Wednesday, 1 May 2024
มิจฉาชีพ

รวบหนุ่มไต้หวัน-ญี่ปุ่น ตั้ง CALL CENTER ในไทย หลอกประชาชนผู้เสียหายชาวญี่ปุ่นหลายราย

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ สตม.สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 รรท.ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 รรท.ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

1.รวบหนุ่มไต้หวัน-ญี่ปุ่น ตั้ง CALL CENTER ในไทย หลอกประชาชนผู้เสียหายชาวญี่ปุ่นหลายราย 
บก.สส.สตม. ได้จับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ขบวนการแก๊ง CALL CENTER จำนวน 4 ราย ดังนี้ 
1.นายเฉิน (นามสมมติ) อายุ 50 ปี สัญชาติไต้หวัน (เพิกถอนวีซ่า)
2.นายเหอ (นามสมมติ) อายุ 40 ปี สัญชาติไต้หวัน (OVERSTAY)
3.นายไดซูเกะ (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติญี่ปุ่น (เพิกถอนวีซ่า)
4.นายทาโร่ (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติญี่ปุ่น (เพิกถอนวีซ่า)
ผู้ต้องหารายที่ 1,3 และ 4 ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ผู้ต้องหายที่ 2 ถูกจับกุมในความผิดฐาน เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ส่ง พงส.กลุ่มงานสอบสวน สตม.ดำเนินคดีตามกฎหมาย 

สืบเนื่องจาก บก.สส.สตม. ได้รับประสานข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันและญี่ปุ่น กรณีแก๊ง CALL CENTER กลุ่มหนึ่ง ใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด บก.สส.สตม.จึงได้สืบสวนติดตามผู้ต้องหากลุ่มดังกล่าว มาดำเนินคดีตามกฎหมาย พฤติการณ์การกระทำความผิดคือ ขบวนการแก๊ง CALL CENTER มีคนไต้หวันทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าทีม และคนญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นพนักงาน โดยพนักงานคนญี่ปุ่นจะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อหลอกลวงคนญี่ปุ่น และรับหน้าที่จัดหาคนญี่ปุ่น ซึ่งบินจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเป็นพนักงาน CALL CENTER ในประเทศไทย โดยจะให้ส่งข้อความโทรศัพท์ผ่านระบบ VOIP ไปยังผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยตั้งฐาน CALL CENTER อยู่ในหมู่บ้านหรูสองหลังติดกันใน จ.สมุทรสาคร เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ทำการขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้น พบคนต่างด้าว จำนวน 3 คน ได้แก่ 1.นายเฉิน (นามสมมติ) อายุ 50 ปี สัญชาติไต้หวัน 2.นายเหอ (นามสมมติ) อายุ 40 ปี สัญชาติไต้หวัน 3.นายไดซูเกะ (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติญี่ปุ่น พร้อมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 11 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค จำนวน 2 เครื่อง บัตรกดเงินสด และบัตรเครดิต จำนวน 5 ใบ และสคริปต์บทสนทนาที่ใช้สำหรับการพูดคุยกับผู้เสียหายและแบบฟอร์มกรอกข้อมูลผู้เสียหายฉบับภาษาจีนและญี่ปุ่น จำนวนหลายชุด

จากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของคนต่างด้าวทั้ง 3 คน ปรากฏดังนี้
1. นายเฉิน (นามสมมติ) สัญชาติไต้หวัน เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2566 ประเภทวีซ่า นักท่องเที่ยว 60 วัน การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด 
2. นายเหอ (นามสมมติ) สัญชาติไต้หวัน เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2566 ประเภทวีซ่า นักท่องเที่ยว 60 วัน ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวจนถึงวันที่ 1 ก.ค.2566 (OVERSTAY)
3. นายไดซูเกะ (นามสมมติ) สัญชาติญี่ปุ่น เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2566 ได้รับการยกเว้นวีซ่า ประเภท ผ.30 การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้เสนอ ผบก.สส.สตม. เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ นายเฉิน และนายไดซูเกะ เนื่องจากมีพฤติการณ์เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือ ความปลอดภัยของประชาชน หรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักร ตามมาตรา 12 (7) ประกอบกับมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อ กักตัวรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และจับกุมนายเหอ ในข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักร โดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) นำตัวส่ง พงส.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย 

