Sunday, 19 May 2024
พิธาลิ้มเจริญรัตน์

141 เสียงขุนพลพรรคเพื่อไทย 'ชัดเจน-ไม่แตกแถว' ยัน!! เสนอชื่อ ‘พิธา' เป็นนายกฯ ไม่ใช่การเสนอญัตติซ้ำ


(20 ก.ค.66) เพจพรรคเพื่อไทยได้โพสต์ข้อความหลังเสร็จสิ้นการประชุมรับสภาฯ วาระโหวตเลือกนายกฯ คนที่ 30 นั้น ไว้ว่า...

การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรจะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตย ยืนยันความเห็นร่วมกันว่า การเสนอชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้เป็นการเสนอญัตติซ้ำ แม้ที่ประชุมรัฐสภา จะลงมติว่าเป็นญัตติซ้ำ 395 เสียงต่อ 317 เสียง

'ก้าวไกล' ชงยุบ กอ.รมน. ตั้ง กมธ.สันติภาพ 'ปาตานี' เกมถนัดสั่นคลอน 'กลุ่มอำนาจเดิม-ฝ่ายความมั่นคง'

(20 ก.ค. 66) พลันที่พรรคก้าวไกลใกล้จะสูญเสียอำนาจฝ่ายบริหารอย่างเต็มรูปแบบ ทั้ง ๆ ที่ชนะเลือกตั้ง ได้ ส.ส.มาอันดับ 1

แต่พลาดทั้งตำแหน่งนายกฯ (หมดสิทธิ์ไปแล้วจากการตีตกญัตติโหวตเลือก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รอบ 2) และสถานะการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลกำลังจะหลุดมือ

ไม่นับเก้าอี้ ‘ประธานสภา’ ที่ต้องเสียให้พรรค 9 เสียงอย่างพรรคประชาชาติไปก่อนหน้านี้

ทำให้พรรคก้าวไกลพลิกเกมสู้ เลือกเดินทางถนัด คือจัดหนักเสนอร่างแก้ไขปัญหากฎหมายแนวปฏิรูป ซึ่งจะสั่นคลอนกลุ่มอำนาจเดิม ทั้งทุนใหญ่ผูกขาด กองทัพ และฝ่ายความมั่นคง จองคิวเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

โดยร่างกฎหมายที่ยื่นล็อตแรกมีทั้งหมด 7 ฉบับ ตามหลักการเปลี่ยนประเทศ- ปฏิรูปกองทัพ โดยมีผู้แทนประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้รับเรื่อง และร่างกฎหมายที่เสนอมาทั้งหมด เมื่อวันที่ 18 ก.ค.66 ที่ผ่านมา

หลังการยื่น 7 ร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล นายรอมฎอน ปันจอร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรค ได้โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “การยุบ กอ.รมน. เริ่มนับหนึ่งวันนี้นะครับ ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 พ.ศ. ....ถึงมีประธานแล้ว”

นอกจากนี้ นายรอมฎอน ยังโพสต์ข้อความเพิ่มเติม โดยมีเนื้อหาว่า “ความเคลื่อนไหวสำคัญเกี่ยวกับสันติภาพในชายแดนใต้ / ปาตานี เรื่องแรกคือการริเริ่มตั้งต้นยุบ กอ.รมน. ด้วยการเสนอร่างกฎหมายอย่างเป็นทางการ อีกเรื่องเป็นการเข้าชื่อเสนอญัตติให้สภาผู้แทนฯ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญว่าด้วยเรื่องการสร้างสันติภาพ ลงนามโดย ส.ส.ก้าวไกล รวม 30 คน

ทั้งสองเรื่องเป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลสัญญาเอาไว้กับประชาชน วางอยู่บนแนวคิดที่ว่าการเผชิญหน้าและรับมือกับความขัดแย้งในชายแดนใต้มาตลอดหลายสิบปีนั้น จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทิศทาง นั่นคือการลดบทบาทของกองทัพลง และเพิ่มบทบาทของพลเรือนให้มากขึ้น โดยเฉพาะสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีความชอบธรรมทางการเมืองในฐานะที่เป็นสถาบันที่ยึดโยงกับประชาชน พื้นที่ของสภาฯ เช่นนี้จะเปิดโอกาสให้เราสามารถดึงเสียงที่แตกต่างหลากหลายมาถกเถียงเรื่องสำคัญๆ ได้อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งโดยตัวมันเองก็เป็นกลไกที่จะส่งเสริมการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งโดยไม่ใช้ความรุนแรง

