Sunday, 5 May 2024
อเมริกา

‘สหรัฐฯ’ ขายอุปกรณ์หนุน ‘ระบบสารสนเทศเชิงยุทธวิธี’ ให้ไต้หวัน มูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมความมั่นคง-รับมือภัยคุกคาม 

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อนุมัติจำหน่ายอุปกรณ์สนับสนุนระบบสารสนเทศเชิงยุทธวิธี (tactical information systems) มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ให้แก่ไต้หวัน นับเป็นความช่วยเหลือด้านการป้องกันตนเอง ล่าสุดที่อเมริกามอบให้กับไทเป ตามข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

สหรัฐฯ มีข้อผูกพันทางกฎหมายที่จะต้องสนับสนุนให้ไต้หวันสามารถป้องกันตนเอง ซึ่งการขายอาวุธให้ไทเปในลักษณะนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ที่ยืนยันว่าไต้หวันเป็นดินแดนในอธิปไตยของตน

สำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา (Defense Security Cooperation Agency – DSCA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดเพนตากอน ระบุว่า การจำหน่ายเครื่องมือในครั้งนี้ก็เพื่อคงไว้ซึ่งศักยภาพด้านการบัญชาการ ควบคุม สื่อสาร และคอมพิวเตอร์ หรือ C4 ของไต้หวันตามวงรอบอายุการใช้งาน

การสนับสนุนนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของไต้หวัน ‘ในการรับมือภัยคุกคามทั้งปัจจุบันและอนาคต ด้วยการเสริมความพร้อมด้านการปฏิบัติการ’ และคงไว้ซึ่งศักยภาพ C4 ที่ช่วยให้การส่งข้อมูลทางยุทธวิธีเป็นไปอย่างปลอดภัย

ด้านกระทรวงกลาโหมไต้หวันแถลงว่า ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ จะช่วยให้ไทเปสามารถคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพของระบบบัญชาการและการควบคุมร่วม และเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในสนามรบ

“ปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายคอมมิวนิสต์จีนที่เกิดขึ้นรอบเกาะไต้หวันอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อเรา” กระทรวงกลาโหมไต้หวันแถลง พร้อมกล่าวขอบคุณสหรัฐฯ ที่ให้ความช่วยเหลือ และเชื่อว่าการจำหน่ายยุทธภัณฑ์รอบนี้จะมีผลเสร็จสิ้นภายใน 1 เดือน

ด้านทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวันระบุว่า ข้อตกลงขายอาวุธซึ่งถือเป็นครั้งที่ 12 แล้วภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ นั้นให้ความสำคัญยิ่งกับการสนับสนุนศักยภาพในการป้องกันตนเองของไต้หวัน

รัฐบาลไทเปยืนยันว่า อนาคตของไต้หวันต้องให้ชาวไต้หวันเท่านั้นเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งไต้หวันก็กำลังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและประธานาธิบดีในวันที่ 13 ม.ค. ปีหน้า ในความเคลื่อนไหวที่หลายฝ่ายจับตามองว่าน่าจะส่งผลกระทบไม่น้อยต่อความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่

‘นันทิวัฒน์’ ชี้!! ‘สังคมเมกา’ อาการหนัก!! ใครคิดสะท้อนเสรีภาพตน ต้องมีขอบเขต หลังพบ รร.ดังไล่เด็กนักเรียนออก เพียงเพราะแม่เด็กโพสต์หนุนปาเลสไตน์

เสรีภาพ?

บรรดาด้อมและสื่อที่รับใช้ต่างชาติ ช่วยอ่านข่าวนี้หน่อย

‘อเมริกา’ ประเทศต้นแบบประชาธิปไตย ประเทศที่ด้อมคลั่งไคล้ว่า ‘มีเสรีภาพ’ ทำกับประชากรของตนเองยังไง

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ‘The Council on American - Islamic Relations’ เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ สืบสวนสาเหตุการไล่ ‘Jad Abuhamda’ นักเรียนของโรงเรียน The Pine Crest School ที่ฟลอริด้า หลังจากที่ ‘Dr. Maha Almasri’ แม่ของเด็กนักเรียน ซึ่งเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ของโรงเรียน ได้โพสต์ข้อความสนับสนุนปาเลสไตน์ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์

ทางโรงเรียนมองว่า “เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และปลุกปั่นความไม่สงบ”

เรื่องการต่อสู้ในปาเลสไตน์ ใครจะคิดอะไร ใครจะสนับสนุนฝ่ายไหน ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ทุกฝ่ายมีจุดยืนวิธีคิด มีการรับรู้ที่แตกต่างกัน

