Sunday, 5 May 2024
พิธาลิ้มเจริญรัตน์

‘นิกม์’ ผู้สมัคร ‘ภท.’ แฉ!! ‘พิธา’ ยังถือหุ้น ITV ซ้ำ!! ไม่เคยแจ้งสละหุ้น เจ้าตัวเผย ตอนอยู่ ‘อนค.’ หากตนไม่สละหุ้นสื่อ ก็คงโดนเหมือน ‘ธนาธร’

เด็ก ‘ภท.’ แฉซ้ำ!! ‘พิธา’ ยังถือหุ้น ITV ไม่ใช่ในนามผู้จัดการมรดก ยันมีชื่อคนร่วมมรดก 3 คน และยังไม่สละหุ้น ยกเคสตัวเองเปรียบเทียบ หุ้นมรดกตัวเดียวกัน แต่ดำเนินการสลักหลังให้คนอื่นเรียบร้อย ก่อนสมัครรับเลือกตั้ง แฉ ทีมกฎหมายอนาคตใหม่ เคยบอกว่า ไม่ต้องทำอะไร ดีที่ไม่ชนะเลือกตั้งคราวที่แล้ว ไม่งั้นโดนเหมือน ‘ธนาธร’

(9 พ.ค. 66) นายนิกม์ แสงศิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 17 คลองสามวา พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้แจงเรื่องหุ้น ITV ว่าเป็นเพียงผู้จัดการมรดกนั้น พบว่าในเอกสารนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ เสียชีวิตในปี 2549 (พิธีศพระหว่างวันที่ 18-24 ก.ย.2549) มีทายาทผู้มีสิทธิ์รับมรดก 3 คน คือ นางลิลฎา ลิ้มเจริญรัตน์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ โดยนายพิธา อ้างว่าเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งตามกฎหมายทายาทเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับมรดกจากผู้เสียชีวิต ดังนั้น หุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น จะต้องตกเป็นของทายาทในสัดส่วนเท่าๆกัน ย่อมหมายความว่านายพิธา ยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,000 หุ้น

“ผมขอตั้งข้อสังเกตุว่านายพิธา จะอ้างว่ามิใช่เจ้าของหุ้นไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏหลักฐานว่า นายพิธาได้สละมรดกแต่อย่างใด อีกทั้ง การสละมรดกจำต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อเจ้าพนักงาน หรือสัญญาประนีประนอม และในประการสำคัญ หากนายพิธาสละมรดกจริง ย่อมไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องเป็นผู้จัดการมรดกได้ ที่สำคัญถ้าหุ้นนี้เป็นของกองมรดกก็ต้องระบุใน บอจ.5 ว่าผู้ถือหุ้นคือ นายพิธา ในฐานะผู้จัดการมรดก” นายนิกม์ กล่าว

นายนิกม์ กล่าวว่า อย่างในกรณีของตนก็ได้รับมรดกเป็นหุ้นของ ITV เช่นเดียวกัน และตั้งแต่กรณีเรื่องหุ้นสื่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เกิดขึ้น ตนก็ระมัดระวังตัวในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ ตนได้ติดต่อโบรกเกอร์ ติดต่อ TSD เสียค่าธรรมเนียม ออกใบหุ้น เพื่อโอนออกจากตัวเองไปแล้ว

“เมื่อก่อนผมอยู่พรรคอนาคตใหม่ เคยนำเรื่องหุ้น ITV ไปปรึกษา ทีมกฎหมายของพรรค เขาบอกว่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องไปทำอะไร ซึ่งครั้งที่ผ่านมานั้น ผมได้ที่ 2 ไม่ได้เป็น ส.ส. ถ้าได้เป็นคงโดนแบบนายธนาธร ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ครั้งนี้ผมย้ายมาอยู่พรรคภูมิใจไทย เพราะเรื่องที่จะมีการแก้ไขหรือยกเลิก มาตรา 112 ซึ่งผมไม่เอาด้วย และผมเชื่อมั่นในตัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในเรื่องสาธารณสุข ที่ผมเคยร่วมงานมูลนิธิด้วย” นายนิกม์ กล่าว

