Sunday, 5 May 2024
พิธาลิ้มเจริญรัตน์

สำนักข่าวอิศรา พาไปดูที่ดินแปลงงามของ ‘พิธา’ 14 ไร่ แจ้ง ป.ป.ช. ไว้ราคา 18 ล้าน แต่เพิ่งขายไป หลังยุบสภาฯ แค่ 6.5 ล้าน

24 มิ.ย. 2566 - สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ประเด็นตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกทรัพย์สินในส่วนที่ดิน ตามโฉนดที่ดิน หมายเลข 13543 ต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ เนื้อที่ 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา มูลค่าปัจจุบัน (ประมาณ) 18,000,000 บาท ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรี ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตอบรับตำแหน่ง ส.ส.ปี 2562

จากการสืบค้นแปลงรูปที่ดินของที่ดินแปลงนี้ ระบุ ตำแหน่งที่ตั้ง ระวาง 4933 I 0074-00 (4000) ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา ราคาประเมินที่ดิน (กรมธนารักษ์) 1,550 บาทต่อตารางวา ค่าพิกัดแปลง 12.43617271,99.91907531 ซึ่งจำนวนเนื้อที่ดิน ตรงกับเนื้อที่ดินที่เอกสารหลังโฉนดที่ดินตามที่นายพิธาแจ้งต่อ ป.ป.ช. 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา

โดยในแผนที่ภาพระบุตำแหน่งที่ดินแปลงนี้อยู่ติดถนนสาย 2004 ติดบ้านพักแห่งหนึ่ง ด้านเหนือและด้านตะวันออก ติดคลองวังยาว ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นตามที่แสดงผลในเว็บไซต์ของกรมที่ดินเท่านั้น แต่ไม่มีข้อมูลว่า ก่อนถึงมือผู้ถือกรรมสิทธิ์คนสุดท้าย โฉนดที่ดินแปลงนี้ออกเมื่อใดและกระบวนการออกเอกสารสิทธิ์มาจากหลักฐานใด?

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อมูลที่ดินแปลงดังกล่าว ในต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ เมื่อเดินทางไปถึงพบว่า เป็นที่ดินติดริมคลองวังยาว และมีถนนตัดผ่าน ในพื้นที่มีการปลูกต้นกล้วยเอาไว้หลายต้น

จากการสอบถามข้อมูลบุคคลในพื้นที่ได้รับแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ เคยมีคนจากกรุงเทพฯเดินทางมาดูที่ดินแปลงนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ซื้อ ส่วนเจ้าของที่ดิน ทราบว่า ไม่ได้ลงพื้นที่มาดูแลมาเป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปีแล้ว

ขณะที่ นายทหารรายหนึ่งในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงให้ข้อมูลสำนักข่าวอิศราว่า พื้นที่ดินบริเวณนี้ ถูกแบ่งออกเป็นสองแปลง มีถนนที่ตัดผ่านแบ่งที่ดิน ที่ดินฝั่งซ้ายเจ้าของ คือ นายทหารยศนายพล ส่วนที่ดินฝั่งขวาเจ้าของเป็นคนจากกรุงเทพฯ

เมื่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา สอบถามนายทหารคนดังกล่าวเกี่ยวกับที่ดินที่ถูกระบุว่ามีเจ้าของเป็นคนกรุงเทพฯว่าเกี่ยวข้องกับนายพิธาหรือไม่

นายทหารรายนี้ กล่าวว่า เคยโทรไปคุยกับผู้ที่ประกาศขายที่ดินฝั่งนั้นแล้ว ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายพิธาแต่อย่างใด และส่วนตัวก็ไม่เคยพูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องกับนายพิธาด้วย นายทหารรายนี้ ยังระบุว่า ให้ลองไปดูนอกบริเวณพื้นที่ เห็นว่ามีประกาศขายที่ดินปักอยู่

