Wednesday, 1 May 2024
WeeklyColumnist

Helsinki Is The World's Most Honest City เมืองที่ได้ชื่อว่า ‘ผู้คนซื่อสัตย์ที่สุด (และน้อยที่สุด) ในโลก’

เมืองที่ได้ชื่อว่า ผู้คนซื่อสัตย์ที่สุด (และน้อยที่สุด) ในโลก’ : ทดสอบด้วยการทำกระเป๋าเงิน หล่น” โดยนิตยสาร Reader's Digest ซึ่งได้ทำการทดลองทางสังคมทั่วโลกเพื่อหาคำตอบ

นิตยสาร Reader's Digest ได้ทำการทดลองด้วยการทำกระเป๋าเงิน หล่น” ในเมืองต่างๆ ทั่วโลก โดยในกระเป๋าแต่ละใบจะใส่ ชื่อพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ รูปถ่ายครอบครัว คูปองและนามบัตร รวมถึงเงินจำนวน US $50 จากนั้นก็ได้ทำกระเป๋าเงิน 12 ใบ หล่น” ในแต่ละเมืองจาก 16 เมืองที่เลือกไว้ โดยทำหล่นไว้ใน สวนสาธารณะ ใกล้ห้างสรรพสินค้า และบนทางเท้า จากนั้นก็เฝ้าดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ซื่อสัตย์ที่สุด : Helsinki, Finland ได้รับกระเป๋าเงินคืน : 11 จาก 12 ใบ เริ่มจาก Lasse Luomakoski นักธุรกิจหนุ่ม วัย 27 ปี พบกระเป๋าเงินในตัวเมือง ชาวฟินแลนด์มีความซื่อสัตย์โดยธรรมชาติ” เขากล่าว เราเป็นชุมชนเล็กๆ ที่เงียบสงบ และมีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น การคอร์รัปชันของเราเล็กน้อยมาก และเราแทบจะไม่เคยติดไฟแดงด้วยซ้ำ” ในย่านชนชั้นแรงงานของ Kallio สามีภรรยาคู่หนึ่งในวัยหกสิบเศษกล่าวว่า แน่นอนว่าเราคืนกระเป๋าเงินไปแล้ว ความซื่อสัตย์คือความเชื่อมั่นที่อยู่ภายใน”

Mumbai, Indiaได้รับคืนกระเป๋าเงิน : 9 จาก 12 ใบ Rahul Rai บรรณาธิการวัย 27 ปีกล่าวว่า “ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของผมจะไม่ปล่อยให้ผมทำอะไรผิดพลาด กระเป๋าเงินเป็นเรื่องใหญ่ที่มีเอกสารสำคัญมากมาย [อยู่ในนั้น]”

Vaishali Mhaskar แม่ลูกสองคืนกระเป๋าเงินที่ทิ้งไว้ในที่ทำการไปรษณีย์ ฉันสอนลูกๆ ให้ซื่อสัตย์เหมือนที่พ่อแม่สอนฉัน” เธอกล่าว ต่อมาในวันนั้นผู้ใหญ่สามคนพบกระเป๋าเงิน และโทรตามหาทันที

Budapest, Hungary จำนวนกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 8 จาก 12 ใบ Regina Györfi วัย 17 ปีโทรหาหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าเงินใบหนึ่งทันทีที่พบในห้างสรรพสินค้า ฉันจำได้ว่าอยู่ในรถเมื่อพ่อของฉันสังเกตเห็นกระเป๋าเงินตกอยู่ข้างถนน” เธอกล่าว เมื่อเราไปถึงเจ้าของเขารู้สึกขอบคุณมาก : หากไม่มีเอกสารในกระเป๋าเงิน เขาจะต้องเลื่อนงานแต่งงานออกไป ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันเดียวกัน!” อย่างไรก็ตามผู้หญิงในวัยหกสิบต้น ๆ ของเธอคนหนึ่งเก็บกระเป๋าเงินใบหนึ่งที่ทำ หล่น” เธอเปิดกระเป๋าเงินจากนั้นก็เข้าไปในอาคารใกล้เคียง และไม่ได้ข่าวจากเธออีกเลย

Moscow, Russia จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 7 จาก 12 ใบ ใกล้สวนสัตว์ใจกลางเมือง Eduard Anitpin เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินยื่นกระเป๋าเงินที่หายไปให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผมเป็นเจ้าหน้าที่ และผมผูกพันกับจรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่” เขากล่าว พ่อแม่ของผมเลี้ยงดูผมอย่างซื่อสัตย์และดีงาม” ต่อมาผู้ทำความดีอีกคนหนึ่งกล่าวว่า เชื่อมั่นว่า ผู้คนควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันและถ้าสามารถทำให้ใครบางคนมีความสุขมากขึ้นได้ก็จะทำ”New York City, U.S.A.จำนวนกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 8 จาก 12 Richard Hamilton พนักงานของรัฐวัย 36 ปี จาก Brooklyn พบกระเป๋าเงินใกล้ศาลากลางและนำกลับมาคืน ทุกคนบอกว่า ชาวนิวยอร์กไม่เป็นมิตร แต่พวกเขาก็เป็นคนดีจริงๆ” เขากล่าว “ผมคิดว่า คุณคงต้องประหลาดใจมากที่เห็นว่า จะมีชาวนิวยอร์กจะยอมคืน [กระเป๋าเงิน] ได้กี่คน” ไม่ใช่ชาวนิวยอร์กทุกคนที่ซื่อสัตย์ และเมื่อเฝ้าดูชายวัยยี่สิบคนหนึ่งเก็บและเอาเงินจากกระเป๋าเงินไปซื้อบุหรี่ที่ร้านสะดวกซื้อ อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่ม อายุ 17 ปี หนึ่งในสองคนที่พบกระเป๋าเงินอธิบายถึงแรงจูงใจในการติดต่อกลับว่า ผมอ่านเอกสารทั้งหมด และเห็นรูปถ่ายของครอบครัว และคิดว่า แย่จัง เขามีลูกสองคน เราต้องคืนสิ่งนี้” คนในท้องถิ่นอีกคนบอกว่า มันง่ายมากที่จะถูกเหยียดหยาม แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์ 9/11 สิ่งนั้นได้ปลูกฝังความเป็นเพื่อนให้กับทุกคน”

Amsterdam, the Netherlands จำนวนกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 7 จาก 12 ใบ คนบางคนที่พบกระเป๋าเงินสนใจเงินยูโรข้างในมากกว่ารูปที่ใส่ไว้ แต่ Julius Maarleveld เห็นกระเป๋าเงินที่หล่น และเข้าไปในร้านเหล้าใกล้ๆ เมื่อตามเข้าไป จึงกระตุ้นให้ Maarleveld พูดขึ้นว่า คุณมาที่นี่เพื่อตามกระเป๋าเงินหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น [เสมียน] ก็โทร...ภรรยาของผมทำกระเป๋าเงินหาย มันถูกพบและส่งคืน ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่วิเศษมิใช่หรือ” Angelique Monsieurs วัย 42 ปี สังเกตเห็นกระเป๋าเงินระหว่างทางเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต และรอเพื่อส่งกระเป๋าเงินคืนเจ้าของอีกครั้ง

Berlin, Germany จำนวนกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 6 จาก 12 Seyran Coban ครูฝึกสอนได้ไปที่กระเป๋าเงินในเวลาเดียวกันกับชายหนุ่มอีกคน แต่ปฏิเสธที่จะให้เก็บ ฉันไม่ไว้ใจเด็กคนนั้น ผู้คนมักปฏิบัติต่อฉันด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และถ้าฉันทำเช่นเดียวกันนั่นคือสิ่งที่ฉันจะได้รับตอบแทน” เธอบอก Abel Ben Salem วัย 46 ปีกล่าวว่า เขาคืนกระเป๋าเงินเพราะ “ผมเห็นรูปถ่ายของแม่กับลูก สิ่งอื่นใดที่สำคัญภาพถ่ายเช่นนั้นหมายถึงบางสิ่งซึ่งสื่อถึงเจ้าของ” ชายคนหนึ่งในวัยสี่สิบต้นๆ รีบคว้ากระเป๋าเงินใส่กระเป๋าจากนั้นใช้เวลาสิบนาทีในการโทรศัพท์ โดยไม่มีเบอร์ที่อยู่ในกระเป๋าเงินเลย

Ljubljana, Slovenia จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 6 จาก 12 เราถาม Manca Smolej นักเรียนอายุ 21 ปีว่า เธอคิดจะเก็บเงินไว้หรือไม่ เมื่อพบกระเป๋าเงิน ไม่!” เธอตอบ...พ่อแม่ของฉันสอนฉันว่า ความซื่อสัตย์นั้นสำคัญแค่ไหน เมื่อฉันทำกระเป๋าหายทั้งใบ แต่ฉันได้ทุกอย่างกลับคืนมา ดังนั้นฉันรู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร” ชายคนหนึ่งในวัยห้าสิบต้นๆ หยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา แล้วเริ่มหมุนโทรศัพท์ แต่แล้วก็หยุด เก็บกระเป๋าเงินไว้ และขับรถหรูราคาแพงจากไป

London, England จำนวนการส่งคืนส่งคืนกระเป๋าเงิน : 5 จาก 12 Ursula Smist อายุ 35 ปีซึ่งมีพื้นเพมาจากโปแลนด์เก็บกระเป๋าเงินได้ และส่งมอบให้เจ้านายของเธอ ถ้าคุณหาเงินคุณไม่สามารถสรุปได้ว่า มันเป็นของคนจนหรือรวย” เจ้านายของเธอกล่าว มันอาจจะเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่แม่ต้องเลี้ยงครอบครัว”

Warsaw, Poland จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 5 ใน 12 Marlena Kamínska นักเทคโนโลยีชีวภาพ วัย 28 ปี หยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา และกระโดดขึ้นรถบัส สามชั่วโมงต่อมาเธอโทรตามหาเจ้าของ หลังจากคุยกับเพื่อนร่วมงาน “มีผู้แนะนำให้ฉันไม่ต้องกังวลกับการตามหาเจ้าของ” เธอกล่าว แต่ฉันคิดว่า อาจมีคนต้องการเงินจำนวนนั้นมาก” ส่วนกระเป๋าเงินอีกเจ็ดใบนั้นถูกหญิงหลายคนเก็บไปและไม่ได้เจอะเจอพวกเขาอีกเลย

Bucharest, Romania จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 4 จาก 12 Sonia Parvan นักเรียนอายุ 20 ปี กับ Cristina Topa พบกระเป๋าเงิน และตามหาเจ้าของทันที ฉันรู้ว่า การทำกระเป๋าเงินหายมันรู้สึกยังไง แม่ของฉันทำหายไปครั้งหนึ่งและไม่ได้คืน” เธอกล่าว เราเฝ้าดูหญิงสาวอีกคนหนึ่งหยิบกระเป๋าเงินของเราขึ้นมา แล้วถามคนที่เดินผ่านไปมาสองคนว่า เป็นของพวกเขาหรือไม่ จากนั้นเธอก็ค้นอย่างละเอียด และเก็บไว้ในกระเป๋าของเธอ และไม่ได้รับการติดต่อจากเธออีกเลย

Rio de Janeiro, Brazil จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 4 จาก 12 ใน ย่านการค้าหญิงอายุปลายๆ ยี่สิบส่งคืนกระเป๋าเงินโดยไม่มีเงิน แต่ Delma Monteiro Brandāo วัย 73 ปีส่งคืนให้ หลังพบกระป๋าเงิน ขณะไปรับหลานสาวที่โรงเรียน นี่ไม่ใช่ของฉัน!” เธอพูด ในช่วงวัยรุ่นฉันหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งในห้างสรรพสินค้าโดยไม่จ่ายเงิน เมื่อแม่ของฉันรู้ เธอบอกฉันว่า พฤติกรรมนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”

Zurich, Switzerland จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 4 ใน 12 ใบ Jeanette Baum ครูสอนดนตรีวัย 38 ปี พบกระเป๋าเงิน และส่งอีเมลและข้อความถึงที่อยู่ในกระเป๋าหลังจากโทรติดต่อไม่ได้ ฉันรู้ว่าการสูญเสียอะไรบางอย่างไป” เธอกล่าว การ ‘ไม่รู้’ หลังจากนั้นแย่มาก นั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องตอบสนองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” ในขณะเดียวกันคนขับรถรางในวัยห้าสิบต้นๆ ได้เก็บกระเป๋าเงินเอาไว้

