Sunday, 5 May 2024
อเมริกา

‘ไต้หวัน’ จ่อซื้อ ‘ฮาร์พูน’ ขีปนาวุธของสหรัฐฯ กว่า 400 ลูก มูลค่ากว่า 1.1 พันล้านบาท เตรียมพร้อมรับภัยคุกคามจากจีน

ไต้หวันจะซื้อ ‘ฮาร์พูน’ ขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นของสหรัฐฯ สูงสุด 400 ลูก ในยามที่ต้องเผชิญภัยคุกคามจากจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ 

เมื่อวันที่ (17 เม.ย.66) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพตากอน) เคยแถลงเกี่ยวกับสัญญามูลค่า 1,170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับขายขีปนาวุธต่อต้านเรือ 400 ลูก เมื่อวันที่ 7 เมษายน แต่ไม่ได้ระบุชื่อผู้ซื้อ โดยบอกแต่เพียงว่าคาดหมายว่าการผลิตจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 2029 อย่างไรก็ตาม บลูมเบิร์กรายงานล่าสุด บอกว่าผู้ซื้อรายดังกล่าวได้แก่ไต้หวัน

'นักวิชาการ' ชี้!! สงครามพันทางของสหรัฐฯ เอี่ยวหนุนรัฐประหารอย่างมีนัยในซูดาน

จากที่เหตุการณ์ในซูดาน ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมีการอพยพประชาชนในหลายประเทศ ขณะเดียวกันก็มีรายงานถึงเบื้องหลัง หรือ ผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหารอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยมีชื่อสหรัฐอเมริกาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น ด้าน ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ นักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ได้โพสต์ผ่าน Blockdit ถึงสถานการณ์ของซูดานต่อเนื่องไปยังสหรัฐฯ ว่า...

'อเมริกาเล่นบทเมริกุ๊ยโลกที่ซูดาน'

กรณีประเทศซูดาน สื่อมวลชนไทยควรนำเสนอข่าวให้ชัดเจนว่าอเมริกาอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหาร เพราะซูดานกำลังทิ้งดอลลาร์ หันไปทางรัสเซียและจีน รัฐบาลอเมริกาทนไม่ได้ จึงต้องให้ทหารซูดานที่เป็นหุ่นเชิดตนทำรัฐประหารขึ้นมา

ประเทศที่สร้างภาพว่าประชาธิปไตยมาตลอดอย่างอเมริกา ที่แท้ก็ลวงคนทั้งโลก เบื้องหลังคือ จอมเผด็จการโลกโดยแท้ 

ทูตอเมริกาในไทย หรือในที่ไหนๆ ไม่ควรจะมีสิทธิ์สอนประเทศอื่นในเรื่องระบอบประชาธิปไตย เพราะตนเองก็ยังไม่ได้เป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด

Redneck & Hillbilly สองกลุ่มคนสุดเหมือน ที่แสนแตกต่าง สะท้อนความหลากหลายแบบไม่เท่าเทียมในถิ่นมะกัน

บรรดาแฟนหนังฮอลลีวู้ดทั้งหลายอาจงง เวลาได้ยินคำว่า 'เรดเนค' (Redneck) และ 'ฮิลล์บิลลี่' (Hillbilly) สองกลุ่มนี้มีความใกล้เคียงกันมาก ราวกับเป็นพี่น้องฝาแฝด เลยอยากเล่าให้ฟังพอสังเขป

ไม่ใช่จะด้อยค่าดูถูกใครแต่อย่างใด เพียงแต่พยายามจำแนกกลุ่มคนอันหลากหลายในประเทศนี้ อเมริกาเป็นเบ้าหลอมของคนร้อยพ่อพันแม่จากทุกทิศทุกทาง ฝรั่งผิวขาวไม่ได้มีการศึกษาสูงหรือฐานะดีทุกคน แม้ฝรั่งชาติเดียวกันยังดูถูกกันเอง เพราะความแตกต่างระหว่างฐานะ การศึกษา และแนวคิด ความเท่าเทียมอย่างที่มักนำมากล่าวอ้างเป็นเพียงวาทกรรมสวยหรูเท่านั้น เลยอยากเล่าเรื่องคนกลุ่มนี้ให้ฟัง เพราะกลุ่มที่โดนเหยียดเป็นประจำ

อเมริกาเคยขัดแย้งกันถึงขั้นแบ่งฝ่ายเหนือ-ใต้ แยกปกครอง นำไปสู่สงครามกลางเมือง รัฐฝ่ายเหนือชนะรัฐฝ่ายใต้ สำหรับอเมริกันที่อาศัยอยู่ในรัฐทางใต้แล้ว ยังรู้สึกเป็นลบกับการที่ฝ่ายตนต้องเพลี่ยงพล้ำ พวกนี้มีความภาคภูมิใจในความเป็นชาวใต้จึงมักนำธงสมาพันธรัฐ ซึ่งเป็นธงประจำรัฐฝ่ายใต้สมัยก่อนสงครามกลางเมืองมาประดับไว้ตามรถยนตร์และบ้านเรือน นอกเหนือจากธงชาติอเมริกัน

กลุ่มที่เทิดทูนความเป็น 'อเมริกัน' รวมทั้งความเป็น 'ชาวใต้' อย่างคลั่งไคล้ มักถูกเรียกด้วยน้ำเสียงดูถูกว่าเป็นพวก 'เรดเนค' ทำนองว่าเป็นคนระดับล่าง ไร้การศึกษา ทำงานแบบบลูคอลาร์ ฐานะยากจน ชอบสะสมปืน และคลั่งชาติ พวกเรดเนคจะถูกล้อเลียนในลักษณะว่าโง่และจน โดยมีการวาดการ์ตูนล้อเลียนมากมายเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้

พวกที่ภาคภูมิใจในความเป็นเรดเนคของตนจะสังเกตได้ไม่ยาก พวกนี้ชอบใช้รถกระบะ มีสติกเกอร์ธงอเมริกันแปะเต็มกระจกกั้นระหว่างส่วนที่นั่งและส่วนกระบะ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าจะมองข้างหลังเห็นหรือนั่น บางคนก็ติดธงผืนใหญ่ตามความเข้มข้มของความภูมิใจ หากภูมิใจในความเป็นเรดเนคสูงสุดก็จะล่อธงสมาพันธรัฐมาแบบเต็มพิกัด แต่ส่วนมากแค่ปักธงชาติอเมริกันไว้ท้ายรถก็มองออกแล้วว่าพวกนี้เป็นเรดเนคตัวพ่อเลยทีเดียว

