Friday, 3 May 2024
สงคราม

‘คนไทยในอิสราเอล’ อัปเดตสถานการณ์ล่าสุด สะเก็ดระเบิดลอยว่อน หลัง 'อิสราเอล-ฮามาส' เลิกพักรบ แนะ!! เข้าที่กำบัง อย่ามัวถ่ายคลิป

(2 ธ.ค.66) จากช่องติ๊กต็อก @dobung ซึ่งเป็นคนไทยในอิสราเอล ได้โพสต์คลิปอัปเดตสถานการณ์ล่าสุดที่อิสราเอล ในวันที่ 1 ธันวาคม โดยระบุว่า…

“ได้มีการพักรบมาประมาณอาทิตย์นึงแล้ว นับตั้งแต่วันที่ 26 ที่มีการปล่อยตัวประกัน และวันนี้วันที่ 1 ธันวาคม ก็เลิกพักรบแล้ว และพอเลิกพักรบแล้วก็จัดกันเลย…ยิงมาตู้ม เลยทำให้ฝั่งอิสราเอลมีการยิงสกัดไว้ แต่ทีนี้พอมีการยิงสกัดไว้มันก็จะแตกตู้ม ส่วนแตกตรงไหน แตกบนหัวผมเลยครับ…เลยเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่ามันยังไม่จบ…สงครามยังคงดําเนินต่อไป เพียงแค่พักรบมาพบรักกันชั่วคราวเฉย ๆ 

และเวลาที่มันมีบั้งไฟยิงมา แล้วมีการยิงสกัดเราต้องหลบ ไม่ถ่ายคลิป แต่สถานการณ์นี้เจอกับตัว มีสะเก็ดร่วงลงมาจากฟ้า ลงมาข้างหน้าที่ยืนอยู่ และมันก็ไม่ได้ร่วงทันที แต่จะร่วงหลังจากสกัดประมาณสัก 3 นาที มันเป็นชิ้นส่วนเหมือนโลหะ และที่พบกับตัวนั้นเป็นเพียงแค่สะเก็ดลูกเล็ก ส่วนลูกใหญ่ไม่ต้องพูดถึง ถ้ามันจิ้มไปบนหัวคิดว่าไม่น่ารอด เพราะฉะนั้นควรหลบอย่าไปหาทำแบบถ่ายคลิปอยู่ที่โล่งแจ้ง…” 

'อิสราเอล' กร้าว!! จะไล่ล่า 'ฮามาส' ทั้งใน 'เลบานอน-ตุรกี-กาตาร์' แม้ต้องใช้เวลาหลายปี หลังดับชีวิต 'เด็ก-สตรี' ในกาซาไปแล้วกว่า 15,000 คน

(4 ธ.ค.66) อิสราเอลจะไล่ล่าฮามาสในเลบานอน ตุรกีและกาตาร์ แม้ต้องใช้เวลานานหลายปี จากคำประกาศกร้าวของสำนักงานความมั่นคงชินเบต (Shin Bet) ระบุในถ้อยแถลงในเทปบันทึกภาพที่ออกอากาศผ่านสำนักข่าวข่าน สื่อมวลชนแห่งรัฐอิสราเอลเมื่อวันอาทิตย์ (3 ธ.ค.)

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ‘โรเนน บาร์’ หัวหน้า Shin Bet แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่และกับใคร ในขณะที่ตัวสำนักงานความมั่นคง ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

"คณะรัฐมนตรีกำหนดเป้าหมาย ในการพูดอย่างไม่เป็นทางการ ในการกำจัดฮามาส นี่คือมิวนิคของเรา เราจะทำสิ่งนี้ในทุกหัวระแหวงของกาซา ในเวสต์แบงก์ ในเลบานอน ในตุรกีและในกาตาร์ มันจะใช้เวลาหลายปี แต่เราจะทำมัน"

ในการกล่าวถึงมิวนิค ‘บาร์’ อ้างถึงปฏิบัติการตอบโต้ของอิสราเอล ต่อเหตุการณ์เมื่อปี 1972 ที่คณะนักกีฬาโอลิมปิกของอิสราเอล 11 คนเสียชีวิต จากกรณีที่พวกมือปืนจากกลุ่มปาเลสไตน์ กันยายนทมิฬ (Black September) เปิดฉากโจมตีมิวนิคเกมส์

อิสราเอล ตอบโต้ด้วยการเปิดยุทธการณ์ลอบสังหารแบบเล็งเป้าหมาย กับพวกมือปฏิบัติการและพวกผู้วางแผนของกลุ่มกันยายนทมิฬ เป็นเวลาหลายปีและในหลายประเทศ

ทั้งนี้ อิสราเอล ประกาศกำจัด ฮามาส หลังกลุ่มมือปืนของนักรบปาเลสไตน์ บุกจู่โจมข้ามชายแดนจากฉนวนกาซา เข้าไปสังหารผู้คนในอิสราเอลกว่า 1,200 รายเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และจับตัวประกันราว 240 คน

นับตั้งแต่นั้น อิสราเอล ตอบโต้ด้วยการประกาศทำลายล้างฮามาส และเริ่มปฏิบัติการโจมตีทั้งทางอากาศ ทางทะเลและจู่โจมทางภาคพื้น สังหารผู้คนในฉนวนกาซามากกว่า 15,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก

นอกเหนือจากกาซาแล้ว พวกผู้นำฮามาสมักไปอาศัยอยู่หรือเดินทางเยือนเลบานอน ตุรกีและกาตาร์ บ่อยครั้ง ในขณะที่ กาตาร์ ช่วยเป็นคนกลางในข้อตกลงหยุดยิง 1 สัปดาห์ ที่พังครืนลงไปเมื่อวันศุกร์(1ธ.ค.)

ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชาติต่างๆ หลายประเทศก็เสนอมอบความคุ้มครองบางอย่างแก่พวกฮามาส แม้ว่าฮามาสอยู่ในบัญชีดำก่อการร้าย ทั้งในออสเตรเลีย แคนาดา สหภาพยุโรป อิสราเอล ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ

ในปี 1997 หน่วยข่าวกรอง Mossad อิสราเอล ลอบวางยาพิษ คาเลด เมชาล ผู้นำฮามาส ณ ขณะนั้นใน จอร์แดน แต่ท้ายที่สุดแล้ว อิสราเอล ยอมมอบยาถอนพิษช่วยชีวิต เมชาล แก่จอร์แดน

วิบากกรรมหนุ่ม 2 สัญชาติ ผู้เฝ้ารอวีซ่าลี้ภัยจากดินแดนใหม่ หลังหนึ่งประเทศไฟสงครามไม่เคยดับ ส่วนอีกหนึ่ง ศก.ลาลับ

ไม่นานมานี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘GO GALA แคมป์ปิ้งออสเตรเลีย’ ได้โพสต์เรื่องราวชีวิตของ Oday ชายหนุ่มชาวซีเรีย อยู่ออสเตรเลียมามากกว่า 10 ปี แต่ไม่เคยได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนเลย โดยมีเนื้อหาดังนี้...

แอดแม่อยากให้เรื่องของ Oday เป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนที่อยู่ต่างประเทศ สู้ต่อ 

เมื่อวานระหว่างนั่งรอทำธุระในเมือง แอดแม่สั่งกาแฟกิน และมีเวลานั่งชิว เลยได้มีโอกาสนั่งคุยกับบาริสต้าหนุ่ม ผู้มีเรื่องราวชีวิตที่โคตรเหลือเชื่อ 

บทสนทนาเริ่มต้นจากเรื่องทั่วๆ ไป มาจากไหน ได้กลับบ้านบ่อยรึป่าว เขาบอกว่าไม่ได้กลับบ้านมา 10 ปีแล้ว เพราะต้องใช้เงินเยอะ กลับไม่ได้ ถ้ากลับแล้วไม่รู้ชีวิตจะเป็นยังไง 

นั่นทำให้แอดแม่เริ่มต้นคุยกับ Oday อย่างจริงจัง

แม่ของ Oday เป็นคนเวเนซุเอลา ได้มาพบรักกับพ่อที่ประเทศซีเรีย

Oday เกิดมาแบบมีสองสัญชาติ มีสอง Passport ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ปรากฏว่าสองประเทศที่เป็นตัวเลือกในชีวิตของ Oday หนึ่งประเทศมีสงครามกลางเมือง อีกหนึ่งประเทศประสบความล้มเหลวทางเศรษฐกิจจนหาทางฟื้นขึ้นมาไม่ได้

ย้อนกลับไปเกิน 10 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ปี 2011 ประเทศซีเรียเริ่มเกิดสงครามกลางเมือง ถ้า Oday ไม่ออกนอกประเทศเขาจะต้องไปเป็นทหาร เขาเลือกที่จะไม่เป็น และหาทางออกนอกประเทศ

เขาลองไปอยู่ประเทศเวเนซุเอลากับญาติพี่น้องฝั่งแม่อยู่ 7 เดือน หลังจากนั้นเขาเลือกที่จะมาออสเตรเลียด้วยวีซ่านักเรียน 

เรียนไปเรียนมาได้ห้าหกปี สงครามกลางเมืองซีเรียรุนแรงขึ้น ที่บ้าน Oday ไม่มีเงินจะส่งค่าเรียนแล้วเพราะสงครามไม่ดีขึ้น มีแต่แย่ลงทุกวัน รายได้ที่บ้านก็หดหาย

Oday ตัดสินใจไม่ไปเรียนหนังสือ เพราะเรื่องเงิน เมื่อคุณไม่ไปเรียนตามวีซ่านี่คุณต้องทำ แน่นอนวีซ่านักเรียนของ Oday โดนแคนเซิล 

Oday ต้องยื่นวีซ่า Protection เพราะทนายบอกว่าเป็นวีซ่าเดียวที่เขาจะยื่นได้ เขารอผลวีซ่า Protection ได้ ปีกว่าๆ ผลออกมาว่า Invalid เพราะ Oday มี 2 Passport มีทั้งซีเรียและเวเนซุเอลา เขาปรึกษาทนายว่าทำอะไรได้บ้าง 

ทนายคนแรกบอกว่าทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากต้องกลับซีเรีย...ทนายอีกคนหนึ่ง แนะนำให้เขาไปขอยกเลิก Passport เวเนซุเอลา ให้เหลือว่าเป็นคนซีเรียประเทศเดียว 

Oday ไม่มีทางเลือกอื่น เขา Give Up สัญชาติเวเนซุเอลาที่เขาได้มาจากแม่ เพื่อที่จะได้ยื่น Protection วีซ่าใหม่อีกรอบ

ถ้าออสเตรเลียให้วีซ่านี้กับ Oday พ่อแม่และน้องสาวของเขาก็จะได้ด้วย ครอบครัวจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง Oday คือตัวแทนของบ้านนี้เรื่องวีซ่าลี้ภัย 

ตอนนี้ Oday ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอ…

แอดบอกเขาว่าขอเขียนเรื่องเขาให้เพื่อนๆ อ่านได้มั้ย เขาบอกยินดี และขอบคุณ

สิ้นปีนี้อาชีพบาริสต้าของเขาก็ไม่รู้จะได้ทำรึป่าว ไม่รู้เจ้าของร้านจะเปิดร้านรึป่าว ไม่รู้เขาจะมีเงินรึป่าว

