Sunday, 5 May 2024
พิธาลิ้มเจริญรัตน์

‘พิธา’ เดินทางร่วมงานศพ ‘ทนายเคน’ ที่ จ.แพร่ จี้ ตร.เร่งตามหาตัวคนก่อเหตุ คืนความเป็นธรรม

(9 มี.ค. 66) ที่จังหวัดแพร่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพของ นายติรานนท์ เวียงธรรม หรือ ‘ทนายเคน’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แพร่ พรรคก้าวไกล ซึ่งประสบอุบัติเหตุรถชน หลังกลับจากการลงพื้นที่หาเสียง เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ก่อนเสียชีวิตในวันที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา

โดยนายพิธา และทีมงานพรรคก้าวไกล ได้เดินทางไปที่ สภ.สูงเม่น เพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินคดี พร้อมเปิดเผยว่า จนถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถนำตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวน และไม่สามารถตามตัวพยานได้ จึงได้เรียกร้องให้ตำรวจเร่งดำเนินการ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่นายติรานนท์ และครอบครัว ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ต้องได้รับความเป็นธรรม จากกระบวนการยุติธรรม

‘พิธา’ กล่อม ‘นครศรีฯ’ เอาทหารออกจากการเมือง-ทลายทุนผูกขาด ปลดปล่อยศักยภาพเมือง เติบโตโดยไม่ต้องพึ่งส่วนกลาง

‘พิธา’ เยือนอำเภอทุ่งใหญ่ นครศรีฯ ยก ‘พุฒิพงศ์ ลุ่ยจิ๋ว’ เป็นม้ามืดชิงชัย ประกาศเป้าหมายต้องมี ส.ส.เขตภาคใต้ให้ได้ ย้ำ ‘ก้าวไกล’ ไม่สุดโต่ง หวังสร้างการเมืองดี-การเมืองประชาธิปไตยปกติเท่านั้น

(10 มี.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังเสร็จสิ้นภารกิจในอำเภอเมือง ได้เดินทางต่อไปที่อำเภอทุ่งใหญ่ เพื่อปราศรัยหาเสียงสนับสนุน นายพุฒิพงศ์ ลุ่ยจิ๋ว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช (อำเภอทุ่งใหญ่) พรรคก้าวไกล บริเวณหน้าตลาดนัดขวัญนารา และเปิดเวทีรับฟังความเห็นประชาชน บริเวณศูนย์ประสานงานพรรค โดยมีพี่น้องประชาชนทุ่งใหญ่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

นายพิธากล่าวว่า พรรคก้าวไกลต้องการเข้าไปเป็นรัฐบาล เพื่อใช้อำนาจรัฐทำให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต สำหรับการเมืองดี ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความขัดแย้งและความสูญเสีย หลายคนอาจคิดว่าเป็นไม่ได้ที่จะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ แต่ตนขอยกตัวอย่างประเทศรวันดาที่เคยมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนนับล้านเมื่อหลายสิบปีก่อน ทำไมสังคมของเขาจึงกลับมาปรองดองสมานฉันท์กันได้ไม่ได้ เป็นเพราะการขอให้สังคมลืมและปล่อยคนผิดไม่ต้องรับผิดชอบกับการกระทำ แต่การเมืองจะดีได้ จุดเริ่มต้นสำคัญคือต้องไม่มีวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด และต้องตามหาความจริงที่ทุกฝ่ายยอมรับเพื่อคืนความยุติธรรมก่อน หากไม่ทำเช่นนี้ การปรองดองไม่สามารถเกิดขึ้น ประเทศไทยเดินหน้าต่อไม่ได้

จุดยืนไม่เปลี่ยน!! 'พิธา' ลั่น!! 33 ผู้สมัคร ส.ส.พร้อมเจาะไข่แดง กทม.  ชี้!! ไม่หวั่นผลโพลเป็นรอง พท. พร้อมย้ำไม่จับ 'รทสช.-พปชร.'