ความขัดแย้งในชายแดนใต้เป็นปัญหาอำนาจรัฐ เป็นเรื่องใหญ่และเรื่องระดับชาติ การมอบหมายให้อยู่ภายใต้กรอบคิดและการดำเนินงานของหน่วยงานความมั่นคงชนิดพิเศษอย่างที่ผ่านมาไม่เพียงพอแล้ว เราต้องการทิศทางที่สร้างสรรค์และเปิดกว้างมากกว่านั้น เพื่อไม่ให้ทิ้งระเบิดเวลาให้กับคนรุ่นถัดไป

ที่จริงแล้ว การยุบ กอ.รมน. ไม่ได้วางอยู่บนเหตุผลแค่เรื่องสันติภาพในดินแดนใต้สุดเท่านั้น แม้ในช่วงการฟื้นตัวก่อกำเนิดขึ้นมาอีกครั้งในปี 2551 จะอิงกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่นั่น ปัญหาของหน่วยงานรัฐซ้อนรัฐนี้ปรากฏอยู่ทั่วทั้งประเทศ การแทรกแซงเข้าไปในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชน มองหาภัยคุกคามและข้าศึกอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้นไม่เป็นผลดีต่อพัฒนาการของประชาธิปไตยในระยะยาว

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในกฎหมาย 5 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปกองทัพ แต่ละเรื่องนับเป็นหัวใจสำคัญของหลักการควบคุมกองทัพด้วยรัฐบาลพลเรือนแทบทั้งสิ้น ชวนทุกท่านติดตามและถกเถียงถึงพัฒนาการของกระบวนการสันติภาพในรัฐสภาไทยอย่างใกล้ชิด”

นอกจากโพสต์ข้อความ นายรอมฎอนยังโพสต์ภาพเอกสารร่าง พ.ร.บ.ยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพื่อดำเนินการยุบ กอ.รมน. และภาพเอกสาร ขอเสนอญัตติด่วน เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา ติดตามและส่งเสริมการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ / ปาตานี โดยเอกสารทั้ง 2 ฉบับมีนายรอมฎอน ปันจอร์ ลงชื่อเป็นผู้เสนอ

เป็นที่น่าสังเกตว่า เอกสารการขอเสนอญัตติ พิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามและส่งเสริมการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ / ปาตานี มีการใช้คำว่า ‘ปาตานี’ ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาจากขบวนการชาตินิยมปัตตานี ที่ผ่านมามักถูกใช้โดยฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐและกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบ แต่ ส.ส.พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็น ส.ส.ของปวงชนชาวไทย ซึ่งหมายถึงคนไทยทั้งประเทศ นำมาใช้ห้อยท้ายชื่อของคณะกรรมาธิการฯ ที่ตนเองเสนอ

ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนในเจตนาว่าเป็นความต้องการสะท้อนความแตกต่างหลากหลาย หรือเป็นการยอมรับคำกล่าวของคู่เจรจา ซึ่งบางส่วนใช้อาวุธต่อสู้กับรัฐไทยกันแน่

นายทหารระดับสูงใน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า (ขอสงวนนาม) แสดงทัศนะหลังได้เห็นการโพสต์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ของนายรอมฎอนว่า “อย่านำความมั่นคงของรัฐมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง”

สำหรับร่างกฎหมายทั้งหมด 7 ฉบับ ที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล เสนอแก้ไข แบ่งเป็น 2 ชุด

ชุดที่ 1 ชุดกฎหมายปฏิรูปกองทัพ (Demilitarize) จำนวน 5 ฉบับ เพื่อทำให้กองทัพมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน ประกอบด้วย

1) ร่าง พ.ร.บ.รับราชการทหาร เพื่อยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารในยามปกติ และเปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ 100%
2) ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เพื่อตัดอำนาจสภากลาโหม ให้พลเรือนอยู่เหนือกองทัพ
3) ร่าง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสเรื่องภาระค่าใช้จ่ายและเงินนอกงบประมาณทั้งหมดของรัฐ
4) ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิก พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพื่อดำเนินการยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
5) ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. เพื่อยกเลิกประกาศและคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ

ชุดที่ 2 ชุดกฎหมายปิดช่องทุนผูกขาด (Demonopolize) จำนวน 2 ฉบับ เพื่อส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม และยกระดับขีดความสามารถของเศรษฐกิจไทย ประกอบด้วย

1) ร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต หรือร่าง “สุราก้าวหน้า” เพื่อปลดล็อกการผลิตสุราของผู้ผลิตรายย่อยและสุราชุมชน
2) ร่าง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า เพื่อสร้างกติกาแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ปฏิรูปคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า และออกกฎ “คนฮั้ววงแตก” ในการป้องกันการฮั้วประมูลของบางบริษัทที่ร่วมมือกันผูกขาดหรือลดการแข่งขัน

