Monday, 13 May 2024
NEWS FEED

“อลงกรณ์”เห็นตรง“ดร.ธรณ์”ไทยเผชิญวิกฤติโลกร้อนทะเลเดือด ชี้โลกรวน คือวิกฤตการณ์แห่งศตวรรษที่21

เร่งผนึกทุกภาคีเดินหน้าโครงการคาร์บอนสีน้ำเงิน(Blue Carbon)หวังฟื้นฟูป่าชายเลนลดคาร์บอน110 ล้านตันสู่เป้าหมายเน็ทซีโร่(Net Zero)

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท โพสต์บทความวันนี้เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตโลกร้อนกับผลกระทบต่อประเทศไทยและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงินในหัวข้อ“โลกรวน คือวิกฤตแห่งศตวรรษที่21 :ก้าวต่อไปของประเทศไทยในการลดโลกร้อนทะเลเดือด”โดยมีข้อความว่า

อ่านเรื่อง โลกเดือด ทะเลเดือดของดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ น้องที่เคยร่วมงานขบวนการปฏิรูปประเทศก็เห็นตรงกัน100%และขอร่วมแชร์ปัญหาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศแบบสุดขั้ว(Extreme)ที่ทำให้เกิดภาวะ“โลกรวน”ในหัวข้อ “โลกรวน คือวิกฤติการณ์แห่งศตวรรษที่21 :ก้าวต่อไปของประเทศไทยในการลดโลกร้อนทะเลเดือด”

ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำให้โลกร้อนทะเลเดือดเป็นวิกฤตแห่งศตวรรษที่21ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลกทำให้มีความพยายามที่จะลดก๊าซเรือนกระจกด้วยมาตรการต่างๆภายใต้กรอบการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติหรือ (COP) เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ตัวอย่างเช่นสหภาพยุโรปเริ่มใช้ระบบภาษีคาร์บอนในรูปมาตรการCBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) กับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป สำหรับประเทศไทยของเราปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 0.8 ของโลกมากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก โดยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิกว่า 240ล้านตันต่อปี เฉพาะด้านการใช้พลังงาน

โดยภาพรวมในปี 2565ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น1.5% “หากจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ภาคพลังงานจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ปีละ 86 ล้านตันคาร์บอนฯ และป่าไม้ต้องดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ปีละ 120 ล้านตันคาร์บอน” แต่ถ้าทำไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น องค์การสหประชาชาติคาดว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ ฯลฯ ที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ยิ่งกว่านั้นคือจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติรุนแรงที่สุด10อันดับแรกของโลก การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยทั้งการลดปริมาณการปล่อยและเพิ่มศักยภาพในการดูดกลับหรือกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์รวมทั้งต้องผนึกความร่วมมือทุกฝ่ายทำงานเชิงรุกทุกหน้างาน

ดังนั้นการเดินหน้าเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(Blue Economy)เช่นโครงการปลูกโกงกางในพื้นที่ป่าชายเลนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งโดยอธิบดีคนใหม่นายปิ่นสักก์ สุรัสวดีที่ช่วยปลดล็อคปมส่อทุจริตของโครงการนี้ในอดีตพร้อมกับขยายความร่วมมือทุกภาคส่วนทำให้เกิดเครือข่ายพันธมิตรโกงกางประเทศไทย(TMA: Thailand Mangrove Alliance)เป็นครั้งแรกถือเป็นตัวอย่างที่ดีของโครงการลดคาร์บอนเนื่องจากป่าชายเลนของประเทศไทยมีศักยภาพลดคาร์บอนได้ถึง 110 ล้านตันในระยะเวลา 10 ปี ทั้งนี้เป็นรายงานของดร.สนใจ หะวานนท์ ผู้เชี่ยวชาญป่าชายเลนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งได้ศึกษาวิจัยเรื่องป่าชายเลนในหลายประเทศมากว่า 40 ปี ระบุว่า “…การสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ของป่าชายเลนโดยกระบวนการสังเคราะห์แสงที่ต้องใช้คาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนออกมา พบว่าป่าชายเลนของประเทศไทยสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหนือพื้นดินได้ 27.1 ตันต่อเฮกตาร์ (6.25 ไร่) และสะสมในดิน 16.9 ตันต่อเฮกตาร์ รวมแล้ว 44.0 ตันต่อเฮกตาร์ ประมาณการณ์ได้ว่าป่าชายเลนของประเทศไทยประมาณ 1.5 ล้านไร่ หรือประมาณ 0.24 ล้านเฮกแตร์ สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 11 ล้านตันต่อปี…“ เพื่อระดมพลังทุกภาคส่วนในการเร่งทำงานลดโลกร้อนลดคาร์บอน ทางมูลนิธิฯ.ได้หารือกับผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรโกงกางประเทศไทย(TMA: Thailand Mangrove Alliance)และกรมทช.เกี่ยวกับการจัดสัมนาเรื่อง  “ป่าโกงกาง สู่เป้าหมายซีโร่คาร์บอน(Zero Carbon)ของประเทศไทย”ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(Blue Economy)ลดโลกร้อนในเร็วๆนี้

