Monday, 29 April 2024
เลือกตั้ง

‘ไล่ ชิงเต๋อ’ สร้าง ปวศ.คว้าชัยเลือกตั้ง ปธน.ไต้หวัน 3 สมัยติด พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาชาติโดยสันติ ด้านผู้นำทั่วโลกแห่ยินดี

เมื่อวันที่ 13 ม.ค.67 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ‘นายไล่ ชิงเต๋อ’ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) ได้คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน หลังจากที่ ‘นายโหว โหย่วอี๋’ ผู้สมัครจากพรรคก๊กมินตั๋ง (เคเอ็มที) ประกาศความพ่ายแพ้ ทำให้พรรคดีพีพีสร้างประวัติศาสตร์เป็นพรรคการเมืองแรก ที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน 3 สมัยติดต่อกัน

‘ประธานาธิบดีโจ ไบเดน’ ของสหรัฐฯ กล่าวก่อนทราบผลเลือกตั้งเมื่อถูกตามถึงความเห็นของเขาต่อการเลือกตั้งไต้หวัน ที่มีขึ้นในวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า สหรัฐฯ ไม่ได้สนับสนุนเอกราชไต้หวัน แต่ก็บอกด้วยว่า เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้สำหรับประเทศใดๆ ก็ตาม ที่จะเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง

ขณะที่ ‘นายเดวิด คาเมรอน’ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ได้แสดงความยินดีกับชัยชนะของนายไล่ และแสดงความคาดหวังว่าจีนและไต้หวันจะพยายาม เพื่อหาทางแก้ไขความแตกต่างด้วยสันติวิธีอีกครั้ง

“การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงประชาธิปไตยที่มีชีวิตชีวาของไต้หวัน ผมหวังว่าทั้งสองฝ่ายของช่องแคบไต้หวันจะพยายามอีกครั้ง เพื่อแก้ไขความแตกต่างอย่างสันติ ผ่านการเจรจาที่สร้างสรรค์ โดยไม่มีการคุกคาม ใช้กำลัง หรือการบีบบังคับ” แถลงการณ์ของคาเมรอนระบุ

ด้าน ‘โยโกะ คามิกาวะ’ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น แสดงความยินดีต่อชัยชนะของนายไล่ และต่อการเลือกตั้งที่เป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมแสดงความคาดหวังว่าปัญหารอบๆ ไต้หวันจะได้รับการแก้ไขอย่างสันติผ่านการพูดคุย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค

“สำหรับญี่ปุ่น ไต้หวันเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งและเป็นเพื่อนคนสำคัญ ไต้หวันมีค่านิยมพื้นฐานร่วมกันและมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด รวมถึงการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชน” คามิกาวะระบุ พร้อมย้ำถึงแนวปฏิบัติตามปกติของญี่ปุ่นต่อไต้หวันด้วย

‘มาเรีย ซาคาโรวา’ โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย แสดงความเห็นหลังการลงคะแนนเลือกตั้งว่า รัสเซียยังมองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน

เช่นเดียวกับสำนักกิจการไต้หวันของจีนแผ่นดินใหญ่ที่ย้ำว่า ชัยชนะของนายไล่จะไม่เปลี่ยนภูมิทัศน์พื้นฐานของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบแต่อย่างใด

ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ผ่านสำนักข่าวซินหัว ‘นายเฉิน ปินหัว’ โฆษกสำนักกิจการไต้หวัน ระบุว่า ผลเลือกตั้งแสดงให้เห็นว่า พรรคดีพีพีไม่ใช่ตัวแทนความเห็นกระแสหลักบนเกาะไต้หวันแต่อย่างใด

‘จีน’ ชี้ ผลการเลือกตั้ง ‘ปธน.ไต้หวัน’ เป็นเพียงเสียงส่วนหนึ่ง กร้าว!! ไม่กระทบทิศทางแผนรวมชาติของจีนแผ่นดินใหญ่

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 67 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า ‘เฉิน ปินหัว’ โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันแห่งคณะรัฐมนตรีจีน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งผู้นำ และสมาชิกสภานิติบัญญัติของเกาะไต้หวัน โดย เฉิน กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งบ่งชี้ว่า พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) มิสามารถเป็นตัวแทนความคิดเห็นกระแสหลักของสาธารณชนบนเกาะไต้หวัน

เฉิน กล่าวว่า ไต้หวัน คือ ‘ไต้หวันของจีน’ โดยการเลือกตั้งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์พื้นฐาน และทิศทางการพัฒนาของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ จะไม่เปลี่ยนแปลงความปรารถนาร่วมของเพื่อนร่วมชาติทั่วช่องแคบไต้หวัน ในการกระชับสายสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น และจะไม่ขัดขวางทิศทางการรวมชาติของจีน

