Tuesday, 14 May 2024
เลือกตั้ง

‘ผู้การแต้ม’ โวย!! ป้ายหาเสียงถูกปลด พบป้าย ‘ทสท.’ เสียบแทน เตรียมร้อง กกต.-แจ้งความเอาผิด วอน ทุกพรรคทำตามกติกา

(7 เม.ย. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้สมัคร ส.ส. เขตหลักสี่  พรรคปชป.แถลงว่า พบว่าป้ายหาเสียงของตนและผู้สมัครของพรรค ปชป.หลายเขตใน กทม.รวมไปถึงป้ายหาเสียงของพรรคอื่น ๆ อาทิ พรรคก้าวไกล (กก.), พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ถูกปลดออกเช่นกัน แล้วกองไว้ในตำแหน่งที่ป้ายดังกล่าวเคยถูกติดตั้ง ซึ่งป้ายที่ถูกนำมาติดตั้งแทนที่นั้น เป็นป้ายหาเสียงของพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.)

“ผมมองว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ระบบประชาธิปไตย และผิดกฎหมายอาญาด้วย เพราะป้ายหาเสียงเป็นทรัพย์สินของผู้สมัคร การมาปลดป้ายหาเสียงไปทิ้งทำลาย ถือว่าเป็นการทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งทางพรรค ปชป.จะดำเนินการแจ้งความ และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำภาพจากวงจรปิดมาตรวจสอบหาผู้กระทำผิดต่อไป” พล.ต.ต.วิชัย กล่าว

พล.ต.ต.วิชัย กล่าวต่อว่า ขอวิงวอนให้ทุกพรรคการเมืองหาเสียงภายใต้กฎกติกา มารยาท และตามกฎหมาย เพราะผู้ที่จะอาสามาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน เมื่อขณะเป็นผู้สมัครยังหาเสียงอย่างไม่สุจริต หากได้เข้าไปทำหน้าที่ ส.ส. แล้ว ตนก็ไม่สามารถเชื่อได้ว่า ผู้นั้นจะสามารถทำงานได้อย่างซื่อสัตย์สุจริต สำหรับกรณีนี้ตนได้เตรียมหลักฐานไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะนำไปยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป

‘ธนาธร’ บุกกรุงเทพฯ อวดโฉมผู้สมัคร ส.ส ก้าวไกล 7 เขตรวด เชื่อ ‘ก้าวไกล-พท.’ สามารถนำพาประเทศสู่ความเป็นประชาธิปไตย

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมหาเสียงกับพรรคก้าวไกลในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มต้นแต่เช้าตรู่ที่ย่านฝั่งธนบุรี แนะนำผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งประกอบด้วย น.ส.แอนศิริ วลัยกนก เขต 25 ทุ่งครุ-ราษฎร์บูรณะ (เบอร์ 9), นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ เขต 26 บางขุนเทียน-จอมทอง (เบอร์ 11), นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เขต 27 บางบอน-บางขุนเทียน (เบอร์ 1) และ น.ส.รัชนก ศรีนอก เขต 28 จอมทอง-บางบอน-หนองแขม (เบอร์ 4) เดินพบปะประชาชนที่ตลาดและชุมชนซอยโรงเรียนบางขุนเทียนศึกษา และขึ้นรถแห่ร่วมหาเสียงจนถึงจากบางขุนเทียนไปจนถึงสุขสวัสดิ์

ก่อนข้ามฟากจากฝั่งธนบุรี มายังเขตห้วยขวางที่ตลาดเมืองไทยภัทร และตลาดห้วยขวาง หาเสียงช่วย แรมโบ้ นายกันตพณ ดวงอำพร เขต 6 พญาไท-ดินแดง (เบอร์ 3) และ นายเฉลิมชัย กุลาเลิศ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 5 ห้วยขวาง-วังทองหลาง (เบอร์ 12) ก่อนปิดท้ายการหาเสียงของวันนี้ ที่เขตลาดกระบัง ร่วมกับ นายธีรัจชัย พันธุมาศ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 18 หนองจอก-ลาดกระบัง-มีนบุรี (เบอร์ 8) ที่ตลาด V-Market โดยการหาเสียงของพรรคก้าวไกลในพื้นที่กรุงเทพมหานครวันนี้ ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างอบอุ่น มีประชาชนเข้ามาพูดคุย ให้กำลังใจ และขอถ่ายรูปด้วยเป็นจำนวนมาก

ระหว่างการร่วมหาเสียง สื่อมวลชนที่มาติดตามได้ถามคำถามต่อนายธนาธร ถึงสถานการณ์ทั่วไปในทางการเมืองและการเลือกตั้ง โดยเบื้องต้นได้สอบถามถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ ว่าไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งนายธนาธรระบุว่า การแบ่งเขตเช่นนี้ กำลังนำมาซึ่งความสับสนต่อทั้งประชาชนและพรรคการเมือง แต่ไม่ว่ากติกาจะเป็นแบบไหน ตนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลก็พร้อมสู้ และเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวกรุงเทพมหานคร เพราะผลงาน 4 ปีในสภาฯ เป็นที่พิสูจน์แล้วว่าพรรคก้าวไกลทำงานอย่างมุ่งมั่นคุ้มค่าภาษีประชาชน โดยต่อจากนี้ ทั้งพรรคก้าวไกลและตนจะใช้อีก 40 วันที่เหลือในการทำงานให้หนัก ให้พี่น้องประชาชนเห็นถึงความตั้งใจที่เรามีร่วมกัน

นายธนาธรยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชน ถึงกรณีการออกแบบนโยบายด้านปากท้องทึ่แตกต่างกันไปของแต่ละพรรคการเมือง โดยระบุว่า จากวิกฤตที่ผ่านมาทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้วันนี้คนไทยอ่อนแอลงมาก ประเทศไทยจะเข้มแข็งไม่ได้เลยถ้าประเทศไทยและคนไทยยังมีหนี้ครัวเรือนที่สูงขนาดนี้ ถ้าคนไทยยังต้องทนปากกัดตีนถีบใช้ชีวิตไปวันต่อวัน วางแผนชีวิตไม่ได้ ไม่มีความมั่นคงในชีวิตต่อยอดไม่ได้ เพื่อออกจากสภาวะแบบนี้ ประเทศไทยต้องมีรัฐสวัสดิการที่ยั่งยืนเพื่อให้ประชาชนมั่นคง มีความต่อเนื่องของนโยบาย เพื่อที่จะทำให้ประชาชนสามารถ วางแผนชีวิตตัวเองและต่อยอดการทำมาหากินได้

นิพนธ์ ยัน คุณสมบัติครบถ้วน พร้อมแจง กกต.เรียบร้อย เตือน เรืองไกร เป็นผู้สมัคร ส.ส.พลังประชารัฐ ส่อเจตนาใส่ร้ายป้ายสี ผิดกฎหมายเลือกตั้ง

 วันที่ 7 เมษายน 2566 นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ได้มีการร้องให้กกต.ตรวจสอบเรื่องการขาดคุณสมบัติของตนว่า เรื่องดังกล่าวนั้น ตนได้มีการชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคุณสมบัติไปยังประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งและกรรมการอีก 5 ท่านแล้วเมื่อที่ 4 เม.ย.66 ที่ผ่านมา โดยได้ชี้แจงกกต.


  1. กระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งที่ 1524/ 2564 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 
นายนิพนธ์ บุญญามณี พ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ในวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๔ สิงหาคม 2556 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2562 


 2. เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ข้าพเจ้าได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ) ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1314/2565 โดยมีคำร้องขอทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ซึ่งข้าพเจ้าได้ระบุในคำขอทุเลาไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้าให้คำสั่งของกระทรวงมหาดไทยในข้อ 1 มีผลบังคับใช้ต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดี เนื่องจากแม้ปัจจุบันผู้ฟ้องคดีได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว 


  3.เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2566 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 1528/2564 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 เรื่อง ให้นายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา พ้นจากตำแหน่งในวาระการดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2556 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2562 ไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น อันมีผลเป็นการชะลอหรือระงับการบังคับตามผลของคำสั่งทางปกครองไว้เป็นการชั่วคราวตามข้อ 72 วรรคสาม และข้อ 69 วรรคสอง ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ทั้งนี้ ศาลได้วินิจฉัยถึงเงื่อนไขในการที่ศาลปกครองจะมีอำนาจออกคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครอง ตามคำขอของข้าพเจ้า (ผู้ฟ้องคดี)สรุปความได้ว่า เงื่อนไขประการที่หนึ่ง คำสั่งกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และในเงื่อนไขประการที่สองว่า คำสั่งกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว มีผลกระทบต่อคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดีในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การที่ผู้ฟ้องคดีขาดคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นกรณีที่จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีจนยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังได้ ดังนั้น การให้คำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 1528/2564ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ที่สั่งให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลามีผลใช้บังคับต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีจนยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง


   4.การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 1528/2564 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ทำให้คำสั่งกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวสิ้นผลลงโดยเหตุอื่น ตามมาตรา 42 วรรคสอง พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 และมีผลทำให้ข้าพเจ้ามิใช่บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อีกต่อไป


  5.เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 กระทรวงมหาดไทย(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ได้ทำคำชี้แจงกรณีที่ข้าพเจ้าได้ยื่นคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครอง (ครั้งที่ สาม ต่อศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ 1314/2564 รายละเอียดสรุปความได้ว่าการออกคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 1528/2564 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ที่ให้นายนิพนธ์ บุญญามณี พ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาฯ น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายตามแนวคำวินิจฉัยคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 581/2565 จึงยอมรับและไม่คัดค้านคำขอทุเลาตามคำสั่งทางปกครองของข้าพเจ้า

ย้อนมอง ‘หาเสียง-สื่อประชาสัมพันธ์’ สมัยแรกของสยาม ท่ามกลางกุศโลบายสร้างสรรค์ ไม่ฟาดฟันกันด้วยอวิชชา

ในตอนที่ผมกำลังพิมพ์เรื่องราวนี้อยู่นั้น การรับสมัครผู้ที่ต้องการเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อนั้นก็คงได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกพรรคคงเดินหน้าในการหาเสียงกันเต็มรูปแบบ ผมก็เลยอยากมาเท้าความถึงเรื่องราวการหาเสียงเลือกตั้งในอดีตให้ทุกท่านได้นึกจินตนาการสักหน่อย 

