Sunday, 5 May 2024
อเมริกา

‘ฮามาส’ เผย ยอดดับฉนวนกาซาทะลุหมื่น บาดเจ็บอีกนับ 2.5 หมื่นราย หลังเกิดสงครามครบ 1 เดือน ด้าน ‘ไบเดน’ ตั้งข้อสงสัยตัวเลขถูกหรือไม่

(7 พ.ย. 66) กระทรวงสาธารณสุขของฮามาสในฉนวนกาซา ออกมาระบุตัวเลขความสูญเสีย หลังสงครามอิสราเอล-ฮามาสเกิดขึ้นครบ 1 เดือน ว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาล่าสุดอยู่ที่ 10,022 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเด็กปาเลสไตน์ 4,104 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 25,408 คน

ขณะที่ตัวเลขความสูญเสียในฝั่งอิสราเอล มีผู้เสียชีวิต 1,400 ราย โดยเป็นเด็ก 31 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5,400 คน และมีผู้ถูกจับไปเป็นตัวประกันอีกมากกว่า 200 คน

ด้านนักการเมืองบางคนรวมถึง ‘ประธานาธิบดีโจ ไบเดน’ ของสหรัฐฯ ตั้งคำถามถึงความถูกต้องของตัวเลขผู้เสียชีวิตในส่วนของฮามาส เช่นเดียวกับ ‘กองกำลังป้องกันอิสราเอล’ (IDF) ที่ระบุว่า ข้อมูลใดๆ ที่องค์กรก่อการร้ายแจ้ง ควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง

บีบีซีได้เผยขั้นตอนที่นำมาสู่การประกาศตัวเลขผู้เสียชีวิตโดยกระทรวงสาธารณสุขฮามาส ซึ่งระบุว่า เมื่อมีผู้เสียชีวิตอันเป็นผลจากการโจมตีของอิสราเอล โรงพยาบาลจะบันทึกรายละเอียดต่างๆ อาทิ ชื่อ นามสกุล อายุ เพศ และหมายเลขประจำตัวประชาชนลงในคอมพิวเตอร์ จากนั้นจะมีการถ่ายโอนข้อมูลจากโรงพยาบาลแต่ละแห่งไปยังระบบคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง เมื่อกระทรวงทำการประมวลผลแล้วจะมีการส่งข้อมูลไปยังสำนักงานสถิติกลางปาเลสไตน์ (PCBS)

อย่างไรก็ดี PCBS บอกกับบีบีซีว่า ตัวเลขดังกล่าวจะครอบคลุมเฉพาะผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ไม่ครอบคลุมถึงผู้เสียชีวิตใต้ซากอาคารหรือผู้ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ปกติแล้วจะมีการบันทึกสาเหตุการเสียชีวิตแบบเฉพาะเจาะจงไว้ด้วย แต่ขณะนี้ไม่สามารถทำได้เนื่องจากจำนวนตัวเลขการเสียชีวิตที่สูงมาก

ด้าน ‘ริชาร์ด เบรนเนน’ โฆษกองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า เขาเชื่อว่าตัวเลขความสูญเสียในฉนวนกาซานั้นเชื่อถือได้ เพราะมั่นใจว่าระบบการจัดการข้อมูลที่กระทรวงสาธารณสุขในกาซาได้ดำเนินการตลอดหลายปีที่ผ่านมา สามารถที่จะรับมือกับการวิเคราะห์ข้อมูลได้ และฐานข้อมูลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาถือว่ามีความแข็งแกร่ง

บริษัทในสหรัฐฯ เรียกคืน ‘น้ำผลไม้’ เหตุปนเปื้อนสารตะกั่วสูง พบประชาชนป่วยแล้ว 7 รายใน 5 รัฐ หลังจากดื่มน้ำผลไม้

(7 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว, นิวยอร์ก รายงานว่า หลายบริษัทในสหรัฐอเมริกา ประกาศเรียกคืนสินค้าผลไม้ เนื่องด้วยมีความเสี่ยงปนเปื้อนสารตะกั่วสูง ขณะเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางขยายการสืบสวนสอบสวนความเสี่ยงปนเปื้อนสารตะกั่ว หลังจากมีรายงานการเจ็บป่วยและการเรียกคืนสินค้าเพิ่มขึ้น

สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ ระบุว่า มีรายงานผู้ป่วย 7 รายในอย่างน้อย 5 รัฐของประเทศ ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการรับประทานน้ำผลไม้เข้มข้นที่ปนเปื้อนสารตะกั่ว

