Saturday, 18 May 2024
พิธาลิ้มเจริญรัตน์

‘ศิษย์เก่า มธ.’ ค้าน ‘พิธา’ เป่าหูเด็ก มธ.ด้วยตรรกะบิดเบือน แอบอ้าง!! จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ ว่าเหมือนวิถีก้าวไกล

‘ศิษย์เก่า มธ.’ ค้าน ‘พิธา’ ร่วมงานปฐมนิเทศ นศ.ใหม่ ‘เกษมสันต์’ ชี้ จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ไม่เหมือนวิถีก้าวไกลตามที่อ้าง เพราะไม่เคยสอนให้ก้าวร้าว ก้าวล่วง ‘ทนายมิ้นท์’ เหน็บ “ธรรมศาสตร์ไม่ได้สอนให้โกหกประชาชน” ฟาก ‘ดร.เสรี’ เศร้าใจ อยากรู้ใครเชิญนักการเมืองไปบรรยาย ถามศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบัน อาจารย์เกษียณ-อาจารย์ปัจจุบันที่ยังจงรักภักดี พอจะทำอะไรได้บ้าง

เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Kasemsant AEC’ มีการโพสต์ภาพและข้อความของนายเกษมสันต์ วีระกุล นักวิชาการอิสระ ในฐานะกรรมการศิษย์เก่าคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า…

ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ มธ.เชิญพิธาไปพูดในงานปฐมนิเทศ นศ.ใหม่ ซึ่งได้มีการกล่าวอ้างว่า “จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์เหมือนกับวิถีก้าวไกล”

ในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่ง ขอยืนยันว่า จิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ที่ผมและศิษย์เก่าจํานวนมากก็มีนั้น ต่างจากวิถีก้าวไกลโดยสิ้นเชิง จิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ไม่เคยสอนให้พวกเราก้าวร้าว ก้าวล่วงและพยายามจะเปลี่ยนแปลงสถาบัน หลักของชาติแต่อย่างใด

อีกทั้งพิธาเองยังมีอีกหลายประเด็นที่สังคมสงสัยและกําลังโดนตรวจสอบทั้งในด้านชีวิตส่วนตัว ธุรกิจและการเมือง ดังนั้นพิธาจึงไม่ควรจะเป็นตัวอย่างศิษย์เก่า มธ.ที่ดีจนกว่าจะได้พิสูจน์ตัวเองให้ได้เสียก่อน

ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์น่าจะตระหนักให้มากกว่านี้ถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ทางการเมืองและความมั่นคงของชาติ รวมถึงความอ่อนไหวของอารมณ์และความรู้สึกของ นักศึกษาและประชาชนในปัจจุบัน/ เกษมสันต์ วีระกุล

ขณะที่ น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง หรือ ‘ทนายมินท์’ ทนายความของนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน ในฐานะศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Puangtip Boonsanong’ ระบุว่า…

“ธรรมศาสตร์ไม่ได้สอนให้โกหกประชาชน”

ด้าน ดร.เสรี วงษ์มณฑา อดีตคณบดีวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘ดร.เสรี วงษ์มณฑา’ ระบุว่า…

“วันนี้รู้สึกเศร้าใจมาก เมื่อเห็นเหตการณ์ที่เกิดขึ้นในงานรับเพื่อนใหม่ของธรรมศาสตร์ ที่มีการเชิญพิธาไปเป็นผู้บรรยายให้นักศึกษาปีที่ 1 ฟังหัวข้อบรรยาย ถ้าหากจะพูดให้เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย กับการเรียนให้ประสบความสำเร็จน่าจะเหมาะกว่า

แต่การเชิญคนที่เป็นนักการเมืองที่มี agenda ทางการเมืองไปบรรยาย มีการทำกิจกรรมที่มีกลิ่นอายการเมือง ด้วยตรรกะผิดๆ บิดเบือนดูไม่เหมาะสม