‘บุญระดม’ แฉ!! ‘ก้าวไกล’ จัดตั้งทีม IO เชียร์ตัวเอง ชี้!! มีกลุ่มลับคอยสั่งการเหยียบหมื่นคนทั่วประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ ‘บุญระดม จิตรดอน’ นักข่าวการเมืองอาวุโสชื่อดัง ได้ออกมาทำการแฉพรรคก้าวไกล ในเรื่องของขบวนการ IO พร้อมระบุว่า

แฉแหลก!! พรรคก้าวไกลจัดตั้งทีม iO ทั่วประเทศเหยียบหมื่นคน มีทั้งรูปแบบจัดคีย์เวิร์ดให้ copy & paste เมนต์เชียร์ก้าวไกลในเพจดังๆ มากันทีเป็นฝูง ๆ ระดมกระหน่ำคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งการคอมเมนต์รูปหัวใจสีส้ม พร้อมระบุเบอร์พรรคก้าวไกล ทำให้พรรคก้าวไกลดูเป็นกระแสของสังคม เพจดารา เพจข่าว ไม่เว้นแม้แต่เพจ sex แปะหมด!!

อีกทั้งยังมีการทำโพสต์ในรูปแบบของการเชียร์ก้าวไกล และโจมตีพรรคเพื่อไทย รูปแบบจัดตั้งหน้าม้าไปนั่งส่งเสียงเชียร์เวลาคนของก้าวไกลไปดีเบตก็มี และเมื่อมีคนมาแหกนายพิมธา ว่าเป็น ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ กลุ่มไอโอพวกนี้ก็จะมาช่วยกันระดมรีพอร์ต

โดยกลุ่ม IO นี้ มีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เป็นหัวหน้าทีม เขาจึงอภิปรายคล่องปรี๊ดว่า กองทัพและรัฐบาลจ้าง IO ให้ทำงานแบบไหน เพราะสิ่งที่คุณวิโรจน์พูด คือสิ่งที่คุณวิโรจน์ทำ พรรคที่มี IO มากเป็นอันดับ 1 คือ พรรคก้าวไกล

ซึ่งสอดคล้องกับที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่ได้ออกมาแฉเมื่อปีก่อนโน้นว่า พรรคอนาคตใหม่ หรือ พรรคก้าวไกลในปัจจุบัน มี IO ปั่นกระแสให้มากเป็นอันดับ 2 รองจากกองทัพ

ผลโพลที่พุ่งกะทันหันเกินครึ่ง ข่าวว่าก็มาจากยุทธการ IO ปั่นเกือบหมื่น accounts นี่แหละค่ะ
 

‘พิธา’ ลั่น!! มีทั้ง ‘หลักฐาน-หลักการกฎหมาย’ พร้อมชี้แจงปมถือหุ้น ‘ไอทีวี’ รอฟังคำร้องจาก กกต.ก่อน ซัดแหลกเกมการเมืองเลือกตั้งโค้งสุดท้าย เย้ย!! เขาทำอะไรเราไม่ได้

(10 พ.ค.66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีถูกยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบปมข้อกล่าวหาถือหุ้นสื่อ ITV ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ว่า รอให้คำร้องมาแล้วเดี๋ยวชี้แจงได้ มีทั้งหลักฐาน และหลักการทางกฎหมาย และทีมกฎหมาย เตรียมพร้อม เพราะฉะนั้นไม่กังวลในเรื่องนี้ ขอให้ประชาชนเข้าสู่การเลือกตั้งด้วยความหวัง

“ไม่มีอะไรต้องกังวลเหมือนอย่างที่ชี้แจงไปแล้ว หลักฐานและหลักการเกี่ยวกับกฎหมายรัดกุม ตอนนี้ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เราได้แจ้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปแล้ว” นายพิธา กล่าว