รายงานระบุว่า ‘สชนุคก์ มาร์เก็ต’ (Schnucks Markets) ในเมืองเซนต์หลุยส์ และ ‘ไวส์ มาร์เก็ต’ (Weis Markets) ในเมืองซันบิวรีของรัฐเพนซิลเวเนีย ประกาศเรียกคืนสินค้าน้ำแอปเปิลผสมอบเชยเข้มข้น เพราะอาจปนเปื้อนสารตะกั่วระดับสูง ส่วนก่อนหน้านี้ ‘วานาบานา’ (WanaBana) ในเมืองคอรัลเกเบิลส์ของรัฐฟลอริดา เรียกคืนน้ำแอปเปิลผสมอบเชยเข้มข้นทั้งหมด

เจ้าหน้าที่สำนักงานฯ เผยว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนสารตะกั่วอาจส่งผลให้เกิด ‘ความเป็นพิษเฉียบพลัน’ (Acute toxicity) โดยเด็กและผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ดังกล่าวควรเข้ารับการทดสอบหาสารพิษจากสารตะกั่วที่อาจเกิดขึ้นได้

‘3 แพนด้ายักษ์’ ในสวนสัตว์สหรัฐฯ กลับจีน หลังสิ้นสุดสัญญา 23 ปี ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางการทูตที่ตึงเครียดของทั้งสองในขณะนี้

‘สวนสัตว์แห่งชาติสมิธโซเนียน’ (Smithsonian National Zoo) สหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตันดีซี ส่งแพนด้ายักษ์ 3 ‘พ่อ-แม่-ลูก’ เดินทางกลับจีนแล้ว หลังสัญญา 23 ปีสิ้นสุด ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางการทูตที่ตึงเครียดของจีนกับสหรัฐฯ

(10 พ.ย. 66) เอบีซีนิวส์ของสหรัฐฯ รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 66 ‘แพนด้าเหมย เซียง’ (Mei Xiang) ‘แพนด้าเทียน เทียน’ (Tian Tian) และ ‘แพนด้าเซียว ฉี จี’ (Xiao Qi Ji) แพนด้า 3 พ่อ-แม่-ลูก ถูกส่งตัวกลับจีนแล้ว โดยทั้ง 3 ตัว ถูกนำใส่ลังที่ทำจากเหล็ก ซึ่งภายในใส่ใบไผ่ แอปเปิล และลูกแพร์จำนวนมาก เพื่อเป็นเสบียงอาหารระหว่างเดินทางไกล 19 ชม. ไปยังเมืองเฉิงตูของจีน

โดยแพนด้ายักษ์ทั้ง 3 ตัว ได้เดินทางด้วยเครื่องบินขนส่งสินค้าโบอิ้ง 777 เอฟ ที่มีชื่อว่า ‘เฟดเอ็กซ์ แพนด้า เอ็กซ์เพรส’ (FedEx Panda Express) ออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติแดลลัส ของสหรัฐอเมริกา พร้อมผู้ดูแลอีก 3 คน เพื่อเดินทางไปยังเขตป่าสงวนในมณฑลเสฉวนของจีน ซึ่งปัจจุบันยังคงมีแพนด้ายักษ์ อาศัยอยู่ในป่าตามธรรมชาติของจีนประมาณ 1,800 ตัว

ทั้งนี้ ‘เหมย เซียง’ วัย 25 ปี และ ‘เทียน เทียน’ วัย 26 ปี ถูกนำมาที่สวนสัตว์แห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อปี 2543 และให้กำเนิดลูกแพนด้ายักษ์ 3 ตัว ระหว่างช่วงปี 2548-2558 โดยล่าสุด คือ เซียว ฉี จี ที่เกิดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทำให้ เหมย เซียงกลายเป็นแพนด้ายักษ์ที่อายุมากที่สุดที่ให้กำเนิดลูกได้ในสหรัฐฯ

เอบีซี เผยอีกว่า แพนด้ายักษ์ทั้ง 3 ตัวนี้ มีแฟนคลับมากมาย ซึ่งมียอดเข้าชมเว็บไซต์ของสวนสัตว์มากกว่า 100 ล้านครั้ง และบรรยากาศแห่งการจากลาเป็นไปด้วยความเศร้า เพราะเจ้าแพนด้า 3 ตัวที่เป็นดาราประจำสวนสัตว์มาโดยตลอด ไม่สามารถโผล่ออกมากล่าวคำอำลากับเด็กๆ พ่อแม่และแฟนๆ ที่ต้องการกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย

สำหรับการส่งแพนด้ากลับจีนครั้งนี้ มีขึ้นหลังสัญญาโครงการให้ยืมแพนด้ายักษ์ ที่ทางการจีนทำไว้กับสวนสัตว์ดังกล่าวหมดอายุลง และการเดินทางกลับของแพนด้าเกิดขึ้นไม่นานก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ‘โจ ไบเดน’ จะพบกับประธานาธิบดีจีน ‘สี จิ้นผิง’ ที่เมืองซานฟรานซิสโก ระหว่างการประชุม APEC ท่ามกลางความตึงเครียดของทั้ง 2 ชาติ

และจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศที่ตึงเครียดขึ้น จึงยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการเจรจาเพิ่มเติม โดยผู้อำนวยการสวนสัตว์ แบรนดี สมิท (Brandie Smith) ไม่ยอมตอบตรงคำถามว่ามีความพยายามใดๆ จากสวนสัตว์แห่งชาติสมิธโซเนียนในการต่อสัญญายืมตัวแพนด้าดังกล่าว

นั่นเท่ากับว่า ตอนนี้จะมีแพนด้าจากจีนหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินสหรัฐฯ อีกแค่ 2 ตัว เป็นแพนด้าแฝด ชื่อ ‘หยา หลุน’ กับ ‘ซี หลุน’ อยู่ที่สวนสัตว์เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย แต่ก็มีกำหนดจะต้องส่งคืนจีนช่วงต้นปีหน้าเช่นกัน 

ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ที่สหรัฐฯ จะไม่มีทูตสันถวไมตรีอย่างแพนด้าอีกต่อไป และนั่นก็หมายความว่า จะเหลือแพนด้าอีกเพียงตัวเดียวในทวีปอเมริกาเหนือ คือ ที่สวนสัตว์ในกรุงเม็กซิโก ซิตี เท่านั้นด้วย

‘ทีมแพทย์มะกัน’ เจ๋ง!! ผ่าตัดปลูกถ่ายตาทั้งดวงครั้งแรกของโลก ด้านผู้ป่วยฟื้นตัวดี รอลุ้นผลลัพธ์ ปลุกความหวังทางการแพทย์

(10 พ.ย. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีและเอพีรายงานว่า ทีมแพทย์จากโรงพยาบาล ‘NYU Langone Health’ ในรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายดวงตามนุษย์ทั้งดวงเป็นครั้งแรกของโลก ให้กับ ‘นายอารอน เจมส์’ คนไข้วัย 46 ปี โดยการผ่าตัดดังกล่าวถูกยกให้เป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ ถึงแม้ว่ายังไม่มีใครตอบได้ว่าเจมส์จะกลับมามองเห็นด้วยตาดวงใหม่ของเขาหรือไม่

เจมส์ ทำงานเป็นช่างสายส่งไฟฟ้าในรัฐอาร์คันซอและถูกกระแสไฟฟ้า 7,200 โวลต์ดูดเมื่อเดือนมิถุนายน 2021 อาการบาดเจ็บที่รุนแรงทำให้เจมส์ต้องสูญเสียดวงตาซ้าย แขนซ้ายตั้งแต่ช่วงศอกลงไป จมูก ริมฝีปาก ฟันหน้า แก้มซ้าย และคาง เขาต้องรอรับการบริจาคดวงตาอยู่นาน 3 เดือนก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายใบหน้าและดวงตาที่โรงพยาบาล NYU Langone Health เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา

ในปัจจุบันการปลูกถ่ายกระจกตาเป็นวิธีการรักษาทั่วไป ให้กับคนไข้ที่สูญเสียการมองเห็นบางประเภท แต่การปลูกถ่ายตาทั้งดวงซึ่งประกอบไปด้วยลูกตา หลอดเลือดของดวงตา และเส้นประสาทตาที่ต้องเชื่อมต่อกับสมองของคนไข้ ยังคงถือเป็นเรื่องที่ยากมากในทางการแพทย์ ถึงแม้นักวิจัยจะเคยประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายดวงตาทั้งดวงให้กับสัตว์มาบ้างในอดีต จนทำให้การมองเห็นของสัตว์กลับมาบ้างบางส่วน แต่ยังไม่เคยมีการปลูกถ่ายดวงตาทั้งดวงในมนุษย์มาก่อน

คณะแพทย์ของโรงพยาบาลให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ว่าจนถึงตอนนี้เจมส์กำลังฟื้นตัวดีจากการผ่าตัดและตาดวงใหม่ของเขาที่ได้จากการบริจาคก็ดูปกติดีเช่นกัน และสามารถส่งสัญญาณไฟฟ้าออกมา ถึงแม้เจมส์จะยังไม่สามารถมองเห็นด้วยตาดวงใหม่ของเขาก็ตาม “มันรู้สึกดีนะ ผมยังไม่สามารถขยับตาของผมได้ ผมยังกะพริบตาไม่ได้ แต่ผมเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างที่ตาแล้ว” เจมส์กล่าว

