Monday, 6 May 2024
พิธาลิ้มเจริญรัตน์

'พิธา' เปิดใจ!! แจงดรามา 'ทหารคุมตัวจนไปงานศพพ่อไม่ทัน'  ด้านคุณแม่พิธา ส่งข้อความ "ไม่รู้จักเพื่อนของพ่อคนดังกล่าว"

เมื่อวานนี้ (26 เม.ย.66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวภายหลัง ลงจากเวทีดีเบต ของสถานีโทรทัศน์ PPTV ถึงกรณี ดราม่าการกลับมางานศพพ่อของตนเองไม่ทันหลังจากรัฐประหาร 2549 ว่า ตนมางานศพพ่อไม่ทันจริงๆ โดยงานศพ เริ่มตั้งแต่วันที่ 18-24 กันยายน 2549 ตนมาทันในวันที่ 22-24 กันยายน 2549 หลังจากนั้นก็เก็บศพไว้ 100 วันก่อนทำการฌาปนกิจ การพูดในรายการของหนูแหม่ม สุริวิภา และรายการของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรเอางานศพของพ่อใครมาพูดให้เป็นเรื่องแบบนี้

นายพิธา ยังได้ชี้แจงหลักฐานให้ผู้สื่อข่าวดูมา มีทุกอย่างครบ ว่ากลับมาประเทศไทยอย่างไร เป็นรูปภาพกำหนดการงานศพ ตั๋วเครื่องบิน 

เมื่อถามว่าตอนสมัยกลับจากสหรัฐอเมริกา มีคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นข้าราชการการเมืองแล้วหรือเป็นนักเรียนทุนกันแน่ นายพิธา ชี้แจงว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เพิ่งลาออกจากทีมงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พอดี และจะเดินทางไปศึกษาต่อ ดังนั้นจึงเป็นช่วงคาบเกี่ยวกัน

“นี่เป็นการทำงานตอนที่เป็นทีมงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ … และหยุด ลาออก แล้วก็บินไปเรียนหนังสือต่อถึงวันที่ 6 คุณพ่อเสีย 19 กันยายน อย่างที่บอก เพราะฉะนั้นเป็นช่วงคาบเกี่ยว ผมก็ต้องบอกว่าเพิ่งทำงานเสร็จ และจะไปปฐมนิเทศเริ่มการเรียนหนังสือ แต่อย่างไรก็ตามนามสกุลของเรายังมีบันทึกอยู่ เวลาลงพื้นที่มีคอมพิวเตอร์ มีแลปทอป ถ้าดูจากข่าวว่าสิงคโปร์บินถึงประเทศไทยวันที่ 21 กี่โมง ตอนนั้นประมาณบ่ายโมง ผมยังจำได้ว่าสัมภาษณ์กับท่านสุริวิภา ตอบไปว่าอยู่ประมาณ 5-6 ชั่วโมง ถ้าจำไม่ผิด” นายพิธากล่าว

นายพิธา สรุปว่า ภายหลังจากออกจากกักตัวที่กองทัพอากาศ ก็ถึงบ้านประมาณสองทุ่ม ตนจำได้ว่ามาถึงแม่ของตนที่กำลังกลับจากงานศพ โดยแม่เพิ่งบอกว่าไปงานศพพ่อมา แสดงให้เห็นว่าตอนกลับมาก็ไปไม่ทัน ตนย้ำว่าไม่มีใครที่อยากเอาชีวิตพ่อตัวเองมาทำให้เป็นดราม่า เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดกันถึงการรัฐประหารว่าทำให้เกิดอะไรขึ้นกับประชาธิปไตยบ้าง

นายพิธา กล่าวว่า ตอนนี้เป็นนักการเมือง หากประชาชนอยากตรวจสอบก็สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งก็เห็นอยู่แล้วว่ามีภาพชัดเจน ตนคิดว่าประชาชนจะเข้าใจ และการอธิบายก็คงทำให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น 

นายพิธา ย้ำอีกว่า แม่ของตนได้เห็นโพสต์ของสื่อฉบับหนึ่ง ที่ระบุว่าเพื่อนของพ่อตนโพสต์เฟซบุ๊กบอกว่าตนโกหก เพื่อเรียกกระแสดราม่า โดยแม่เพิ่งส่งข้อความมาว่าไม่รู้จักเพื่อนของพ่อคนดังกล่าว