‘ณัฐวุฒิ’ ยัน!! สถานะ ‘พิธา’ ครบถ้วนทุกประการ จ่อเสนอชื่อชิงเก้าอี้นายกฯ อีกรอบ

(20 ก.ค.66) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบ ถึงคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ที่สั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในคดีที่ถูกตรวจสอบว่าขาดคุณสมบัติ กรณีถือครองหุ้นสื่อหรือไม่ ทำให้ขณะนี้มี ส.ส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ จำนวน 499 คน

จากนั้น นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกหารือต่อประชุม ว่า นายพิธา ประกาศต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ว่า รับทราบ แต่ไม่ยอมรับ ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่อ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น ถือว่าไม่มีผลกระทบต่อการถูกเสนอชื่อฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล ดังนั้น นายพิธา จึงมีสถานะครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ ดังนั้น จึงมีโอกาส มีสิทธิ ถูกเสนอชื่อให้ต่อสู้ฐานะแคนดิเดตนายกฯ และลงมติเห็นชอบให้นายพิธาเป็นนายกฯ ได้

“การให้ความเห็นชอบประเด็นเสนอชื่อนายพิธาให้เป็นนั้น หากให้ผมยืนยันอาจจะเร็วไป แต่สิ่งที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่พยายามจะพูดกับที่ประชุมรัฐสภา เมื่อ19 กรกฎาคม แต่ไม่มีโอกาส คือ ข้อบังคับการประชุมข้อ 41 วรรคท้าย กำหนดให้ ประธานรัฐสภาพิจารณาต่อได้ หากมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ผมขอยืนยันความสมบูรณ์ครบถ้วนต่อสภา ว่า นายพิธา สามารถเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ ของประเทศไทย คนไทยทุกคนไม่เฉพาะคนที่เลือกพรรคก้าวไกลเท่านั้น” นายณัฐวุฒิ อภิปราย

นายณัฐวุฒิ อภิปรายย้ำด้วยว่า กรณีของศาลรัฐธรรมนูญต่อกรณีของนายพิธานั้น ยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า นายพิธา นั้นกระทำผิด หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ตามหลักการของกฎหมาย ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ขณะเดียวกัน ศาลจะวินิจฉัยอย่างไร ไม่มีใครทราบ ซึ่งการเลือกนายกฯ นั้นรัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 และมาตรา 272 ดังนั้นนายพิธาจึงมีสถานะและความสมบูรณ์ที่จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ ต่อรัฐสภา

‘พิธา’ พร้อมด้วย ส.ส.ชลบุรี เดินสายขอบคุณประชาชน หลังเปิดทางให้ ‘เพื่อไทย’ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

(22 ก.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล ร่วมเดินสายขอบคุณประชาชน หลังจากพรรคก้าวไกลแถลงเปิดทางให้พรรคอันดับ 2 คือพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพันธมิตร 8 พรรคที่ได้เคยทำ MOU กันไว้ โดยวันนี้ได้เปิดเวทีปราศรัยสองจุด ที่หาดจอมเทียน เมืองพัทยา และที่อำเภอบ่อวิน มีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมฟังการปราศรัยและรอพบปะนายพิธา แม้จะมีสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย นายพิธาระบุว่า ถึงแม้จะมีความพยายามเพื่อไม่ให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรี แต่พวกเรายังหมดหวังไม่ได้ เมื่อทั้ง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลต่างลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็จะต้องตั้งรัฐบาลของประชาชน ที่รักษาสัจจะที่เคยให้ไว้กับประชาชนให้ได้

เพราะฉะนั้น ตนจะไม่มีวันยอมแพ้ จะยุติการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ แม้จะมีความพยายามสกัดกั้นขนาดไหนก็ต้องสู้ต่อ เมื่อบีบให้ตนต้องออกจากสภาตนก็จะมาอยู่กับประชาชน ตนและพรรคก้าวไกลจะขอยืนหยัดเพื่อประเทศไทยและขอทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ให้สมกับความตั้งใจที่ประชาชนให้เรามา

นายพิธายังกล่าวต่อไปว่า วันนี้มีการเปรียบเหมือนทั้ง 8 พรรคอยู่บนเรือลำเดียวกัน เมื่อเรือกำลังรั่วอยู่ คำถามคือ จะให้มีคนเสียสละออกจากเรือหรือควรจะอยู่ซ่อมเรือด้วยกัน ขอเพียงทั้ง 8 พรรคที่ประชาชนเลือกมาจะช่วยกันซ่อมเรือ อุดรอยรั่ว ทำเรือให้แข็งแรง ขอเพียงทั้ง 8 พรรครักษาสัจจะที่ได้เคยให้สัญญากับประชาชนไว้ในวันที่มาขอคะแนนและความไว้วางใจจากประชาชน เรือก็จะถึงฝั่งได้