เมื่อถามว่า เป็นเกมเตะตัดขาทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า มันเกิดขึ้นช่วงโค้งสุดท้าย 3-4 วันก่อนเลือกตั้ง แต่เชื่อว่าทำอะไรเราไม่ได้ ประชาชนยังมีความหวัง เพื่อเข้าสู่คูหากันอย่างเต็มที่ ไม่มีอะไรต้องกังวลใจ ส่วนเรื่องไปถึงขั้นที่มีการร้องป.ป.ช.เรื่องการซุกหุ้น ปกปิดบัญชีทรัพย์สินนั้น นายพิธา กล่าวว่า ต้องดูคำร้องก่อน 

อดีตเพื่อนธนาธร ชี้ กรณี ‘พิธา’ ไม่มีใครกลั่นแกล้ง แค่มรดกความอ่อนด้อยทางการเมืองจากรุ่นสู่รุ่น

‘พิชิต’ อดีตเพื่อน ‘ธนาธร’ โพสต์ จากธนาธรถึงพิธา!! มรดกความอ่อนด้อยทางการเมือง ตายน้ำตื้น อย่าฝืนว่ามีใครกลั่นแกล้ง

(10 พ.ค.66) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Pichit Chaimongkol’ ระบุว่า...

มรดก

ธนาธร ก็เจอ พิษหุ้นสื่อ จนยุบพรรค นำมาสู่มีคนลงถนนในช่วงแรก ๆ

พิธา ผู้รับมรดกพรรค ทั้งที่ไม่ค่อยได้ลงทุน หรือตั๋วช้าง ฟรี (คำนี้มาจาก ปิยบุตร เอง) ก็กำลังจะตายเพราะหุ้นสื่อ

มรดกตรงนี้ เป็นมรดกของความอ่อนด้อยทางการเมือง ไม่ใช่การกลั่นแกล้งจากใคร

ปากคุณจะสร้างวาทกรรมขนาดไหน
ใจคุณรู้ว่า ไร้เดียงสาการเมือง คืออะไร
ตายน้ำตื้น อย่าฝืนว่าถูกกลั่นแกล้ง
มันเป็นมรดก ความไร้ประสบการณ์
แค่นั้นเอง...

‘กกต.’ ไม่เร่งวินิจฉัยคุณสมบัติ ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อ แจง!! ไม่ทันก่อนเลือกตั้ง ต้องให้ความเป็นธรรม

กกต.ไม่เร่งวินิจฉัยคุณสมบัติ ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อ ส่อไม่ทันก่อนเลือกตั้ง อ้างเหลือเวลาน้อย ต้องให้ความเป็นธรรม เผยมีผู้สมัครบัญชีรายชื่อหลายคนถูกฟ้องล้มละลาย เร่งหาข้อเท็จจริงเพิ่มก่อนชงศาลพิจารณา

(11 พ.ค.66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.กล่าวถึงกรณีมีการร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นแคนดิเดตนายกของพรรคก้าวไกล ถือหุ้นสื่อ บมจ.ไอทีวี (ITV) ว่า ตนยังไม่เห็นคำร้อง ซึ่งเรื่องนี้เป็นการร้องเกี่ยวกับคุณสมบัติ มีขั้นตอนตามกฎหมาย มีอยู่ 3 ช่วง คือ ช่วงก่อนวันเลือกตั้ง / ช่วงหลังวันเลือกตั้ง และช่วงประกาศผลการเลือกตั้ง 

โดยก่อนการเลือกตั้ง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 61 ถ้า กกต.ตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่มีคุณสมบัติให้ยื่นต่อศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาเพียง 2 วัน แต่หากดำเนินการไม่ทัน ภายหลังวันเลือกตั้งถ้าเห็นว่าผู้นั้นมีลักษณะต้องห้ามในการลงรับสมัครรับเลือกตั้ง กกต.ก็จะมีมติให้ดำเนินคดีอาญามาตรา 151 ฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติในการสมัคร แต่ก็ยังลงสมัคร ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะไม่เป็นเหตุให้นำไปสู่การไม่ประกาศผลการเลือกตั้ง 

