Sunday, 19 May 2024
GoodVoice

เกาะไอเดีย COMMART ในวันที่รายอื่นตายจาก ผสานพลัง ‘ออฟไลน์-ออนไลน์อีเวนต์’ รุกตลาดต่อเนื่อง



(1 ก.ค. 66) แม้พฤติกรรมการช็อปปิ้งสินค้าของคนรุ่นใหม่กับหลากหลายประเภทสินค้า จะเริ่มเทซัดไปสู่การซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายและตรวจสอบราคา โปรโมชัน ได้แบบทันใจ แต่ก็ยังมีกลุ่มสินค้าบางอย่างที่บางครั้งต้องยอมรับว่า ‘หากไม่เห็นกับตา’ ก็อาจจะยังยากต่อการตัดสินใจ

สินค้าที่ว่านั้น คือ สินค้าในกลุ่มไอซีที ที่ประกอบไปด้วยคอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก และสารพัด Device เพื่อเชื่อมต่อทุกการสื่อสารและไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัลครองเมือง ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายสินค้าไอทีทั่วไป เพียงแต่ หากคุณอยากเห็นสินค้าแบบครบลูป ครบรุ่น และรวมถึงเทรนด์สินค้าใหม่ๆ ในที่เดียว ก็ยังต้องพึ่งพางาน Exhibition ที่มักจะจัดขึ้นกันทุกปี

ทว่า งานแสดงสินค้าไอทีเหล่านี้ ก็ค่อยๆ ล้มหายกันไปทีละราย ส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะต้านทานแรงพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่บางกลุ่มที่ไม่ซีเรียสกับการต้องเห็นสินค้าจริง แต่เช็กดูรีวิวในโลกออนไลน์แล้วก็ตัดสินใจซื้อแบบทันใจ อีกส่วนหนึ่งก็เพราะการจัดงานประเภทนี้ต้องใช้พลังในการดึงคู่ค้า รวมถึงการต่อรองให้เกิดการนำสินค้า และโปรโมชันที่ควรค่าแก่การดึงดูดคนมาในงาน ซึ่งยากมาก

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันก็ยังมีผู้เล่นในตลาดแสดงสินค้าด้านไอซีทีหลงเหลืออยู่ และยังอยู่แบบไม่ยอมหายไปไหน นอกจากโควิด19 เท่านั้นที่มาเบรกชะลอการจัดงาน แต่ก็ยังสามารถผสานรูปแบบการจัดงานผ่านออนไลน์มาชดเชยได้ โดยผู้เล่นรายนั้นก็คือ Commart โดย ARIP ซึ่งในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ (6-9 ก.ค. 66) ก็จะมีอีเวนต์เพื่อสายไอที และชื่นชอบเทคโนโลยีมาให้ไปแวะเวียนในพิกัดที่คุ้นเคย

ว่าแต่ทำไม Commart ถึงยังยืนหยัดเป็นอีเวนต์ขาประจำได้ในยุคปัจจุบัน? และทำอย่างไรถึงสามารถฝ่ามรสุมโควิด19 มาได้? เรื่องนี้ นายบุญเลิศ นราไท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) หรือ ARIP ผู้ดำเนินธุรกิจสื่อและคอนเทนต์ การจัดงานอีเวนต์ และธุรกิจ Digital Platform & Service ในฐานะเจ้าของงานแสดงมหกรรมสินค้าไอซีทีชื่อดังของไทยภายใต้ชื่อ ‘Commart’ ได้เผยผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดีๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00 - 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 โดยเล่าถึงการขับเคลื่อน COMMART ให้ยังอยู่รอดในช่วงวิกฤตโควิด19 และสามารถขยายขีดจำกัดในการจัดงานไปสู่ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่อย่างออนไลน์ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า...

แม้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 จนทำให้ไม่สามารถจัดงานแบบ On ground ได้เต็มที่ แต่ทาง ARIP ก็สามารถปรับตัวตามแนวโน้มของสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาต่อยอด ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์มารองรับการจัดงานอีเวนต์ ภายใต้การประยุกต์เทคโนโลยี AR / VR และ Metaverse ต่อยอด Virtual & Hybrid Event เพื่อนำเสนออีเวนต์ในรูปแบบใหม่ผ่านโลกออนไลน์ 

“เรามีลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นมากมาย เช่น งานกาชาดออนไลน์ในปี 63 และปี 64 ซึ่งพัฒนาอีเวนต์ออกมาในรูปแบบ Virtual Event ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาแพลตฟอร์ม e-Commerce ของงานออกร้านคณะภริยาทูตครั้งที่ 55 ที่พัฒนาให้กับสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย, งาน Virtual Event ที่จัดให้กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), งาน Virtual Event พิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่น ของสำนักงานคปภ. เป็นต้น

“เช่นเดียวกันกับงาน Commart ที่ถึงแม้ว่าทาง ARIP จะไม่ได้จัดอีเวนต์แบบ On Ground ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิดอย่างรุนแรง แต่ก็ได้นำแพลตฟอร์ม Virtual Event มาประยุกต์ ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ รวมถึงความสำเร็จจากการจัดงาน Commart ช่วงปลายปี 64 จนทำให้เจ้าของสินค้าและผู้จัดจำหน่ายทั้งรายเล็กและรายใหญ่เชื่อมั่นในการร่วมมือกับงาน Commart ในปี 65 อย่างต่อเนื่อง”