นายพิธา กล่าวพร้อมโชว์รูปวันที่พ่อแม่ไปส่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า รูปดังกล่าวเป็นวันที่พ่อของตนไปส่งเรียนต่อ ช่วงวันที่ 6-7 กันยายน 2549 และรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตนไม่ได้มีโอกาสบอกลาพ่อ ซึ่งการสัมภาษณ์บางครั้งอาจถูกตัดออกไป นอกจากนี้ตนคิดว่ายังมีความเข้าใจผิดเรื่องไทม์โซนของสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย ซึ่งตอนที่แม่โทรมาบอกตน แม่ก็โกหกบอกว่าพ่อยังไม่เสีย เพื่อต้องการไม่ให้ตนแตกสลาย อย่างน้อยบินกลับมาเมืองไทยและอยู่กับครอบครัว 

“คุณต้องเข้าใจว่าคนที่เสียพ่อ โดยที่ไม่ได้ลากันมันไม่มีเวลามานั่งไล่จับรายละเอียดอย่างนู้นอย่างนี้ ถ้าคุณอยากรู้ผมก็มีหลักฐานที่จะมาเปรียบเทียบให้ชัดๆ ไปก็ได้ ว่าสิ่งที่พูดมาไม่เป็นความจริง และอย่าทำให้การเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลตอนนี้เสียสมาธิ ขอเรียกร้องให้คนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลอย่าเสียสมาธิกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้” นายพิธากล่าว

ทั้งนี้ นายพิธา ยังได้โพสต์โชว์ 3 ภาพดราม่า 

โดยรูปที่ 1 แสดงให้เห็นว่างานศพของคุณพ่อตนนั้นเป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 - 24 กันยา ต่อคำถามว่า สรุปแล้วมาทันหรือไม่ทันกันแน่ คำตอบ คือ มาทันครึ่ง (วันที่ 22-24) “และ” ไม่ทันครึ่ง (วันที่ 18 - 20) ทั้งการสัมภาษณ์ของคุณสุริวิภากับของคุณสรยุทธ์จึงไม่มีอะไรขัดแย้งกัน

รูปที่ 2 อ้างอิงถึง ข่าวจาก Channel News Asia รายงานว่า วันที่ 21 กันยายน 2549 เครื่องบินรัฐบาลไทยที่กลับสู่ประเทศไทยหลังการรัฐประหาร โดยลงจอดที่สนามบินกองทัพอากาศ ในช่วงประมาณ 12.40 น. ซึ่งเป็นเครื่องบินลำที่ตนโดยสารมาจาก นิวยอร์กและลอนดอน จากรายงายข่าวจะพบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมตัวและตรวจสอบบนเครื่องบินอย่างละเอียด ตนถูกกักตัวอยู่ 5-6 ชั่วโมง กว่ารถบัสจะออกมา กว่าจะมีรถของตนมารับ ก็ถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่มกว่า ๆ จำได้ว่าถึงบ้านก่อนคุณแม่และน้องที่ใส่ชุดดำกลับมา แล้วเราก็กอดกันเป็นครั้งแรกหลังสูญเสียคุณพ่อ

อดีตผู้แทนการค้ายุคทักษิณ-กุนซือเพื่อไทย  มัด!! 'พิธา' กุเรื่อง 'ถูกคลุมหัว-อายัดบัญชี'

(27 เม.ย.66) นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะอดีตผู้แทนการค้าไทยสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ปี2549 กล่าวกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์อ้างว่าเดินทางกลับจากนิวยอร์กหลังถูกรัฐประหารปี 49 ซึ่งโดยสารเครื่องบินลำเดียวกับนายปานปรีย์ว่า ก่อนเครื่องขึ้นจากนิวยอร์ก มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนำนายพิธามาฝาก โดยระบุว่าฝากน้องพิธากลับไทยด้วย แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่านายพิธามาจะมาเล่นการเมืองอะไรในอนาคต ขณะนั้นเข้าใจเพียงว่าเป็นน้องคนหนึ่ง ที่อาศัยเครื่องบินกลับมา เมื่อเครื่องมาถึงกรุงเทพฯ ตนก็ไม่คิดว่าจะเจออะไร เพราะได้ส่งนายทักษิณที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษแล้ว

"แต่เมื่อเครื่องถึงสนามบินดอนเมือง เครื่องบินลำดังกล่าวกลับจอดนิ่งประมาณครึ่งชั่วโมง ท่าทางไม่ค่อยดี ซึ่งตนในฐานะหัวหน้าคณะเดินทาง จึงเดินไปบอกคนในเครื่องรวมถึงนายพิธา ว่าเราคงไม่ได้ลงที่ดอนเมือง ตอนนี้เครื่องมาจอดที่ บน.6 แล้วขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เชื่อว่าไม่มีปัญหาเพราะเราไม่ใช่นักการเมือง"