อยากรู้ว่าใครเป็นคนจัด ใครเป็นคนเชิญ ไม่รู้เลยหรือว่าพิธาเป็นใคร ไม่คิดเลยหรือว่าเมื่อเขามาบรรยาย เขาจะมาพูดอะไรให้นักศึกษาฟัง

หรือจริงๆ รู้ดีว่าพิธาจะมาพูดอะไร และเห็นดีเห็นงามกับเรื่องที่เขาจะพูด กิจกรรมที่เขาจะทำ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องบอกว่าศีลเสมอกันจริงๆ

ต้องยอมรับว่าธรรมศาสตร์ช่วงนี้ตกต่ำจริงๆ อาจารย์บางคนกลายเป็นอาจมที่ครอบงำลูกศิษย์ด้วยข้อความที่เป็นเท็จ

ผู้บริหาร ไม่เคยคิดที่จะทำอะไรที่ปกป้องชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยบ้างเลยหรือ กลัวจะถูกตราหน้าว่าไม่เป็นประชาธิปไตยหรือไร

ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าดีเด่น ทั้งของคณะศิลปศาสตร์ และของมหาวิทยาลัย อาจารย์ และคณบดีคณะวารสารศาสตร์ฯ รู้สึกเสียใจยิ่งนัก

อยากถามศิษย์เก่า อาจารย์และข้าราชการเกษียณ ศิษย์ปัจจุบันและอาจารย์ปัจจุบันที่ยังจงรักภักดี เราพอจะทำอะไรบ้างได้ไหม

อย่าให้มหาวิทยาลัยของเราตกต่ำไปกว่านี้เลยนะคะ”

'นันทนา' ปลื้ม!! อธิการ มธ. เชิญ 'พิธา' ปาฐกถารับปี 1  ชี้!! มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็น idol ของคนรุ่นใหม่

(7 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก โพสต์ข้อความผ่านเพจ ‘ดร.นันทนา นันทวโรภาส’ ระบุว่า

“ในฐานะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ 3 ปริญญา
ปริญญาตรี : ศิลปศาสตรบัณฑิต (ประวัติศาสตร์)
ปริญญาโท : รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (การเมืองการปกครอง)
ปริญญาเอก : ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต ( สื่อสารมวลชน)

ขอสนับสนุนและยกย่อง ท่านอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้เชิญคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มาปาฐกถาต้อนรับนักศึกษาใหม่ ปีการศึกษา 2566 นี้

คุณพิธา เป็นลูกแม่โดม จากคณะบัญชี ที่เรียนเก่งจนต่อยอดไปจบปริญญาโทจาก มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก อย่าง Harvard และ MIT  มีจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย อุทิศตนรับใช้ประชาชน จนประสบความสำเร็จในทางการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคที่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยคะแนนเสียงบริสุทธิ์กว่า 14 ล้านเสียง และหากเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแบบอารยะ คุณพิธา ก็คือนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทยแล้ว!

นี่คือผลผลิต อันน่าภาคภูมิใจ ของชาวธรรมศาสตร์มิใช่หรือนี่คือแบบอย่าง ที่จุดประกายความคิด ให้แก่คนรุ่นใหม่ของธรรมศาสตร์ มิใช่หรือ

เช่นนี้แล้ว พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คือองค์ปาฐกฯ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และสอดคล้องกับบริบทในการปฐมนิเทศนี้

พิธานับเป็น idol ของคนรุ่นใหม่ การปรากฏตัวบนเวทีหอประชุมธรรมศาสตร์ เรียกเสียงกรี๊ดตบมือดังสนั่นตลอดเวลา ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่ามหาวิทยาลัยเชิญรุ่นพี่มาถูกใจยิ่งนัก

พิธา เป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตนเองสูง มีบุคลิกผู้นำ แต่งกายถูกกาละเทศะ กิริยาท่าทางสุภาพ อ่อนโยน ลีลาการนำเสนอเร้าใจ น้ำเสียงมีพลัง จังหวะการพูดกระชับ ฉับไว เนื้อหาการพูด เรียบเรียงมาอย่างเป็นระบบ