นายบุญเลิศ กล่าวอีกว่า “ด้วยสถานการณ์ในปีนี้ที่ดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้า โควิดไม่รุนแรงเหมือนเก่า และผู้คนมีวัคซีนป้องกันโดยทั่วแล้วนั้น จึงทำให้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และนั่นก็ทำให้งาน Commart ตั้งแต่ช่วงต้นปีกลับมาจัดได้เหมือนเดิม แต่ถึงกระนั้น รูปแบบวิธีการจัดงานที่ถูกปรับเข้ามาใหม่ด้วยแพลตฟอร์ม Virtual Event ก็ได้สร้างความตื่นเต้นจากฐานผู้เข้าชมผ่านแพลตฟอร์มนี้ในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน เพราะสามารถช่วยให้พวกเขาเข้าถึงงาน Commart ได้จากทุกหนทุกแห่ง พร้อมตอบโจทย์ระบบแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายที่สามารถซื้อจากที่ไหนก็ได้ไปพร้อมๆ กัน 

“แม้เราจะกลับมาจัดงาน Commart รูปแบบเดิมได้แบบปกติ แต่เราก็จะไม่ทิ้งกลุ่มคนที่อยู่บนออนไลน์ หรือคนที่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานได้ โดยจากนี้ไปเราจะผสานรูปแบบการจัดงานให้อยู่ในทรงของ Hybrid ต่อไป เพราะตรงนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดีต่อ ARIP ที่จะกลายเป็นผู้มีประสบการณ์และความพร้อมในการเป็น Exhibitor ที่สามารถจัดงานได้ทั้งแบบ On  Ground และ Online สร้างผลกำไรให้บริษัท และสามารถปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นได้มากขึ้นต่อไปด้วย”

ทั้งนี้ นายบุญเลิศ ได้กล่าวเสริมอีกด้วยว่า แม้จะรูปแบบอีเวนต์ออนไลน์เสริมเข้ามา แต่ก็ยังอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นใจเสน่ห์ของ Commart On Ground ที่ทาง ARIP คงไว้ให้ทุกคนสัมผัสได้ทุกครั้ง คือ ความครบของแบรนด์สินค้าชั้นนำ และทุกรุ่นสินค้าที่ทุกคนสามารถจับต้องได้ เทสต์ทดลองได้ สามารถซื้อและนำกลับบ้านได้เลย ขณะเดียวกันในส่วนของโปรโมชันต่างๆ ก็จัดเต็มแบบคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นคูปองส่วนลด และพริวิลเลจต่างๆ ภายในงาน ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่มาแวะเวียนเสมอ เพราะนี่คือจุดแข็งของ Commart ที่ยังคงเอื้อประโยชน์ต่อคู่ค้าและผู้บริโภคได้ไม่เปลี่ยน

“อนาคต Commart จะทำแพลตฟอร์มที่เรียกว่า Personal Live Marketing เป็นแพลตฟอร์มที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคของสินค้าไอทีโดยเฉพาะเพิ่มเข้ามาด้วย รอติดตามกันครับ” นายบุญเลิศ ทิ้งท้าย

สำหรับการจัดงาน Commart Crazy Deal ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 6-9 กรกฎาคม 2566 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เวลา 10.00-21.00 น. ณ EH 98-99 จะมีสินค้าไอทีมากกว่า 500 แบรนด์ รวมกันกว่า 200 บูธ โดยเทรนด์เทคโนโลยีในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 นี้ นายบุญเลิศ เผยว่า ผู้บริโภคจะได้เห็นโน้ตบุ๊กที่บางเบา สเปกแรง รวมถึงสมาร์ตดีไวซ์ที่มีเทคโนโลยี AI ฝังอยู่ในการทำงาน นอกจากนี้แล้วยังมีความคึกคักในส่วนของเทคโนโลยี AR และ VR อีกด้วย ซึ่งเป็นผลพวงจากการมาของ Apple Vision Pro เป็นต้น
 

‘ไทย-ไต้หวัน’ จับมือพัฒนาหลักสูตร ‘เซมิคอนดักเตอร์’ เร่งผลิตบุคลากร ตอบสนองความต้องการอุตสาหกรรมชิป

‘เซมิคอนดักเตอร์’ (Semiconductor) คือ ‘สารกึ่งตัวนำ’ หรือ ‘ชิป’ เป็นส่วนประกอบสำคัญที่มีความต้องการในตลาด เพื่อใช้ในอุปกรณ์เทคโนโลยีหลากหลายประเภท โดยประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิต เนื่องจากความพร้อมทางด้านทรัพยากร การจัดตั้งภาคอุตสาหกรรม รวมถึงความสัมพันธ์อันดีกับประเทศอื่นๆ จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมประเภทนี้เป็นอย่างมาก 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนด้านชิปในไทยยังอยู่ในส่วนการประกอบและทดสอบ (assembly and testing) และเริ่มมีการลงทุนในส่วนของการออกแบบ (IC Design) แต่ยังขาดในส่วนของภาคการผลิต (Foundry) จึงเกิดเป็นความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากร ระหว่างหน่วยงานของไทยและไต้หวัน เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมชิป

โดยมหาวิทยาลัยไทย 9 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไต้หวัน 6 แห่ง และบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

ร่วมมือวิจัยและผลิตบุคลากร โดยจัดทำหลักสูตรในระดับปริญญาตรี-โท ด้านเซมิคอนดักเตอร์ ตั้งเป้าให้มีนิสิตนักศึกษาที่มีศักยภาพสูงในโครงการไม่น้อยกว่า 200 คน/ปี ในสาขาที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ด้านเครื่องมือ ด้านวัสดุ ด้านการออกแบบวงจรรวม (IC) ด้านกระบวนการผลิต ด้านการทดสอบและ packing เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปีต่อเนื่อง

‘คธอ.-ETDA’ เสนอเพิ่มมาตรการดูแลธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล พร้อมช่องทางในการให้ข้อมูล รองรับผู้ประกอบการออนไลน์

(5 ก.ค. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้หารือกับผู้ประกอบการธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล E-Marketplace ได้แก่ Lazada, AirAsia Super App, Noc Noc, และ Shopee เข้าร่วมการประชุมทำความเข้าใจ สร้างการรับรู้ ถึงความสำคัญของ พ.ร.ฎ.การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565