นายเอดูอาร์โด โรดริเกซ หัวหน้าทีมแพทย์ที่ทำการผ่าตัด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำการปลูกถ่ายใบหน้าให้กับคนไข้มาแล้ว 4 ครั้ง กล่าวให้ความรู้สึกว่าการผ่าตัดปลูกถ่ายตาทั้งดวงเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีการทำมาก่อน ทีมแพทย์สามารถลดระยะเวลาในการผ่าตัดจาก 36 ชั่วโมง เมื่อครั้งแรกที่เขาเริ่มทำการผ่าตัดปลูกถ่ายใบหน้าในปี 2012 จนเหลือเพียง 21 ชั่วโมงในการผ่าตัดครั้งนี้

“เราไม่ได้บอกว่าเราจะฟื้นฟูการมองเห็น แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราเข้าใกล้เข้าไปอีกขั้นแล้ว” โรดริเกซ กล่าว พร้อมกับบอกอีกว่าการผ่าตัดปลูกถ่ายใบหน้าไม่ใช่การทดลองอีกต่อไป และควรถูกมองว่าเป็นขั้นตอนการรักษาทั่วไป สำหรับอาการบาดเจ็บรุนแรงบริเวณใบหน้า

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! โลกการเงินกำลังจะถูกรื้อแบบ ‘Global Reset’ ภายใต้เงื่อนไขตะวันตกมีแต่หนี้ ส่วนที่รุ่งเรืองมีแค่ตะวันออก

ไม่นานมานี้ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ระบุว่า...

โลกการเงินกำลังจะถูกรื้อแบบถอนรากถอนโคน กับ ‘Global Reset’ ครั้งที่ 2

สองเรื่องใหญ่ขณะนี้ในระบบการเงินของสหรัฐฯ

1.) เรื่องของปริมาณ Money Supply ที่หมุนเวียนในตลาดสหรัฐฯ ลดลงมากมาประมาณ 18 เดือนติดต่อกันแล้ว

2.) พันธบัตร 10y ที่ดันดอกเบี้ยขึ้นไปถึง 5%... การดันจาก 0.6% ขึ้นไปถึง 5% นี่ แสดงว่าจะต้องมีการเทขายพันธบัตรกันมากขนาดไหน

ระบบการเงินทั้งระบบขึ้นอยู่กับการใช้เครดิต เมื่อมีการสะดุดของเครดิตจุดใดจุดหนึ่ง… ระบบทั้งหมดจะเกมโอเวอร์

เมื่อตลาดหนึ่งพังลง อีกตลาดก็ต้องพังลงเป็นโดมิโน และภายในสามวันก็จะไม่มีตลาดเหลืออีก… การแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีการสต็อกไว้ก็จะสะดุด ถึงแม้ตอนนั้นคิดขึ้นได้ว่าจะต้องซื้อทองคำ ก็จะไม่มีตลาดทองคำเหลืออีกต่อไป

สามวันหรือ 72 ชั่วโมงนี่แหละ เป็นเวลาที่ร่างกายมนุษย์จะทนขาดอาหารอยู่ได้ในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ

น้อยคนที่จะเก็บอาหารไว้นานกว่าสามวัน ทุกคนฝากชีวิตอยู่กับซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งก็ต้องหมุนเวียนสินค้าด้วยเครดิต ซึ่งเก็บสต็อกสินค้าแบบ 3-days inventory เหมือนกันทั้งหมด

แม้แต่ธุรกิจใหญ่ ๆ ก็ไม่สามารถ Rollover ตั๋วเงินของตนต่อไปได้… นี่คือการระเบิดของฟองสบู่หนี้ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ที่เกิดจากดอกเบี้ยสูง

Timing ของเรื่องสถานการณ์ในตะวันออกกลางตอนนี้กับเรื่องการยกระดับของสงคราม มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องที่ระบบการเงินกำลังจะล่ม และต้องการให้มีอะไรสักอย่างมาเป็นสาเหตุของการล่มครั้งนี้ของระบบ

การใช้จ่ายภาครัฐของสหรัฐฯ ตอนนี้คุมไม่อยู่แล้ว แค่สามเดือน Fed ต้องสร้างเงินถึง $1 trillion… นั่นเป็นจำนวนหนี้ที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นมาในช่วง 200 ปีแรกหลังจากก่อตั้งประเทศ 

หนี้ที่เพิ่มขึ้น $1 trillion เทียบได้เท่ากับ 4% ของ GDP จำนวน $25 trillion ของสหรัฐฯ… เท่ากับว่าเป็นหนี้ 4% เพียงเพื่อจะเติบโต 2% เท่านั้น!!