แต่ตรงกันข้ามกับกรณีนี้ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ มันน่าแปลก ประเทศต้นแบบของการแสดงความคิดเห็น คนกลับมีเสรีภาพลดลง

นั่นหมายความว่า “เสรีภาพต้องมีขอบเขต”

‘คิม จองอึน’ กร้าว!! หากศัตรูยั่วยุ “พร้อมเปิดศึกบุกอย่างไม่ลังเล” ขู่!! กองทัพสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ ระวังจะเป็น ‘เป้าหมายแรก’

(21 ธ.ค. 66) เอเอฟพี รายงานว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ เตือนว่า เกาหลีเหนือไม่ลังเลที่จะเปิดฉากการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ หากถูกยั่วยุด้วยนิวเคลียร์

ความคิดเห็นของนายคิมเกิดขึ้นหลังจากเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาหารือเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์ในกรณีที่เกิดข้อขัดแย้งกับเกาหลีเหนือ

พร้อมย้ำว่า การโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ใดๆ ก็ตามต่อสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ จะส่งผลให้ระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือสิ้นสุดลง แต่นายคิมสั่งการกับหน่วยงานด้านขีปนาวุธของกองทัพเกาหลีเหนือว่า “อย่าลังเลเลยที่จะ (ยิง) นิวเคลียร์เมื่อศัตรูยั่วยุด้วยนิวเคลียร์”

ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมาโดยเรียกร้องให้เกาหลีเหนือ “หยุดดำเนินการยั่วยุเพิ่มเติม และยอมรับข้อเรียกร้องของเราให้มีส่วนร่วมในการเจรจาที่สำคัญโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ”

ก่อนหน้านี้ ทั้ง 3 ประเทศได้เพิ่มความร่วมมือด้านกลาโหม หลังจากเกาหลีเหนือเดินหน้าทดสอบขีปนาวุธต่อเนื่อง และเมื่อวันอังคารที่ 19 ธ.ค.ผ่านมา ได้เปิดใช้งานระบบแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ซึ่งทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ฮวาซอง-18 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของกองทัพสหรัฐฯ จอดเทียบท่าเรือในเมืองปูซานของเกาหลีใต้ ภายหลังสหรัฐฯ เพิ่งส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดไปร่วมฝึกซ้อมกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น

ส่งผลให้เกาหลีเหนือไม่พอใจและย้ำว่า คาบสมุทรเกาหลีอยู่ในภาวะสงครามตามกฎหมาย และกล่าวว่า กองกำลังสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้จะเป็นเป้าหมายแรกของการทำลายล้าง

สื่อสหรัฐฯ เผย ‘สี จิ้นผิง’ บอก ‘ไบเดน’ ปักกิ่งจะรวมไต้หวันเข้ากับจีนแน่นอน ไม่สนการแทรกแซงจากภายนอก และพวกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนไม่กี่คน

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 66 สำนักข่าว NBC News ของสหรัฐฯ อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวของเจ้าหน้าที่ ซึ่งระบุว่า ประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ ของจีน ได้กล่าวต่อหน้าประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ แห่งสหรัฐฯ อย่างตรงไปตรงมาระหว่างการประชุมซัมมิตที่ซานฟรานซิสโก ว่า ปักกิ่งจะรวมไต้หวันเป็นหนึ่งเดียวกับจีนแผ่นดินใหญ่แน่นอน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำเมื่อไหร่

สี จิ้นผิง ยังกล่าวในที่ประชุมหารือซึ่งมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐฯ และจีนนั่งอยู่ด้วยกว่า 10 คน ว่า รัฐบาลจีนต้องการที่จะรวมชาติกับไต้หวัน ‘ด้วยสันติวิธี’ มากกว่าใช้กำลัง

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 คน และอดีตเจ้าหน้าที่อีก 1 คน ซึ่งได้รับทราบเนื้อหาของการประชุม ยังบอกด้วยว่า สี จิ้นผิง อ้างถึงเรื่องที่นายพลระดับสูงของอเมริกาบางคนออกมาทำนาย ว่าเขามีแผนจะยึดไต้หวันภายในปี 2025 หรือ 2027 โดยเขายืนยันกับไบเดนว่า คนเหล่านั้นคาดการณ์ ‘ผิด’ เพราะเขายังไม่เคยกำหนดกรอบเวลาเรื่องนี้มาก่อน