โดย นายชัยวุฒิ กล่าวว่า จากที่ พ.ร.ฎ.การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 และจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 21 สิงหาคม 2566 ซึ่งเป็นกฎหมายที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (คธอ.) และ ETDA ได้เสนอให้มีการควบคุมดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ภายใต้มาตรา 32 พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้กลไกการกำกับดูแลในระดับการแจ้งให้ทราบ กฎหมายนี้เป็นกฎเกณฑ์กลางในการควบคุมดูแลบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล มีหน้าที่แจ้งให้ ETDA ทราบก่อน การประกอบธุรกิจ และหากเป็นผู้ประกอบธุรกิจซึ่งประกอบธุรกิจอยู่นอกราชอาณาจักร แต่ให้บริการแก่ผู้ใช้บริการในราชอาณาจักร จะต้องแต่งตั้งผู้ประสานงานในราชอาณาจักรด้วย โดยมีการกำหนดหน้าที่ให้เหมาะสมกับลักษณะการให้บริการ และผลกระทบที่อาจเกิดจากการให้บริการ

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ ETDA จัดให้มีช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนกลางที่เกิดจากการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล รวมทั้งมีหน้าที่ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจมีการจัดทำแนวปฏิบัติที่ดี (Best-practice) หรือมีกลไกการกำกับดูแลตนเอง (Self-regulation) ที่เหมาะสม อีกทั้งเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบธุรกิจ กฎหมายนี้ยังกำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อเป็นกลไกการทำงานร่วมกัน ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายด้วย สำหรับแผนการรองรับผู้ประกอบธุรกิจที่ได้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล อยู่ก่อนแล้ว ให้แจ้งการประกอบธุรกิจต่อ ETDA ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่กฎหมายนี้บังคับใช้ หรือภายในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2566

โดยทาง ETDA อยู่ในระหว่างการจัดทำร่างคู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตน เพื่อลงทะเบียนเป็นผู้ใช้บริการ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดกลไก self-regulate ของผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งจะเน้นสำหรับบริการ Social Media และ e-Commerce ก่อน เพื่อประโยชน์ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค (ลดการฉ้อโกงออนไลน์) และการดำเนินคดี (ระบุตัวผู้กระทำความผิด) และอยู่ในระหว่างการขยายขอบเขตให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ETDA ได้จัดงานรับฟังความคิดเห็นต่อร่างคู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนเป็นผู้ใช้บริการ และเปิดรับฟังความคิดเห็นในระบบกลางทางกฎหมายจนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา

ETDA ในฐานะ Co-Creation Regulator ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นตลอดจนข้อเสนอแนะต่อ กฎหมายลําดับรอง ภายใต้ พ.ร.ฎ.การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ มาอย่างต่อเนื่อง การรับความความคิดเห็นครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้น ETDA จะเปิดเวทีชี้แจ้งและสรุปภาพรวมของกฎหมายลําดับรองทั้ง 9 ฉบับ ที่เปิดรับฟังความคิดเห็นในระยะแรกนี้ต่อสาธารณะอีกครั้ง ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 ผ่านทางระบบออนไลน์ เพื่อให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มและผู้ที่สนใจได้ทําความเข้าใจภาพรวมของกฎหมายร่วมกันอีกครั้ง

และก่อนที่ พ.ร.ฎ.การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ จะมีผลใช้บังคับในเดือนหน้านี้ เพื่อเป็นการปิดข้อสงสัยและให้เกิดความชัดเจนในข้อปฏิบัติภายใต้กฎหมายฉบับดังกล่าว ETDA จึงเปิดระบบ Digital Platform Assessment Tool เพื่อช่วยประเมินเบื้องต้นว่า เป็นบริการที่เข้าข่ายบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลหรือไม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเตรียมความพร้อมก่อนดําเนินการแจ้งให้ ETDA ทราบ ผ่าน Checklist ออนไลน์ ที่ลิงก์ https://eservice.etda.or.th/dps-assessment

ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มรายใหญ่ และรายเล็กเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และ ในเร็วๆ นี้เตรียมขยายผลสู่การจัดกิจกรรม Pre-Consultation Checklist ที่จะมีทีมงานคอยให้คําปรึกษา แก่ผู้ให้บริการ เพื่อเตรียมความพร้อมในการจด แจ้งข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎหมาย ผ่านทางระบบ e-Meeting โดยจะเริ่มเปิดระบบให้จองนัดประชุม ทางเว็บไซต์ของ ETDA ก่อนเปิดให้บริการให้คําปรึกษาอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 กรกฎาคม 2566

นอกจากนี้ ยังเตรียมยกระดับบทบาทของศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ หรือ 1212 ETDA สู่การเป็นช่องทางกลางในการรับเรื่องร้องเรียนที่เกิดจากการใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลโดยผู้ประกอบการ เพื่อเป็นช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนของผู้ใช้บริการ รวมถึงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย DPS เพื่อให้ผู้ร้องเรียนเข้าถึงกระบวนการดูแลที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด

ความสำเร็จรุ่น 2 'ใบห่อ' สยายปีกธุรกิจไกล เพราะยึดคำสอนพ่อ 'ซื่อสัตย์-รักษาสัญญา'

ห้างขายยาตราใบห่อ ตำนานยาสมุนไพรไทยที่ก้าวย่างสู่วัย 50 ยังแจ๋ว เพราะเป็นผู้นำด้านยาสมุนไพรไทย 1 ใน 5 ของประเทศ เดินหน้าแตกไลน์สินค้าเพิ่ม ดันแนวคิด 'สมุนไพรไทยกลางใจบ้าน' ยึดหลักนายห้างประสิทธิ์ อัคคะประชา ผู้ก่อตั้งที่เน้นย้ำ ต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า รักษาสัญญา ผลิตยาสมุนไพรที่มีคุณภาพ เห็นผลและราคาไม่แพง เพื่อให้ใบห่อเป็นยาสมุนไพรไทยที่ทุกบ้านพึ่งพาได้ และยกระดับให้คนไทยมีสุขภาพดี