ส่วนมากแล้วพวก เรดเนค จะไม่ชอบคนผิวดำและคนสีผิวอื่น นิยมเชื้อชาติตัวเองว่าดีที่สุด การที่ไม่ชอบคนผิวดำนั้น สืบเนื่องมาจากรัฐทางใต้เคยมีทาสมาก่อน พอเลิกทาสแล้วยังไม่สามารถทำใจยอมรับได้ จนกระทั่งยุคหลังสงครามกลางเมือง มีองค์กรลับของคนผิวขาวที่เรียกว่า 'คู คลักซ์ แคลน' (Ku Klux Klan - KKK) ซึ่งเเนวคิดเหยียดสีผิวเเบบสุดโต่ง มีจุดประสงค์เพื่อกําจัดคนผิวสี เอเซีย ยิว และคนที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิคให้หมดไปจากอเมริกา สมาชิกในกลุ่มเคเคเคส่วนมากมักมีพวกคอแดงหรือ เรดเนค รวมอยู่ด้วย

พวกเรดเนคชำนิชำนาญเรื่องการต้มกลั่นเหล้าเถื่อนดีกรีแรงที่เรียกว่า 'มูนชายย์' ( Moon Shine) โดยเฉพาะเรดเนคที่อยู่บนภูเขาแอปพาเลเชียน ซึ่งกินพรมแดนติดต่อกันหลายรัฐทางใต้ของอเมริกา บนเทือกเขานี้ยังมีกลุ่มชนอีกกลุ่มที่เรียกว่า 'ฮิลล์บิลลี่' ด้วย ซึ่งถูกจัดรวมในสาขาเดียวกับเรดเนค

พวกฮิลล์บิลลี่นี่เรียกง่ายๆ คือพวกหลังเขา จัดอยู่ในกลุ่มที่โดนดูถูกเหมือนกัน เคยมีบทความตีพิมพ์ใน New York Journal จำกัดนิยามคนกลุ่มนี้ไว้ว่า ฮิลล์บิลลี่เป็นคนผิวขาวที่ยากจน อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขา พูดจาเรื่อยเจื้อยตามแต่ใจต้องการ แต่งตัวในแบบที่ว่ามีอะไรก็ใส่ๆ มา ดื่มวิสกี้เมื่อมีวิสกี้ ลั่นกระสุนปืนลูกโม่ตามแต่ใจอยาก

ฮิลล์บิลลี่มักถูกล้อเลียนด้วยตัวการ์ตูนที่วาดใบหน้ารกหนวดเครา เอี๊ยมแบบทำงาน เดินเท้าเปล่า แบกปืนยาว ขับปิ๊กอัพเก่าๆ โทรมๆ และที่สำคัญต้องฟันเหยินเป็นคราบเหลืองอ๋อย

ทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันเล็กน้อย โดยเรดเนคหมายถึงกลุ่มคนที่มีลักษณะตามที่เขียนถึงข้างต้น แต่จะอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้ในอเมริกา โดยมากแล้วพวกนี้มักมาจากรัฐทางใต้ ระยะหลังนี่เริ่มขยายมาอยู่ในรัฐที่ยังมีพื้นที่ป่าสมบูรณ์ อย่างบางรัฐแถวมิดเวสต์

อีกหนึ่งข่าวดีของไทยในเวทีโลก! ไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Bank/IMF ปี 2026

 

อีกหนึ่งข่าวดีของไทยในเวทีโลก!
ไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Bank/IMF ปี ค.ศ. ๒๐๒๖

ผู้แทนของไทยประจำ IMF ได้แจ้งแก่เอกอัครราชทูตไทยประสหรัฐฯ ว่า ตามที่กลุ่ม Executive Board ได้เสนอต่อ Board of Governors ให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปี สภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2569 ระหว่าง 16-18 ตุลาคม พ.ศ.2569 ซึ่งไทยได้เสนอตัว โดยไทยสามารถเอาชนะกาตาร์ในการลงคะแนนรอบสุดท้ายได้ ซึ่งก่อนนี้มีประเทศเข้าสมัครเพื่อรับการคัดเลือกทั้งหมด 5 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กรีซ ไทย และกาตาร์ โดยหลังจากนี้ Board of Governors จะพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่จะประกาศผลดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ในช่วงการประชุม Spring Meeting เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

การประชุมดังกล่าว จะจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีผู้เข้าร่วมจากทั่วโลก ทั้งผู้เข้าร่วมการประชุม และการประชุมอื่น ๆ คู่ขนานในช่วงเดียวกันรวมประมาณ 14,000 คน โดยผู้แทนกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีคุณ Wempi Saputra มาจากอินโดนีเซียและคุณ Rosemary Lim จากสิงคโปร์ ได้ทำงานประสานกับผู้แทนไทยและประเทศต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ในการสนับสนุนให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Bank/IMF ปี 2026 โดยร่วมกับสำนักงานที่ปรึกษาการคลังและสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน และจัดให้ นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน และ เจ้าหน้าที่ทีมเศรษฐกิจได้ร่วมทำงานในการขอรับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกทั้ง WB/IMF โดยเฉพาะ Board of Governors โดยจัดงานเลี้ยงรับรองได้จัดให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน กล่าวสุนทรพจน์แนะนำความพร้อมของประเทศไทยในด้านต่าง ๆ เช่น ประสบการณ์ที่ไทยเคยจัดการประชุม IMF/WB มาแล้ว การเป็นเจ้าภาพการประชุมระหว่างประเทศทุกระดับ ล่าสุดไทยยังเป็นประธานอาเซียนที่มีการผลักดันการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี RCEP ขยะทะเลและทะเลจีนใต้ รวมทั้งเป็นเจ้าภาพเอเปคเมื่อปีที่แล้ว ที่ผลักดันวางกรอบเวลาการเจรจาเขตการค้าเสรีเอเปค หรือ ‘FTAAP’ ความเชื่อมโยงในทุกมิติเพื่อเตรียมความพร้อมหลังโควิด และปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วย BCG นำเรื่องความยั่งยืนเข้าไปใส่ในวาระของเอเปคอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก

‘รัสเซีย’ ชี้!! ‘สหรัฐฯ-ยูเครน’ ร่วมกันวางแผนปลิดชีพ ‘ปูติน’ หลังเกิดเหตุ ‘โดรน’ โจมตีทำเนียบเครมลินในกรุงมอสโก

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, มอสโก/วอชิงตัน รายงานว่า นายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลินของประเทศรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียมีหลักฐานบ่งชี้ว่า ‘สหรัฐฯ และยูเครน’ อยู่เบื้องหลังเหตุอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนโจมตีทำเนียบฯ เมื่อไม่นานนี้

