Wednesday, 15 May 2024
เลือกตั้ง

จาก 'โรงงานยาสูบเก่า' พื้นที่กว่า 311 ไร่ สู่โครงการ 'สวนเบญจกิติ' สวนสาธาณะแห่งใหม่ ปอดใหญ่ใจกลางเมือง เพื่อประชาชนทุกคน

หากจะบอกว่า 'สวนป่าเบญจกิติ' คือสิ่งปลูกสร้างที่ช่วยเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ให้กับกรุงเทพ คงไม่ผิดไปนัก จากพื้นที่ที่ซึ่งเป็นของโรงงานยาสูบเดิม ปัจจุบันถูกปรับปรุงโฉม ให้กลายเป็น 'สวนสาธารณะ' แบบเต็มรูปแบบ มากไปกว่านั้น ยังถือเป็น 'ป่าในเมือง' หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น 'ปอดใหญ่' ที่ช่วยสร้างสมดุลทางธรรมชาติให้กับพื้นที่กรุงเทพมหานคร

ย้อนเวลากลับไปราวปี พ.ศ.2535 กรมธนารักษ์และกระทรวงการคลัง ผู้เป็นเจ้าของที่ดินของโรงงานยาสูบ มีความตั้งใจที่จะคืนพื้นที่บริเวณดังกล่าวนี้ให้เป็นสวนสาธารณะให้กับคนเมือง โดยทำการปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่โรงงานยาสูบเดิม ราว 130 ไร่ ให้กลายเป็นสวนน้ำเบญจกิติ 

กระทั่งต่อมา ได้มีการทยอยย้ายโรงงานยาสูบออกไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจนหมดสิ้น ทำให้พื้นที่เดิมอีกกว่า 300 ไร่ ได้รับการขยายสร้างให้เป็น 'สวนป่าเบญจกิติ' โดยโครงการดังกล่าวถูกสร้างขึ้นในปี 2559 ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทั่งเสร็จสมบูรณ์ในปี 2565 พร้อมเปิดให้ประชาชนได้เข้ามาใช้ประโยชน์บนพื้นที่กว่า 300 ไร่แห่งนี้

ชู ”วิสัยทัศน์ต้านโกงจุรินทร์” โยงเงื่อนไขร่วมรัฐบาล

“อลงกรณ์” ประกาศ 10 นโยบายปราบคอร์รัปชั่นของพรรคประชาธิปัตย์” 
ยกระดับเป็น”วาระแห่งชาติเร่งด่วน”(National Urgent Agenda) เพิ่มโทษอาญา-ยึดทรัพย์ เร่งปฏิรูปราชการและการเมืองลดฉ้อฉลตัดเงื่อนไขรัฐประหาร พร้อมผนึกความร่วมมือภาคประชาชนส่งเสริมแพลตฟอร์มไอที.ขจัดทุจริต

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้(5 เม.ย.)ว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นเสมือนมะเร็งร้ายของประเทศที่อยู่ในขั้นวิกฤตจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเร่งด่วนโดยพรรคประชาธิปัตย์เสนอให้ยกระดับเป็น”วาระแห่งชาติเร่งด่วน”(National Urgent Agenda) ซึ่งผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2565 ปรากฎว่า ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 101 จาก180 ประเทศและอยู่ในอันดับที่ 4 ของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนจากการประเมินล่าสุดโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI)

พรรคประชาธิปัตย์มีความกังวลต่อปัญหานี้และให้ความสำคัญต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นจึงได้จัด”เวที ‘ฟัง-คิด-ทำ’ ต้านโกง”เพื่อรับฟังความคิดเห็นประกอบกับข้อสังเกตขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาตินำไปสู่การจัดทำเป็นนโยบายต่อต้านการทุจริตให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป 