เพราะสหรัฐฯ จะหยุดการสร้างหนี้ไม่ได้ 

ประเทศต้องเติบโต ถึงแม้จะสร้างหนี้ $4-$5 เพื่อการเติบโตแค่ $1 ก็เถอะ

การสร้างเงินเพิ่มมากขึ้นจะเป็นการทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เสื่อมค่า 

นี่เรากำลังพูดถึงค่าที่เสื่อมไป 50% หรือ100% โดยอาจจะเห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยที่มาในปริมาณเดียวกัน…

ถ้าเราต้องพบกับดอกเบี้ย 20% หรือ 40% ยังจะมีธุรกิจอะไรเหลืออยู่อีกหรือในสหรัฐฯ?

‘Global Reset’ เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครเตือนเลย 

จะต้องมีการรีเซ็ต แต่ไม่ใช่ครั้งเดียวหรอก 

รีเซ็ตครั้งแรกเป็น Man-Made โดยผู้มีอำนาจในสหรัฐฯ เป็นคนริเริ่มเองแต่ไม่สำเร็จ

รีเซ็ตครั้งที่สองเป็นเรื่องระหว่างสองซีกโลกซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ 

มันเป็นการงัดกันระหว่างฝ่ายตะวันตกที่มีแต่หนี้… มีแต่ความเสื่อมโทรมของโครงสร้างพื้นฐาน ไม่มีทรัพย์สิน กับฝ่ายตะวันออกที่มีความรุ่งเรืองของโครงสร้างพื้นฐาน เห็นได้ชัดทั้งในเมือง… นอกเมือง… และสนามบิน 

ไม่ต้องบอกเลยว่าใครจะเป็นผู้รีเซ็ตในครั้งที่สองนี้ได้สำเร็จ

จับตา!! ‘โจ ไบเดน’ พบ ‘สี จิ้นผิง’ สะท้อนสงคราม ‘ชิป’ ผ่อนคลาย ส่อดันหุ้นกลุ่มเทคฯ-EV พุ่ง ลุ้น!! ท่าทีตอบสนองตลาดทุนจีน

เปิด 3 ประเด็นที่ต้องจับตาในการเจอกันของ ‘โจ ไบเดน - สี จิ้นผิง’ คือ ท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้นเรื่องสงครามชิป อาจดันตลาดหุ้นกลุ่มเทคฯ พุ่ง ขณะที่การหารือเพื่อบรรลุข้อตกลงเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน อาจผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนหากมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนภาคเอกชน-ฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางธุรกิจ อาจทำให้ตลาดเงิน-ตลาดทุนจีนตอบสนองเชิงบวก

(14 พ.ย. 66) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า นักลงทุนหวังว่าการพบกันตามแผนระหว่างประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ (Joe Biden) และ ‘สี จิ้นผิง’ (Xi Jinping) ของจีนจะเป็นสัญญาณการกระชับความสัมพันธ์ และเพิ่มความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์ของเอเชียที่ปรับตัวลงอย่างร้อนแรง

โดยบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ประเมินว่า การประชุมในวันพุธที่ซานฟรานซิสโกจะเป็นช่วงเวลาสําคัญในการเยือนสหรัฐครั้งแรกของประธานาธิปสีนับตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาได้พบกับประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ (Donald Trump) และยังเป็นการสนทนาครั้งแรกของทั้งสองในรอบหนึ่งปี ซึ่งส่วนใหญ่ก็อาจจะยังคงเป็นประเด็นเรื่องภาษีที่ทรัมป์เรียกเก็บจากสินค้าจีนหลายชนิดและการปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง

ทั้งนี้ การผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างสองมหาอํานาจอาจเป็นจุดเปลี่ยนเพื่อล่อนักลงทุนให้กลับมาที่จีน โดยนักลงทุนตราสารทุนและนักลงทุนอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินกําลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดเนื่องจากหุ้นของประเทศกําลังฟื้นตัวจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์และการอพยพออกของกองทุนทั่วโลก ท่ามกลางเงินหยวนที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์

“สัญญาณเรื่องความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ดีมากขึ้น หรือแม้แต่การพยายามกระชับความสัมพันธ์เล็กน้อย อาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุนชั่วคราว” เสี่ยว เจียจือ (Xiaojia Zhi) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Credit Agricole CIB กล่าว

ขณะที่แหล่งข่าววงในของบลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ทั้งสองประเทศพยายามเพื่อบรรเทาความตึงเครียด ซึ่งไบเดนและสีเตรียมประกาศข้อตกลงที่จะเห็นรัฐบาลจีนปราบปรามการผลิตและส่งออกเฟนทานิล (Fentanyl) ซึ่งใช้ในการผลิตสารสังเคราะห์ซึ่งมีอันตรายถึงตาย