เพสคอฟ กล่าวว่า รัสเซียได้รับข้อมูลจากหน่วยงานพิเศษ ซึ่งเกี่ยวกับความพยายามโจมตีทำเนียบฯ ด้วยโดรนเมื่อวันพุธ (3 พ.ค.) โดยสหรัฐฯ ควรรู้ว่า รัสเซียตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในเหตุก่อการร้ายดังกล่าว และสหรัฐฯ ต้องเข้าใจว่ามันอันตรายเพียงใด

เมื่อวันพุธ (3 พ.ค.) สำนักประชาสัมพันธ์ประจำประธานาธิบดีรัสเซีย ระบุว่า ยูเครนพยายามลอบสังหารวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ด้วยการใช้โดรน 2 ลำ โจมตีทำเนียบฯ ซึ่งหน่วยงานทางทหารและหน่วยงานพิเศษสามารถยับยั้ง โดรนทั้ง 2 ด้วยยุทธวิธีทางเรดาร์

‘ส.ว.สมชาย’ เปิดหน้าคุยทูตสหรัฐฯ แจงขบวนการใส่ร้ายสถาบัน ด้านทูตฯ รับปากส่งเรื่องต่อรัฐบาล เพื่อดำเนินการต่อไป

(5 พ.ค. 66) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

#คนไทยชักศึกเข้าบ้าน
หรือ
#สหรัฐแทรกแซงอธิปไตย

จากเอกสารที่คนไทยกลุ่มหนึ่ง อ้างกล่าวหาให้ร้ายประเทศไทย ส่งถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และวุฒิสมาชิกกลุ่มหนึ่งของสหรัฐฯ เคลื่อนไหวต่อเนื่อง จะออกมติวุฒิสภา ที่ 114 ต่อประเทศไทยนั้น (3 พ.ค.2566) คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา จึงได้เชิญเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย นายโรเบิร์ต เอฟ โกเดค และคณะ เพื่อประสานสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเท็จจริง ที่ห้องรับรองพิเศษวุฒิสภา 

ในระหว่างการหารือกัน ผมได้เสนอให้ท่านทูตสหรัฐฯ รับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และยืนยันว่า มิได้เป็นไปตามที่กลุ่มบุคคลเหล่านั้นไปกล่าวหาให้ร้าย คณะกรรมาธิการของวุฒิสภาไทย ที่ติดตามการดูแลการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่พบปัญหาดังที่มีการกล่าวหา

โดยประเทศไทยนั้นให้เสรีภาพเต็มที่ ในการหาเสียงเลือกตั้งของทุกพรรคการเมือง และสื่อมวลชนสามารถสื่อข่าวสารได้อย่างเสรี ไม่มีการปิดกัั้น

คณะกรรมาธิการและสมาชิกวุฒิสภาไทยเห็นว่า ในท้ายร่างมติ 114 ที่ให้ร้ายและข่มขู่กล่าวหา สถาบันพระมหากษัตริย์ แทรกแซงการเลือกตั้งทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเลือกตั้งนั้น ไม่เป็นความจริง และทำให้วุฒิสภาฝ่ายไทยไม่สบายใจ เกรงจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์อันดี

เพราะข้อเท็จจริงแล้ว พระมหากษัตริย์ไทยทรงอยู่เหนือการเมือง มิเคยทรงยุ่งเกี่ยวในการเลือกตั้งใดๆ ตามที่มีการกล่าวหาให้ร้าย จนทำให้วุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกาบางท่านเข้าใจผิด นำข้อมูลดังกล่าวไปร่างยื่นขอมติวุฒิสภา 114 (Senate Resolution 114) ที่กล่าวร้ายรุนแรงต่อประเทศไทยโดยไม่เป็นความจริง

ในประเด็นที่ 2 คือการหารือเรื่องกองทุน NED (National Endowment For Democracy) ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวการเมือง เพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 กฎหมายสูงสุดของประเทศ และยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครององค์พระประมุข เช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกามีกฎหมายปกป้องประธานาธิบดี เช่นกัน 

เรื่องนี้ก่อให้เกิดความแตกแยกทางความคิดและความขัดแย้งในประเทศไทย ถือเป็นการกระทบต่ออธิปไตยของมิตรประเทศ และอาจเป็นการแทรกแซงกิจการในประเทศไทยได้ จึงขอให้ท่านทูตฯ ได้เร่งประสานงานให้รัฐบาลและรัฐสภาสหรัฐอเมริกาทราบ และแก้ไขการกระทำดังกล่าวให้ถูกต้องต่อไปโดยเร็ว

เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ตอบรับทราบ ทั้ง 2 เรื่อง และรับปากว่าจะสื่อสารไปยังรัฐบาลและวุฒิสภาสหรัฐฯ เพื่อดำเนินการต่อไป

‘ลูกขุนสหรัฐฯ’ ตัดสิน ‘ทรัมป์’ โดนอีกคดีก่อนเลือกตั้ง ปมล่วงละเมิดอดีตคอลัมนิสต์หญิง สั่งชดใช้ 5 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถูกคณะลูกขุนของศาลรัฐบาลกลางแมนฮัตตัน ตัดสินว่าต้องรับผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศ ‘อี จีน แคโรล’ อดีตคอลัมนิสต์ของนิตยสารแอลในปี 1995 หรือ 1996 และหมิ่นประมาทเธอ โดยตราหน้าว่าเธอเป็นคนโกหก โดยทรัมป์ต้องจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้แก่แคโรลรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 168 ล้านบาท

เมื่อปีที่แล้ว แคโรล วัย 79 ปี ได้ยื่นฟ้องทรัมป์โดยอ้างว่า ทรัมป์ข่มขืนเธอในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของห้าง Bergdorf Goodman ในย่านแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก เมื่อราวปี 1995 หรือ 1996 จากนั้นก็ทำลายชื่อเสียงของเธอโดยการโพสต์ลงบน Truth Social แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของทรัมป์ เมื่อเดือนตุลาคม 2022 โดยบอกว่า ข้อกล่าวหาของเธอเป็นเรื่องหลอกลวงและโกหก หลังแคโรลออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณชนในปี 2019

อย่างไรก็ดี คณะลูกขุนทั้ง 9 คน ปฏิเสธข้อกล่าวหาของแคโรลเรื่องเธอถูกทรัมป์ข่มขืน แต่คณะลูกขุนได้ตัดสินว่า แคโรลมีหลักฐานที่มากกว่าฝั่งของทรัมป์ ในข้อหากล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ จึงตัดสินให้ทรัมป์จ่ายเงินชดเชยแก่แคโรลเป็นเงิน 2 ล้านดอลลาร์ ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ และจ่ายเงินเกือบ 3 ล้านดอลลาร์ในข้อหาหมิ่นประมาท