คุณอิศรา อัคคะประชา กรรมการบริหารและผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ห้างขายยาตราใบห่อ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมของการดำเนินธุรกิจในรุ่นที่ 2 ต่อจากคุณพ่อว่า ห้างขายยาตราใบห่อ เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว โดยคุณพ่อของผม นายห้างประสิทธิ์ อัคคะประชา ได้ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างร้านสมุนไพรมาก่อน ซึ่งยาสมุนไพรในยุคนั้นจะเป็นรูปแบบชง ต้ม ดื่ม ทำให้มีรสชาติขมค่อนข้างไปทางยา ทานลำบาก คุณพ่อผมท่านมีความเป็นนักการตลาดอยู่ในตัวก็เลยมองเห็นช่องว่างทางการตลาด และหันมาเริ่มผลิตยาสมุนไพรในรูปแบบเม็ดเป็นเจ้าแรกของประเทศไทย ทำให้ยาสมุนไพรทานง่ายขึ้น โดยเฉพาะยาขมเม็ดตราใบห่อกลายเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมจากอดีตถึงปัจจุบัน 

ส่วนภาพรวมของตลาดสมุนไพรไทยในปัจจุบัน คุณอิศรา กล่าวว่า หลังจากช่วงโควิด19 ที่ผ่านมา เห็นว่าคนไทย หันมาสนใจในยาสมุนไพรไทยมากขึ้น ไว้วางใจมากขึ้น เช่น สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่มีสรรพคุณส่วนช่วยบรรเทาอาการผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด19 นอกจากนี้ยังเห็นว่าสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ส่งผลให้ตลาดสมุนไพรไทยคึกคัก การแข่งขันค่อนข้างดุเดือดเนื่องจากมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้น มีการออกสินค้าใหม่ ๆนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน 

สำหรับกลยุทธ์การตลาด คุณอิศรา กล่าวว่า "ในปัจจุบันห้างขายยาตราใบห่อ เริ่มทำตลาดออนไลน์มากขึ้น โดยมีแนวคิด สมุนไพรไทยกลางใจบ้าน เรามองคำว่าบ้าน หมายถึงลูกค้า ร้านขายยา ตัวแทนจำหน่าย หรือกระทั่งคนที่ทานยาสมุนไพรของเรา มองว่า 'ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเรา' เราต้องการส่งมอบคุณค่าด้วยการผลิตยาสมุนไพรที่มีคุณภาพดีให้กับทุกคน โดยใช้นวัตกรรมในการผลิตที่เป็นมาตรฐานเน้นในเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ มีการทดลองใช้ในทุกรอบการผลิตเพื่อส่งมอบคุณภาพให้กับลูกค้า ทานแล้วต้องเห็นผล ราคาจับต้องได้ เข้าถึงได้สะดวกเวลาที่คนเจ็บป่วยด้วยโรคไม่รุนแรง เช่น ไข้หวัด ร้อนใน ท้องผูก สามารถพึ่งพายาสมุนไพรเราได้ เนื่องจากเป็นยาสามัญประจำบ้านที่อยู่คู่คนไทยมานานเกือบ 50 ปี"

สำหรับผลิตภัณฑ์ใบห่อ ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ยาขมเม็ดตราใบห่อ และยาระบายตราใบแก้ว เป็นต้น ส่วนกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ รองลงมาคือวัยทำงาน และวัยอื่นๆ ก็สามารถทานยาสมุนไพรของเราได้ ส่วนการตลาดที่สร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทางใบห่อได้มีการออกถุงผ้าแฟชั่นสกรีนแบรนด์ตราใบห่อ สีสันวินเทจ ซึ่งได้รับความนิยมมาก นอกจากนี้เรายังได้เปิดช่องทางให้ข้อมูลความรู้ โดยมีเภสัชกรแผนไทยและแพทย์แผนไทย คอยให้คำแนะนำในการใช้ยาสมุนไพร ให้ความรู้ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสามารถพูดคุยกันได้แบบ Real Time อีกด้วย

ด้านเป้าหมายการเติบโตของใบห่อ คุณอิศรา กล่าวว่า แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่...

ในระยะต้น จะมีการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ชัดเจนขึ้นว่ามีสินค้าหลากหลายชนิดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย 

ระยะที่สอง จะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงคุณภาพและการผลิต พัฒนาโรงงานให้ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น และมีการขยับตลาดจากในประเทศไปต่างประเทศ 

และระยะที่ 3 ในระยะยาว มองว่าตราใบห่อไม่ได้ขายแค่ยาสมุนไพรแล้ว สามารถออกผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น อาหารเสริม โดยมองเป็นธุรกิจ Health Care เพิ่มเติม นอกจากเรื่องเป้าหมายผลกำไรของบริษัทฯ แล้วการส่งคืนกลับสู่สังคมก็เป็นเป้าหมายสำคัญที่ใบห่อได้ส่งเสริมมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องกีฬามวย ใบห่อยังให้การสนับสนุนวงการมวยไทยที่สืบสานมาจากคุณพ่อ และได้ต่อยอดในการสนับสนุนกีฬาฟุตบอลเพิ่มเติม และการสนับสนุนอุปกรณ์กีฬาให้กับชุมชนที่ขาดแคลนมากขึ้น