โดยยึดปฐมอุดมการณ์ของพรรคที่บัญญัติไว้ว่า”พรรคจะดำเนินการเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อประชาชน”และแนวทางประชาธิปไตยสุจริตโดยมีแนวทางนโยบายดังนี้
1. ยกระดับการต่อต้านคอร์รัปชั่น
เป็น”วาระแห่งชาติเร่งด่วน”(National Urgent Agenda) 
2. ส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล หลักการประชาธิปไตยสุจริตและหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์(Conflict of Interest)
3. สนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและสื่อมวลชนในการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐและภาคเอกชน
4. ส่งเสริมการเรียนการสอนและการปลูกฝังจิตสำนึก”โตไปไม่โกง”รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ของสังคมถึงภัยร้ายของการคอร์รัปชั่น
5. สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อขจัดการคอรัปชั่นและส่งเสริมแพลตฟอร์มของภาคเอกชนและภาคประชาชนในการเปิดเผยข้อมูลเพื่อการตรวจสอบและแก้ปัญหาการทุจริต
6. เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทางราชการโดยเฉพาะการจัดซื้อและการประมูลภาครัฐทั้งราชการส่วนกลางส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น
7. ปฏิรูประบบราชการ การเมืองและกระบวนการยุติธรรมเพื่อความโปร่งใส การพัฒนาระบบการอนุมัติ อนุญาตให้มีความโปร่งใส การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน 
8. การยกเลิกกฎหมายกฎระเบียบที่เอื้อต่อการทุจริต
9. การเพิ่มโทษอาญาและการยึดทรัพย์คดีฉ้อราษฎร์บังหลวง การลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับสินบนอย่างจริงจัง 
10. การร่วมมือกับนานาชาติในการปราบปรามการทุจริตข้ามชาติทุกรูปแบบภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านคอร์รัปชั่น

นายอลงกรณ์ซึ่งเป็นอดีตประธานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมฝ่ายค้านและได้รับการคัดเลือกจากสื่อมวลชนประจำรัฐสภาให้เป็น”ดาวเด่นแห่งปีของรัฐสภา”จากบทบาทการปราบปรามการทุจริตกล่าวต่อไปว่า

 

‘ชวน’ บุกตลาดท่าดินแดง เป็นเขตแรกใน กทม. หลังยุบสภาฯ ช่วย ‘ศิริภา’ หาเสียง อ้อน ปชช.หนุนคนดี ทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง

(7 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็น วันที่ 6 เม.ย. ที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่ตลาดท่าดินแดง เขตคลองสาน ช่วย น.ส.ศิริภา อินทวิเชียร ผู้สมัคร ส.ส. กทม. หมายเลข 11 เขตธนบุรี คลองสาน และราษฎร์บูรณะ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หาเสียง ซึ่งถือเป็นการประเดิมช่วยพรรคหาเสียงเลือกตั้ง เป็นเขตแรก ของ กทม. หลังมีการยุบสภาฯ

โดยนายชวน ได้เดินพบปะพี่น้องประชาชน และศักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปึงเถ่ากงม่า พร้อมนำ น.ส.ศิริภา เดินแจกเอกสารแนะนำตัว ในตลาดท่าดินแดง โดยมีประชาชนมาขอถ่ายรูปและเข้ามาทักทายจำนวนมาก

‘ธนาธร’ ลั่น!! เลือกก้าวไกล ทำงานได้จริง ชี้ หาก 4 ปีไร้ผลงาน เทใจพรรคอื่นได้เลย

ประกาศขอ ปชช.เลือกคนที่ทำงานได้จริง ทำเพื่อประชาชน หาก 4 ปีในสภาฯ บอกหาก ‘ก้าวไกล’ ไม่มีผลงานให้เห็น เปลี่ยนใจเลือกพรรคอื่นได้ ย้ำพรรคเป็นประชาธิปไตยแน่นอน

(7 เม.ย. 66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์, นางสาวรัชนก ศรีนอก, นายปูอัด ไชยยามพวาน ผู้สมัคร ส.ส.ฝั่งธนบุรี ลงพื้นที่หาเสียงภายในซอยโรงเรียนบางขุนเทียนศึกษา มาจนถึงห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีพระราม 2