นางโรเบอร์ต้า แคปแลน ทนายความของแคโรล นำพยานเป็นผู้หญิง 2 ราย มาให้การเป็นพยานว่า ทรัมป์เคยล่วงละเมิดทางเพศเธอเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ขณะที่ทรัมป์ไม่เคยปรากฏตัวในการพิจารณาคดีที่กินเวลานาน 2 สัปดาห์เลย และทีมกฎหมายของทรัมป์ไม่ได้เรียกพยานใดๆ

การตัดสินของคณะลูกขุนในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถูกตัดสินว่า มีความผิดในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ ด้านทรัมป์เอง ได้ออกมาวิจารณ์คำตัดสินของคณะลูกขุนผ่านทาง Truth Social ว่า “น่าอัปยศ” พร้อมกับกล่าวอีกว่า เขาไม่รู้จักแคโรลมาก่อน ขณะที่นายโจเซฟ ทาโคปินา ทนายความของทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าทรัมป์จะยื่นอุทธรณ์

ทั้งนี้ คดีความดังกล่าวเป็นคดีแพ่ง ทำให้ทรัมป์รอดจากความผิดทางอาญา และจะไม่ถูกตัดสินโทษจำคุกแต่อย่างใด

แคโรลกล่าวในการพิจารณาคดีว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เธอรู้สึกอับอาย และไม่สามารถมีความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักกับใคร เพื่อนของแคโรล 2 คน ระบุว่า แคโรลเล่าถึงเรื่องการถูกทรัมป์ข่มขืนแต่ขอให้เพื่อนทั้ง 2 คนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เพราะแคโรลกลัวว่าทรัมป์จะใช้ชื่อเสียง และเงินโจมตีเธอหากออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าว

‘รัสเซีย’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ เปรียบเสมือน หุ่นเชิดของ ‘สหรัฐฯ’ หวั่น ก้าวไกล ทำกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-จีน-รัสเซีย

(18 พ.ค. 66) สำนักข่าว RT ของประเทศรัสเซีย รายงานข่าวเกี่ยวกับการเลือกตั้งประเทศไทย โดยเรียกพรรคก้าวไกลว่าเป็น ‘พรรคโปรตะวันตก’

ไบรอันได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นผลลัพธ์ของความพยายามของสหรัฐอเมริกา ที่ได้ทุ่มเทเงินหลายล้านเหรียญมาเป็นเวลาหลายปี เพื่อให้พรรคการเมืองที่เป็นหุ่นเชิดของตัวเองได้ขึ้นมามีอำนาจ”

ไบรอันมองว่า หากพรรคก้าวไกลยังเดินตามนโยบายต่างประเทศในทางที่เคยแสดงท่าทีไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน และประเทศไทยกับประเทศรัสเซียจะถูกกระทบอย่างรุนแรง

ย้อนรอย 48 ปี วิกฤตการณ์ Mayaguez (มายาเกซ/มายาเกวซ) อันเป็นปัจฉิมบทของฐานทัพของสหรัฐฯ ในไทย และปฐมบทแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน

บอง บอง เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์

เมื่อการเลือกตั้งในบ้านเราจบลง พรรคการเมืองที่มหาอำนาจชาติตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา วาดหวังที่จะให้เป็นรัฐบาลก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งและสอง ด้วยหมายมั่นปั้นมือว่าจะกลับมามีบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาคนี้ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการสนับสนุน บอง บอง เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ จนได้เป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ และยินยอมเปิดรับการกลับเข้ามาฟิลิปปินส์ของสหรัฐฯ หลังจาก โรดรีโก โรอา ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แสดงบทบาทท่าที่แข็งกร้าวกับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยตลอด 

สนามบินอู่ตะเภา

ด้วยจุดมุ่งหมายของสหรัฐฯ ที่จะกลับมามีบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาคนี้คือ การใช้ประเทศในภูมิภาคนี้เป็นพันธมิตรในการปิดล้อมจีน และสิ่งที่สหรัฐฯ หมายมั่นปั้นมือที่สุดในไทยคือ การกลับเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาอันเป็นสนามบินที่สหรัฐฯ สร้างเอาไว้ในยุคสงครามเย็น โดยเป็นฐานทัพอากาศที่มีเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 ประจำการ และใช้เป็นฐานปฏิบัติการในการทิ้งระเบิดในเวียดนาม ลาว เพราะสนามบินอู่ตะเภามีความพร้อมในการรองรับกองกำลังทางอากาศของสหรัฐฯ และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารที่ดีที่สุดในภูมิภาคนี้ที่ครอบคลุมทะเลจีนใต้ (มหาสมุทรแปซิฟิก) และทะเลอันดามัน (มหาสมุทรอินเดีย) ซึ่งจะทำให้ราชอาณาจักรไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราทุกคน กลับมาอยู่ในวงของความขัดแย้งของสหรัฐฯ และจีนโดยตรง เช่นที่เคยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะสงครามอินโดจีนหรือสงครามเวียดนาม อีกครั้งหนึ่ง


สำหรับวิกฤตการณ์ Mayaguez (มายาเกซ/มายาเกวซ) อันเป็นจุดจบของฐานทัพของสหรัฐฯ ในไทย และจุดเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ขณะที่เรือสินค้า SS Mayaguez บรรทุกอาหาร และเวชภัณฑ์เดินเรือในน่านน้ำสากลจากฮ่องกง ผ่านใกล้ชายฝั่งกัมพูชาเพื่อไปยังท่าเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้ถูกเรือติดอาวุธของรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตย (เขมรแดง) ยึดเรือ และจับลูกเรือ 39 คนเป็นตัวประกัน โดยอ้างเรือสินค้า SS Mayaguez ว่ารุกล้ำน่านน้ำกัมพูชา (ในเขตน่านน้ำซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งของประเทศกัมพูชาประมาณ 60 ไมล์) รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำการตอบโต้อย่างแข็งกร้าวและรวดเร็ว เพราะเห็นเป็นโอกาสอันดีที่ผู้นำสหรัฐฯ จะสามารถแสดงอำนาจและความเด็ดขาดให้ปรากฏแก่ชาวโลก เนื่องจากว่าเพียงแค่เดือนก่อนหน้านั้นทั้งกัมพูชาและเวียดนามใต้ได้พ่ายแพ้แก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ ซึ่งสร้างความสั่นคลอนอย่างยิ่งแก่เกียรติภูมิและความภูมิใจแห่งชาติของชาวอเมริกัน


ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ เพื่อชิงเรือ SS Mayaguez คืนเกิดขึ้นโดยนาวิกโยธินอเมริกันจากเกาะโอกินาวาและอ่าวซูบิก ที่ถูกส่งมายังฐานทัพอเมริกันที่อู่ตะเภาในวันที่ 13 พฤษภาคม ได้บุกจู่โจมชิงเรือ SS Mayaguez และลูกเรือคืนในเช้ามืดวันที่ 14 พฤษภาคม โดยมีเครื่องบินรบจากฐานทัพอเมริกันที่อุดรธานีและโคราชออกปฏิบัติการร่วมด้วย และประสบความสำเร็จในเวลาประมาณ 11.00 น. การใช้ดินแดนไทยเพื่อปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ เกิดขึ้นโดยขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทย ซึ่งมิได้รับรู้ถึงปฏิบัติการครั้งนี้เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แจ้งแก่อุปทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยในวันที่ 13 พฤษภาคม แล้วว่า ไทยไม่ยินยอมให้ใช้ดินแดนไทยในทางการทหารใด ๆ เพื่อตอบโต้กัมพูชา แม้ว่า ก่อนการดำเนินภารกิจนี้ สถานทูตสหรัฐฯ ได้แจ้งแผนการใช้กำลังต่อพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นผู้ที่สหรัฐฯ ติดต่อด้านการทหารเป็นประจำ พลเอกเกรียงศักดิ์ได้ให้อนุญาต โดยมิได้แจ้งแก่รัฐบาลไทย และรัฐบาลไทยซึ่งรับรู้สถานการณ์ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ดำเนินภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้แถลงว่าการกระทำครั้งนี้เป็นการละเมิดอธิปไตยไทย และได้ยื่นบันทึกประท้วงต่ออุปทูตสหรัฐฯ พร้อมทั้งระบุให้ถอนนาวิกโยธินออกทั้งหมดภายใน 24 ชั่วโมง



อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้สร้างความสะเทือนกว้างไกล กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ได้แสดงปฏิกิริยาประท้วงและประณามสหรัฐฯ อย่างรวดเร็วและอย่างสอดคล้องกัน ซึ่งขัดแย้งกับบริบทการเมืองไทยขณะนั้น ที่มีความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรงในสังคม (ไม่ต่างไปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้) ดังที่บทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ระบุว่า “ไม่มีครั้งใดในการเมืองไทยที่คนไทยทั้งชาติจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อรัฐบาลสหรัฐฯรุนแรงเท่าครั้งนี้” การเคลื่อนไหวเริ่มขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม โดยพรรคการเมืองฝ่ายค้านทุกพรรคได้เรียกร้องให้เปิดประชุมสภาวิสามัญ เพราะเห็นว่าเหตุการณ์เป็นภาวะคับขันและเกี่ยวข้องกับเอกราชและอธิปไตยของชาติ หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับของไทยได้เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนความสัมพันธ์ไทย – อเมริกัน เพื่อให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน แต่ปฏิกิริยาที่รุนแรงที่สุดมาจากศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดการชุมนุมประท้วงสหรัฐฯ ที่สนามหลวงและมีผู้เข้าร่วมหลายพันคน ต่อมาในวันที่ 16 พฤษภาคม คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ส่งบันทึกประท้วงถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ พร้อมทั้งเรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ กลับ พร้อมทั้งประกาศที่จะทบทวนสัญญาและข้อผูกพันระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มีทั้งหมด ส่วนการชุมนุมที่นำโดยศูนย์นิสิตนักศึกษาฯ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขีดเส้นตายให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องขอโทษไทยภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากที่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากรัฐบาลสหรัฐฯ ในวันต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มายังหน้าสถานทูตสหรัฐฯ อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ได้เข้าร่วมด้วย เช่น นายธีรยุทธ บุญมี และ นายเสกสรร ประเสริฐกุล เป็นต้น

นพ.เหวง โตจิราการ หนึ่งแกนนำการประท้วงสหรัฐฯ ในขณะนั้น

ในวันที่สามของการชุมนุมประท้วงมีผู้เข้าร่วมการชุมนุมจำนวนถึงกว่าหนึ่งหมื่นคน สหภาพกรรมกร 61 แห่งได้ประกาศเข้าร่วมด้วย และขู่จะทำลายธุรกิจของบริษัทที่ชาวอเมริกันเป็นเจ้าของถ้าสหรัฐฯยังไม่ขอโทษไทย นอกจากนี้ ยังมีการชุมนุมของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ด้วย ผู้ชุมนุมที่หน้าสถานทูตสหรัฐฯได้เผาหุ่นประธานาธิบดีฟอร์ดและ ดร.เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีความผิดตามคำพิพากษาของ “ศาลประชาชน” คือ “เป็นฆาตกรเลือดเย็น ฆ่าประชาชนหลายหมื่นคนในอินโดจีนและหลอกลวงประชาชนไทย”


นายธีรยุทธ บุญมี ได้ประกาศด้วยว่าหากประธานาธิบดีฟอร์ดไม่ขอโทษประชาชนไทยเองภายใน 24 ชั่วโมง ก็จะเผาธงชาติอเมริกันซึ่ง “เป็นการทำลายสัญลักษณ์ของจักรวรรดินิยมอเมริกา” การชุมนุมได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อผู้ชุมนุมกรูกันเข้าไปแกะตราสถานทูตฯซึ่งเป็นรูปนกอินทรีลงกระทืบและติดรูปอีแร้งแทน ป้ายชื่อสถานทูตถูกทับด้วยป้าย ‘ซ่องโจร’ และขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนนั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งแต่งตัวเป็นชาวเวียดนามกระชากธงชาติอเมริกันลงมาปัสสาวะรดกลางที่ชุมนุม ซี่งในขณะเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น กำลังตำรวจที่ดูแลบริเวณนั้นมิได้เข้าจัดการหรือขัดขวางใด ๆ

 



สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความวิตกกังวลแก่ผู้นำรัฐบาลมาก และต้องการยุติการชุมนุมโดยเร็วที่สุด ดังนั้น เมื่ออุปทูตสหรัฐฯ ขอพบเพื่อหารือสถานการณ์ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ขอให้ส่งสารขอโทษไทย ในเช้าวันต่อมาอุปทูตสหรัฐฯ ได้ยื่นบันทึกของอุปทูตต่อพลตรีชาติชาย ซึ่งมีใจความบางตอนว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าใจถึงปัญหาที่ได้สร้างให้แก่รัฐบาลไทย…และขอย้ำว่า มีความเสียใจในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ สหรัฐฯ ยังคงมีนโยบายที่จะเคารพต่ออธิปไตยและเอกราชของไทยเสมอ…และเหตุการณ์ทำนองนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” พลตรีชาติชายกล่าวในเวลาต่อมาว่า พอใจต่อบันทึกนี้ และคำขอโทษจากประธานาธิบดีฟอร์ดก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป และได้ส่งสำเนาบันทึกแก่ผู้นำการชุมนุมที่หน้าสถานทูต กลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขอขมาแล้ว” และประกาศก่อนเลิกการชุมนุมว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนจุดสุดท้ายคือการขับไล่ฐานทัพอเมริกันทั้งหมดออกไป