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนั้นนายพิธาขึ้นเครื่องในฐานะที่เป็นทีมงานนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ในขณะนั้น หรือเป็นแค่คนไทยที่อาศัยเครื่องบินเดินทางกลับประเทศ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ทราบเพียงว่าเป็นหลานของนายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตเลขาส่วนตัวนายกฯ ทักษิณ

สถานภาพใหม่ ‘พิธา’ คนโกหก-ไม่ทำชั่ว ‘ไม่มี้’ ซวย 'โร้ดแม็ปรัฐบาลก้าวไกล' กร่อยกลางทาง

เลียบการเมือง การเลือกตั้งสุดสัปดาห์ 'เล็ก เลียบด่วน' ไม่ขอพูดพล่ามทำเพลง ขอชี้เปรี้ยงไปที่กรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเลยว่า...น่าเสียใจและน่าเสียดายที่จะต้องบอกว่าคำชี้แจงแถลงไขของ กรณีดรามางานศพพ่อ แม้จะจริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ก็เป็นการ 'เลือกชี้แจง' ตอบไม่สะเด็ดน้ำว่าใช้เส้นสาย 'อภิสิทธิ์ชน' ขึ้นเครื่องบินเที่ยวพิเศษได้ยังไง? เพราะใคร?

และที่สำคัญไม่มีหลักฐานแม้แต่นิดเดียวว่าถูกคณะรัฐประหาร 19 กันยา 49 คุมตัวเป็นวัน และถูกอายัดบัญชีการทำธุรกรรม...งานนื้ทำให้การแถลงข่าวเรื่อง 'โร้ดแม็ปรัฐบาลก้าวไกล' ของเขา ที่มีบางเรื่องน่าสนใจกร่อยไปเลย..กร่อยไปท่ามกลางโซเชียลที่กระพือพุทธภาษิต...คนโกหกไม่ทำชั่วไม่มี...!!

อย่างไรก็ตาม ขณะที่หัวหน้าพรรคกำลังถูกกล่าวหาว่าสร้างดราม่าเรื่องผจญภัยรัฐประหาร...ก็ต้องยอมรับว่ากระแสพรรคก้าวไกลในหลายยังคงพื้นที่ร้อนแรง...ร้อนแรงจากเวทีดีเบต โพลของหลายสำนัก รวมทั้งหน่วยงานความมั่นคงเริ่มขยับปรับเปลี่ยนจำนวนที่นั่ง ส.ส.ของพรรคส้มกันบ้างแล้ว...แต่ถึงอย่างไร 'เล็ก  เลียบด่วน' ก็ยังฟันธงว่าในสนามต่างจังหวัด ว่ายากที่พรรคก้าวไกลจะแหกโค้งเบียดเข้าป้ายอย่างมีนัยสำคัญ...ยกเว้นสนาม กทม.ที่อาจจะมีเซอร์ไพรซ์ ถ้า 7 วันสุดท้ายพรรคเพื่อไทยยังไม่มีทีเด็ดทีขาด...

ส่องสนามเลือกตั้งตามภาคต่างๆ...เกิดปรากฏการณ์ประหลาดในภาคอีสานบางพื้นที่ และภาคใต้ในหลายพื้นที่...นั่นคือปรากฏการณ์ 'ทิ้งพรรค เอาเขต'...โดยเฉพาะที่นครศรีธรรมราช ที่กระแสลุงตู่มาแรงสุดๆ  ทำให้ผู้สมัครคู่แข่ง โดยเฉพาะพรรคเก่าแก่ต้องปรับกลยุทธ์บอกชาวบ้านว่า...คะแนนพรรคเลือกลุงตู่ เบอร์ 22 แต่คะแนนเขตขอให้เลือกพรรคกระผม พรรคดิฉัน...ทำเอาผู้สมัครพรรครทสช.ต้องรีบไปแก้เกมกันจ้าละหวั่น...