Prague, Czech Republic จำนวนการได้รับกระเป๋าเงินคืน : 3 ใน 12 Petra Samcová เก็บกระเป๋าเงินได้ และไม่คิดว่าจะเก็บไว้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณควรทำ” เธอกล่าว แต่วัยรุ่นหนุ่มสาวสองคนที่เดินอยู่ย่านบ้านจัดสรรชานเมืองในเขตชานเมืองปรากกลับเก็บกระเป๋าเงินไว้ในกระเป๋าเป้อย่างอารมณ์ดี โดยคิดที่จะไม่ส่งคืน

Madrid, Spain จำนวนกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 2 ใน 12 Beatriz Lopez นักเรียน อายุ 22 ปี พบกระเป๋าเงินในย่านหรูใจกลางเมืองกับเพื่อนของเธอ Lena Jansen อายุ 22 ปีเช่นกัน“ เราแค่อยากจะคืนให้เท่านั้น” Jansen กล่าวว่า ฉันไม่สามารถเก็บกระเป๋าเงินที่ไม่ใช่ของฉันได้”

ซื่อสัตย์น้อยที่สุด : Lisbon, Portugal มีกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 1 ใน 12 คู่สามีภรรยาอายุหกสิบเศษเห็นกระเป๋าเงิน และโทรหาทันที ที่น่าสนใจคือ ทั้งสองไม่ได้มาจากลิสบอน แต่มาจาก Netherlands ส่วนกระเป๋าเงินที่เหลืออีกสิบเอ็ดใบไม่ได้รับการส่งคืนทั้งหมด

จากกระเป๋าเงินจำนวน 192 ใบที่ถูกตั้งใจทำ หล่น” 90 ใบถูกส่งคืน คิดเป็น 47 % เมื่อดูผลลัพธ์แล้ว พบว่าอายุไม่สามารถทำนายได้ว่าคนๆ นั้นจะซื่อสัตย์หรือไม่ กระเป๋าเงินซึ่งเด็กและผู้ใหญ่ทั้งที่เก็บไว้หรือส่งคืน จะเป็นเพศชายหรือหญิง ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ รวมถึงความมั่งคั่ง ก็ดูเหมือนจะไม่รับประกันความซื่อสัตย์

มีคนซื่อสัตย์และไม่ซื่อสัตย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ไม่สามารถเดาเมืองที่ดีที่สุดในโลกได้ แต่จากคำแนะนำ : ยังไงก็น่าจะไม่ใช่ นิวยอร์ก ลอนดอน หรือปารีส อย่างแน่นอน

ครั้งหนึ่งนิตยสาร Reader's Digest ก็ได้ทำการทดลองทางสังคมทั่วโลก เพื่อหาคำตอบถึงเมืองที่ผู้คนซื่อสัตย์ที่สุด โดยมี กรุงเทพมหานคร” เป็นหนึ่งใน 32 เมืองใหญ่ทั่วโลก ซึ่งถูกร่วมทดสอบ ด้วยการนำเอาโทรศัพท์มือถือ 30 เครื่อง ไปวางทิ้งไว้ตามสถานที่ชุมชนต่างๆ ในเมือง แล้วเฝ้าดูว่า มีคนเมืองไหนที่ซื่อสัตย์ นำโทรศัพท์คืนให้เจ้าของมากที่สุด

ผลการทดสอบที่ออกมาน่าเหลือเชื่อ ประเทศที่เคยมีผู้สำรวจว่า มีความซื่อสัตย์สุจริตติดอันดับต้นๆ ของโลก เพราะมีการทุจริตโกงกินน้อย อย่างเช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย ปรากฏว่า ความซื่อสัตย์ของคนในเมืองเหล่านี้ กลับแพ้คนไทยหลุดลุ่ย

ความซื่อสัตย์ของคนไทยอยู่ในอันดับที่ 14 ร่วมกับ บราซิล ฝรั่งเศส เยอรมนี โทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้ในศูนย์การค้า สวนสาธารณะ ย่านธุรกิจทั่วกรุงเทพฯ 30 เครื่อง มีผู้นำไปคืนมากถึง 21 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 70 ซึ่งนิตยสาร Reader's Digest ได้ทำการสัมภาษณ์คนไทยผู้ซื่อสัตย์ที่นำโทรศัพท์มือถือคืนเจ้าของกว่าสิบคน ดังนี้

พนักงานขับรถไฟฟ้า BTS บอกว่า ผมทำงานที่รถไฟฟ้า BTS ทำให้เจอพลเมืองดีนำโทรศัพท์มือถือมาคืนเยอะมาก ผมไม่เคยทำมือถือหาย แต่ตระหนักดีว่า เจ้าของต้องเดือดร้อนแน่ เพราะเบอร์ติดต่อหายหมด

นักเรียน วัย 14 ปี อีกคนบอกว่า หนูเคยทำมือถือหายสองครั้ง ไม่ได้คืนทั้งสองครั้ง เสียใจ เสียความรู้สึก เดือดร้อนที่หมายเลขโทรศัพท์เพื่อนๆ หายหมด จึงอยากคืนให้เจ้าของ และไม่สนใจว่า โทรศัพท์จะราคาถูกหรือแพง

แต่สิงคโปร์ ประเทศที่ฝรั่งยกย่องว่า ทุจริตโกงกินน้อยที่สุดในภูมิภาคนี้ คนสิงคโปร์กลับซื่อสัตย์น้อยมากกว่ามาก โดยนำโทรศัพท์ที่เก็บได้คืนเจ้าของเพียงแค่ร้อยละ 53 เท่านั้น เรียกว่า สอบผ่านอย่างเฉียดฉิว

ส่วน คนฮ่องกง และ มาเลเซีย รั้งตำแหน่ง บ๊วย” ด้วยกันทั้งคู่ สอบตกเรื่องความซื่อสัตย์ นำโทรศัพท์ไปคืนต่ำที่สุดในภูมิภาค แค่ร้อยละ 43 เท่านั้นเอง และเมืองที่ประชาชนมีความซื่อสัตย์ที่สุดในโลก ตกเป็นของประเทศเกิดใหม่ กรุง Ljubljana, Slovenia โทรศัพท์มือถือที่ถูกทำ หล่น” ไว้ 30 เครื่อง ได้รับคืน 29 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 97 หายไปแค่ 1 เครื่องเท่านั้นเอง ชาวเมืองทุกคนล้วนมีน้ำใจเอื้ออารี

อันดับ 2 เป็นชาวนคร Toronto, Canada ได้รับโทรศัพท์ คืน 28 เครื่อง จาก 30 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 93 โดยเหตุผลที่ชาวโตรอนโตบอกคือ ถ้าเราพอจะช่วยใครสักคนได้ ทำไมจะไม่ช่วยเล่า” น้ำใจอย่างนี้ช่างน่านับถือจริงๆ

อันดับ 3 เป็นกรุงโซล ของเกาหลีใต้ ได้คะแนนสูงถึงร้อยละ 90 กรุง Stockholm Sweden แม้ความซื่อสัตย์จะมาเป็นอันดับที่ 4 แต่คำตอบของชาวสวีเดนน่าประทับใจเหลือเกิน การทำสิ่งที่ถูกต้อง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานประจำวัน”

อยากให้สังคมไทยคิดได้อย่างนี้ การทำสิ่งที่ถูกต้องให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน บ้านเราจะเป็นสวรรค์บนดินไปเลย สังคมไทยจะอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่แตกแยกแบ่งฝ่ายเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

โลกคู่ขนานของ ‘ละคร’ และ ‘ชีวิตจริง’

ละครโทรทัศน์ คือ ความบันเทิงในรูปแบบหนึ่งที่อยู่คู่กับจอแก้วมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุคแอนะล็อกมาจนถึงการออกอากาศระบบดิจิทัล หลังจากที่มีช่องโทรทัศน์เพิ่มมากขึ้น ก็ทำให้คนดูมีทางเลือกในการรับชมละครเพิ่มมากขึ้น และข้อที่ยังยืนยันได้ว่าละครโทรทัศน์ยังเป็นรายการที่ได้รับความนิยม ก็จากการจัดเรตติงของเนลสัน ที่พบว่า ละครโทรทัศน์ ยังคงเป็นรายการที่มีผู้รับชมสูงสุดของแต่ละสถานี และเป็นจุดขายของแต่ละสถานีในการช่วงชิงพื้นที่เรตติงหลังข่าวภาคค่ำ

โดยความคาดหวังของละครโทรทัศน์ในมุมคนดู ก็มีหลายเหตุผล เช่น เพื่อความเพลิดเพลิน ให้ความบันเทิงกับคนดู หรือเพื่อหลักหนีจากโลกความจริงไปสู่โลกจินตนาการ เราอาจจะเป็นนางเอกนิยายในชีวิตจริงไม่ได้แต่เราเป็นได้ในโลกละคร

นอกจากนี้บางครั้งละครก็ถูกคาดหวังให้ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนสังคม ให้แง่คิด และเปลี่ยนแปลงสังคมได้ และละครก็จะถูกตรวจสอบจากคนดูได้เช่นกันหากพบว่าเนื้อหามีความไม่เหมาะสม เช่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีกระแสแบนละครเมียจำเป็น ทางช่อง 3 ที่ถูกพุ่งเป้าไปที่บทละครที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม ทำให้เกิด hashtag #แบนเมียจำเป็น #ข่มขืนผ่านจอพอกันที ซึ่งขึ้นเทรนด์อันดับ 1 และ 2 ของทวิตเตอร์ประเทศไทยในช่วงเวลานั้น

ประเด็นเนื้อหาที่ถูกพูดถึง เช่น การใส่ฉากข่มขืนในละคร พระเอกรังเกียจนางเอกที่ถูกขืนใจ แม้กระแสในโลกโซเชียลจะถูกตั้งคำถามถึงความไม่เหมาะสมของเรื่องราว แต่ดูเหมือนว่าเรตติงตอนจบจะสวนทางกับกระแสสังคม ที่สามารถโกยเรตติงไปได้ทั่วประเทศถึง 4.7 ขณะที่ยอดชมทางออนไลน์ ก็กวาดยอดวิวรวมกัน 2 แพลตฟอร์มไปได้กว่า 500,000 วิว (TrueID, 3+)

หากเรามองว่าละคร สามารถเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่สามารถเป็นเครื่องมือในการสอนหรือกล่อมเกลาสังคมได้ การมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมออกฉาย อาจจะทำให้เกิดการเลียนแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในโลกความจริงที่คู่ขนานมากับโลกของละคร ผ่านการเลียนแบบตามหลักจิตวิทยา ที่มีทั้งรูปแบบของการเลียนแบบภายใน (Identification) ที่อาจจะเป็นสิ่งที่สังเกตได้ยากและต้องใช้เวลา และการเลียนแบบภายนอก (Imitation) ซึ่งการเลียนแบบภายนอกเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างง่ายและชัดเจน เช่น เด็กที่ดูเซเลอร์มูนแล้วทำท่าแปลงร่างตาม

หรือแม้แต่การเลียนแบบงานในสื่อมวลชน ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายจากการเรียนรู้ร่วมไปกับเหตุการณ์ต่างๆ เช่น เราอาจจะรู้ว่าการขับรถยนต์ขับยังไงจากการดูละคร ทั้งๆ ที่ในชีวิตจริงของเราอาจจะไม่เคยขับรถยนต์มาก่อน เรียกว่า Observation Learning หรือถ้าละครได้นำเสนอบทลงโทษของคนที่ทำผิด ผู้ที่รับชมอาจจะรู้สึกคล้ายกับว่าตนเองได้รับบทลงโทษไปด้วย และจะไม่กล้าทำตามที่นักแสดงทำ เรียกว่า Inhibitory Effect ซึ่งก็มีงานวิจัยมากมายที่ออกมาสนับสนุนแนวคิดเหล่านี้พอสมควร

ดังนั้น แม้ว่าละครอยู่ในจอแก้ว ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าละครที่ถ่ายทอดออกมาเป็นการแสดงที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ก็เป็นสื่อที่อาจจะส่งผลและมีอิทธิพลต่อคนดู จึงต้องถูกคาดหวังตามมาว่าจะสามารถให้คติหรือสอนคนดูได้เช่นกัน


ที่มา:

Bandura, A., (1997). Social Learning Theory. America: New Jersey.