แอดแม่ชวนเขามากินข้าวที่ร้าน เขาบอกว่าอาจจะไปปีหน้า แอดแม่บอกว่า มาเลย เดี๋ยวเลี้ยงข้าว 

มิตรภาพของคนสองคนที่เกิดขึ้นในเวลาอันสั้น 

มันเกิดจากที่คนคนนึงประทับใจในเรื่องราวชีวิตและการต่อสู้ของคนอีกคนหนึ่ง 

ขอให้เรื่องราวของ Oday เป็นกำลังใจดีๆ ให้หลายๆ คน ค่ะ

ต้น กับ จิ๊บ

‘นันทิวัฒน์’ ชี้!! ‘สังคมเมกา’ อาการหนัก!! ใครคิดสะท้อนเสรีภาพตน ต้องมีขอบเขต หลังพบ รร.ดังไล่เด็กนักเรียนออก เพียงเพราะแม่เด็กโพสต์หนุนปาเลสไตน์

เสรีภาพ?

บรรดาด้อมและสื่อที่รับใช้ต่างชาติ ช่วยอ่านข่าวนี้หน่อย

‘อเมริกา’ ประเทศต้นแบบประชาธิปไตย ประเทศที่ด้อมคลั่งไคล้ว่า ‘มีเสรีภาพ’ ทำกับประชากรของตนเองยังไง

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ‘The Council on American - Islamic Relations’ เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ สืบสวนสาเหตุการไล่ ‘Jad Abuhamda’ นักเรียนของโรงเรียน The Pine Crest School ที่ฟลอริด้า หลังจากที่ ‘Dr. Maha Almasri’ แม่ของเด็กนักเรียน ซึ่งเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ของโรงเรียน ได้โพสต์ข้อความสนับสนุนปาเลสไตน์ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์

ทางโรงเรียนมองว่า “เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และปลุกปั่นความไม่สงบ”

เรื่องการต่อสู้ในปาเลสไตน์ ใครจะคิดอะไร ใครจะสนับสนุนฝ่ายไหน ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ทุกฝ่ายมีจุดยืนวิธีคิด มีการรับรู้ที่แตกต่างกัน

แต่ตรงกันข้ามกับกรณีนี้ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ มันน่าแปลก ประเทศต้นแบบของการแสดงความคิดเห็น คนกลับมีเสรีภาพลดลง

นั่นหมายความว่า “เสรีภาพต้องมีขอบเขต”

สงคราม ‘อิสราเอล-ฮามาส’ อีกหนึ่งความขัดแย้งที่สะเทือนโลกทั้งใบ

ปี 2566 กำลังจะจบลง แต่สิ่งที่คงยังไม่จบลงง่าย ๆ เห็นจะเป็นความขัดแย้งอันละเอียดอ่อน ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนตะวันออกกลางให้สั่นคลอน นั่นคือ สงครามระหว่าง ‘อิสราเอล-ฮามาส’ ที่ได้เริ่มเปิดฉากโจมตีใส่กัน ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา และยังไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด

อีกทั้ง ประชาชนของทั้ง 2 ฝ่าย ก็ยังตกเป็นเหยื่อที่ต้องทนทุกข์จากพิษของสงคราม โดยชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์จำนวนมากยังคงติดอยู่ในประเทศ และเผชิญกับความยากลำบากเพราะขาดไฟฟ้า น้ำประปา และความสะดวกด้านสาธารณูปโภค

โดยเหตุการณ์ทั้งหมด เริ่มต้นมาจากการที่กลุ่มนักรบปาเลสไตน์ หรือ ‘ฮามาส’ ได้เปิดฉากระดมยิงจรวดหลายพันลูกจากฉนวนกาซา โจมตีอิสราเอลแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 7 ต.ค.ผ่านมา พร้อมทั้งส่งกองกำลังติดอาวุธหลายสิบคน แทรกซึมเข้าไปโจมตีในหลายเมืองทางตอนใต้ของอิสราเอล พร้อมจับตัวประกันไว้หลายคน ซึ่งมีแรงงานไทยด้วยจำนวนหนึ่ง

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ ‘เบนจามิน เนทันยาฮู’ นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ออกมาประกาศว่า เวลานี้ประเทศอิสราเอลอยู่ใน ‘ภาวะสงคราม’ อย่างเต็มรูปแบบ และยังได้ระดมทหารกองหนุนเพื่อมาร่วมต่อสู้แล้ว โดยเขาประกาศว่า นี่จะเป็นการแก้แค้นครั้งใหญ่ให้กับคนหนุ่มสาวทุกคนที่เสียชีวิต และจะเปลี่ยนฉนวนกาซาให้เป็น ‘เกาะร้าง’

กลุ่มฮามาสได้ออกมาอ้างเหตุผลว่า การโจมตีครั้งนี้มีขึ้นเพื่อตอบโต้ต่อความโหดร้ายทั้งหมด ที่ชาวปาเลสไตน์ต้องเผชิญจากอิสราเอลตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการกระทำของกองกำลังอิสราเอลที่บุก ‘มัสยิดอัล-อักซอ’ (Al-Aqsa) ในนครเยรูซาเล็ม อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม และการปฏิบัติที่เลวร้ายต่อนักโทษปาเลสไตน์ในเรือนจำอิสราเอล

การปะทะกันระหว่างฮามาสกับกองกำลังความมั่นคงของอิสราเอล ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตของ 2 ฝั่ง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ นักรบ และพลเรือนผู้บริสุทธิ์ พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังถือเป็นวิกฤติตัวประกันครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อีกด้วย