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนอาจเปิดเผยคํามั่นสัญญาเพื่อซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 737 (Boeing’s 737) ระหว่างการประชุมสุดยอดเอเปค (APEC) ตามรายงานของบลูมเบิร์ก และจีนซึ่งเป็นผู้นําเข้าถั่วเหลืองอันดับต้น ๆ เพิ่งจะซื้อสินค้าจากสหรัฐมากกว่า 3 ล้านตันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยท่าทีปรารถนาดีก่อนการเจรจาในวันพุธ

ดังนั้น ในการเจอกันที่จะถึงนี้มีประเด็นทางเศรษฐกิจที่ต้องจับตา ดังนี้

1.) เทคโนโลยี
จีนซึ่งเป็นตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกําลังต่อสู้กับการคว่ำบาตรของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเทคโนโลยี ดังนั้นสัญญาณของการกระชับความสัมพันธ์และระงับข้อพิพาทอาจช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนสําหรับบริษัทต่างๆ ตั้งแต่ Apple Inc. Chip Bellwethers Taiwan Semiconductor Manufacturing Co., Samsung Electronics Co. และ Nvidia Corp.

2.) พลังงานสะอาด
การเน้นเป้าหมาย ‘สีเขียว’ อาจจุดประกายทำให้หุ้นที่เชื่อมโยงกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขยับตัวสูงขึ้น เช่น ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนํา Contemporary Amperex Technology Co. และผู้ผลิตอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ LONGi Green Energy Technology Co.

3.) ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา
นักลงทุนส่วนหนึ่งอยู่ในช่วงพิจารณาว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะมีโมเมนตัมแบบใดนอกเหนือจากการประชุมสุดยอดผู้นำจี 20 ไม่ว่าจะมีขั้นตอนในการผ่อนคลายกฎระเบียบส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนและฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางธุรกิจ เพราะหากมีการผ่อนคลายกฎระเบียบเหล่านั้นอาจทำให้เงินหยวนหยุดการอ่อนค่าลงได้และตลาดหุ้นก็จะมีแง่มุมเชิงบวกด้วย

‘เกาหลีเหนือ’ โว!! ‘ดาวเทียมสอดแนม’ ส่องได้ทุกซอกทุกมุม เย้ย ‘มะกัน’ เก็บภาพได้ยันหลังคา ‘ทำเนียบขาว-ตึกเพนตากอน’

(28 พ.ย. 66) ‘KCNA’ สำนักข่าวกลางเกาหลี รายงานว่า ดาวเทียมสอดแนม ‘Malligyong-1’ ที่เพิ่งส่งขึ้นฟ้าไปตัวล่าสุด สามารถถ่ายภาพอาคารทำเนียบขาว, อาคารเพนตากอน และฐานทัพอากาศ ที่เก็บเครื่องบินขนส่งนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ และภาพถ่ายเหล่านั้น ก็อยู่ในมือ ‘คิม จอง-อึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือเรียบร้อยแล้ว

ปฏิบัติการพัฒนาดาวเทียมสอดแนม เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของหน่วยงาน Pyongyang General Control Center of the National Aerospace Technology Administration ที่ใช้ตัวอักษรย่อว่า ‘NATA’

ที่ล่าสุดสามารถส่งดาวเทียม ‘Malligong-1’ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากที่ล้มเหลวมาแล้วถึง 2 ครั้งในปีนี้

โดยเกาหลีเหนืออ้างว่า ดาวเทียมสอดแนมดวงล่าสุด สามารถถ่ายภาพสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ได้หลายแห่ง อาทิ อาคารทำเนียบขาว, อาคารเพนตากอน, ฐานทัพเรือนอร์ฟอล์ก และฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ในรัฐเวอร์จิเนีย

อีกทั้งยังสามารถเก็บรายละเอียดได้ถึงขนาดที่สามารถระบุได้ว่า เป็นเครื่องบินขนส่งนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ 4 ลำ และเครื่องบินขนส่งของอังกฤษอีก 1 ลำ ในภาพที่ถ่ายจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ โดยดาวเทียมสอดแนม

สื่อเกาหลีเหนือรายงานด้วยว่า ผู้นำ คิม จอง-อึน พอใจในผลงานของทีมนักพัฒนาดาวเทียมสอดแนมครั้งนี้เป็นอย่างมาก และได้จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับนักวิทยาศาสตร์ของ ‘NATA’ เมื่อช่วงค่ำวันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศชื่นมื่น พร้อมนำภาพถ่ายจากดาวเทียมสอดแนมเหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ มาแบ่งกันดู

ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมาประณามโครงการดาวเทียมสอดแนมของทางเปียงยางในทันที โดยกล่าวหาว่า เป็นแค่เพียงความพยายามในการ ‘สร้างโฆษณาชวนเชื่อ’ ของระบอบคิม จอง-อึน ที่จะยิ่งทำให้การเผชิญหน้าในบริเวณชายแดน 2 ฝั่งของเกาหลี มีแต่จะตึงเครียดยิ่งขึ้น