“จุดยืนของเราในการแก้ไขปัญหาไต้หวันและบรรลุการรวมชาติยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยปณิธานของเรานั้นแข็งแกร่งดังหินผา” เฉินกล่าว “เราจะยึดถือฉันทามติ 1992 ที่กำหนดหลักการจีนเดียวและคัดค้านกิจกรรมแบ่งแยกดินแดนอันมุ่งเป้าที่ ‘เอกราชไต้หวัน’ รวมถึงการแทรกแซงจากต่างชาติ”

เฉิน กล่าวว่า แผ่นดินใหญ่จะทำงานร่วมกับพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง กลุ่มองค์กร และประชาชนจากภาคส่วนต่างๆ ในไต้หวัน เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือข้ามช่องแคบ ขยับขยายการพัฒนาเชิงบูรณาการข้ามช่องแคบ ร่วมส่งเสริมวัฒนธรรมจีน ตลอดจนเดินหน้าการพัฒนาอย่างสันติของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบและกิจการรวมชาติ

‘รร.สตรีภูเก็ต’ เปิดเลือกตั้งคณะกรรมการสภานักเรียน ปี 67 ใช้ระบบแบบ ‘สัดส่วน’ เปิดโอกาสให้ทุกพรรคส่งสมาชิกทำงาน

(23 ม.ค. 67) จากช่องติ๊กต็อก SPK’ SAPHA66 โพสต์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับ การเลือกตั้งคณะกรรมการสภานักเรียนประจำปี 2567 ของ ‘โรงเรียนสตรีภูเก็ต’ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งโดยใช้ระบบแบบ ‘สัดส่วน’ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

- พรรคที่ได้คะแนนโหวตลำดับที่ 1️ จะมีสิทธิ์ส่งสมาชิกตามบัญชีรายชื่อ 50% หรือ 15 คน
- พรรคที่ได้คะแนนโหวตลำดับที่ 2️ จะมีสิทธิ์ส่งสมาชิกตามบัญชีรายชื่อ 30% หรือ 9 คน
- พรรคที่ได้คะแนนโหวตลำดับที่ 3️ จะมีสิทธิ์ส่งสมาชิกตามบัญชีรายชื่อ 20% หรือ 6 คน

สําหรับบัญชีรายชื่อ จะให้น้องๆ ผู้ลงสมัครแต่ละพรรคจัดลําดับกันมาเอง จากนั้นสมาชิกทุกคนจากถูกสัมภาษณ์จาก คุณครูที่ปรึกษาสภานักเรียน, รุ่นพี่สภานักเรียน และผู้บริหารโรงเรียนสตรีภูเก็ต แล้วจึงมีการจัดลำดับบัญชีรายชื่ออีกครั้ง

ซึ่งการเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 23 มกราคม 2567 นี้ ขอให้ทุกคนใช้สิทธิที่มีให้คุ้มค่าที่สุด เพราะทุกเสียงมีค่าสำหรับทุกคน

TikTok อินโดฯ เดือด!! ทุกพรรคอัดแคมเปญหาเสียงเพื่อวัยโจ๋ ขนาดผู้สมัครวัย 72 ยังลุกมาอัดคลิปเต้น หวังเรียกคะแนน

อินโดนีเซียเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งใหญ่ ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 นี้แล้ว 

ตอนนี้ บรรดาว่าที่ผู้สมัคร และ พรรคการเมืองอัดแคมเปญหาเสียงกันอย่างไม่ยั้ง โดยโซเชียลมีเดีย ถูกนำมาใช้เป็นช่องทางหาเสียงอย่างกว้างขวาง ซึ่งแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้ ที่อินโดนีเซียก็คือ การหาเสียงผ่าน TikTok 

ประเทศอินโดนีเซีย มีประชากรอยู่ราว ๆ 278 ล้านคน มากเป็นอันดับ 4 ของโลก ในจำนวนนั้นมีกลุ่มคนรุ่น Millennials และ Gen Z ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งมากถึง 56.5% และยังเป็นกลุ่มที่นิยมติดตามข้อมูลข่าวสารบนช่องทางโซเชียลเป็นอย่างมาก ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลที่นิยมในกลุ่มคนหนุ่ม-สาวชาวอินโดนีเซียในยุคนี้ หนีไม่พ้น TikTok 

ปัจจุบันอินโดนีเซียมีบัญชีผู้ใช้ TikTok ที่ยัง Active อยู่ถึง 125 ล้านบัญชี นับเป็นประเทศผู้ใช้ TikTok มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก 