“มันไม่มีความหมายเลยหรือ ประชาชนไม่มีความหมายเลยหรือ แล้วจะเลือกตั้งกันไปทำไม ถ้าอย่างนั้นคุณชี้มาเลยคุณจะเอาใคร ใครจะถีบผมออกจากเรือผมไม่รู้ ผมบอกอย่างเดียวว่าผมไม่ยอม ถ้าเรือมันรั่วต้องช่วยกันซ่อม ไม่ใช่มาถีบเพื่อนออกจากเรือ และไม่ถีบประชาชนออกจากเรือด้วย ถ้า 25 ล้านเสียงสู้ 250 เสียงไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป ใครจะปล่อยมือก้าวไกลปล่อยไป ขอเพียงพี่น้องประชาชนอย่าปล่อยมือก้าวไกลก็พอ” นายพิธา กล่าว

หลังการปราศรัยจบลง ประชาชนที่มาพบต่างตะโกนให้กำลังใจด้วยคำว่า “พิธาสู้ๆ” และ “นายกพิธา” ดังกึกก้องไปทั้งบริเวณ

‘พิธา’ ลั่น!! ถ้ามีพรรคลุงร่วมรัฐบาล จะไม่มีก้าวไกล

เมื่อวานนี้ 23 ก.ค. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากปราศรัยขอบคุณประชาชน ชาวจันทบุรี ระบุว่า…

“มีพรรคลุง ไม่มีก้าวไกล...ถ้าพรรคลุง หรือ พรรคทหารจำแลง เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล ถ้าเป็นการเชิญเข้ามาร่วมรัฐบาลจริงๆ ก้าวไกลอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ ในสมการนั้น ถ้าเชิญมาร่วมรัฐบาลจริงๆ จะไม่มีก้าวไกล” 

'ผู้ตรวจการแผ่นดิน' มีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อชี้ขาด กรณี 'มติสภาห้ามชงชื่อซ้ำ' พร้อมขอให้ชะลอโหวตนายกฯ

(24 ก.ค. 66) ที่สำนักงาน​ผู้ตรวจการ​แผ่นดิน​ พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการ​สำนักงาน​ผู้ตรวจการ​แผ่นดิน​ แถลงผลวินิจฉัยกรณีขอให้ยื่นคำร้องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความกรณีรัฐสภาลงมติวินิจฉัยว่าการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นญัตติ ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ในที่ประชุมรัฐสภาได้เสนอชื่อนายพิธา ลิ้ม​เจริญ​รัตน์​ หัวหน้า​พรรค​ก้าวไกล​ ให้ที่ประชุมพิจารณาเป็นครั้งที่ 2 แต่มีประเด็นโต้แย้งว่าการเสนอชื่อเป็นญัตติซ้ำเป็นข้อห้ามของข้อบังคับรัฐสภา กรณีที่ญัติใดที่ตกไปแล้วห้ามเสนอชื่ออีกในสมัยประชุมเดียวกัน

โดยสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนจากสมาชิกรัฐสภา และประชาชนจำนวน 17 คำร้อง ขอให้ผู้ตรวจการ​แผ่นดิน​เสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ​ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 213 จากกรณีที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2566 ลงมติวินิจฉัยว่า การเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นญัตติ ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 ซึ่งกำหนดว่าญัตติใดที่ตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน เป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียน จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น

ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ประชุมปรึกษาหารือและเห็นชอบร่วมกัน โดยพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนว่า เข้าองค์ประกอบ เงื่อนไข และหลักเกณฑ์ ในการเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2561 หรือไม่

โดยเห็นว่า รัฐสภาเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นหนึ่งในสามของอำนาจอธิปไตย รัฐสภาจึงถือเป็นหน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ หากการกระทำของรัฐสภาละเมิดสิทธิเสรีภาพ ย่อมถูกตรวจสอบได้โดยศาลรัฐธรรมนูญและการกระทำของรัฐสภา ในการลงมติวินิจฉัยว่าการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นญัตติ ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 นั้น เป็นการนำข้อบังคับการประชุมไปทำให้กระบวนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้กำหนดเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้เป็นการเฉพาะแล้วตาม มาตรา 159 ประกอบ มาตรา 272 การกระทำของรัฐสภาดังกล่าวจึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญการกระทำของรัฐสภาในการลงมติวินิจฉัยดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องเรียนโดยตรง

