Thursday, 2 May 2024
มิจฉาชีพ

ตร. เตือน ระวังมิจฉาชีพฉวยโอกาสจากความเดือนร้อน หลอกลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือ หวังข้อมูลส่วนตัว

วันที่ (19 ก.ย. 2565) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

เนื่องด้วยในห้วงที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า มักมีกลุ่มกลุ่มมิจฉาชีพที่มีพฤติการณ์ในการกระทำความผิดโดยอาศัยความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนสร้างเรื่องราวในการหลอกลวงด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การหลอกลงทะเบียนรับวัคซีนโควิด-19 ปลอม การหลอกลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือจากโควิด-19 ปลอม และหลอกลวงลงทะเบียนรูปแบบอื่น ๆ อ้างว่าเพื่อรับเงินช่วยเหลือต่าง ๆ นั้น

ซึ่งในปัจจุบัน พบว่ามีพี่น้องประชาชนบางส่วนได้รับความเสียหายจากการเกิดฝนตกหนักและอุทกภัยในหลายพื้นที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนมายังพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพที่ฉวยเอาโอกาสนี้ ในการสร้างเว็บไซต์ปลอม หรือโพสต์ข้อมูลปลอมในสื่อสังคมออนไลน์ อ้างเป็นหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชน เปิดลงทะเบียนเพื่อรับเงินหรือสิ่งของช่วยเหลือจากน้ำท่วม โดยหวังเอาข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อเหยื่อหลงเชื่อส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับคนร้าย ก็อาจถูกนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายเสียหายให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวได้

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นเว็บไซต์หรือบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ใด อ้างเป็นหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชน เปิดให้ติดต่อลงทะเบียนเพื่อรับเงินหรือสิ่งของช่วยเหลือต่าง ๆ ขอให้โทรศัพท์สอบถามหรือติดต่อกับหน่วยงานดังกล่าวโดยตรง ว่ามีการจัดให้ลงทะเบียนเพื่อรับเงินหรือสิ่งของช่วยเหลือจริงหรือไม่ หากไม่จริง ขอให้พี่น้องประชาชนแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบโดยเร็ว เพื่อดำเนินการกับกลุ่มมิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสจากความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และหากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการอาชญากรรมทางไซเบอร์ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานทีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ด้วยตนเองที่เว็บไซต์ https://www.thaipoliceonline.com/ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เตือนคนพม่าเข้าไทย หวังย้ายไปประเทศที่ 3 ระวังถูกขายฝัน ปันเงินก้อนสุดท้ายไปให้มิจฉาชีพ

ท่ามกลางกระแสในประเทศไทยที่มีการโหมโรงเรื่องย้ายประเทศกันเถอะ เปิดโอกาสให้คนไทยหลายคนที่เบื่อหน่ายกับรัฐบาลลุงตู่ จนอยากที่จะขอไปตายเอาดาบหน้า แต่จนแล้วจนรอด ส่วนใหญ่คนที่ออกตัวที่จะไปตายเอาดาบหน้า ก็เห็นกลับมาตายเอาที่ประเทศสยามขวานทองเหมือนเดิม เพราะการที่จะย้ายไปใช้ชีวิตในต่างประเทศนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด

วันนี้เอย่าเลยถือโอกาสขอเล่าเรื่องของการย้ายประเทศ โดยเราจะตัดเรื่องความวุ่นวายในการทำเรื่องย้ายประเทศไปก่อน แล้วมาดูตัวแปรอื่น ๆ กัน 

การที่จะไปใช้ชีวิตในต่างแดนนั้น ไม่ง่าย!! เริ่มจากความต่างของภาษา ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณมีความเก่งกาจในการสื่อสารภาษาอังกฤษพอ การที่จะย้ายประเทศไปอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารคงไม่ใช่เรื่องที่ลำบากมากนัก แต่อย่าลืมว่าประเทศส่วนใหญ่บนโลกนี้ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการย้ายไปในบางประเทศ คุณต้องเรียนรู้ภาษาใหม่ เพื่อให้เอาตัวรอดในการใช้ชีวิตประจำวันได้  