โดยต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามูลนิธิฯ.ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MoU)กับ32 องค์กรภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย (Thailand Mangrove Alliance) และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งนับเป็นการบูรณาการความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยคำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างยั่งยืน ตามหลักการ 3 เสาหลักของมิติความยั่งยืน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจ ในการปกป้อง ฟื้นฟู และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าชายเลน ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ การจัดการป่าชายเลนอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) และการประกอบอาชีพที่ยั่งยืนของชุมชนป่าชายเลน ในพื้นที่เป้าหมาย 24 จังหวัดชายทะเลของประเทศไทยซึ่งจะมีการประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย (Thailand Mangrove Alliance) ในงานวันป่าชายเลนแห่งชาติ 10 พฤษภาคม 2567 ที่ห้องประชุมช้างเผือก องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของไทยในการแก้ปัญหาโลกร้อน “มูลนิธิจะสนับสนุนการพัฒนาและการอนุรักษ์ป่าโกงกาง รวมไปถึงการเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนและคนรุ่นต่อไปเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรป่าชายเลนและจะดำเนินการปลูกต้นโกงกางเพื่อการพัฒนาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม การทำโครงการคาร์บอนเครดิต (Carbon Credits) การพัฒนาองค์ความรู้ว่าด้วยเรื่องบลูคาร์บอน (Blue Carbon) รวมถึงการศึกษาและการพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูป่าชายเลนด้วยความร่วมมือระหว่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หน่วยราชการส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น รวมถึงชุมชนในพื้นที่ในการปลูกและขยายพันธุ์เมล็ดและฝักโกงกางในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย”

มุกดาหาร -ฉก.ทหารพรานมุกดาหาร ตรวจยึดรถยนต์ 2 คันขณะเตรียมนำขึ้นแพข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่ง สปป.ลาว

เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 9 พฤษภาคม 2567 กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2105 (ร้อย.ฉก.ทพ.2105) ฉก.ทพ.21 กองกำลังสุรศักดิิ์มนตรี  บูรณาการร่วมกับ ร้อย.ฉก.ทพ.23 กองกำลังสุรนารี  และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร ได้สนธิกำลังร่วมกันทำการลาดตะเวนเฝ้าตรวจการกระทำความผิดกฎหมายริมฝั่งแม่น้ำโขงในพื้นที่บริเวณ บ.ตาลใหม่ รอยต่อระหว่าง บ.นาห้วยกอก  ต.ห้วยกอก  อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร กับ บ.นาสีดา ต.ชานุมาน อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ ได้ตรวจพบกลุ่มบุคคล จำนวนประมาณ 5 - 10 คน กำลังทำการลักลอบนำรถยนต์ ขึ้นเรือแพเตรียมนำข้ามแม่น้ำโขงไปยังฝั่ง สปป.ลาว ชุดลาดตระเวนจึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้กระโดดน้ำหลบหนีไป  จากการตรวจสอบพบรถยนต์ ยี่ห้อ ISUZU รุ่น d-max สีขาว ทะเบียน  กล 6810 ราชบุรี และรถยนต์ ยี่ห้อ ISUZU รุ่น d-max  สีเทา ทะเบียน บต 5130 พังงา จอดอยู่บนแพดัดแปลงขับเคลื่อนด้วยเรือเหล็กหางยาว 2 ลำ  เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดรถยนต์จำนวน 2 คัน  และเรือเหล็กพร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 2 ลำ ไว้เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ดอนตาล ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภาพ/ข่าว เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน 092-5259777