กาญจนา แก้วเทพ. (2556). สื่อสารมวลชน : ทฤษฎีและแนวทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: เอดิสัน เพรส โพรดักส์

Instagram : @klink.official

https://www.thairath.co.th/entertain/news/2029213

ทำไมใคร ๆ ก็อิจฉาสวีเดน

ทำไมใครๆ ก็อิจฉาสวีเดน หนึ่งในประเทศผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมโลก และการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก

...ประเทศสวีเดน หนึ่งในประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่เคยติดอันดับประเทศที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และพลังงานทางเลือกที่ดีที่สุดในโลก

...ประเทศที่จำเป็นต้องนำเข้าขยะจากต่างประเทศ เพราะขยะไม่พอรีไซเคิลใช้ในประเทศ

...ประเทศแรกในโลกที่ประกาศเป้าหมายปลอดการใช้พลังงานคาร์บอน

...และยังเป็นประเทศบ้านเกิดของนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชื่อดังระดับโลกอย่าง เกรต้า ธุนเบิร์ก

สวีเดนทำได้อย่างไร? วันนี้เราลองมาดูแนวทางการพัฒนาชาติอย่างยั่งยืน

ที่ทำให้สวีเดนพัฒนาจากประเทศที่เคยยากจนที่สุดในยุโรป ให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกกันดีกว่า

ปัจจัยสำคัญที่สร้างสวีเดนให้มีความมั่งคั่ง และยั่งยืนในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม คือ ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล การพัฒนาด้านนวัตกรรม สังคมคุณภาพ และการศึกษาที่มีเป้าหมายหากนับย้อนหลังไปเมื่อร้อยปีก่อน ประเทศสวีเดน อาจเป็นเพียงหนึ่งในประเทศยากจนในดินแดนยุโรป ที่อาศัยรายได้จากกสิกรรมเป็นหลัก และมักได้ผลผลิตน้อยเนื่องจากอยู่ในเขตที่มีอากาศหนาวจัด และประชากรเบาบาง แต่สิ่งที่ทำให้สวีเดนสามารถพัฒนาจนกลายเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า และเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลในด้านสิ่งแวดล้อมประเทศหนึ่งของโลก มีอยู่หลายปัจจัย

จุดเด่นของรัฐบาลสวีเดน คือการวางแผนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจน และเห็นเป้าหมาย ซึ่งสวีเดนก็เป็นประเทศแรกๆ ในโลก ที่ผ่านร่างกฏหมายด้านสิ่งแวดล้อมระดับประเทศที่ชื่อว่า Environmental Protection Act ตั้งแต่ปี 1967 และยังเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมด้านสิ่งแวดล้อมโลกขององค์การสหประชาชาติเป็นครั้งแรกของโลกในปี 1972

และทราบหรือไม่ว่าเมือง Växjö ในสวีเดนเป็นเมืองแรกของโลกที่ประกาศเป้าหมายเป็นเมืองปลอดพลังงานจากคาร์บอนตั้งแต่ปี 1996 ให้บรรลุเป้าหมายภายในปี 2030 ซึ่งเมือง Växjö ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความเขียวขจีที่สุดในยุโรป

ทั้งนี้ รัฐบาลสวีเดนยังได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นประเทศปลอดคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2045 ซึ่งเป้าหมายนี้ตั้งอยู่บนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของชาติที่เรียกว่า ‘1 เจนเนอเรชั่น 16 เป้าหมาย 24 หลักชัย’

หมายความว่า สวีเดนตั้งเป้าที่จะส่งมอบประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัยและยั่งยืน ให้สำเร็จให้ได้ภายใน 1 ช่วงอายุคนที่ครอบคลุม 16 เป้าหมายดังนี้

1. จำกัดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

2. อากาศบริสุทธิ์

3. รักษาสมดุลย์ของกรดในธรรมชาติ

4. สิ่งแวดล้อมที่ปลอดสารพิษ

5. ปกป้องชั้นบรรยากาศ

6. มีความปลอดภัยจากพิษรังสี

7. ปลอดมลภาวะทางน้ำ

8. แม่น้ำ ลำธารงดงาม

9. น้ำบาดาลที่มีคุณภาพดี

10. รักษาสมดุลย์ของสิ่งแวดล้อมทางทะเล

11. พื้นที่ชุ่มน้ำสมบูรณ์

12. ป่าไม้ยั่งยืน

13. เกษตรกรรมหลากหลาย

14. ป่าเขาอุดมสมบูรณ์

15. สร้างอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

16. พืชพันธุ์ สัตว์ป่าสารพัน

‘16 เป้าหมาย 24 หลักชัย’ จึงเป็นเหมือนเป็นแนวทางที่รัฐบาลตั้งธงไว้ อาทิ ลดผลกระทบด้านภูมิอากาศ การบริหารจัดการขยะ รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ กำจัดสารพิษ และมลพิษทางอากาศ เป็นต้น

นอกจากจะมียุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนแล้ว รัฐบาลสวีเดนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยการทุ่มงบประมาณสูงถึง 400 ล้านโครเนอร์ (ประมาณ 1.44 พันล้านบาท) ในแต่ละปีเพื่องานวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ในประเทศ

โดยเฉพาะโครงการพลังงานสะอาดที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อย ซึ่งปัจจุบันนี้ 80% ของพลังงานที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของสวีเดน มาจากแหล่งพลังงานปลอดคาร์บอนแทบทั้งสิ้น เช่นพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พลังงานจากน้ำ คลื่น แสงอาทิตย์ ลม ชีวภาพ  หรือแม้แต่ความร้อนจากร่างกายมนุษย์ก็สามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานได้เช่นกัน นับเป็นประเทศที่ใช้พลังงานทางเลือกแทนพลังงานคาร์บอนสูงที่สุดในยุโรป

ส่วนภาคสังคมชาวสวีเดน ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่จะพาประเทศไปสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากชาวสวีเดนมีความตระหนักรู้ในด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก นิยมสินค้าออแกนิคส์ มีระเบียบวินัยสูงในการคัดแยกขยะรีไซเคิล ที่สามารถนำกลับมาใช้เป็นพลังงานต่อได้ จนถึงขนาดขยะในประเทศไม่พอใช้ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

เรื่องการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพนี้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เชื่อหรือไม่ว่าในจำนวนขยะทั้งหมดที่มีในสวีเดน มีเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่จำเป็นต้องเหลือทิ้งจริงๆ ส่วน 49% นั้นชาวสวีเดนจะใช้วิธีแปรรูปนำกลับมาใช้ใหม่ และอีก 50% ถูกส่งไปเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานในประเทศ ซึ่งในสวีเดนมีโรงงานแปรรูป ขยะ-สู่-พลังงาน ถึง 34 แห่ง 

และชาวสวีเดนมักยอมจ่ายแพง หากค่าใช้จ่ายนั้นจะช่วยในเรื่องการเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสวีเดนก็เป็นประเทศแรกๆของโลก ที่เก็บภาษีคาร์บอนตั้งแต่ปี 1991 แถมจ่ายในอัตราที่แพงที่สุดในโลก ที่ 1,190 โครเนอร์ (4,290 บาท) ต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอน 1 เมตตริกตัน และตั้งแต่เก็บภาษีคาร์บอนมาได้กว่า 30 ปี การปล่อยก๊าซคาร์บอนในประเทศก็ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งสวนทางกับการเติบโตด้านเศรษฐกิจในประเทศ เนื่องจากรัฐบาลนำเงินภาษีที่ได้ไปพัฒนาสวัสดิการด้านพลังงานในประเทศ ชาวสวีเดนส่วนใหญ่จึงจิตสาธารณะในการช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และยังนิยมเลือกพรรคการเมืองที่เน้นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี

นอกจากนี้ยังมีการสำรวจพบว่า มากกว่า 80% ของชาวสวีเดนอาศัยอยู่ไม่ไกลเกินรัศมี 5 กิโลเมตรจากพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ แหล่งอนุรักษ์ทางธรรมชาติ ที่มีอยู่มากกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ กิจกรรมสันทนาการอย่างการเดินป่า ปีนเขา นอนแคมป์ จึงเป็นที่นิยมของชาวสวีเดน และยังเป็นหนึ่งในหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลให้ชาวสวีเดนสามารถเข้าถึงพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจด้วย

สังคมคุณภาพของสวีเดนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่เริ่มต้นตั้งแต่ระบบการศึกษา ที่ปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมในทุกระดับชั้น ด้วยการสอนให้รู้ถึงความสำคัญของการคัดแยกขยะ การใช้ของอย่างคุ้มค่า ลดการใช้ขวด แก้วพลาสติก ใช้อุปกรณ์การเรียน การสอนด้วยวัสดุรีไซเคิล

โรงเรียนในสวีเดนไม่ได้สอนวิชาด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่เนื้อหาด้านสิ่งแวดล้อมนั้นจะแทรกอยู่ในทุกวิชาที่เด็กเรียน เพื่อเน้นให้เด็กเห็นถึงปัญหาของสิ่งแวดล้อมในภาพรวมว่าอยู่ใกล้ตัวเรามากแค่ไหน จึงไม่แปลกใจว่า ระบบการศึกษานี้ได้สร้างนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมคนสำคัญอย่าง เกรต้า ธุนเบิร์ก ที่ออกมารณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนอย่างเข้มแข็งตั้งแต่อายุ 15 ปี

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงขับเคลื่อนให้สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นผู้นำของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานทางเลือก และการอนุรักษ์จัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า ปราศจากมลภาวะ จนเป็นที่อิจฉาของหลายๆประเทศ

แต่การที่จะก้าวขึ้นมายืนอยู่ในระดับเดียวกับสวีเดนได้นั้น ต้องพัฒนาโครงสร้างทางสังคมทั้งระบบ ทั้งภาครัฐ เอกชน สังคม และการศึกษา ให้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม และมองเห็นเป้าหมายในทิศทางเดียวกันนั่นเอง


อ้างอิง:

https://sweden.se/nature/7-examples-of-sustainability-in-sweden/

http://www.inquiriesjournal.com/articles/1555/sweden-the-worlds-most-sustainable-country-political-statements-and-goals-for-a-sustainable-society

https://www.thehumble.co/blogs/news/sweden-aka-the-most-sustainable-country-in-the-world-1

https://hoting-tasjodalen.com/how-did-sweden-become-the-most-sustainable-country-in-the-world/

https://www.nbcnews.com/news/world/sweden-s-environmental-education-building-generation-greta-thunbergs-n1106876

https://taxfoundation.org/sweden-carbon-tax-revenue-greenhouse-gas-emissions/

เยาวชนจีนยุคใหม่หัวก้าวหน้าและรักชาติไปพร้อมกัน

“ประเทศจีนไม่ได้สมบูรณ์พร้อม แต่มันมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ” ความคิดเห็นจากคนรุ่นใหม่ในจีน ยุคที่เราเรียกว่า #เยาวชนยุคสีจิ้นผิง

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา The Economist ได้เปิดประเด็นที่น่าสนใจซึ่งกำลังเกิดขึ้นในประเทศจีนในเวลานี้ นั่นคือ ‘เยาวชนรุ่นสีจิ้นผิง’ หรือ ‘Generation Xi’

ซึ่งเป็นการนิยามเยาวชนจีนในปัจจุบันที่ทั้งมี ‘ความรักชาติ-ชาตินิยม’ (Patriotism) แต่ก็ ‘หัวก้าวหน้า’ (Progressive) มีความคิดสมัยใหม่ พร้อมขับเคลื่อนสังคมจีนให้พัฒนาขึ้นอยู่ตลอดเวลา

----------------

'เยาวชนคืนถิ่น'

----------------

ปัจจุบันเยาวชนจีน เริ่มหลั่งไหลกลับไปทำงานในถิ่นฐานบ้านเกิดตามชนบทมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบทในประเทศจีนลดน้อยลง

พัฒนาการด้านระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน รถไฟความเร็วสูง การสร้างเมืองใหม่ การค้าการลงทุนที่เกิดขึ้นในแต่ละมณฑล ระบบอินเตอร์เน็ต และเทคโนโลยีสมัยใหม่

ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบ มีทางเลือกมากกว่าการเข้าไปเป็นแรงงานหรือพนักงานกินเงินเดือนในเมืองใหญ่ซึ่งมีค่าครองชีพสูง

