Tuesday, 14 May 2024
เลือกตั้ง

กกต.กระบี่ พร้อมรับสมัคร ส.ส. จัดซ้อมรับสมัคร เสมือนจริง  คาดว่าจะมีผู้สมัคร รับเลือกตั้งตั้ง เป็น สส จากพรรคการเมืองต่าง ๆ รวม ไม่ต่ำกว่า 30 คน  

วันที่ 30 มี.ค. 66 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดกระบี่ ถนนท่าเรือ ตำบลไสไทย อำเภอเมืองกระบี่ นายวิชาญ อนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดกระบี่  เป็นประธานเปิดการ จัดอบรมให้ความรู้แก่ คณะกรรมการ เจ้าหน้าที่บุคลากร  ผู้ที่ทำหน้าที่รับสมัคร สส แบบ เขตเลือกตั้ง จังหวัดกระบี่ ระหว่างวันที่  3-7 เมษายน  ตั้งแต่เวลา 08.30-16.00น. ที่สำนักงาน กกต กระบี่ ให้ความรู้เกี่ยวกับ การตรวจสอบ เอกสาร หลักฐานของผู้สมัคร ข้อห้ามต่างๆ

‘จุรินทร์’ ดีเบตเศรษฐกิจ ชู ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ ขอโอกาส ให้ ‘ปชป.’ ได้เป็นรัฐบาล ช่วยขับเคลื่อนประเทศ

(30 มี.ค. 66) ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ร่วมเสนอนโยบายของพรรคในเวทีตอบข้อซักถาม ‘มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ’ จัดโดย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนทำงานร่วมกับสภาหอการค้า 4 ปีเต็ม ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งพรรคการเมืองที่จะพาประเทศไปข้างหน้าหลังเลือกตั้งได้ อย่างน้อยต้องมี 2 ข้อ คือ 1.) หลักคิดในการพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน และ 2.) ต้องมีกลไกขับเคลื่อนประเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม

ขณะที่มีหลายพรรคพูดถึงนักการเมือง ระบบราชการ แต่เท่านี้ไม่พอ เพราะภาคประชาชนและเอกชน ก็เป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้า ปชป.ตั้งรัฐบาล กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาประเทศรวมทั้งเศรษฐกิจ คือ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) จะต้องมีบทบาทมากขึ้น และเป็น ‘New กรอ.’ ที่ไม่ใช่ประชุมในห้องแอร์ สั่งการแล้วจบ แต่ กรอ. ต้องขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์จริงในการแก้ปัญหาประเทศ

“ถ้า ปชป.เป็นรัฐบาล นายจุรินทร์เป็นนายกฯ ผมจะเชิญท่านสนั่น (ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย) แล้วเข้าไปร่วมกันแก้ปัญหาเหมือนที่เราทำกันใน กรอ.พาณิชย์ ทำจริง เห็นผลจริง” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า หลักคิดของ ปชป.ในการพาประเทศไทยไปข้างหน้า จะต้องอยู่ในกรอบยุทธศาสตร์ ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ โดย ‘สร้างเงิน’ นั้น เป็นการสร้างเงินให้ทั้งคนไทยและประเทศ ด้วยการประกันรายได้คนไทยและประกันรายได้ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการประกันรายได้จากการส่งออกหรือการท่องเที่ยว การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ ปชป.ให้ความสำคัญทั้งเศรษฐกิจฐานราก เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจมหภาค รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ำและโครงสร้างพื้นฐาน

‘ธนาธร’ ปราศรัยร้อยเอ็ด ชู น้ำประปาดื่มได้-รถเมล์ไฟฟ้า ขอโอกาส ปชช. กา ‘ก้าวไกล’ นำพาความเจริญสู่ประเทศ

(30 มี.ค. 66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ลุยหาเสียงเวทีปราศรัยย่อยทั่วจังหวัดร้อยเอ็ด ขอโอกาสเลือกพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล นำพาความเจริญก้าวหน้าสู่สังคมไทย ไปสร้างประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย

โดยในระหว่างการหาเสียง นายธนาธรได้ยกบทเรียนจากไต้หวัน ว่าเมื่อ 45 ปีก่อน รายได้คนไทยกับคนไต้หวันใกล้เคียงกัน แต่ผ่านมา 45 ปี คนไต้หวันรวยกว่าคนไทย 5 เท่า อะไรทำให้เป็นเช่นนั้น หากเรียนรู้จากไต้หวันหรือญี่ปุ่น จะเห็นคำตอบว่าเทคโนโลยีคือคำตอบ

“ลูกหลานคนอีสานที่ไปทำงานที่ระยอง ทั้งหมดเป็นบริษัทต่างชาติ แต่ไม่มีเทคโนโลยีของคนไทยเลย เมื่อไม่มีเทคโนโลยีของตัวเองก็แข่งขันไม่ได้ ดังนั้น เราต้องลงทุนในเทคโนโลยี อุตสาหกรรม เพื่อสร้างงาน สร้างสินค้า และเอาส่วนแบ่งจากตลาดโลกมาให้คนไทย” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร เสนอบทเรียนจากเทศบาลตำบลอาจสามารถ ในฐานะความสำเร็จในการสร้างน้ำประปาดื่มได้ เพื่อย้ำว่า คณะก้าวหน้าไม่ได้ทำได้แค่น้ำประปาที่ใสสะอาด แต่เป็นน้ำประปาดื่มได้ ทั้งหมด วัดค่าเป็นวิทยาศาสตร์ และการจะควบคุมคุณภาพของน้ำประปาได้ ต้องมีเซนเซอร์และสมาร์ทมิเตอร์ ไม่จำเป็นต้องมีคนจดค่ามิเตอร์ แต่ส่งข้อมูลประมวลผลด้วยระบบดิจิทัล เพื่อให้สามารถสร้างอุตสาหกรรมน้ำประปาสะอาดขึ้นมาได้ ให้คนไทยกว่า 66 ล้านคน ไม่ว่าจะเกิดที่จังหวัดไหน มีสิทธิใช้น้ำประปาสะอาดเท่าเทียมกัน หากสร้างอุตสาหกรรมน้ำประปาดื่มได้ จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 1 แสนล้านบาท

นายธนาธร กล่าวอีกว่า พรรคก้าวไกลยังมีนโยบายสร้างอุตสาหกรรมรถเมล์ไฟฟ้า ที่คิดค้นด้วยวิศวกรคนไทย เพื่อทำให้ขนส่งสาธารณะเป็นทางเลือกของการเดินทางของคนไทยมากขึ้น ลดปัญหารถติด ค่าใช้จ่าย ฝุ่นควัน ฯลฯ ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย หากใช้รถเมล์ไฟฟ้าเชื่อมโยงสถานที่ราชการ สถานที่ท่องเที่ยว จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ทำให้เดินทางเข้าถึงสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และช่วยสร้างงานที่มีคุณภาพให้ลูกหลาน กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

นายธนาธร ทิ้งท้ายด้วยการขอโอกาสจากประชาชนให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล โดยกล่าวว่า หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เชื่อว่าจะนำความก้าวหน้ามาให้สังคมไทย และสิ่งเหล่านี้เป็นภารกิจที่จะส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ในการสร้างสังคมที่ดีกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นเวลาของความทะเยอทะยาน ที่ต้องกล้าคิด กล้าทำ เพราะหากทำแบบเดิม ก็ได้เช่นเดิม

‘ก้าวไกล’ ร่วม 3 พรรค ร้อง กกต.ปมเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร แนะ ใช้วิธีเลือกตั้งทางไปรษณีย์-ไม่เลือกตั้งกระทบวันทำงาน

‘ก้าวไกล’ ร่วมอีก 3 พรรคการเมือง ยื่น กกต. ประสานกระทรวงการต่างประเทศ อำนวยความสะดวกเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ‘ชัยธวัช’ ชี้ ตอนนี้ปัญหาเพียบ สร้างความลำบากผู้ใช้สิทธิ สงสัยเอื้อประโยชน์ผู้มีอำนาจกลุ่มใดหรือไม่ เรียกร้องใช้วิธีเลือกตั้งทางไปรษณีย์-ไม่เลือกตั้งวันทำงาน