พังงา-ศรชล.ภาค 3 จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การสร้างความตระหนักรู้ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลพื้นที่ฝั่งอันดามัน

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ที่โรงแรมภูงา ตำบลตากแดด อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา โดยมี พล.ร.ต.จักรกฤษณ์ กลีบจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานฝ่ายอำนวยการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 3 เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาการสร้างความตระหนักรู้ ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2567 เรื่องการขับเคลื่อนองค์ความรู้ ทะเลและมหาสมุทร และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล สู่การเรียนการสอนในสถานศึกษา ของจังหวัดชายทะเลฝั่งอันดามัน เพื่อสร้างความตระหนักรู้ สร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทะเลให้กับครูผู้สอนในสถานศึกษาของจังหวัดชายทะเลฝั่งอันดามัน ให้มีความรู้อย่างท่องแท้ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการสัมมนา ใช้ประกอบควบคู่กับหนังสือทะเลและมหาสมุทร และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล นำไปสอนกับนักเรียน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้การสัมมนาครั้งนี้ ในทางปฏิบัติแล้วได้เริ่มดำเนินมาตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 ประกอบด้วยการประชุมเตรียมการจำนวน 3 ครั้ง การอบรมความรู้ผ่านระบบการเรียนการสอนทางไกล จำนวน 6 วัน วันละ 1 หัวข้อ มีครูลงทะเบียนเข้ารับการอบรมทางไกลจำนวน 601อบรมครบ 6 ชั่วโมงจำนวน 200 คน และมี ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการระดับจังหวัดและครูตัวแทนจากจังหวัดชายทะเล 6 จังหวัด เข้าร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการในวันนี้จำนวน 50 คน 

'กลาโหม' เตรียมปรับค่ายทหาร บำบัดผู้ติดยาที่มีอาการจิตเวช สร้างความหวัง ไม่ให้ตกอยู่ในภาวะ 'อกหัก-หลักลอย-คอยงาน'

(9 พ.ค. 67) ที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีแนวคิดจะนำผู้ติดยาเสพติด และมีอาการจิตเวช ให้หน่วยทหารดูแล ว่า สถานการณ์ยาเสพติดในขณะนี้ ผู้ติดยาเสพติดมักจะเป็นเด็ก และจะมีอาการทางจิตเวชอยู่หลายระดับ ซึ่งอาการทางจิตมักจะรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากการนำไปบำบัด  โดยวิธีที่ทหารทำได้คือจัดตั้งค่ายบำบัด ซึ่งอาจต้องปรับวิธีการมากขึ้นกว่าเดิม 

เช่น การนำตัวผู้มีอาการทางจิตไปขัง ไปฝึก หรือไม่ให้ผู้ติดยาเสพติดได้เสพยาอีก ซึ่งค่ายทหารจะต้องมีเรื่องทางการแพทย์ กิจกรรมต่าง ๆ และจิตวิทยาด้านอาชีพเพิ่มเติม เพื่อรองรับการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่มีอาการทางจิตเหล่านี้ด้วย เพื่อสร้างความหวังให้ผู้เข้ารับการบำบัดไม่ตกอยู่ในภาวะ ‘อกหัก หลักลอย คอยงาน’

เพราะฉะนั้นสิ่งที่กองทัพจะต้องทำต่อไป คือ จัดตั้งค่ายบำบัดในค่ายทหาร โดยการดูแลในค่ายจะต้องเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะแต่ก่อนคนติดยา ไม่ถึงกับมีอาการทางจิตเวช เพียงจับมาขังไว้ไม่ให้เสพ ลงโทษเล็กน้อย หรือใช้วิธีขู่ก็เลิกเสพแล้ว แต่การรักษาในลักษณะที่ว่ามา ไม่อาจใช้กับทุกวันนี้ได้แล้ว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแนะนำ 7 ข้อควรปฏิบัติ ในการจอด และขึ้น-ลงรถ ภายในที่จอดรถห้างสรรพสินค้า