หลังลงพื้นที่หาเสียงแล้ว นายธนาธรพร้อมผู้สมัคร ส.ส.ได้ปราศรัยย่อย บริเวณตลาดนัดหน้าบิ๊กซีพระราม 2 โดยย้ำถึงจุดยืนของพรรคก้าวไกล ว่ามีความพร้อมมากกว่าพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2562 เพราะ ส.ส.ทุกคนมีคุณภาพ ทำงานเรียนรู้และมีประสบการณ์มาตลอดระยะเวลา 4 ปีในสภาผู้แทนราษฎร มั่นใจจะทำงานตอบโจทย์แก้ปัญหาประชาชนได้ดีกว่าอดีตพรรคอนาคตใหม่ปี 2562 จึงอย่าปล่อยให้ ส.ส.มีคุณภาพหลุดมือไม่ได้รับใช้ประชาชน ‘พวกเราก้าวไกล พร้อมรับใช้ประชาชน’

ขณะที่หลังการลงพื้นที่หาเสียง และปราศรัยย่อยเสร็จสิ้นแล้ว มีประชาชนเดินเข้ามาหานายธนาธร พร้อมยื่นสลากกินแบ่งรัฐบาล 1 ใบ ที่ใบเลขท้ายตรงกับหมายเลขพรรคก้าวไกล คือ เลข 31 และบอกนายธนาธร ว่า หากถูกรางวัลที่ 1 ให้นำเงินไปขึ้นได้ทันที พร้อมสะท้อนเรื่องการประกอบอาชีพของเด็กจบใหม่ว่า สร้างตัวว่ายากแล้ว มีกินมีใช้ไปวัน ๆ ยังยากเลย หางานไม่ยากแต่หาเงินใช้รายวันยากกว่า บางเดือนรายได้รายรับลดลง รายจ่ายกลับสวนทาง

เมื่อ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ จะก้าวข้าม พร้อมผงาดนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

ได้ยินมาเต็มสองรูหูจากปาก ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยว่า เบื้องหลังหมายเลข 7 เบอร์ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคนั้น พระอาจารย์ภัตร อริโย แห่งวัดนาทวี อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา เป็นผู้จัดให้...

ตอนไปกราบพระอาจารย์บอกว่าอยากได้หมายเลข 1 แต่พระอาจารย์บอกว่าเลขที่ถูกโฉลกกับพรรคภูมิใจไทยงวดนี้คือ หมายเลข 7

แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามพระอาจารย์ว่า... แต่แค่นั้นยังไม่พอ อนุทิน เล่าด้วยว่า พระอาจารย์ภัตร อริโย ยังบอกว่า หลังวันที่ 14 พ.ค.วันเลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทยจะได้เลขสามหลัก ซึ่งตรงกับที่ตนคำนวณไว้ทุกประการ…

ครับ..วันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยอายุครบ14ขวบ ย่างสามขุมสู่ปีที่ 15 ว่ากันตามทฤษฎีการเมืองแบบไทยๆ  พรรคที่อายุเกินรอบนักษัตร 12 ปี ก็พอจะนับเป็น ‘สถาบันทางการเมือง’ ได้แล้ว…

และที่น่าจับตายิ่งปีนี้ หลังการเลือกตั้ง 14 พ.ค.เชื่อตรงกันแทบทุกสำนักว่า ภูมิใจไทย จะเข้าป้ายลำดับสอง รองจาก พรรคเพื่อไทย อยู่ที่ 100 บวกลบที่นั่ง...โดยประการสำคัญยิ่ง พรรคภูมิใจไทย จะเป็นแชมป์ในปีกขั้วอำนาจเดิมหรือรัฐบาลในปัจจุบัน

ดังนั้น ตามคณิตศาสตร์การเมือง...ภูมิใจไทย และ อนุทิน ชาญวีรกูล วันนี้ คือ ตัวเต็งนายกรัฐมนตรีและแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเลยทีเดียว...

คำนวณกันทีเล่นทีจริง ถ้าผลเลือกตั้งออกมาประมาณว่า ภูมิใจไทย 100 เสียง รวมไทยสร้างชาติ, ประชาธิปัตย์, พลังประชารัฐ ได้พรรคละ 50 เสียงเท่ากัน ก็นับได้ 250 เสียงแล้ว บวกกับอีกสองพรรคคือชาติไทยพัฒนาและชาติพัฒนากล้าอีกอย่างน้อย 15 เสียง เท่ากับ 265 เสียง..เป็นเสียงข้างมากในสภาฯ ตอนโหวตเลือกนายกฯ ถ้า ส.ว.ไม่งอแง ยกมือหนุนให้อนุทินเป็นนายกฯ ได้...