(31 มี.ค. 66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ร่วมกับตัวแทนอีก 3 พรรคการเมือง ประกอบด้วย นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ตัวแทนพรรคเพื่อไทย, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย ยื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อขอให้แก้ไขวิธีการเลือกตั้งของคนไทยนอกราชอาณาจักร

นายชัยธวัช กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนมีความคาดหวังสูงมาก เพราะมองเป็นโอกาสเปลี่ยนชีวิตและเปลี่ยนประเทศ แต่ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเท่าไร ประชาชนกลับยิ่งไม่เชื่อมั่นมากขึ้น ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะดำเนินไปอย่างเสรีและเป็นธรรมได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การจัดการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร การพิมพ์บัตรเลือกตั้ง การรายงานผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ วันนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร

ปัญหาของการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร มีทั้งการกำหนดวันหย่อนบัตรเลือกตั้งเป็นวันทำงาน เช่น เบลเยียม มาเลเซีย การไม่มีการเลือกตั้งทางไปรษณีย์ ประชาชนต้องไปใช้สิทธิด้วยตัวเองที่สถานทูตหรือหน่วยเลือกตั้ง เช่น เนเธอร์แลนด์ ฟิลิปปินส์ หรือต่อให้มีการเลือกตั้งแบบไปรษณีย์ ก็กำหนดวันส่งบัตรเลือกตั้งกลับไปที่สถานทูต เร็วอย่างไม่สมเหตุสมผล ไม่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้สิทธิ เช่น ญี่ปุ่นและนอร์เวย์ กำหนดส่งบัตรกลับถึงสถานทูตวันที่ 28 เมษายน ซึ่งเป็นเวลาที่เหลือมากเกินความจำเป็นในการส่งบัตรกลับประเทศไทย ที่จะต้องส่งถึงเขตเลือกตั้งก่อน 17.00 น. ของวันที่ 14 พฤษภาคม

“การใช้ความสะดวกความสบายของผู้จัดการเลือกตั้งมากำหนดการเลือกตั้ง แทนที่จะมุ่งรักษาสิทธิคนไทยในต่างประเทศ ตั้งคำถามได้ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้มีอำนาจคนใดคนหนึ่งหรือไม่ เพราะผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ชัดเจนมากว่าคนไทยนอกราชอาณาจักรส่วนใหญ่ ไม่ได้เลือกผู้มีอำนาจในปัจจุบัน จึงเป็นไปได้หรือไม่ ที่มีความพยายามจะลดสัดส่วนคะแนนจากคนกลุ่มนี้ แทนที่จะส่งเสริม” นายชัยธวัช กล่าว

ดังนั้น จึงขอเสนอให้ กกต. ประสานกระทรวงการต่างประเทศ นำวิธีเลือกตั้งทางไปรษณีย์กลับมาเป็นวิธีหลัก ส่วนกรณีเลือกตั้งที่สถานทูต ไม่สมควรจัดการเลือกตั้งในวันธรรมดา และขอให้มีการกำหนดวันส่งบัตรเลือกตั้งกลับมายังสถานทูตไทย โดยมีระยะเวลาที่ไม่เร่งรัดประชาชนมากเกินไป เช่น ให้ส่งกลับมาสถานทูต วันที่ 4 พฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาที่เพียงพอในการส่งบัตรกลับประเทศไทย อีกทั้งขอให้สถานทูตที่มีความพร้อม สามารถนับคะแนนที่สถานทูตและส่งผลการนับคะแนนที่รับรองกลับประเทศไทย โดยไม่ต้องส่งบัตรกลับมานับในประเทศ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 เพื่อแก้ไขปัญหาที่ไม่สามารถส่งบัตรเลือกตั้งกลับประเทศทันเวลา

เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องบัตรเลือกตั้งในประเทศ โดยเฉพาะบัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต ที่ระบุแค่หมายเลข ในชั้นกรรมาธิการร่างกฎหมายเลือกตั้ง พรรคร่วมฝ่ายค้านได้พยายามผลักดันให้หมายเลขผู้สมัคร ส.ส.เขต และหมายเลขพรรคการเมือง เป็นเบอร์เดียวกัน เพื่อสะดวกต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และแสดงความยึดโยงระหว่างพรรคกับผู้สมัคร แต่ก็ไม่สำเร็จ

‘พุทธิพงษ์’ ลุยแก้ปัญหาเฉพาะพื้นที่ รองรับการขยายตัวของเมือง ดันแผนพัฒนาตามความต้องการให้ครอบคลุม-ตอบโจทย์ ปชช.

(31 มี.ค. 66) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งกรุงเทพฯ พรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า…

“พร้อมแล้ว แก้ปัญหาเฉพาะพื้นที่ อย่างตรงจุด!
จากที่ตัวผมและทีมงาน ผู้สมัคร ส.ส. พรรคภูมิใจไทยได้ลงพื้นที่ครบทุกโซน ทั่วทั้งกรุงเทพฯ วันนี้จึงขอยกประเด็นปัญหาของพื้นที่ ‘กรุงเทพฯ ฝั่งธนฯ’ พร้อมทั้งวิธีรับมือ แก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด เพื่อช่วยตอบโจทย์ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเฉพาะเจาะจง

เนื่องจากพื้นที่นี้ มีหลายเขตที่รวมกันอยู่ค่อนข้างที่จะเยอะมาก ๆ ได้แก่ เขตพื้นที่ธนบุรี, คลองสาน, บางกอกใหญ่, บางกอกน้อย, บางพลัด, ตลิ่งชัน, ทวีวัฒนา, ภาษีเจริญ, บางแค, หนองแขม, บางขุนเทียน, จอมทอง, บางบอน, ราษฎร์บูรณะ และทุ่งครุ ทำให้จำนวนประชากรกว่า 1,707,430 คน กับทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีจำนวนจำกัด ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้รับความสะดวกสบายมากเพียงพอ เช่น โรงพยาบาลรัฐมีเพียง 4 แห่ง ศูนย์กีฬา หรือรถสาธารณะมีไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากร ผมและทีมงานตระหนักถึงปัญหานี้ดีครับ เราจึงได้คิดนโยบายที่จะช่วยปรับปรุงพื้นที่ เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้มีมากเพียงพอกับจำนวนประชากร

‘ชพก.’ เปิดตัวผู้สมัคร กทม. 33 เขต คัดสรรคนรุ่นใหม่-ไฟแรง หนุนรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ช่วยคนไทยหลุดพ้นความยากจน

(31 มี.ค. 66) ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า นำทีมแถลงข่าวเปิดตัว 33 ผู้สมัคร กทม. ร่วมด้วยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล นายวรวุฒิ อุ่นใจ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค และนายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค โดยบรรยากาศเปิดตัวเป็นแบบมวยไทยไฟต์ ผู้สมัครพร้อมชนกับปัญหาเศรษฐกิจและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน

นายสุวัจน์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้าพร้อมแล้วที่จะต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งการเงิน สินเชื่อ น้ำมันแพง ไฟฟ้าแพง ปัญหาฝุ่น และปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัญหาของประเทศและของพี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร เราจึงส่ง 33 ชีวิต ที่อาสาตัวมารับใช้ชาวกรุงเทพมหานคร ต้องขอบคุณนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคและนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค ที่ได้เตรียมการคัดสรรตัวผู้สมัครและนโยบายที่จะใช้ต่อสู้กับปัญหาเพื่อคนกรุงเทพมหานคร พรรคชาติพัฒนาเคยปักธงในกทม.มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน และเราจะต้องปักธงได้อีกครั้งในนามพรรคชาติพัฒนากล้าได้อย่างแน่นอน