ส่วนความท้าทายใหม่ๆ ของห้างขายยาตราใบห่อ คุณอิศรา กล่าวว่า เร็วๆ นี้ใบห่อจะมีการออกสินค้าเป็นชุดเครื่องหอมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทย สอดรับกระแส Soft Power ที่กำลังมาแรง โดยเฉพาะสมุนไพรไทยหลายตัวที่เป็นที่ต้องการของต่างประเทศ เช่น กระชายดำ ขมิ้นชัน ถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยตอนนี้ใบห่อก็ส่งออกฟ้าทะลายโจรไปยังรัสเซียซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก  

นอกจากนี้ ใบห่อยังได้เตรียมเปิดร้านอาหารและคาเฟ่ ชื่อว่า 'หอมปรุง' ตั้งอยู่บริเวณถนนจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์จุดเด่นคือ เป็นร้านอาหารและคาเฟ่ที่ใช้วัตถุดิบสมุนไพรเครื่องเทศ มาปรุงเป็นเมนูอาหารต่างๆ โดยเชฟฝีมือดี ทั้งเมนูหลัก ขนมหวาน และเครื่องดื่ม คาดว่าจะได้ลิ้มลองรสชาติและสัมผัสบรรยากาศร้านย่านเมืองเก่าในช่วงปลายปีนี้อย่างแน่นอน

ลุยโครงการ ‘Green Hospital ต้นแบบ’ ขับเคลื่อนบริการทางการแพทย์ด้วยพลังงานสะอาด

(21 ก.ค. 66) บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) จรดปากกาเซ็นเอ็มโอยูร่วมกับ ‘กรมการแพทย์’ ลุยโปรเจกต์พัฒนาโรงพยาบาลตามแนวทาง Green and Clean Hospital ต้นแบบ พร้อมเดินหน้าผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาด ยกระดับด้วยระบบกักเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพ พร้อมขับเคลื่อนการขนส่งและบริการทางการแพทย์ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าและสถานนีชาร์จด้วยจุดบริการที่ครอบคลุม กว่า 500 สถานีชาร์จ เล็งขยายสถานีฯ ตอบโจทย์แผนยุทธศาสตร์ EV แห่งชาติ สร้างความยั่งยืน-เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของประเทศ

กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ‘โครงการพัฒนาโรงพยาบาลตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean Hospital ต้นแบบ’ โดยมีนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้แทนจาก บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ร่วมลงนาม

นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีโรงพยาบาล/สถาบันในสังกัดให้บริการรักษาโรคที่ยุ่งยากซับซ้อนแก่ประชาชน และมีการมุ่งมั่นพัฒนาการบริการรักษา รวมถึงบริการด้านอื่นๆ จึงมีความประสงค์จะร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ศึกษา และพัฒนาระบบบริหารจัดการพลังงานสะอาดแบบบูรณาการที่เหมาะสมตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean hospital ซึ่งเป็นการยกระดับให้หน่วยงานสาธารณสุขภายใต้กรมการแพทย์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 22 มีนาคม2565 เห็นชอบแนวทางประหยัดพลังงานโดยให้หน่วยงานภาครัฐลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงร้อยละ 20 และเร่งผลักดันให้นำมาตรการด้านพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้หน่วยงานราชการเร่งดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (solar rooftop) ในลักษณะร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อลดภาระการใช้จ่ายและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ภาคเอกชนและประชาชนต่อไป

กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด ที่ให้ความร่วมมือในการที่จะคิดค้นและริเริ่ม ศึกษาพัฒนา สนับสนุน และแลกเปลี่ยนข้อมูลของโครงการฯ ทั้ง 3 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar) ด้านที่ 2 ระบบกักเก็บพลังงานเพื่อรองรับการใช้พลังงานไฟฟ้าของหน่วยงาน และด้านที่ 3 การพัฒนาดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับการให้บริการทางการแพทย์ในพื้นที่ต่างๆ โดยใช้หลักการความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้มาใช้บริการในการรณรงค์และขยายผลสู่สังคมต่อไป

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) เปิดเผยว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ วางกลยุทธ์ด้าน EA Eco System เป็นแนวทางหลักในการขยายธุรกิจ และสร้างความโตที่แข็งแกร่ง ด้วยการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาดครบวงจร พัฒนาแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงานจากนวัตกรรม Amita Technology เชื่อมโยงสู่การให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere รวมถึงพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ MINE Mobility ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่หลากหลาย ตรงวัตถุประสงค์เป้าหมายของกลุ่มผู้ใช้งาน และมีระบบบริหารจัดการพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เพื่อเป็นการยกระดับให้หน่วยงานสาธารณสุขภายใต้กรมการแพทย์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล โดยใช้หลักการความยั่งยืนและเป็นมิตรกับส่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้มาใช้บริการในการรณรงค์และขยายผลสู่สังคมได้ต่อไป EA จึงได้ร่วมกับ กรมการแพทย์ ลงนามบันทึกข้อตกลง ในการร่วมกันศึกษาและพัฒนาระบบการบริหารจัดการพลังงานสะอาดแบบบูรณาการที่เหมาะสมตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean Hospital ด้วยโรดแมปดังนี้

1. Renewable Power การพัฒนาและติดตั้ง ระบบ Solar System มุ่งเน้นผลิตไฟฟ้า ด้วยพลังงานสะอาด

2. Energy Storage System เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้มีเสถียรภาพ ด้วยระบบกักเก็บพลังงาน เทคโนโลยีจากAmita Technology

3. EV & Charging Station การยกระดับขนส่งและการให้บริการทางการแพทย์ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบพิเศษสำหรับการบริการด้านสาธารณสุข พร้อมขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere ครบคลุมเส้นทางการให้บริการ

“มั่นใจว่าการเซ็นเอ็มโอยูในครั้งนี้ระหว่าง EA กับกรมการแพทย์ จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ไปสู่เป้าหมาย Green and Clean Hospital ในอนาคต ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานถือเป็นการมุ่งสู่พลังงานสะอาด ตอบโจทย์ความยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” นายสมโภชน์กล่าว