‘หัวไทร-ปากพนัง’ เขตที่ ‘แทน’ ต้องทำให้ ‘เท่ห์’ ชนะ แต่ต้องจับตา ‘มนตรี-เพื่อไทย’ พร้อมเสียบ

เดินเก็บข้อมูลอยู่ในเขต 3 นครศรีธรรมราช (ปากพนัง-หัวไทร) 3 วัน ได้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ถึงวิธีคิดของชาวบ้านที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะ

เขตหัวไทร-ปากพนัง เดิมเป็นเขตเลือกตั้งที่ 2 แต่ปัจจุบันเป็นเขต 3 ซึ่งมี ‘สัญหพจน์ สุขศรีเมือง’ เป็น ส.ส.อยู่ สังกัดพรรคพลังประชารัฐ และเลือกตั้งคราวนี้ยังอยู่ในสังกัดพลังประชารัฐเหมือนเดิม และเป็นพรรคที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค รวมทั้งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

ตามที่ได้ฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้าน กระแสของ ‘สัญหพจน์’ แผ่วเบามาก และแผ่วเบาพอ ๆ กับเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งสัญหพจน์ได้รับการเลือกตั้ง น่าจะเกิดจากกระแส ‘ลุงตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากกว่า เมื่อบวกรวมกับความต้องการเปลี่ยนของชาวบ้าน และสอนบทเรียนให้ประชาธิปัตย์ ทำให้สัญหพจน์ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปเป็น ส.ส. และถือเป็นเขตล้มช้าง เพราะเอาชนะ ‘วิทยา แก้วภารดัย’ จากพรรคประชาธิปัตย์ ชนิดหักปากกาเซียน

แต่สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ ‘ลุงตู่’ ไม่อยู่แล้ว ย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ กระแสลุงตู่สำหรับสัญหพจน์จึงไม่มี ไม่มีตัวช่วยเหมือนครั้งก่อน ตัวช่วยอย่าง พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล ก็ไม่อยู่แล้ว คราวปี 2562 พ.อ.สุชาติ เป็นตัวช่วยในการทำคะแนนให้สัญหพจน์ไม่น้อย

ถามว่า ถ้าอย่างนั้นกระแสจะไปอยู่ตรงไหน ใครมีโอกาสได้รับเลือกเป็น ส.ส. ย้อนไปเมื่อ 5-6 เดือนก่อน กระแสของ ‘มานะ ยวงทอง’ จากพรรคภูมิใจไทย ค่อนข้างแรงกับคนรุ่นใหม่ กับพรรคที่กำลังมีกระแสแรงในภาคใต้ แต่วันเวลาผ่านไป กระแสของมานะเริ่มจะถดถอย ถดถอยอันเกิดจากหลายเหตุผล ประการแรกเกิดจากตัวมานะเองที่ไม่ชัดเจนในบางเรื่อง ทำงานจัดตั้งไม่เข้มแข็งพอ ได้หน้าลืมหลัง เดินไปข้างหน้า ไม่หันไปมองข้างหลัง หัวคะแนนระดับ ‘หัวกะทิ’ เริ่มถอยห่าง ซึ่งเป็นหัวกะทิในระดับจัดการคะแนนได้ จัดตั้งเป็น รู้จักคนในพื้นที่ดีว่าใครเป็นใคร น่าจะช่วยใคร แต่มานะกลับไม่เห็นคุณค่า ปล่อยให้เขาเคว้งคว้าง และคนอื่นมาคว้าพุงปลามันไปกิน

เมื่อบวกรวมกับกระแสพรรคภูมิใจไทยที่ไม่หวือหวาเหมือนเดิม ถูกโหมกระหน่ำหนักทั้งเรื่องกัญชา เรื่องศักดิ์สยาม ชิดชอบ ถูกศาลสั่งพักงาน ‘เสี่ยชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์’ ก็ตามบี้ไล่หลัง ยังมีเรื่องศาลสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง ที่ถูกกล่าวหาบุกรุกที่ดินรถไฟอีก…หนักหน่อยนะ