พูดถึงพรรครวมไทยสร้างชาติเสาร์-อาทิตย์นี้ 'ลุงตู่' จัดเต็ม ขนาดไปพักค้างที่สงขลา...และก่อนเลือกตั้ง 2 วันจะจัดหนักให้ที่นครศรีธรรมราชอีกครั้ง...แต่พื้นที่ที่ดูเหมือนจะร้อนรุ่มกลุ้มอุราก็คือภาคอีสาน  เหตุเพราะน้ำประปาหยุดไหลมานานแล้ว ผู้สมัครหลายคนเริ่มถอดใจ...หลายคนก็เริ่มรวมตัวฮึ่มๆ...จะยกพลขอคุยกับ 'หัวหน้า-เลขา' ให้รู้แล้วรู้รอด...ทราบแล้วเปลี่ยน..!!

‘ดร.เสรี’ ซัด!! ตอนอายุ 20 ดูใสๆ น่ารัก  แต่พอ 40 มาทำงานการเมือง ดูน่ารังเกียจ

(28 เม.ย.66) ดร.เสรี วงษ์มณฑา โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า…

“น่าเสียดาย เรียนก็เก่ง มหาวิทยาลัยที่เรียนก็ชั้นนำ หน้าตาก็ดี ตอนยังไม่เข้ามาทำการเมืองพูดจาใสๆ ดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่พอเข้ามาทำงานการเมืองเท่านั้นแหละ เปลี่ยนไปเลย

ก่อนมาเป็นนักการเมือง ก็สร้างวีรกรรมให้คนเขาดรามากันไปทั่ว เมียมีเพื่อนเป็นกะเทยก็ไม่ได้ ถึงขนาดทำร้ายร่างกายเมีย เป็นเรื่องลบติดตัวมาถึงเวลานี้

เคยพูดว่างบประมาณสำหรับข้าราชการบำนาญว่าเป็นงบช้างป่วย พอโดนต่อต้าน และจะทำให้เสียคะแนนของผู้สูงวัย ก็บอกว่าไม่ได้พูด

‘พิธา’ งานเข้า!! นักร้องตบเท้าแห่ยื่น กกต. สอบ 4 ประเด็น ชี้ เกี่ยวข้องกับมิติทางการเมือง เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง

(28 เม.ย. 66) ที่สำนักงาน​คณะกรรมการ​การ​เลือกตั้ง​ (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ พรรคพลังประชารัฐ เดินทางมายื่นหลักฐานต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบ กรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลที่ให้สัมภาษณ์ผ่ายรายการของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถึงการร่วมงานศพคุณพ่อ ในช่วงรัฐประหาร​ เมื่อปี​ 2549

โดยนายเรืองไกร​ กล่าวว่า วันนี้จำเป็นต้องมายื่นร้องเรียน เพราะกรณีดังกล่าว เข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปี 2561 มาตรา 73 (5) และต้องการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะเกี่ยวข้องกับมิติทางการเมืองที่หาเสียง ทั้งที่ขณะนี้ก็อยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่กลับมีคำพูดให้เกิดประเด็นทางสังคม ซึ่งเมื่อนำบทสัมภาษณ์ในรายการของสรยุทธ ไปเทียบกับรายการของนางสุริวิภา​ กุลตังวัฒนา​ หรือ ‘หนูแหม่ม​’ ที่นายพิธา​ ได้ให้สัมภาษ​ณ์เมื่อปี 2552 ซึ่งพิธาก็ได้ออกมาบอกว่าเป็นข้อเท็จจริงทั้งคู่

นายเรืองไกร​ กล่าวว่า​ จึงต้องยื่นร้องต่อ กกต. ซึ่งมีทั้งสิ้น 4 ประเด็น ดังนี้

ประเด็นแรก เรื่องที่นายพิธา อ้างว่า นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นเลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ซึ่งความจริงแล้วขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ของนายทักษิณ ชินวัตร

ประเด็นที่สอง นายพิธาบอกว่า คุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. 2549 ขณะที่นายพิธา ได้โชว์ภาพกระดานงานศพ กำหนดจัดงาน ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย.2549 โดยมีเจ้าภาพเป็นภรรยาและบุตร

ประเด็นที่สาม นายพิธา บอกว่า ตนทำงานเป็นข้าราชการการเมือง ช่วยงานนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในสมัยรัฐบาลของนายทักษิณ แต่นายพิธา ชี้แจงว่า ขณะนั้นตนเรียนหนังสือที่บอสตัน ทำให้ข้อมูลไม่ตรงกัน