ต่อมา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้สำรวจบริเวณด้านนอกที่ดินแปลงนี้เพิ่มเติม พบว่ามีป้ายขายที่ดินวางอยู่บนพื้นในสภาพชำรุด ระบุขนาดที่ดินเนื้อหา 14-0-62.7 ไร่ เท่ากับขนาดที่ดินที่นายพิธาได้แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงาน ได้ติดต่อไปยังเบอร์โทรที่ถูกระบุบนประกาศขายที่ดินแปลงดังกล่าว ที่มีเลขลงท้ายสามตัวหลังว่า 200 ในระบบแจ้งข้อมูลว่า เป็นเบอร์ของทนายความของคนชื่อว่า 'ทิม'

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้พยายามสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกรณีที่ดินแปลงนี้กับนายพิธา บุคคลปลายสายกล่าวว่า "ไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลได้"

ในเวลาต่อมา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา เดินทางไปติดต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาปราณบุรี ได้รับการยืนยันข้อมูลเบื้องต้นว่า ที่ดินแปลงนี้ เป็นของนายพิธาจริง แต่ได้จดทะเบียนขายที่ดินไปแล้วเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา ในราคา 6.5 ล้านบาท (หลังยุบสภาฯวันที่ 20 มี.ค.2566 ประมาณ 7 วัน)

น่าสังเกตว่า ราคาขายที่ดินแปลงนี้ ต่ำกว่าราคาที่ดิน ที่นายพิธา แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน ต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ระบุมูลค่าปัจจุบัน อยู่ที่ราคา 18,000,000 บาท

ขอบคุณข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา

'พิธา' มั่นใจ!! เส้นทางนายกฯ คนที่ 30 สดใส ส่วนแก้ 112 ก่อนเลือกตั้งว่าไง หลังเลือกตั้งว่าตาม

(4 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์การประชุมสภาฯ เพื่อเลือกประธานสภาฯ และ รองประธานสภาฯ จะมีอะไรพลิกโผหรือไม่ว่า ไม่มี น่าจะราบรื่นไปได้ด้วยดี พรรคก้าวไกลจะพูดกับส.ส.พรรคก้าวไกลให้ราบรื่น

เมื่อถามว่า ได้ทำความเข้าใจกับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ที่เดิมถูกวางตัวให้เป็นประธานแต่มีกระแสข่าวได้เป็นรองประธานสภาฯ นายพิธา บอกว่า ได้ทำความเข้าใจมาตลอด คุยกันทุกวัน นายปดิพัทธ์ อยู่ร่วมในการตัดสินใจด้วย และเป็นคนที่มีสปิริตแรง เป็นตามที่เคยสัมภาษณ์เป็นตามหน้าที่ ไม่ใช่หน้าตา

ถามว่าพรรค รวมไทยสร้างชาติแสดงจุดยืนประธานสภาฯ ยังยึดมั่นการแก้มาตรา 112 พรรคก้าวไกลจะดำเนินการอย่างไร หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตอบว่า ตนไม่เห็นรายละเอียดเห็นแต่พาดหัวข่าวของนายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครทสช. โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ มีประสบการณ์และความเหมาะสม

ซักว่าพรรคเพื่อไทย หนุนนายพิธา ให้เป็นนายกฯ เป็นทิศทางที่สวยงามหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่าการรักษามิตรภาพเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า และทำให้เห็นความหนักแน่นของพรรคก้าวไกล ที่เรามองว่าหลักการสำคัญกว่าบุคคล เมื่อคุยกับนายวันมูหะมัดนอร์ ท่านรับหลักการทุกอย่างทั้งการบริหารงานสภาฯ ให้มีความโปร่งใส รวมถึงกฎหมายสำคัญ 4 ข้อที่ได้แถลงร่วมกันตนจึงมองว่าหลักการสำคัญกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่าการเสนอชื่อนายมูหะมัดนอร์ จะทำให้กระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า เสียงตอบรับจากช่องทางต่าง ๆ เป็นเสียงตอบรับที่ดี และ ตนมีโอกาสได้ทำงานนายวันมูหะมัดนอร์ มาทำให้สภาฯ ก้าวหน้าได้