ดังนั้น ก็ต้องประกาศผลให้เป็น ส.ส.ไปก่อน จากนั้นจะเป็นการดำเนินการภายหลังการประกาศผล ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ได้กำหนดช่องทางในการดำเนินการไว้ โดยให้ ส.ส.หรือ สว.เข้าชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ กกต.เป็นผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

เมื่อถามว่า ทำไม กกต.ไม่ยื่นเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาดำเนินการก่อการเลือกตั้ง เพราะถ้ายื่นหลังการเลือกตั้งจะมีผลกระทบมากกว่านั้น นายแสวง กล่าวว่า ทุกอย่างมีกระบวนการที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา เมื่อมีเรื่องร้องเรียน ดังนั้น สำนักงานก็จะมีการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงข้อกล่าวหาก่อนจะนำเสนอให้ กกต.พิจารณา ซึ่งต้องใช้เวลา 

อย่างเช่นวันนี้ หน่วยงานที่ กกต.ได้ขอความร่วมมือในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่ล่าสุดเพิ่งจะส่งข้อมูลมาให้ และพบว่ามีผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่ง ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย แต่ กกต.เห็นว่าจำเป็นต้องให้ความเป็นธรรม และได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติก่อน จึงให้สำนักงานไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าคำสั่งล้มละลายยังมีผลอยู่หรือไม่ และผู้ถูกกล่าวหาได้มีการดำเนินการในเรื่องของการต่อสู้อย่างไรหรือไม่ จากนั้น กกต.จึงค่อยมาพิจารณาเรื่องการส่งเรื่องยื่นต่อศาล 

ฉะนั้น จึงต้องแยกเรื่องกระบวนการให้ความเป็นธรรม กับผลกระทบออกจากกันด้วย

‘สื่ออังกฤษ’ คาด!! เก้าอี้นายกฯ ‘พิธา’ อาจไม่ราบรื่น แม้ครองอันดับ 1 แต่คงต้องรวมเสียง ส.ส. สู้ 250 ส.ว.

(15 พ.ค. 66) Daily Mail นสพ.ของอังกฤษ เสนอข่าว Pita Limjaroenrat: leading Thailand's political earthquake รายงานผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ก่อนหน้านี้มีน้อยคนที่คิดว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (Pita Limjaroenrat) จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของไทย กระทั่งผลการเลือกตั้งชี้ว่า พรรคก้าวไกล ที่มุ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก มีคะแนนนำพรรคที่ตั้งมานานจนเป็นสถาบันอย่างพรรคเพื่อไทย

พิธา ชายวัย 42 ปี ได้ปรากฏตัวอย่างไม่หยุดนิ่งบนเส้นทางการหาเสียง โดยใช้ประโยชน์จากวัยหนุ่มและพลังของเขาเพื่อเข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ท้อแท้และโหยหาการเปลี่ยนแปลงหลังจาก 8 ปีของรัฐบาลที่มีทหารหนุนหลัง ด้วยการประกาศว่า การลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลคือการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ เป็นการทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องบอกว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่ต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยที่นำโดยเยาวชนปะทุขึ้นทั่วกรุงเทพฯ ในปี 2563 โดยมีข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งฝ่าฝืนข้อห้ามในสังคมไทยที่มีมาอย่างยาวนานในการตั้งคำถามต่อเรื่องนี้ ขณะที่ประเด็นมาตรา 112 ก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างมากและเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งถูกมองว่าเป็นเรื่องที่แตะต้องไม่ได้ในการเมืองไทยมาช้านาน แม้แต่พรรคเพื่อไทยที่เป็นคู่แข่งในฝ่ายค้านก็กล่าวเพียงว่าจะปล่อยให้เรื่องนี้เข้าสู่รัฐสภา ในขณะพรรคก้าวไกลประกาศว่าจะแก้ไขอย่างชัดเจน