ต่อมาคือเรื่องของอาหารการกิน แม้หลายคนอาจจะถูกปากถูกใจกับอาหารฝรั่ง แต่เราต้องกินอาหารแบบนี้ทุกวัน คือ ต้องอยู่กับมันให้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ!! จำได้ว่าเมื่อเอย่ามาถึงเมียนมาครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เราทานอะไรไม่ได้เลย เอย่าต้องใช้ชีวิตกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จนน้ำหนักลดไปเป็น 10 กิโลตั้งหลายเดือน กว่าจะหลงเสน่ห์อาหารพม่าจนน้ำหนักกลับพุ่งทะยานจนเกินกว่าวันแรกที่เข้ามาเหยียบแผ่นดินเมียนมานี้ 

แค่ 2 เรื่องนี้ยังต้องใช้การปรับตัวแรมปี ไหนจะเรื่องเงินที่ต้องมีพอในการใช้จ่ายก่อนที่จะหาการหางานทำเพื่อหาเงินได้ ซึ่งมันไม่ได้ง่ายเลย

พูดถึงเรื่องย้ายประเทศไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นที่มีความคิดแบบนี้ แต่คนเมียนมาที่หนีจากการปกครองของระบบทหารก็คิดจะไปหาที่อยู่ใหม่เช่นกัน สำหรับรายที่รวยพอมีเงินหนาพอที่ไม่ต้องไปเป็น PDF เขาก็เลือกที่จะไปใช้ชีวิตใหม่ต่างแดนอย่างสบายใจ แต่คนเมียนมาที่เป็นชนชั้นกลางที่มีความฝันในการสู้แล้วพอช่องทางลี้ภัยจากการช่วยเหลือผ่านองค์กร NGO ต่าง ๆ ที่เข้ามาสนับสนุนทางการเงินให้แก่กลุ่ม นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความฝันที่พวกเขาจะได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตใหม่

MDES เตือนภัย!! มิจฉาชีพหากินบนความโศกเศร้า เปิดรับบริจาคร่วมทำบุญญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงฯ

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า จากกรณีเหตุการณ์คนร้ายกราดยิง ภายในศูนย์เด็กเล็ก ที่จังหวัดหนองบัวลำภู จนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย ได้สร้างความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะครอบครัวของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จึงขอให้ระวังผู้ไม่หวังดีแอบอ้างใช้โอกาส เปิดรับบริจาคทำบุญครอบครัวผู้เสียชีวิต ผ่านบัญชีธนาคาร จึงขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนตรวจสอบแหล่งที่มาของผู้รับบริจาคก่อนโอนเงินให้ความช่วยเหลือใดๆ เนื่องจากขณะนี้มีมิจฉาชีพใช้โอกาสนี้ ในการหลอกลวงประชาชน 

ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Facebook /YouTube /IG และประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำความผิดต่อไป 

รัฐบาล เตือน!! โจรขโมยของ 'คนน้ำท่วม' ซ้ำเติมความเดือดร้อน โทษหนักกว่าปกติ

(9 ต.ค. 65) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด พร้อมเร่งบรรเทาความเดือดร้อน ช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนัก และฝนตกสะสม น้ำป่าไหลหลาก น้ำทะเลหนุน เนื่องจากบางพื้นที่ต้องอพยพประชาชนไปพักที่ศูนย์อพยพต่าง ๆที่ทางราชการจัดไว้ ทำให้ประชาชนต้องทิ้งที่อยู่อาศัยเพื่อความปลอดภัยในชีวิต นายกรัฐมนตรี ห่วงใยทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน จึงได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหมั่นตรวจตราดูแลอย่างเข้มข้น