“ผมมั่นใจว่านโยบายเศรษฐกิจของพรรคชาติพัฒนา อยู่บนพื้นฐานของกระแสโลก ถ้าเป็นร้านอาหาร เราคือเมนูเศรษฐกิจที่พร้อมเสิร์ฟที่สุด วันนี้คนตกงานมากมาย มีหนี้สินเยอะ เราต้องเตรียมความพร้อมที่จะแข่งขันกับต่างประเทศ ดึงนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาให้มากที่สุด เกษตรกรไทยจะต้องร่ำรวยขึ้น อะไรที่เป็นจุดแข็งของประเทศเราหยิบมาใช้ทั้งหมดผ่านนโยบายเศรษฐกิจเฉดสีของเรา” นายสุวัจน์ กล่าว

ด้านนายกรณ์ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ ทั้ง 33 เขต เป็นคนรุ่นใหม่ที่พรรคได้คัดสรรมาแล้วว่า มีความพร้อมที่จะมาร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทย รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ให้คนไทยมีโอกาส มีความเสมอภาคทางโอกาสที่จะลืมตาอ้าปาก หลุดพ้นกับดักความยากจน วันนี้ได้เวลาชกจริงกับปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ช่วงนี้ประเทศมีปัญหามากมาย ทั้งเศรษฐกิจ ของแพง โอกาสการทำมาหากิน ภาระหนี้สิน นี่คือภารกิจสำคัญของพรรคชาติพัฒนากล้า ลำพังแค่ปัญหาเฉพาะหน้ายังไม่พอ เราต้องรื้อโครงสร้าง เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนมีค่าครองชีพที่ถูกลงอย่างยั่งยืน

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคฯ ในฐานะหัวหน้าทีมกทม.กล่าวว่า ผู้สมัครทั้ง 33 คนของเราพร้อมที่จะมาทุบ ฟัน ฟาด ต่อย ลุยกับปัญหาปากท้องที่ต้องแก้ไข โดยมีรายชื่อเรียงตามเขตดังต่อไปนี้

‘มาร์ค’ กลับถิ่นเก่า ควง ‘มาดามเดียร์’ ลุยบางคอแหลม อ้อนชาวบ้าน หนุน ‘อภิมุข’ เข้าสภาฯ รับใช้ประชาชน

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 66 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วย น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง พรรค ปชป.ลงพื้นที่ชุมชนบ้านใหม่ ซอยเจริญกรุง 85 เขตบางคอแแหลม ช่วยหาเสียงสนับสนุนให้นายอภิมุข ฉันทวานิช ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตยานนาวา-บางคอแหลม พรรค ปชป.

โดยทันที นายภิสิทธิ์เดินทางถึง นางสุไร แก้วทอง สข. คนแรกของประเทศไทยปี 2528 ที่เคย ช่วยอภิสิทธิ์หาเสียงสมัยลงสมัคร ส.ส.ครั้งแรก พร้อมกับชาวบ้านเก่าแก่ในชุมชน มารอต้อนรับ โดยมี มล.อภิมงคล โสณกุล อดีต ส.ส.เขตนี้ มาช่วยหาเสียงด้วย

ขณะเดียวกัน นายอภิมุข ได้นำโปสเตอร์ หาเสียง รูป นายอภิสิทธิ์ สมัยลงเลือกตั้งครั้งแรก ที่ นายสมเกียรติ ฉันทวานิช อดีต ส.ส.เขตนี้ ซึ่งเป็นพ่อ นายอภิมุข ฝากมาให้นายอภิสิทธิ์ด้วย

โดยในช่วงหนึ่งระหว่างการเดินพบปะประชาชน นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวว่า วันนี้ดีใจที่ทุกคนยังจำได้ว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตนเคยลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ที่เขตนี้ ได้ทำงานรับใช้ประชาชนในฐานะ ส.ส.แต่ตนก็ไม่เคยทิ้งพื้นที่ เพราะตลอดเวลาในการทำงานการเมืองได้กลับมาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ รวมถึงยังได้เฟ้นหาบุคลากรที่มีคุณภาพมาเป็นผู้แทน รับใช้ดูแลประชาชนในเขตพื้นที่ยานนาวา-บางคอแหลมอยู่ตลอด