อีกทั้งไม่เชื่อในศักยภาพของดาวเทียมเกาหลีเหนือ ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการสอดแนมได้ เพราะเป็นเพียงคำเคลมจากรัฐบาลเปียงยางเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่มีการปล่อยภาพจริงออกมาเป็นหลักฐาน

สอดคล้องกับผู้เชี่ยวชาญในกองทัพเกาหลีใต้ ที่แสดงความเห็นว่า ดาวเทียม ‘Malligyong-1’ อาจประสบความสำเร็จในการเข้าสู่วงโคจรของโลกได้ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่ามันจะมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะถ่ายภาพ และส่งข้อมูลกลับมายังโลก และเชื่อว่าน่าจะใช้เทคโนโลยีทางดาวเทียมของ ‘รัสเซีย’ ช่วยมากกว่า

อีกทั้งมาตรการคว่ำบาตรของ ‘องค์การสหประชาชาติ’ ต่อเกาหลีเหนือ ยังครอบคลุมไปถึงการพัฒนาดาวเทียมด้วย เพราะเป็นเทคโนโลยีสำคัญส่วนหนึ่งในโครงการขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

‘ลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์’ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ ประท้วงการครอบครองดาวเทียมสอดแนมกลางที่ประชุมสภาความมั่นคงว่า “เกาหลีเหนือมีแรงจูงใจที่ชัดเจน ในการพยายามพัฒนาศักยภาพเทคโนโลยีขีปนาวุธนิวเคลียร์ของตนผ่านโครงการดาวเทียม ที่ขัดกับข้อตกลงของสหประชาชาติอย่างร้ายแรง เป็นการแสดงพฤติกรรมอย่างไร้สำนึกที่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคง ที่เป็นการข่มขู่คุกคามประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศสมาชิกอื่น ๆ”

ด้าน ‘คิม ซุง’ เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำองค์การสหประชาชาติ ที่น้อยครั้งมากจะปรากฏตัวในที่ประชุมสมัชชาความมั่นคง ก็ได้ออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนเช่นกันว่า “ไม่มีชาติใดในโลกที่กำลังเผชิญวิกฤติด้านความมั่นคงเท่าเกาหลีเหนือ ซึ่งชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาต่างหาก ที่กำลังข่มขู่คุกคามเกาหลีเหนือด้วยอาวุธนิวเคลียร์”

ดังนั้น รัฐบาลเปียงยางก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะพัฒนา ผลิต หรือ ครอบครองอาวุธที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกา ที่ถือว่าเป็นประเทศคู่สงคราม

และดาวเทียมสอดแนมคือหนึ่งในเทคโนโลยีนั้น เมื่อสหรัฐอเมริกามีได้ ทำไมเกาหลีเหนือจะมีบ้างไม่ได้ แถมรัฐบาลทำเนียบขาวก็เคยใช้ดาวเทียมส่องหลังคาบ้านเกาหลีเหนือมาหลายครั้งแล้ว เกาหลีเหนือก็เลยขอส่องกลับบ้าง ก็ไม่ถือว่าเป็นการโกงแต่อย่างใด

เพียงแต่ ‘Malligong-1’ ของเกาหลีเหนือจะส่องได้จริงดังที่เคลมหรือเปล่า ยังเป็นปริศนา จนกว่า ผู้นำ คิม จอง-อึน จะอนุมัติให้ปล่อยภาพหลักฐานออกสื่อ เพื่อให้ทุกชาติหายสงสัย

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘นร.วัย 14 ปี’ ในสหรัฐฯ สุดเจ๋ง!! คิดค้นสบู่รักษามะเร็งผิวหนัง คว้ารางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เตรียมเดินหน้าพัฒนาต่อ

เมื่อไม่นานนี้ เด็กชาย Heman Bekele วัย 14 ปีจากโรงเรียน W.T. Woodson High School รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา คิดค้นสบู่ก้อนรักษามะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา ทำให้เขาคว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ของบริษัท 3M (3M Young Scientist Challenge) จากผู้เข้าร่วมทั้งหมด 10 คน

Heman ได้รับแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์วัยเด็กในประเทศบ้านเกิดอย่างเอธิโอเปีย เขาจำได้ว่าเห็นคนทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน ซึ่งแสงอัลตราไวโอเลต (UV) คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งผิวหนัง เขาจึงคิดค้นสบู่รักษามะเร็งผิวหนังขึ้นมาโดยผสมกรดซาลิไซลิก (Salicylic) กรดไกลโคลิก (Glycolic) และเทรติโนอิน (Tretinoin) ในอัตราส่วน 50:30:20 ซึ่งสารเหล่านี้เป็นกลุ่มสารประกอบที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว โดยจะกระตุ้นการทำงานของเซลล์เดนไดรต์ (Dendritic Cells) หรือเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อ เพื่อให้เซลล์เดนไดรต์ต่อสู้กับไวรัส HPV (Human Papillomavirus) หนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง

Heman ทดสอบประสิทธิภาพของสบู่ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเขาเชื่อว่าการใช้งานสบู่ก้อนชนิดนี้ทุก 2-3 วันอย่างสม่ำเสมอจะสามารถช่วยรักษามะเร็งผิวหนังได้ และแม้จะยังไม่เคยทดลองกับผู้ป่วยจริง ๆ แต่เขาก็วางแผนที่จะพัฒนาสบู่นี้ เพื่อยื่นขอการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคำนวณราคาต้นทุนทั้งหมดแล้ว ราคาของสบู่รักษามะเร็งผิวหนังนี้ตกอยู่ที่ประมาณ 17.75 บาทต่อก้อนเท่านั้น

ผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น ด้วยนวัตกรรมอย่างสบู่รักษามะเร็งของ Heman เป็นไปได้ว่าในอนาคต ผู้ป่วยโรคมะเร็งอาจสามารถเข้าถึงการรักษาในราคาหลักสิบหรือหลักร้อยบาทก็เป็นได้

การปูทางสู่ความเข้าใจในสมองมนุษย์อันซับซ้อน ผ่านแผนที่ ‘เซลล์สมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม’ ฉบับสมบูรณ์

(14 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, นครลอสแอนเจลิส รายงานว่า สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) เผยว่า ทีมนักวิจัยนานาชาติได้สร้างแผนที่เซลล์ของสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ฉบับสมบูรณ์เป็นครั้งแรก

โดยแผนที่เซลล์ดังกล่าวเป็นแผนที่เซลล์สมองของ ‘หนู’ ซึ่งเผยให้เห็นชนิด ตำแหน่ง และข้อมูลโมเลกุลของเซลล์มากกว่า 32 ล้านเซลล์ พร้อมให้ข้อมูลการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์เหล่านี้

สถาบันฯ ระบุว่า หนูเป็นแบบจำลองการทดลองของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดในการวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์ และแผนที่เซลล์นี้ได้ปูทางสู่การทำความเข้าใจสมองของมนุษย์มากขึ้น อีกทั้งวางรากฐานสำหรับการพัฒนาวิธีการรักษาแบบตรงจุดรุ่นใหม่สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตและระบบประสาทเกี่ยวกับสมอง

อนึ่ง การค้นพบนี้ถูกเผยแพร่เมื่อวันพุธ (13 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ในชุดบทความ 10 ฉบับของวารสารเนเจอร์ (Nature)

‘ดร.โจชัว กอร์ดอน’ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า แผนที่เซลล์สมองของหนูดังกล่าวไขความกระจ่างเรื่องเครือข่ายที่สลับซับซ้อนของเซลล์สมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยส่งมอบรายละเอียดที่จำเป็นต่อการทำความเข้าใจในการทำงานของสมองมนุษย์และโรคต่างๆ

มะกันช็อก!! ยอด ‘คนไร้บ้าน’ ทั่วประเทศ พุ่งสูงกว่าครึ่งล้านคน หลังค่าเช่าบ้านเพิ่มสูงลิ่ว เซ่นพิษโควิด-รัฐบาลลดความช่วยเหลือ

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, วอชิงตัน รายงานว่า รายงานจากกระทรวงการเคหะและการพัฒนาเมืองสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา เปิดเผยว่า จำนวนคนไร้บ้านในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จนแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์

ผลการตรวจนับของกระทรวงฯ พบจำนวนคนไร้บ้านทั่วสหรัฐฯ ในเดือนมกราคมอยู่ที่ราว 653,000 ราย ซึ่งมากกว่าหนึ่งปีก่อนหน้า 70,650 ราย และเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มต้นการตรวจนับในปี 2007

รายงานระบุว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันครองสัดส่วนเพียงร้อยละ 13 ของประชากรสหรัฐฯ แต่กลับครองสัดส่วนถึงร้อยละ 37 ของจำนวนคนไร้บ้านทั้งหมด

ขณะชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิกกลายเป็นคนไร้บ้านเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยครองสัดส่วนร้อยละ 28 ของจำนวนคนไร้บ้านทั้งหมดในช่วงปี 2022-2023 ส่วนการไร้บ้านยกครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี 2012

ทั้งนี้ ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นและความช่วยเหลือเนื่องด้วยการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ลดลง ถือเป็นปัจจัยหลักส่วนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังวิกฤตคนไร้บ้านในสหรัฐฯ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top