จากการสืบสวนขยายผลพบว่า หัวหน้าของขบวนการดังกล่าวเป็นคนไต้หวัน ซึ่งสั่งการมาจากประเทศไต้หวัน  มีนายเหอเป็นรองหัวหน้า ทำหน้าที่ในการจัดหาบัญชีม้า และควบคุมพนักงานชาวญี่ปุ่นที่ทำหน้าที่เป็นพนักงาน CALL CENTER รวมถึงการประสานงานกับผู้ร่วมขบวนการในการหาคนญี่ปุ่นเข้ามาทำงานเป็นพนักงาน CALL CENTER นอกจากนี้ นายเหอ ยังเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการไต้หวันจำนวน 2 หมาย ในข้อหานำเข้ายาเสพติดและฉ้อโกง ส่วนนายเฉิน เป็นรองหัวหน้า ทำหน้าที่ในการควบคุมพนักงานชาวญี่ปุ่นที่ทำหน้าที่พนักงาน CALL CENTER   ในการจัดหาข้อมูลของประชาชนชาวญี่ปุ่น เพื่อส่งให้กับพนักงาน CALL CENTER ใช้ในการโทรหลอก และนายไดซูเกะ ทำหน้าที่เป็นพนักงาน CALL CENTER ในการพูดคุยหลอกลวงผู้เสียหายชาวญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่น และหากหลอกผู้เสียหายได้จะทำการจดบันทึกข้อมูลของผู้เสียหายลงในแบบฟอร์ม 

บก.สส.สตม.ยังได้ขยายผลร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันและเจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นที่ประจำประเทศไทย พบว่า ขบวนการดังกล่าวมีคนไต้หวันเป็นหัวหน้าทีมและมีการนำคนชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำหน้าที่เป็นพนักงาน CALL CENTER แล้วจำนวนหลายราย โดยจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนยังสืบทราบอีกว่า นายทาโร่ สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งทำหน้าที่ในการจัดหาคนญี่ปุ่นมาทำ CALL CENTER หลบหนีไปอยู่ที่ จ.กระบี่ จึงสืบสวน จนทราบว่า หลบหนีอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.กระบี่ จากการตรวจสอบในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. ทราบว่า นายทาโร่ เดินทางเข้ามาในประเทศไทยล่าสุด เมื่อวันที่ 12 ต.ค.2566 คนอยู่ชั่วคราว (NON-90) การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด จึงได้เสนอให้ ผบก.สส.สตม. เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายทาโร่ จากนั้นได้พบตัวนายทาโร่ ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.กระบี่ จึงได้แจ้งให้นายทาโร่ ทราบ และนำตัวส่ง พงส.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ในส่วนของผู้ต้องหารายอื่นของขบวนการนี้ 

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศไต้หวันและญี่ปุ่น จะได้ทำการออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาในไต้หวันและประเทศญี่ปุ่นต่อไป 

‘ทรู-ดีแทค’ ขานรับ ‘กสทช.’ ผนึกกำลังสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพิ่มมาตรการระงับเบอร์โทรต้องสงสัย เสริมเกราะป้องกันให้ลูกค้า

(13 ธ.ค. 66) จากกรณีภัยคอลเซ็นเตอร์และกลโกงทางไซเบอร์ ทำความเสียหายให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก ‘ทรู คอร์ปอเรชั่น’ มีความห่วงใยและพร้อมเดินหน้าร่วมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ กับทุกภาคส่วน โดยร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ ‘กสทช.’ สนับสนุนมาตรการขจัดภัยไซเบอร์ของรัฐบาล โดยมุ่งไปที่เบอร์โทรต้องสงสัยที่โทรออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่มีความผิดปกติ โดยจะดำเนินการส่ง SMS ไปยังหมายเลขต้องสงสัยทั้ง ‘ทรูมูฟ เอช’ และ ‘ดีแทค’ พร้อมระงับการใช้เบอร์ทันที เพื่อให้ติดต่อกลับยืนยันตัวตน ว่าเป็นผู้ใช้งานจริงและดูแลไม่ให้ได้รับผลกระทบในการใช้บริการ โดยสามารถติดต่อกลับที่คอลเซ็นเตอร์ทรู 1242 ดีแทค 1678 หรือทรูชอป และศูนย์บริการดีแทค

นาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยภัยคุกคามจากมิจฉาชีพที่มาในหลากหลายรูปแบบ สร้างความเดือดร้อนในวงกว้าง จึงเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมกันขจัดภัยอย่างจริงจัง ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคม ตระหนักถึงภารกิจสำคัญในการดูแลลูกค้าทุกคนให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามที่มาจากยุคดิจิทัล และต้องการร่วมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนกับทุกภาคส่วน จึงพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐฯ ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน กสทช. สนับสนุนมาตรการขจัดภัยไซเบอร์ของของภาครัฐ ที่กำหนดให้ระงับการใช้เบอร์โทรต้องสงสัยที่มีการใช้งานโทรออกมากผิดปกติ ซึ่งทั้งดีแทค และทรูมูฟ เอช มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ จะดำเนินการส่ง SMS และระงับการใช้งานเบอร์ที่ต้องสงสัยทันที ซึ่งเป็นเลขหมายแบบเติมเงินเท่านั้น ไม่รวมถึงเลขหมายแบบรายเดือน หรือเบอร์ที่ลงทะเบียนภายใต้หน่วยงานหรือองค์กร

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้บริการ พร้อมดูแลลูกค้าคนสำคัญเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการดังกล่าว โดยกรณีที่เป็นผู้ใช้งานจริงและใช้งานอย่างถูกต้อง สามารถติดต่อกลับที่คอลเซ็นเตอร์ดีแทค 1678 หรือทรู 1242 และ ทรูชอป หรือศูนย์บริการดีแทค เพื่อยืนยันตัวตน ให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าว สอดคล้องกับความมุ่งมั่นตั้งใจของทรู คอร์ปอเรชั่น ที่จะเดินหน้ายกระดับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อยับยั้งความเสียหายได้อย่างทันท่วงที เสริมเกราะป้องกันลูกค้าและคนไทยไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ”

‘ดีอี’ ผนึกกำลัง ‘ตำรวจไซเบอร์’ เดินหน้าปราบอาชญากรรมไซเบอร์เด็ดขาด จับ 4 คดีรวด รวบ ‘มิจฉาชีพหลอกคนพิการสแกนหน้าเปิดบัญชีม้า - ราชาแอบถ่าย - เว็บพนันออนไลน์ - ยูทูปเบอร์อาวุธปืน’ พบของกลางเพียบ

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2566 นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ได้ประสานความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ซึ่งนำมาขับเคลื่อนโดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. หรือ ตำรวจไซเบอร์ เฝ้าระวังการเกิดอาชญากรรมกับกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้พิการ หรือผู้สูงอายุที่มีโอกาสตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ ในรูปแบบต่างๆ ทั้งการหลอกให้ลงทุน หลอกเปิดบัญชีม้า หรือ แม้กระทั่งการพนันออนไลน์ และนำมาสู่ปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมมิจฉาชีพออนไลน์ 4 คดี ทั้งกรณี 2 ผัวเมียหลอกคนพิการสแกนหน้าเปิดบัญชีม้า การทลาย 2 เว็บพนันออนไลน์ ตรวจยึดเงินสดและทรัพย์สินกว่า 150 ล้านบาท แล้วยังพบยอดเงินหมุนเวียนกว่า 13,000 ล้านบาทต่อปี  รวมไปถึง การจับกุมตัว KINGSPY ราชาแอบถ่าย” พบภาพและคลิปแอบถ่ายกว่า 60,000 ไฟล์ รวมกว่า 1.41 TB และ จับยูทูปเบอร์ Tacticool BoB พร้อมยึดอาวุธปืนและเครื่องกระสุนหลายรายการ 