ถามว่า นายวันมูหะมัดนอร์ เป็นร่างทรงของพรรคเพื่อไทยการได้ตำแหน่งครั้งนี้ ถือว่าถูกปาดหน้าหรือไม่ เพราะนายวันมูหะมัดนอร์ เสมือนคนเพื่อไทย นายพิธา กล่าวว่า เป็นเพียงเสมือนแต่นายวันมูหะมัดนอร์ เป็นผู้ใหญ่มีความคิดเป็นของตัวเอง พิสูจน์ตัวเองตั้งแต่ปี 2522 การที่ได้ทำงานใกล้ชิดมา เชื่อมั่นว่าเป็นตัวของตัวเอง สภาฯ ก้าวหน้า ประชาชนไม่ผิดหวัง

เมื่อถามว่ากฎหมายที่จะผลักดันมีเรื่องนิรโทษกรรมด้วย จะไม่ขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ถ้าแถลงร่วมกันแล้วตั้งแต่เมื่อวานก็น่าจะจบไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ก.ค.

ถามว่าประด็น มาตรา 112 ที่เป็นนโยบายของพรรคก้าวไกลจะถอยมาก่อนหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ก่อนเลือกตั้งอย่างไร หลังเลือกตั้งก็เป็นแบบนั้น

ซักว่าขณะนี้พรรคก้าวไกลสามารถรวบรวมเสียงส.ว.ได้จำนวนเท่าไหร่ หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวว่า ขอให้รอดูเวลาใกล้ ๆ แต่มากขึ้นเรื่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ และคิดว่าการส่งสัญญาณว่าใครมีภาวะผู้นำที่ดีรุกได้ถอยเป็น และ รู้ว่าหลักการการเสนอประธานสภาฯ คือพรรคอับดับ 1 แต่ขณะเดียวกันการรักษาเอกภาพเพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่าเป็นสิ่งสำคัญแสดงให้เห็นว่าผู้นำคนนี้มีความเข้าใจว่า เมื่อเวลารุกก็ต้องรุกให้สุด เมื่อเวลาถอยถ้าไม่เสียหลักการและได้ในสิ่งที่เราต้องการเห็นความก้าวหน้าของสภาฯ และเจตจำนงประชาชนเป็นที่ตั้ง ก็น่าจะเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างให้ ส.ว.ได้เห็น และคำว่ารุกได้ถอยเป็นขึ้นอยู่บริบท และคงต้องดูเป็นกรณี ๆ ไป ซึ่งคนเป็นผู้นำต้องตัดสินใจเป็นโดยประกอบไปบนข้อมูลและบริบทในสถานการณ์นั้น หากคุณจะก้าวกระโดดให้ไกลต้องถอยนิดหน่อย ถ้าคุณไม่ถอยก็ยืนอยู่กับที่ หรือกระโดดไม่ไกล ดังนั้นขึ้นอยู่สถานการณ์ แต่แน่นอนต้องไม่ขัดหลักการ ไม่ขัดกับสิ่งที่เสนอไว้ประชาชน และไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง

ถามว่ามองข้ามช็อตไปถึงวันเลือกนายกฯ หรือยัง นายพิธา กล่าวว่า เวลามองต้องมองไกล แต่เวลาปฏิบัติต้องมองวันต่อวัน วิธีทำงานเป็นเช่นนั้น

เมื่อถามว่าความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทย ได้เคลียร์ใจกันบ้างหรือไม่ หัวหน้าพรรคก้าวไกล บอกว่า ได้คุยกันมาตลอด แต่การทำงานร่วมกันก็มีทั้งที่เห็นด้วยและถกกันมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาตลอด 4 ปี มาตลอดในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้าน

ซักว่าจนถึงขณะนี้การเป็นนายกฯ คนที่ 30 ยังสดใสหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า “สดใส และมั่นใจครับ”

'พิธา' ฝ่าฝน!! สวมกอดกองเชียร์ 'ด้อมส้ม' ประกาศเปิดห้องรับรองสภาฯ รับประชาชน

(4 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรเสร็จสิ้น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้า และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนบริเวณห้องแถลงข่าว ก่อนจะเดินออกมาหน้าอาคารรัฐสภา พร้อมด้วยแกนนำคนสำคัญ อาทิ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายปิยรัฐ จงเทพ ส.ส.กทม., น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ส.ส.ปทุมธานี และมุ่งหน้าไปยังป้อมรักษาการณ์หน้าอาคารรัฐสภา ฝั่งถนนทหาร ซึ่งเป็นจุดรวมตัวของกลุ่มมวลชน ที่เดินทางมาให้กำลังใจพรรคก้าวไกลตั้งแต่ช่วงเช้า 