(12 มี.ค.66) ที่สามย่านมิตรทาวน์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จัดเวทีเปิดตัวผู้สมัครผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล ทั้ง 33 เขตพร้อมเปิดตัวนโยบายที่ตอบโจทย์คนกทม. โดยนายพิธา ให้สัมภาษณ์ว่า กทม.เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกล โดยการเลือกตั้งในปี 2562 ได้คะแนนป๊อบปูลาร์โหวตในกทม. 8 แสนคะแนน  

ดังนั้นทั้ง 33 เขตในกทม. จึงเป็นพื้นที่ๆ เราหวังผลทั้งหมด เป็นเขตที่เราหวังที่จะรักษาเขตเดิมและเพิ่มเติมเขตใหม่ ด้วยคะแนนเก่าที่เรามี ด้วยการทำงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยแคนดิเดตที่มีความสดใหม่ และคนที่ทำงานในพื้นที่มาตลอด จึงพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ส.ส.แบบพื้นที่ดี สภาเด่นก็ต้องพรรคก้าวไกลเท่านั้น รวมทั้งการทำงานของ ส.ก.พรรคก้าวไกลในช่วง 1 ปีทีผ่านมา เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาให้กับคน กทม.ได้

เมื่อถามว่าจุดเด่นในพื้นที่กทม.ของพรรคก้าวไกลคืออะไร นายพิธา กล่าวว่า จุดเด่นก็คือ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และนโยบายที่จับต้องได้ วันนี้มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งพรรคก้าวไกลจะผลักดันรถเมล์ไฟฟ้าให้ได้ภายใน 7 ปี รวมทั้งจะเสนอให้มีการเก็บค่าขยะสำหรับทุนใหญ่หรือห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม นอกจากนั้นยังมีเรื่องของส่วย หรือคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในประเทศไทยซึ่งในการอภิปรายที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเราสามารถแก้ปัญหาเรื่องพวกนี้ได้ รวมทั้งการนำเสนอนโยบายหวยเอสเอ็มอี ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่กทม.อย่างครอบคลุม

เมื่อถามถึงผลการสำรวจของนิด้าโพลที่ในพื้นที่ จ.อุดรธานีที่พรรคก้าวไกลมาเป็นอันดับ 2 รองจากพรรคเพื่อไทย นายพิธา กล่าวว่า ไม่หวั่นไหว และตั้งใจทำงานต่อเต็มที่ ซึ่งนิด้าโพลกลุ่มตัวอย่างอยู่ที่ประมาณ 2,000 คน แต่ในส่วนของจ.อุดรธานีอยู่ที่ 1,020 คน ความมั่นใจอยู่ที่ร้อยละ 95 และเป็นการทำโพลในช่วง 24 ก.พ.-ต้น มี.ค. ในช่วงก่อนที่ตนจะลงพื้นที่ จ.อุดรธานี เพื่อช่วยผู้สมัครหาเสียง และได้พบปะนักธุรกิจและประชาชนในพื้นที่ จึงเชื่อว่าการทำงานของเราสำหรับพรรคก้าวไกลในพื้นที่อุดรธานีที่แพ้แค่ 3,000 คะแนน จะได้รับความนิยมและได้รับความเชื่อมั่นจากชาวอุดรมากขึ้น สำหรับตนโพลขึ้นไม่หลงโพลลงไม่ท้อ เราทำงานเต็มที่เพื่อประชาชนต่อแน่นอน

ย้ำจุดยืน!! ‘พิธา’ ชู ‘รัฐสวัสดิการ’ จุดแข็ง ‘ก้าวไกล’ ลั่น!! พร้อมลดความเหลื่อมล้ำ-พาไทยก้าวไปข้างหน้า

(13 มี.ค.66) เวทีแรกของแคมเปญ ‘มติชน: เลือกตั้ง 2566 บทใหม่ประเทศไทย’ ซึ่งจัดที่โรงแรม พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ (รางน้ำ) ภายใต้หัวข้อ ‘ย้ำจุดยืน ชูจุดขาย ประกาศจุดแข็ง’ ที่มีตัวแทนจาก 8 พรรคการเมืองร่วมขึ้นเวทีประชันนโยบาย