1. ‘ปฏิบัติการ FAKE PROFILE จับ 2 สามีภรรยา หลอกคนพิการสแกนหน้าเปิดบัญชีม้า’ ซึ่งผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้พิการถูกหลอกจากบัญชีเฟซบุ๊กอวตารอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากฝ่ายบุคคลของบริษัทต่างๆ ขอนัดสัมภาษณ์งานกับผู้เสียหาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน และจับกุมนางสาวบุสราภรณ์ อายุ 28 ปี ชาวอุดรธานี และ นายประมวล อายุ 36 ปี ชาวบึงกาฬ ซึ่งเป็นสามี ทำหน้าที่คอยขับรถพาผู้ต้องหาไปหลอกลวงเหยื่อตามสถานที่ต่างๆ  พร้อมกับดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันเอาไปเสีย ซึ่งเอกสารของผู้อื่น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน , ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน , นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ อันเป็นการกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง, นำบัตรของผู้อื่นไปใช้แสดงว่าตนเป็นเจ้าของบัตร

2. จับกุม 2 เว็บไซต์พนันออนไลน์ พร้อมยึดทรัพย์กว่า 150 ล้านบาท ได้แก่ ufabet-jc.com และ play.beer777.com ซึ่งพบว่ามียอดเงินหมุนเวียนรวมกันกว่า 13,000 ล้านบาทต่อปี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขออำนาจศาลออกหมายค้นและหมายจับผู้ร่วมกระทำผิดที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 เว็บไซต์ รวมทั้งสิ้น 20 รายทั้งกลุ่มผู้รับผลประโยชน์ เจ้าของเว็บไซต์ โปรแกรมเมอร์ พนักงาน ผู้ดูแลเรื่องการเงินและบัญชีม้า 

3. จับกุมผู้ใช้แอปพลิเคชัน X (twitter) ที่ชื่อ ‘Kingspy’ หรือ ‘ราชาแอบถ่าย’ ซึ่งมีการเผยแพร่ภาพลามกอนาจารกว่า 60,000 ไฟล์ ซึ่งได้รับแจ้งเบาะแสการกระทำผิดจาก The Scientia Program (โปรแกรมซายเอนเทีย) ซึ่งขับเคลื่อนโดยกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่ดำเนินการในประเทศไทย ให้ตรวจสอบบัญชีบนแอปพลิเคชัน X  ที่มักโพสต์เชิญชวนให้เข้ากลุ่มชื่อ ‘KING SPYCAM’ ใน LINE Official Account มีผู้ติดตามจำนวน 596 คน มีระบบตอบรับอัตโนมัติเพื่อยืนยันการเข้ากลุ่มและต้องเสียบริการจำนวน 150 บาทต่อคน ซึ่งได้มีการสอบสวนจนพบว่า นายณัฐพร คือผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน X ชื่อบัญชี ‘ราชาแอบถ่าย’ ซึ่งต่อมาได้ถูกระงับบัญชีจึงสร้างบัญชี X (twitter) ขึ้นมาอีกบัญชีหนึ่งชื่อบัญชี CODE มี ID:@CODE1380077 สำหรับโพสต์เชิญชวนให้เข้ากลุ่มลับโดยแนบลิงก์ไลน์และเรียกเก็บเงินจากสมาชิก และจากการจับกุมยังตรวจสอบพบภาพสื่อลามกอนาจารทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวในลักษณะแอบถ่าย รวมไฟล์ที่ตรวจพบจำนวน 62,773 ไฟล์ รวมความจุประมาณ 1.4 เทราไบต์ หรือ 1,400 จิกะไบต์