โดยในอดีต ตนเคยมาเดินหาเสียงหาเสียงกับนายสมเกียรติ ฉันทวานิช อดีต ส.ส.กทม. คุณพ่อของนายอภิมุข ดังนั้น นายอภิมุขจึงไม่ใช่คนอื่นไกล และได้ทำงานรับใช้พี่น้องในฐานะ ส.ก.มายาวนาน และวันนี้มีความพร้อมที่จะเข้าไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร ตนก็ให้ความมั่นใจเพราะว่าเห็นเขามาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าใจเขาอยู่กับงานการเป็นผู้แทนฯ รับใช้ประชาชนและจะสามารถมาดูแลทุกข์สุขของทุกคนได้

‘ก้าวไกล’ เล่นใหญ่ รณรงค์ยกเลิกการเกณฑ์ทหารทั่วไทย ชี้!! นี่ต้องเป็นการจับ ‘ใบดำ-ใบแดง’ ครั้งสุดท้าย

(1 เม.ย. 66) พรรคก้าวไกล นำโดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร, นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ และนายปิยรัฐ จงเทพ ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพ เขตพระโขนง-บางนา ได้เข้าสังเกตการณ์ ชวนพูดคุย และทำโพลสำรวจความเห็นต่อข้อเสนอยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร ณ หน่วยจับใบดำ-ใบแดง เขตพระโขนง โดยมีผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล ทั่วประเทศกระจายทำกิจกรรมรณงค์ลักษณะเดียวกันในเขตเลือกตั้งของตนเอง

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล กล่าวว่า หากก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราตั้งเป้าจะยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารภายใน 1 ปี เพื่อให้เมษายนปีนี้ เป็นครั้งสุดท้าย ที่ต้องมีคนมาจับใบดำ-ใบแดง หรือต้องมีคนเป็นทหารทั้งที่ไม่อยากเป็น

“เหตุผลที่พรรคก้าวไกลเสนอการยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร เพราะระบบเกณฑ์ทหารทำให้เกิดความสูญเสียในสองระดับด้วยกัน กล่าวคือ การสูญเสียเสรีภาพในระดับปัจเจกบุคคล ซึ่งกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพ โอกาสความก้าวหน้าทางการงาน และเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัว ส่วนอีกระดับหนึ่งคือ ‘การสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับประเทศ’ เพราะเป็นการดึงทรัพยากรมนุษย์ออกจากตลาดแรงงานในวันที่ประเทศไทยเผชิญกับ ‘สังคมสูงวัย’ และโครงสร้างประชากรที่มีสัดส่วนคนวัยทำงานที่ลดลง” นายพริษฐ์ กล่าว

นายพริษฐ์ ยืนยันว่า การยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารจะไม่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เพราะหากเราลดยอดกำลังพลที่ไม่จำเป็นหรือไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคง (เช่น พลทหารรับใช้) ควบคู่กับการยกระดับสวัสดิการ-สวัสดิภาพของพลทหาร และการกำจัดความรุนแรงในค่าย ยอดทหารที่สมัครใจเข้ามาจะเพิ่มขึ้นและเพียงพอต่อภารกิจการรักษาความมั่นคงของประเทศ ซึ่งหากการยกเลิกเกณฑ์ทหารสามารถเกิดขึ้นได้จริงจะส่งผลดีกับทุกฝ่าย ไม่เว้นแม้แต่กองทัพ ที่จะได้ลบข้อครหาว่าเป็น ‘สถาบันอำนาจนิยม’ และก้าวสู่ ‘กองทัพยุคใหม่’ ที่เต็มไปด้วยบุคลากรที่สมัครใจทำงานและพร้อมทุ่มเทให้องค์กรอย่างแท้จริง

‘บิ๊กป้อม’ ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 - แคนดิเดตนายกฯ ‘พปชร.’ ชี้ จะได้รู้ว่า ปปช.เลือกมาจริง ลั่น!! ต้องการเป็นผู้นำที่สง่างาม

(1 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ’ ได้มีการโพสต์ข้อความ ระบุว่า…