โดยผู้ร้องเรียนเป็นสมาชิกรัฐสภาและประชาชนผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ ตามหมวด 3 ว่าสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หากการกระทำของรัฐสภาดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นอันใช้ไม่ได้ และมีผลเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียน นอกจากนี้ ปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการกระทำของรัฐสภาดังกล่าวยังคงมีอยู่และมิได้รับการวินิจฉัยให้เป็นที่ยุติย่อมส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียนและประชาชนทั่วไป ซึ่งอยู่ภายใต้การใช้อำนาจของรัฐโดยรัฐสภา ผู้ร้องเรียนรวมถึงประชาชนทั่วไปจึงได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้

นอกจากนี้คำร้องเรียนส่วนหนึ่ง ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีข้อวินิจฉัยในเรื่องนี้ออกมา ซึ่งเป็นคำขอเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย ซึ่ง ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อป้องกันความเสียหายที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลัง และเป็นคำขอที่อยู่ในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ จึงได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีข้อวินิจฉัยในเรื่องนี้ออกมา ซึ่งก็เป็นดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่อไป

ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจจะขัดต่อกฎหมาย และอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศ และยากที่จะเยียวยาแก้ไข จึงเห็นด้วยกับคำร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ​กำหนดการชะลอพิจารณานายกฯ ออกไปก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ​จะมีคำวินิจฉัย อย่างไรก็ตามการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ​ นี้คาดว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ 25 ก.ค. หรือ 26 ก.ค.นี้

‘อี้ แทนคุณ’ ร้อง ‘ปธ.สภาฯ’ สอบจริยธรรม ‘พิธา’ ปมให้เด็ก 10 ขวบขึ้นเวทีการเมือง-สร้างความเกลียดชัง

(25 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีต สส.กทม.และรักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างประเทศ เข้ายื่นหนังสือต่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่าน นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ คณะทำงานประธานสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีการปล่อยปละละเลยและสนับสนับให้เด็กอายุ 10 ปี ขึ้นเวทีการเมืองและกล่าวคำพูดลักษณะสร้างความเกลียดชัง และกรณีของ นายสิริน สงวนสิน สส.กทม.พรรคก้าวไกล ทำร้ายสตรี

โดย นายแทนคุณ กล่าวว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พรรคก้าวไกลได้จัดงานงานเพื่อขอบคุณประชาชน และฟังเสียงทุกคนก่อนโหวตนายก โดยมีประชาชนร่วมรับฟังจำนวนมาก ณ ลานหน้าห้างเซนทรัลเวิร์ล โดยมีการนำเด็ก 10 ปี 2 คน ขึ้นเวที และนายพิธาได้กล่าวคำพูดในลักษณะยุยงให้เกิดความเกลียดชัง เช่น ตอนหนึ่งระบุว่า อยากให้พิธาเป็นนายกฯ หากว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อยากให้ว่าชื่อพิธา อยากให้จัดการกับระบบปรสิต ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับพรรคก้าวไกลและขบวนการปลุกปั่นทางสังคมได้สื่อสารมาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการสนับสนุนให้เด็กนำเสนอแนวคิดทางการเมืองเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก และแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองต่อเด็ก เนื่องจากเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ

นายแทนคุณ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นขอเรียกร้องให้ตรวจสอบจริยธรรมอย่างร้ายแรงของนายสิริน ที่มีข่าวทำร้ายร่างกายแฟนสาว ทั้งต่อยที่ใบหน้า และดึงศีรษะให้ลงจากรถจนสตรีผู้นั้นได้รับบาดเจ็บตามที่เป็นข่าวไปแล้ว ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและขัดกับจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ภาพลักษณ์ของสมาชิกผู้แทนราษฎรเสื่อมเสีย จึงไม่อยากให้ประธานสภาปล่อยปะละเลยผู้กระทำการละเมิดทั้ง 2 กรณีที่เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีต่อเด็ก เยาวชน และคนทั่วไป จึงอยากให้ประธานสภาตรวจสอบและสอบสวนข้อเท็จจริงว่ามีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม หรือประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 หรือขัดกับกฎหมายระเบียบข้อบังคับอื่นใดหรือไม่ เพื่อจะได้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

'สำนักข่าวอิศรา' เปิดข้อมูล 11 บริษัท 'ลิ้มเจริญรัตน์' พบ!! พี่ชาย 'เสี่ยชูวิทย์' เคยร่วมธุรกิจอสังหาฯ ด้วย

(25 ก.ค. 66) สำนักข่าวอิศรา เจาะลึกเครือข่ายธุรกิจ 'ลิ้มเจริญรัตน์' ช่วงปี 2503 -2534 ก่อตั้ง 11 แห่ง ค้าขายเชือกป่าน พืชไร่ รับเหมาก่อสร้าง พบ บ.สยามแอสเซ็ท กิจการอสังหาฯ พี่ชาย 'เสี่ยชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์' ร่วมหุ้นด้วย ก่อนเลิกร้างปี 2530