4. จับกุมยูทูปเบอร์Tacticool BoB พร้อมยึดอาวุธปืนและเครื่องกระสุนหลายรายการ โดยพบว่าบัญชีเฟซบุ๊กแฟนเพจชื่อ ‘Pun Tacticool Bob’ และ ‘Tacticool Bob แทคติคูลบ็อบ’ เป็นเพจที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการยิงปืน การแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับอาวุธปืน โดยมีนายตฤณสิษฐ์ อายุ 33 ปี เป็นเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กแฟนเพจและ YouTube ช่อง ‘Tacticool BoB แทคติคูลบ็อบ’ ที่มีผู้ติดตามประมาณ 1.95 หมื่นราย และจากการสืบสวนยังพบว่านายตฤณสิษฐ์ มีพฤติการณ์ในการดัดแปลงอาวุธปืนอีกด้วย ซึ่งผลการตรวจค้น พบอาวุธปืน 85 กระบอก และเครื่องกระสุนกว่า 6,000 นัด รวมทั้งหมดกว่า 95 รายการ

กระทรวงดีอี ได้ดำเนินการเร่งรัดการป้องกันปราบปรามภัยออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องพี่น้องประชาชนให้ปลอดภัยจากอาชญกรออนไลน์ รวมทั้งป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเด็ก เยาวชนรวมทั้งกลุ่มเปราะบางต่างๆ ขณะเดียวกันก็ได้มีการเร่งรรัดการปราบปรามเว็บพนันออนไลน์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องด้วย 

กสทช.ออกมาตรการกำจัดซิมการ์ด ที่อยู่ในความครอบครองของมิจฉาชีพ

วันที่ 12 ม.ค. 67 เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมาย และประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ, พล.ต.ท.ดร.ธัชชัย ปีตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านอาชญากรรมเทคโนโลยี ได้เรียกประชุมอนุกรรมการบูรณาการฯ แถลงถึง มาตรการของ กสทช. กำหนดให้ผู้ถือครองซิมจำนวนมากๆ ตั้งแต่ 6 เลขหมายขึ้นไปมายืนยันตัวตน โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ม.ค.67 นี้เป็นต้นไป หากผู้ถือครองซิมการ์ดรายใดไม่มายืนยันตัวตนในกำหนด หมายเลขอาจถูกระงับการใช้งาน และถูกเพิกถอนไปในที่สุด เพื่อป้องกันมิจฉาชีพนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมออนไลน์
พล.ต.อ.ณัฐธรฯ ได้กล่าวว่า ซิมการ์ดโทรศัพท์เป็นอุปกรณ์สำคัญที่กลุ่มมิจฉาชีพ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องมี

และใช้ในการกระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นการโทรหาเหยื่อ, การส่งข้อความ หรือ sms แนบลิงค์, โอนเงินผ่านอินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง ร่วมกับสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต  กสทช. ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าว มุ่งเน้นจัดระเบียบซิมการ์ด โดยเฉพาะหมายเลขในระบบเติมเงิน ที่ไม่มีการลงทะเบียนผู้ใช้งานจริง หรือลงทะเบียนด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน จึงได้ออกประกาศ เรื่อง มาตรการยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมีสาระที่สำคัญ ดังนี้

1.ผู้ที่ถือครองซิมการ์ด ตั้งแต่ 6-100 หมายเลข ให้ยืนยันตัวตนภายใน 180 วัน
2.ผู้ที่ถือครองซิมการ์ด 101 หมายเลข ขึ้นไป ให้ยืนยันตัวตนภายใน 30 วัน
หากไม่มายืนยันตนในกำหนด จะถูกพักใช้ ระงับการโทรออกและการใช้อินเทอร์เน็ต ยกเว้นโทรเบอร์ฉุกเฉิน และมีเวลาอีก 30 วัน หากยังไม่มีการยืนยันตน จะถูกเพิกถอนการใช้เบอร์ของซิมการ์ดที่อยู่ในความครอบครองทั้งหมด
โดยในระยะแรกจะเร่งรัดให้ผู้ถือครองซิมการ์ด จำนวน 101 เลขหมายขึ้นไปเข้ามายืนยันตัวตนก่อน เนื่องจากมีกำหนดระยะเวลาที่สั้นกว่า คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานส่วนใหญ่ เนื่องจากผู้ใช้บริการที่อยู่ในข่ายต้องยืนยันตัวตน มีประมาณ 3 แสนราย คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดในทุกเครือข่าย มาตรการดังกล่าว กสทช. ออกมาเพิ่มเติมเพื่อสกัดการทำงานของกลุ่มมิจฉาชีพ จากที่มีอยู่เดิม 7 มาตราการ อาทิเช่น การระงับการโทรเข้าจากต่างประเทศในรูปแบบที่คนร้ายใช้อยู่เป็นประจำหรือไม่ทราบแหล่งที่มา, เพิ่ม Prefix +697 และ +698 หน้าเลขหมายการโทรเข้าจากต่างประเทศผ่าน VOIP และ Roaming ตามลำดับ, การจัดทำบริการ *138 ปฏิเสธการรับสายต่างประเทศ, จัดระบบลงทะเบียนสำหรับผู้ส่งข้อความไปยังผู้รับจำนวนมากๆ (Sender name), จำกัดจำนวนการลงทะเบียนซิมการ์ด