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงจุดแข็งของพรรคก้าวไกลว่า ตนรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสพูดในช่วงที่ 1 และช่วงที่ 2 เนื่องจากเป็นเหยื่อของฝุ่นพีเอ็ม 2.5 จนเป็นหลอดลมอักเสบ และเสียงไม่เต็มร้อย แต่ใจเต็มร้อยแน่นอน อย่างไรก็ตามแค่ช่วงนี้ช่วงเดียวตนสามารถตอบทุกคำถามตั้งแต่ช่วงที่ 1 และช่วงที่  2 ทั้งการปฏิรูปกองทัพ ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ด้วยสไลด์เพียงหนึ่งสไลด์ ตนสามารถตอบจุดแข็งของพรรคก้าวไกลด้วยคำเดียว คือ รัฐสวัสดิการ ที่จะทำให้การเมืองดี ปากท้องดี และมีอนาคต มาจากจุดแข็งย่อยที่เราคิดมาตลอดว่า การเมืองกับเรื่องปากท้องเป็นเหรียญเดียวกันที่แยกกันไม่ออก เรื่องเกี่ยวกับกัญชา เรื่องเกี่ยวกับแรงงาน เรื่องเกี่ยวกับฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ถ้าอำนาจทางโครงสร้างยังไม่ใช่ คนที่เข้ามาในการเมืองมาจากการลากตั้ง ไม่ใช่การเลือกตั้ง การใช้ภาษีของประชาชนเพื่อแก้ปัญหาปากท้องอย่างยั่งยืนจึงเป็นไปไม่ได้ ตนไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะทำเหมือนเมื่อ 40 ปีที่แล้วได้ แต่เราต้องมองไปถึงอนาคต ว่าประเทศจะต้องเจริญเติบโต และลดความเหลื่อมล้ำไปพร้อมกันได้ เราไม่ได้มองแค่ว่าจุดแข็ง ให้กลายเป็นโอกาส แต่เรามองจุดอ่อนให้เป็นโอกาสด้วย ทั้งหมดนี้ สามารถย่อยออกมาได้เป็นรัฐสวัสดิการ 

‘จุดยืนดังเดิม!! พิธา’ ลั่น!! พร้อมจับมือ พท. จัดตั้งรัฐบาล พร้อมย้ำ!! ไม่มีวันจับมือ ‘พรรคทหารจำแลง’

(15 มี.ค.66) ที่โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ต ดอนเมือง พรรคก้าวไกล (ก.ก.) จัดประชุมใหญ่พรรคเตรียมพร้อมก่อบการยุบสภาฯ มีแกนนำพรรคและว่าที่ผู้สมัครส.ส.ครบทุกเขต เข้าร่วมประชุม

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุว่าสามารถร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลได้แต่มีเงื่อนไขคือการไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า เราไม่มีเจตจำนงในการรวมกับพรรคทหารจำแลงคือพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ เพราะเป็นพรรคที่ทำรัฐประหาร และตอนนี้ยังจะรักษาอำนาจต่อ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะร่วมมือกัน

เมื่อถามถึงกรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดจดหมายเสนอตัวเชื่อมประสานระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยม ที่ล้มเหลวทั้งคู่ นายพิธา กล่าวว่า เราไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องได้ การจะก้าวข้ามความขัดแย้งและก่อให้เกิดการปรองดองได้จะต้องมีระบบความยุติธรรม และการเสาะหาข้อเท็จจริงก่อน ต้องทำให้วัฒนธรรมคนผิดลอยนวลหมดไปก่อน จึงจะทำให้เกิดการปรองดองที่แท้จริงได้