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สำเร็จการศึกษาในนิวซีแลนด์และสหรัฐอเมริกา เขาศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยทุนการศึกษานานาชาติ ก่อนที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม หลังจากพ่อของเขาเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 25 ปี ก็กลับบ้านเพื่อทำธุรกิจ Agrifood ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวของครอบครัว ซึ่งทำให้โชคชะตาพลิกผัน ต่อมาเขาได้เป็นกรรมการบริหารของแอปขนส่ง Grab Thailand ในปี 2555 เขาแต่งงานกับชุติมา ทีปะนาถ (Chutima Teepanat) นักแสดงโทรทัศน์ชาวไทย และมีลูกสาวอายุ 7 ขวบ การแต่งงานพังลงในปี 2562 ลูกสาวของเขาได้ปรากฏตัวอย่างเด่นชัดในการหาเสียงโดยพิธาพาเธอขึ้นเวทีหลังการกล่าวปราศรัย สร้างความพึงพอใจให้กับฝูงชนอย่างมาก 

ขณะที่ทางสื่อสังคมออนไลน์ เขาใช้บัญชีส่วนตัวแบบสาธารณะ ตามด้วยผู้ใช้เกือบหนึ่งล้านคน เพื่อแชร์ภาพของเขาและลูกสาวสวมเสื้อยืดที่เข้าชุดกันและกินไอศกรีมด้วยกัน แต่ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในช่องลงคะแนน ก็ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเส้นทางการเป็นนายกรัฐมนตรีของพิธาจะตรงไปตรงมา ตอนนี้เขาต้องรวบรวมพันธมิตรเข้าด้วยกันเพื่อเอาชนะสมาชิกวุฒิสภาที่ฝ่ายรัฐบาลเดิมแต่งตั้ง ซึ่งจะมาร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยจากบรรดาผู้สมัครที่มีสิทธิ์

เปิดแผนงาน 100 วันแรก ภารกิจที่ 'ก้าวไกล' พร้อมทำทันที

เมื่อไม่นานมานี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมาแถลงรายละเอียด ‘โร้ดแมปรัฐบาลก้าวไกล’ โดยเป็นสิ่งที่จะทำภายใน 100 วันแรก, 1 ปี แรก และ ภายใน 4 ปี หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งนายพิธา ยืนยันว่า โร้ดแมปดังกล่าว สามารถทำได้แน่นอน
.
โดยในส่วนของ 100 วันแรก จะเป็นการทำงานที่ไม่ต้องแก้กฎหมาย สามารถทำได้เลย เช่น การเสนอ ครม.ทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยต้องผ่าน สสร., ให้รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลงบทุกบาท, เอากฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่พิจารณาค้างไว้ในรัฐบาลที่แล้ว มาทำให้เสร็จ, และยกเลิกบังคับใส่ชุดนักเรียน และทรงผม พร้อมกับทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ทันที คือ เรื่องของหวยไปเสร็จ, เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท, แก้สูตรค่าไฟ, สุราก้าวหน้า, ออกโฉนดนิคมสหกรณ์ และนิคมสร้างตนเอง และ เปิดเสรีโซลาร์เซลล์
.
ส่วนภายใน 1 ปีแรก จะปลดล็อกเลือกตั้งผู้ว่าทุกจังหวัด, แก้ไขกฎหมายการเกณฑ์ทหาร ให้เป็นโดยสมัครใจ และรื้อฟื้นคดีสลายการชุมนุม 2553 พร้อมยื่นแก้ไขจดหมาย 45 ฉบับ เช่น แก้กฎหมายการหมิ่นประมาท มาตรา 112 และ 116, ทำในสาธารณูปโภคเรื่องของน้ำประปาดื่มได้ และแก้ไขเรื่องเศรษฐกิจ ก็จะเป็นการแก้ไขจำนวนเงินต่าง ๆ เพื่อนนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดในแต่ละด้าน
.
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การจะทำนโยบายต้องใช้ประสบการณ์ แต่ก้าวไกลไม่มีประสบการณ์ แล้วจะทำได้จริงอย่างที่กล่าวหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญแต่ไม่ใช่ทุกอย่าง หลายเรื่องในทุกวันนี้เป็นเรื่องใหม่ ต้องใช้การคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ไม่ใช่จะเอาประสบการณ์มาใช้ได้ทั้งหมด ซึ่งคิดว่าพรรคก้าวไกลทำได้ และตอบโจทย์