โดยพิธา และคณะ ได้เดินเข้าไปนั่งร่วมวงกับประชาชน ก่อนจะมีการพูดคุย พร้อมแจกลายเซ็น และกล่าวขอบคุณที่เดินทางมาให้กำลังใจในวันนี้ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา

โดยช่วงหนึ่ง นายพิธา กล่าวว่า เมื่อเราได้เก้าอี้สำคัญในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้ง 3 ตำแหน่ง หนึ่งในนั้นคือ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ว่าที่รองประธานสภาฯ คนที่ 1 สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือ ทำให้สภาแห่งนี้เป็นของประชาชน โดยประชาชนจะไม่ต้องยืนตากฝนแบบนี้ เพราะสามารถเข้าไปนั่งในห้องรับรองได้ โดยจะทำพื้นที่ให้เหมือนกับรัฐสภาสากล ที่มีไว้ต้อนรับประชาชน เพราะเป็นสถานที่ทำงานของสภาผู้แทนราษฎร และราษฎร์เป็นผู้เลือกให้เข้ามาทำงาน รวมถึงเป็นงบประมาณที่ได้จากภาษีของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นภารกิจเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ส่วนตัวเชื่อว่า ประธานรัฐสภาของฝ่ายประชาธิปไตย และรองประธานทั้งสองคน จะช่วยบริหารจัดการดูแล ขณะเดียวกันก็จะดูแลความปลอดภัยของระบบรัฐสภาให้ดีขึ้น คิดว่าน่าจะเป็นวาระแรก ๆ เพราะอีกหน่อยจะไม่มี 3 ป.แบบเดิม แต่จะมี 3 ป.แบบใหม่ คือ ประสิทธิภาพ โปร่งใส และประชาชน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในระบบประชาธิปไตย

ทั้งนี้ กลุ่มมวลชนได้ต้อนรับนายพิธา และคณะ ด้วยการนำพัดมาพัดให้ และระหว่างที่มีการสนทนา กลุ่มมวลชนหลายคนต่างพร้อมใจตะโกนคำว่าย้ำว่า "นายกฯ" และร้องเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" เพื่อให้กำลังใจพิธาและคณะด้วย นอกจากนี้ นายพิธา ยังเข้าไปสวมกอดมวลชนอีกด้วย

'เสธ.โหน่ง' ลั่น!! หาก 'พิธา' ไม่ได้เป็นนายกฯ ประชาชนจะนัดหยุดงานลงถนนแบบยุโรป

เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.66) พล.ท.พงศกร รอดชมภู หรือ 'เสธ.โหน่ง' อดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นทางการเมืองว่า ยังเชื่อตามนี้อยู่นะครับ ถ้าฝืนเสียงประชาชนคุณภาพ (ยืมคำพูดสมัยก่อนหน่อย ลองย้อนศรดู จะได้หมดข้ออ้าง) คือคนกรุงเทพฯ ปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียงทั้งหมด รวมเมืองใหญ่สำคัญแบบเชียงใหม่ ภูเก็ต จังหวัดเขตอุตสาหกรรมแบบระยอง

ไม่ต้องทำอะไรมาก ผู้ปกครองที่คนไม่ยอมให้ปกครองก็อยู่ยาก อาจเริ่มจากไม่มีใจทำงานให้ เฉื่อยงานไปจนถึงอาจนัดหยุดงานทั่วไปแบบในยุโรป รอบละ สองสัปดาห์บ้าง 1 เดือนบ้างสลับกันไป