ใครเข้ามาคว้า ที่เห็นอย่างน้อยสองคน คนแรกคือ ‘เท่ห์’ พิทักษ์เดช เดชเดโช จากพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเขตเลือกตั้งชัด ‘เท่ห์’ ก็ชัดว่า จะลงเขต 3 และเริ่มลุยหัวไทรทันที โดยหลังจากบุกปากพนังมาแล้วหลายเดือนจนลงตัว ‘เท่ห์’ ก็เข้าหัวไทรถี่ยิบ โดยมีพี่ชาย ‘แทน’ ชัยชนะ เดชเดโช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนชี้เป้า ชี้เป้าไปยังผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และผู้นำตามธรรมชาติ และบางคนแทนยกหูคุยเอง และเดินทางไปพบด้วยตัวเอง

ไม่ใช่แค่นั้น หลังแทนบุกเข้าไปชี้เป้าให้เท่ห์ ยังมี ‘เจ๊ต้อย’ กนกพร เดชเดโช นายกฯ อบจ.ผู้เป็นแม่ ตามไปสำทับ ผ่านองค์กรท้องถิ่น ผู้นำสตรีอีกครั้ง กระแสประชาธิปัตย์ที่เดิมไม่ค่อยดีนัก แต่การเข้ามาเองของ ‘แทน-ต้อย’ เริ่มมีคนกล่าวขานถึง กล่าวขานถึงการมีโอกาสได้รับเลือกตั้งสูง และเชื่อว่า ‘ต้อย-แทน’ จะต้องทำให้ ‘เท่ห์’ ชนะในเขตนี้ ไม่งั้นก็ ‘บัดสีคน’

‘ชวน’ ประเดิมปราศรัยใหญ่ ลานคนเมืองเย็นนี้ ก่อนเดินหน้าลุยช่วย ‘ปชป.’ หาเสียงทั่วประเทศ

(7 เม.ย.66) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า การปราศรัยใหญ่ของพรรคฯ ที่ลานคนเมือง กทม.ในวันนี้ (7 เม.ย. 66) ตั้งแต่เวลา 17.30 น.เป็นต้นไป นอกจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคฯ จะนำทัพผู้สมัคร ส.ส. กทม. ปชป. และผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พบปะประชาชนแล้ว นายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภา และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ประเดิมเป็นครั้งแรกด้วย ก่อนที่จะเดินสายรณรงค์หาเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคทั่วประเทศ โดยนายชวน พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ จำนวนหนึ่งจะร่วมคณะเดินสายช่วยรณรงค์หาเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส. ปชป. ทั่วประเทศจนเสร็จสิ้นการหาเสียงในเวลา 18.00 น. ของวันที่ 13 พ.ค. ตามกฎหมายกำหนด ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. 2566

‘อรรถวิชช์’ ย้ำ!! แบ่งเขตแบบนี้ ประชาชนสับสน ส.ส.ทำงานยากขึ้น ลดความผูกพันผู้คนในพื้นที่

(7 เม.ย. 66) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวหลังศาลปกครองพิพากษายกฟ้องคดี กกต. ประกาศแบ่งเขตเลือกตั้ง กทม. ไม่ขัดต่อกฎหมายว่า ถือเป็นสร้างบรรทัดฐานใหม่ เห็นได้ชัดว่า การเลือกตั้งรอบนี้ กกต. ยึดหลักเกณฑ์ค่าเฉลี่ย 10% คำนวณหา ส.ส. 1 คนต่อจำนวนราษฎร เป็นครั้งแรก ซึ่งตนได้เน้นย้ำว่า หลักเกณฑ์ดังกล่าว ส่งผลให้ละลายเขตเลือกตั้ง และ ศาลมีดุลยพินิจว่า การจะใช้หลักเกณฑ์คำนวณหา ส.ส.นั้น ล้วนเป็นอำนาจของ กกต. ในการกำหนดเกณฑ์ 10% โดยถือหลักจำนวนราษฎรสำคัญกว่า การนำอำเภอมาใช้แบ่งเขตเลือกตั้ง ก็แปลว่าในอนาคตการเดินลงพื้นที่ของ ส.ส. จะลำบากมากขึ้น เพราะเขตเลือกตั้งต่อจากนี้จะถูกแบ่งเขตได้ตลอดเวลา