ปฏิกิริยารุนแรงของนักศึกษาและสาธารณชน ต่อเหตุการณ์มายาเกวซเกิดขึ้นในบริบทการเมืองไทยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ที่มีข้อเรียกร้องจากหลายกลุ่มให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่เป็นอิสระจากสหรัฐฯ กลุ่มเหล่านี้ซึ่งมีทั้งนักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ นักการเมืองพลเรือนและนักศึกษา มีทัศนะว่า นโยบายต่างประเทศที่ผูกพันกับสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้นนั้นถูกกำหนดโดยผู้นำทหารซึ่งมีผลประโยชน์สอดคล้องกับสหรัฐฯ และเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ มากกว่า โดยเฉพาะฐานทัพและทหารอเมริกันในประเทศไทยก็คือ สัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันที่ต้องให้หมดไปโดยเร็ว อีกทั้งทำให้ไทยสูญเสียอธิปไตยและไร้เกียรติภูมิประเทศ นักวิชาการ เช่น ดร.เขียน ธีระวิทย์ กล่าวใน พ.ศ. 2518 ว่า หากฐานทัพอเมริกันยังอยู่ต่อไป “จะสร้างความแตกแยกให้คนในชาติมากขึ้น อาจเกิดการตั้งขบวนการสังหารชาวอเมริกันและทหารอเมริกันในไทย เพราะคนไทยทุกวันนี้มีความเกลียดชังทหารอเมริกัน” ส่วนนักศึกษาฝ่ายซ้ายกลุ่มหนึ่งในเวลานั้นก็ได้ผลิตงานเขียนหรือกล่าวเสมอในที่สาธารณะว่า สหรัฐฯ เป็น ‘จักรวรรดินิยม’ ที่เอาเปรียบประเทศเล็กทั่วไปรวมทั้งไทยด้วย การชุมนุมของนักศึกษาครั้งนี้ดูเหมือนประสบความสำเร็จเพราะรัฐบาลได้ตอบโต้สหรัฐฯ อย่างแข็งกร้าว อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ของรัฐบาลยังเป็นเพราะสาเหตุอื่นด้วย กล่าวคือ ผู้นำพลเรือนกลุ่มหนึ่งก็มีทัศนะว่าจะต้องปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ไทย – อเมริกันที่มีลักษณะ ‘ลูกพี่ – ลูกน้อง’ และเน้นด้านการทหารให้มีลักษณะที่สมดุลมากขึ้น เหตุการณ์ ‘เรือ SS Mayaguez’ จึงเป็นโอกาสที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองแก่สหรัฐฯ และประเทศเพื่อนบ้านอินโดจีนที่รัฐบาลกำลังพยายามสร้างไมตรีด้วย นอกจากนี้ ก็เป็นโอกาสที่รัฐบาลจะมีบทบาทในเรื่องความมั่นคงที่ก่อนหน้านั้น ถือเป็นเรื่องของฝ่ายทหารที่รัฐบาลพลเรือนช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม แทบไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ



อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ก็ทำให้รัฐบาลไทยอยู่ในฐานะลำบากเพราะฝ่ายทหารยังคงมีอำนาจในการเมืองไทย และต้องการความช่วยเหลือด้านการทหารจากสหรัฐฯ ต่อไป ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังคงเป็นมหาอำนาจที่ผู้นำไทยทุกกลุ่มให้ความสำคัญมากที่สุด และหากจำเป็นก็ยังคงหวังพึ่งพามากที่สุดด้วย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงต้องยุติเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วโดยการยอมรับ ‘สารแสดงความเสียใจ’ จากอุปทูตอเมริกันประจำประเทศไทยที่มิใช่ ‘คำขอโทษ’ จากรัฐบาลอเมริกัน ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี จึงนำคณะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นครั้งแรก โดยมีโอกาสพบกับผู้นำของจีน ทั้งประธานเหมา เจ๋อตง นายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล และ รองนายกรัฐมนตรี เติ้ง เสี่ยวผิง รวมทั้งได้มีพิธีลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน



ในปี พ.ศ. 2518-2519 คนรุ่นใหม่สมัยนั้นเป็นคนไล่ฐานทัพอเมริกันออกไป แต่พอ พ.ศ. 2566 คนรุ่นใหม่สมัยนี้กลับมาสนับสนุนพรรคการเมือง ที่มีแนวโน้มจะให้ฐานทัพอเมริกันกลับมาในประเทศไทยอีก

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล 
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ
 

‘พงศ์พรหม’ โพสต์เตือน ก้าวไกล กับประเทศไทย ในเวทีโลก อย่าสร้างศัตรู ต้องวางตัวให้ดี เป็นกลาง อย่าอิงข้างแต่อเมริกา

นายพงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับแนวทางในการบริหารประเทศของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางในการดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศ มีใจความว่า

อย่างที่บอก ผมยอมรับกติกานะ แพ้เป็นแพ้

ให้พวกก้าวไกลบริหารประเทศไป อย่าไปขวาง

แต่เรื่องของเรื่องคือ ยังไม่ทันเป็นรัฐบาลเลย

ขู่ไปทั่ว ขู่ทหาร ขู่ สว. ที่อันตรายมากคือขู่จีน อย่างหยาบคาย

ตอนที่สถานะเป็นผู้สมัครนี่เรื่องนึงนะ จะด่าสีจิ้นผิงอย่างไรก็เป็นเสียงชาวบ้าน

แต่พอเป็นรัฐบาลปุ๊บ ด่าสีจิ้นผิง คือเท่ากับประเทศไทยด่าประเทศจีน

ยังไม่ทันไร สร้างศัตรูแล้ว โดยเฉพาะกับจีน

ลองหาข้อมูลนะ เจ้าพ่อเจ้าแม่อินเตอร์เน็ททั้งหลาย มันเป็นวิทยาศาสตร์มาก

จีนกับรัสเซียทำพันธะสัญญาบ้านพี่เมืองน้องไปแล้ว พวกเธอคงไม่รู้

รบกับจีน จึงเท่ากับรบกับรัสเซียด้วย

ไปดูเรือรบที่วิ่งในแปซิฟิคตอนนี้ เห็นกองเรือจีนและกองเรือรัสเซียไหม?