ส่วนจดหมายของพล.อ.ประวิตรฉบับที่ 4 ทั้งเรื่องการตั้งคณะกรรมการมากรองนโยบาย ตนขอเรียนพล.อ.ประวิตรให้เข้าใจว่านโยบายของตัวเองตั้งแต่พรรคพลังประชารัฐ และในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ยังทำไม่ได้ตั้งเยอะตั้งแยะ จึงขอให้ไปทำนโยบายที่เคยสัญญากับประชาชนไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้วให้เสร็จก่อน การที่จะเอานโยบายนโยบายหนึ่งมาผลิตมีกระบวนการของมัน

นายพิธา กล่าวว่า สำหรับกระบวนการทำนโยบายของพรรคก้าวไกลคือการลงพื้นที่พบพี่น้องประชาชนหาปัญหาให้เจอว่าอยู่ที่กฎหมาย งบประมาณ หรือระบบราชการ แล้วค่อยนำมาปฏิบัติ ฉะนั้นคนที่จะนำนโยบายที่เป็นของแต่ละพรรคและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงต้องเป็นคนที่คลุกคลีกับปัญหา ไม่ใช่ว่าตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งแล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างในประเทศไทยได้ ถ้าอยากจะปรองดอง ก็ตั้งคณะกรรมการปรองดอง ถ้าอยากจะตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายก็ตั้งคณะกรรมการ ประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนง่ายขนาดนั้น

เมื่อถามว่าหากเสียงไม่พอก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เป็นรัฐบาลจะมีประโยชน์กับประชาชนมากกว่า เราจะหาเสียงให้เต็มที่ ถ้าไปถึงตามเป้าหมาย เรามั่นใจว่าจะมีน้ำหนักทางการเมืองพอที่จะได้เป็นรัฐบาล

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย เดินเกมรุก นำส.ส.บ้านใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มสามมิตรที่ออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ แล้วจะทำให้มีปัญหาในการจับมือร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เราไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้และกระบวนการทำงานของพรรคก็แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามเรื่องนโยบายและจุดยืนของพรรคเพื่อไทยจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร

ตนจึงคิดว่าจะยังร่วมมือกันได้ ส่วนนี้เป็นเรื่องภายในของพรรคเพื่อไทย กับกลุ่มสามมิตร ทั้งนี้ ตนไม่มีวิธีการทำงานทางการเมืองในลักษณะนั้น และจะพยายามโฟกัสในสิ่งที่พรรคก้าวไกลพยายามอยากจะนำเสนอพี่น้องประชาชนทั้งเรื่องนโยบายและว่าที่ผู้สมัครส.ส.

เมื่อถาม ว่าสามารถทำงานกับคนที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องดูแยกเป็นคนคนไป แต่หากใครที่มาจากพรรคทหารจำแลงก็น่าจะทำงานด้วยกันยาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมองไปข้างหน้าวันนโยบายและจุดยืนทางประชาธิปไตยเข้มแข็งมากเพียงใด

'พิธา' โว 4 ปี 'ก้าวไกล' ทำงานดุดัน-คุ้มค่าภาษีประชาชน แต่เป็นฝ่ายค้านทำงานได้ไม่เต็มที่ ขอคนไทยช่วยเลือกให้เป็นรัฐบาล

(15 มี.ค.66) ที่โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ต ดอนเมือง พรรคก้าวไกล (ก.ก.) จัดประชุมใหญ่พรรคเตรียมพร้อมก่อนการยุบสภาฯ มีแกนนำพรรคและว่าที่ผู้สมัครส.ส.ครบทุกเขต เข้าร่วมประชุม