‘สาร’ สำคัญ ที่นำเสนอคือ การกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ กล้าคิดใหญ่ กล้าฝันใหญ่ และให้คิดนอกกรอบ พลังของคนรุ่นใหม่ จะเปลี่ยนสังคม การเมืองได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สุดท้ายพิธาได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ ให้รุ่นต่อไป ยืนหยัดต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตย เสรีภาพ และ ความยุติธรรมในสังคม ดังปณิธานของชาวธรรมศาสตร์ที่ว่า

“เหลืองของเราคือธรรมประจำจิต แดงของเราคือโลหิตอุทิศให้”

การกล่าวปฐมนิเทศที่น่าประทับใจนี้ ย่อมสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ของธรรมศาสตร์ ที่จะผลิดอก ออกผล แห่งการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ต่อไป”

‘อดีตผู้ช่วยอธิการบดี มธ.’ ฝากถึงทุกคนที่ห่วงใย มธ. ไม่ต้องกลัวสถาบันตกต่ำ เพราะมีเด็กสมัครเกินโควตาเสมอ

(7 ส.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Boonsom Akkarathammakul’ ของนายบุญสม อัครธรรมกุล อดีตผู้ช่วยอธิการบดี มธ. โพสต์รูปภาพ พร้อมข้อความ ระบุว่า..

“ขอบคุณที่ห่วงธรรมศาสตร์ กลัวสถาบันจะตกต่ำ จะตกต่ำเพราะเรื่องนี้จริงหรือ??? เห็นแต่ละคณะยังมีเด็กสมัครเกินจำนวนที่นั่งกันเยอะเลย ในขณะที่…ที่อื่นสถานการณ์ตรงกันข้าม”

ทั้งนี้ภาพที่โพสต์เป็นข้อความคำพูดของนักวิชาการหลายท่านที่แสดงถึงความห่วงใยในสถาบันธรรมศาสตร์ หลังได้เชิญ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นพูดในวันปฐมนิเทศนักศึกษาปีที่ 1 เช่น

คำพูดของ ดร.เสรี วงษ์มณฑา ศิษย์เก่าดีเด่น คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์ และ คณบดีคณะวารสารศาสตร์ฯ ที่ระบุว่า “รู้สึกเศร้าใจมาก เมื่องานรับเพื่อนใหม่ของธรรมศาสตร์ มีการเชิญ 'พิธา' ไปเป็นผู้บรรยาย ให้นักศึกษาปีที่ 1 ฟัง เชิญนักการเมืองที่มี agenda คนที่ทำกิจกรรมด้วยตรรกะผิด ๆ บิดเบือนไม่เหมาะสม..ต้องยอมรับว่า ธรรมศาสตร์ช่วงนี้ตกต่ำจริง ๆ ..อย่าให้มหาวิทยาลัยของเรา ตกต่ำไปกว่านี้เลย”

คำพูดของ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่กล่าวว่า แปลกใจทำไมจึงกล้าเชิญคุณพิธามาแสดงปาฐกถาโดยไม่กลัวข้อครหาใด ๆ สิ่งรับไม่ได้ที่สุดคือ การกล่าวว่าจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ เป็นวิถีของก้าวไกล ทั้งที่ความเป็นธรรมศาสตร์แท้จริง จะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่พูดโกหกเพื่อเอาตัวรอด...ต้องไม่ละเมิดสิทธิ์ 'สถาบันพระมหากษัตริย์' เหมือนก้าวไกล และด้อมส้ม ส่วนคุณพิธา เป็นที่ประจักษ์ว่าพูดไม่จริงและพูดจริงครึ่งเดียวหลายเรื่อง จึงเป็นการเชิญมาโดยไม่พิจารณาคุณสมบัติอื่น ๆ หรือเชิญมาเพื่อเปิดโอกาสให้สร้างคะแนนนิยม เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้