“ที่ผ่านมา ผมสื่อสารให้พี่น้อง สื่อมวลชน และประชาชนได้เข้าใจถึงแนวคิดของผมว่า ทำไมต้องไปต่อ ผ่านจดหมายทั้ง 6 ฉบับ ซึ่งจบไปแล้ว และต้องขอขอบคุณที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจ และค้นหาผ่าน Google ในแต่ละฉบับ โดยรวมแล้วมีกว่า 10 ล้านครั้ง

แต่สำหรับในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ก็คงจะต้องสื่อสารกับพี่น้องประชาชนในรูปแบบใหม่ ที่จะต้องตอบคำถามบ่อยหน่อย เพราะอาจจะมีบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผมและพรรค ควรจะต้องมีคำตอบเพื่อสร้างความเข้าใจ และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะทำเป็น Facebook ป้อมรายวัน กรุณาติดตาม”

‘ปชป.’ ส่ง ‘กานต์’ แกนนำผู้พิการทางสายตา นั่งปาร์ตี้ลิสต์ ชู เพิ่มเบี้ยยังชีพ-สร้างโอกาส-เป็นปากเสียงให้กลุ่มเปราะบาง

(1 เม.ย. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำพรรคภาคเหนือ เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันการเมืองที่ได้รับความสนใจจากคนทุกภาคส่วน และให้ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียมกับกลุ่มเปราะบาง ที่จะมีตัวแทนในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นประวัติการณ์อย่างยิ่ง โดยในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคได้รับรอง นายกานต์ ปิงเมือง เลขาสมาคมคนตาบอด จังหวัดพะเยา ตัวแทนกลุ่มเปราะบาง เป็นสมาชิกพรรค และ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ โดยผ่านการประชุมคัดเลือกเรียบร้อยแล้ว

ทางด้านนายกานต์ กล่าวภายหลังได้รับคัดเลือกให้ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนรู้สึกดีใจมากเพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ให้โอกาสกับคนเปราะบาง ซึ่งน่าจะเป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวในประเทศไทยที่มองเห็นพี่น้องคนพิการ และตนมุ่งหวังว่าจะได้มีโอกาสขับเคลื่อนงานเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องคนพิการ ที่สำคัญมุ่งหวังที่จะผลักดันนโยบายเพิ่มเบี้ยยังชีพคนพิการเป็น 2,000 บาทถ้วนหน้า และ เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 2,000 บาทถ้วนหน้า

ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ให้โอกาสที่จะได้นำเสนอนโยบายเหล่านี้ โดยตนได้นำเสนอนโยบายให้กับทุกพรรค มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ให้ความสำคัญกับกลุ่มเปาะบางมาตั้งแต่เริ่มต้น เห็นได้ว่ากฎหมายด้านคนพิการก็ออกมาในสมัยของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ การเพิ่มเบี้ยยังชีพจาก 500 บาทเป็น 800 บาทก็มาจากพรรคประชาธิปัตย์ และการแก้ไขกฎหมายด้านคนพิการหรือการให้เบี้ยผู้สูงอายุก็เริ่มต้นจากพรรคประชาธิปัตย์ และที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์พิสูจน์ให้ประชาชนได้เห็นว่า พรรคเป็นสถาบันทางการเมืองที่ยืนหยัดมั่นคงในหลักการและอุดมการณ์

นายกานต์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ได้รับการผลักดันจาก นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ปี 2562 และอดีตปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยตนได้ประสานงานกับมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน และงานภาคประชาสังคมของจังหวัดพะเยารวมทั้งภาคเหนือมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ นอกจากนั้น แล้วยังร่วมกันผลักดันโอกาสของกลุ่มเปราะบาง และพยายามในการส่งเสริมให้ผู้พิการในแต่ละสมาคมมีปากเสียงในกองทุน และสวัสดิการของรัฐฯ ในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อความเป็นธรรมให้กับกลุ่มผู้พิการซึ่งมีอยู่จำนวนไม่น้อยในประเทศ


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/721410


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top