เทียบกับกองเรือตะวันตกที่เข้ามากวนประสาทแถวไต้หวันแล้วมันฟ้ากับเหว

ถ้าไม่เห็น ต้องถ่างตากว้างๆ นะ ไม่งั้นเสียชื่อคนรุ่นใหม่ที่คุยกว่าเก่งทางเทคโนโลยี

 

คราวนี้ซูมเอ้าท์ออกมาดูภาพกว้างขึ้น จะเปรียบเทียบให้ฟัง

 

ยูเครนปกครองโดยเซเลนสกี้ที่เป็นคนของยิวอิสราเอล (เอาตรงๆ)

เป้าหมายมันคือเปลี่ยนยูเครนตะวันตกให้เป็นอิสราเอลสอง

เพราะอิสราเอลหนึ่ง เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง (เปอร์เซียรวมตัวกันแล้ว)

แล้วมันก็จะทำให้แนวตะเข็บตะวันออกเป็นแนวป้องกันไว้ทิ่มแทงรัสเซีย

ดังนั้นจึงตะกายจะเข้านาโต้ เพราะล่อเป้าอย่างนี้

ถูกโจมตีเมื่อไหร่เท่ากับโจมตีนาโต้ทั้งหมด

อเมริกานั้นเจ้าเล่ห์ ไม่รบเองแต่จะผลักยุโรปทั้งทวีปให้ลุยแทน

แต่ไม่ทัน

รัสเซียทุบเลยทันที และยังไม่มีแนวโน้มจะเลิกทุบจนวันนี้

 

ถามว่า อเมริกาและยุโรปช่วยอะไรได้?

ไปถ่างตาดูหาข้อมูลจริงๆ ซะ อย่า 'เฮใน' แต่สื่อตะวันตก

ความเป็นจริงคือ จนบัดนี้ยังทำอะไรไม่ได้

ยูเครนพินาศย่อยยับไปทั่ว ทั้งที่เขายังยั้งมือไม่ลุยเต็มที่

ตะวันตกส่งอาวุธโบราณเหลือใช้ไปให้ ไม่โดนถล่มทิ้ง ทหารยูเครนก็เอาไปขาย

พวกแองโกลแซกซอนนั้นไม่กล้ารบ และใช้การบอยคอตทางเศรษฐกิจแทน

ตามด้วยแอนตี้พลังงานรัสเซีย

ผลออกมาคือ ยุโรปทั้งทวีปวุ่นวาย เกิดวิกฤติพลังงาน เศรษฐกิจปั่นป่วน

แต่รัสเซียไม่เดือดร้อนเลย เงินรูเบิ้ลสูงค่าที่สุดในประวัติศาสตร์

 

ผ่านไปไม่นาน อะราเบี้ยนโอเปคทั้งหมดไม่เว้นแม้ซาอุฯ หันไปจับมือรัสเซีย-จีน

โอเปคใหม่ ไม่มีอเมริกามาเอี่ยวอีกต่อไป

ไม่รับอเมริกันดอลล่าร์ และใช้เงินสกุลใดก็ได้ที่มีทองคำสำรองมาซื้อน้ำมัน

ผลคือ จบยุคของเปโตรดอลล่าร์

 

วันนี้ ทั้งอ่าวเปอร์เซียผนึกกันเป็นหนึ่ง สงครามตัวแทนทั้งหมดหยุด

แม้แต่ซาอุที่จับมือ UAE รังแกเยเมนมาตลอดหลายสิบปี หยุดรบกันแล้ว

ที่น่าตะลึงกว่านั้นคือ

อิหร่านที่โดนอเมริกาและตะวันตกแบนมาหลายสิบปี แข็งแกร่งกว่าเดิม

และอย่างที่รู้ เขามีอาวุธนิวเคลียร์

เลยกลายเป็นเหมือนตัวแทนผู้นำในเปอร์เซียไปโดยปริยาย

แม้แต่กษัตริย์ซาอุเองยังไปพูดคุยจับมือกับผู้นำอิหร่าน มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ตามด้วยบริจาคเงินให้เยเมนฟื้นฟูประเทศ (* เรื่องที่เธอไม่รู้ยังมีอีกเยอะ)

แม้แต่ซีเรียที่โดนอเมริกาทำลายวินาศไปแล้ว ยังฟื้นลุกขึ้นมาได้

นี่เป็นส่งที่เกิดขึ้นจริงเป็นที่รับรู้ไปทั่วโลก

ผมแปลกใจที่มีคนไทยมากมายหูหนวกตาบอดไม่รู้เรื่องพวกนี้ไปได้

คิดว่าคงดูแต่ CNN BBC ABC NBC CBS Fox Rueter..

สื่อพวกนี้อยู่ใต้ทุนตะวันตกเดียวกันทั้งหมด

หรือไม่ก็ดูแต่เว็บโป๊เว็บพนัน

 

สำนักข่าวทางเลือกที่จะหาอ่านได้ มันไม่ได้ซ่อนตัวเป็นเว็บลับนะ

ลองเลือกอ่านดูบ้าง ตัวอย่างเช่น

https://www.rt.com/

https://www.aljazeera.com/

https://www.scmp.com/

 

คงต้องไปหาข้อมูลจริงๆ มาศึกษาแล้ว ในฐานะเป็นรัฐบาล

จะมาอ่านข่าวเอาใจเชียร์ใน ไม่ได้อีกต่อไป

จะไปหวังอินเทลจากอเมริกาที่ป้อนข่าวปลอมให้ตลอดไม่ได้

คุณต้องมีอินเทลของคุณเอง.. ก็ไอ้ กอรมน ที่คุณจะยุบนั่นแหละ

ไอ้ที่คิดหวังว่าจะยืนข้างอเมริกา

ก็ดูเอาว่า การแทรกแซงฮ่องกงเป็นอย่างไร พม่าเป็นอย่างไร

และที่ฉิบหายวายป่วงที่สุดคือยูเครนเป็นอย่างไร

ในสัปดาห์ข้างหน้าคอยดูตุรกีและปากีสถาน

สมเด็จแยงกี้ไม่ขลังอีกต่อไปแล้ว

 

ผมคิดแล้วไม่เข้าใจว่าพวกเขาฉลาดจริงหรือ

จู่ๆ จะยอมให้เอาขีปนาวุธมาตั้งบนหลังคาแล้วคิดว่าบ้านจะนอนหลับสบาย

 