เกิดอะไรขึ้น ขนส่งสาธารณะและเอกชนหยุดหมด ร้านค้าปิดตัวพร้อมกัน ยอมเสียรายได้วันนี้เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนี่จะหนักมากเพราะการจองต้องทำล่วงหน้า มีปัญหาหากว่าจะฟื้นตัวอย่างน้อย 6 เดือน มีติดต่อกัน 2 ถึง 3 รอบปิดงานยาวไป

ม๊อบอาจมีบ้างแต่ไม่ใช่สาระเพราะอาจถูกนำไปผิดทางหรือถูกซื้อได้ง่าย ๆ เจอการต่อสู้แบบสันติวิธีน่ากลัวกว่ามาก หาแกนนำที่ไหนก็ไม่เจอเพราะอยู่ในโรงงาน ห้างร้าน บริษัทและเอกชนอื่น ๆ ไม่ใช่บนถนน

เจ้าของบริษัทเอกชนนั่นเองจะออกปากให้รัฐบาลที่ประชาชนไม่สนับสนุนลาออก

จะใช้โฆษณาชวนเชื่อมากล่าวหาว่าคนไทยไม่รักชาติเท่าไรคนก็ไม่ฟัง

พิธา เป็นเด็กเมื่อวานซืนไม่ใช่หรือ จะกลัวอะไร 

แต่ถ้าดูถูกประชาชน แล้วเกิดประชาชนฮึดสู้แบบสันติขึ้นมา อุตสาหกรรมทั้งหลายหยุดชะงักหมด รัฐบาลที่คนสาปแช่งนั้นเองจะอยู่ยาก 

มาลองดูกันว่าระบบราชการหรือผู้มีอำนาจอย่าง ส.ว.และข้างหลังคือ คสช. จะทนทานได้สักเท่าไร

ประชาชนต่างหากเป็นผู้ทรงอำนาจแท้จริง แล้วอย่าไปมองหาแกนนำแบบสมัยสงครามสี นี่เป็นชนชั้นกลางคล้ายม็อบมือถือสมัย 35 แต่ไปไกลกว่า มากกว่าและลึกซึ้งกว่ามาก ครับ

ส่องแนวรบ 'ส.ว.' ผวาทุนใหญ่ยิงกระสุนล็อบบี้ ส่วนสูตรรัฐบาลเสียงข้างน้อยแผ่ว 'ลุงตู่' ไม่เล่นด้วย

ลุ้นกันระทึกว่าวันที่ 13 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ จะม้วนเดียวจบหรือม้วนเดียวจอด ถ้าคะแนนโหวตแตะ 376 เสียงทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าไม่ถึงก็ต้องจอด จอดแล้วทำอย่างไรต่อ ท่านประธานรัฐสภา วันมูหะหมัดนอร์ มะทา พูดชัดว่าก็จะนัดประชุมใหม่ในวันพุธที่ 19 ก.ค. เปิดโอกาสให้เสนอชื่อ 'พิธา' ลุ้นโหวตรอบสองอีกครั้ง ถ้ารอบสองไม่ผ่านจะทำอย่างไร ท่านวันนอร์บอกต้องดูหน้างานกันอีกที แต่ท่านพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯจากพรรคเพื่อไทยบอกว่าอาจนัดประชุมต่อในวันที่ 20 ก.ค.ต่อไปเลย

ครับ ท่านสาธุชนในชั้นนี้ เอาเป็นว่าให้รับรู้แค่ว่าถ้าวันที่ 13 ก.ค.พิธาสอบไม่ผ่านก็ต้องไปลุ้นกันอีกทีวันที่ 19 ก.ค. ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ว่ามานี้หมายถึงว่าพิธาไม่มีคู่แข่งนะครับ แต่ถ้ามีคู่แข่งอาจจะชื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรืออนุทิน ชาญวีรกูล แล้วบังเอิญคู่แข่งได้คะแนนถึง 376 เสียง ก็จบข่าว

หันมาสำรวจตรวจสอบคะแนนกันอีกครั้ง ก่อนจะถึงวันที่ 13 ก.ค. ตอนนี้ 8 พรรคที่หนุนคุณพิธายังผนึกแน่น 312 เสียง ขาดอีก 64 เสียง ซึ่งทั้งคุณไหม ศิริกัญญา ตันสกุล และคุณต๋อม ชัยธวัช ตุลาธน คนโตแห่งพรรคก้าวไกลยืนยันว่าดูจากฐานข้อมูลแล้วคะแนนสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. มีพอเพียง มั่นใจว่าจะผ่านโหวตตั้งแต่รอบแรก แต่กระนั้นก็ยังจะเดินหน้าหาคะแนนเพิ่มต่อไป

