผู้กล่าวหารายงานตามระเบียบสำนักงานนายกรัฐมนตรีฯ ประสานความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน และกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ลักลอบเก็บอุปกรณ์ การนำออกไปจำหน่าย และการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า อันเป็นพฤติการณ์เข้าข่ายการกระทำความผิดมูลฐาน ลักลอบหนีศุลกากร ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ปัจจุบันมีผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึง 6 เมษายน 2568 สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหา 2,337 ราย ของกลาง 1,610,443 ชิ้น มูลค่าของกลาง 296,170,159 บาท จำแนกเป็นคดีสำคัญรายใหญ่ที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน และสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้จำนวน 22 คดี ของกลาง 839,948 ชิ้น มูลค่า 202,863,310 บาท

นายกมลสิษฐ์ฯ รองเลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า ในการการดำเนินการตามกฎหมายของสำนักงาน ปปง. เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้านั้น หากเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร จะเป็นความผิดมูลฐานไปสู่การยึดอายัดทรัพย์สินได้ โดย ปปง. จะสามารถดำเนินการได้ 2 แนวทาง คือ การดำเนินการดำเนินการทางอาญาในความผิดมูลฐาน “ฟอกเงิน”และทางแพ่งในการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและการดำเนินการทางอาญาในความผิดมูลฐาน “ฟอกเงิน”

พล.ต.อ.ประจวบฯ ได้กำชับให้ทุกหน่วยทั่วประเทศเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบ มิให้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและแก๊สหัวเราะ ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบนำเข้า จำหน่าย ครอบครอง หรือเป็นแหล่งซุกซ่อน หากพบการกระทำความผิด ให้สืบสวนขยายผลให้ได้ข้อเท็จจริง พยานหลักฐานและนำไปสู่การดำเนินคดีตามความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการ  ฟอกเงินฯ ทุกกรณี 

ทั้งนี้ ประชาชนที่พบเห็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและแก๊สหัวเราะ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันที และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง 

เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อสังคม ออกแถลงการณ์คัดค้านกฎหมายกาสิโน-พนันออนไลน์ ระบุแม้นายกฯ เลื่อนวาระพิจารณา แต่เรื่องนี้ไม่จบ  เร่งล่า50,000 ชื่อเพื่อทำประชามติ

(8 เม.ย. 68) นายจเรศักดิ์  ศักดิ์สินไพบูลย์  ประธานเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อสังคม กล่าวคำแถลงการณ์ โดยระบุว่า เครือข่ายนักกฎมายเพื่อสังคมเป็นกลุ่มนักกฎหมายและทนายความจิตอาสา ที่มีวัตถุประสงค์ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ  โดยเฉพาะผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิโดยผิดกฎหมายจากการกระทำของบุคคลและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ด้วยขณะนี้รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันร่างพระราชบัญญัติการประกอบการธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. รวมไปถึงความพยายามผลักดันให้การพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย  โดยในส่วนของร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงฯ(ที่มีกาสิโน) นั้น อยู่ในระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร  เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาตามระเบียบวาระในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2568 ในส่วนพนันออนไลน์พบว่าอาจใช้แค่กฎหมายในลำดับรองในการแก้ไขให้ทำได้  ซึ่งจะควบคู่ไปกับเกิดบ่อนกาสิโนอย่างสอดคล้องกัน และข่าวล่าสุดวันนี้ แม้นายกรัฐมนตรี จะขอให้สภาเลื่อนวาระการพิจารณา พ.ร.บ.ในวันพรุ่งนี้ออกไปแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้จะจบ  ยังคงมีวาระที่รอเข้าสู่การพิจารณาในสมัยประชุมหน้า  จึงต้องเร่งล่ารายชื่อให้ครบ50,000 ชื่อเพื่อทำประชามติ ก่อนสภาเปิดสมัยหน้า

นายจเรศักดิ์  กล่าวว่า เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อสังคม ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้จะก่อให้เกิดปัญหาและมีผลกระทบต่อสังคมเป็นวงกว้าง ทั้งปัญหาทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ  เพราะการพนันไม่มีผลต่อการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ดีได้   ในทางกลับกันส่งผลกระทบต่อต้นทุนสาธารณะที่ประเทศชาติต้องแบกรับเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านปัญหาสังคม ปัญหาครอบครัว ปัญหาอาชญากรรม  ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในระบบราชการ  กระบวนการยุติธรรม การฟอกเงินของธุรกิจผิดกฎหมาย  กลุ่มผู้มีอิทธิพล และปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมาอีกมากมาย และหากเชื่อมโยงไปกับพนันออนไลน์ที่ถูกกฎหมายด้วยแล้วจะยิ่งทวีความรุนแรงของปัญหามากยิ่งขึ้น    

เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อสังคม ขอแสดงจุดยืนและข้อเสนอต่อการผลักดัน พ.ร.บ.การประกอบการธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (ที่มีกาสิโน) และพนันออนไลน์ถูกกฎหมายดังนี้
1. ประชาชนต้องรับรู้โดยทั่วกันว่า ร่าง พ.ร.บ.การประกอบการธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร คือกฎหมายที่เป็นเพียงหน้าเค้กแต่กลบเนื้อในเอาไว้  ซึ่งคือกาสิโนนั่นเอง  เป็นเพียงเทคนิคของรัฐบาลที่พยายามหลบเลี่ยงไม่ตรงไปตรงมา  ซึ่งประชาชนต่างก็รู้เท่าทัน  จนเกิดคำถามและเสียงคัดค้านกันทั่วบ้านทั่วเมือง  ในขณะที่รัฐบาลสื่อสารตลอดเวลาว่าเสียงส่วนใหญ่สนับสนุน  แต่กลับพบว่ามาจากการเปิดรับฟังความคิดเห็นที่ไม่เป็นกลาง หมกเม็ดซึ่งผิดปกติอย่างมาก    
2. ร่าง พรบ.สถานบันเทิงฯ ที่มีกาสิโนฉบับนี้  ไม่ปรากฏอยู่ในนโยบายการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาลหรือพรรคการเมืองใดๆเลย  เป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลต่อชะตากรรมความเป็นอยู่ของคนไทยทั้งประเทศ  การดำเนินการในเรื่องนี้ซึ่งมีความผูกพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งประเทศ  จึงจำเป็นต้องให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นให้มากที่สุด
3. ประเทศไทยยังมิได้เตรียมความพร้อมใดๆเลยกับการรองรับให้มีกาสิโน  และผลกระทบที่จะตามมา ด้วยปัญหาที่มีอยู่เดิมและจะสัมพันธ์กับการมีบ่อนการพนัน  คือ การทุจริตคอรัปชั่น  การฟอกเงิน  กลุ่มผู้มีอิทธิพล การบังคับใช้กฎหมายที่หย่อนยาน  สิ่งเหล่านี้รัฐบาลยังไม่มีรูปธรรมในการจัดการป้องกันแก้ไข  การเดินหน้าท่ามกลางการไม่มีความพร้อม รังแต่จะสร้างปัญหาที่ใหญ่และหนักมากขึ้นให้กับประเทศ พบว่าในหลายประเทศมีการศึกษาเตรียมการ สร้างมาตรการรองรับก่อนจะตัดสินใจ เช่นสิงคโปร์ ใช้เวลานานร่วมสิบปีก่อนดำเนินการ จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะเร่งเดินหน้าสร้างหายนะให้กับประเทศ

4. เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อสังคม จึงขอคัดค้านการรีบเร่งเดินหน้า พรบ.สถานบันเทิงครบวงจร  รวมถึงการทำให้พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย และขอเรียกร้องให้มีการทำประชามติ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการล่า 50,000 รายชื่อ เพื่อให้เกิดการทำประชามติในเรื่องนี้ โดยมูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและเครือข่าย โดยการออกเสียงประชามตินั้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ให้เป็นผู้จัดการและควบคุมดูแลการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย สุจริต และเที่ยงธรรม  (รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 224 (1) และ (2)) รวมถึง กกต. มีอำนาจในการออกประกาศ ระเบียบ คำสั่ง ข้อกำหนดที่จำเป็นแก่การปฏิบัติงานให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 ประชาชนจำนวนอย่างน้อย 50,000 คน สามารถมีส่วนร่วมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบในการทำประชามติได้ ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงวุฒิสภา จึงควรร่วมกันสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน  ให้มีการทำประชามติก่อน สภาผู้แทนราษฎรจึงไม่ควรรับร่างกฎหมายฉบับนี้
5. เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อสังคม ยินดีร่วมมือกับทุกองค์กรที่ต้องการสังคมที่ปลอดภัยให้กับลูกหลานของพวกเราในการร่วมกันคัดค้านกาสิโนและพนันออนไลน์ถูกกฎหมายให้ถึงที่สุดต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top