และยกเลิกการส่ง SMS แนบลิ้งค์ บางประเภท เป็นต้น การออกมาตรการดังกล่าว ดำเนินการควบคู่ไปกับการออกกวาดล้างจับกุมสถานีวิทยุคมนาคมเถื่อน และแหล่งจำหน่ายอุปกรณ์วิทยุคมนาคมผิดกฏหมาย รวมทั้งจัดระเบียบเสาสัญญาณตามแนวชายแดนของผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาต
พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ภายหลังจากที่มาตรการดังกล่าวของ กสทช. มีผลบังคับใช้ จะทำให้กระบวนการสืบสวนขยายผลถึงตัวผู้กระทำความผิดมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเมื่อมีการกำหนดให้ผู้ถือครองซิมจำนวนมากมายืนยันตัวตน จะทราบตัวผู้ใช้งานที่แท้จริง หากไม่มายืนยันตนในกำหนด ซิมการ์ดนั้นจะถูกระงับการใช้งานและถูกเพิกถอนจากระบบไปในที่สุด เพราะซิมการ์ดเหล่านั้นอาจตกอยู่ในความครอบครองของพวกมิจฉาชีพแล้ว

ทำให้จำนวนซิมผีในตลาดมีจำนวนลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ อีกทั้งเมื่อมีคดีเกิดขึ้นเจ้าหน้าที่สามารถขยายผลจากหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ลงทะเบียน รวมไปถึงหมายเลขโทรศัพท์ที่ผูกกับบัญชีม้า ไปถึงตัวการใหญ่ได้ต่อไป
พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละค่าย จะเป็นผู้พัฒนารูปแบบและวิธีการลงทะเบียนยืนยันตัวตน เพื่ออำนวยความสะดวกกับลูกค้าของตน และมีหน้าที่ต้องแจ้งเตือนให้ผู้ถือครองซิมการ์ด ที่เข้าข่ายให้มาดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยให้กระทบต่อผู้ใช้บริการที่สุจริตน้อยที่สุด

เตือนภัย!! เจ้าของธุรกิจโรงแรม - ลูกค้า มิจฉาชีพแฮกระบบจองออนไลน์ระบาดหนัก

 

ธุรกิจโรงแรม ผวา!! หลังพบกลโกงมิจฉาชีพรูปแบบใหม่ ใช้วิธีแฮกข้อมูลจากเว็บจองห้องพักชื่อดัง โดยแอบนำข้อมูลการจองของลูกค้าตีเนียนขอเงินคืน ชี้ เริ่มระบาดถึงประเทศไทย เตือน!! เจ้าของโรงแรมตรวจสอบข้อมูลให้ดี ก่อนตกเป็นเหยื่อ

(2 ก.พ. 67) หลังจากมีรายงานข่าวว่า แพลตฟอร์มจองห้องพักโรงแรมออนไลน์ (Travel Agent) รายใหญ่ของโลกถูกเจาะระบบในต่างประเทศ และนำข้อมูลการจองของลูกค้าไปใช้ ทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก

ล่าสุด กลุ่มมิจฉาชีพ ได้เริ่มเข้ามาเล่นงานธุรกิจโรงแรม และลูกค้าโรงแรมในประเทศไทยแล้ว โดยนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมย่านสุขุมวิทรายหนึ่ง ได้ให้ข้อมูลว่า ในช่วงนี้หลาย ๆ โรงแรมในไทยจะได้รับสแปมเมล์ ที่เป็นชื่อของเอเจ้นท์จองห้องพักรายใหญ่รายหนึ่ง ส่งเข้ามาจำนวนมาก โดยรูปแบบจะเปลี่ยนเนื้อหาหลอกล่อ (Scam) ไปเรื่อย ๆ และทุกครั้งอีเมล์จะแนบ link ให้กดเข้าดู ทั้งนี้ หากเผลอกดเข้าไปดู ทางแฮกเกอร์ หรือ มิจฉาชีพ ก็จะได้ข้อมูลการจองของลูกค้าและโรงแรมไป

หลังจากนั้น จะมีการนำข้อมูลการจองของลูกค้าทำการยกเลิกการจอง และให้คืนเงินค่าจอง ซึ่งรูปแบบนี้จะใช้ได้กับการจองที่ยังไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ต้องวางวงเงินในบัตรเครดิตไว้ก่อน แน่นอนว่า หากเจ้าของธุรกิจโรงแรม หรือ พนักงานไม่ตรวจสอบให้ละเอียด ก็อาจจะเกิดความเสียหายได้

นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบการให้คลิก link ที่แนบมา ซึ่งหน้าตาเหมือนกับ link เอเจ้นท์ จากนั้นให้กรอกพาสเวิร์ดเข้าระบบ หลังจากได้พาสเวิร์ดเข้าระบบแล้ว ทางมิจฉาชีพจะส่งข้อความไปหาลูกค้าที่ทำการจองห้องพักให้โอนเงิน หรือ อาจจะมาในรูปแบบการร้องเรียน (Complaint) ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เข้าพักจริง และแนบ link ที่เป็น Scam เพื่อหลอกให้กดเข้าไปดูเพื่อเอาข้อมูลลูกค้า เรียกได้ว่า มีสารพัดกลโกงหลากหลายรูปแบบที่นำมาใช้ล่อลวง

ขณะที่ในฝั่งของลูกค้า ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งที่น่ากลัวอย่างมาก คือ แฮกระบบ Extranet ของเอเจ้นท์ แล้วส่งข้อความปลอมจากโรงแรมให้ลูกค้าที่จองห้องพัก โดยแนบ link มาให้กด แล้วให้เข้าไปกรอกข้อมูลบัตรเครดิตการ์ดใหม่ ซึ่งลูกค้าบางคนกลัวว่าจะโดนยกเลิกห้องพัก และไม่ทันระวังตัวตรวจสอบรายละเอียดให้ดี ก็อาจจะตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทางเจ้าของธุรกิจโรงแรมหลายแห่ง ได้รวมตัวกันและส่งเรื่องไปยังเอเจ้นท์รายดังกล่าว เพื่อให้หาทางป้องกันไม่ให้เกิดช่องโหว่ให้มิจฉาชีพเจาะระบบและนำข้อมูลไปใช้ แต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด โดยตัวแทนของเอเจ้นท์ได้ยืนยันว่าระบบมีความปลอดภัยแล้ว

นักธุรกิจเจ้าโรงแรม คนดังกล่าว ยังฝากเตือน เจ้าของธุรกิจโรงแรม พนักงาน และลูกค้า หากเจออีเมล์ที่ไม่น่าเชื่อถือ เป็นชื่อแปลกคล้าย ๆ กับอีเมล์ของเอเจ้นท์ที่รับจองห้อง และมี link ให้กด หรือ ให้ตรวจสอบบัตรเครดิต กรอกข้อมูลต่าง ๆ อย่าเพิ่งหลงเชื่อ ให้ตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียด เพราะอาจเป็นมิจฉาชีพก็ได้