วันนี้ (9 พฤษภาคม 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ และจากกรณีเหตุคนร้ายใช้อาวุธมีดพยายามชิงทรัพย์หญิงรายหนึ่งบริเวณที่จอดรถห้างสรรพสินค้า เป็นเหตุให้ผู้เสียหายบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยายาล ซึ่งต่อมาในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ขณะกำลังหลบซ่อนตัวภายในที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอแนะข้อควรปฏิบัติ เพื่อป้องกันและลดโอกาสที่พี่น้องประชาชนจะถูกคนร้ายก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว ดังนี้

1. ควรเลือกจอดรถในบริเวณที่ใกล้เคียงกับทางเข้า-ออก หรือบริเวณที่มีผู้คนเดินผ่านไปมา เนื่องจากอาชญากรมักจะเลือกก่อเหตุในบริเวณที่ลับตาคน

2. ควรเลือกจอดรถในบริเวณที่มีไฟส่องสว่าง เพื่อให้เราสามารถมองเห็นบริเวณพื้นที่โดยรอบ ขณะขึ้น - ลงจากรถ เพื่อความปลอดภัย

3. ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ล็อคประตูรถยนต์ทุกครั้ง ก่อนที่จะเดินเข้าห้างสรรพสินค้า

4. ควรเก็บของมีค่าให้มิดชิด เพื่อไม่ให้เป็นการล่อเป้ามิจฉาชีพ ที่อาจก่อเหตุประสงค์ต่อทรัพย์

5. ขณะเดินกลับมาที่รถ ควรให้ความสนใจสิ่งรอบตัวอยู่เสมอ หากมีผู้ไม่หวังดีเดินตามมา หรือหลบซ่อนอยู่บริเวณรถ จะสามารถสังเกตเห็นได้ทัน

6. ก่อนขึ้นรถ ควรสังเกตก่อนว่ามีใครหลบอยู่ภายในรถหรือไม่ และเมื่อขึ้นรถแล้วให้รีบล็อคประตูรถทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีแอบขึ้นมาบนรถ

7. กรณีที่ห้างสรรพสินค้าได้จัดพื้นที่จอดรถพิเศษ เช่น ที่จอดรถสำหรับผู้หญิง หากเป็นไปได้ควรที่จะเลือกจอดในบริเวณดังกล่าว

ทั้งนี้ หากท่านต้องการความช่วยเหลือ หรือพบเห็นการก่ออาชญากรรม สามารถแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ตำรวจหนองคาย สกัดเฮโรอีนล็อตใหญ่กว่า 1.4 ตัน หลังขนข้ามโขงเข้าไทย

ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ให้ปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน และเพิ่มความเด็ดขาดในการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่มีปัญหา พล.ต.ท.สรายุทธ  สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้สั่งการให้ตำรวจภาค 4 ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างเด็ดขาด ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 พ.ค.67  เวลาประมาณ 22.00 น. ตำรวจ สภ.นางิ้ว  ภ.จว.หนองคาย นำโดย พ.ต.ท.พญา บุญโสดากร สวญ.สภ.นางิ้ว ร่วมกับชุดปฏิบัติการด้านการข่าว ตชด.244 และ ตชด. 245 ร่วมกันสกัดจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ พร้อมด้วยเฮโรอีน 1,404 กิโลกรัม ผู้ต้องหา 4 คน ขณะกำลังลำเลียงเฮโรอีนไปส่งให้กับเครือข่ายที่ จ.หนองคาย  