ผมจะเล่าถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสยามเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2480 ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 เพื่อเลือกตั้ง ส.ส. จำนวน 91 ที่นั่ง จาก 182 ส่วนอีกครึ่งนั้นมาจากการแต่งตั้งโดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ซึ่งเป็นการเลือกตั้งแบบทางตรง คือผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกบุคคลหรือพรรคการเมืองได้โดยตรง 

แต่เวลานั้นยังไม่มีพรรคการเมืองครับ ผู้สมัครที่ลงรับเลือกตั้งจึงเป็นผู้สมัครอิสระ สำหรับ ส.ส. ก่อนหน้าการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2480 นั้น มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม ซึ่งผู้มีสิทธิลงคะแนนจะเลือกผู้แทนตำบลเพื่อให้ไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง เพราะประชาชนยังอ่านออกเขียนได้มีจำนวนไม่มากนัก และ ส.ส. ชุดเลือกทางอ้อมนั้นได้พ้นตำแหน่งไปแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็กลับมาเป็นผู้แทนประเภทที่ 2 ด้วยการแต่งตั้ง เอาน่ะ ยุคนั้นราษฎรยังไม่เยอะ พวกผู้แทนที่กลับมาเป็นอีกมีความจำเป็น (หลัก ๆ ก็ก๊วนคณะราษฎรนั่นแหละ) 

แต่วัฒนธรรมหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในยุคแรกเริ่มเลือกตั้งแห่งสยามนี้คือการหาเสียงแบบ ‘เคาะประตูบ้าน’ ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ผมว่าเป็นการหาเสียงสุดคลาสสิกที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เพราะการเลือกตั้งในยุคนั้นต้องอาศัยการรู้จักหน้าตาของผู้สมัคร ยิ่งถ้าผู้สมัครรู้จักเข้าหาผู้นำหรือผู้ที่ได้รับความนับถือในสังคม ที่ปัจจุบันก็คือ ‘หัวคะแนน’ (มีมาตั้งแต่สมัยนั้น) อาทิ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครูจากเมืองหลวง ตลอดจนพระสงฆ์ ก็ย่อมมีสิทธิ์ได้รับเลือก อันนี้คือการหาเสียงทางตรงซึ่งมักถูกนักเลือกตั้งรุ่นใหม่ดูถูกเหยียดหยาม ว่าช่างโบราณได้รับเลือกมาก็เป็นแค่ ‘ผู้แทนตลาดล่าง’ แต่ผมว่าเอาเข้าจริงการหาเสียงในรูปแบบนี้ยังใช้ได้ทุกยุค ทุกสมัย ขนาดที่พรรคการเมืองที่ว่ารุ่นใหม่บางพรรคยังต้องยอมศิโรราบ ‘การเคาะประตูและการใช้หัวคะแนน’ กลืนน้ำลายตัวเองตั้งแต่ยังไม่ได้รับเลือกตั้ง อันนี้ก็งง งงดี 

ส่วนอีกเรื่องที่น่าสนใจในยุคการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2480 ก็คือการใช้สื่อสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า ‘โปสเตอร์’ ผมว่าอันนี้น่าสนใจเพราะเขาใช้สื่อชนิดนี้ด้วยความสร้างสรรค์ สร้างคอนเทนต์กันสุดฤทธิ์ โดยเน้นการโฆษณาว่าตนเป็นใคร เก่งแบบไหน ใส่นโยบายกันสุดลิ่มทิ่มประตู ยกตัวอย่างให้อ่านดังนี้...

เลือกให้ นายชอ้อน อำพล เป็นผู้แทนดีกว่า นายชอ้อน อำพล บรรณาธิการ ‘สยามรีวิว’ เมื่อได้เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการแล้ว จะฟันฝ่าชาวสมุทรปราการเป็นลูกเมียหลวงให้ได้ จะไม่ต้องได้รับความลำบากอย่างที่ท่านเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ ถ้าเขาได้เป็นผู้แทนมาแต่แรกแล้ว สมุทรปราการและพระประแดงจะไม่เป็นเช่นนี้เลย....ปิดท้ายด้วย....ท่านจะเห็นว่า นายชอ้อน อำพล ช่วยท่านจริงก็ต่อเมื่อท่านได้ ให้เขาเป็นผู้แทนในวันเลือก...

...เอากับเขาสิ อยากใช้ผมก็เลือกผม อะไรประมาณนั้น

หรืออย่างเช่น...ทองหล่อ บุณยนิตย์ เนติบัณฑิต ทนายความ พูดจริง ทำจริง มนตรีนครธนบุรี...ศรีกรุง ฉบับวันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2480 ว่า นายทองหล่อ บุณยนิตย์ เนติบัณฑิตอัยการผู้นี้นับว่าเป็นผู้มีความรู้ในทางกฎหมายและการเมืองทั้งเป็นผู้ที่มีใจเป็นกุศล.... 

หรือจะเป็นอย่าง...โปสเตอร์ของขุนพิเคราะห์คดี....รักชาติ, ถิ่น, ฐาน, รักบ้าน, รักเรือน ก็อย่าให้ได้ชื่อว่าขายชาติ อย่าเชื่อคำยุยงส่งเสริมฯ ของเขาเราจะเสียแนวไก่ต่อ (ไก่ต่อไปซะอย่างนั้น)...