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ฝากเตือนมิจฉาชีพอย่าฉวยโอกาสลักทรัพย์ หรือขโมยตามบ้านเรือนผู้ประสบภัย กรณีนี้ผู้กระทำจะได้รับโทษหนักกว่าปกติเพราะถือว่าเป็นการไปซ้ำเติมผู้ที่กำลังเดือดร้อน โดยจะได้รับโทษ ตามมาตรา 335 (2) ที่กำหนดว่า ผู้ใดลักทรัพย์ในที่หรือบริเวณที่มีเหตุเพลิงไหม้ การระเบิด อุทกภัย หรือในที่หรือบริเวณที่มีอุบัติเหตุ เหตุทุกขภัยแก่รถไฟ หรือยานพาหนะอื่นที่ประชาชนโดยสาร หรือภัยพิบัติอื่นทำนองเดียวกันหรืออาศัยโอกาสที่มีเหตุเช่นว่านั้น หรืออาศัยโอกาสที่ประชาชนกำลังตื่นกลัวภยันตรายใด ๆ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1- 5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท

'ดีอีเอส' พบเพจต้องสงสัยมิจฉาชีพหลอกทำบุญจาก เหตุกราดยิง เตือน!! ปชช.ระวัง หากเจอรีบแจ้ง เพื่อปิดกั้นทันที

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า จากการที่สื่อต่าง ๆ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแจ้งเตือนให้ระวังมิจฉาชีพในสื่อสังคมออนไลน์ใช้โอกาสเปิดรับบริจาคทำบุญครอบครัวผู้เสียชีวิตเหตุการณ์ที่ จ. หนองบัวลำภู ผ่านบัญชีธนาคารนั้น

โดยพบมีผู้โพสต์ทางโซเชียลมีเดีย จำนวน 13 เพจ ได้โพสต์หมายเลขบัญชีรับโอนร่วมทำบุญ เข้าข่ายต้องสงสัย 2 เพจ ถึงแม้แอดมินเพจได้มีการลบโพสต์ออกไปแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบแล้ว ซึ่งหากพบมีการกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและทันท่วงทีต่อไป จึงขอเน้นย้ำให้พี่น้องประชาชนตระหนักและตรวจสอบรายละเอียดก่อนที่จะโอนเงินบริจาค เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดี ซึ่งการโพสต์ดังกล่าวหากตรวจสอบพบการหลอกลวงประชาชนแล้ว มีลักษณะเข้าข่ายนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ตาม พรบ.การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 14 (1) มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 โทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น Facebook /YouTube /IG และประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำความผิดต่อไป

'ชัยวุฒิ' เด็ดปีกแก๊งลวงผ่านออนไลน์ จำกัดเปิดได้ 5 ซิมต่อคน หวังขจัดอวตาร

(26 ต.ค. 65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าประชุมการแก้ปัญหาฉ้อโกงประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ 

โดยชัยวุฒิ กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายแก่กระทรวงดิจิทัลฯ ในการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดคดีหลอกลวงออนไลน์ เพื่อป้องกันการเกิดการเสียหายกับพี่น้องประชาชน รวมถึงสิ่งผิดกฎหมายทั้งหมดในออนไลน์ภายใน 30 วัน ต้องรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ จึงได้จัดให้มีการประชุมขึ้นร่วมกับหลายหน่วยงาน โดยมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตัวแทนรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตัวแทนปลัดกระทรวง ฯลฯ เข้าร่วม

"ในการประชุมมีการพูดถึงเรื่องการปิดกั้นเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีปัญหาโดยทางกระทรวงดิจิทัลฯจะดำเนินการและใช้อำนาจพรบ.คอมฯ อย่างเต็มที่ในการปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมายที่หลอกลวงประชาชนทั้งหมด ขณะที่ประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือการยืนยันตัวตน โดยพบว่ามีอวตารที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ มาหลอกลวงขายของออนไลน์ ทำธุรกรรมออนไลน์เป็นจำนวนมาก จึงแก้ไขปัญหาโดยการจำกัดจำนวนซิมมือถือคือหนึ่งคนสามารถเปิดซิมมือถือไม่เกิน 5 ซิม หากกรณีบริษัทที่จำเป็นในการเปิดซิมมือถือเยอะ ต้องไปแจ้งกับทางกสทช.อีกที กรณีพิเศษ" ชัยวุฒิกล่าว