โดยตำรวจ สภ.นางิ้ว, ตชด.244 และ ตชด. 245 ชุดจับกุมได้สืบสวนทราบว่า จะมีการลอบนำยาเสพติดจำนวนมากเข้ามาใน จ.หนองคาย จึงร่วมกันนำกำลังติดตามจับกุม ต่อมาวันที่ 8 พ.ค.67 เวลาประมาณ 22.00.น. ตำรวจชุดจับกุมได้นำกำลังไปที่บ้านเลขที่ 48 ม.7 บ้านภูเขาทอง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย พบผู้ต้องหาทั้ง 4 ทราบชื่อภายหลังว่า นายนิยม, นายศราวุธ, นายประสิทธิ์ และ นายประโท กำลังช่วยกันยกลังกระดาษรวม 20 ลัง จึงแสดงตัวขอตรวจค้น พบว่าเป็นเฮโรอีน ซึ่งผู้ต้องหารับว่ายังมีเฮโรอีนอยู่ในสวนยางอีก ตำรวจชุดจับกุมจึงติดตามไปค้นที่กระท่อมไม่มีเลขที่ ในสวนยาง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย พบเฮโรอีนบรรจุในลังอีก 9 ลัง จึงยึดไว้เป็นของกลาง จากการตรวจสอบทั้ง 29 ลัง พบว่าเป็นเฮโรอีน รวม 208 ก้อน น้ำหนัก 1,404 กก.  สอบถามได้ความว่า ผู้ต้องหาร่วมกัน ขนเฮโรอีนทั้งหมดมาขึ้นริมฝั่งบริเวณบ้านภูเขาทอง หมู่ 7 ต.บ้านม่วง โดยมีชาวลาวนำใส่เรือกีบหางเครื่องมาให้ ก่อนจะมาซุกซ่อนไว้ที่บ้านหลังดังกล่าว เบื้องต้นแจ้งข้อหานำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน)เข้ามาในราชอาณาจักร  มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน)ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำหน่าย หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป จากนั้นจึงจับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยเฮโรอีนของกลาง นำส่ง พงส.สภ.นางิ้ว ดำเนินคดีต่อไป

ภายหลังการจับกุม พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้สั่งการให้ ชุดปราบปรามยาเสพติดของ บก.สส.ภ.4 ประสานงานกับ ภ.จว.หนองคาย เร่งสืบสวนขยายผล กวาดล้างจับกุมผู้สั่งการและผู้ร่วมขบวนการอย่างเด็ดขาด รวมทั้งใช้มาตรการยึดทรัพย์กับเครือข่ายยาเสพติดทุกรายต่อไป

'อาเรวัช' รับ!! ฟังคลิปโน้สเต็มๆ แล้ว ไม่ได้มีคำพูดผิดกฎหมายอะไร แต่เจ้าตัวรู้ตัวเองอยู่แล้ว ว่าเจตนาต้องการแขวะใคร

จากกรณีที่ ‘โน้ส อุดม’ พูดทอล์กโชว์ ถึงเรื่องพอเพียงที่ฉายแบบเต็มผ่านแอปฯ สตรีมมิ่ง Netflix กระทั่งเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย 

ซึ่ง 1 ในผู้ที่ออกมาแอ็กชันรวดเร็ว คือ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด ที่ตอกกลับตอนหนึ่งว่า “เจตนามึงไม่ดี เรามันชาวบ้าน มึงกับกูเกิดมาครบ 32 นี่มีบุญเก่าปะ มึงอาจจะจมูกใหญ่กว่ากูหน่อย แต่ปากมึงน่ะเสียกว่ากู ไม่ควรอย่างยิ่ง เล่นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ลืมตัว อีโก้สูง คิดว่าตัวเองเป็นดาราดังแล้วเหรอ ต้องดัดสันดานมันครับ อย่าไปซื้อบัตรดูมัน ถ้าไปนั่งดูด้วยวันนั้น จะขึ้นไปถีบบนเวที ไม่งั้นก็เอารองเท้าปาใส่เวที”

ล่าสุด (8 พ.ค. 67) พล.ต.ท.เรวัช ได้ไลฟ์เฟซบุ๊กกล่าวถึงกรณีดังกล่าวอีกครั้ง ความว่า ตอบประเด็นเรื่องรถทัวร์ลงไปวิพากษ์วิจารณ์คุณโน้ส ผมไปดูคลิปเต็มแล้ว ไปดูคลิปเต็มทั้งหมดของเขาแล้วนะครับ ก็เป็นศิลปินที่เขาเหนือกว่าผมเยอะ คือเขามีเอฟซีเยอะและร่ำรวยกว่า มีคนติดตามเยอะ ตัวเขาอายุ 55 ปี ผมอายุ 69 ปี เขารู้อยู่แล้วว่าพวกเราพูดถึงเรื่องพอเพียงนี้หมายถึงใคร ไปแขวะ จริง ๆ พอไปฟังคลิปเต็ม ๆ แล้วเขาไม่ได้ทำหรือมีคำพูดผิดกฎหมายอะไร แต่ว่าเขารู้ตัวเองอยู่แล้วว่าเจตนาต้องการแขวะใคร 