โดยยอดผู้เสียชีวิตทางฝั่งของชาวปาเลสไตน์ ล่าสุดสูงถึง 20,000 คน (ตัวเลขเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 66) นับตั้งแต่อิสราเอลเริ่มทิ้งระเบิดเพื่อตอบโต้การโจมตี ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1% ของประชากรจำนวน 2.2 ล้านคนในพื้นที่ฉนวนกาซา ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 4,100 คน หมายความว่า มีเด็กเสียชีวิตเฉลี่ย 1 คนในทุก 10 นาที (ตัวเลขเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 66)

ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตของทางฝั่งอิสราเอล ซึ่งมีทั้งชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติ เสียชีวิตมากกว่า 1,400 ราย จากการโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โดยข้อมูลอย่างละเอียดของทางการอิสราเอล ได้ทำการพิสูจน์อัตลักษณ์ของผู้เสียชีวิตแล้ว 1,159 ราย พบว่า เป็นพลเรือน 828 ราย และเด็ก 31 ราย (ตัวเลขเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 66) อย่างไรก็ดี ระบบป้องกันภัยทางอากาศ (Iron Dome) ของอิสราเอล สามารถป้องกันความเสียหายร้ายแรง หรือการบาดเจ็บล้มตายเอาไว้ได้

ต่อมา ในช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ประเทศกาตาร์ ซึ่งเป็นตัวกลางในการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ได้ออกมาเผยว่า อิสราเอลและกลุ่มฮามาส จะหยุดยิงเป็นเวลา 4 วัน และตัวประกันชุดแรก 13 คน ซึ่งเป็นผู้หญิงและเด็ก จะถูกปล่อยตัวออกมาฉนวนกาซา ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน และได้มามีการขยายเวลาหยุดยิงเพิ่มขึ้นอีก รวมเป็นระยะเวลา 7 วัน เพื่อแลกกับการปล่อยตัวประกัน โดยมีประเทศกาตาร์ เป็นตัวกลางในการเจรจาข้อตกลง เพื่อช่วยเหลือตัวประกันที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ให้ได้รับอิสระ เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายประกาศชัดเจนว่า จะกลับมาสู้รบกันอีกครั้ง หลังข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวสิ้นสุดลง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา กองทัพอิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีฉนวนกาซาอีกครั้งในรอบสัปดาห์ เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนข้อตกลงสิ้นสุด จึงถือเป็นการสิ้นสุดข้อตกลงหยุดยิงของทั้ง 2 ฝ่าย และเดินหน้าสู้รบกันต่ออีกครั้ง

การสู้รบกันระหว่าง ‘อิสราเอล-ฮามาส’ รอบล่าสุดนี้ ถือเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี และกลายเป็นการทำสงครามข้ามปี ตามรอย ‘รัสเซีย-ยูเครน’

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

‘กลุ่ม IS’ ยอมรับ!! อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด 2 ครั้ง ในวันงานพิธีรำลึก ‘นายพล กาเซม โซเลมานี’

(5 ม.ค. 67) สื่อต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ออกมาประกาศอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิด 2 ครั้งซ้อนในพิธีรำลึกครบรอบวันตายของ พล.อ.กาเซม โซเลมานี อดีตผู้บัญชาการหน่วยคุดส์ (Quds) ของอิหร่าน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเกือบ 100 คน และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก

ในถ้อยแถลงที่โพสต์เทเลแกรม ไอเอสอ้างว่าสมาชิกนักรบ 2 รายได้จุดชนวนเข็มขัดระเบิดท่ามกลางฝูงชนที่กำลังเข้าร่วมพิธีรำลึก บริเวณสุสานในเมืองเคอร์มาน (Kerman) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอิหร่านเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

พิธีรำลึกครั้งนี้จัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปีการเสียชีวิตของ โซเลมานี ซึ่งถูกกองทัพสหรัฐฯ ส่งโดรนเข้าไปลอบสังหารที่อิรักเมื่อปี 2020

จอห์น เคอร์บีย์ โฆษกทำเนียบขาว บอกกับสื่อมวลชนว่า สหรัฐฯ “ไม่อยู่ในสถานะที่จะตั้งข้อสงสัย” กับคำกล่าวอ้างผลงานของไอเอส ขณะที่เตหะรานประกาศจะแก้แค้นเหตุโจมตีครั้งเลวร้ายซึ่งทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายมากที่สุดในยุคหลังการปฏิวัติอิสลามปี 1979

เหตุระเบิดครั้งนี้นอกจากจะคร่าชีวิตคนไปเกือบร้อย ยังทำให้มีผู้บาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 284 คน รวมถึงเด็กๆ

“ทหารของ โซเลมานี จะหยิบยื่นการแก้แค้นที่สาสมต่อพวกเขา” โมฮัมหมัด มอคเบอร์ รองประธานาธิบดีคนที่หนึ่งของอิหร่าน ให้สัมภาษณ์สื่อที่เมืองเคอร์มาน

ทางการอิหร่านยังเรียกร้องให้ผู้คนออกมารวมตัวกันครั้งใหญ่ในวันศุกร์ ซึ่งจะมีการจัดพิธีศพให้แก่เหยื่อจากเหตุระเบิด 2 ครั้งซ้อน

กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติแห่งอิหร่าน (IRGC) ประณามเหตุโจมตีครั้งนี้ว่าเป็นการกระทำอัน “ขี้ขลาดตาขาว” ที่ “หวังสร้างความระส่ำระสาย และบ่อนทำลายความรักและการอุทิศตนที่คนอิหร่านมีต่อสาธารณรัฐอิสลาม”