แหล่งข่าวเผยด้วยว่า เจ้าหน้าที่จีนยังร้องขอก่อนการประชุมให้ ไบเดน ออกแถลงการณ์ต่อสาธารณชนภายหลังการประชุมว่า “สหรัฐฯ สนับสนุนเป้าหมายของจีน ในการรวมชาติกับไต้หวันอย่างสันติ และไม่สนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน” ทว่าทำเนียบขาวปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้

โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานนี้

คำเตือนที่ สี จิ้นผิง กล่าวกับ ไบเดน เป็นการส่วนตัวนั้น แม้จะไม่แตกต่างจากสิ่งที่ผู้นำจีนเคยพูดต่อสาธารณชนมาแล้วหลายครั้ง เรื่องการรวมชาติกับไต้หวัน แต่ก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เห็นว่าไม่ธรรมดา เพราะมีขึ้นในช่วงที่จีนหันมาใช้นโยบายก้าวร้าวกับไทเปมากขึ้น อีกทั้งไต้หวันจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน ม.ค. ปี 2024 ด้วย

หลังจากที่เรื่องนี้ถูกตีแผ่ออกมาในช่วงแรกๆ ‘สว.ลินด์เซย์ เกรแฮม’ จากพรรครีพับลิกัน ถึงขั้นออกคำแถลงเรียกร้องให้สมาชิกพรรครีพับลิกัน และเดโมแครตร่วมมือกันป้องปรามจีน

“เรื่องที่รายงานนี้มันยิ่งกว่าน่ากังวล” เกรแฮม กล่าว “ผมจะร่วมมือกับ สว.ทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตเพื่อทำ 2 เรื่องให้เร็วที่สุด หนึ่งคือมอบการสนับสนุนด้านความมั่นคงให้ไต้หวัน และสองคือจัดทำร่างมาตรการคว่ำบาตรเพื่อลงโทษจีน หากพวกเขาเริ่มลงมือยึดเกาะไต้หวัน”

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งทราบรายละเอียดการหารือระบุว่า คำพูดของ สี จิ้นผิง แม้ตรงไปตรงมาก็จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นไปในเชิงยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ

“สำนวนภาษาของเขาไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่เคยพูดมาแล้ว เขาจริงจังเรื่องไต้หวันเสมอ และมีจุดยืนแข็งกร้าวเรื่องนี้มาโดยตลอด” เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งบอก

ระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อปีที่แล้ว สี จิ้นผิง ประกาศชัดเจนว่าจีนจะส่งทหารบุกไต้หวัน หากไทเปกล้าประกาศเอกราชโดยมีต่างชาติให้การสนับสนุน พร้อมย้ำว่าคำขู่ใช้กำลังของจีนนั้นมุ่งป้องปราม “การแทรกแซงจากขั้วอำนาจภายนอก และพวกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนไม่กี่คน” ที่ต้องการให้ไต้หวันเป็นประเทศอิสระ
 

‘กกต.รัฐเมน’ ฟัน!! ‘ทรัมป์’ ตัดสิทธิ์เลือกตั้ง ปธน.มะกัน หลังมีเอี่ยวในการก่อจลาจล บุกรัฐสภา เมื่อ 6 ม.ค. 2021

(29 ธ.ค. 66) เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่กำกับดูแลการเลือกตั้งในรัฐเมนของสหรัฐฯ ประกาศตัดสิทธิ์อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งขึ้นต้นในรัฐเมน ซึ่งทำให้ทรัมป์ถูกห้ามการลงสมัครเป็นรัฐที่ 2 จากบทบาทของเขาเกี่ยวกับเหตุจลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันที่ 6 มกราคม 2021

‘เชนนา เบลโลว์ส’ จากพรรคเดโมเครต ในฐานะเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่กำกับดูแลเรื่องการเลือกตั้งของรัฐเมน ระบุว่า “ทรัมป์ยุยงให้เกิดการจลาจล เมื่อเผยแพร่คำกล่าวอ้างเป็นเท็จ เกี่ยวกับการฉ้อโกงการเลือกตั้งในปี 2563 โดยเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนเดินขบวนไปยังรัฐสภา เพื่อยุติไม่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติรับรองผลการเลือกตั้ง”

การตัดสินใจดังกล่าว มีขึ้นหลังจากที่อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติจากรัฐเมนกลุ่มหนึ่ง กล่าวว่า ทรัมป์ควรถูกตัดสิทธิ์ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่ห้ามมิให้บุคคลดำรงตำแหน่ง หากพวกเขามีส่วนร่วมในการจลาจลหรือการก่อกบฏ