ประเด็นที่สี่ นายพิธา บอกว่า ตนเองถูกอายัติเงินในบัญชี 2-3 เดือน และไม่สามารถนำเงินมาจัดงานศพคุณพ่อได้ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการควบคุมบัญชีต้องผ่านคำสั่งของ คมช. โดยขณะนั้นตนเองทำงานอยู่ที่ สตง.ไม่เคยเห็นรายชื่อของนายพิธาเข้าข่ายโครงการที่จะต้องตรวจสอบ

พร้อมกันนี้นายเรืองไกร ยังได้ยกคำ วินิจฉัยของ กกต. เรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลท่าแลง เขตเลือกตั้งที่ 1 และเขตเลือกตั้งที่ 2 อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ว่ามีการหาเสียงอันเป็นเท็จ ต้องถูกดำเนินคดี

“หากตรวจสอบคนอื่นได้ ตนเองก็ต้องตรวจสอบได้เช่นกัน ในฐานะเป็นบุคคลสาธารณะ กกต.ต้องรีบดำเนินการพรรคที่อ้างว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ต้องตรวจสอบกันเอง เรื่องแบบนี้ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรมขอให้ตรงไปตรงมา ตนเองอยู่การเมืองมา เคยตรวจสอบแล้วทุกฝ่าย” นายเรืองไกร​ กล่าว

เมื่อถามว่า กังวลว่าจะถูกฟ้องอีกหรือไม่ นายเรืองไกรกล่าวว่า ไม่กลัว เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ นายพิธาเป็นนักการเมืองมาแล้ว 4 ปี กรณีที่นายพิธาเคยฟ้อง คือ มาตรา 326 และ มาตรา 328 แต่มีมาตรา 329 คุ้มครอง ต่อมาทางกรรมการพรรคอนาคตใหม่บางท่านได้มาพูดคุยกับตน และในที่สุดเมื่อขึ้นศาล ทนายของพรรคก็ได้เจรจา และถอนไป ก็ขอบคุณ ตนร้องเรียนปกติ ถ้าวันนี้จะฟ้องอีก ตนก็ยินดี จะได้พิสูจน์ที่นายพิธาเคยระบุว่า ทุกคนควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่พอนายพิธาโดนเองกลับมาฟ้อง นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ประชาชนควรได้รับทราบ

'ศิลัมพา' เดือด 'พิธา' บอกให้ใช้เรือประมงรบแทนเรือดำน้ำ สวน!! เครื่องดับเพลิงมีติดบ้านไว้ ก็ไม่ได้แปลว่าอยากให้ไฟไหม้

'ศิลัมพา' งง 'พิธา' บอกให้ใช้เรือประมงรบแทนเรือดำน้ำ แนะหาข้อมูลก่อนพูดเรื่อยเปื่อย กางข้อมูลอาเซียนหลายประเทศก็มีเรือดำน้ำ ฟาดเจ็บนักการเมืองต้องทำให้กองทัพของชาติเข้มแข็งมิใช่ด้อยค่าหรือทำให้อ่อนแอลง

(1 พ.ค.66) จากกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวชื่อดัง โดยระบุถึงแนวคิดเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง เชื่อมโยงการตัดงบประมาณของกองทัพ โดยระบุว่า...

"เดี๋ยวนี้กองทัพเรือเวลาเขารุกกัน เขาไม่ใช้เรือดำน้ำ เขาใช้เรือประมง ให้คุณไปดูเวียดนาม คือ มันมีการสร้างความวิตกจริต มีการซ้อมรบกัน แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง” ซึ่งการแสดงความเห็นดังกล่าว ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกส่งต่อกันไปอย่างกว้างขวาง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางสาวศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 24 กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า...

"ตนได้เห็นคลิปวีดีโอดังกล่าวเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียแล้วรู้สึกตกใจมาก ที่คนระดับขันอาสามาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับรู้เรื่องความมั่นคงในประเทศต่ำถึงเพียงนี้ เพราะในปัจจุบันกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะเพื่อนบ้านใกล้ชิดไทย ต่างก็มีเรือดำน้ำเข้าประจำการในกองทัพแทบทั้งสิ้น อาทิ มาเลเซียมี 2 ลำ พม่า 2 ลำ และกำลังต่อเพิ่มอีกหนึ่ง สิงคโปร์มีประจำการแล้ว 4 ลำ อินโดนีเซีย 5 ลำ ส่วนประเทศเวียดนาม ที่คุณพิธากล่าวว่าเขาใช้เรือประมงรบกันนั้น มีเรือดำน้ำเข้าประจำการถึง 6 ลำ" นางสาวศิลัมพากล่าว และว่า

"จากคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงว่า หนึ่ง นายพิธาไร้ความเข้าใจความมั่นคงของชาติอย่างสิ้นเชิง เรื่องมีเรือดำน้ำเข้าประจำการในกองทัพ ก็เหมือนเราซื้อเครื่องดับเพลิงมาติดไว้ที่บ้าน ซึ่งมิได้แปลว่าเราอยากให้ไฟไหม้ แต่ก็ต้องเตรียมความพร้อมก่อนเหตุจะมาถึง 

'พิธา' เผย อยากทำงานการเมือง 10 ปี และอยากเป็นเลขาธิการสหประชาชาติคนแรกของไทย

เมื่อไม่นานมานี้ ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมาเปิดใจถึงความฝันสูงสุด โดยระบุว่า

'ก้าวไกล' คึก! ประกาศชิงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ขู่!! รัฐบาลเสียงข้างน้อย ระวังนรกมีจริง

(5 พ.ค.66) เมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 พ.ค.พรรคก้าวไกลจัดเวทีปราศรัยใหญ่ ‘นนทบุรีตรงไป ก้าวไกลตรงมา’ ที่ตลาดนกฮูก จ.นนทบุรี นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้แก่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, วรรณวิภา ไม้สน, วาโย อัศวรุ่งเรือง, กัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี, สุเทพ อู่อ้น และ ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์

โดย น.ส.วรรณวิภา กล่าวว่า เราผ่านความเจ็บปวดของแรงงาน จนกลั่นกรองมาเป็นนโยบาย พรรคก้าวไกลเสนอการสร้างสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งเรามั่นใจว่าหลังจากนี้จะไม่มีพรรคการเมืองใดกล้าลดสวัสดิการของพี่น้องประชาชนแน่นอน รับปากได้ว่าสภาฯ ชุดใหม่เปิดเมื่อไร ร่างกฎหมายทั้ง 40 ฉบับของพรรคก้าวไกลจะเข้าสู่สภาฯ ทันที ที่ผ่านมาเราเคยมีรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานเป็นตำรวจ เป็นนายพล แล้วทำไมจะมีรัฐมนตรีแรงงานที่เป็นแรงงานตัวจริงไม่ได้ ดังนั้นวันที่ 7 และ 14 พ.ค.นี้ ประชาชนจะได้มีสิทธิมีเสียงเท่ากัน อย่าให้ใครมาปล้นอำนาจของเราไป หากทุกคนมีความฝันธรรมดาเรียบง่ายเหมือนพวกเราที่ต้องการเห็นประเทศที่การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน วางความกลัวไว้ข้างหลัง วางความหวังไว้ข้างหน้า กาก้าวไกล 2 ใบให้ถล่มทลาย

ด้านนายปิยบุตร ขึ้นปราศรัย กล่าวว่า พรรคก้าวไกลได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความพร้อมในการเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ไม่ใช่เพียงมีแผนงานโรดแมปในการขับเคลื่อนนโยบาย แต่ยังเป็นพรรคของมวลชนที่ไม่ต้องเกรงใจใคร เกรงใจคนเดียวคือประชาชน ถึงเวลาก็สามารถเข้าไปแก้ปัญหาที่ต้นตอได้ ทั้ง 300 นโยบายของพรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนประเทศไทย โดยเห็นได้ว่าข้อเสนอการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต เป็นเรื่องยาก ๆ ทั้งนั้น เพราะต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ กระจายอำนาจปลดล็อกท้องถิ่นซึ่งเป็นการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร เอานายพลคนทำรัฐประหารมาเข้าคุก ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปที่ดิน ทลายทุนผูกขาด เรื่องเหล่านี้แม้เป็นเรื่องยาก แต่ไม่ทำไม่ได้ ต้องทำวันนี้เดี๋ยวนี้

“จำเป็นที่พรรคก้าวไกลต้องมี ส.ส. มากเป็นอันดับหนึ่ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เลือกกระทรวงสำคัญเพื่อเข้าไปบริหารเรื่องเหล่านี้ ถ้าเราไม่ได้ที่หนึ่ง เราได้ ส.ส. น้อย ไปร่วมกับคนอื่น สวัสดิการพื้นฐานอาจไม่ได้ทำ กระจายอำนาจอาจไม่ได้ทำ ดังนั้นต้องกาก้าวไกลให้ถล่มทลาย” นายปิยบุตรกล่าว