หลายคนอาจไม่รู้ว่า ‘ลิ้มเจริญรัตน์’ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ ‘กมลวิศิษฏ์’ ของนายชูวิทย์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย นักธุรกิจใหญ่ตัวแสดงอีกคน

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานแล้วว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ น้องชาย เป็นกรรมการธุรกิจรวม 7 บริษัท (รวมบริษัท ออยล์ฟอร์ไลฟ์ จำกัด ธุรกิจน้ำมันรำข้าว) ในจำนวนนี้ 1 บริษัทคือ บริษัท เกร็ทโอเชียนฟู้ด จำกัด จดทะเบียนเลิกเมื่อ 17 ธ.ค. 2553 จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี เมื่อ 4 ส.ค.2554 โดยก่อนจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี บริษัท โซลิทสึ (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าหนี้ ยกเลิกหนี้คงค้างของบริษัทฯให้แก่ บริษัท เกร็ทโอเชียนฟู้ด จำกัด จำนวน 584,302.74 บาท

ล่าสุด จากการตรวจสอบธุรกิจของคนตระกูลลิ้มเจริญรัตน์พบว่า ตระกูลลิ้มเจริญรัตน์ของนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ บิดานายพิธา มีธุรกิจในอดีตและยังเปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบันกว่า 20 บริษัท ก่อตั้งในช่วงแรกๆ ปี 2500 - 2535 ประมาณ 11 บริษัท...

เริ่มจาก วันที่ 28 ธันวาคม 2503 จดทะเบียน หจก.พรเกียรติ ค้าขายเชือก แห อวน ในย่านสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ด้วยทุน 6 แสนบาท

วันที่ 4 เมษายน 2505 จดทะเบียน บริษัท ไทยย่งฮั่วเชียง จำกัด

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2507 จดทะเบียน บริษัท ไทยโรจน์ จำกัด รับเหมาก่อสร้าง

วันที่ 13 กันยายน 2520 จดทะเบียน หจก.อาโกรโพรดักส์ ค้าขายข้าวพืชไร่

วันที่ 28 ธันวาคม 2520 จดทะเบียน บริษัท กิตติอาโกรโพรดักส์ จำกัด

วันที่ 28 ตุลาคม 2524 จดทะเบียน หจก.ขอนแก่นพรเกียรติ ที่ จ.ขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2527 จดทะเบียน หจก.ทรัพย์พรชัย ขายเชือกมนิลาอยู่แถวพระโขนง

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2525 จดทะเบียนบริษัท สยามแอสเซ็ท จำกัด ประกอบกิจการซื้อ ขายที่ดิน และจัดแบ่งที่ดินออกเป็นแปลง และจำหน่ายพร้อมสิ่งปลูกสร้าง

วันที่ 14 มกราคม 2531 จดทะเบียนบริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีต เอสคอน จำกัด ทำเสาเข็ม

วันที่ 25 กรกฎาคม 2531 จดทะเบียนบริษัท แสงธนาเฮ้าส์ซิ่ง จำกัด รับเหมาก่อสร้าง

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2534 จดทะเบียนบริษัท บางกอกคอร์เดจ จำกัด นำเข้าเชือกป่าน

ต่อมาขยายอีกสิบแห่ง เฉพาะนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ ทำธุรกิจน้ำมันพืชร่วมกับชาวญี่ปุ่นและกลุ่มเกษตรรุ่งเรืองในชื่อบริษัท เอส.เอ็น. บี.ผลิตผลการเกษตร จำกัด และ บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด จำกัด (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ออยล์ฟอร์ไลฟ์ จำกัด)

ทว่า 1 ในธุรกิจ ‘ลิ้มเจริญรัตน์’ อย่าง บริษัท สยามแอสเซ็ท จำกัด ก็มีคนตระกูลกมลวิศิษฏ์ร่วมเป็นกรรมการด้วย

โดยจากการตรวจสอบพบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท สยามแอสเซ็ท จำกัด จดทะเบียนวันที่ 24 พฤศจิกายน 2525 ทุน 2 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 523 ถนนวานิช 1 แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ นายบรรลือ ลิ้มเจริญรัตน์ นายวิโรจน์ กมลวิศิษฎ์ (พี่ชายนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.) เป็นกรรมการร่วมกับบุคคลอื่นอีก 3 คน รวมเป็น 5 คน ต่อมาได้เลิกกิจการนายทะเบียน ได้ขีดชื่อออกจากทะเบียน เป็นบริษัทร้างเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2530