“ผมเองไม่ได้อยากจะลงการเมือง ไม่ลงการเมือง และไม่เชียร์พรรคการเมืองไหน ไม่เป็นสาวกของวัดไหน พอพูดว่าพอเพียงแต่เขาไม่พอ มันเลยปรี๊ดขึ้นมา ส่วนคำพูดอื่นตลกอื่น เป็นเรื่องของเขาที่จะหาคอนเทนต์มาทำมาหากิน ผมไม่ได้โยง เพียงแต่อยากจะบอกเขาว่าช่องทางทำมาหากินมีตั้งเยอะ คอนเทนต์ที่จะสร้างเยอะแยะ ขอหน่อยได้ไหมครับ”

“ขอบคุณเอฟซีที่ไม่ทิ้งกัน คนเราร่วมเป็นร่วมตายกันก็ตอนมีวิกฤต เดิมผมยอดผู้ติดตามยูทูบ 4 แสน หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น มีคนติดตามเพิ่มขึ้น 1 หมื่นคน และเลิกติดตามไปประมาณ 170 คน เพราะเห็นว่าผมไปว่าคุณโน้ส ผมไม่ได้ซีเรียสครับ เหลือคนติดตามแค่พันคนผมก็ภูมิใจ เป็นครอบครัวเล็ก ๆ” พล.ต.ท.เรวัชกล่าว

พล.ต.ท.เรวัช เผยด้วยว่า โดยส่วนตัวผมก็ฟังคุณโน้สตลอด ตลกดีครับ เขาจะแขวะคนนู้นแซวคนนี้ ผมก็มองว่าเป็นศิลปินตลกครับ ก็ต้องหามุขมาเล่น ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่มาปรี๊ดแตกตรงพูดคำว่า พอเพียงแต่กูไม่พอ ส่วนที่ว่าผมไปนั่งดูแล้วจะขึ้นไปถีบไปขว้าง มันได้แต่คิดแต่ทำไม่ได้ ใจมันไม่ได้หยาบช้าที่จะไปคิดอย่างนั้น ผมจะสู้แต่กับคนที่มาทำร้ายประเทศ”

“ตอนนี้สถานภาพผมก็เป็นคนแก่คนหนึ่ง ที่เกษียณอายุราชการมาแล้ว แต่ผมเคารพนับถือของผม ผมไม่ยอม หรือผมอาจจะคิดผิดไปก็ได้ ใจคุณโน้สอาจจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ก็ได้ อาจจะเป็นกลอนพาไป ผมก็กลอนพาไปเหมือนกัน ผมไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนใคร ผมเจียมตัวเสมอ เป็นลูกชาวนาที่มีโอกาสได้รับราชการทหาร” อดีตผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติดทิ้งท้าย 

เพชรบูรณ์ มทบ.36 จัดงานครบรอบวันสถาปนา 40 ปี เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมและเชิดชูเกียรตินายทหารผู้กล้า

วันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลตรีวัชรพงศ์ แก้วแจ้ง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 พร้อมด้วยประธานชมรมแม่บ้านกองทัพบก มณฑลทหารบกที่ 36 นำคณะข้าราชการนายทหาร และ กำลังพลจากมณฑลทหารบกที่ 36 จัดงานวันสถาปนาหน่วยครบรอบปีที่ 40 ซึ่งตรงกับวันที่ 9 พฤษภาคม ของทุกปี โดยมีพล.ต.วิทยา แก้วพรม รองแม่ทัพภาค 3 เป็นประธานในพิธี มีพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับกำลังพลผู้ล่วงลับไปแล้วและเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วย รวมทั้งมอบทุนการศึกษาแก่บุตรกำลังพลในสังกัด ณ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 ค่ายพ่อขุนผาเมือง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีนายชนก มากพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ดร.เสกสรร นิยมเพ็ง นายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์ ดร.ประทิน นาคสำราญ นายก อบต.สะเดียง หัวหน้าส่วนราชการและกำลังพลร่วมในพิธี