การใช้โซเชียลมีเดียช่วยในการหาเสียง มีมานานแล้วในทุกประเทศ ยิ่งในอินโดนีเซียที่กลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมเล่นโซเชียลกันเป็นกิจวัตร แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ TikTok กลายเป็นสื่อออนไลน์ที่เข้ามามีอิทธิพล และบทบาทอย่างมากในการเผยแพร่เนื้อหา ประเด็นทางการเมือง จนกลายเป็นสนามที่ใช้ต่อสู้อย่างดุเดือดในการหาเสียงเลือกตั้งของอินโดนีเซียในปีนี้

อาร์โย เซโน บากาสโกโร ผู้ทำหน้าที่โฆษกในแคมเปญหาเสียงของนาย กันจาร์ ปราโนโว กล่าวว่า จากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว (2562) ที่ใช้ Instagram ในการหาเสียงผ่านโซเชียลมากที่สุด แต่ทว่าปีนี้กลายเป็นยุคของ TikTok ไปเสียแล้ว

จึงไม่แปลกใจที่ตอนนี้ผู้สมัครแถวหน้าทั้ง 3 คนในศึกชิงตำแหน่งผู้นำอินโดนิเซีย ล้วนสร้างคอนเทนต์เอาใจกลุ่ม Voter รุ่นใหม่ผ่านช่องทาง TikTok กันอย่างคึกคัก อย่างนาย ปราโบโว ซูบิอานโต รัฐมนตรีกลาโหมวัย 72 ปี โชว์คลิปเต้น TikTok กลางเวทีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนวัย กระฉับกระเฉง เข้าถึงง่าย และได้ฐานเสียงกลุ่มคนวัย 40 ไปได้ไม่น้อย 

นาย อานีส บัสเวดัน อดีตผู้ว่ากรุงจาการ์ตา ใช้ TikTok เจาะกลุ่มวัยรุ่นผู้นิยม K-Pop ในอินโดนีเซียได้อย่างกว้างขวาง บางคลิปมีคำบรรยายภาษาเกาหลี และมีการสื่อสารผ่านเครือข่ายกลุ่มแฟนด้อมของไอดอลเกาหลีในอินโดนีเซียในการหาเสียง

ส่วนนาย กันจาร์ ปราโนโว ผู้สมัครแถวหน้าอีกคนใช้ TikTok ในสไตล์หาเสียงที่ต่างออกไป ด้วยการถ่ายคลิปแบบเรียบง่าย เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่เล่น TikTok สวมเสื้อแจ็กเกตแบบ Top Gun บ้าง เสื้อยืดขาวลายเพนกวินธรรมดาบ้าง เดินเท้าเปล่าบ้าง เน้นการสื่อสารที่เข้าถึงชาวบ้านทั่วไปแบบเป็นธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง ก็ได้รับความสนใจไม่น้อยโลกโซเชียลของอินโดนิเซีย

แม้แต่ละคนจะมีกลยุทธ์การสื่อสารถึงฐานเสียงที่ต่างออกไป แต่ TikTok กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในสนามเลือกตั้งอินโดนีเซีย แสดงให้เห็นถึงสื่อสังคมออนไลน์อย่าง TikTok ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้การหาเสียงแบบเดินเท้า เคาะประตูตามบ้าน หรือแสดงวิสัยทัศน์ผ่านรายการดีเบตบนหน้าจอโทรทัศน์ ยังคงต้องมีอยู่ 

แต่ทั้งนี้ การก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งสื่อหลักของ TikTok ในแคมเปญหาเสียงของแทบทุกพรรคในอินโดนีเซีย อาจกำลังสะท้อนถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านสู่มุมมอง และการตัดสินใจของคนยุคใหม่ ทั้งกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่เกาะกระแสไว เน้นประเด็นหลัก สรุปจบสั้นภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที ก็พร้อมเข้าคูหา กาคนที่โดนใจได้แล้ว

'หยก' ลงชิงประธานสภาเด็กฯ เขตพระนคร โหวต 16 ก.พ.นี้ มีผู้สมัคร 4 คนให้เลือก

(7 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กสำนักงานเขตพระนคร ได้เปิดเผยรายชื่อ แคนดิเดต ในการเลือกตั้งประธานสภาเด็กและเยาวชนเขตพระนคร และขอเชิญชวนเด็กและเยาวชนเขตพระนคร แสดงตนใช้สิทธิเลือกตั้งประธานสภาเด็กและเยาวชนเขตพระนคร ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 และใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 (08.00-17.00 น.)

สำหรับคุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีดังนี้

1.อายุไม่เกิน 25 ปี
2.มีชื่อตามทะเบียนบ้านในเขตพระนคร
3.ลงทะเบียนยืนยันสิทธิ ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ (ตาม QR code) ที่แนบมาพร้อมนี้
ร่วมแสดงพลังเยาวชนใช้สิทธิเลือกตั้งประธานสภาเด็กและเยาวชนเขตพระนคร โดยการเลือกจากผู้สมัคร 4 คน สามารถดูลิงก์ Tiktok แนะนำตนเอง+แสดง

โดย 1 ในผู้สมัครประธานคณะบริหารสภาเด็กและเยาวชนเขตพระนคร ปรากฏชื่อ น.ส.ธนลภย์ ผลัญชัย หรือ หยก ด้วย

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เข้าป้ายแก้มือ ‘โจ ไบเดน’ หลัง ‘เฮลีย์’ ถอย ท่ามกลางอเมริกันชนที่เริ่มเอือมระอากับผู้นำชราหน้าเดิม

(7 มี.ค. 67) เอเอฟพี รายงานว่า การขับเคี่ยวแย่งชิงตัวแทนพรรครีพับลิกันในสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปลายปีนี้สิ้นสุดลงแล้ว หลัง ‘นิกกี เฮลีย์’ ยอมยกธงขาว ทำให้ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ได้เป็นตัวแทนพรรคฯ ในท้ายที่สุด

หลังพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในศึกไพรมารี ‘Super Tuesday’ นิกกี เฮลีย์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกัน ก็ขอถอนตัวจากการแข่งขัน และภายในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น โจ ไบเดน วัย 81 ปี และ โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 77 ปี ก็ได้เริ่มแคมเปญหาเสียงกับผู้สนับสนุนของเฮลีย์ทันที ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างชายสูงอายุ 2 คน ภายใต้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันจำนวนมากที่กล่าวว่า “พวกเขาไม่ต้องการเหล่าคนชรา”

ด้าน เฮลีย์ หลังพ่าย ก็ปฏิเสธที่จะสนับสนุนทรัมป์ จากเหตุผลที่ตัวทรัมป์มักจะต้องเผชิญกับความผิดทางอาญาหลายครั้งและเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับความพยายามโค่นล้มการเลือกตั้งในปี 2020 โดยเธอกล่าวว่า ทรัมป์จะต้องทำงานอย่างหนักหากหวังได้รับการสนับสนุนจากผู้ติดตามของเธอ

“ฉันขอแสดงความยินดีกับเขาและอวยพรให้เขาโชคดี” เฮลีย์ วัย 52 ปี กล่าวถึงทรัมป์ พร้อมเสริมว่า “สหรัฐฯจะต้องเดินหน้าด้วยการหันหลังให้กับความมืดมิด, ความเกลียดชัง และการแบ่งแยก”

ทั้งนี้ หลังจากที่ ทรัมป์ โค่นเฮลีย์ลงได้แล้ว ก็จะเชื้อเชิญผู้สนับสนุนของเธอมาเข้าร่วมการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

สำหรับชัยชนะของ ทรัมป์ ต่อ เฮลีย์ เป็นการชนะได้ถึง 14 รัฐจาก 15 รัฐ และเฮลีย์ชนะเขาได้ที่รัฐเวอร์มอนต์เพียงแห่งเดียว ซึ่งรวมถึงการพ่ายแพ้ในรัฐเซาท์แคโรไลนาที่เป็นบ้านเกิดของเธอเอง และทำให้ตัดสินใจยอมยกธงขาวในท้ายที่สุดด้วย

ฟาก ไบเดน ยกย่องความกล้าหาญของเธอในการบอก ‘ความจริงเกี่ยวกับทรัมป์’ และกล่าวว่ามีที่ว่างเสมอสำหรับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่สนับสนุนเฮลีย์ ในการรณรงค์หาเสียงของเขา

สำหรับการถอนตัวของ เฮลีย์ จะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน นั้น น่าตื่นเต้นขึ้นเป็นพิเศษ เพราะจะถือเป็นการเดิมพันด้วยระเบียบโลกที่นานาชาติจับตา ในขณะที่ชาวอเมริกันเริ่มเอือมระอากับผู้นำชราหน้าเดิม

แม้ ไบเดน จะกวาดชัยชนะจากการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครตได้อย่างง่ายดายในศึก Super Tuesday แต่ตอนนี้ต้องจดจ่อกับการเตรียมพร้อมแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภาในวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชายวัย 81 ปีที่ไม่เป็นที่นิยมคนนี้ต้องโน้มน้าวให้ประชาชนลดความกังวลเกี่ยวกับอายุของเขา, สภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์สงครามในฉนวนกาซา