นอกจากนี้ยังมีคำพูดของนายเกษมสันต์ วีระกุล ประธานกรรมการ บริษัท​ ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) และ อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ ที่ระบุว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่มธ.เชิญพิธา ไปพูดในงานปฐมนิเทศ นศ.ใหม่ ซึ่งได้มีการกล่าวอ้างว่า "จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ เหมือนกับวิถีก้าวไกล"

ในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่ง ขอยืนยันว่า จิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ที่ผมและศิษย์เก่าจำนวนมากก็มีนั้น ต่างจากวิถีก้าวไกลโดยสิ้นเชิง จิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ไม่เคยสอนให้พวกเราก้าวร้าว ก้าวล่วงและพยายามจะเปลี่ยนแปลงสถาบันหลักของชาติแต่อย่างใด

อีกทั้งพิธาเองยังมีอีกหลายประเด็นที่สังคมสงสัยและกำลังโดนตรวจสอบทั้งในด้านชีวิตส่วนตัว ธุรกิจและการเมือง ดังนั้นพิธาจึงไม่ควรจะเป็นตัวอย่างศิษย์เก่า มธ. ที่ดีจนกว่าจะได้พิสูจน์ตัวเองให้ได้เสียก่อน

ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์น่าจะตระหนักให้มากกว่านี้ถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ทางการเมืองและความมั่นคงของชาติ รวมถึงความอ่อนไหวของอารมณ์และความรู้สึกของนักศึกษาและประชาชนในปัจจุบัน

คำพูดของ นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
กล่าวในฐานะอดีตนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ระบุว่า สมัยผมเป็น 'นศ.มธ. เราต่อต้าน จักรวรรดินิยมตะวันตก แต่เด็ก นศ.สมัยนี้ กลายเป็น 'เหยื่อ' และ 'หมากเบี้ยขุน' ให้จักรวรรดินิยมเอาไว้ใช้งาน ดิสเครดิตประเทศบ้านเกิดตัวเอง จิตวิญญาณมันต่างกันจริง ๆ

สุดท้ายเป็นคำพูดของ จิ๊บ ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ อดีตผู้สมัคร สส.กทม. เขตบางแค ภาษีเจริญ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวในฐานะอดีตนักศึกษาคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน (C38) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ระบุว่า ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน แต่…ธรรมศาสตร์ไม่เคยสอนให้ฉันก้าวร้าว ไม่เคยสอนให้ฉันก้าวล่วง ไม่เคยสอนให้เหยียบย่ำ หยาบคาย กับผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน เพียงเพื่อความสะใจ

'พิธา' ย้อนถาม 'กกต.' 2 ปมหุ้นไอทีวี สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ "เป็นธรรมหรือไม่?"

(15 ส.ค.66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

เมื่อวานนี้มีข่าวออกมาว่าคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ของ กกต. มีมติว่าจะให้ยกคำร้องผมในคดีอาญามาตรา 151 เรื่องการรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังลงสมัคร จากการถือหุ้นไอทีวี โดยคณะกรรมการสืบสวนมีเหตุผลสำคัญว่า บริษัทไอทีวีไม่มีการดำเนินกิจการอยู่และไม่มีรายได้จากการเป็นสื่อ จึงไม่ถือว่าผมมีความผิด 

ผมยืนยันอีกครั้งว่า คดีหุ้นไอทีวีของผม เป็นที่น่าสงสัยว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ เพราะผมถือหุ้นนี้มาตลอดเวลาที่ทำงานการเมือง เป็น สส. มา 4 ปี แต่เพิ่งจะเกิดการร้องเรียนกันขึ้นในเวลาที่ผมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และมีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้าการเสนอชื่อผมต่อสภาไม่กี่วัน รวมถึงมีหลักฐานความผิดปกติมากมายที่บ่งชี้ว่ามีความพยายามปลุกปั้นให้บริษัทไอทีวีซึ่งเลิกกิจการสื่อไปนานกว่า 10 ปี กลับมาเป็น ‘หุ้นสื่อ’ ให้ได้ 