----------------

ความเหลื่อมล้ำที่ลดลงด้วยเทคโนโลยีออนไลน์

----------------

เทคโนโลยีและระบบออนไลน์ ทำให้ความแตกต่างระหว่างการอยู่ ‘เขตเมือง’ กับ ‘เขตชนบท’ ลดน้อยลงมาก ผู้คนในเมืองเล็กๆ หรือชนบทช้อปปิ้งผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ ไม่ต่างจากผู้คนที่อยู่ในเมืองใหญ่

เมื่อทุกคนเข้าถึงระบบได้จากทุกที่บนผืนแผ่นดินจีน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมากระจุกตัวกันตามเมืองใหญ่

คนรุ่นใหม่ในจีนเห็นโอกาสในการสร้างเนื้อสร้างตัวจากระบบออนไลน์ในโลกยุคดิจิทัล จากการลงทุน การค้า การโฆษณา การทำตลาดออนไลน์ ในขณะที่ทัศนคติเรื่องการรับราชการมีน้อยลง

กระแสโรแมนติกของการหวนคืนสู่ธรรมชาติอันชนบทมีมากขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่พากันหาสินค้าท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมารีวิวขายในตลาดออนไลน์ ประกอบกับการรีวิวการท่องเที่ยวท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น

ในขณะที่รัฐบาลและภาคเอกชนจีนก็ได้พัฒนาระบบการค้าออนไลน์ให้มีความสะดวกในทุกมิติ ตั้งแต่การสั่งซื้อ-ขาย การขนส่ง ค่าบริการขนส่งที่มีราคาต่ำ ซึ่งช่วยทำให้ตลาดการค้าเติบโตได้อย่างดี

----------------

'คนจีนโพ้นทะเลคืนถิ่น' (海归)

----------------

ด้านคนรุ่นใหม่ของจีนที่ไปรับการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในชาติตะวันตก เริ่มหันกลับมาทำงานในประเทศจีนมากขึ้น เนื่องจากมองเห็นโอกาสเติบโตที่มากขึ้น รวมถึงรายได้ที่สมน้ำสมเนื้อในการทำงาน

ประกอบกับปัญหาผู้อพยพจากตะวันออกกลาง และนโยบายกดดันจีนของสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้ชาวอเมริกันมองจีนและชาวจีนเป็นภัยคุกคามต่อการครองอำนาจนำของตน จนเกิดกระแสการเหยียดเชื้อชาติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ทำให้ชาวเอเชียจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะชาวจีน หันหน้ากลับไปยังแผ่นดินแม่ที่ซึ่งมีโอกาสมีรายได้ที่ดี และไม่มีปัญหาด้านการเหยียดชาติพันธุ์ รอพวกเขาอยู่

จากสถิติคนจีนที่ไปเรียนต่างประเทศจำนวน 6.2 ล้านคนในระหว่างปี ค.ศ. 2000 - 2019 ปัจจุบันมีถึง 4 ล้านคนที่กลับมาทำงานในประเทศจีน

ในขณะที่ปี 2001 มีเพียงแค่ 14% เท่านั้นที่กลับมาทำงานในประเทศจีนหลังจบการศึกษาในต่างประเทศ แต่ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา คนจีนที่ไปศึกษาต่อและกลับมาทำงานในประเทศจีนพุ่งสูงขึ้นไปถึง 4 ใน 5 ส่วนของทั้งหมด

----------------

*** แน่นอนว่าทุกประเทศทุกสังคมล้วนมีปัญหาของตน แต่การที่คนรุ่นใหม่จะมีสำนึกรักชาติหรือภูมิใจในชาติบ้านเมืองได้ พวกเขาต้องเห็นอนาคต เห็นโอกาส และการพัฒนาที่เกิดขึ้นต่อคุณภาพชีวิตของพวกเขาด้วย

และนั่นคือ สิ่งที่รัฐบาลจีนทำให้กับประชาชนของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำประเทศทุกประเทศควรนำมาศึกษาเป็นบทเรียนครับ


อ้างอิง:

https://www.economist.com/special-report/2021-01-23

https://www.economist.com/special-report/2021/01/21/young-chinese-are-both-patriotic-and-socially-progressive

https://www.economist.com/special-report/2021/01/21/the-gap-between-chinas-rural-and-urban-youth-is-closing

https://thinkmarketingmagazine.com/should-mena-be-looking-into-chinas-youth-for-the-future-zak-dychtwald-talks-young-china/

รู้จัก Land Bridge ใต้บริบทแห่งการขนส่งสินค้าในอดีต

วีคนี้จึงมาขอมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Land Bridge กันสักหน่อยว่ามีความเป็นมาอย่างไรบ้าง...

Land Bridge หรือแปลเป็นไทยว่า ‘สะพานแผ่นดิน’ เดิมเป็นคำศัพท์ทางชีวภูมิศาสตร์ หมายถึง พื้นที่ที่เป็น ‘คอคอด’ ซึ่งเชื่อมแผ่นดินขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน และใช้เป็นเส้นทางเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่ของสัตว์ต่าง ๆ เช่น พื้นที่ประเทศปานามาที่เชื่อมระหว่างทวีปอเมริกาเหนือกับทวีปอเมริกาใต้

ต่อมาเริ่มมีการใช้คำนี้ในทางคมนาคม คือ เส้นทางทางบก เพื่อใช้เชื่อมโยงระหว่างทะเลหรือมหาสมุทร แทนการใช้การขนส่งทางทะเล

ในช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้น มักจะใช้กับการขนส่งทางบกในระยะทางที่ไม่ไกล เนื่องจากระบบการขนส่งทางบกยังไม่พัฒนา สภาพเป็นทางเกวียนหรือเส้นทางธรรมชาติเป็นหลัก ส่งผลให้ใช้เวลาเดินทางนานและขนส่งได้น้อย เพราะข้อจำกัดของสภาพถนนและยานพาหนะ ทำให้ต้นทุนการขนส่งทางบก สูงกว่าการขนส่งทางทะเลที่ระยะทางไกลกว่า

เมื่อมีการพัฒนาระบบรถไฟหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม จึงส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งทางบกลดต่ำลง เพราะสามารถขนสินค้าได้ครั้งละจำนวนมากและทำความเร็วได้ดีกว่าเดิม เส้นทาง Land Bridge จึงมีระยะทางยาวขึ้น

ในช่วงปี 1880 มีโครงการแรกที่ถือได้ว่าเป็น Land Bridge สมัยใหม่ที่ใช้การขนส่งระบบราง คือ เส้นทาง Canadian Pacific Railway ที่เชื่อมโยงสองฝั่งของประเทศแคนาดา เนื่องจากช่วงนั้นมีการนำเข้าสินค้าราคาสูง เช่น ผ้าไหม เครื่องเทศ ชา จากเอเชียไปยังยุโรป โดยวิธีเดิมคือการขนส่งทางเรืออ้อมทวีปแอฟริกาหรืออ้อมทวีปอเมริกาใต้

แต่การใช้เส้นทางนี้ ช่วยร่นระยะทางด้วยการขนส่งข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก แล้วขึ้นฝั่งทางตะวันตกของแคนาดาและขนส่งสินค้าทางรถไฟ เพื่อไปยังท่าเรือทางตะวันออกของประเทศ แล้วขนส่งสินค้าทางเรือต่อไปยังยุโรป

อย่างไรก็ตามเส้นทางขนส่งสินค้านี้ ได้รับความนิยมอยู่ประมาณ 40 ปี ก็กลับไปใช้การขนส่งทางทะเล เพราะมีการขุดคลองสุเอชและคลองปานามาที่ช่วยลดระยะเวลาในการเดินเรือ แต่เมื่อคลองสุเอชและคลองปานามา มีข้อจำกัดทางการใช้งานและปัญหาทางการเมือง การขนส่งสินค้าทาง Land Bridge ของอเมริกาเหนือ ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง

จากตัวอย่างที่ยกมาจะเห็นได้ว่า การเลือกเส้นทางการขนส่งสินค้ามีปัจจัยประกอบหลายด้าน ทั้งในด้านเทคโนโลยีการขนส่ง ความสามารถของคู่แข่ง หรือรูปแบบการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีระยะเวลาคืนทุนหลายสิบปี จึงควรพิจารณาให้รอบคอบเพราะเหตุการณ์ในอนาคตอาจไม่เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้


ที่มา:

https://transportgeography.org/contents/applications/transcontinental-bridges

https://www.britannica.com/science/land-bridge

‘พายุฤดูร้อน’ วาตภัยที่มาพร้อมกับความชื่นฉ่ำ พร้อมต่อลมหายใจให้กับเกษตรกร

ช่วงนี้ประเทศไทยเข้าสู่หน้าร้อนเต็มตัว โดยในปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศให้ประเทศไทยสิ้นสุดฤดูหนาว และเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการในวัน 27 กุมภาพันธ์ 2564 และเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงที่สุด สิ่งที่มักจะคุ้นและได้ยินบ่อย ๆ ที่มาคู่กับฤดูร้อน ก็คือ ‘พายุฤดูร้อน’ ครับ

แน่นอนว่าพายุฤดูร้อน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเป็นพายุที่เกิดในฤดูร้อน โดยในวันนี้ผมเลยอยากพามาทำความรู้จักพายุนี้กันครับ

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกันก่อนว่าประเทศไทยมีทำเลที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น พายุที่เกิดในประเทศไทยก็จะได้แก่ พายุที่เกิดในช่วงฤดูมรสุมหน้าฝน โดยแบ่งตามความเร็วของลมที่หมุนรอบจุดศูนย์กลางของพายุดังนี้...

พายุดีเปรสชั่น (มีความเร็วลมรอบจุดศูนย์กลางน้อยกว่า 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

พายุโซนร้อน (มีความเร็วลมรอบจุดศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 63 - 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

พายุไต้ฝุ่น (มีความเร็วลมรอบจุดศูนย์กลางมากกว่า 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

และ พายุที่เกิดในฤดูร้อน คือ ‘พายุฤดูร้อน’ ซึ่งความเร็วลมจะขึ้นอยู่กับความแตกต่างของอุณหภูมิของมวลอากาศร้อนและเย็นที่มาปะทะกัน

สำหรับลักษณะการเกิดของพายุฤดูร้อนนั้น จะมีลักษณะพิเศษ คือ มีขนาดรัศมีของพายุ หรือกินพื้นที่ไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับพายุในฤดูฝน และมักจะเกิดในช่วงระยะเวลาที่สั้น แต่จะมีความรุนแรงของลมค่อนข้างสูง โดยก่อนเกิด อากาศในบริเวณนั้น จะมีความร้อนหรืออุณหภูมิที่สูง

ส่วนสาเหตุของการเกิดพายุฤดูร้อนนั้น เกิดจากการที่อากาศมีความร้อนสูง หรือที่เราคุ้นเคยเวลากรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ‘ความกดอากาศต่ำ’ (เนื่องจากอากาศมีความเบาบางน้อยทำให้มีแรงกดลงมายังพื้นผิวโลกต่ำ) ในขณะเดียวกันก็มีความชื้นที่ลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้ พัดเอาไอน้ำหรือความชื้นมาจากแถบทะเลจีนใต้ และอ่าวไทย ในระหว่างที่มีความร้อน หรือความกดอากาศต่ำมาก ๆ แล้วมีความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็น (เนื่องจากอากาศมีความหนาแน่นมากทำให้มีแรงกดลงมายังพื้นผิวโลกสูง) แผ่ลงมาจากแถวประเทศจีน ซึ่งเป็นด้านบนของประเทศไทย เมื่ออากาศเย็นมาปะทะกับอากาศร้อน (ลักษณะพิเศษของอากาศร้อน คือ มีมวลเบากว่าเมื่อเทียบกับอากาศเย็น) ก็จะลอยขึ้นสู่ข้างบน

ในขณะเดียวกันอากาศเย็น ก็วิ่งเข้ามาแทนที่ ทำให้เกิดลมที่รุนแรง ถ้าเรามองภาพไม่ออก ลองนึกถึงตอนที่เกิดไฟไหม้น่ะครับ บางที่จะเห็นว่าก่อนเกิดไฟ ลมจะนิ่งสงบ แต่เมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นมาจะเห็นว่ามีลมพัดเข้ามาโหมกระหน่ำให้ไฟลุกมากขึ้นทุกที เพราะอากาศที่อยู่รอบ ๆ บริเวณที่เกิดไฟจะร้อน และทำให้ลอยตัวขึ้นสู่ด้านบน ในขณะเดียวที่อากาศเย็นจะวิ่งเข้ามาแทนที่ ส่งผลให้เกิด ‘ลม’

ส่วนความรุนแรงของลมจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างมวลของอากาศเย็นและอากาศร้อนที่วิ่งเข้ามาปะทะกัน ถ้าแตกต่างกันมาก ลมก็จะรุนแรงมากตามไปด้วย ประกอบกับในช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีความชื้นที่พัดเข้ามาจากอ่าวไทย และทะเลจีนใต้ด้วยพอดี พอความชื้นเจออากาศเย็น ก็ทำให้เกิดการกลั่นตัวลงมาเป็นน้ำฝน และเมื่อครบองค์ประกอบเหล่านี้ ก็จะทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองที่มีความเร็วลมที่แรง แต่ก็จะกินพื้นที่ไม่ค่อยมากเท่าไรนัก โดยส่วนมากจะเกิดในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน

ทั้งนี้ข้อเสียของ พายุฤดูร้อน คือ ความรุนแรงของลม ที่ทำให้เกิดความเสียหายกับสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ แล้ว ยังมีข้อดี คือ ‘การพัดพาเอาฝนมาตกในช่วงฤดูแล้ง’ ทำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชในช่วงหน้าแล้ง มีผลผลิตที่ดี โดยเฉพาะพืชที่ปลูกในหน้านี้มักจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย คือ อ้อยและมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับพืชชนิดอื่น

การเกิดของพายุฤดูร้อนในประเทศไทยจึงเป็นการมาเติมน้ำ และต่อลมหายใจในการปลูกพืชให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะปีไหนที่มีพายุฤดูร้อนเข้ามามาก ผลผลิตของพืชเศรษฐกิจเหล่านี้ก็มักจะได้ผลดีตามไปด้วย ตรงกันข้ามถ้าปีไหนมีพายุฤดูร้อนเข้ามาน้อย ผลผลิตก็จะลดลงน้อยด้วย

นอกจากนี้การเกิดฝนในช่วงหน้าแล้งก็ยังส่งผลให้ลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจได้เป็นอย่างมากได้อีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นของดีของประเทศไทยที่มีชัยภูมิตั้งอยู่ในพื้นที่ ที่มีความเหมาะสม ทำให้เกิดฝนในช่วงฤดูแล้ง อันเนื่องมาจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน ทำให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชในฤดูแล้งได้ด้วยนั่นเอง

ทำไม? ‘สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น’ แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงเป็น ‘อินโดนีเซีย’

‘Startup’ ชื่อเท่ ๆ ของธุรกิจดิจิทัล และหรือธุรกิจแนวคิดใหม่ เย้ายวนให้บรรดาคนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันอยากเข้าไปเกี่ยวข้อง สามารถทำเงินถึงหลักหมื่นล้านได้ภายในเวลาไม่กี่ปี (หากประสบความสำเร็จ)

แต่ทราบหรือไม่ว่าธุรกิจสตาร์ทอัพระดับโลกที่คนทั่วไปรู้จักกันดี อาทิเช่น Apple, Facebook, SpaceX, Amazon และ Alibaba ต่างก็เริ่มต้นจากกลุ่มคนทำงานไม่กี่คนในโฮมออฟฟิศเล็กๆ ที่บ้าน ก่อนที่จะผลักดันธุรกิจให้เติบโตจนกลายเป็น ‘ยูนิคอร์น’ ในทุกวันนี้

ว่าแต่ ‘ยูนิคอร์น’ คืออะไร?

ยูนิคอร์น หมายถึง ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จเติบโตจนมีมูลค่าเกิน 1 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) โดยปัจจุบันมีธุรกิจสตาร์ทอัพมากกว่า 300 ล้านบริษัททั่วโลก แต่มีเพียง 556 บริษัทเท่านั้นที่สามารถเติบโตจนถึงระดับยูนิคอร์น ซึ่งในนั้นเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันมากที่สุดถึง 137 บริษัท รองลงมาคือจีน 120 บริษัท

ส่วนประเทศในย่านอาเซียนนั้น ก็มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นอยู่ 11 บริษัท โดยประเทศอินโดนีเซียมีการผลิตสตาร์ทอัพสัญชาติอิเหนาได้มากถึง 6 บริษัท และทำให้อินโดนิเซียเป็นประเทศที่มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นมากเป็นอันดับ 9 ของโลก รวมถึงเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน

เพราะเหตุใดอินโดนิเซียถึงกลายเป็นเจ้าแห่งยูนิคอร์น ‘สตาร์ทอัพ’ อะไรเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศน์เชิงธุรกิจที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซีย วันนี้เรามาลองแอบส่องเหตุ ‘ปัจจัย’ ในการสร้าง ‘ลูกม้า’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิคอร์น’ ของเมืองอิเหนา ประเทศเพื่อนบ้านของเรากัน

จุดเริ่มต้นของธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซียเกิดขึ้นในช่วงราว ๆ ปี 2009 จากกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ได้เรียนรู้การทำธุรกิจในยุค ดอทคอมรุ่งเรืองและนำมาต่อยอด เพื่อสร้างธุรกิจในอินโดนิเซีย และตอนนี้ในอินโดนิเซีย ก็มีกลุ่มสตาร์ทอัพที่ยังคงอยู่ในธุรกิจมากถึง 2,000 บริษัท และเป็นถึงระดับยูนิคอร์น 6 บริษัท ได้แก่...

1.) Gojek ก่อตั้งครั้งแรกในปี 2009 โดยนาเดียม อันวาร์ มาคาริม นักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่เริ่มต้นจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน เรียกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มีอยู่เพียง 20 คัน จนกลายเป็น Super App ที่มีบริการหลากหลายถึง 24 ประเภท และขึ้นแท่นยูนิคอร์นตัวแรกในอินโดนิเซียเมื่อปี 2017 แถมตอนนี้ก็ยกระดับธุรกิจขึ้นไปอีกขั้น จนกลายเป็น ‘ดีคาคอร์น’ ที่มีมูลค่าของบริษัทมากกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญ (3 แสนล้านบาท) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

2.) Tokopedia เว็บไซด์ e-Commerce ที่ก่อตั้งปีเดียวกับ Gojek โดยนักธุรกิจดาวรุ่ง วิลเลี่ยม ทานุวิชยา ที่ต้องการสร้างแพลตฟอร์ม Customer-to-Customer เพื่อรองรับตลาดการค้าที่ใหญ่ และหลากหลายมากในอินโดนีเซีย จนสามารถต่อยอดเป็นธุรกิจระดับยูนิคอร์นได้ แถมยังได้รับทุนสนับสนุนจาก Alibaba, Google และ เทมาเส็ก

3.) Traveloka ผู้ให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก โรงแรม และกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่างครบวงจร เป็นแอปพลิเคชันที่ใช้อย่างแพร่หลายทั้งในอินโดนิเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ออสเตรเลีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ รวมถึงไทยด้วย ที่หลายคนอาจไม่คิดว่าบริษัทแม่ของ Traveloka ตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ต้า ในอินโดนิเซียนี่เอง แถมมีมูลค่าธุรกิจสูงกว่า 3 พันล้านเหรียญแล้วในปัจจุบัน

4.) Bukalapak เป็นอีกหนึ่ง e-Commerce ระดับยูนิคอร์นอีกเจ้าของอินโดนิเซีย แม้ว่าชาวอินโดฯ จะมี Tokopedia ไปแล้ว แต่ตลาดออนไลน์เจ้าเดียวคงไม่พอสำหรับประชากรที่มากถึง 270 ล้านคน ซึ่ง Bukalapak ก็มีจุดเริ่มต้นที่แสนจะคลาสสิค เนื่องจากทีมผู้ก่อตั้งบริษัท เกิดจากการรวมตัวของ เพื่อนร่วมสถาบัน 3 คนจาก Bandung Institute of Technology ที่ต้องการสร้างสตาร์ทอัพของตัวเองหลังเรียนจบ และมาลงตัวที่การสร้างมาร์เก็ตเพลส สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายทุกอย่างตั้งแต่ของโชห่วย ไปจนถึงประกันชีวิต จนกลายเป็นแพล็ตฟอร์มตลาดนัดที่มีผู้ใช้บริการสูงถึง 70 ล้านคนต่อเดือน

5.) OVO ผู้ให้บริการด้านธุรกรรมออนไลน์ รายล่าสุดของอินโดนิเซียที่มาแรงมาก เกิดจากการร่วมทุนของบริษัทสตาร์ทอัพยักษ์ใหญ่อย่าง Grab Tokopedia ที่ทำให้ OVO ผู้ให้บริการ e-Payment ใช้เวลาไม่ถึง 2 ปีก็สามารถเติบโตจนกลายเป็น ยูนิคอร์น สตาร์ทอัพได้ในปี 2019

6.) JD.id ธุรกิจสตาร์ทอัพยูนิคอร์นตัวล่าสุดของอินโดนิเซีย ที่เป็นธุรกิจลูกของ JD.com จากประเทศจีน เป็นธุรกิจ e-Commerce ที่เน้นสินค้าเทคโนโลยี แก็ดเจททันสมัยที่หายากในท้องตลาด สินค้าพรีเมี่ยม เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในอินโดนิเซีย แต่ก็สามารถสร้างมูลค่าธุรกิจระดับพันล้านเหรียญได้

หลายคนอาจมองว่าอินโดนิเซียเป็นประเทศที่มีประชากรกว่า 270 ล้านคน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด สตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น มากกว่าใครในย่านนี้ และหากคำนวนคร่าว ๆ แล้ว ก็เท่ากับว่าในอินโดนิเซียมีอัตราการเกิดสตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น 1 บริษัทต่อประชากร 45 ล้านคน

แต่หากมองมาที่ประเทศสิงคโปร์ที่มีประชากรเพียง 5.7 ล้านคน ที่มีธุรกิจระดับยูนิคอร์นแล้วถึง 4 บริษัท แล้วกับประเทศไทยที่มีประชากรเกือบ 70 ล้านคน กลับไม่มีสตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น เกิดเลยแม้แต่เจ้าเดียว ก็พอจะบอกได้ว่าปัจจัยเรื่องปริมาณของประชากรไม่ใช่ทั้งหมดที่จะสร้างสตาร์ทอัพ ยูนิคอร์นได้

ดังนั้นสูตรสำเร็จของการแจ้งเกิดยูนิคอร์นของอินโดนิเซียนั้น มีความน่าสนใจมากกว่าขนาดของตลาดและประชากรในประเทศ

โดยมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดยูนิคอร์นน่าจะมาจาก…

ประชากรที่มีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ จากการเป็นประเทศที่มีหมู่เกาะน้อยใหญ่รวมกันมากกว่า 17,000 เกาะ จึงเป็นความท้าทายในเรื่องงานสร้างสรรค์บริการที่ต้องเข้าถึงคนในท้องถิ่น และการจัดการระบบขนส่ง

ขณะเดียวกันชาวอินโดนิเซียนิยมการใช้ ‘เงินสด’ มากกว่า ‘เครดิตการ์ด’ ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้เงินสดในการซื้อขายมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และนิยมใช้สินค้า/บริการจากคนในท้องถิ่น

จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า ชาวอินโดนิเซียมากถึง 60% นิยมใช้สินค้า/บริการจากผู้ให้บริการในประเทศ มากกว่าแบรนด์ต่างประเทศ และมักเลือกสินค้า/บริการจากความรู้สึกที่คุ้นเคย และเข้ากับวิถีชีวิตแบบอินโดนิเซีย แต่ก็รับเทคโนโลยีในโลกดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

ในอินโดนิเซียมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตอยู่ 171 ล้านคน และมีสัดส่วนผู้ใช้สมาร์ทโฟนถึง 45% ของจำนวนประชากรในอาเซียนทั้งหมด

ดังนั้นชาวอินโดนิเซีย จึงมีความพร้อมในการตอบรับธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ๆ ขอเพียงแค่คุณต้องเข้าใจความต้องการของคนอินโดนีเซียได้อย่างแท้จริง ซึ่งโจทย์นี้เองที่เป็นความหินของสตาร์ทอัพต่างชาติที่ต้องการตีตลาดในอินโดนิเซีย แต่ก็เป็นความได้เปรียบของนักธุรกิจในประเทศที่มีความรู้ ความเข้าใจผู้บริโภคในตลาดได้ดีกว่า