บ้างก็วางนโนบายเป็นข้อ ๆ แบบของ นายพันตรีหลวงขจรกลางสนาม ที่ระบุนโยบายเป็นคำคล้องกันดังนี้...ข่าวสาส์นการเดิน...เหินห่างโจรภัย...ไม่เสียเวลาไปศาล...สมานสามัคคี...มีที่พึ่ง...ปิดท้ายอีก 3 เรื่องจากหลวงขจรฯ คือ... พ้นความยากจน...มีคนรักษา...วิชาความรู้....หลัก ๆ พออ่านจบผมก็อดอมยิ้มไม่ได้ เพราะมันช่างสนุกสนานจริง ๆ ‘โปสเตอร์’ หาเสียงยุค พ.ศ. 2480

แต่ถึงกระนั้นแผ่นปิดเหล่านี้ก็ไม่ได้โจมตีใครอย่างเอิกเกริก และไม่มีการกลั่นแกล้งกันอย่างจริงจัง เป็นสีสันแห่งการเลือกตั้งอย่างแท้จริง ผิดกับยุคนี้ที่การทำสื่อเลือกตั้ง เน้นให้มีจำนวนมาก เน้นให้ได้เปรียบคนอื่น เน้นบังป้ายคนอื่นจนกระทั่งไม่สนใจว่าจะบดบังทัศนวิสัยหรือไม่ รวมไปถึงบางป้ายที่ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งก็ออกมาตั้งกันอย่างน่าประหลาด อย่างป้ายสีแดงของโครงการหมู่บ้านแคนดิเดตผู้นำก็ตั้งบังชาวบ้าน เยอะยิ่งกว่าป้ายหาเสียงเสียอีก อันนี้หยอกนะครับ เพราะน่าจะไปแก้ไขกันแล้ว มั้งนะ !!! 

‘กรณ์’ ควง ‘จูรี’ บุกสุราษฎร์ ช่วยผู้สมัคร ‘ชพก.’ หาเสียง ชาวบ้านแห่ต้อนรับ เผย นโยบายโดนใจ แก้ปัญหาปากท้องได้จริง

(8 เม.ย. 66) ในระหว่างวันที่ 7-8 เมษายน นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย นายจูรี นุ่มแก้ว ร่างทรงชาวบ้าน ดาวติ๊กตอกขวัญใจคนใต้ ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดสงขลา เขต 2 พรรคชาติพัฒนากล้า และทีมงานลงพื้นที่ ช่วยผู้สมัครทั้ง 4 คนของพรรคได้แก่ นายอนุวัตร์ รจิตานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 4, นางพงศ์ศรี นาคเมือง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 8, นายสุพจน์ บานเย็น ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 เบอร์ 9 และนายวศุธน เรืองขนาบ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 เบอร์ 4  พร้อมทีมงาน เดินขอเสียงประชาชนบริเวณ ตลาดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี และร้านค้าถนนหน้าเมือง โดยมีพ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบการร้านทอง พนักงานบริษัท และประชาชนทั่วไป ให้ความสนใจและมีเสียงตอบรับเป็นอย่างมากตลอดเส้นทาง พร้อมขอถ่ายรูปเซลฟีกับ นายจูรีและนายกรณ์อย่างคึกคัก สร้างสีสันให้กับพรรคเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังได้เปิดเวทีปราศรัย บริเวณสะพานนริศ ริมแม่น้ำตาปี เขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานีด้วย

โดยนายกรณ์ กล่าวว่า ตนกับนายจูรี มาช่วยเพื่อนผู้สมัครหาเสียง โดยก่อนหน้านี้เคยมาพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานีบ่อยเช่นกัน แต่การลง จ.สุราษฎร์ธานีครั้งนี้ ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีดีมาก ทุกคนที่พบปะขานรับในนโยบายพรรค และเชื่อว่าจะได้รับการเลือกตั้งอย่างแน่นอน เพราะมั่นใจในตัวผู้สมัครที่ส่งทั้ง 4 คน 4 เขต และการนำเสนอนโยบายที่จะช่วยแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้น ก็ทราบว่าโดนใจประชาชนเป็นอย่างมาก ทำให้รู้สึกมีกำลังใจ สำหรับในพื้นที่ภาคใต้พรรคชาติพัฒนากล้าเราส่ง 20 เขตเลือกตั้ง ทั้งนี้ก็อยู่ที่พี่น้องประชาชนที่จะให้โอกาสกับพรรคชาติพัฒนากล้าได้มีโอกาสเข้าไปทำงาน