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า เหลืออีก 10 วันก่อนหย่อนบัตร แต่ละพรรคก็มีกลยุทธ์มาแข่งขันกัน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้ยินนายวิษณุ เครืองาม รักษาการรองนายกรัฐมนตรีพูดว่า โดยทั่วไปจะไม่มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ถ้าถึงเวลาจำเป็นอาจจะมีได้ และอีกสักพักจากรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะค่อยๆ กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเอง

“นี่มันอะไรกัน พอใกล้หย่อนบัตรก็ส่งสัญญาณกันแล้วหรือ ตกลงว่าจะฝืนมติเสียงสวรรค์ของประชาชนไปตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เอา ส.ว. มาหนุนใช่ไหม ถ้าอยากทำก็ลองดู เดี๋ยวจะรู้ว่านรกมีจริง รอบนี้ไม่มีใครยอมแล้ว 4 ปีที่แล้วก็ทำแบบนี้ รอบนี้พอกันที เราจะไม่ให้ ส.ว. 250 คนทำงานอีกต่อไป เราจะตั้งรัฐบาลก้าวไกล รัฐบาลเสียงข้างมากถล่มทลาย

นายปิยบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า พอนายวิษณุ พูดแบบนี้ บางพรรคการเมืองก็เกิดตระหนกขึ้นมา เอามารณรงค์ผ่านแคมเปญโหวตยุทธศาสตร์ แคมเปญคะแนนตกน้ำ ด้วยการบอกว่าถ้าพรรคฝ่ายค้านเดิมหรือพรรคที่แสดงจุดยืนต่อต้านรัฐประหาร มาแข่งกันเองมากๆ ตาอยู่จะคว้าพุงปลาไปกิน เราจะแพ้กันหมด สาธยายเต็มไปหมดเพื่อนำไปสู่บทสรุปว่าต้องโหวตยุทธศาสตร์ อย่าให้คะแนนตกน้ำ โดยโหวตพรรคเขาพรรคเดียว ผมอ่านแล้วรู้สึกคุ้นๆ 4 ปีที่แล้วก็เจอแบบนี้ สงสัยว่าเลือกตั้ง 2570 จะทำแบบนี้อีกหรือไม่ สรุปว่าต่อไปนี้ ประเทศนี้จะเป็นประชาธิปไตยได้ ต้องเลือกพรรคคุณแค่พรรคเดียวอย่างนั้นหรือ

นายปิยบุตรกล่าวต่อว่า เราต้องกลับมาทบทวนการโหวตเชิงยุทธศาสตร์ หรือเรื่องคะแนนตกน้ำ แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้ลองดูผลสำรวจคะแนนเสียงของกลุ่มพรรคฝ่ายค้านเดิมทั้งหมด ออกมาเกิน 70% ไปแล้ว และสำหรับพรรคก้าวไกล เรามีลุ้นทุกเขต ดังนั้น อย่าไปกลัว อย่าไปเชื่อ ถ้ารักถ้าชอบก็กาให้ถล่มทลาย เลือกพรรคก้าวไกลไม่มีวันคะแนนตกน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลพุ่งขึ้นแบบนี้ ทุกคะแนนที่พี่น้องมอบให้มีคุณค่ามหาศาล เพราะเวลาที่คะแนนเบียดกันวิ่งเข้าเส้นชัย ทุกคะแนนมีความหมาย ครั้งที่แล้วพรรคอนาคตใหม่ก็แพ้ไปเพียงนิดเดียวในหลายเขต

“ถ้ารักก้าวไกล อย่าลังเล กาก้าวไกลทั้งสองใบ ตรงไปตรงมา นอกจากช่วยเพิ่มจำนวน ส.ส. เพื่อนำไปสู่การตั้งรัฐบาลก้าวไกลแล้ว ยังช่วยสร้างผลสะเทือนทางการเมือง หากคะแนนทั่วประเทศของพรรคก้าวไกลขึ้นไปถึง 30-40% นี่คือการส่งสัญญาณดัง ๆ ให้สะเทือนฟ้าสะเทือนดินถึงผู้มีอำนาจ ว่าคุณรังแกเหยียบย่ำเราตั้งแต่อดีตอนาคตใหม่ จนมาถึงวันนี้ประชาชนสนับสนุนเราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือกลุ่มก้อนพลังความคิดแบบใหม่ ที่ไม่เอาแบบอดีตที่ผ่านมาอีกแล้ว จะเดินหน้าสู่อนาคตแบบใหม่”นายปิยบุตร กล่าว