ประธานาธิบดี เอบราฮิม ไรซี แห่งอิหร่าน ประณามเหตุระเบิดครั้งนี้ว่าเป็น “อาชญากรรมที่ชั่วร้ายและไร้ความเป็นมนุษย์” ขณะที่ อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่านก็ประกาศกร้าวว่าจะต้อง “แก้แค้น”

ด้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้แถลงประณาม “การก่อการร้ายที่ขี้ขลาดตาขาว” ในอิหร่าน พร้อมแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต และรัฐบาลอิหร่านด้วย

แม้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้บงการและแรงจูงใจในการก่อเหตุยังไม่มีการเปิดเผยแน่ชัด แต่ แอรอน เซลิน (Aeron Zelin) ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวอชิงตันเพื่อนโยบายตะวันออกใกล้ (Washington Institute for Near East Policy) ระบุว่า ตนจะไม่ประหลาดใจเลยหากสุดท้ายพบว่าเป็นฝีมือของกลุ่ม ISIS-Khorasan หรือ ISIS-K ซึ่งเป็นเครือข่ายไอเอสที่มีฐานอยู่ในอัฟกานิสถาน

เซลิน ชี้ว่า รัฐบาลอิหร่านเคยออกมากล่าวหา ISIS-K ว่าอยู่เบื้องหลังแผนโจมตีหลายครั้งที่ถูกสกัดเอาไว้ได้ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกจับกุมจะเป็นชาวอิหร่าน ชาวเอเชียกลาง และชาวอัฟกันที่มาจากเครือข่ายไอเอสในอัฟกานิสถาน มากกว่าเครือข่ายไอเอสในอิรักและซีเรีย

กลุ่มไอเอสมีความชิงชังชาวชีอะห์ซึ่งเป็นศาสนาอิสลามนิกายหลักในอิหร่าน และมุสลิมชีอะห์ก็ตกเป็นเป้าหมายโจมตีบ่อยครั้งในอัฟกานิสถาน เนื่องจากไอเอสมองว่าเป็นพวกละทิ้งศาสนา (apostates) อีกทั้งนักรบอิสลามิสต์กลุ่มนี้ก็ข่มขู่โจมตีอิหร่านมานานหลายปีแล้ว

การถูกกลุ่มตอลิบานไล่กวาดล้างส่งผลให้ ISIS-K อ่อนกำลังลงมากในอัฟกานิสถาน และสมาชิกบางส่วนต้องอพยพย้ายไปยังประเทศข้างเคียง ทว่ากลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ยังคงวางแผนปฏิบัติการภายนอกประเทศอยู่ ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 

'ดร.สุวินัย' แนะ!! หากสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิด อย่าจิตตก แล้วคิดรับมือแบบนักยุทธศาสตร์

(21 ม.ค.67) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ในหัวข้อ ถ้าเกิดสงครามโลกครั้งที่สามจริง เราควรจะเตรียมรับมืออย่างไร? หลังมีคนเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับประเด็นนี้ โดยระบุว่า…

สวัสดีท่านอาจารย์สุวินัยด้วยความเคารพครับ ผมขออนุญาตสอบถามขอความรู้จากท่านอาจารย์ในบางเรื่องครับ ทั้งนี้ตามแต่ท่านอาจารย์จะกรุณาครับ

สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ดูคลิปพระท่านเล่าคำพยากรณ์ของหลวงปู่ชอบว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งโดยส่วนตัวผม หากพระที่ท่านเล่าในคลิป ท่านถ่ายทอดได้ถูกต้องตรงตามจริง ผมเชื่อว่าองค์หลวงปู่ท่านน่าจะมีอนาคตังศญาน ท่านพยากรณ์ไม่ผิดแน่
ผมก็เลยอยากขอความรู้ท่านอาจารย์ว่าหากเกิดสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่สามจริง นอกจากการฝึกจิตฝึกใจภาวนาเจริญสติ (ซึ่งก็ได้ฝึกฝนอยู่) ผู้ที่ทำงานประจำอย่างผม จะต้องเตรียมรับมือในแง่การเงินในแง่เศรษฐกิจ ในแง่ปากท้อง และการใช้ชีวิตสำหรับครอบครัวอย่างไรครับ เพื่อให้ผ่านสภาวะดังกล่าวไปได้ (เพราะผมนึกไม่ออกไม่มีข้อมูลว่าการใช้ชีวิตในช่วงสงครามในเมืองไทย จะมีสภาพเป็นอย่างไร)

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ
~ ป๊อก

ซึ่ง ดร.สุวินัย ภรณวลัย ได้ตอบกลับว่า…

- คำถามนี้ของคุณเป็นคำถามที่ยากและเป็นคำถามที่ใหญ่มากนะ แต่คนที่ใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่างไม่ประมาท ก็ควรมีคำตอบที่ตกผลึกระดับหนึ่งให้กับตัวเองต่อคำถามนี้
- ในวิธีคิดของผม ผมจะแยกประเด็น ‘การเกิดสงครามโลกครั้งที่สามนี้’ ออกเป็นประเด็นย่อยๆ หลายข้อ ซึ่งมันจะช่วยให้เราเข้าใจและตระหนักถึงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

1.) ‘สงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นหรือไม่?’
ตอบ : ตอนนี้มันมีเค้าลางในสมรภูมิ 3 สมรภูมิ คือในยุโรปที่ยูเครน ในตะวันออกกลาง ที่กาซากับเยเมน และในเอเชีย ที่เกาหลีเหนือกับไต้หวัน
2.) จึงควรถามต่อว่า ‘จะเกิดขึ้นเมื่อไร?’
ตอบ : โดยส่วนตัว ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดในอนาคตอันใกล้นะ คือมันจะไม่บานปลายกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม แบบเดียวกับสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างน้อยจนถึงปี 2035…แต่หลังจากนั้นไม่แน่ 