อย่างไรก็ดี คำตัดสินดังกล่าว ซึ่งทรัมป์สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ จะมีผลเฉพาะการเลือกตั้งเบื้องต้นในเดือนมีนาคมนี้เท่านั้น แต่มันอาจส่งผลกระทบต่อสถานะของทรัมป์ในการเลือกตั้งทั่วไป ในเดือนพฤศจิกายนด้วย

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ทรัมป์ถูกศาลสูงของโคโลราโดตัดสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้เขากลายเป็นผู้สมัครคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ถูกตัดสิทธิ์ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจากการมีส่วนร่วมในการก่อกบฏ

อยู่ไม่ไหว!! ‘คุณตาชาวจีน’ ตัดสินใจย้ายกลับเมืองจีนบ้านเกิด หลังถูกเหยียดเชื้อชาติ-ทำร้ายร่างกาย ใน ‘ซานฟรานซิสโก’

(3 ก.พ. 67) ชายสูงวัยชาวจีนในนครซานฟรานซิสโกซึ่งถูกพวกอันธพาลทำร้ายร่างกายหลายครั้ง รวมถึงในช่วงที่โควิด-19 ระบาดใหม่ๆ ตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่ประเทศจีน โดยให้เหตุผลว่าเมืองแห่งนี้ ‘ไม่ปลอดภัย’ สำหรับคนเอเชียอย่างเขาอีกต่อไป

สื่อ Sing Tao Daily รายงานว่า ‘หรงซิน เหลียว’ (Rongxin Liao) วัย 87 ปี เคยถูกคนร้ายทุบตีจนหมดสติที่เขตเทนเดอร์ลอยน์ (Tenderloin) ในซานฟรานซิสโกเมื่อ 7 ปีก่อน และต่อมายังโดนทำร้ายอีกครั้งเมื่อเดือน ก.พ. ปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยคุณตาซึ่งต้องใช้เครื่องช่วยพยุงเดินคนนี้ถูกเตะจนล้มระหว่างที่กำลังรอรถประจำทาง

ล่าสุด เหลียว ตกเป็นเหยื่อกระแสเกลียดชังคนเอเชียอีกรอบที่หน้าร้านขายยาแห่งหนึ่งใกล้ถนน Market Street เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ปีที่แล้ว โดยถูกชายคนหนึ่งบุกเข้ามาชกที่ศีรษะขณะกำลังเข็นวีลแชร์ ทว่ารายงานข่าวที่ออกมาในตอนนั้นไม่ได้ระบุชื่อ ‘เหลียว’ ว่าเป็นผู้ถูกทำร้าย

เหลียว ต้องไปขึ้นศาลหลายครั้งจากเหตุการณ์เมื่อปี 2020 และแม้ว่าเขาจะพยายามร้องขอให้ศาลลงโทษสถานหนักต่อ ‘อีริค รามอส-เฮอร์นันเดซ’ (Eric Ramos-Hernandez) ซึ่งเป็นผู้ที่ทำร้ายเขา แต่สุดท้ายชายอันธพาลกลับได้รับโทษจำคุกเพียง 7 เดือน ก่อนจะถูกส่งไปโรงพยาบาลจิตเวช และได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านในที่สุด

สำหรับเหตุการณ์เมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว ผู้ที่ลงมือทำร้าย เหลียว คือ ‘เอฟฟริม เบเกอร์’ (Effrim Baker) วัย 60 ปี ซึ่งยังถูกตั้งข้อหาอีก 14 กระทงจากเหตุไล่แทงที่เจ้าตัวก่อขึ้นในวันเดียวกัน

‘จิง เหลียว’ (Jing Liao) บุตรชายของคุณตา ยืนยันกับสื่อ San Francisco Standard ว่า พ่อของเขาซื้อตั๋วเครื่องบินแบบเที่ยวเดียวกลับไปยังนครกว่างโจว โดยมีกำหนดออกเดินทางในวันอาทิตย์นี้ (4 ก.พ.)