สำหรับ 'เล็ก เลียบด่วน' แอบส่องกล้องมองดูทิศทางลมของ ส.ว. แล้วต้องบอกเหมือนเดิมว่า ไม่พอครับ ไม่พอเพียงเพียงพอที่จะให้คุณพิธาถึงฝั่งฝัน นับไปนับมาตอนนี้อยู่ที่ 15 เสียงบวกลบ แต่กระนั้นก็ต้องกระซิบเบาๆ กับท่านผู้อ่านท่านผู้ฟังทุกท่านว่า คีย์แมนฝ่าย ส.ว. ที่คัดค้านคุณพิธาเพราะติดใจในหลายเรื่องนั้น พวกเขาแอบหวั่นใจลึกๆ กับปฏิบัติการล็อบบี้ ส.ว. ของกลุ่มทุนกลุ่มหนึ่งที่เดินหน้าควักอาวุธลับหลายปึกต่อคน เพื่อให้ยกมือหนุนนายกฯ จากก้าวไกลหรือเพื่อไทย นัยว่าเพื่อสกัดกั้นพรรคสีน้ำเงินแห่งรถไฟฟ้าสายสีส้ม คีย์แมน ส.ว. กลุ่มนี้ฟันธงว่าถ้าพิธาพลิกล็อกเข้าป้าย ก็คงเพราะด้วยเหตุนี้แล

โดยภาพรวม ‘เล็ก เลียบด่วน’ มองข้ามช็อตว่าเมื่อพิธาจอดไม่ต้องแจววันไหน พรรคเพื่อไทยก็ต้องสลัดทิ้งก้าวไกลเพื่อเดินหน้าประเทศไทย เพราะขณะนี้นอกจาก ส.ว. ผูกเงื่อนตายไม่เอาพิธาแล้ว ยังชูธงโต้กระแสทวนอีกว่า รัฐบาลใหม่ของใครก็ตามต้องไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมอยู่ด้วย ดังนั้นพรรคเพื่อไทยโดยต้องเจรจาต่อรองกับพรรคลุงป้อม พรรคอนุทิน ถ้าเกิด 'บิ๊กป้อม' ยื่นคำขาดขอเป็นนายกฯ แต่เพื่อไทยไม่ยอม งานช้างก็จะเกิดขึ้น การเมืองไทยก็คงดูไม่จืด

ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับการเมืองสูตรรัฐบาลอนาคอนดาที่หมายถึงกลุ่มขั้วอำนาจเดิมที่เป็น ครม. รักษาการในปัจจุบันซึ่งมีเสียงรวมกัน 180 กว่าเสียง จะเดินแผนตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยชิงตำแหน่งนายกฯ โดยอาศัยเสียง ส.ว. 200 กว่าเสียง ตัดหน้ากลุ่ม 8 พรรคแล้วค่อยดูดเสียงจากพรรคเพื่อไทยภายหลังนั้นต้องบอกว่าโอกาสเกิดขึ้นยากมาก เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติโดยประกาศิตจาก ‘บิ๊กตู่’ บอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะหวั่นจะเข้าทางปืนอีกฝ่ายและเกิดความวุ่นวาย   

ดังนั้นไม่แปลกที่หากใครเข้าไปดูเพจพรรค รทสช. วันนี้ จะเห็นแบนเนอร์ประกาศจุดยืนไม่เอารัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยเด็ดขาด ซึ่งนับเป็นสปิริตที่น่าชื่นชมของบิ๊กตู่โดยแท้ทรู และเพราะจุดยืนนี้ของพรรคลุงตู่ทำให้ปฏิบัติการขาเชียร์ลุงป้อมที่จะให้เดินสูตรรัฐบาลอนาคอนดาเกือบปิดประตู ต้องไปคิดสูตรอื่น