‘เพื่อไทย’ ลั่น!! ‘สร้างโอกาสใหม่ เพื่อฟุตบอลไทย’ ขอยกระดับมาตรฐานวงการทัดเทียมนานาชาติ

‘เพื่อไทย’ ประกาศแผน 100 วันแรก ดันกีฬาฟุตบอล ชูนโยบาย ‘สร้างโอกาสใหม่ เพื่อฟุตบอลไทย’ ยกระดับมาตรฐานวงการฟุตบอลไทย ส่งนักกีฬาไทยไประดับโลก

(7 เม.ย.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพิมล ศรีวิกรม์ ประธานคณะที่ปรึกษานโยบายกีฬา พรรคเพื่อไทย แถลงนโยบาย ‘สร้างโอกาสใหม่ เพื่อฟุตบอลไทย’ โดย นายพิมล กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าหมายใหญ่โดยจะยกระดับมาตรฐานกีฬาฟุตบอลไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ สร้างนักกีฬาสมัครเล่นไปสู่นักกีฬาฟุตบอลอาชีพระดับโลกด้วยการพัฒนาสภาพแวดล้อมของวงการฟุตบอลอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างรายได้ สร้างงานอย่างมั่นคง นอกจากนักกีฬามืออาชีพ ยังมีทั้งผู้ตัดสิน ผู้ฝึกสอน นักวิทยาศาสตร์การกีฬา

ทั้งนี้ ในอดีตพรรคไทยรักไทยได้ริเริ่มโครงการ ‘สตรีท ซอคเกอร์’ (Street soccer) ทั่วประเทศ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้จุดประกายให้เยาวชนที่มีใจรักในกีฬาฟุตบอลให้หันมาเล่นกีฬานี้อย่างจริงจัง นักกีฬาที่จัดอยู่แถวหน้าของการแข่งขัน ได้รับโอกาสไปฝึกซ้อมในต่างประเทศกับทีมชั้นนำ เช่น ทีมฟูแลม (Fulham F.C.) ซึ่งนโยบาย ‘สร้างโอกาสใหม่ เพื่อฟุตบอลไทย’ จะมาต่อยอดจากนโยบายนี้

‘เศรษฐา’ แจงปม ‘เป๋าตังดิจิทัล 1 หมื่นบาท’ มั่นใจ!! เศรษฐกิจโต ปีละไม่ต่ำกว่า 5%

(7 เม.ย.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรค พท. นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบายพรรค พท. และประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค พท. นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค แถลงกรณีมีการตั้งข้อสงสัยกระเป๋าตังค์ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท 

นายเศรษฐา กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากที่พรรค พท. แถลงนโยบายกระเป๋าตังค์ดิจิทัลวอลเลตเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าจะเอาเงินมาจากไหน ช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมาประเทศเราบอบซ้ำมาเยอะโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ พี่น้องประชาชนมีรายได้ลด รายจ่ายเพิ่ม จนกระทั่งอยู่ในภาวะที่เรียกว่าซึมลึก ซึมนาน ซึมยาว รัฐบาลปัจจุบันก็ค่อยๆ หยอดน้ำข้าวต้มมาเรื่อยๆ เป็นจำนวนเงินเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจที่เหมาะสม พรรค พท.เราคิดใหญ่ทำเป็น โดยจำนวนเงิน 10,000 บาทนั้น เราจะให้เป็นเงินดิจิทัล 10,000 บาทเลย ที่ต้องให้เป็นกระเป๋าตังค์ดิจิทัลไม่ให้เป็นเงินสด เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่เราสามารถจำกัดวิธีการใช้ได้ หากให้เป็นเงินสดก็อาจจะใช้ไปในทางอื่นที่ไม่เหมาะสม เช่น เรื่องของการพนัน ยาเสพติด การใช้หนี้นอกระบบ เทคโนโลยีจะสามารถบอกได้ว่าไปใช้อะไรบ้าง ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าหากเป็นหนี้สถาบันการเงิน จะสามารถนำไปใช้ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่เราต้องลงพื้นที่เพื่อสอบถามความต้องการ หากเป็นความต้องการเราก็จะนำมาพิจารณาอีกครั้ง 