จิง บอกว่า สาเหตุที่เขาตัดสินใจส่งพ่อกลับไปอยู่บ้านเกิดที่จีน ก็เพราะความปลอดภัยสาธารณะในซานฟรานซิสโก ‘ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ’

“ผมไม่อยากสร้างปัญหาให้ลูกชายซึ่งอยู่ที่นี่ ไม่อยากให้เขาต้องเป็นห่วงผมตลอดเวลา” เหลียว ให้สัมภาษณ์กับ Sing Tao Daily พร้อมยืนยันว่ายินดีสละสัญชาติอเมริกัน และกลับไปใช้สัญชาติจีนทันทีที่กลับไปถึงแดนมังกร

แม้รัฐแคลิฟอร์เนียและอีกหลายเมืองทั่วอเมริกา จะมีสถิติอาชญากรรมความเกลียดชังเพิ่มขึ้น แต่รายงานของ Axios อ้างว่า ซานฟรานซิสโกเกิดคดีลักษณะนี้ลดลงจาก 114 คดีในปี 2021 เหลือเพียง 36 คดีในปี 2022 และเหตุทำร้ายร่างกายซึ่งเกิดจากความเกลียดชังคนเอเชีย ก็ลดลงจาก 60 เหลือเพียง 6 คดีในช่วงเวลาเดียวกัน

‘มะกัน’ โดนแฉ!! เตรียมส่งระเบิด-อาวุธ หนุนอิสราเอลเพิ่ม ขณะ ‘ผู้นำไบเดน’ เล่นบทเรียกร้องหยุดยิงในฉนวนกาซา

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 67 สำข่าวรอยเตอร์อ้าง หนังสือพิมพ์เดอะ วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานเมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา อ้างแหล่งข่าวเป็นเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เปิดเผยว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังเตรียมจะส่งระเบิดและอาวุธอื่นๆ ให้กับอิสราเอล ในการเติมคลังแสงทางทหารให้กับกองทัพอิสราเอล ในขณะที่อีกด้านผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องผลักดันให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา

การเสนอส่งมอบอาวุธดังกล่าว รวมถึงระเบิด MK-82 และ ยุทโธปกรณ์โจมตีร่วม KMU-572 ซึ่งเพิ่มการนำวิถีให้กับระเบิด รวมถึงฟิวส์ระเบิด FMU-139 คาดว่าอาวุธเหล่านี้น่าจะมีมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี การส่งมอบอาวุธเหล่านี้ยังคงอยู่ในระหว่างการตรวจสอบภายในของฝ่ายบริหาร ซึ่งแหล่งข่าวเปิดเผยว่า รายละเอียดในข้อเสนอดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ก่อนหน้าที่รัฐบาลไบเดนจะยื่นต่อประธานคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ของสภาคองเกรส เพื่อพิจารณา ก่อนจะมีการอนุมัติเห็นชอบก่อนการส่งมอบต่อไป

กระทรวงต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ กองกำลังป้องกันอิสราเอล (ไอดีเอฟ) และ กระทรวงกลาโหมของอิสราเอล ยังไม่ได้ตอบสนองต่อการร้องขอความเห็นไปของทางรอยเตอร์ เกี่ยวกับรายงานข่าวนี้

ทั้งนี้ ถึงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รัฐบาลไบเดนได้ข้ามการพิจารณาของสภาคองเกรส เกี่ยวกับการขายอาวุธให้กับอิสราเอลไปแล้ว 2 ครั้ง

ขณะที่รัฐบาลไบเดนเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง จากการยังคงจัดหาอาวุธให้กับอิสราเอล ท่ามกลางการกล่าวหาว่าอาวุธที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ถูกใช้ในการโจมตีในฉนวนกาซา ซึ่งเข่นฆ่าสังหาร และทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

โดยนับจากอิสราเอลเปิดปฏิบัติการบุกโจมตี ทั้งทางอากาศและภาคพื้นดินถล่มฉนวนกาซา เพื่อตอบโต้กลุ่มฮามาสที่บุกโจมตีอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่ผ่านมา ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาแล้วมากกว่า 28,775 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และทำให้ชาวปาเลสไตน์เกือบทั้งหมด จากที่มีทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านคนในฉนวนกาซา ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นหนีภัยสงคราม

ส่วนในอิสราเอลมีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของกลุ่มฮามาสที่บุกเข้ามาโจมตีในวันดังกล่าว จำนวน 1,200 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และยังจับไปเป็นตัวประกันในฉนวนกาซาอีกราว 253 คน โดยได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้วกว่าร้อยคน

‘ชาตรามือ’ เปิดตัวสาขาแรกในอเมริกา ลูกค้าแห่ต่อคิวซื้อยาวเหยียด พร้อมเผย “คิดถึงเมืองไทย” ขึ้นแท่นซอฟต์พาวเวอร์ไทยในต่างแดน

‘ชาไทย’ ไม่ธรรมดา!! ล่าสุด ‘ชาตรามือ’ เปิดตัวสาขาแรกในสหรัฐอเมริกา ได้รับการต้อนรับอย่างดี นับเป็นอีกเรื่องราวที่น่าภูมิใจของซอฟต์พาวเวอร์ไทยในต่างแดน ลูกค้าต่อคิวยาว แต่เอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “คิดถึงเมืองไทย!!”