ยกตัวอย่างเช่น Gojek ที่มีจุดมุ่งหมายในการสกัดการรุกคืบตลาดของ สตาร์ทอัพ Ride-sharing ระดับโลกอย่าง Uber ทั้งๆ ที่มีทุนต่างกันมาก แต่เพราะ Gojek เข้าใจวิถีการเดินทางของชาวอินโดนิเซีย ที่คุ้นเคยกับการใช้บริการมอเตอร์ไซด์รับจ้างมากกว่าระบบ Ride-sharing ในโมเดลของตะวันตก ทำให้ Gojek ยังคงรักษามาร์เก็ตแชร์ในบริการเรียกรถขนส่งเป็นอันดับ 1 ไว้ได้ และยังกินส่วนแบ่งตลาดถึง 95% ของบริการส่งอาหาร จน Uber ต้องยอมล่าถอยจากตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในที่สุด

นอกจากจะเข้าใจคนอินโดนิเซียแล้ว การสร้างแพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น ก็ทำให้ธุรกิจสตาร์ทอัพของชาวอินโดนิเซีย ‘ได้ใจ’ ผู้ใช้ในประเทศอย่างมาก อย่างโมเดลการทำธุรกิจของ Bukalapak ที่ต้องการสร้างมาร์เก็ตเพลสที่ช่วยสนับสนุน SME รายย่อยในอินโดนิเซียที่มีอยู่กว่า 99% ของภาคธุรกิจทั้งหมดในประเทศ ที่อาจเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต หรือไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับธุรกิจค้าปลีกทุนหนาให้สามารถขายสินค้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งของชำทั่วไป ชิ้นส่วนอุปกรณ์ช่างทั่วไป จนถึงตั๋วรถไฟ หรือประกันชีวิต ทุกวันนี้จึงมี SME มากกว่า 4.5 ล้านราย นำเสนอสินค้าบน Bukalapak และมีการทำธุรกรรมซื้อขายไม่น้อยกว่า 2 ล้านครั้งต่อวัน

จอห์น ฟิทซ์แพทริค หัวหน้า Google Cloud Startup Program ในเขตเอเชียแปซิฟิค ได้ให้ความเห็นถึงปัจจัยที่ทำให้ สตาร์ทอัพของอินโดนิเซียประสบความสำเร็จ คือ การมีฐานผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่กระตือรือร้นต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัลอย่างมาก และมีกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ทำให้สตาร์ทอัพหน้าใหม่ ๆ ยังมีโอกาสโต แม้จะมีรุ่นพี่ระดับยูนิคอร์นเป็นเจ้าตลาดอยู่แล้วก็ตาม

นอกจากนี้ ฟิทซ์แพทริค ยังเสริมว่า นักธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซียมี Mindset ที่ดีและพร้อมเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเพื่อโอกาสใหม่ๆเสมอ โดยไม่ยึดติดกับสูตรเดิม ๆ

"เราคงไม่เห็น Gojek ที่อัพเกรดจากแอปพลิเคชันที่มีเครือข่ายมอเตอร์ไซด์รับจ้างเพียงแค่ 20 คัน กลายเป็น Super App ที่มีบริการให้ผู้ใช้งานได้เลือกถึง 24 ประเภทไม่ซ้ำกัน Traveloka คงอยู่ไม่รอดในวิกฤติ Covid-19 หากยังคงยึดติดเพียงแค่ผู้ให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน และธุรกิจสตาร์ทอัพของอินโดนิเซียคงไม่เติบโตจนกลายเป็นยูนิคอร์นที่แข็งแกร่ง หากมองเพียงโอกาสแค่ตลาดในประเทศ"

ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซีย จึงดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศ ทั้ง Amazon, Alibaba, Tencent, Softbank หรือ Microsoft ที่มองเห็นโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจที่สามารถต่อ ยอดได้ไกลทั่วภูมิภาค และยิ่งส่งเสริมให้ระบบนิเวศน์ของธุรกิจสตาร์ทอัพของอินโดนิเซียยังสามารถโตได้อีกอย่างไม่จำกัด

จากทั้งหมดที่ว่ามานี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมอินโดนิเซียถึงได้กลายเป็นเซียนสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นในย่านอาเซียน และยังสามารถตีตลาดประเทศเพื่อนบ้านได้ด้วย และนี่แหละที่จะเป็นโจทย์สำคัญของไทยนับจากนี้ ในการเร่งพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพของคนไทยให้เติบโต และก้าวไปไกลกว่าในประเทศตัวเอง


อ้างอิง:

https://www.mime.asia/6-startup-unicorn-indonesia-that-you-should-know/

https://techcollectivesea.com/2021/02/22/we-take-a-closer-look-at-the-indonesian-unicorn-startups/

https://techsauce.co/news/indonesia-the-startup-ecosystem-with-the-most-unicorns-in-southeast-asia

https://greenhouse.co/blog/how-do-unicorn-startups-grow-so-fast-in-indonesia/

https://www.techinasia.com/indonesias-unicorns-achieved-hyperscale

https://www.thejakartapost.com/travel/2020/06/30/from-cooking-to-art-traveloka-xperience-expands-to-live-content.html

รู้จัก Jose Alberto ‘Pepe’ Mujica Cordano ประธานาธิบดีที่ ‘จนที่สุดในโลก’

José ‘Pepe’ Mujica (โฮเซ่ อัลเบอร์โต้ เปเป้ มูฮีก้า คอร์ดาโน) เป็นอดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย (The Oriental Republic of Uruguay) หรือที่เราท่านรู้จักกันในชื่อ ‘อุรุกวัย’ ประเทศเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาใต้ มีพรมแดนติดกับอาร์เจนตินาทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ และบราซิลทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีแม่น้ำ Río de la Plata (แม่น้ำเงิน: Silver River) อยู่ทางทิศใต้ และมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

อุรุกวัยมีประชากรประมาณ 3.51 ล้านคน ซึ่ง 1.8 ล้านคนอาศัยอยู่ในเขตเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอย่าง ‘กรุงมอนเตวิเดโอ’ ด้วยพื้นที่ทั้งประเทศประมาณ 176,000 ตารางกิโลเมตร (68,000 ตารางไมล์)

อุรุกวัยเป็นผู้ส่งออก ขนสัตว์, ข้าว, ถั่วเหลือง, เนื้อวัวแช่แข็ง, มอลต์ และนมที่สำคัญระดับโลก ส่วนพลังงานไฟฟ้าในประเทศเกือบ 95% มาจากพลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนใหญ่ อาทิ โรงไฟฟ้าพลังน้ำและพลังลม

อุรุกวัยเป็นประเทศที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสองในทวีปอเมริกาใต้ รองจากซูรินาม แต่ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพที่สุด เป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดประเทศหนึ่งในลาตินอเมริกา และมีสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นอันดับ 6 ของโลก อีกทั้งยังเป็นประเทศส่งออกเนื้อรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก จำนวนประชากรปัจจุบันประมาณ 3.5ล้านคน GDP ต่อคน $24,516 (ราว 754,357.32 บาท) อันดับที่ 59 ของโลก

นอกจากนี้ อุรุกวัยยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางสังคมมากที่สุดในละตินอเมริกา โดยได้รับการจัดอันดับสูงในมาตรการด้านสิทธิส่วนบุคคล ความอดทน และปัญหาการในการรวมกลุ่ม รวมถึงการยอมรับ LGBT ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 5 ของโลก (ดัชนีการเดินทาง LGBT ในปี พ.ศ. 2563) ประชาคมนักเศรษฐศาสตร์ให้ฉายาอุรุกวัยว่า ‘ประเทศแห่งปี’ ในปี พ.ศ. 2556 จากนโยบายการผลิต การขาย และการบริโภคกัญชาอย่างถูกกฎหมาย การแต่งงานเพศเดียวกัน และการทำแท้งก็เป็นเรื่องถูกกฎหมายอีกด้วย

รู้จักอุรุกวัย กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้มารู้จักกันคนที่เราจะพูดถึงกันอย่าง José Mujica บ้าง เขาเกิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2478) เป็นชาวนา และนักการเมืองที่เกษียณแล้ว โดยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 40 ของอุรุกวัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ถึง 2558 (ค.ศ. 2010 ถึงปี 2015) เป็นอดีตสมาชิกขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ Tupamaros เคยถูกจำคุกเป็นเวลา 12 ปีในช่วงเผด็จการทหารระหว่างทศวรรษ 1970 และ 1980 เป็นสมาชิกของกลุ่มแนวร่วมฝ่ายซ้าย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงปศุสัตว์ การเกษตร และการประมง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ถึง 2551 และเป็นวุฒิสมาชิกในเวลาต่อมา ในฐานะผู้สมัครของพรรค Broad Front เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2552 และเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

ขณะที่เป็นสมาชิกของขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ Tupamaros Mujica ถูกจับกุมถึง 4 ครั้ง และหลบหนีจากเรือนจำได้หลายครั้ง ขณะถูกคุมขัง Mujica มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพจิต หลังจากการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยหลายปีต่อมา Mu-jica และสมาชิกของขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ Tupamaros จำนวนมากได้เข้าร่วมองค์กรฝ่ายซ้ายอื่นๆ เป็น ขบวนการพลเมืองมีส่วนร่วม (Movement of Popular Participation : MPP) เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง และได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีพรรคที่ Mujica สังกัดคือ พรรค Broad Front ร่วมอยู่กับ MPP ด้วย

ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2537 Mujica ได้คะแนนเป็นอันดับสอง และในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2542 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา เนื่องจากส่วนหนึ่งด้วยความสามารถของ Mujica และ MPP ยังคงได้รับความนิยม จนคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในปี พ.ศ. 2547 ได้กลายเป็นกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุด ในการเลือกตั้งในปีนั้น Mujica ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสภาอีกครั้งและ MPP ได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 300,000 เสียง จึงมีพลังทางการเมืองในอันดับต้น ๆ เป็นแนวร่วมและเป็นกำลังสำคัญเบื้องหลังชัยชนะของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ได้รับเลือก Tabaré Vázquez

วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2548 ประธานาธิบดี Tabaré Vázquez ได้แต่งตั้ง Mujica เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ปศุสัตว์ การเกษตร และการประมง (พื้นหลังอาชีพของ Mujica อยู่ในภาคเกษตรกรรม) เมื่อมาเป็นรัฐมนตรี Mujica จึงได้ลาออกจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา เขาดำรงตำแหน่งนี้จนกระทั่งมีการปรับคณะรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2551 และ Mujica ก็กลับไปนั่งในวุฒิสภาอีกครั้งหนึ่ง จากนั้น Mujica ก็ได้รับเลือกเป็นตัวแทน MPP ในการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในการเลือกตั้งครั้งต่อมา และMujica ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2552

ปกติจะเป็นเรื่องที่บ่นกันทั่วไปว่า วิถีชีวิตของนักการเมืองได้ถูกลบออกไปจากเขตเลือกตั้งของพวกเขา แต่ไม่ใช่ในอุรุกวัย ซึ่งประธานาธิบดี Mujica ผู้อาศัยอยู่ในบ้านไร่ ซักผ้านอกบ้าน และใช้น้ำจากบ่อ สนามหญ้าที่รกครึ้มไปด้วยวัชพืช มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนาย และ Manuela สุนัขสามขาของประธานาธิบดี Mujica คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก ที่พำนักของประธานาธิบดีแห่งอุรุกวัย ประธานาธิบดี José Mujica ซึ่งมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากผู้นำระดับโลกคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่อย่างเห็นได้ชัด

ประธานาธิบดี Mujica เลี่ยงที่จะพักในบ้านหรูหรา (ทำเนียบประธานาธิบดี) ที่ทางการอุรุกวัยจัดสำหรับผู้นำประเทศ โดยเลือกที่จะอยู่ที่บ้านไร่ของภรรยาซึ่งอยู่ริมถนนลูกรังนอกเมืองหลวง กรุงมอนเตวิเดโอ ด้วยวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ และการที่ประธานาธิบดี Mujica บริจาคเงินประมาณ 90% ของเงินเดือนต่อเดือนของเขา ซึ่งคิดเป็นเงินราว 12,000 ดอลลาร์ (360,000 บาท) ให้กับองค์กรการกุศล จึงทำให้ประธานาธิบดี Mujica ถูกระบุว่า เป็นประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก

จากคำบรรยายของสื่อว่า ประธานาธิบดี Mujica อาศัยอยู่ในบ้านไร่นอกกรุงมอนเตวิเดโอ “ผมใช้ชีวิตแบบนี้มาเกือบตลอดชีวิต” ประธานาธิบดี Mujicaกล่าวขณะนั่งบนเก้าอี้เก่า ๆ ในสวน โดยใช้เบาะรองนั่งที่ Manuela สุนัขสามขาโปรดปราน “ผมอยู่ได้ด้วยดีกับสิ่งที่ผมมี” การบริจาคเพื่อการกุศลของประธานาธิบดี Mujica แก่คนยากจนและผู้ประกอบการรายย่อย หมายความว่า เงินเดือนที่เหลือของเขานั้นใกล้เคียงกับรายได้เฉลี่ยของชาวอุรุกวัยที่ 775 ดอลลาร์ (23,250 บาท) ต่อเดือน

ในปี พ.ศ. 2553 การประกาศบัญชีทรัพย์สินประจำปีของประธานาธิบดี Mujica ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับนักการเมืองในอุรุกวัย คือ 1,800 ดอลลาร์ (54,000 บาท) ซึ่งเป็นมูลค่าของรถยนต์ Volkswagen Beetle ปี พ.ศ. 2530 ของเขา ในปีนี้เองเขาได้เพิ่มทรัพย์สินของภรรยา ได้แก่ ที่ดิน รถแทรกเตอร์ และบ้าน มูลค่า 215,000 ดอลลาร์ (6,450,000 บาท) นั่นเป็นเพียงประมาณสองในสามของบัญชีทรัพย์สินที่ประกาศของรองประธานาธิบดี Danilo Astori และหนึ่งในสามของตัวเลขที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Tabare Vasquez ซึ่งเป็นประธานาธิบดีที่ประธานาธิบดี Mujica ดำรงตำแหน่งสืบต่อมา

โดย ประธานาธิบดี Mujica กล่าวว่า หลายปีที่ถูกจองจำช่วยเรื่องมุมมองในชีวิตของเขา “ผมถูกเรียกว่า 'ประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุด' แต่ผมไม่รู้สึกยากจน คนจนคือคนที่ทำงานเพื่อพยายามรักษาวิถีชีวิตที่มีราคาแพง และต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ” ประธานาธิบดี Mujica กล่าว “นี่เป็นเรื่องของอิสรภาพ หากคุณไม่มีทรัพย์สินมากมาย คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำงานตลอดชีวิตเยี่ยงทาสเพื่อรักษาชีวิตที่หรูหราหรือเพิ่มพูนทรัพย์สินให้มากขึ้นและมากขึ้น ดังนั้นคุณจึงมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น” ประธานาธิบดี Mujica กล่าวเสริม

“ผมอาจดูเหมือนชายชราที่แปลกประหลาด...แต่นี่เป็นทางเลือกที่ไม่ไม่มีค่าใช้จ่าย” อดีตผู้นำอุรุกวัยได้กล่าวถึงการประชุมสุดยอด Rio + 20 ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 ว่า “เราคุยกันตลอดบ่ายเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้มวลชนหลุดพ้นจากความยากจน แต่เรากำลังคิดอะไรอยู่ เราต้องการรูปแบบการพัฒนาและการบริโภคของประเทศที่ร่ำรวยหรือ ผมขอถามคุณตอนนี้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ถ้าชาวอินเดียจะมีรถยนต์ต่อครัวเรือนในสัดส่วนที่เท่ากันหรือมากกว่าชาวเยอรมัน? “โลกใบนี้มีทรัพยากรเพียงพอต่อการที่ประชากรเจ็ดหรือแปดพันล้านจะมีการบริโภคและมีของเสียในระดับเดียวกับที่เห็นในสังคมที่ร่ำรวยในปัจจุบันหรือไม่ มันคือระดับการบริโภคที่มากเกินไปจนทำร้ายโลกของเรา” ประธานาธิบดี Mujica กล่าวโทษต่อผู้นำของโลกส่วนใหญ่ว่ามี “ความหมกมุ่นอย่างมืดบอดเพื่อให้มีความเจริญเติบโตด้วยการบริโภคราวกับว่า หากทำตรงกันข้ามจะหมายถึงจุดจบของโลก”

แต่แม้จะมีช่องว่างของความแตกต่างขนาดใหญ่ระหว่างประธานาธิบดี Mujica ผู้เป็นมังสวิรัติกับผู้นำคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่มีภูมิคุ้มกันทางการเมืองที่ต้องเผชิญทั้งในยามรุ่งโรจน์และในยามที่ตกต่ำ “หลายคนเห็นอกเห็นใจประธานาธิบดี Mu-jica ด้วยเพราะวิถีชีวิตของเขา แต่สิ่งนี้ไม่ได้หยุดประธานาธิบดี Mujica จากการที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่” อิกนาซิ โอซัวนาบาร์ นักสำรวจความคิดเห็นชาวอุรุกวัยกล่าว

ฝ่ายค้านอุรุกวัยกล่าวว่า ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาของประเทศไม่ได้ส่งผลให้บริการสาธารณะด้านสุขภาพและการศึกษาดีขึ้น และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การเลือกตั้งของประธานาธิบดี Mujicaในปี พ.ศ. 2552 ที่คะแนนนิยมของเขาลดลงต่ำกว่า 50% ในปี พ.ศ. 2555 ประธานาธิบดี Mujica ยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน อันเนื่องจากความขัดแย้งกันสองครั้ง โดยรัฐสภาของอุรุกวัยได้ผ่านร่างกฎหมายที่ทำให้การทำแท้งถูกต้องตามกฎหมายสำหรับการตั้งครรภ์นานถึง 12 สัปดาห์ ซึ่งแตกต่างจากฉบับก่อนซึ่งเขาเสนอ และประธานาธิบดี Mujica เองก็ไม่ได้ใช้สิทธิยับยั้ง

ประธานาธิบดี Mujica ยังอภิปรายสนับสนุนเกี่ยวกับการบริโภคกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมายในร่างกฎหมายที่จะทำให้รัฐมีการผูกขาดการค้ากัญชา “การบริโภคกัญชาไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลที่สุด การค้ายาเสพติดต่างหากที่เป็นปัญหาที่แท้จริง” เขากล่าว

อดีตประธานาธิบดีอุรุกวัย José Mujica ได้ปฏิเสธเงินบำนาญ เมื่อเข้าสู่การเกษียณอายุโดยสมัครใจในวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ชายวัย 83 ปีที่เข้ารับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาในปี พ.ศ. 2558 ก่อนสิ้นสุดวาระในปี พ.ศ. 2563 และได้เลือกที่จะเกษียณอายุก่อนกำหนด อันเนื่องจากความเหนื่อยล้า แม้ว่าวาระของอดีตประธานาธิบดี Mu-jica จะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2563

อดีตประธานาธิบดี Mujicaได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดของโลก อันเนื่องจากวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ซึ่งทำมาก่อนที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ระหว่างดำรงตำแหน่งอดีตประธานาธิบดี Mujica บริจาคเงิน 90% จากรายได้ 12,000 ดอลลาร์ต่อเดือน และปฏิเสธที่จะอาศัยอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดี โดยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านไร่ของเขาและภรรยาต่อไป ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของเขาคือ รถยนต์เต่า Volkswagen สีฟ้า

ซึ่งเขาได้ปฏิเสธข้อเสนอซื้อรถคันนี้ด้วยเงินหนึ่งล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2557 โดยกล่าวว่า ยังต้องใช้รถเพื่อรับส่งสุนัขสามขาตัวโปรด อดีตประธานาธิบดี Mujica สมรสกับ Lucia Topolansky รองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของอุรุกวัยในปี พ.ศ. 2548 ภารกิจในตำแหน่งประธานาธิบดีของอดีตประธานาธิบดี Mujica ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การลดระดับความยากจน ซึงอดีตประธานาธิบดี Mujica สามารถลดลงได้จากอัตรา 40% เป็น 13%

‘เทพไท เสนพงศ์’ เท่านั้น ที่คนรัก ‘ลุงตู่’ ยอมไม่ได้!!

ความพ่ายแพ้ของตระกูล ‘เสนพงศ์’ ในการเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งประกอบด้วย อำเภอชะอวด, อำเภอจุฬาภรณ์ เฉลิมพระเกียรติ และอำเภอพระพรหม ที่เรียกว่าเป็นฐานมั่นของพรรคประชาธิปัตย์ สุดแข็งโป๊ก ไม่เคยแพ้เลยในรอบหลายสิบปี

แต่เบื้องหลังความพ่ายแพ้ครั้งนี้ เทพไท เสนพงศ์ ทำให้ผู้ใหญ่ในพรรคที่ครองพื้นที่เจ็บปวดมาก เช่น เขตอำเภอจุฬาภรณ์ และร่อนพิบูลย์ บ้านเกิด อดีต ส.ส. และรัฐมนตรี ชื่อชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ยึดครองมาหลายสิบปีไม่เคยพ่ายแพ้

เขตอำเภอชะอวด อดีต ส.ส. ดร.อภิชาติ การิกาญจน์ ก็ยึดครองมานาน ไม่เคยพ่ายแพ้เช่น ส่วนอำเภอพระพรหม และเฉลิมพระเกียรติ ที่มีจำนวนประชากรไม่เยอะมาก และเป็นอำเภอตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่เคยพ่ายแพ้เช่นกัน งานนี้อดีต ส.ส.ชำนิ และอภิชาต หนาว ๆ ร้อน ๆ เพราะมีสิทธิ์เสียพื้นที่ถาวรให้พรรคพลังประชารัฐยาว ๆ ได้

‘คบเทพไท’ จะเรียกว่าคบเด็กสร้างบ้านได้หรือไม่?

จากผลการเลือกตั้งปรากฎ อดีตนายอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ‘นายอาญาสิทธ์ ศรีสุวรรณ’ ชนะ ‘นายพงศ์สินธ์ เสนพงศ์’ โดยพื้นเพ นายอาญาสิทธ์ ศรีสุวรรณ นั้น คนที่มีนามสกุลนี้ มีพื้นเพเป็นคนอำเภอร่อนพิบูลย์ และจุฬาภรณ์ หรือเรียกว่าเป็นคนในพื้นที่เขต 3 เลยก็ว่าได้

แต่ตระกูลเสนพงษ์ เป็นคนอำเภอเชียรใหญ่ ไม่ได้อยู่ในเขตเลือกตั้งนี้ เลยมีความเสียเปรียบในเรื่องวงศาคณาญาติอยู่พอสมควร ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนพื้นเพปักษ์ใต้

...ตำนานเทพไท

เทพไท เสนพงศ์ ไม่เคยได้ลง ส.ส.ในพื้นที่บ้านเกิด อำเภอเชียรใหญ่เลย เขาเข้าการเมืองมาเพราะมีชื่อเป็นนักกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง เลยคุ้นเคยกับบิ๊กเนมในรามคำแหง อย่าง ‘วัชระ เพชรทอง’ และ ‘จตุพร พรหมพันธ์’ หรือคนอื่น ๆ ที่ดังจากรั้วรามคำแหง

ในยุคแรกเขาอยู่กับ อดีต รมช.มหาดไทย ‘ชำนิ ศักดิเศรษฐ์’ ชื่อเขาโผล่ขึ้นมาในนามบอร์ดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จนพนักงานร้องยี้ เพราะไม่เคยมีชื่อนี้ในสารบบวงการการไฟฟ้า หลังจากนั้นป้ายขนาดยักษ์ของเขาติดที่สี่แยกหัวถนน ทางเข้าตัวเมืองนครศรีธรรมราช จนชาวบ้านงงว่าเขาเป็นใคร จะมาทำอะไร เพราะมีโลโก้พรรคประชาธิปัตย์ติดไปด้วย มารู้ทีหลังว่าคน ๆ นี้ จะกลับบ้านมาลง ส.ส. ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต่อมาทราบว่าพื้นที่ นครศรีธรรมราช ‘แน่นเอี๊ยด’ มีคนจับจองเต็ม ‘เทพไท’ จึงต้องตบยุงต่อไป

แต่เทพไท ก็มีวิธีลงจนได้ เพราะอดีต ‘ส.ส.ตรีพล เจาะจิตต์’ ยกพื้นที่ อำเภอทุ่งใหญ่ ให้เทพไท ‘แจ้งเกิด’ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนด้วยการมีข้อแลกเปลี่ยนให้ ตรีพล จำนวนนึง และตรีพล ไปลงสนาม ส.ว.แทน ในที่สุดเทพไท ก็ได้เป็น ส.ส. สำเร็จ แต่ ‘ตรีพล เจาะจิตต์’ แม้จะชนะเลือกตั้ง ส.ว. แต่โดนตัดสิทธิ์ เพราะลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ครบตามกำหนด เลยออกกำลังทรัพย์ กำลังแรง...ฟรี!!