อย่างไรก็ดีช่วงสิบปีต่อจากนี้ โลกจะวุ่นวายแน่นอน จากวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และสงครามไฮบริดเพื่อบั่นทอนสมรรถภาพในการทำสงครามโลกของขั้วมหาอำนาจอีกฝ่าย… จึงมองโลกสิบปีข้างหน้าอย่างโลกสวยไม่ได้เป็นอันขาด

3.) ‘โลกสิบปีข้างหน้ามันมีเมกะเทรนด์อะไรบ้าง?’
ตอบ : โลกของ ‘ทุนนิยม’ (capitalism) จะเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกของ ‘ดาต้านิยม’ (dataism) อย่างเต็มรูปแบบ อัลกอริทึมและปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาแทนเงินทุน และอุตสาหกรรม 3.0 ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอนาคต ผู้คนจะตกงานมหาศาล เพราะโลกกำลังโละระบบเก่า เพื่อไปสู่ระบบใหม่ ที่ควบคุมด้วยเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (Technocracy) ที่ประชาชนโลก ไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งใด แต่จะถูกระบบจัดสรรให้ในรูป Universal Basic Income ผ่านระบบการเงินแบบดิจิทัลของธนาคารกลาง ที่เรียกว่า CBDC

ต่อไปผู้คนจำนวนมากจะไม่อาจสร้างความมั่งคั่งส่วนตัวได้เหมือนผู้คนในศตวรรษที่ 20 หรือต้นศตวรรษที่ 21 ทำได้เพียงแบมือรอความช่วยเหลือ และการจัดสรรให้จากระบบรัฐ ตามที่รัฐเห็นสมควรเท่านั้น (การแจกเงินดิจิทัลเป็นจุดเริ่มต้น)

● เราจึงได้เห็นการสร้างหนี้มหาศาลไปทั่วโลก ทุกประเทศแบบดินพอกหางหมู 
- 90% ของครัวเรือนทั้งประเทศของประเทศนี้ล้วนแบกหนี้
- ธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศนี้ก็แบกหนี้มหาศาล ถึงขนาดต้องพึ่งหุ้นกู้จากประชาชน เพราะได้กู้เงินจากสถาบันการเงินเต็มลิมิตขีดจำกัดแล้ว
● ในสถานการณ์แบบนี้ ครัวเรือนไหนไม่มีหนี้ ไม่ก่อหนี้เลย ครัวเรือนนั้นถือว่ามีบุญที่สุด โชคดีที่สุด ถึงจะเป็นคนส่วนน้อยของประเทศนี้ก็ตาม
● เราไม่อาจขวางทางพายุของการเปลี่ยนผ่านที่กำลังปัดกวาดทำลายล้างระบบโลกเก่าในทุกมิติ
- ทางด้านเศรษฐกิจที่โครงสร้างการเจริญเติบโตทำได้ด้วยการก่อหนี้มโหฬารในระบบ
- ทางด้านชีวิตผู้คนที่ต้องเผชิญกับโรคระบาด ภัยพิบัติธรรมชาติ และมิคสัญญีความวุ่นวายทางสังคมไม่รู้จบสิ้น
- ทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ผ่านการสร้างสงครามใหญ่ เพื่อไปสู่ระเบียบโลกใหม่
● เราจึงต้องเรียนรู้เพื่อเข้าใจระบบและปรับตัวไปตามพายุของการเปลี่ยนผ่านนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสรอดอย่างบูรณาการ และอย่างมีสมดุลที่สุดทั้งทางโลกและทางธรรม

4.) ‘เราต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไรบ้าง?’
ตอบ :
●  ควรออกจากตลาดทุน/ตลาดหุ้น ที่กำลังจะพังทลายหรือเดินหน้าดิ่งลงเหว ยกเว้นเจ้าตัวเป็นเทรดเดอร์ขั้นเทพ ที่เป็นชนกลุ่มน้อยฝ่ายผู้ชนะในตลาดหุ้น
● เก็บความมั่งคั่งส่วนตัวที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบดิจิทัล (ไม่สะสมเหรียญคริปโต) ซึ่งก็คือ ที่ดินเกษตร ที่ดินทำกินแบบเศรษฐกิจพอเพียง
● มีสังกัดในชุมชนเครือข่ายที่มีความพร้อมเรื่องปัจจัยสี่ ถ้าโลกเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอย เกิดสงครามใหญ่ตามภูมิภาคต่างๆ จนผู้คนในเมืองใหญ่ตกงานเป็นจำนวนมาก
● ดูแลระบบภูมิชีวิตของตนเองและคนในครอบครัวให้แข็งแกร่ง พร้อมสู้กับทุกการรุกรานต่อสุขภาพร่างกาย ทั้งเชื้อโรค และอากาศเป็นพิษ
● เตรียมที่หลบภัยอย่างเหมาะสม เป็นแผนสำรองฉุกเฉินหากเกิดสงครามลุกลามมาถึง (เมืองไทยยังไม่น่ากังวลเรื่องนี้อย่างน้อยในช่วงสิบปีต่อจากนี้)

หัวข้อนี้ เราควรคิดเผื่อไว้แบบนักยุทธศาสตร์ แต่มิใช่เอามาครุ่นคิดวิตกจนจิตฟุ้งซ่านกังวลเป็นอันขาด

ในฐานะที่คุณป๊อกและผมต่างก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนาเหมือนกัน เราควรมีจิตตั้งมั่นแบบ ‘อจลจิต’ หรือจิตที่ไม่หวั่นไหว เพื่อพร้อมเผชิญหน้ากับวิกฤตทุกรูปแบบที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตเราและครอบครัวของเรา

ด้วยความปรารถนาดี

‘ปูติน’ ลั่น!! รัสเซียไม่คิดขยายวงสงครามไปประเทศอื่น เผย เกือบปิดดีลยูเครนสำเร็จ แต่อีกฝ่ายถอยทัพไปก่อน

เมื่อไม่นานนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอเมริกันเป็นครั้งแรก ของ ประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ แห่งรัสเซีย ได้กล่าวยืนยันว่า รัสเซียจะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองจนถึงที่สุด แต่เขาไม่สนใจที่จะขยายวงสงครามยูเครนไปยังประเทศอื่นๆ อย่างโปแลนด์ หรือลัตเวีย

บทสัมภาษณ์ผู้นำรัสเซีย ความยาวกว่า 2 ชั่วโมง โดย ‘ทัคเกอร์ คาร์ลสัน’ อดีตพิธีกรรายการทอล์กโชว์แนวการเมืองชาวอเมริกัน ผู้เคยจัดรายการ Tucker Carlson Tonight ทางช่องฟ็อกซ์นิวส์ ที่คาร์ลสันเดินทางมาสัมภาษณ์ที่กรุงมอสโก ของรัสเซีย เมื่อวันอังคารที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่นำออกอากาศทาง tuckercarlson.com เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ. ในช่วงหนึ่ง ปูตินกล่าวว่า ผู้นำตะวันตกตระหนักดีว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างความปราชัยทางยุทธศาสตร์ให้กับรัสเซีย และกำลังสงสัยว่าจะทำอย่างไรต่อไป ก่อนที่ปูตินจะกล่าวต่อไปว่า “เราพร้อมสำหรับการเจรจา”

เมื่อถูกคาร์ลสันถามถึงฉากทัศน์ที่ผู้นำรัสเซียจะส่งกองทหารรัสเซียเข้าไปยังโปแลนด์ ซึ่งเป็นชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) หรือไม่ ปูตินกล่าวตอบว่า “มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น หากโปแลนด์โจมตีรัสเซีย ทำไมน่ะเหรอ? เพราะเราไม่มีความสนใจโปแลนด์ ลัตเวีย หรือที่อื่นใด”

ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์ที่ปูตินพูดเป็นภาษารัสเซียและถูกพากย์ทับเป็นภาษาอังกฤษนั้น ปูตินเริ่มต้นด้วยการร่ายยาวถึงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของรัสเซียกับยูเครน โปแลนด์ และประเทศอื่นๆ และใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการคร่ำครวญว่า ยูเครนใกล้จะบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามแล้ว ในการเจรจาที่นครอิสตันบูลเมื่อเมษายนปี 2022 แต่อีกฝ่ายกลับถอยไป เมื่อทหารรัสเซียถอนกำลังออกจากพื้นที่ใกล้กรุงเคียฟ

ปูตินยังกล่าวถึงสหรัฐอเมริกาว่า มีประเด็นเร่งด่วนภายในประเทศที่ต้องกังวล

“จะดีกว่าไหมถ้าเจรจากับรัสเซีย? ทำข้อตกลง ได้เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังพัฒนาไปในขณะนี้แล้ว โดยตระหนักว่ารัสเซียจะสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองจนถึงที่สุด”

นอกจากนี้ ผู้นำรัสเซียยังกล่าวด้วยว่า เขาเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุข้อตกลงในการปล่อยตัว ‘นายอีแวน เกิร์ชโควิช’ นักข่าวอเมริกันของหนังสือพิมพ์เดอะ วอลสตรีทเจอร์นัล ที่ถูกจับกุมในประเทศรัสเซีย เมื่อเกือบ 1 ปีก่อนและกำลังรอการพิจารณาคดีในข้อหาจารกรรม โดยปูตินเปิดเผยว่า หน่วยปฏิบัติการพิเศษของรัสเซียและสหรัฐฯ กำลังหารือกันในคดีเกิร์ชโควิชอยู่ ซึ่งมีความคืบหน้าอยู่บ้าง

นับเป็นการให้สัมภาษณ์สื่อสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกของปูตินนับจากปี 2021 และก่อนที่สงครามรุกรานยูเครนของรัสเซียจะเปิดฉากขึ้นเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน

‘เจ้าชายวิลเลียม’ วอน!! ‘หยุดยิง’ ในกาซา ชี้!! สงครามทำผู้คนล้มตายมากเกินไปแล้ว

เจ้าชายวิลเลียมแห่งอังกฤษทรงเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา และตรัสว่า “ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส” จากสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งทำให้ “มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากมาย” ทำให้การฟื้นฟูสันติภาพคือสิ่งจำเป็น

(21 ก.พ.67) รอยเตอร์ รายงานว่า เจ้าชายวิลเลียม มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ ทรงออกคำแถลงเมื่อวันอังคาร (20 ก.พ.) เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่พลเรือนในกาซา และทรงเรียกร้องให้กลุ่มฮามาสปลดปล่อยตัวประกันทั้งหมดด้วย

“ข้าพเจ้ายังคงกังวลอย่างมากเกี่ยวกับต้นทุนมนุษย์ (human cost) ที่สูญเสียไปจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง นับตั้งแต่ผู้ก่อการร้ายฮามาสโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. มีผู้คนถูกสังหารมากมายเกินไปแล้ว” เจ้าชายวิลเลียมตรัส

“บางครั้งก็ต้องให้เผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานครั้งใหญ่ของมนุษย์ เราจึงจะเห็นคุณค่าของสันติภาพที่ยั่งยืนถาวร”