‘พิธา’ ประกาศจับมือพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาล ยืนยัน!! พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน

(15 พ.ค. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวที่พรรคก้าวไกล หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ สรุปว่าพรรคก้าวไกลได้จำนวน ส.ส. เป็นอันดับ 1 ว่า เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพี่น้องประชาชนได้แสดงเจตจำนงผ่านคูหาเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกลได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง จึงขอประกาศว่าพรรคก้าวไกลพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล น้อมรับฉันทามติของพี่น้องประชาชน พลิกขั้วเปลี่ยนข้างจากฝ่ายค้านเดิมในการจัดตั้งรัฐบาล

พิธากล่าวว่า ตนพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน พร้อมฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เชื่อว่าความคิดเห็นที่แตกต่างจะทำให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้น พร้อมเคารพ ให้เกียรติ และต่อยอดจากการต่อสู้ของทุกฝ่ายที่ผ่านมาเพื่อประชาธิปไตย และพร้อมคืนศรัทธาให้ระบอบประชาธิปไตยและระบบรัฐสภา คืนความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพให้กับการเมืองไทย และผู้แทนราษฎรทุกคน

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ได้โทรศัพท์ติดต่อไปหาแกนนำทั้งหมด 5 พรรคการเมือง ทั้งที่เป็นฝ่ายติดต่อไปและแกนนำของพรรคเหล่านั้นได้ติดต่อมาที่พรรคก้าวไกล ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย และพรรคเสรีรวมไทย ที่จะรวมกันเป็น 308 เสียง และกำลังติดต่อไปยังพรรคเป็นธรรม ซึ่งจะทำให้รวมเป็น 309 เสียง คิดว่าเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ปิดประตูการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทุกฝ่ายต้องน้อมรับฉันทามติจากพี่น้องประชาชน

“ได้โทรศัพท์หาคุณแพทองธาร ชินวัตร แสดงความยินดีกับความมุ่งมั่นตั้งใจในการเดินทางหาเสียง ที่ทำได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ และได้เชิญชวนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม ในการจัดตั้งรัฐบาลตามที่เคยสัญญากับพี่น้องประชาชน” พิธากล่าว

พิธากล่าวต่อว่า การทำงานต่อจากนี้ มีประมาณ 2-3 ส่วน หนึ่งคือการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลจะนำโรดแมปที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง เพื่อนำไปพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่ และพร้อมพาประเทศไทยไปสู่อนาคต ทำประชามติให้มี สสร. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ พัฒนาเศรษฐกิจสร้างความเจริญเติบโตและลดความเหลื่อมล้ำไปในคราวเดียวกัน (Inclusive Growth)

สอง ตั้งทีมงานเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีคณะทำงานร่วมกับทุกพรรคการเมือง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจ เปลี่ยนผ่านรัฐบาล อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ

สาม จะมีการเดินสายพบปะประชาชน ภาคประชาสังคม ข้าราชการ และภาคธุรกิจ เพื่อเดินหน้าทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของพรรคก้าวไกล ให้ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นฉันทามติที่มาจากพี่น้องประชาชน สามารถทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนได้ เพื่อพาประเทศไทยไปสู่อนาคต ไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพและมีอุดมการณ์ เป็นความเปลี่ยนแปลงที่พวกเราถวิลหา

พิธากล่าวว่า วันนี้จะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคในช่วงบ่าย ก่อนเดินทางไปขอบคุณพี่น้องประชาชนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหลังจากนั้นจะเดินทางทั่วทุกภูมิภาค เร่งจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีสุญญากาศทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้มีความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงใด ๆ ต่อประเทศไทย ขอให้พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน มั่นใจในการทำงานของพรรคก้าวไกล เราจะทำงานอย่างละเอียด รอบคอบ และรวดเร็ว เพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