ด้านทางธนาคารแห่งประเทศไทย เผยประเด็นเรื่องการยืนยันตัวตนว่า การเปิดบัญชีธนาคารแรกต้องเปิดที่ธนาคาร โดยต้องมีบัตรประชาชนในการยืนยันตัวตน ทางธนาคารจะมีการตรวจสอบบัตรประชาชนว่าเป็นบัตรแท้หรือไม่ กรณีที่เปิดบัญชีแรกที่ธนาคาร แล้วไปเปิดบัญชีที่สองในออนไลน์ ซึ่ง Mobile Banking จะมีระบบ Biometric คือการยืนยันตัวตนผ่านใบหน้าตัวเอง ระบบจะนำภาพถ่ายไปเทียบกับฐานข้อมูล ฉะนั้นหากมีการขายบัญชีเกิดขึ้น มิจฉาชีพจะนำบัญชีนั้นไปเปิดใหม่ไม่ได้ เพราะหากใบหน้าไม่ตรงกับฐานข้อมูล ก็ไม่สามารถเปิดบัญชีออนไลน์ได้

'ชัยวุฒิ' คืบ!! แก้ปัญหาลวงปชช. ผ่านสื่อออนไลน์ ฟัน 184 คดี ทำผิดออนไลน์ พร้อมปิด 4,700 URLs

ศาลสั่งฟัน 184 คดี ผู้กระทำความผิดออนไลน์ สั่งปิด มากกว่า 4,700 URLs ด้าน ดีอีเอส ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ปัญหาฉ้อโกงหลอกลวงประชาชนผ่านสื่อออนไลน์ 

(26 ต.ค. 65) นายชัยวุฒิ ธนาคมนุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวในการเป็นประธานการประชุมการแก้ปัญหาฉ้อโกงประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ร่วมกับกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ธนาคารแห่งประเทศ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า...

ดีอีเอส จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อหาแนวทางเร่งรัดและแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการหลอกลวงทางการเงิน ใน 5 ด้าน ได้แก่ 
1. แก๊ง Call Center 
2. แชร์ลูกโซ่-ระดมทุนออนไลน์  
3. การพนันออนไลน์ 
4. บัญชีม้า  
5. การหลอกหลวงซื้อขายสินค้าบริการออนไลน์ 
ซึ่งคนร้ายมีการปรับรูปแบบและวิธีการหลอกหลวงประชาชน จนมีเหยื่อหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก 

‘รัฐบาล’ เดินหน้าปราบมิจฉาชีพฉ้อโกงออนไลน์ สั่ง ‘ดีอีเอส’ ประสานทุกฝ่ายดำเนินคดีผู้กระทำผิด

รัฐบาลเอาจริงปราบฉ้อโกงออนไลน์ มอบดีอีเอสประสานดีเอสไอ สตช. แบงก์ชาติ เร่งแก้ไข พร้อมติดตามการดำเนินคดีผู้กระทำผิด รวบรวมผลรายงานนายกรัฐมนตรีใน 30 วัน พร้อมหนุนป้องกันเยาวชนจากภัยออนไลน์

(29 ต.ค. 65) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาการฉ้อโกงและหลอกลวงประชาชนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของการเงินนอกระบบ เช่น แชร์ลูกโซ่ การเล่นแชร์ และการขายตรง การพนันออนไลน์ รวมทั้งการหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์ โดยคนร้ายมักปรับรูปแบบและวิธีฉ้อโกงและหลอกลวงให้เหยื่อหลงเชื่อโดยมิรู้เท่าทัน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนสูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจกับปัญหาที่ประชาชนยังคงได้รับความเดือดร้อน 

โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหา ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำผิด และหากเป็นกรณีมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องในขบวนการทำผิดนั้นจะต้องลงโทษเด็ดขาด

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังได้มีการหารือถึงปัญหาดังกล่าวและได้มีมติให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกับกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอความร่วมมือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เกิดเป็นรูปธรรม และให้เร่งติดตามการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย 

และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรวบรวมผลการดำเนินการและรายงานต่อนายกรัฐมนตรีภายใน 30 วันโดยภายหลัง ครม. มีมติมอบหมายเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 65 นายชัยวุฒิ ธนาคมนุสรณ์ รมว.ดีอีเอส ได้เชิญหน่วยงานเกี่ยวข้อง อาทิ ดีเอสไอ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ สตช. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง เข้าร่วมประชุมหารือแนวทางเร่งรัดและแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์อย่างเร่งด่วน

 ผบ.ตร.สั่งการชุด PCT รวบแก๊งแขกดำตุ๋นขายเพชรเก๊ 16 ล้าน

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ (3 พ.ย. 65) มีผู้เสียหาย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสน.บางขุนนนท์ ว่าประมานวันที่ ฝ15 มิ.ย. 65 ถึง 20 ต.ค. 65 ได้ถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวง โดยเอาเพชรปลอมมาจำนำครั้งละ 1-2 เม็ด ตามร้านสาขาต่าง ๆ รวม  21 ครั้ง ทำให้ได้รับความเสียหายเป็นเงินกว่า 16 ล้านบาท          

จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้ มีผู้ร่วมขบวนการเป็นชาวต่างชาติ และแหล่งผลิตทำเพชรปลอมนำเข้ามาจากต่างประเทศ พร้อมทั้งมีการทำใบรับรอง หรือที่เรียกว่า 'ใบเซอร์' ตบตาทางร้านได้อย่างแนบเนียนจนทางร้านผู้เสียหายหลงเชื่อ รับจำนำเพชรในราคาที่สูง แต่ได้ 'เพชรปลอม' สูญเงินจำนวนมาก จากแผนประทุษกรรมของกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้ถือว่าเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจอย่างยิ่ง     

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.
ศปอส.ตร (PCT) ให้ปราบปรามกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดในทุกรูปแบบที่สร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก จึงเร่งรัดสั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 5 ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีโดยเร็ว

เมื่อวันที่ (3 พ.ย. 65) เวลาประมาณ 15.00 น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้นำกำลัง เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 5  พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง , พ.ต.ต.ชัยวัฒน์ จงเจริญ , พ.ต.ต.สุริยะ น้อยภักดี , พ.ต.ต.ชัยวัฒน์ เสวกวัง , ร.ต.อ.ปรมา ปราณี, ร.ต.ท.พุฒิพงศ์ กองแก้ว , จ.ส.ต.สรศักดิ์ ด้วงชู, ส.ต.ท.จิรวัฒน์ ศรีมั่นมีชัย ร่วมกันจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้ผู้ต้องหาจำนวน 2 รายเป็นชาวต่างชาติ 1 และชาวไทย 1 ราย คือ

1. Mr.Sajan Dilpkumar Shah หรือ นายซาจัน ดิบคูมาร์ อายุ 32 ปี สัญชาติ อินเดีย ผู้ต้องหา
ตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชันที่ จ.549/2565 ลงวันที่ 3 พ.ย. 65 
2. นายธนะสิทธิ์ สถิตมงคลไพศาล อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9/436 ซ.ศาลธนบุรี 29/2 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ จ.กรุงเทพฯ ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชันที่ จ.548/2565 ลงวันที่ 3 พ.ย. 65 

โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันฉ้อโกง , ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม พร้อมตรวจยึด 
1. ตั๋วรับจำนำจำนวน 10 ฉบับ 
2. วัตถุคล้ายเพชรอีกเป็นจำนวน 18 รายการ 
3. ใบรับรองเพชร จำนวน 19 ฉบับ 
4. โทรศัพท์มือถือ Sumsang Galaxy S22 Ultra สีชมพู จำนวน 1 เครื่อง 
5. สมุดบัญชีธนาคารชื่อบัญชี Mr.Sajan Dilipkumar จำนวน 1 เล่ม 
6. นามบัตรของ Mr.Sajan Shah (Sajji) S.D.Diamond จำนวน 4 ใบ
7. นาฬิกาข้อมือโลหะสีเงิน จำนวน 1 เรือน
8. โทรศัพท์มือถือ Sumsung Galaxy F62 สีน้ำเงิน จำนวน 1 เครื่อง
9. เอกสารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจเกี่ยวกับเพชรจำนวน 7 ฉบับ

จับกุมตัว Mr.Sajan Dilpkumar Shah ได้ที่ ถนนในซอยอินทรพิทักษ์ 1 แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์กล่าวคือ ภายหลังผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.บางขุนนนท์ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด PCT ชุดที่ 5 ได้วิเคราะห์แผนประทุษกรรมโดยละเอียดของกลุ่มคนร้ายจะใช้การลบแก้ไขข้อความบางส่วน โดยทำลายบริเวณของคำว่า 'LABGROWN' คือเพชรที่ทำสังเคราะห์ขึ้นในห้องปฎิบัติการ โดยลบให้เหลือแค่คำว่า “BGROW” ซึ่งยังมองเห็นด้วยกล่องที่ส่องกำลังขยาย และจะมีการยิงเลเซอร์ที่ขอบเพชร ให้ตรงกับหมายเลขประจำใบรับรอง หรือ 'ใบเซอร์' ซึ่งทั้งตัวเพชรและใบเซอร์ต่างถูกปลอมขึ้นทั้งสิ้น เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบโดยละเอียด ตามขนาดของเพชรที่นำมาจำนำมีความแตกต่างของขนาดไปจากข้อมูลบนใบรับรอง , บริเวณขอบเพชรพบว่ามีการทำลายบริเวณของคำว่า “LABGROWN” ให้เหลือเพียง “BGROW” , ตำหนิภายในของเพชรที่นำมาจำนำพบว่าไม่ตรงกับข้อมูลบนใบรับรอง , ลักษณะของใบรับรองปลอมแปลงที่แตกต่างไปจากใบรับรองตัวจริงจากสถาบัน GIA  ซึ่งต่อมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 5 นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ชุดที่ 5 ลงพื้นที่สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิด จนสามารถพิสูจน์ทราบผู้ร่วมขบวนการทั้ง 2 คน ได้คือ Mr.Sajan Dilpkumar Shah หรือ นายซาจัน ดิบคูมาร์ อายุ 32 ปี สัญชาติ อินเดีย และ นายธนะสิทธิ์ สถิตมงคลไพศาล อายุ 45 ปี สัญชาติไทย  ผู้ต้องหาทั้ง 2 จะเดินทางมาก่อเหตุหลอกจำนำเพชรที่ร้านรับจำนำพร้อมกันทุกครั้ง และจากข้อมูลการสืบสวนทราบว่า Mr.Sajan จะเดินทางไปมาระหว่างประเทศไทย – อินเดีย เป็นจำนวน 4 ครั้ง ในช่วงเดือน ต.ค. 65 ที่ผ่านมา  เพื่อลักลอบนำเพชรปลอมเหล่านี้มาจากต่างประเทศ  

สืบนครบาล รวบพงศ์บะฮี เปิดบัญชีม้าหลอกขายอะไหล่มือสองอ้างส่งข้อมูลส่วนตัวรับฟรี 50 บาท