รฟท. เคาะศิริราชจ่ายค่าเช่าที่ 161 ล้านบาท สร้างอาคารรักษาพยาบาลเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า

บอร์ด รฟท.เคาะเพิ่มทางเลือกให้ รพ.ศิริราชจ่ายค่าเช่าที่ดิน ‘สถานีธนบุรี’ จากรายปีเป็นงวดเดียว คิดมูลค่าที่ 161 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาอาคารรักษาพยาบาลและสถานีเชื่อมรถไฟฟ้า ‘สีแดง-สีส้ม’ คาดลงนามสัญญาเช่าได้ในก.ย. 66

นางสาวมณฑกาญจน์ ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพย์สินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท.เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2566 ได้มีมติเห็นชอบการปรับวิธีจ่ายค่าเช่าที่ดินของการรถไฟฯ บริเวณสถานีธนบุรี ซึ่งเป็นการทบทวนมติบอร์ดรฟท.เดิม เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2563 จากเดิม รฟท.คิดค่าเช่าที่ดินเป็นรายปี ซึ่งเป็นไปตามระเบียบ รฟท. และได้ตกลงร่วมกับโรงพยาบาลศิริราชแล้ว ต่อมามีการประชุมร่วมกัน โดยรพ.ศิริราชขอปรับเปลี่ยนการจ่ายค่าเช่าที่ดินจากรายปีเป็นงวดเดียว เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อใช้ในการไปดำเนินการจัดทำงบประมาณของ รพ.ศิริราช

ทั้งนี้ รพ.ศิริราชจะเช่าที่ดินของ รฟท.บริเวณสถานีธนบุรี จำนวน 4.67 ไร่ (7,456 ตารางเมตร) เพื่อดำเนินโครงการอาคารรักษาพยาบาลและสถานีศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีระยะเวลาเช่า 30 ปี อัตราค่าเช่า 50 ล้านบาทต่อปี ปรับขึ้น 3% ต่อปี โดยคิดมูลค่าปัจจุบัน กรณีชำระครั้งเดียวเป็นเงินประมาณ 161 ล้านบาท

“หลังจากนี้จะแจ้งมติบอร์ด รฟท.ให้ศิริราชฯ รับทราบว่าเปิดทางเลือกให้สามารถจ่ายค่าเช่าที่ดินงวดเดียวได้ด้วย ซึ่งทางศิริราชฯ จะสรุปเพื่อดำเนินการลงนามสัญญาร่วมกันต่อไป ซึ่ง รฟท.คาดว่าจะเร่งทำร่างสัญญา และลงนามการเช่าที่ดินได้ภายในเดือน ก.ย. 2566 เพื่อให้ทางศิริราชฯ นำสัญญาเช่าที่ดิน รฟท.ไปใช้ประกอบการเสนอของบประมาณประจำปี 2568” นางสาวมณฑกาญจน์กล่าว

สำหรับโครงการอาคารรักษาพยาบาลและสถานีศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการฯ เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2565 งบประมาณรวม 3,851.27 ล้านบาท แบ่งเป็นงบฯ ลงทุนค่าก่อสร้าง 2,338.27 ล้านบาท ครุภัณฑ์การแพทย์ 1,400 ล้านบาท และงบฯ บุคลากร 113.01 ล้านบาท 

ก่อสร้างอาคารสูง 15 ชั้น ชั้นใต้ดิน 3 ชั้น รวมความสูงของอาคารเท่ากับ 81 เมตร มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 51,853 ตารางเมตร แบ่งเป็น 1. พื้นที่โรงพยาบาล 47,537 ตารางเมตร 2. พื้นที่รถไฟสายสีแดงอ่อน 3,410 ตารางเมตร และ3. พื้นที่รถไฟฟ้าสายสีส้ม 906 ตารางเมตร พร้อมพื้นที่จอดรถ 79 คัน ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 32 เดือนรวมระยะเวลาดำเนินโครงการ 4 ปี

มีการพัฒนาจุดเชื่อมโยงการเดินทางโดยรถไฟฟ้าบริเวณโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 2 สถานี คือ สถานีศิริราชรถไฟฟ้าสายสีส้มของ รฟม. และสถานีธนบุรี-ศิริราช รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนของ รฟท. เพื่อให้เป็นสถานีขนส่งมวลชนเพื่อสุขภาพและสาธารณสุขแห่งแรกของประเทศไทย

BullMoon Exclusive เปิดหลักสูตรการลงทุน รุ่น 2 ไขความลับความมั่งคั่งผ่าน Passion โดย ‘วิชัย ทองแตง’

#ประชาสัมพันธ์ #ขยายกำแพงแห่งการลงทุน

#วิชัยทองแตง
หลายคนคุ้นชื่อนักลงทุนหมื่นล้านชื่อดัง ที่ผันตัวจากทนายความสู่นักลงทุน จนได้ฉายาว่า ‘พ่อมดตลาดหุ้น’ ท่านนี้

คุณวิชัย ลงทุนและบริหารบริษัทมหาชนหลายบริษัท ถือเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลและเป็นที่เคารพของคนในวงการมายาวนาน

แต่ในช่วงหลายปีมานี้ งานและการลงทุนของคุณวิชัยได้เปลี่ยนไปด้วย Passion ใหม่ ท่านออกจากงานบริหารในหลายบริษัท เพื่อมาโฟกัสใน Passion ใหม่นี้ 

ในหลักสูตร BullMoon Exclusive รุ่น 2 เราจะได้ฟังวิสัยทัศน์ และแนวคิดในการลงทุนใหม่ๆ ของคุณวิชัย ซึ่งจะมีโอกาสอะไรบ้าง ที่คุณวิชัยเห็น และจะมาแบ่งปันให้เราแบบ Exclusive รอฟังได้เลยในรุ่นนี้เลย