ครับ!! สุดท้ายก็ขออนุญาตจบกันห้วนๆ ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ว่า การจัดตั้งรัฐบาลยังเดินหน้าไปด้วยความยุ่งยากและอาจมีความวุ่นวาย ทั้งๆ ที่ไม่ว่าหมุนไปสูตรไหน นายกฯ ก็หนีไม่พ้นคนใดคนหนึ่งใน 4 คน อุ๊งอิ๊ง เศรษฐา อนุทิน และบิ๊กป้อม ถ้าผิดจากนี้ก็ตัวใครก็ตัวใครล่ะกันค่อยมาว่ากันอีกที

'ก้าวไกล' ส่งหนังสือด่วนถึง กกต. คัดค้านส่งเรื่องวินิจฉัย กรณี 'พิธา' ถือหุ้นสื่อไอทีวีไปยังศาลรัฐธรรมนูญ 

(10 ก.ค. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลได้ส่งหนังสือด่วนไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อคัดค้านการที่ กกต. จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยกรณีหุ้นสื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนที่ระเบียบ กกต. ระบุไว้เอง มีความเร่งรัดเกินกว่าเหตุ จนน่าสงสัยในเจตนาของ กกต. ว่ากระทำโดยความเป็นกลางหรือไม่

นายชัยธวัชกล่าวว่า ตามระเบียบของ กกต. เมื่อมีการร้องเรียนผู้สมัครคนใดเกี่ยวกับการกระทำหรือการขาดคุณสมบัติ คณะกรรมการต้องไต่สวน สืบสวน รวบรวมข้อเท็จจริง จากนั้นให้แจ้งข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ รวมถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ผู้ถูกร้องทราบ และให้ผู้ถูกร้องเข้าไปชี้แจง จากนั้นจึงดำเนินการต่อไปในการส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ในกรณีนี้ เมื่อมีการไต่สวนรวบรวมข้อเท็จจริงแล้ว ยังไม่มีการแจ้งข้อเท็จจริงให้พิธาทราบ และยังไม่มีการเรียกเจ้าตัวไปชี้แจงด้วย แต่กลับจะมีการเร่งรัดส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเท่ากับ กกต. กำลังทำผิดระเบียบของตนเองอยู่

“ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ อีกเพียง 4 วัน ก็จะถึงการโหวตนายกรัฐมนตรี การที่จู่ๆ กกต.จะเร่งรัด ทำข้ามขั้นตอน ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทันที อาจทำให้สังคมตั้งคำถามได้ว่าองค์กรอิสระทำหน้าที่อย่างไม่เป็นกลาง มีเป้าประสงค์ทางการเมืองหรือไม่ ผมเชื่อว่าประชาชนเฝ้ารอการโหวตนายกรัฐมนตรีกันทั้งประเทศ จึงไม่ควรมีการกระทำใดๆ ที่จะขัดขวางการตั้งรัฐบาลตามครรลองประชาธิปไตย” นายชัยธวัชกล่าว

'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' ตอบข้อซักถามที่ว่า... "ถ้านายกฯ ไม่ใช่พิธา แล้วพรรคเพื่อไทยขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล พิธาจะสนับสนุนหรือไม่?"

"ถ้านายกฯ ไม่ใช่พิธา แล้วพรรคเพื่อไทยขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล พิธาจะสนับสนุนหรือไม่?"
 

‘ครูหยุย’ เช็ก!! ตัวเลข ส.ว.โหวตเลือกพิธา  ปั่นข่าวกระพือ 20 แต่ตัวเลขแท้จริงคือ 10 

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 66) เฟซบุ๊ก ‘วัลลภ ครูหยุย ตังคณานุรักษ์’ ของนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้โพสต์ภาพอินโฟกราฟิกของสำนักข่าวออนไลน์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เปิดรายชื่อ 20 ส.ว. โหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ตามเสียงข้างมาก ส.ส. โดยได้กากบาทคนที่ตรวจสอบแล้วไม่ใช่ พร้อมระบุว่า เพื่อความชัดเจน ตามนี้เลยครับ สอบถามทุกคนในภาพมาแล้ว ตัวเลขปั่นจนข่าวเอาไปลงคือ 20 ตัวเลขแท้จริงคือ 10 ครับ"