สำหรับ มณฑลทหารบกที่ 36 จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2523 ตามคำสั่ง ทบ. (เฉพาะ) ลับที่ 98/23 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2523 โดยแยกกำลังบางส่วนจากจังหวัดทหารบกพิษณุโลก จัดตั้งเป็น "จังหวัดทหารบกส่วนแยก” บรรจุกำลังพลและยุทโธปกรณ์ตาม อฉก. หมายเลข 6010 เรียกนามหน่วยว่า "จังหวัดทหารบกพิษณุโลก (ส่วนแยกที่ 2 เพชรบูรณ์)” เป็นหน่วยในอัตราของจังหวัดทหารบกพิษณุโลก มีภารกิจสนับสนุนทางการส่งกำลังบำรุงต่อหน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดพิจิตร มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 เป็นต้นมา ต่อมาในปี พ.ศ.2527 ได้แปรสภาพหน่วยเป็น "จังหวัดทหารบก” ตามคำสั่ง ทบ. (เฉพาะ) ลับ 116/27 ลงวันที่ 9 พ.ค.2527 บรรจุกำลังพล และยุทโธปกรณ์ตาม อฉก. หมายเลข 5440 เรียกนามหน่วยว่า "จังหวัดทหารบกเพชรบูรณ์” คำย่อ "จทบ.พ.ช.” จนกระทั่งในปี พ.ศ.2533 ทบ. ได้มีคำสั่ง ทบ. (เฉพาะ) ลับ ที่ 103/33 ลง 12 ก.ค. 2533 ให้ปรับจากหน่วยใช้ อฉก. เป็นหน่วยใช้ อจย.บรรจุกำลังพลและยุทโธปกรณ์ตาม อจย.หมายเลข 51-301 (ลง 5 ส.ค. 2531) ประเภท จังหวัดทหารบก ชั้น 1 เป็นหน่วยขึ้นตรงต่อ มทบ.31 ปัจจุบันตั้งเป็น มณฑลทหารบกที่ 36 มีที่ตั้งหน่วยอยู่ภายในค่ายพ่อขุนผาเมือง ตำบล สะเดียง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยให้รับผิดชอบพื้นที่ 2 จังหวัด คือ จังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดพิจิตร ปัจจุบันมี พลตรีวัชรพงศ์ แก้วแจ้ง เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36

‘ดร.คณิศ’ เผย เหตุผลที่ ‘OKMD’ อยู่รอดมา 20 ปี เพราะการทำงานขององค์กรมีประโยชน์ต่อสังคม

เมื่อวานนี้ (8 พ.ค. 67) ที่ TK Park ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์กรมหาชน) หรือ OKMD จัดงาน 20 years of Thailand Knowledge Creation: Past and Future

โดยบรรยากาศเวลา 13.00 น. น.ส.ปานบัว บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), นายมณฑล ประภากรเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักพิมพ์มติชน เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของ OKMD โดยมี ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการ OKMD พร้อมด้วย นายราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) ร่วมให้การต้อนรับ ท่ามแขกผู้มีเกียรติคับคั่ง

ต่อมาเวลา 14.10 น. เริ่มเสวนา หัวข้อ ‘20 years of Thailand knowledge creation: Past’ นำโดย พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และอดีตรองนายกรัฐมนตรี,พล.ร.อ.ฐนิธ กิตติอำพล อดีตผู้อำนวยการ OKMD, ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ อดีตประธานกรรมการ OKMD

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ อดีตประธานกรรมการ OKMD กล่าวว่า Brain Based Learning หรือขบวนการการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ไม่ใช่การศึกษาโดยตรง การเรียนรู้เป็น Alternative (ทางเลือก) ประคองระบบการศึกษา การเรียนรู้ตอนนี้และในอนาคต จะไม่ใช่การเข้าห้อง การพัฒนาสมองของคนแต่ละยุคไม่เหมือนกัน อย่าหวังให้เด็กเก่งเหมือนผู้ใหญ่เป็นไปไม่ได้ เลยไปทำโครงการอบรมกับแรงงานในโรงงาน และเกษตรกร

ดร.คณิศ กล่าวว่า งานของ OKMD มีอยู่ 3-4 ขั้นตอน 1.ทำงานวิจัยเชิงวิชาการให้ผลการศึกษามาก่อน จากนั้น Crack ให้เป็นหลักสูตรที่ทำได้จริง แล้วไปทำ Sandbox แล้วนำไปขยายผล ซึ่งต้องใช้กระทรวงต่างๆ ที่เป็นองค์กรหลัก เป็นผู้ขยายผล

“เข้าใจว่าคำว่า 20 ปี ผ่านขบวนการนี้มา ทำให้ OKMD TK Park มิวเซียมสยาม อยู่ได้มาถึงทุกวันนี้” ดร.คณิศ กล่าว