ดูรายละเอียดได้ที่ 👉 https://bit.ly/3Ybxkqn

มาเปิดโลก เปิดโอกาสการลงทุน ในหลักสูตร BullMoon Exclusive 

#รุ่น2เปิดรับสมัครแล้ว
เริ่มเรียน 17 ส.ค.นี้

สอบถามหรือขอความช่วยเหลือ
🟢 Line : @‌stock2morrow
📞 โทร : 09 0980 2196
-----
#BullMoonExclusive #BridgeYourInvestment #หุ้น #อสังหาฯ #digitalassets

ขบวนรถไฟขนส่งระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ออกขบวนแล้ว!! ช่วยลดต้นทุน ยกระดับการขนส่ง เพิ่มขีดความสามารถทางการค้า

เมื่อไม่นานนี้ การรถไฟฯ ได้เดินรถไฟขนส่งสินค้าขบวนทดลอง มาบตาพุด - ด่านคลองลึก (ฝั่งไทย) - ด่านปอยเปต (ฝั่งกัมพูชา) - พนมเปญ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการพัฒนาเส้นทางเชื่อมระหว่างประเทศ ไทย-กัมพูชา

ซึ่งประเทศไทยมีส่วนในการสนับสนุน ร่วมกับหลายๆ ประเทศ ในการปรับปรุงเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศนี้ ให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง หลังจากถูกทำลายไปในช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา

ซึ่งถ้าการทดสอบเป็นไปได้ด้วยดี ผู้ประกอบการ รวมถึงกลุ่ม ปตท. ก็มีการวางแผนขบวนขนส่งสินค้า ทั้งคอนเทนเนอร์ทั่วไป และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี จากมาบตาพุด ไปส่งกัมพูชาทางรถไฟอีกด้วย

ทราบหรือไม่ว่า เส้นทางรถไฟไทย-กัมพูชา มีอายุมากกว่า 68 ปี เปิดให้บริการครั้งแรกใน พ.ศ. 2498 แต่ถูกปล่อยทิ้งร้าง จากปัญหาควาามขัดแย้งระหว่างประเทศ และความไม่สงบในกัมพูชาไปกว่า 45 ปี

จนกระทั่งกลับมาเปิดด่านและสถานีรถไฟ ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก และด่านปอยเปต ในปี 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ ไทยมีเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างประเทศ เป็นจุดที่ 3 ต่อจาก ปาดังเบซาร์ และ หนองคาย

เส้นทางรถไฟระหว่างประเทศ สำคัญอย่างไร?
แน่นอนว่าหลายๆ คน อาจทราบอยู่บ้างว่า รถไฟเป็นระบบขนส่งทางบกที่ถูกที่สุด และมีความสามารถในการขนส่งต่อขบวนในปริมาณมาก ทำให้ช่วยลดการขนส่งสินค้าทางรถยนต์ได้มาก โดยเฉพาะการขนส่งสินค้า ซึ่งประเทศไทยมีสินค้าที่ส่งออกไปกัมพูชาในกลายกลุ่ม เช่น
- วัตถุดิบในการก่อสร้าง (ปูน กระเบื้อง สุขภัณฑ์) ซึ่งไทยเราเป็นผู้นำในระดับโลก
- กลุ่มปิโตรเคมี น้ำมัน และแก๊สธรรมชาติ
- อาหาร สิ่งอุปโภค บริโภค

โดยการเปลี่ยนมาขนส่งผ่านระบบรถไฟ จะช่วยลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าได้มาก ทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น (ถนนไทย-กัมพูชา ยังอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์) ที่สำคัญคือ การเปิดด่านเหล่านี้ จะเป็นการสนับสนุนนโยบายการเปิดการเพิ่มผู้ให้บริการ เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าข้ามชายแดนได้สะดวก และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

‘รมย์ คอนแวนต์’ เปิดห้องซีรีส์ใหม่ 4 รูปแบบ หลังกวาดยอดขาย 1,400 ลบ. เน้นเรียลดีมานด์ ห้องใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน ชวนสัมผัสประสบการณ์ A Life Retreat Exhibition 8 ส.ค. - 22 ก.ย.นี้

บมจ.พราว เรียล เอสเตท (PROUD) เปิด 'รมย์ คอนแวนต์' เผยโฉมคอนโด Luxury Wellness แห่งแรกใจกลางเมืองบน ถ.คอนแวนต์-สาทร โชว์ห้องซีรีส์ใหม่ “ไซส์ใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน” ฟังก์ชั่นหลากหลาย ตอบรับเรียลดีมานด์ แถมอัดโปรโมชั่นแรงรับตั๋วเครื่องบินเที่ยวยุโรป ส่วนลดมูลค่ารวมกว่า 800,000 บาท หลังกวาดยอดขาย 1,400 ล้านบาท พร้อมจัดงาน A Life Retreat Exhibition นิทรรศการที่จะพาคุณรื่นรมย์ไปกับ 5 สัมผัส และการพักผ่อนเหนือระดับในที่พักอาศัยใจกลางเมือง ตั้งแต่ 8 ส.ค. - 22 ก.ย.นี้

นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  หลังจากเปิดตัวโครงการ รมย์ คอนแวนต์ Luxury Wellness Condominium แห่งแรกใจกลางเมืองบน ถ.คอนแวนต์-สาทร มีกระแสตอบรับดีเกินคาด หลังกวาดยอดขาย 1,400 ล้านบาท โดยเฉพาะห้องขนาดใหญ่อย่าง Sky Villa และห้อง 3 ห้องนอน เราเลยเข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัย ว่าต้องการใช้ชีวิตในห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ทางโครงการจึงตอบสนองความต้องการของกลุ่มเรียลดีมานด์ โชว์ห้องซีรีส์ใหม่ 4 รูปแบบ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ เพดานสูงโปร่ง ฟังก์ชั่นหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ถือเป็นห้องรูปแบบ 2 และ  3 ห้องนอนขนาดใหญ่ที่หาได้ยาก และกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากในขณะนี้ ประกอบด้วย 