...เส้นทางดังของเทพไท

เส้นทางเติบโตของ เทพไท เสนพงษ์ ในยุคลุงกำนันเป็นเลขาพรรคประชาธิปัตย์ ‘เป็นใหญ่’ เทพไท ก็ไปสนิทด้วย โดยสังกัดมุ้งลุงกำนัน

ต่อมายุคนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี จากการพลิกเกมส์ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาพรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ ก็ถือว่าเป็นคนสนิทนายก คู่กับ นายศิริโชค โสภา ที่ได้ฉายาว่าวอลล์เปเปอร์ จนเสื้อแดงหมายหัว เมื่อมีเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองแรงๆ ที่ต้องพานายกอภิสิทธ์ ไปหลบภัยในค่ายทหารราบ 11 ตัวเทพไท ก็เป็น 1 ในคนสนิทอดีตนายกอภิสิทธิ์ ที่ต้องไปหลบภัยเสื้อแดงด้วยกัน

หลังจากอภิสิทธ์ยุบสภา มีการเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก แต่การบริหารงานมีแต่ความอื้อฉาว เช่น นโยบายรถคันแรก นโยบายรับจำนำข้าว และ พรบ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ที่ไม่โปร่งใส จนศาลรัฐธรรมนูญต้องยับยั้ง เพราะผิดรัฐธรรมนูญ ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กลับมาเป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น...

นายเทพไท เสนพงศ์ ก็ดังเป็นพลุแตก จากการจัดรายการสายล่อฟ้า ทางช่องทีวีดาวเทียม ช่องบลูสกาย หรือเรียกว่าสามเกลอ ประกอบด้วย เทพไท เสนพงษ์ สส.นครศรีธรรมราช / ศิริโชค โสภา สส.สงขลา และ ชวนนท์ อินทรโกมารสุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ชื่อรายการ ‘สายล่อฟ้า’ รายการนี้เน้นวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนมีแฟนรายการที่ตรงข้ามรัฐบาลขณะนั้น ติดกันงอมแงม มีเนื้อหาล่อแหลม จนอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ได้ฟ้องร้องสามเกลอ เรื่อง ว.5 โฟร์ซีซัน มาแล้ว

...ยุคล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

พรรคเพื่อไทย เสนอออกกฎหมาย พรบ.นิรโทษกรรม ตอนตี 3 หรือเรียกว่ากฎหมายสุดซอย ทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง จนเกิดมวลมหาประชาชน หรือ กปปส. แรก ๆ จะเห็น ส.ส.สายอภิสิทธ์ รวมทั้งเทพไท ขึ้นเวทีเป่านกหวีด พอมาระยะหลังหายหน้าหายตาไปหมด เหลือแต่สายลุงกำนัน และมีเสียงนินทามาตามหลังว่าพวกอภิสิทธิ์ไม่สู้จริง คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ หรือว่า ‘ดีแต่พูด’ นี่แหละ

...สนามเลือกตั้งปี 62

เทพไทต้องย้ายเขตจากอำเภอทุ่งใหญ่ มาเขตอำเภอชะอวด และอำเภอจุฬาภรณ์ เพราะ ส.ส.อภิชาติ การิกาญจน์ เลิกเล่นการเมือง แต่วงในว่าได้รับข้อแลกเปลี่ยนจากเทพไท ไปจำนวนหนึ่ง และการย้ายเขตครั้งนี้ มีเสียงประเมินว่าถ้าเทพไทลงเขตเดิม มีโอกาสแพ้ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐสูง เลยต้องย้ายเขตไปที่ฐานคะแนนพรรคระชาธิปัตย์แข็งโป๊ก ถึงจะช่วยได้ อย่างอำเภอชะอวด แต่ก็เจอคู่แข็งที่ไม่ธรรมดาอย่าง นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ คนอำเภอจุฬาภรณ์ แต่ดวงเทพไทยังดีเพราะเขตอำเภอจุฬาภรณ์ พรรคภูมิใจไทย ไปคว้า ร้อยโทสนั่น พิบูลย์ อดีต ส.จ.ที่ไม่เคยแพ้ใครมาได้เสียก่อน ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทย ได้ที่ 1 พรรคพลังประชารัฐ ได้ที่ 2 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ที่ 3 ในเขตอำเภอจุฬาภรณ์

ทำให้พรรคพลังประชารัฐโดนพรรคภูมิใจไทยตัดคะแนนไปเยอะ ส่งผลดีกับนายเทพไททันที

ผลการเลือกตั้งปี 62 นายเทพไท ชนะนายอาญาสิทธิ์ไป เกือบ 5,000 คะแนน

ส่วนผลการเลือกตั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กวาดไป 5 ที่นั่ง ส่วนพรรคพลังประชารัฐ กวาดไป 3 ที่นั่ง ซึ่งไม่เคยมีพรรคไหนเขย่าบัลลังก์พรรคเก่าแก่ได้แรงขนาดนี้

...เทพไท คือ หอกข้างแครกลุงตู่

หลังเลือกตั้งใหญ่ปี 2557 พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล และเลือก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

เทพไทเป็น ‘ฝ่ายค้านในรัฐบาล’ ตลอดเวลา 2 ปี ที่เป็น ส.ส. เลยฝากรอยแค้นให้สาวกที่เชียร์ลุงตู่ และคนในพรรคพลังประชารัฐคอยเอาคืน

ถึงเวลาเหมาะสมเทพไท ที่เทพไทยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เพราะศาลชั้นต้นตัดสินว่ามีส่วนร่วมในการทุจริตการเลือกตั้งนายกอบจ. ที่น้องชาย คือ นายมาโนชย์ เสนพงศ์ ชนะการเลือกตั้งในอดีต เคราะห์ซ้ำกรรมซัดทั้งตระกูลเลือกตั้งซ่อม

อย่างไรเสีย คงไม่เคยมีใครคิดว่าฝ่ายรัฐบาลมาแข่งกันเองอย่างดุเดือด เอาเป็นเอาตายขนาดนี้ ถึงขนาดลุงป้อม หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต้องลงมาพื้นที่กระโดดขึ้นเวทีเองเลย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็เสียพื้นที่ไม่ได้ ยกทัพหลวงมาหมด บิ๊กเนมมาครบครันทีเดียว

ผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ทำให้พรรคพลังประชารัฐยึดเมืองคอนได้ 4 ที่นั่ง เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ตามนโยบายคนละครึ่งของลุงตู่ แต่คนหนาว ๆ ร้อนคือ ‘พรรคสีฟ้า’ นี่แหละว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ความศรัทธาต่อลุงตู่จะส่งผลต่อการล้มของโดมิโน่ ของพรรคเก่าแก่หรือไม่ คงประมาทไม่ได้เสียแล้ว

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้สร้างรอยปริในรัฐบาลหรือไม่ หรือว่าเพราะชื่อเทพไทเท่านั้น ที่สาวกลุงตู่ยอมไม่ได้ ส่วนคนอื่นยอมได้ เพราะการเลือกตั้งซ่อมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ที่จังหวัดชุมพร และสงขลา ทางพรรคพลังประชารัฐ ‘ไม่น่าส่งสู้’ เพราะชื่อ สส.ลูกหมี ‘ชุมพล จุลใส’ และ อดีตรัฐมนตรี ‘ถาวร เสนเนียม’ ใคร ๆ ก็รู้มา 2 คนนี้ นับถือนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา มากไม่น้อยกว่าไปกว่านับถือประธาน ชวน หลีกภัย เลย

เทพไท เสนพงศ์ โดมิโน่

‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ความหวังฟื้นเศรษฐกิจ ‘โลก - ไทย’

นับจากเดือนธันวาคม 2019 ทั่วโลกต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาวะเศรษฐกิจ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ทั่วโลกหดตัวลง หรือขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก จนหลายคนหวั่นเกรงว่าจะกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ Great Depression เช่นเดียวกับในช่วงทศวรรษที่ 1930

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อการพัฒนาวัคซีนเพื่อพิชิตไวรัสดังกล่าวประสบผลสำเร็จ และเริ่มมีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 กว่า 300 ล้านโดสให้กับประชากรทั่วโลก ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา ก็กลายเป็นตัวแปรที่สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้นในช่วงกลางปี 2021 นี้

ประเด็นที่น่าสนใจจากการใช้ประโยชน์จากวัคซีนโควิดที่มีการกระจายวัคซีนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพนั้น คือ การนำไปสู่ความปกติใหม่ หรือ ’New Normal’ ของการใช้ ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ซึ่งเป็นหลักฐานการได้รับวัคซีนสำหรับผู้ต้องการเดินทางระหว่างประเทศทั้งเพื่อธุรกิจและการท่องเที่ยว ตลอดจนการพัฒนา ‘แอปพลิเคชันพาสปอร์ตวัคซีน’ อาทิเช่น…

...แอปพลิเคชัน IATA Travel Pass ของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ

...แอปพลิเคชัน CommonPass เพื่อใช้ในสายการบิน Jet Blue, Lufthansa และ United

...แอปพลิเคชัน IBM Digital Health ของบริษัท IBM

...และแอปพลิเคชัน iProov แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อการจัดการวิกฤตสุขภาพของประเทศอังกฤษ

เหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้กิจกรรมสำคัญในระบบเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลกกลับสู่ภาวะปกติได้เหมือนเดิมอีกครั้ง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่า หากวิกฤติโรคระบาดคลี่ ‘คลายลง’ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 5.5 โดยกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) จะดีดตัวขึ้นไปอยู่ที่ 5.8% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนและอินเดียที่จะขยายตัวสูงถึงร้อยละ 6.3

ในส่วนของประเทศไทย ภายหลังจากการนำเข้าวัคซีนซิโนแวค ล็อตแรก 2 แสนโดส (จากทั้งหมด 2 ล้านโดส) เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 และวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 117,600 โดส เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564 อีกทั้งการยื่นขออนุญาตจาก อย. ของภาคเอกชนจาก 4 โรงพยาบาลใหญ่ ‘ธนบุรี - รามฯ - กรุงเทพ - เกษมราษฎร์’ นำเข้าวัคซีนไฟเซอร์, โมเดอร์นา, ซิโนฟาร์ม, สปุตนิก และโนวาแวกซ์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ขณะเดียวกันมติเห็นชอบการใช้ ‘พาสปอร์ตวัคซีนของไทย’ จากคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ที่กำลังจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ศบค.ชุดใหญ่ และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไปนั้น เชื่อได้ว่าจะทำให้เกิดแรงกระตุ้นสำคัญต่อเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องที่ได้รับผลบวกและกระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2564 จะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5% – 3.5% ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 3% – 5% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 0.8% - 1%

นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้านี้ จะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่...

1.) ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งยังคงต้องเฝ้าระวังหลังผ่อนคลายมาตรการ

2.) การกระจายวัคซีนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

3.) มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโควิด-19 รวมไปถึงการประคับประคองกำลังซื้อในประเทศ

อย่างไรก็ตามในปี 2021 แนวโน้มเศรษฐกิจของโลก และของไทย กำลังจะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นจากจุดต่ำสุด ภายหลังจากที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายระลอกที่ผ่านมา แต่จะเป็นความหวังของมวลมนุษยชาติแค่ไหน จะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของระบบเศรษฐกิจอย่างเฉิดฉายเพียงใด อีกไม่ช้านี้ คงได้ทราบกัน...


แหล่งที่มา

https://www.bbc.com/thai/international-52291254

https://www.jsccib.org/th/news/view/350

https://www.prachachat.net/economy/news-623456

https://www.prachachat.net/marketing/news-623170


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top