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ส่วนระยะเวลาที่เราให้ใช้ภายใน 6 เดือนนั้น เพราะเราต้องการกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายอย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องใหญ่ที่เราต้องให้ความสำคัญ อีกเรื่องคือระยะรัศมีในการใช้ตามบัตรประชาชน 4 กิโลเมตรนั้น หากพื้นที่ไหนที่ไม่มีร้านค้า ก็สามารถขยายระยะทางออกไปได้ ส่วนคนที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แต่บัตรประชาชนอยู่ต่างจังหวัดจะสามารถใช้ได้หรือไม่นั้น เราตอบชัดเจนว่าไม่ได้ เพราะเราอยากให้กลับไปใช้เงินที่บ้าน เพื่อที่จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ไม่ใช่มากระจุกตัวที่หัวเมืองอย่างเดียว หากภายใน 6 เดือนนั้นไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเลย เงินก็จะหายไป ฉะนั้นคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ให้พี่น้องได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ภูมิลำเนาและไปกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนด้วย 

เมื่อถามว่ามีนักวิชาการมองว่าเป็นนโยบายประชานิยมสุดขั้ว พร้อมตั้งคำถามว่าเงินมาจากไหน และจะกระทบหนี้สาธารณะของประเทศ นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายนี้จะทำให้ภาครัฐเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น นี่จะตอบคำถามได้ว่าเงินมาจากไหน ยืนยันว่าเม็ดเงินมาจากการจัดสรรงบประมาณ การจัดเก็บภาษี VAT ที่ได้เพิ่มมากขึ้น และการจัดเก็บภาษีนิติบุคคล รวมทั้งสวัสดิการรัฐที่ลดน้อยลง ตนไม่อยากให้ใช้คำว่าประชานิยมสุดโต่ง แต่เป็นความจำเป็นและความต้องการของพี่น้องประชาชนที่ต้องการการช่วยเหลือเวลานี้

เมื่อถามว่างบประมาณปี 67 ที่ตั้งไว้ 3.35 ล้านล้านบาท ถ้าเป็นรัฐบาลและนำเสนอนโยบายนี้ จำเป็นต้องปรับลดงบประมาณกระทรวงอื่นๆ อย่างเช่นกระทรวงกลาโหม หรืองบประมาณลงทุนหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีจะได้เพิ่มมากขึ้นกว่า 2 แสนล้าน ส่วนงบประมาณอื่นๆ นั้น จะต้องดูงบประมาณในส่วนอื่นๆ ไม่ใช่งบประมาณกระทรวงกลาโหมเท่านั้น ว่าอะไรเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน 

เมื่อถามว่าจำนวนเงินที่ได้สามารถนำไปใช้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมันได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ได้ทั้งหมด ยกเว้นซื้อบุหรี่หรือใช้หนี้นอกระบบ 

เมื่อถามว่าร้านค้าสะดวกซื้อทั่วไปร่วมโครงการได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า สามารถเข้าร่วมโครงการได้ทั้งหมด ไม่กีดกั้นใครคนใดคนหนึ่ง เราเสมอภาคเท่าเทียม 

เมื่อถามว่าคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปสามารถใช้ได้ แล้วจะใช้งบประมารณเท่าไร นายเศรษฐา กล่าวว่า จะมีประชาชนกว่า 50 ล้านคนที่ได้รับสิทธิ์ ซึ่งจะใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท คาดว่าจะเริ่มโครงการได้ช่วงไตรมาส 3 หากเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งจะเริ่มได้ประมาณวันที่ 1 ม.ค.67 

เมื่อถามว่าคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ภายใน 4 ปี การเติบโตของจีดีพีเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี 

เมื่อถามว่ากรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านโยบายนี้มองประชาชนเป็นยาจก นายเศรษฐา กล่าวว่า “ผมไม่เคยมองประชาชนเป็นยกจก เป้าหมายของของพรรค พท. คือช่วยประชาชนพ้นหลุมดำของความยากจน ถ้าเกิดว่าดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท เป็นจุดสตาร์ทให้ประชาชนลุกขึ้นเดิน ลุกขึ้นทำมาหากินได้อีกครั้งหนึ่ง ผมถือว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชน”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top