ดร.คณิศ กล่าวว่า พล.อ.เอก ประจิน พูดถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง ‘เขาส่งมือสังหารมานะ วันนั้นเกือบแย่แล้วนะ’ จะมีการนำ OKMD ไปอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ TK Park ไปอยู่กระทรวงวัฒนธรรม TCDC ไปอยู่กระทรวงพาณิชย์ เป็นเรื่องที่แปลกมาก ตอนที่ตนเข้ามาทำงานตรงนี้เจอกระแสการเมืองแรงมาก คุณไม่รู้ว่าอนาคตจะเจออีกหรือไม่ แต่โชคดีที่ พล.อ.เอก ประจิน อยู่ไม่งั้นจะวุ่นวายกว่านี้ รวมถึงมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่ช่วยองค์กรไว้

National knowledge Center หรือศูนย์การเรียนแห่งชาติเป็นเรื่องที่น่าดีใจ เพราะทำกันมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่จะก่อตั้งที่สามย่าน สภาพัฒน์ฯ สวนลุมพินี ก่อนที่จะมาตั้งที่กองสลาก ถ.ราชดำเนินกลาง ความต่อเนื่องเหล่านี้เป็นประวัติศาสตร์ 20 ปี ถ้าพวกเราไม่ได้ทำ ก็คงไม่มาถึงวันนี้ ‘เชื่อว่ารากยิ่งลึกต้นไม้ยิ่งสูง’

ดร.คณิศ กล่าวว่า มีเรื่องนึงที่ทำให้ OKMD หลุดพ้นมาได้ คือการทำงานกับชุมชน สิ่งที่ทำให้อยู่รอดคือ ต้องเป็นประโยชน์กับประชาชน ถ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน คนก็ลืม มีการแนะนำให้มีการกระจายงานออกไปต่างจังหวัด ต้องไปทุกกลุ่ม

“วันก่อนดีใจลงไปที่โรงสีแดง หับ โห้ หิ้น จ.สงขลา มีนักเที่ยวไปกันเยอะแยะ สิ่งเหล่านี้อยู่กับพวกเรา มันทำให้พวกเราได้เข้าใจว่าการอยู่ในสังคมต้องมีประโยชน์ ส่วนเรื่องการบริหารเชื่อว่าองค์กรต้องมีความต่อเนื่อง ถ้ายิ่งมีเครือข่ายมากก็ยิ่งช่วยทำงาน” ดร.คณิศกล่าว

ดร.คณิศ กล่าวว่า สำหรับความอยู่รอดของ OKMD เรารองบประมาณไม่ได้ ภารกิจที่ทำยิ่งใหญ่มาก การทำงานร่วมกับเอกชนเป็นเรื่องสำคัญ การจัดการแฟชั่นวีคที่เชียงใหม่ OKMD ใช้เงิน 30% เอกชนใช้เงิน 70% อีกทั้งการตั้งกองทุนก็ไม่เหมาะสม เพราะเมื่อมีเงินเยอะ ก็ถูกรัฐบาลดึงไปใช้ รวมถึงเทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนชีวิตพวกเรา

‘รถบรรทุก’ ชนคานกั้นความสูง ‘แยกพญาไท’ ส่งผลรถติดยาวถึง ถ.พระราม 9 แยกรามคำแหง

(9 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกชนคานจำกัดความสูง ที่ถนนศรีอยุธยา ขาเข้า จากแยกหมอเหล็ง-แยกศรีอยุธยา ที่เชิงทางขึ้นสะพานข้ามแยกพญาไท ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ปิดการจราจร 2 ช่องทาง ดำเนินการเคลื่อนย้าย การจราจรติดขัด

ต่อมาเมื่อเวลา 07.29 น. เจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายรถและโครงหลังคาออกได้แล้ว และอยู่ระหว่างเก็บกวาดสิ่งของที่ตกหล่น และล้างทำความสะอาดถนน

ทั้งนี้ เพจ สวพ.91 ยังได้ระบุอีกว่า “รถชนที่กั้นความสูงแยกพญาไท ถนนศรีอยุธยา ขาเข้า
ยังไม่พ้นกีดขวาง ท้ายสะสมถนนพระราม 9 แยกรามคำแหง”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top