นายกรณ์ กล่าวว่า ทุกคนรอคอยการแข่งขันทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน เราคิดนโยบายมาเป็นปี ด้วยความตั้งใจมุ่งมั่นมาก ไม่เพียงแต่จะมาปักหมุดให้ผู้สมัครทุกคนเป็น ส.ส.เท่านั้น แต่มองไปไกลกว่านั้นคือ มองเห็นโอกาสทางเศรษฐกิจของสุราษฎร์ธานี มีโอกาสมากมาย แต่ขาดการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคชาติพัฒนากล้าต้องการมาแก้ไข พรรคเราเปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานสร้างสรรค์เอานโยบายดี ๆ มาขาย นโยบายของเราเป็นที่ยอมรับโดยสื่อและประชาชน ว่ามุ่งเป้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ที่มีเป้าหมายสรุปง่าย คือ งานดี มีเงิน ของไม่แพง เราชนเรื่องพลังงาน เพื่อให้ราคาน้ำมันถูกลง ไม่ใช่ตัวเลขกำไรที่เพิ่มขึ้นของบริษัทผลิตน้ำมัน ในขณะที่ประชาชนเดือดร้อนอย่างหนักโดยที่รัฐมนตรีที่กำกับดูแลไม่ทำอะไร เช่นเดียวกับค่าไฟฟ้า ก็ประกาศออกมาว่าจะขึ้นค่าไฟฟ้าในวันที่ 1 พฤษภาคม เป็นการซ้ำเติมในช่วงที่ประชาชนใช้ไฟสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว แต่กลับไปลดให้กับภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นจึงต้องรื้อโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่

นายกรณ์ กล่าวว่า เกษตรกรภาคใต้มีปัญหาเดือดร้อนเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรมาโดยตลอด รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการจ่ายส่วนต่างประกันรายได้ปีแล้วปีเล่า ประชาชนก็ยังจนเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ชาวบ้านต้องการคือราคาพืชผลดีอย่างยั่งยืน ซึ่งวิธีเดียวที่เกษตรกรจะมีราคาที่ดีอย่างยั่งยืนคือ เขาต้องแข่งขันได้ และการจะสู้ราคากับนายทุนได้เพราะเขาไม่มีอำนาจต่อรอง วิธีที่เขาจะต่อสู้ได้ คือ เกษตรกรต้องเป็นนายทุนเอง ซึ่งมันต้องเกิดการรวมตัวโดยมีรัฐบาลเป็นผู้ออกกฎหมาย เปิดทางและจัดสรรทุนให้ เกษตรกรต้องรวมตัวกันเป็นเพื่อให้มีพลัง ซึ่งตนเรียกว่า ‘บริษัทสหกรณ์มหาชน จำกัด’ ชาวสวนยางจะกลายเป็นนายทุน ผู้ถือหุ้นบริษัทสวนยางของพี่น้องชาวใต้ จะสามารถเจรจาต่อรองโดยตรงกับผู้ใช้ยาง กำหนดราคาได้ ไม่ต้องให้คนกลางมาทอนกำไรลง ซึ่งเรื่องนี้ต้องรื้อระบบใหม่ทั้งหมด พรรคชาติพัฒนากล้าเป็นพรรคเดียวที่พูดเรื่องนี้

ด้านนายจูรี กล่าวว่า จากการเดินขอเสียงในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี อารมณ์ไม่ต่างจากเดินที่ จ.สงขลา บ้านของตนเอง ทุกคนออกมาต้อนรับ ทั้งร้านทอง ร้านค้าต่าง ๆ ออกมาให้กำลังใจ ขานรับในนโยบายที่จับต้องได้ เช่น นโยบาย 1 คำขอ พูดง่าย ๆ คือ สามารถติดต่อกับราชการจบในที่เดียว ผ่านแอปพลิเคชันในมือถือ ไม่ต้องไปตระเวณไปหลายหน่วยงาน ในยุคออนไลน์มันสามารถทำได้ง่ายขึ้น ราชการต้องอำนวยความสะดวกให้ประชาชนต้อง ไม่ใช่เอาความลำบากมาให้ ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าเราตั้งใจที่จะช่วยเหลือชาวบ้านจริง ๆ

นอกจากนี้ ตนยังขอให้พี่น้องชาวใต้ไม่ซื้อสิทธิขายเสียง เรียกศักดิ์ศรีคนใต้ซื้อไม่ได้กลับคืนมา ดังนั้น ในวันที่ 14 พฤษภาคม ก็ขอให้พี่น้องประชาชนกาผู้สมัครของเขตนั้น ๆ และถ้าพื้นที่ไหนในภาคใต้ไม่มีผู้สมัคร ส.ส.เขต ขอให้กา เบอร์ 14 คือเบอร์พรรค จะได้นายกรณ์ ไปบริหารประเทศด้านเศรษฐกิจ ช่วยแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนได้

‘ดร.เอ้’ นำทัพ ‘ปชป.’ ลุยเขตประเวศ ช่วย ‘กิตพล’ หาเสียง ชู ‘Delta Works Thailand’ สานต่อนโยบายแก้ปัญหาน้ำท่วม

(8 เม.ย. 66) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบายกทม.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และ น.ส.เจนจิรา รัตนเพียร ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พร้อมด้วย นายกิตพล เชิดชูกิจกุล ผู้สมัคร ส.ส.หมายเลข 1 เขตประเวศ-บึงกุ่ม ลงพื้นที่ตั้งแต่เช้าที่ตลาดพัฒนาการ เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน และมีพี่น้องประชาชนเข้าทักทายคณะเป็นจำนวนมาก