เมื่อไม่นานนี้ เพจ ‘ร้านเด็ด อเมริกา - Landed America’ เพจขวัญใจชาวไทยในอเมริกา ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 4.6 แสนคน เผยภาพบรรยากาศร้านเครื่องดื่มที่คนไทยคุ้นเคย นั่นคือ ‘ร้านชาตรามือ’ ที่ตัดสินใจเลือกทำเลในแอลเอ เพื่อเปิดร้านเป็นสาขาแรกในสหรัฐอเมริกา บรรยากาศภายในร้านมีทั้งชาวไทยในสหรัฐฯ และชาวต่างชาติต่อคิวจนยาวจนพ้นหน้าร้าน บรรยากาศคึกคัก มีชาวต่างชาติ ต่อคิวยาวตลอดทั้งวัน

เพจร้านเด็ด อเมริกา เผยว่า ชาตรามือ สาขาลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ได้รับการตอบรับอย่างดี โดย ‘ชาไทย’ คือเมนูที่ขายดีที่สุด รองลงมาคือ ‘ชาเขียว, ชามะนาว’ ส่วนราคาจำหน่ายที่นี่ ราคาแก้ว 5.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ประมาณ 200 บาท

นอกจากนี้ ยังมี ‘ชากุหลาบ’ ที่เป็นกระแสในเมืองไทย ในเรื่องการช่วยขับถ่าย ซึ่งก็เป็นที่สนใจเช่นเดียวกัน อีกทั้งสามารถเลือกระดับความหวานได้หลายระดับ ตั้งแต่ 0%, 30%, 70%, 100% และ 130% ทำให้ชาวต่างชาติต่างพึงพอใจเป็นอย่างมาก ลูกค้าหลายคนบอกว่าเคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศไทยมาแล้ว และเคยได้ลองชิมก็ติดใจ จึงเดินทางมาซื้อชาไทยที่ร้านนี้ด้วย

คนไทยในสหรัฐฯ ที่คิดถึงเมืองไทยหรืออยากแนะนำเพื่อนต่างชาติ ให้ลองชิมชาไทยเครื่องดื่มสุดฮิตของประเทศ แวะไปกันได้ ที่ 1100 N Main St, Los Angeles, CA 90012

งานวิจัย ชี้!! ‘Gen X’ ช่วงวัยที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง-กดดัน ลาหยุดไม่ได้-ลาออกไม่กล้า เหนื่อยก็ต้องสู้ เพื่อเป้าหมายชีวิต

(25 ก.พ.67) ในขณะที่ ‘Gen Z’ เป็นช่วงวัยที่กำลังเริ่มต้นเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ‘Gen Y’ อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวของการเติบโต-ไต่เต้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ส่วน ‘Gen X’ กลับเป็นเจเนอเรชันกลางๆ ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและปัญหาสารพัดอย่าง

ในเชิงการทำงานเมื่อพิจารณาจากอายุแล้ว ‘Gen X’ อาจถูกคาดหวังให้ต้องเก่ง ต้องรู้ ต้องเชี่ยวชาญในหลายๆ เรื่อง ขณะเดียวกันในพาร์ตชีวิตส่วนตัว ‘Gen X’ ก็อยู่ตรงกลางระหว่างเบบี้บูมเมอร์ และคนรุ่นใหม่

สำนักข่าว ‘บีบีซี’ (BBC) ระบุว่า ‘Gen X’ ต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่เหมือนคนเจนอื่นๆ แม้จะอยากพักแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ มีงานวิจัยจำนวนมากที่ระบุว่า ‘วัยกลางคน’ เป็นช่วงชีวิตที่ไม่มั่นคงมากที่สุด คลอนแคลนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ

เพราะเคยเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจมาแล้วหลายยุค จนถึงปัจจุบันในสถานการณ์ที่มีการ ‘เลย์ออฟ’ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้ ‘Gen X’ รู้สึกว่า ตนเองไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะลาหยุดด้วยซ้ำ 
[ลาออก-ลาหยุดไม่ได้ เหนื่อยก็ยังต้องทำงานต่อไป]

Gen X คือ คนที่เกิดตั้งแต่ปี 2508-2523 มีอายุตั้งแต่ 44-59 ปี หากพิจารณาจากช่วงอายุแล้วจะพบว่า อยู่ในช่วงวัยกลางคน และกำลังอยู่ในช่วงเตรียมเกษียณอายุงานแล้วด้วย