ที่นี้ลองจินตนาการดูว่า ถ้ามันเลยเถิดไปกว่าสงครามม็อบฟันน้ำนม

ต่อให้นองสีหรือนองเลือด ตีรันฟันแทงกันก็คงไม่น่าจะหายนะนัก

แต่ถ้ามันจะขยับไปขนาดสมดุลย์อำนาจจะพังทลาย

และบ้านเมืองจะเข้าสู่สงครามความขัดแย้งระดับโลก

ผมไม่เชื่อว่า พวกทหารระดับบัญชาการจะปล่อยให้เกิด

นักการเมืองพวกนี้ได้ขู่คำรามอย่างไม่ไตร่ตรองออกมา

ว่าจะกวาดล้างอำนาจทหารของพวกเขาให้สิ้น

ผมไม่ต้องแทงหวยเลยก็รู้ว่า ถ้าบีบขนาดนั้นจะมีรัฐประหารแน่นอน

แต่คราวนี้ จะไม่ได้แค่ออกมาจัดแถวเหมือนครั้งก่อนๆ อีกแล้ว

แต่จะเป็นเผด็จการจริงๆ เจ็บจริง ตายจริง

และอาจไม่ลังเลที่จะใช้กำลังพลเข้าปราบปรามรุนแรง

เชื่อได้ว่าการล้างบางครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น เพราะได้รับบทเรียนต้อนติดมุมแล้ว

ดีไม่ดีก็ฟันมันให้หมดทั้งการเมืองสองฝ่ายที่สร้างปัญหามาหลายสิบปี

แบบไม่สนน้ำหน้ายูเอ็นหรือยุโรปอเมริกันตะวันตกอีกต่อไป….

 

ถามว่า แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ไหม?

ไม่ได้เพ้อ.. ผมว่าเป็นไปได้? มันมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า

ไม่สนตะวันตก อเมริกา ยูเอ็น ก็ไม่ทำให้ตกที่นั่งลำบากหรือโดนรุมอีกแล้ว

ต้องเข้าใจด้วยว่าสายบังคับบัญชาและอำนาจกองทัพเหมือนกันทั้งโลก

แม้แต่อเมริกาที่แสนสวยของคุณ รัฐบาลก็ไม่ได้มีอำนาจคุมกองทัพจริงๆ

มันเป็นไปโดยหน้าฉาก

เมื่อไหร่ที่มันเกิดงัดกัน ประธานาธิบดีก็โดนเก็บได้ … JFK เป็นต้น

คุณอาจแฟนตาซีถึงเทียนอันเหมิน พร่ำเพ้อจิตวิญญาณหาญกล้า

วีรชนผู้งดงามยืนหยัดเพื่อความดี ได้ปรากฏบนทวิตเตอร์ไปทั่วอย่างทรนง

เหมือนกับที่หลอนหลอกด้วย 14 ตุลา 6 ตุลา วนเวียนอยู่ไม่จบ

แต่ความเป็นจริงคือ เทียนอันเหมินผ่านไปแล้วและจีนยังคงเป็นคอมมิวนิสท์

หนำซ้ำยังแข็งแกร่งเกินต้าน เจริญแซงหน้าอเมริกาไปแล้ว

ใครจะหลับหูหลับตาไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ก็เชิญตามสบาย

แต่ถ้าอยากจะพิสูจน์ ลองเสิร์ชดูภาพสถานีอวกาศนานาชาติเทียบกับสถานีอวกาศจีน ตะวันตกตั้งกี่ชาติรวมกันเพื่อสถานีอวกาศโบราณอันหนึ่ง แถมต้องอาศัยจรวดรัสเซียขึ้นไป มาตลอดหลายปี แต่จีนชาติเดียวบินเดี่ยวไปมีสถานีอวกาศของตัวเอง แถมตอนนี้กำลังสำรวจ dark side of the moon

หรือจะดูสินค้าจีนอย่างเช่นจักรยานไฟฟ้าใน Alibaba เทียบกับ Amazon ก็ยังเห็นภาพรวม

 

ถามว่า ก็ถ้าเกิดกองทัพทหารไทยออกมาบ้าเลือดอย่างนั้นบ้าง

พวกเธอจะออกมายืนขวางรถถังแบบเทียนอันเหมินแล้วคิดว่าจะหยุดได้ไหม

ผมก็ไม่ชอบหรอกนะ แต่พอถึงระดับนั้นแล้ว พวกคุณ พวกผม พวกไหนก็หยุดไม่ได้

(คนที่หยุดได้อยู่บนสวรรค์)

คุณจะด่าว่าชั่วร้ายหยาบคายสาดสีอย่างไร

ก็ไม่อาจเปลี่ยนเชนออฟคอมมานด์มาอยู่ในมือคุณด้วยน้ำลาย

ต่อให้คุณไปตามนายกในอดีตมาอีกสิบคนขี่คอกันออกมาต้าน

ก็หยุดไม่ได้หรอก

ก็ดูสิว่า ระดับรัฐบาลอเมริกันและยุโรปพ่นกันน้ำลายฟ่อด

ก็ไม่เห็นจะหยุดกองทัพปูตินได้สักนิด ฉันใดฉันนั้น

 

ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าด้วยภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบัน

การเลือกมหาอำนาจหลายขั้วคือทางเลือกใหม่โดยแท้

ถ้าคุณเป็นคนรุ่นใหม่จริง จะเปลี่ยนโลกสู่ยุคใหม่จริง

คุณควรเลือก มหาอำนาจหลายขั้วสิ ไม่ใช่ขั้วเดียวแบบเจ็ดสิบปีที่ผ่านไป

 

ถามว่า หากกองทัพไทยที่อาจออกมาปฏิวัติรอบนี้ จะทำตัวเหมือนอิหร่าน

และแตะเป็นแนวร่วมกับจีนรัสเซียแทน ผมถามว่า อเมริกาจะทำอะไรได้?

 

แน่นอนว่า ไม่มีใครอยากเห็นบ้านเมืองไปถึงจุดนั้น

เพราะฉนั้นอย่าสุดโต่ง เมาน้ำลาย หลงไหลยอดไล๊ค์

จะก้าวหน้าไปสู่ยุคใหม่แล้วทำไมไม่ฉลาดหน่อยที่จะรู้จักสร้างมิตร

มันไม่แปลก ที่จะสู้กับพลเอกประยุทธ์หรือพลเอกประวิตรหรอกนะ

แต่มันโง่บัดซบ ที่จะพัฒนาประเทศไปพร้อมกับการสู้กับกองทัพประชาชนจีน

ในรัศมีที่จรวดไฮเปอร์โซนิควิ่งมาถึงบ้านเราในเวลาไม่ถึงสามสิบวินาที

อเมริกายังไม่กล้าเลย

เพราะมันใช้เวลาวิ่งไปดีซีแค่เจ็ดนาที

แต่ถ้าวิ่งมาลงแถวนี้ พวกมันไม่เดือดร้อนอะไรเลยไง

ก็ลองไตร่ตรองกันดูเถิด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top