ย้อนหลังไปเมื่อปี 2018 เจ้าชายวิลเลียมทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของอังกฤษพระองค์แรกที่เดินทางไปเยือนอิสราเอลและดินแดนปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ และได้ทรงติดตามสถานการณ์ในภูมิภาคอย่างใกล้ชิดตลอดมา

สำนักพระราชวังเคนซิงตันแถลงว่า กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้รับทราบเนื้อหาในพระดำรัสของเจ้าชายวิลเลียม ก่อนที่จะมีการเผยแพร่ออกมา 

เจ้าชายวิลเลียมวัย 41 พรรษาได้เสด็จไปยังสำนักงานใหญ่สภากาชาดอังกฤษในกรุงลอนดอนเมื่อวานนี้ (20) เพื่อทรงรับฟังแนวทางการปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลาง

“ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกับอีกหลายๆ คนที่อยากเห็นสงครามครั้งนี้จบลงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้... ชาวกาซาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพิ่มขึ้นโดยด่วน การส่งความช่วยเหลือเข้าไป และการปล่อยตัวประกัน คือสิ่งที่สำคัญยิ่งยวด” เจ้าชายตรัส

อีลอน เลวี โฆษกรัฐบาลอิสราเอล ได้ออกมาแถลงตอบพระดำรัสของเจ้าชายแห่งเวลส์ โดยกล่าวว่า “ชาวอิสราเอลก็ปรารถนาที่จะเห็นการสู้รบยุติลงโดยเร็วที่สุดเช่นกัน และนั่นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อตัวประกัน 134 คนได้รับการปลดปล่อย และหลังจากที่กองทัพผู้ก่อการร้ายฮามาสซึ่งข่มขู่ใช้ความรุนแรงเหมือนเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ถูกทำลายหมดสิ้นไป”

เลวี กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า รัฐบาลอิสราเอล “รู้สึกซาบซึ้งที่เจ้าชายแห่งเวลส์ทรงเรียกร้องให้ฮามาสปลดปล่อยตัวประกัน และยังสำนึกในพระกรุณาฯ ที่ได้ทรงมีพระดำรัสเมื่อวันที่ 11 ต.ค. ประณามการก่อการร้ายโดยพวกฮามาส อีกทั้งทรงสนับสนุนสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอล”

สัปดาห์หน้าเจ้าชายวิลเลียมทรงมีกำหนดการเสด็จเยี่ยมโบสถ์ยิวแห่งหนึ่ง เพื่อทรงรับฟังมุมมองจากคนหนุ่มสาวเกี่ยวกับการรับมือกระแสเกลียดชังชาวเซมิติก (anti-Semitism) หลังจากปีที่แล้วเป็นปีที่กระแสต่อต้านชาวยิวในอังกฤษทวีความรุนแรงเป็นประวัติการณ์ 

‘ปธน.เซเลนสกี’ ชี้!! อาจมีคนตายในสงครามยูเครน-รัสเซียอีกนับล้าน หาก ‘สว.สหรัฐฯ’ ไม่เห็นชอบหนุนงบช่วยเหลือ 6 หมื่นล้านดอลลาร์

(26 ก.พ.67) ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ถึงคำพูดของเจ ดี แวนซ์ สว.สหรัฐฯ ที่ว่า ผลของสงครามไม่เปลี่ยนไม่ว่ายูเครนจะได้เงินช่วยเหลือหรือไม่ เซเลนสกีระบุว่า ไม่แน่ใจว่าแวนซ์ เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้

“เพื่อความเข้าใจต้องมาแนวหน้าดูว่าเกิดอะไรขึ้น มาคุยกับผู้คน มาพบพลเรือนจึงจะเข้าใจ อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาถ้าไม่มีความช่วยเหลือ แล้วเขาจะเข้าใจว่า จะมีคนตายอีกล้านๆ คน นี่คือข้อเท็จจริง แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจ เดชะบุญที่บ้านเมืองคุณไม่มีสงคราม” ผู้นำยูเครนกล่าว

คำเตือนของเซเลนสกีเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลังจากเขายอมรับเรื่องความสูญเสียของกองทัพ ว่านับถึงขณะนี้ ทหารยูเครนถูกสังหารไปแล้วราว 31,000 คน

ในการแถลงข่าวที่กรุงเคียฟ เซเลนสกีปัดตัวเลขของรัสเซีย ที่บอกยอดผู้เสียชีวิตฝ่ายยูเครนสูงกว่านี้มาก เซเลนสกีกล่าวว่า พลเรือนหลายหมื่นคนเสียชีวิตในดินแดนยูเครน ที่ถูกกองทัพรัสเซียยึดครอง

“เป็นความสูญเสียหนักของเรา ชาวยูเครนและทหาร 31,000 คน เสียชีวิตในสงครามนี้ ไม่ใช่ 300,000 ไม่ใช่ 150,000 อย่างที่ปูตินกำลังโกหก ทุกชีวิตที่สูญเสียเป็นความเสียหายใหญ่หลวงสำหรับเรา”

ทั้งนี้ ซีเอ็นเอ็นไม่สามารถพิสูจน์ตัวเลขได้อย่างอิสระ ตัวเลขดังกล่าวเปิดเผยออกมาในสุดสัปดาห์ครบรอบ 2 ปี ที่รัสเซียรุกรานยูเครนเต็มรูปแบบ

ตลอดเวลาของความขัดแย้ง รัฐบาลเคียฟไม่ค่อยยอมรับจำนวนทหารเสียชีวิต นายโอเล็กซี เรซนิคอฟ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยูเครน เคยพูดในเดือน มิ.ย.2565 เชื่อว่า ชาวยูเครนถูกสังหารหลายหมื่นคนนับตั้งแต่เดือน ก.พ.ปีนั้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top