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า Gen X มีวิธีคิดเรื่องการทำงานแตกต่างจากคนมิลเลนเนียล ตรงที่พวกเขามักจะกระตือรือร้นในการทำงานตลอดเวลา โดยมีเหตุผลสองส่วนที่ทำให้ Gen X จำนวนมากไม่พร้อมลาออก

ประการแรก คือ คนเจนนี้เผชิญกับการใช้จ่ายและการบริหารจัดการการเงินที่ไม่เหมือนคนรุ่นอื่น พวกเขาไม่สามารถลาออก-ทิ้งงานที่สร้างรายได้ประจำไปได้

ประการที่สอง เป็นเพราะ Gen X หลายคนมีทัศนคติที่ต้องการทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง หลังเคยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง

บทเรียนในอดีตทำให้คนรุ่นนี้ต้องสร้างหลักประกันที่แข็งแรงให้ตนเอง เมื่อได้รับโอกาสใหม่ๆ Gen X จะไม่ปฏิเสธ เพื่อความก้าวหน้าในอนาคต

ทั้งนี้ ‘บีบีซี’ ได้เปิดเผยผลสำรวจพนักงานกว่า 2,000 คน ที่ถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์ ‘Tech Layoff’ ในปี 2023 ไม่ว่าจะเป็น Meta Amazon หรือ Twitter 

โดยพบว่า เกือบ 9% ของ Gen Z และ 4.5% ของคนมิลเลนเนียล เลือกที่จะพักผ่อนหลังจากถูกเลิกจ้าง แต่มีเพียง 2.6% ของ Gen X เท่านั้น ที่ตั้งใจจะยุติการทำงานหลังโดนเลย์ออฟ

ด้าน ‘Michael S. North’ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ School of Business มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ทำการศึกษาพลวัตของแรงงานในหลายช่วงวัย กล่าวว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Gen X จำนวนมากไม่เต็มใจที่จะลาออก เป็นเพราะภาระผูกพันทางการเงิน และช่วงวัยของพวกเขาที่ทำให้รู้สึกว่า ไม่เหมาะที่จะกลายเป็นคนว่างงาน

‘North’ ระบุว่า มีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ให้เห็นว่า ‘วัยกลางคน’ เป็นช่วงชีวิตที่ไม่มั่นคง โดยเฉลี่ยแล้ววัยนี้มีความกดดันมากกว่าการหารายได้เพียงอย่างเดียว

ไม่ว่าจะเป็นการทำประกันให้กับครอบครัว การเตรียมตัวเพื่อการเกษียณอายุงาน ต้องลงทุนในกองทุนแบบใด และต้องเก็บเงินก้อนเท่าไรจึงจะเพียงพอเหมาะสมกับช่วงสุดท้ายของชีวิต

ยิ่งไปกว่านั้น คือภาระหนี้สินที่คน Gen X ต้องเร่งปิดหนี้ก้อนใหญ่ๆ ก่อนที่รายได้ประจำจะหายไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มีข้อมูลบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่า Gen X มีภาระหนี้สินมากกว่าคนรุ่นอื่นๆ

หลายคนต้องตกอยู่ในสถานะ ‘Sandwich Generation’ ดูแลทั้งคนแก่ในบ้าน และลูกๆ หลานๆ ที่กำลังโต แม้ว่าคนรุ่นนี้จะอยู่ในตำแหน่งระดับสูงขององค์กรแล้ว แต่สถานการณ์เลย์ออฟที่ผ่านมาก็ทำให้พวกเขาเห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของชีวิตว่า ไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งสถานะสูงขึ้น ตำแหน่งสูงขึ้น

คน Gen X ก็ยิ่งรู้สึกคาดหวังกับตัวเองมากขึ้นด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะถูกเลิกจ้างหรือพักงานก็ล้วนสร้างความท้าทายให้คนรุ่นนี้ทั้งนั้น

[ ไม่พร้อมเกษียณ ยังคงทำงานต่อไป ]

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แม้จะเหนื่อยและมีภาระรอบด้าน แต่ Gen X ก็ยังไม่พร้อมเกษียณ  ไม่พร้อมทิ้งอาชีพที่ทำมาทั้งชีวิต

ที่ผ่านมา Gen X ต้องเผชิญกับความท้าทายเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ มาโดยตลอด ซึ่งพวกเขาก็พยายามปรับตัวให้ทันยุค เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการเสริมสร้างทักษะใหม่ๆ