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในครั้งนี้ว่า เป็นการเตรียมตัวก่อนการยุบสภาฯ ไม่เช่นนั้นจะทำให้โอกาสการเตรียมตัวของว่าที่ผู้สมัครส.ส. ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ จะเป็นไปได้ยาก โดยมียุทธศาสตร์การหาเสียงโค้งสุดท้ายและแคมเปญแมสเสจที่จะใช้หาเสียง รวมถึงการพยายามปลุกขวัญและกำลังใจของส.ส.ทุกคน ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่และอยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเราจะมีประโยชน์กว่าเมื่อเราได้เป็นรัฐบาลในอีก 4 ปีข้างหน้า เราจึงต้องเตรียมความพร้อมการทำงานเพื่อให้ส.ส.เขตได้ลงพื้นที่และมีงานสภาเด่น และต้องย้ำดีเอ็นเอของพรรคก้าวไกลในช่วงโค้งสุดท้ายที่เหลืออยู่ 60 กว่าวัน

เมื่อถามว่า วางเป้าหมายส.ส.ของพรรคก้าวไกลไว้เท่าไหร่ นายพิธา กล่าวว่า ขณะนี้มีอยู่ 2 เป้าหมายเป้าหมายแรกคือการได้ส.ส.มากกว่าสมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่ และเป้าหมายที่สองคือการมี ส.ส.เขตครบทุกภูมิภาคให้ได้

เมื่อถามถึงยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเลือกตั้ง นายพิธา กล่าวว่า ยุทธศาสตร์คือ การเข้าหาประชาชนให้มากที่สุด และอยู่ที่การบริหารจัดการ การทำงานอย่างทุ่มเทของว่าที่ผู้สมัครส.ส. แกนนำพรรคและการจัดวางพื้นที่ในการเข้าหาพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าการมีพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลสามารถทำให้ปัญหาของเขาได้รับการผ่อนคลายไป

เมื่อถามถึงกรณีที่เกิดความขัดแย้งและความวุ่นวายระหว่างที่ลงพื้นที่ นายพิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลเข้าใจเรื่องนี้ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบประชาธิปไตยคือการมีกระบวนการพูดคุยและสิทธิในการแสดงออกแต่ต้องมีกระบวนการจัดการและมีวุฒิภาวะ โดยเราจะไม่ทำให้เหมือนกับกรณีของป้านาที่จังหวัดราชบุรีอย่างแน่นอนไม่ว่าจะตอนที่หาเสียงหรือตอนที่ตนรัฐบาลแล้ว เพราะเราต้องการให้มีพื้นที่ปลอดภัยไว้พูดคุยกัน ขณะเดียวกันคนก็คงจะดูออกว่าเป็นความตั้งใจมาใช้สิทธิทางการเมืองจริงหรือไม่ หรือมาอย่างมีความตั้งใจแอบแฝงอื่นที่โดนบังคับมา

‘พิธา’ ฉะ ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ พอกันที 8 ปีที่บริหารประเทศย่อยยับ ลั่น!! เตรียมปิดฉากระบอบปรสิตผ่านบัตรเลือกตั้ง ของ ปชช.

เมื่อวันที่ (17 มี.ค. 66) ช่วงค่ำ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขึ้นปราศรัยปิดการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกลจังหวัดปทุมธานีที่ตลาดจัมโบ้ ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง โดยนายพิธากล่าวว่าเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นวาระสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลและนโยบาย แต่ต้องปักธงวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ด้วย

นายพิธากล่าวว่าสัปดาห์นี้ พล.อ.ประยุทธ์ทำงานเป็นสัปดาห์สุดท้าย พอกันที 8 ปีที่แปดเปื้อน 8 ปีที่ผ่านมา บริหารประเทศย่อยยับอย่างไร ตอนนี้ก็ยังย่อยยับอย่างนั้น มีโฆษณาออกมาจากพรรครวมไทยสร้างชาติว่านโยบายพรรคการเมืองต่าง ๆ เหมือนไอติมที่แบ่งกันดูด ส่วนพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นไอติมสีน้ำเงินผ่านมือถือ แต่ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เองไม่ใช่หรือ ฝนตกไม่ทั่วฟ้า เยียวยาไม่ทั่วถึง ชีวิตสิ้นคำนึง คำนึงถึงแค่ความตาย ครั้งนี้เรามีโอกาสแล้ว เหลือเวลาอีก 60 วัน ถึงเวลาปิดฉากระบอบปรสิตผ่านบัตรเลือกตั้งของประชาชน