โดยนายสุชัชวีร์ กล่าวขอโอกาสให้พรรคประชาธิปัตย์และผู้สมัครของพรรคได้เข้าไปทำงาน เพื่อผลักดันนโยบายต่าง ๆ ที่ผ่านการตกผลึก และผ่านการคิดนโยบายมาอย่างรอบคอบ ให้ได้นำไปใช้เพื่อพี่น้องประชาชนได้รับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในทุกด้าน ด้วยการ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ ส่วนปัญหาน้ำท่วม ที่ผ่านมาเราแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยวิธีแบบเดิม ๆ พิสูจน์มาแล้วว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ น้ำยังคงท่วมอยู่ ตนขอสานต่อนโยบายที่เคยหาเสียงมาตั้งแต่สมัยลงสมัครผู้ว่า กทม.เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม กรุงเทพต้องไม่จมน้ำ ด้วยนโยบาย ‘Delta Works Thailand’ ที่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

ด้านนายกิตพลกล่าวว่า ปัญหาสำคัญในพื้นที่ประเวศ คือปัญหาน้ำท่วม ถนนมีสภาพทรุดต่ำในบางช่วง ทำให้น้ำในคลองสายหลักที่มีระดับสูงไหลเข้าท่วมผิวจราจรโดยแนวทางการแก้ไขจุดเสี่ยงน้ำท่วม 8 จุด และจุดเฝ้าระวังน้ำท่วม 3 จุดในพื้นที่ ดำเนินการขุดลอกคูคลองเปิดทางน้ำไหล ทำความสะอาดท่อระบายน้ำ ทำการปรับปรุงถนนและท่อระบายน้ำใหม่แทนของเดิมที่มีการชำรุด ติดตั้งเครื่องสูบน้ำไฟฟ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำให้ดีขึ้น ก่อสร้าง subgate แทนการบล็อกด้วยกระสอบทราย ก่อสร้างเขื่อนป้องกันดินริมคลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ แนวทางการแก้ปัญหาเหล่านี้ ตนได้ทำมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน

‘ชวน’ นำทีมผู้สมัคร บุก 3 ตลาดใหญ่ กลางเมืองชลบุรี อ้อน ปชช. ขอคะแนน หนุน ‘ปชป.’ ทั้งคน ทั้งพรรค

(8 เม.ย. 66) นายชวน หลีกภัย ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคฯ ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี ที่ตลาดบ้านโรงโป๊ะ ตลาดพระวัดกระทิงลาย เเละตลาดเก่านาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เพื่อช่วยผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี ของพรรคประชาธิปัตย์ หาเสียง ทั้ง 10 เขตเลือกตั้ง พร้อมขอคะแนนให้ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชป.เบอร์ 26 จากประชาชน ก่อนจะขึ้นรถกระจายเสียง เพื่อเดินทางไปตามจุดต่าง ๆ ทั่วจังหวัดชลบุรี ขอคะแนนสนับสนุนให้ผู้สมัครของพรรคฯ และรณรงค์การเลือกตั้ง เชิญชวนให้ประชาชนเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งคน ทั้งพรรค ทั้งบัตร 2 ใบ ในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้

‘ธนาธร’ ซัด ‘สุชาติ’ หลังเคลมว่างงานลดลงเป็นผลงานรัฐบาล อัดนักการเมือง ถูก ปชช.เลือกมาแท้ๆ แต่ไม่เคารพประชาธิปไตย

เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 66 ระหว่างการประชันวิสัยทัศน์ระหว่างตัวแทนพรรคการเมือง 8 พรรค ในรายการสด ‘DEBATE ประเทศไทย เปิดเวทีภาคตะวันออก’ โดยสำนักข่าว Nation ในช่วงหนึ่ง สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และตัวแทนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวถึงผลงานรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยระบุว่าช่วงที่เกิดโควิด รัฐบาลได้เป็นผู้ประคับประคองอุตสาหกรรมส่งออกและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จนสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในการควบคุม

ทำให้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สภายานยนต์แห่งประเทศไทยได้ตกลงโบนัสพนักงานในระดับที่น่าพอใจ เช่น อิซุสุ ให้ 8.5 เท่า บวกเงินอีก 3.5 หมื่นบาท โตโยต้า ให้ 7.5 เท่าบวกเงินอีก 3.8 หมื่นบาท ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดจากโครงการ Factory Sandbox ที่ตรวจโควิดฟรี เช่าโรงแรมให้กักตัว ฉีดวัคซีนให้หมด 100% และห้ามปิดโรงงาน ทำให้บริษัทต่าง ๆ ยังคงผลิตตามออเดอร์ส่งออกได้ตลอดเวลา จนบริษัทในไทยหลายบริษัท ยังคงทำกำไรและรักษาการจ้างงานเอาไว้ได้ และทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราว่างงานต่ำที่สุดในโลก อยู่ที่แค่กว่า 1% เกิดจากรัฐบาลรักษาการจ้างงานเอาไว้ได้

ซึ่งในช่วงต่อมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ได้ใช้โอกาสแจกแจงข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยระบุว่า ตนไม่อยากให้ประชาชนเข้าใจผิด เพราะบริษัท โตโยต้า และอิซุสุ จ่ายโบนัสระดับ 8 - 10 เดือนให้พนักงานมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว อีกทั้งการว่างงานก็ยืนอยู่ที่ระดับ 0.75 -1.5% เป็นสิบ ๆ ปีมาแล้วเช่นกัน ไม่ใช่ผลงานของใครคนใดคนหนึ่งแน่ ๆ