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เร่งปราบปรามอาชญากรรมที่กระทำความผิดในโลกออนไลน์สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สนองนโยบายสั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กวดขัน (ปูพรมสแกน) การกระทำความผิดโดยใช้ช่องทางออนไลน์อย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชาชน

สืบเนื่องจาก 'ชุดลาดตระเวนออนไลน์' สืบสวนนครบาล IDMB ได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนผู้เดือดร้อนว่า คนร้ายใช้เฟสบุ๊คชื่อว่า 'พงศกรอะไหล่ โตโยต้า (Autopart)' ได้โพสต์ขายสินค้าประเภทอะไหล่รถยนต์ ในกลุ่มเฟสบุ๊ค 'EG 3D-4D ห้องซื้อ/ขายอะไหล่' เมื่อผู้เสียหายสนใจ โอนเงินชำระค่าสินค้าไปยังบัญชีของคนร้าย คนร้ายจะทำทีเป็นส่งภาพการส่งสินค้า แจ้งสลิปการส่งสินค้าที่ทำปลอมขึ้น จากแอปพลิเคชันในโทรศัพท์ โดยใช้ชื่อนายพศกร พลเมือง เป็นผู้ส่งสินค้า พร้อมแจ้งให้ลูกค้าทราบ เมื่อผู้เสียหายตรวจสอบในระบบขนส่งกลับไม่พบข้อมูลการจัดส่งและไม่ได้รับสินค้าตามที่ตกลงกันไว้ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่หากินสุจริตจำนวนมาก 

ภายหลังรับเรื่องดังกล่าว 'ชุดลาดตระเวนออนไลน์' สืบสวนนครบาล IDMB ได้สืบสวนติดตามสามารถจับกุมคนร้ายได้แล้ว 1 ราย คือ นายวัชระ นาคสุข ซึ่งเป็นตัวการก่อเหตุโดยสร้างบัญชีเฟซบุ๊กโพสต์หลอกขายอะไหล่รถยนต์มือสองในกลุ่มเฟซบุ๊กต่างๆ กว่า 200 กลุ่ม เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา  

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 เวลาประมาณ 10.25 น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก สส.บช.น. พ.ต.อ.ฤตวีร์ สุขเจริญ  ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.สมพงษ์ เกตุระติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.ธนพล มโนสร รอง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., ด.ต.ทรงศักดิ์ เจียมสกุล, ด.ต.วุทธิไชย มูลสาร, จ.ส.ต.ประดับ สีสัน, จ.ส.ต.กิตติภูมิ จีนแปลงชาติ, ส.ต.อ.ปรัชญ์ กมลพัฒนะ, ส.ต.อ.ประกิต ภูมิวงศ์, ส.ต.อ.ศวร เหมหงษา, ส.ต.อ.เกริกพล กันแก้ว, ส.ต.อ.พงษ์ภัค ประทีปทอง ผบ.หมู่.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายพงศกร พลเมือง อายุ 20 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 238 หมู่ 4 ตำบลบะฮี อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรี ที่ 551/2565 ลงวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2565   

โดยกล่าวหาว่า “โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และฉ้อโกง”  

สถานที่จับกุมตัว หน้าบ้านเลขที่ 238 หมู่ 4 ตำบลบะฮี อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร กล่าวคือ คดีนี้ชุดลาดตระเวนออนไลน์สืบสวนนครบาล IDMB ชุดจับกุมได้ทำการขยายผลติดตามจับกุมผู้ต้องหาซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีม้ารับโอนเงินที่หลอกได้จากผู้เสียหาย หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้เข้าตรวจค้นและจับกุม นายวัชระ นาคสุข (คนร้ายซึ่งเป็นตัวการก่อเหตุสร้างบัญชีเฟซบุ๊กเข้าไปโพสต์หลอกขายอะไหล่รถยนต์มือสองในกลุ่มเฟซบุ๊กต่างๆ กว่า 200 กลุ่ม) เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top