‘พิธา’ ขึ้นเวทีปราศรัยเมืองกาญฯ ชู ‘ทลายทุนทหาร’ คืนที่ดิน-งบประมาณให้ ปชช. เอาทหารออกจากการเมือง

เมื่อวานนี้ (18 มี.ค.66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีปราศรัย จังหวัดกาญจนบุรี เผย ตั้งแต่เดินทางมาถึงจังหวัดกาญจนบุรี ทำให้ตนนึกถึงโจทย์ความท้าทายทางการทหาร พร้อมยกตัวอย่างวันที่ 25 เมษายน ของทุกปีเป็นวัน ‘Anzac Day’ ของประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เป็นความทรงจำแรกต่อกาญจนบุรีของตน ซึ่งเป็นวันแสดงความรำลึกถึงผู้ที่สูญเสียในสงคราม โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นจุดที่ทำให้คิดถึงความท้าทายในยุคสมัยนั้น เป็นความท้าทายทางทหารในอดีต

แต่หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ความท้าทายทางทหารแบบเดิมก็เปลี่ยนไป กลายเป็นความท้าทายทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ความท้าทายจากสังคมสูงวัยและทางดิจิทัลแทน แม้ว่าทุกวันนี้ความท้าทายและความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ยังมีอยู่ แต่ไม่มีใครเอาทหารไปรบกันตรง ๆ เป็นหลักอีกแล้ว ดังนั้น ตนจึงอยากตั้งคำถามถึงปัจจุบันว่า ทหารมีไว้ทำไม คำตอบคือ ทหารมีไว้ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วันนี้ตนจึงชวนมาทำลายทุนทหารที่กาญจนบุรีด้วยกัน

นายพิธากล่าวกลางเวทีปราศรัยว่า พื้นที่ที่เป็นที่ดินของกองทัพมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ คือ ที่ดินในจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมยกตัวอย่างโรงสูบน้ำเพื่อประชาชน ที่ตำบลท่าเก่า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ที่ใช้งบประมาณ 33 ล้านบาท แต่ไม่สามารถสูบน้ำได้สักหยด เนื่องจากอยู่บนที่ดินทหาร พี่น้องที่แก่งเสี้ยนอยากจัดการขยะก็จัดการไม่ได้เพราะอยู่ในพื้นที่ทหาร

นายพิธาย้ำอีกว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของทหารจำเป็นต้องใช้ที่ดิน โดยที่ดินราชพัสดุมีทั้งหมด 12 ล้านไร่ ครึ่งหนึ่งของที่ราชพัสดุเป็นที่ดินของกองทัพ คิดเป็นขนาดง่าย ๆ คือ มี 5 กรุงเทพรวมกัน ยังไม่มากเท่าที่ดินทหาร เมื่อมีที่ดินกองทัพก็นำมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด โยนตั้งคำถามต่ออีกว่า ทหารทำธุรกิจ แต่งบประมาณในการทำธุรกิจของกองทัพ ทำไมไม่เคยเข้าหลวงเลย แต่กลับเก็บเงินเข้าขุมทรัพย์สีเขียว พร้อมตั้งคำถามว่านี่คือหน้าที่ของทหารไทยหรือไม่

โดยนายพิธาเชื่อว่า ตนขึ้นมาพูดนโยบาย ‘ททท.’ เพื่อชาวกาญจนบุรี นั้นต่างจากพรรคการเมืองที่ผ่านมา เพราะ ‘ททท.’ ของตน ไม่ใช่นโยบายการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แต่คือ ‘ทลายทุนทหาร’

“ทหารมีไว้เพื่อทำสนามกอล์ฟ สนามมวย สนามม้า ปั๊มน้ำมัน บาร์ลับ ร้านกาแฟ โรงแรมหกดาว ทำบ้านสวัสดิการโกงกินจนเกิดเหตุกราดยิงที่โคราช นี่คือหน้าที่ทหารหรือ?” นายพิธาตั้งคำถาม