ทั้งนี้ นายวิโรจน์ กมลวิศิษฎ์ นายชูชาติ กมลวิศิษฎ์ นายฤทัย กมลวิศิษฎ์ พี่ชายนายชูวิทย์ ทำธุรกิจรับสร้างบ้านชื่อ บริษัท กรุงเทพ เอส อาร์ พี จำกัด ธุรกิจขายเครื่องเขียนชื่อ หจก. โกล์ดวอเตอร์ส , บริษัท อิมเมกซ์ เอส อาร์ พี จำกัด , บริษัท ยังเบอร์รี่ จำกัด ทั้ง 4 แห่งตั้งอยู่แถวพุทธมณฑลสาย 2 เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ และทำธุรกิจค้าที่ดินชื่อ บริษัท ซี.ดี.แลนด์ จำกัด ตั้งอยู่ถนนสาธรใต้ แขวงยานนาวา เขตยานนาวา กรุงเทพฯ

ขณะที่ นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือหุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อ บริษัท บี.พี.แลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ร่วมกับหุ้นส่วนอีก 7 คน และ นายผดุงยังได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ในเวลาต่อมา

เห็นได้ว่า ‘ลิ้มเจริญรัตน์’ เกี่ยวโยงทางธุรกิจกับ ‘กมลวิศิษฎ์’

กระนั้นไม่มีข้อมูลความโยงกันทางการเมือง

‘พิธา’ ให้สัมภาษณ์ CNN อ้างต้องแก้ 112  เพื่อรักษาสถาบันฯ ตามมาตรฐานสากล

‘พิธา’ ให้สัมภาษณ์ CNN เชื่อมั่นรัฐบาลประชาธิปไตยจัดตั้งได้ ย้ำ การแก้ไขมาตรา 112 เพื่อรักษาสถาบันให้คงอยู่ในสังคมไทย แต่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์คลิปสัมภาษณ์สด กับ Christiane Amanpour ผู้สื่อข่าวและหัวหน้าข่าวต่างประเทศ สำนักข่าว CNN ในอินสตาแกรม pita.ig ความยาว 10 นาที ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ นอกจากการกล่าวถึงการออกชุมนุมประท้วงของประชาชน หลังยังไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เป็นการออกมาแสดงจุดยืนที่ต้องการรัฐบาลประชาธิปไตยแล้ว ยังเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจัดตั้งได้ ส่วนประเด็นแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งกลายเป็นเงื่อนไขที่หลายพรรคการเมืองไม่ต้องการร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล และอาจทำให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน หากไม่ลดเงื่อนไขการจัดตั้งรัฐบาล โดยนายพิธา ยืนยัน การแก้ไขมาตรา 112 เพราะอยากให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่สังคมไทย เป็นไปตามมาตรฐานสากล 

คลิปสัมภาษณ์ :
https://www.instagram.com/reel/CvIV52_MtFr/?igshid=MzRlODBiNWFlZA== 

'พิธา' ร่วมงาน 'มธ.' บรรยายถึง 'ปชต.ที่ถดถอย-สังคมเหลื่อมล้ำรุนแรง' ชี้!! โลกต้องการ 'พลังใหม่-คนรุ่นใหม่' ร่วมนิยามและกำหนดอนาคต

(4 ส.ค.66) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมรับเชิญเป็นผู้บรรยายพิเศษในงาน 'รับเพื่อนใหม่' ให้กับนักศึกษาเข้าใหม่ชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้ร่วมบรรยายในหัวข้อ 'ประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรม : 3 เสาหลักจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ สู่การสร้างสรรค์สังคม'

โดยระหว่างที่พิธาเดินเข้าสู่หอประชุม ปรากฏว่าได้รับเสียงตอบรับจากนักศึกษา ทั้งปรบมือและส่งเสียงเฮจนลั่นหอประชุม โดยระหว่างรอคิวขึ้นบรรยาย พิธายังได้ร่วมรับชมการบรรยายและกิจกรรมพิเศษจากนักศึกษากองสันธนาการอย่างเป็นกันเอง

เมื่อถึงลำดับการบรรยาย พิธาเริ่มต้นโดยระบุว่าตนยินดีที่ได้กลับมาสู่บรรยากาศและพลังงานแบบเหลืองแดงอีกครั้ง สิ่งที่ธรรมศาสตร์ได้สอนตนมา แทบจะไม่ต่างกับวิถีแบบก้าวไกล คือสิ่งที่อยู่ในตัวของตนเอง ธนาธร, ปิยบุตร, ศิริกัญญา, โรม ฯลฯ เป็นดีเอนเอที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือความยึดมั่นในประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรม

ย้อนกลับไปในวันที่ตัวเองเป็นนักศึกษารหัส 41 เหมือนทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ทั่วโลกมีประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่า 50% ของทั้งโลก แต่วันนี้ความเป็นประชาธิปไตยบนโลกถอยหลังลงอยู่เหลือเพียงประมาณ 20% ส่วนความเหลื่อมล้ำ ในสมัยนั้นคนที่รวยที่สุด 1% กับคน 50% ล่าง มีโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรต่างกัน 8 เท่า แต่เวลานี้คือ 16 เท่า คน 1% ข้างบนสุดครองทรัพย์สิน 50% ของทั้งโลก ส่วนคน 50% ครองทรัพย์สิน 2% เท่านั้น

น่าเจ็บใจที่ผ่านไป 25 ปี ทุกอย่างกลับถดถอยลง เรากำลังอยู่ในโลกที่ประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรมกำลังถดถอย สิ่งเก่ากำลังล้มพังลง ขณะที่สิ่งใหม่ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นยังไม่สำเร็จ โลกใบใหม่เต็มไปด้วยความปกติใหม่ แต่เรายังคงไม่มีฉันทามติใหม่สำหรับความปกติใหม่เสียที

พิธากล่าวต่อไป ว่าเมื่อหันกลับมาดูประเทศไทย ประชาธิปไตยของไทยวันนี้คือประชาธิปไตยที่เพียงแค่ สว. ที่มาจากการลากตั้งไม่มาเป็นองค์ประชุม ก็สามารถล้มแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้ คือประชาธิปไตยที่บอกว่าคนเท่ากัน แต่อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนกลับสามารถถูกคานโดยอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชนได้ มีองค์กรอิสระสามารถหยุดยั้งประชาธิปไตยได้ เสรีภาพในการแสดงออก ในการกำหนดชีวิตตัวเอง แม้แต่ในการหายใจ ในการทำมาหากินถดถอยลง

นี่ยิ่งเป็นสาเหตุที่โลกและประเทศไทยต้องการคนรุ่นพวกคุณ ต้องการพลังงานอย่างพวกคุณ มากำหนดนิยามใหม่ให้กับประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรม เรียนรู้อดีต กำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นี่คือสิ่งที่พวกเราต้องช่วยกัน เป็นพลังงานของคนรุ่นใหม่ ๆ ถึงเวลาต้องคิดใหญ่ โลกใบนี้กำลังต้องการคนรุ่นใหม่ รุ่นพวกคุณขึ้นมาช่วยพวกผมในการผลักสิ่งเก่า ๆ ออกไปและนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา ช่วยกันนิยามความคิดประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรมในยุคของเรา

พิธากล่าวต่อไป ว่าสำหรับคนธรรมศาสตร์ เราถูกเสมอสอนว่าที่นี่มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว สอนว่าฉันรักธรรมศาสตร์เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน สอนว่าเหลืองของเราคือธรรมประจำจิต แดงของเราคือโลหิตอุทิศให้ ถ้าย้อนกลับไปได้ สิ่งที่ตนอยากจะทำให้ดีกว่านี้คือการคิดให้ใหญ่ ตนขอฝากให้ทุกคน ได้ใช้เวลา 4 ปีให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด เรียนนอกห้องให้เหมือนในห้อง ฟังแต่ยังไม่ต้องเชื่อ อย่าให้ใครมาบอกว่าความสามารถของคุณมีแค่นี้ อย่าให้ใครมาบอกว่าคุณเป็นในสิ่งที่อยากเป็นไม่ได้ แม้แต่อาจารย์ของคุณ นี่คือความปกติใหม่ คุณต้องเชื่อว่าคุณสามารถเป็นในเส้นทางที่อยากเป็นได้ และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกใบนี้ได้

"สิ่งที่ผมได้ติดมาจนถึงทุกวันนี้และจะไม่มีวันจากผมไป คือจิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ ที่มีความเป็นภราดรภาพ เสรีภาพ และความพร้อมทำทุกอย่างเพื่อประชาชน ให้นิยามของคำว่าประชาธิปไตยเต็มใบ ความยุติธรรมต่อหน้ากฎหมาย เสรีภาพในการกำหนดอนาคตของตัวเองและเพื่อน ๆ ในประเทศและโลกใบเดียวกันนี้ ขอให้ 4 ปีของทุกคน เป็น 4 ปีที่กล้าฝันใหญ่ คิดใหญ่ คิดให้ออกนอกกรอบ อยู่เป็นโลกไม่เปลี่ยน ความอยู่ไม่เป็นคือวิญญาณของความเป็นธรรมศาสตร์เราทุกคน" พิธากล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top