‘อลงกรณ์’ เรียกร้องทุกฝ่ายเคารพเสียงประชาชน หนุน ‘ก้าวไกล’ ตั้งรัฐบาล ดัน ‘พิธา’ เป็นนายกฯ

(15 พ.ค. 66) นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส. และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เขียนเฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความคิดเห็นสนับสนุนพรรคก้าวไกลให้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศหลังทราบผลการเลือกตั้ง โดยเขียนไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

“ควรเคารพเสียงประชาชน
ให้ ‘ก้าวไกล’ ตั้งรัฐบาลปฏิรูปประเทศ”

ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อประชาชนกว่า 14 ล้านคนเลือกพรรคก้าวไกลเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ทั้ง ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ด้วยความเชื่อมั่นว่า พรรคก้าวไกลจะสร้างการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศสู่อนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน

ผมเชื่อว่า นักการเมืองทุกคนไม่ว่าสังกัดพรรคใด คงยอมรับว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งด้วยวิสัยทัศน์ นโยบายและความเป็นผู้นำของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยไม่มีการซื้อเสียง เป็นชัยชนะที่ขาวสะอาด

ผมหวังว่า ทุกพรรคการเมืองและสมาชิกวุฒิสภาจะเคารพเสียงของประชาชน และเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศและคุณพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 นำประเทศก้าวข้ามความล้าหลังความยากจนและความแตกแยกขัดแย้ง เดินหน้าปฏิรูปประเทศสร้างศักยภาพใหม่ประเทศไทยให้สำเร็จ และสร้างประชาธิปไตยโดยประชาชนของประชาชนเพื่อประชาชนในระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

อลงกรณ์ พลบุตร
15 พ.ค. 2566

‘รัฐบาลก้าวไกล’ 310 เสียง คงเป็นแค่ ‘ฝันกลางวัน’ โอกาสได้ ‘นายกฯ คนนอก’ มีน้อย แต่ไม่ควรมองข้าม

เรียนตามตรงว่า ทำข่าวการบ้านการเมือง การเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาลมาก็หลายปี แต่ไม่มีปีไหนที่ตื่นเต้นเร้าใจ ชวนระทึกเท่ากับปีนี้

ในชั้นนี้ต้องบอกว่า ถ้าพรรคก้าวไกล 152 เสียงจับมือกับพรรคเพื่อไทย 141 เสียง บวกกับพรรคอื่น ๆ อีก 17 เสียงรวมเป็น 310 เสียงได้ เราก็จะเห็นปรากฏการณ์พรรคอันดับ 1 กับอันดับ 2 จับมือกันตั้งรัฐบาลได้เป็นครั้งแรก จากที่ผ่าน ๆ มา อันดับ 1 กับอันดับ 2 จะแยกวงอยู่คนละข้างแทบทุกครั้ง…

‘เล็ก เลียบด่วน’ ขอสรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 17 พ.ค.ว่า น่าเป็นห่วง…โอกาสที่สถานการณ์จะบานปลายขยายวงลงสู่ท้องถนนกันอีกครั้งมีสูงไม่น้อย...

สถานการณ์ขณะนี้ พรรคก้าวไกลเดินหน้าฟอร์มรัฐบาล 310 เสียง พรรคเพื่อไทยโดยคำยืนยันของโทนี่  วู้ดซัม บิดาอุ๊งอิ๊ง ล่าสุดบอกว่าจะยกมือให้ เพราะอ่านขาดว่ายังไงก้าวไกลก็ไปถึงดวงดาว ขณะที่พรรคก้าวไกลเองบรรดาสาวกและว่าที่ ส.ส. หลายรายออกอาการห้าวเป้งจุดไฟในนาครข่มขู่สมาชิกวุฒิสภาหรือ สว. ให้โหวตสนับสนุน ไม่เพียงเท่านั้นยังลามไปกดดันพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ใน 310 เสียงให้โหวตช่วยอีกต่างหาก จนถูกเจ้าของฉายา ‘มีโกนอาบน้ำผึ้ง’ ชวน หลีกภัย กรีดสวนว่า..อย่าจุ้นมาก คนอื่นเขาคิดเองได้…