นายพิธาเปิดเผยต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ จึงสำคัญในการตัดวงจรอุบาทว์ เอาทหารออกจากการเมือง ให้เหมือนแยกน้ำออกจากน้ำมัน ไม่ให้มีวันบรรจบกันอีก การแก้แบบก้าวไกล คือ การแก้ไขปัญหาทั้งหมด ทำแบบที่นักการเมืองเขาไม่ทำหรือไม่กล้าที่จะทำกัน

โดยหัวหน้าพรรคเสนอการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

1.) แจกใบแดงให้นายทหาร ภายใน 7 ปีหลังเกษียณไม่สามารถเข้าสู่การเมืองได้
2.) ระบบเสนาธิการร่วม ผู้นำกองทัพอยู่ใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
3.) ยกเลิกศาลทหาร
4.) ยกเลิกเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ
5.) รีดไขมันจากกองทัพ เอางบประมาณมาทำสวัสดิการประชาชน

โดยบนเวทียังมีการแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.​พรรคก้าวไกล 5 จังหวัด พร้อมการปราศรัยแนวนโยบาย ‘การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต’ โดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ, นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล และนางอมรัตน์ โชคปมิตตกุล

โดยว่าที่ผู้สมัครพรรคก้าวไกลทั้ง 5 จังหวัด ประกอบด้วย

จังหวัดราชบุรี
เขต 1 นภดล อารีประเสริฐกุล
เขต 2 ปีรเมษ มณีโชติ
เขต 3 ภิญโญศิลป์ สังวาลวงศ์
เขต 4 วิชา อินทร์จันทร์
เขต 5 ธนพจน์ ทรัพย์ยอดแก้ว

‘พิธา’ ลุยสงขลา-ปัตตานี ชูนโยบายสันติภาพก้าวหน้า พร้อมอวยพรพี่น้องมุสลิมให้มีสุขภาพกาย-ใจแข็งแรง

วานนี้ (20 มี.ค.66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่จังหวัดสงขลาและปัตตานี เพื่อแนะนำแนวนโยบายพรรคก้าวไกลและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.

โดยช่วงเช้า เดินทางไปที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานี โดยมี รอมฎอน ปันจอร์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และทีมงานพรรคก้าวไกลจังหวัดปัตตานี ต้อนรับและนำชมสถานที่ จากนั้นพิธาและคณะพบผู้ประกอบการในพื้นที่และรับฟังปัญหาด้านต่าง ๆ รวมถึงรับฟังความเห็นต่อนโยบายของพรรคก้าวไกล เพื่อนำไปปรับรายละเอียดเนื้อหาให้ตอบโจทย์ประชาชนได้มากที่สุด พบว่าหลายคนสะท้อนปัญหาระบบราชการที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ และให้ความสนใจนโยบายปฏิรูประบบราชการ นโยบายรัฐสวัสดิการ และนโยบายประมงของพรรคก้าวไกล

‘พิธา’ ลุยหาเสียงเมืองนนท์ ชี้ เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ ย้ำ ‘ก้าวไกล’ มีจุดยืนชัดเจน แตกต่างจากพรรคอื่น

(26 มี.ค. 66) พรรคก้าวไกลนำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต หาเสียงกับพี่น้องชาวนนทบุรี ที่ท่าน้ำปากเกร็ด โดยแนะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตของพรรคทั้ง 8 เขต

โดยนายพิธา กล่าวถึงนิด้าโพลช่วงเช้าที่คน กทม. มอบความไว้วางใจให้เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นเรื่องที่ดี ถือว่าเป็นกำลังใจในการทำงานต่อไป ขณะเดียวกันการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งระดับชาติ ตนคงจะนำพลังที่ชาว กทม.ไว้วางใจมาเป็นกำลังใจให้ได้ทำงานทั้งประเทศ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top