ส่วน โดนัลด์ ทรัมป์ แม้จะอื้อฉาวหนักจากคดีฟ้องร้อง 2 กระทง และถูกตั้งข้อหาอาญา 91 กระทงในการพิจารณาคดี 4 คดี จนทำให้เขามีประวัติไม่เหมือนกับผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดในประวัติศาสตร์ แต่การยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองต่อชนชั้นแรงงาน, ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในชนบท และประชาชนคนขาวในประเด็นต่างๆ เช่น ปัญหาชายแดนและเศรษฐกิจ ได้ผลักดันให้เขาได้รับการเสนอชื่อจากพรรครีพับลิกัน

ศึก Super Tuesday ซึ่งเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการแข่งขันในปี 2024 ได้บทสรุปผู้เข้าชิงชัยรอบสุดท้ายจากทั้งสองพรรคแล้ว และ 8 เดือนต่อจากนี้จะได้เห็นการหาเสียงอย่างดุเดือดของคู่แค้นเดิมจากการเลือกตั้งครั้งก่อน

ผลสำรวจความนิยมล่าสุด ทรัมป์มีคะแนนนำไบเดนอยู่เล็กน้อย ดังนั้นไบเดนจึงหวังใช้การปราศรัยต่อรัฐสภาวาดภาพการเลือกตั้งด้วยทางเลือกที่ชัดเจนระหว่างตัวเขากับภัยคุกคามต่อประเทศอย่างทรัมป์

แม้ไบเดนจะเสียความนิยมไปเยอะจากความชราภาพและการสนับสนุนอิสราเอลในสงครามฉนวนกาซา แต่ทรัมป์เองก็มีบาดแผลเต็มตัวเช่นกัน ทั้งคดีความ, เรื่องอื้อฉาว และพฤติกรรมสร้างความวุ่นวายในการเลือกตั้งรอบที่แล้ว

'ทรัมป์' ลุยหาเสียง-ขึ้นเวทีปราศรัยในรัฐโอไฮโอ กร้าว!! หากตนพ่ายแพ้ 'สหรัฐฯ จะต้องนองเลือด'

(18 มี.ค.67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ปราศรัยหาเสียงให้กับเบอร์นี โมเรโน ผู้ลงสมัครวุฒิสภาของพรรครีพับลิกัน ในเมืองแวนดาเลีย รัฐโอไฮโอ และอ้างว่า ตนจะปกป้องความมั่นคงทางสังคม พร้อมเตือนว่า ประเทศจะนองเลือดถ้าเขาพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งเดือน พ.ย. นี้

ทั้งนี้ ในการปราศรัย ทรัมป์ได้กล่าวยกย่องโมเรโนว่าเป็น ‘แชมป์คนแรกของอเมริกา’ และเป็น ‘นักการเมืองคนนอก’ ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตพัฒนาชุมชนในโอไฮโอ

“เขาจะเป็นนักรบในวอชิงตัน” ทรัมป์กล่าว

ขณะเดียวกันทรัมป์ก็ใช้เวทีนี้ในการเผยแพร่คำกล่าวปราศรัยที่เต็มไปด้วยคำหยาบคายและดูหมิ่นตามสไตล์ของเขา ซึ่งทรัมป์กล่าวว่า ประเทศจะล่มสลายอีกครั้ง หากปธน.ไบเดนชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2

“ถ้าผมไม่ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ประเทศจะต้องนองเลือด" ทรัมป์เตือน ขณะที่พูดถึงผลกระทบภายนอกต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ และได้เผยแผนจ่อเพิ่มภาษีรถยนต์แบรนด์ต่างชาติ

หลังจากนั้น ทรัมป์ก็อ้างว่า “ถ้าผมไม่ชนะเลือกตั้งครั้งนี้ ผมไม่มั่นใจว่าพวกคุณจะมีโอกาสได้เลือกตั้งอีกครั้งในประเทศนี้หรือเปล่า”

ด้านรอยเตอร์ได้ถามเจมส์ ซิงเกอร์ โฆษกหาเสียงของไบเดน ถึงคำปราศรัยดังกล่าวของทรัมป์ ซิงเกอร์จึงประณาม ‘ลัทธิหัวรุนแรง’ ของทรัมป์ และว่านั่นเป็น ‘ความกระหายอยากแก้แค้น’ และเป็น ‘ภัยคุกคามจากความรุนแรงทางการเมือง’


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top