'เฒ่าสามนิ้ว' สั่งสอน 'พิธา' พูดให้ระวังปาก ชี้!! สมัยกรุงศรีฯ มี 2 ใน 5 ราชวงศ์ มาจากสุพรรณบุรี

(9 พ.ค. 66) สุชาติ สวัสดิ์ศรี อดีตศิลปินแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ถึงจะเป็น Voter ให้พรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่สิ่งที่ ‘พิธา’ เผลอพูดออกมานี้ ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น

สยามประเทศแต่เดิมนั้นเต็มไปด้วยเสียงและสำเนียงร้อยพ่อพันแม่

'วราวุธ' เผยชาวบ้านถาม 'พิธา' เป็นสุพรรณบุรีแล้วเสียหายตรงไหน?  ยัน!! ยุค 'บรรหาร' เป็นรัฐบาล ก็บริหารประเทศให้พัฒนาทั่วถึง

(9 พ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวพาดพิงว่ากังวลประเทศไทยจะเป็นสุพรรณบุรีว่า มีชาว จ.สุพรรณบุรีบางส่วนส่งข้อความมาหาตนว่าเป็นสุพรรณบุรีแล้วมันเสียหายตรงไหน แต่อย่างไรก็ตาม จากการที่เคยทำงานร่วมกับนายพิธาและพรรคก้าวไกลในสภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นว่าพวกเขาเชื่อมั่นในเรื่องความเสมอภาคและความเท่าเทียม ตนคิดว่าเขาคงไม่ได้หมายความไปตามสิ่งที่พูด และจากการที่ตนและนายพิธาได้ร่วมเวทีดีเบตกันมาแล้วหลายครั้ง เห็นว่านายพิธาคงไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ จึงคิดว่าอย่าเอาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมาทำให้เป็นเรื่องดีกว่า เพราะอีกไม่กี่วันจะถึงวันเลือกตั้งอยู่แล้ว ขอให้มุ่งเน้นกันที่นโยบาย เพราะบางครั้งอาจจะมีเรื่องที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจและพลาดพลั้ง จึงอยากให้ปล่อยไปดีกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะดูแลความรู้สึกของชาวสุพรรณบุรีอย่างไร นายวราวุธ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราได้ทำงานอย่างต่อเนื่องใน จ.สุพรรณบุรี ซึ่งอาจมีหลายคนที่เกิดข้อกังขาว่า จ.สุพรรณบุรีมีการพัฒนา โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ขอชี้แจงว่าตอนที่นายบรรหารดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ จนถึงตอนดำรงตำแหน่งนายกฯ ทุกคนสามารถไปตรวจสอบได้ว่าการทำงานของนายบรรหารในช่วงเวลาเหล่านั้นได้ทำงานให้กับคนไทยทั้งประเทศ แม้กระทั่งตอนได้รับตำแหน่งนายกฯ จุดแรกที่ท่านเริ่มไปลงพื้นที่คือ ภาคใต้ ไม่ได้มาที่ จ.สุพรรณบุรีก่อน 

นอกจากนี้ ในยามที่นายบรรหารเป็นเพียง ส.ส. ท่านก็ยังทำงานให้ จ.สุพรรณบุรี ถือเป็นเรื่องปกติของการเป็น ส.ส. ส่วน ส.ส.แต่ละคนจะทำงานได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับศักยภาพแต่ละคน อย่างไรก็ตาม อยากทำความเข้าใจกับชาวสุพรรณบุรีว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนเข้าใจคลาดเคลื่อน แต่ใน จ.สุพรรณบุรี พวกเรายังทำงานเหนียวแน่นกันดี

เมื่อถามว่า ดูเหมือนการปราศรัยในระยะหลังของพรรคก้าวไกล จะพูดแซะตระกูลหรือบ้านใหญ่ในจังหวัดต่าง ๆ นายวราวุธ กล่าวว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ต้องขอบคุณที่มองเราเป็นบ้านใหญ่ เพราะสำหรับบ้านศิลปอาชาและพรรค ชทพ. ถือว่าสุพรรณบุรีเป็นบ้านใหญ่ของเรา ขณะเดียวกัน เราเข้าใจดีว่าการพูดบนเวทีบางครั้งอาจจะมีกลอนพาไป จึงอย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นเรื่องดีกว่า และอย่าเอามาเป็นประเด็นทางสังคมเลย เราควรไปโฟกัสนโยบายของแต่ละพรรคดีกว่า และอีก 3-4 วัน จะได้เวลาไปลงคะแนนเลือกตั้งกัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top