• LA FORÊT VILLA: ห้องขนาด 128 ตรม. ชั้น 3-11 ถือว่าเป็น Rare item ห้องสวยของโครงการ รับวิว 270 องศาที่เน้นให้ผู้อยู่อาศัยใกล้ชิดกับธรรมชาติรายล้อมด้วยความเขียวชอุ่มจากยอดไม้ที่ได้จากพื้นที่สวนด้านล่างของโครงการ และสวนโดยรอบฝั่งโบสถ์คริสต์และอุโมงค์ต้นไม้ตลอดซอยคอนแวนต์  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากในราคาคุ้มค่า

• 2 BEDROOM PLUS: ห้องขนาด 119.49 ตร.ม. ชั้น 3-20 เป็นรูปแบบ 2 ห้องนอนและ 1 ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ยืดหยุ่นต่อความต้องการของสมาชิกในครอบครัว 
• JUNIOR PENTHOUSE: ห้องขนาด 181.65 ตร.ม. ชั้น 23-27 ออกแบบสำหรับครอบครัวใหญ่ให้คุณได้สัมผัสความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่และความลงตัวของทุกห้องที่สามารถชมวิวได้ในทุก ๆ ห้อง และเพิ่มพื้นที่ด้วยทางเข้าออกห้องแบบ 2 ทางแยกกัน แถมสิทธิจอดรถได้ถึง 3 คัน 
• PENTHOUSE 1-2: ห้องขนาด 418.61 - 469.85 ตร.ม. บนชั้น 28 - 29 จัดมาเพื่อความพิเศษที่สุดของความเหนือระดับ ด้วยพื้นที่การใช้งาน 2 ชั้นและสวนส่วนตัวลอยฟ้ารับวิวได้สุดสายตา แบ่งฟังก์ชั่นใช้งานไว้อย่างลงตัว พร้อมผู้เชี่ยวชาญให้ออกแบบตกแต่งเพิ่มเติมโดย PIA

ช่วง Grand Opening ยังมีโปรโมชั่นพิเศษมอบตั๋วเครื่องบิน กทม.-ยุโรป และส่วนลดสูงถึง 800,000 บาท พร้อมจัดงาน "A Life Retreat Exhibition" นิทรรศการที่จะพาคุณรื่นรมย์ในชีวิตผ่าน 5 สัมผัส SEE SOUND SCENT SENSE TOUCH ในโครงการ 'รมย์ คอนแวนต์' (ROMM Convent) สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ – 22 มิ.ย. 66

'รมย์ คอนแวนต์' เป็นคอนโด Luxury Wellness ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท ด้วยคอนเซปต์ CBD Retreat Residences ที่เน้นเชื่อมโยงให้ผู้อาศัยสัมผัสรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากกว่าได้ไปพร้อมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาว ไปกับการใช้ชีวิตใจกลางเมืองได้อย่างเต็มที่แต่ยังคงสามารถเข้าถึงการพักผ่อนเหนือระดับได้เมื่อเดินทางกลับมาที่รมย์ คอนแวนต์ ด้วยการออกแบบทุกพื้นที่ในห้องพัก Wellness Facilities บนพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2,000 ตร.ม. และบริการดูแลสุขภาพระดับบ VVIP จากโรงพยาบาล BNH, แอปพลิเคชั่น Bedee by BDMS และ Proud Health Butler 

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการรมย์ คอนแวนต์ (ROMM CONVENT) เว็บไซต์: https://bit.ly/RommConvent  , Facebook: https://bit.ly/fbproudrealestate หรือ โทร 02-026-8999

APCO โชว์งบครึ่งปีแรกโตดี รายได้ 151.67 ล้านบาท กำไรโต 80.71% Q3/66 แตกไลน์อาหารเสริมบำรุงสมอง ยอดส่งออกวัฒนชีวาเพิ่ม

APCO เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้รวม 151.76 ล้านบาท กำไร 58.42 ล้านบาท โต 80.71% ยอดจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์โตตามเป้า ทิศทางธุรกิจไตรมาส 3/2566 แนวโน้มดีต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์เรือธงหนุนยอดขาย แตกไลน์อาหารเสริมบำรุงสมอง ยอดส่งออกวัฒนชีวาเพิ่ม 

ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงาม ยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งแรกปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 151.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 113.91 ล้านบาท จำนวน 37.84 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.22% และมีกำไรสุทธิ 58.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32.33 ล้านบาท จำนวน 26.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 80.71% 

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 68.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 57.87 ล้านบาท จำนวน 10.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.54 % และมีกำไรสุทธิ 25.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17.01 ล้านบาท จำนวน 8.11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47.66%

ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะนวัตกรรมวัฒนชีวาย้อนวัยชะลอวัย

สำหรับทิศทางธุรกิจไตรมาส 3/2566 แนวโน้มเติบโตดี จากผลิตภัณฑ์เรือธง ได้แก่ ภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง ภูมิคุ้มกัน HIV/AIDS และนวัตกรรมย้อนวัยชะลอวัย รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ที่คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ บริษัทเริ่มทดลองจำหน่ายผลิตภัณฑ์ MMM เสริมสร้างบำรุงระบบสมอง ในช่องทางที่เหมาะสมที่สุด โดยคาดว่าจะได้กระแสตอบรับที่ดี ซึ่งจากการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายพบว่ามีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ 

อีกทั้ง ได้รับคำสั่งซื้อล็อตแรกกว่า 10,000 ขวด จากผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ย้อนวัย 'วัฒนชีวา' ภายใต้แบรนด์ Youthlocked และ Youthlocked A เพื่อจัดจำหน่ายใน 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top