สำหรับ ส.ว.ที่นายวัลลภระบุว่าสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 
1. นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ 
2. นพ.อำพล จินดาวัฒนะ 
3. นายทรงเดช เสนอคำ 
4. นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม
5. นายวันชัย สอนศิริ 
6. นายมณเทียร บุญตัน 
7. นางประภาศรี สุฉันทบุตร 
8. นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ 
9. นายพิศาล มาณวพัฒน์ 
และ 10. นายพีระศักดิ์ พอจิต

ส.ว.สายโหวต ‘พิธา’ จี้ กกต. ส่งศาล รธน.สอบคุณสมบัติ หวั่น!! โหวตผู้มีลักษณะต้องห้ามเข้าสู่ตำแหน่ง

รีบเลย!! ‘ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม’ ส.ว. ซึ่งมีชื่อว่าจะโหวตเลือก ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับออกมาจี้ กกต. รีบส่ง #ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย คุณสมบัติ #พิธา โดยเร็ว ก่อน #โหวตนายก 13 ก.ค. กลัวต้องโหวตผู้มีลักษณะต้องห้ามเข้าสู่ตำแหน่ง ยันที่ประชุมรัฐสภา สามารถเลื่อนการประชุมโหวตได้ 

พฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม จะเป็นวันนัดโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งก้าวไกลจะเสนอชื่อ ‘พิธา’ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยแกนนำบางคนออกมายืนยันแล้วว่า มีเสียงสมาชิกวุฒิสภาให้การสนับสนุนครบแล้ว ถ้าครบแล้ว หมายถึงได้รับการสนับสนุนจาก สว.แล้วไม่น้อยกว่า 66คน

ต้อง 66เสียง เพราะว่า พรรคก้าวไกลหายไป 1 คน จากเหตุเมาแล้วขับ และ กกต.ยังไม่รับรองในการเลื่อนลำดับถัดมา จึงยังไม่ได้เข้าสาบานตนรับตำแหน่ง ส่วนอีกคน ต้องทำหน้าที่ประธาน จะงดออกเสียงหรือไม่

แต่ประเด็นมาถึงวันนี้ สว.บางคนที่เคยเอ่ยปากสนับสนุน ‘พิธา’ เริ่มลังเลในการโหวต กลัวว่าจะเป็นการรับรองคนผิดเข้าสู่ตำแหน่ง แล้วจะถูกเล่นงานตลบหลัง ส่วนคนที่ตั้งใจ มุ่งมั่นแล้วก็ว่ากันไป แต่จำนวนเท่าไหร่แน่ ไม่มีใครยืนยัน

วันนี้ กกต.นัดประชุมสรุปอีกรอบในการดำเนินการตามคำร้องของเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ให้ตรวจสอบคุณสมบัติของพิธาว่าเข้าข่ายต้องห้ามหรือไม่กรณีถือหุ้นสื่อ (ไอทีวี) ซึ่งเมื่อวานได้พิจารณาแล้ว แต่พรรคก้าวไกลทำหนังสือแย้งไปว่า กกต.ยังไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน คือเรียกผู้ถูกกล่าวหาไปชี้แจง กกต.จึงเลื่อนมาพิจารณาต่อในวันนี้

อ๋อม - สกาวใจ พูนสวัสดิ์ นักแสดงชื่อดัง อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย โพสต์อินสตาแกรม oomsakaojai

(12 ก.ค. 66) จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศวางมือทางการเมือง

ล่าสุด อ๋อม - สกาวใจ พูนสวัสดิ์ นักแสดงชื่อดัง อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย โพสต์อินสตาแกรม oomsakaojai ระบุว่า ประกาศวางมือแล้วยังไม่พอนะ แต่ต้องสำนึกผิดและขอรับโทษกับการก่อกรรมที่ทำไว้ด้วย และย้ายบ้านซะ เปลืองงบว่ะ จะดีกว่าแค่วางมือ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top