จะว่าไปแล้ว...สาวกและว่าที่ ส.ส.ของพรรคก้าวไกลไม่ค่อยน่ารัก ขณะที่ว่าที่นายกฯ ทิม พิธา ก็ดูจะออกตัวแรงไปหน่อย...และขณะนี้น่าเป็นห่วงหัวหน้าทีมในอย่างชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ที่มารับบทผู้จัดการรัฐบาลมือใหม่หัดขับว่าจะเข้าโค้งแหกโค้งไปได้หรือไม่…

ส่องกล้องสถานการณ์ดูแล้ว...ตัวแปรสำคัญที่สุดตอนนี้คือ ส.ว. 250 เสียง ซึ่งฟันธงได้ไม่ยากว่าส่วนใหญ่ไม่เอา ไม่รับสูตรพิธาเป็นนายกฯ โดยก้าวไกลเป็นแกนนำ แม้จะรวมมาได้ 310 เสียงก็ตาม...เหตุผลหลักก็คือประเด็นยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 วิธีคิดต่อสถาบันเบื้องสูง และนโยบายชุดใหญ่ ‘ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ หลายอย่างที่มีความล่อแหลม สุ่มเสี่ยง ดังนั้นจะกดดันแค่ไหนเพื่อหวังให้ ส.ว.ซัก 70 เสียงมาโหวตให้ทิม พิธาได้คะแนนผ่าน 376 เสียง เป็นเรื่องที่ปิดประตูตาย..อย่างมากก็จะได้เสียง ส.ว.ไม่เกิน 20 สียง

ตรงกันข้ามหากพลิกจากพรรคก้าวไกล พิธาเป็นนายกฯ ให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ โดยอุ๊งอิ๊งหรือเศรษฐาเป็นนายกฯ มีความเป็นไปได้มากกว่า ส.ว.จะสนับสนุน แต่มีข้อแม้สำคัญดังที่ ส.ว.สมชาย แสวงการ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า พรรคเพื่อไทยต้องเริ่มต้นตั้งแต่บัดนี้ ไม่ยืมมือ ส.ว.ให้โหวตคว่ำสูตรก้าวไกลเสียก่อน...แล้วจึงมาเริ่มต้น…

กล่าวโดยสรุป...อีกครั้ง
ประการแรก - รัฐบาลก้าวไกล 310 เสียงสุดท้ายจะเจอทางตัน เพราะแค่ ส.ว.งดออกเสียงไม่หนุนพิธาเป็นนายกฯ ก็จบข่าว ภายใต้สถานการณ์ที่มีโอกาสวุ่นวาย…

ประการที่สอง - พรรคเพื่อไทยที่รอส้มหล่น จะเดินต่อขยักสองเป็นแกนนำก็ไม่ง่าย...เพราะต้องไปอาศัยเสียงจากขั้วรัฐบาลเดิม มีความเป็นไปได้ที่จะถูกกดให้ลดชั้น สละเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรืออนุทิน ชาญวีรกูล

ประการที่สาม - ถ้าสูตรเพื่อไทยยังตกลงกันเรื่องตำแหน่งนายกฯ ไม่ได้ สถานการณ์ก็อาจไถลไปใช้บริการมาตรา 272 วรรคสอง...นายกรัฐมนตรีคนนอก หรือนายกฯ นอกบัญชีแคนดิเดต...ซึ่งโอกาสจะเกิดแม้มีน้อย แต่ก็อย่ามองข้าม…

ประการที่สี่ - แม้ไม่มีสุญญากาศทางการเมือง แต่โอกาสที่รัฐบาลลุงตู่จะรักษาการจะลายาวไปเป็นครึ่งปีก็มีโอกาสแม้จะน้อยนิด

ส่งท้ายวันนี้...อยากบอกว่าคิดถึงคำกล่าวของ ‘ป๋าเปรม’ ที่ว่าบ้านเมืองเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ใครอย่าคิดทำเล่น - สวัสดี!! 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top