‘นาวิน ต้าร์’ เสียท่าให้มิจฉาชีพ ถูกดูดทรัพย์ไป 5 ล้านบาท หลังเผลอ ‘กดลิงก์’ อ่านข่าว ที่ดึงดูดด้วยมุกเนื้อหาเปี่ยมความรู้

(22 ก.พ. 67) ทำเอา ‘นาวิน ต้าร์’ หรือ ดร.นาวิน เยาวพลกุล เซ็งสุดๆ เมื่อต้องมาเจอเองกับตัว ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า “ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง ทั้งที่ก็มีข่าวเรื่องมิจฉาชีพดูดเงินมาตลอด แต่มาเสียท่าเพราะเผลอไปกดลิงก์ในกล่องข้อความ ที่เนื้อหาให้ความรู้ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้คิดอะไร กดลิงก์เข้าไปดู เพราะเห็นว่าเนื้อหาน่าสนใจ สรุปเงินในบัญชีเด้งหายทันที 5 ล้านบาท”

‘นาวิน ต้าร์’ ยังบอกอีกว่า คงได้แค่ทำใจ เพราะคิดว่าคงไม่ได้คืนแน่นอน เสียดายเงินมากๆ ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไงดีสำหรับเรื่องแบบนี้ เจอแค่ครั้งเดียวเข็ดไปเลย

“เลยอยากจะฝากเตือนทุกคนเพราะว่าขนาดเซฟตัวเองก็ยังพลาด ถ้าต้องเสียเงินมากขนาดนี้ เอาไปทำบุญดีกว่า” นาวิน ต้าร์ กล่าว

และล่าสุดวันนี้ ‘นาวิน ต้าร์’ ก็ได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Navin Tar ข้อความว่า…

“ขอบคุณภรรยาที่ยังจับมือกันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มีแต่กำลังใจ ไม่เคยปริปากพูดหรือโทษกัน คนเราล้มได้มันก็ต้องลุกขึ้นได้ ไม่เป็นไรช่างมัน สู้ๆ หาเงินใหม่ ลุยยย!!!”

‘เจ๊ไฝ’ โวย!! เจอลูกค้าอ้างเป็น ‘สารวัตร’ บอกกำลังอยู่ในหน้าที่ แสดงพฤติกรรมแซงคิว แถมตีเนียนกินฟรี ชิ่ง!! ไม่จ่ายเงิน

(29 ก.พ.67) กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อ ‘เจ๊ไฝ’ หรือ สุภินยา จันสุตะ เจ้าของตำนานสตรีตฟู้ดระดับมิชลิน 7 ปีซ้อน โพสต์สตอรี่อินสตาแกรมภายใต้บัญชี @jayfaibangkok เป็นข้อความที่โดนลูกค้าไม่ยอมต่อคิว อ้างเป็นตำรวจมาขอนั่งกิน สุดท้ายไม่จ่ายเงินด้วย

โดยโพสต์สตอรี่ของเจ๊ไฝระบุว่า “วันนี้มีลูกค้าไม่ยอมต่อคิว อ้างตัวเป็นสารวัตรนอกเครื่องแบบกำลังอยู่ในหน้าที่ ขอโต๊ะเลยทานข้าว สั่งห่อ แล้วไม่จ่ายเงิน”

หลังจากโพสต์สตอรี่ดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ไป ก็กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทั้งในพฤติกรรมที่มาแซงคิว มาทำทีของกินฟรี และไม่จ่ายเงินด้วย

สำหรับร้านเจ๊ไฝ เป็นร้านสืบทอดกิจการมาจากรุ่นพ่อ อายุได้ 70 ปี เจ้าของร้านคนปัจจุบันคือ สุภิญญา จันสุตะ หรือเปีย อายุ 72 ปี เป็นเจ้าของร้านดังกล่าวมากว่า 35 ปี

โดยเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้วไปเรียนต่อด้านการตัดเสื้อ แต่หลังจบก็ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาจึงช่วยครอบครัวทำร้านก๋วยเตี๋ยวและหันมาเปิดร้านอาหารของตนเองตามลำดับ ปัจจุบันยังเป็นแม่ครัวในร้านของตัวเองอยู่


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top