อีกมุมหนึ่ง ก็มี Gen X ที่มีความพร้อม ความมั่นคงในชีวิตครบถ้วนแล้ว แต่ก็พบว่า พวกเขายังไม่สามารถละทิ้งความสำเร็จที่เคยทำมาให้กลายเป็นเพียงอดีตได้ ราวกับ ‘งาน’ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว หลายคนจึงไม่ต้องการทำเช่นนั้น หลังจากทำงานอย่างหนักมาหลายทศวรรษ

ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า Gen X อาจรู้สึกเหมือนกำลัง ‘ยอมแพ้’ ให้กับความก้าวหน้าและหน้าที่การงานที่สร้างมาทั้งชีวิต จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาออกจากเส้นทางนี้ไม่ได้สักที

“นอกจากเรื่องเงินแล้ว เรายังมีอีกความรู้สึกหนึ่งด้วย คือเป้าหมายใน Career path ที่ต้องการไปให้ถึง” แหล่งข่าว Gen X กล่าวกับบีบีซี

อ้างอิง : https://www.bbc.com/worklife/article/20230424-why-gen-x-isnt-ready-to-leave-the-workforce
 

https://mstveteran.medium.com/generation-x-where-toughness-and-manners-collide-1586dfff9e64
 

https://www.nytimes.com/2023/08/25/style/gen-x-generation-discourse.html?fbclid=IwAR1bMpb80pP2IxkU3I5FSDbktBgvDjy_-QcLsf245Mjtveg9loNNQPMgb_Q

‘ปธน.เซเลนสกี’ ชี้!! อาจมีคนตายในสงครามยูเครน-รัสเซียอีกนับล้าน หาก ‘สว.สหรัฐฯ’ ไม่เห็นชอบหนุนงบช่วยเหลือ 6 หมื่นล้านดอลลาร์

(26 ก.พ.67) ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ถึงคำพูดของเจ ดี แวนซ์ สว.สหรัฐฯ ที่ว่า ผลของสงครามไม่เปลี่ยนไม่ว่ายูเครนจะได้เงินช่วยเหลือหรือไม่ เซเลนสกีระบุว่า ไม่แน่ใจว่าแวนซ์ เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้

“เพื่อความเข้าใจต้องมาแนวหน้าดูว่าเกิดอะไรขึ้น มาคุยกับผู้คน มาพบพลเรือนจึงจะเข้าใจ อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาถ้าไม่มีความช่วยเหลือ แล้วเขาจะเข้าใจว่า จะมีคนตายอีกล้านๆ คน นี่คือข้อเท็จจริง แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจ เดชะบุญที่บ้านเมืองคุณไม่มีสงคราม” ผู้นำยูเครนกล่าว

คำเตือนของเซเลนสกีเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลังจากเขายอมรับเรื่องความสูญเสียของกองทัพ ว่านับถึงขณะนี้ ทหารยูเครนถูกสังหารไปแล้วราว 31,000 คน

ในการแถลงข่าวที่กรุงเคียฟ เซเลนสกีปัดตัวเลขของรัสเซีย ที่บอกยอดผู้เสียชีวิตฝ่ายยูเครนสูงกว่านี้มาก เซเลนสกีกล่าวว่า พลเรือนหลายหมื่นคนเสียชีวิตในดินแดนยูเครน ที่ถูกกองทัพรัสเซียยึดครอง

“เป็นความสูญเสียหนักของเรา ชาวยูเครนและทหาร 31,000 คน เสียชีวิตในสงครามนี้ ไม่ใช่ 300,000 ไม่ใช่ 150,000 อย่างที่ปูตินกำลังโกหก ทุกชีวิตที่สูญเสียเป็นความเสียหายใหญ่หลวงสำหรับเรา”

ทั้งนี้ ซีเอ็นเอ็นไม่สามารถพิสูจน์ตัวเลขได้อย่างอิสระ ตัวเลขดังกล่าวเปิดเผยออกมาในสุดสัปดาห์ครบรอบ 2 ปี ที่รัสเซียรุกรานยูเครนเต็มรูปแบบ

ตลอดเวลาของความขัดแย้ง รัฐบาลเคียฟไม่ค่อยยอมรับจำนวนทหารเสียชีวิต นายโอเล็กซี เรซนิคอฟ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยูเครน เคยพูดในเดือน มิ.ย.2565 เชื่อว่า ชาวยูเครนถูกสังหารหลายหมื่นคนนับตั้งแต่เดือน ก.พ.ปีนั้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top