ทำให้นายสุชาติ ใช้สิทธิพาดพิงลุกขึ้นตอบโต้ โดยระบุว่า นายธนาธรไม่ได้อยู่แบบตน อาจจะฟังมาผิด เพราะถ้ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาโควิด ไม่รักษาการจ้างงาน ไม่รักษาออเดอร์ส่งออก ก็ไม่มีวันนี้

ขณะที่นายธนาธรเอง ก็ตอบโต้อย่างทันควันเช่นกัน โดยระบุว่า ตนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา 20 ปี นายสุชาติไม่รู้สู้ตนแน่ ๆ ส่วนอัตราการว่างงานของประเทศไทย ต้องย้ำอีกครั้งยืนอยู่ระดับนี้มาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วที่ 0.75 - 1.5% แม้แต่ช่วงโควิดก็เพิ่มขึ้นไปไม่ถึง 2% แล้ววันนี้ตกมาสู่ระดับเดิมแล้ว ทั้งนี้ไม่ต้องเชื่อตนก็ได้ ทุกคนสามารถไปหาดูเองได้จากเว็บไซต์หน่วยงานรัฐทั่วไป

หลังจากนั้น ในช่วงท้ายของการดีเบต พิธีกรได้ให้ตัวแทนแต่ละพรรคการเมืองได้พูดทิ้งท้ายสั้น ๆ ซึ่งหลายพรรคการเมืองได้เน้นย้ำถึงการไม่ทะเลาะขัดแย้งกัน ทว่าในส่วนของนายธนาธร ได้กล่าวในช่วงของตนว่าอนาคตของประเทศไม่ใช่เรื่องของการที่ใครจะทะเลาะกับใครหรือไม่ แต่คือการยืนยันเรื่องพื้นฐานที่สุด นั่นคือการที่ประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตย ให้ไม่มีการรัฐประหารอีกในอนาคต จะทะเลาะกันหรือไม่ต้องยืนยันหลักการพื้นฐานเหล่านี้

“แต่ที่ประเทศไทยมีประชาธิปไตยไม่ได้ มีรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เพราะมีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งยังฝักใฝ่รับใช้เผด็จการ ถ้าไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เป็นนั่งร้านหรือรับใช้พวกเขาตรงๆ  การมีนักการเมืองอย่างนี้ทำให้เผด็จการไม่สูญหายไปจากประเทศไทยเสียที” นายธนาธร กล่าว

‘จูรี’ อ้อนชาวชุมพร เลือก ‘ชาติพัฒนากล้า’ กาให้ ‘ทนายลิขิต’ ชู ‘กรณ์’ ทำพรรคนี้เพื่อปากท้อง ไม่ด่าทอ ไม่ทะเลาะกับใคร

‘กรณ์-จูรี’ ลุยชุมพร ช่วย ‘ทนายลิขิต’ หาเสียง อ้อนขอโอกาสลูกชาวบ้าน กาให้ชาติพัฒนากล้า พัฒนาเศรษฐกิจชุมพร

(9 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในระหว่างวันที่ 5-9 เมษายน 2566 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยนายจูรี นุ่มแก้ว ดาวติ๊กตอกขวัญใจคนใต้ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จังหวัดสงขลา และทีมงาน ได้ตระเวนช่วยผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพื้นที่สุดท้ายคือที่จังหวัดชุมพร โดยนายกรณ์ และนายจูรี ลงพื้นที่จังหวัดชุมพร เพื่อช่วยทนายลิขิต ศรีชาติ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จังหวัดชุมพร หาเสียง โดยพบปะพี่น้องประชาชนบริเวณ บริเวณหลาดเล อำเภอท่าแซะ และจัดเวทีปราศรัยที่ถนนคนเดินสะพลี อำเภอปะทิว โดยมีประชาชนให้ความสนใจและให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก และอบอุ่น

นายกรณ์ กล่าวว่า จ.ชุมพร ถึงเวลาต้องมีการเขย่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ๆ ได้เข้ามาทำการเมืองสร้างสรรค์ พรรคชาติพัฒนาเราส่งผู้แทนคุณภาพที่เป็นลูกชาวบ้าน คือ ทนายลิขิต ศรีชาติ เป็นอดีตรองนายก อบจ.ที่ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนมากว่า 3 ปี แล้ว ไม่ได้เพิ่งมาตอนจะมีการเลือกตั้ง และนโยบายพรรคชาติพัฒนากล้าเอง ก็ได้รับการยอมรับว่า แหลมคมที่สุดในด้านเศรษฐกิจ และสามารถสรุปได้ง่าย ๆ แค่ 3 คำคือ งานดี มีเงิน ของไม่แพง เพราะเรารู้ว่านี่คือสิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศต้องการ เราต่อสู้มาตลอดตั้งแต่ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ยกเลิกแบล็กลิสต์ ฯลฯ ที่เอาเปรียบประชาชน เอื้อนายทุน 

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า พวกเราเลือกที่อยู่พรรคเล็ก ๆ และยืนหยัดต่อสู้กับนายทุน เพราะเราไม่ได้พึ่งพาปัจจัยการสนับสนุนจากทุนใหญ่เลย เราจึงกล้าที่จะพูดและกล้าที่จะทำในสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน ในฐานะที่อดีต รมว.คลัง และอดีตนายธนาคาร ขอยืนยันนโยบายทุกนโยบายเป็นไปได้ โดยเฉพาะภาคการเกษตร นโยบายประกันรายได้ ตนเป็นคนคิดเอง แต่เป็นการออกแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่เอามาใช้ปีแล้วปีเล่า แต่ชาวบ้านก็ยังจนเหมือนเดิม ถ้าจะดีราคาสินค้าทางการเกษตรต้องดีอย่างยั่งยืน เกษตรกรต้องเป็นนายทุน กำหนดราคาสินค้าเอง ขอเพียงโอกาสให้ตนได้เข้าไปทำงาน ตนจะทำให้ดู 

“หากพี่น้องประชาชนต้องการสร้างโอกาสให้ลูกหลาน ผู้สูงอายุได้รับการดูแล ความเดือดร้อนทางด้านปากท้องของพี่น้องประชาชนได้รับการแก้ไข ก็ต้องกาเบอร์ 6 เลือกทนายลิขิต ไปเป็นผู้แทน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และกาเบอร์ 14 เพื่อให้ผมเข้าไปทำงาน” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

นายจูรี กล่าวระหว่างขึ้นเวทีปราศรัย ว่า ดูจากจำนวนคนที่เข้าร่วมฟังเวทีปราศรัยในครั้งนี้ รู้ทันทีว่าเงินซื้อชาวบ้านไม่ได้ เพราะเป็นพลังเสียงที่บริสุทธิ์ ทำให้เห็นความหวัง และได้กลิ่นความเจริญของชุมพรกำลังลอยมาแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้ง ที่มี่การใช้เงินครั้งมโหฬารที่สุด พวกเขาเห็นประชาชนเป็นปลา จึงเอาเหยื่อมาล่อ ให้ชาวบ้านไปกินเหยื่อเขา เราต้องให้บทเรียนพวกนั้นว่า คนชุมพร กินเหยื่อ แต่ไม่กินเบ็ด ให้คนตกปลามันกลัวไปเลย ขอให้ชาวบ้านมาร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่กัน โดยการให้โอกาสลูกชาวบ้านเข้าไปเป็นผู้แทน 

‘สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ’ จับมือ ‘ม.หอการค้าไทย’ เตรียมจัดดีเบต เจาะลึกนโยบายเศรษฐกิจ 9 พรรคการเมือง

สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จับมือมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดซูเปอร์ดีเบต ‘โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง 66 เจาะลึก…นโยบายเศรษฐกิจ 9 พรรคการเมือง’ พร้อม MOU ความร่วมมือ อันเป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพสื่อมวลชน

(9 เม.ย. 66) รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พร้อมด้วย นายกฤษณะพงศ์ พงศ์แสนยากร นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ ณ วันที่ 4 เมษายน 2566 โดยมีนางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ประธานที่ปรึกษามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, ดร.รวิดา วิริยกิจจา คณบดีคณะบริหารธุรกิจ และคณาจารย์มหาวิทยาลัยหอการค้า กรรมการบริหารสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เป็นสักขีพยาน
โดยความร่วมมือแรกที่จะเห็นทันที คือการ ร่วมกันจัดสัมมนาดีเบตใหญ่ ‘โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง 66 เจาะลึก…นโยบายเศรษฐกิจ 9 พรรคการเมือง’ ขึ้นในวันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2566 เวลา 08.30-12.00 น. ณ อาคาร 23 ชั้น 7 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต

ซึ่งพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้ส่งผู้เข้าร่วม ในระดับหัวหน้าพรรคฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และผู้ร่วมผลักดันนโยบายเศรษฐกิจของพรรค ร่วมดีเบต เช่น นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ตัวแทนพรรคเพื่อไทย, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย, นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า, หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร จากพรรครวมไทยสร้างชาติ, นายอุตตม สาวนายน จากพรรคพลังประชารัฐ, นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล จากพรรคก้าวไกล, นายชาติชาย พยุหนาวีชัย จากพรรคชาติไทยพัฒนา และนายสุพันธุ์ มงคลสุธี จากพรรคไทยสร้างไทย

โดยภายในงาน จะมีการเปิดผลสำรวจความเห็นประชาชน จากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในประเด็นนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากเห็น และนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองที่แต่ละพรรคจะทำทันที หากได้เป็นรัฐบาล

รศ.ดร.ธนวรรธน์ เปิดเผยว่า ในการแถลงข่าวครั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่าย ได้ร่วมลงนาม MOU ครั้งแรก ระหว่าง มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ทั้งในสมาชิกสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน และประโยชน์ต่อสถาบันการศึกษา งานด้านวิชาการจากทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย การถ่ายทอดเทคโนโลยี ประสบการณ์จากทางสมาคมสื่อเศรษฐกิจ เพื่อให้มีความก้าวหน้าสอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ พัฒนาภาพลักษณ์และการสื่อสารองค์กร ทั้งภายในและภายนอก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากปี 2566


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top