มาวันนี้ ที่มีการเปิดเผยมติของคณะกรรมการไต่สวนออกสู่สาธารณะแล้วว่าผมไม่ผิด ทำให้มีประเด็นคำถามที่ผมขอถามไปยัง กกต. ดังนี้

1. คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนดังกล่าว ซึ่งทำคดีมาตรา 151 (คดีอาญา) มีมติก่อนที่ กกต. จะพิจารณาส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ถึงแม้ว่า กกต จะอ้างว่า การพิจารณาของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เป็นคนละกระบวนการกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่คณะกรรมการสืบสวนฯ ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่รวบรวมพยานหลักฐานและเรียกพยานบุคคลมาสอบข้อเท็จจริง ได้เห็นข้อเท็จจริงว่า ไอทีวีมิได้ประกอบกิจการสื่อและมิได้มีรายได้จากกิจการสื่อมวลชนในขณะที่ผมสมัครรับเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่กกต. กลับยังยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยละเลยข้อเท็จจริงบางประการที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้หยิบยกมาพิจารณา และละเลยแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวางหลักเรื่องการมีรายได้และที่มาของรายได้เป็นเกณฑ์ว่าบริษัทใดเป็นสื่อหรือไม่

2. การที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนมีมติว่า หุ้นไอทีวีไม่ใช่หุ้นสื่อ นอกจากจะสอดคล้องกับแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ก็สอดรับกับความเห็นของประชาชนทั่วไปอีกด้วย ดังนั้น การสั่งให้ผมหยุดปฏิบัติหน้าที่ ทั้ง ๆ ที่ไอทีวี และอินทัช ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ล้วนแต่มีเอกสารงบการเงินยืนยันว่า ไอทีวีหยุดประกอบกิจการ และไม่มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อ ประกอบกับคดีหุ้นสื่อ (นอกจากคดีคุณธนาธร) ของ สส. ปี 2563 ประมาณ 60 คน ศาลก็ไม่ได้สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด แต่ในคดีผม กลับสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ผมจึงขอให้สังคมพิจารณาว่าการสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ผม มีความเป็นธรรมหรือไม่

'สรยุทธ' หยิบภาพประสานใจ 'พิธา-หมอชลน่าน' โปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' เพราะใช้ภาพจริงไม่ได้

(24 ส.ค. 66) รายการ 'กรรมกรข่าว คุยนอกจอ' ดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ต้องโปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' แต่ไม่สามารถใช้ภาพจากละครได้ เนื่องจากอาจโดนเรื่องลิขสิทธิ์ จึงใช้ภาพ ‘พิธา-หมอชลน่าน’ แทนในการโปรโมตละคร พร้อมกับโดยระบุว่า…

“ภาพประกอบก็ไม่มี แต่ก็อยากโปรโมตให้เหลือเกิน จำเป็นต้องโปรโมต เกมรักทรยศ เป็นเรื่องราวของชีวิตคู่ที่สงบสุข และสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ของหมอเจน (รับบทโดยแอน ทองประสม) จิตแพทย์ชื่อดัง กับสามีรูปหล่อชื่ออธิน (รับบทโดยอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) เจ้าของโรงแรมที่กำลังขาดทุน โดยหมอเจนเกิดความสงสัยว่าสามีจะมีชู้ เพราะเห็นเส้นผมปริศนาจากผ้าพันคอ และความจริงก็คือคนรอบตัวรู้เห็นเป็นใจให้สามีนอกใจหมอเจน”

นายสรยุทธกล่าวต่อว่า “ขอเดาว่า จะต้องมีการเอาคืน จะประมาณว่า ‘อย่าเพิ่งรีบตาย’ อย่าเพิ่งรีบเป็นอะไรไปนะ จริง ๆ เราจำเป็นต้องโปรโมตละครเรื่องนี้นะ”

ทั้งนี้ภาพที่นำขึ้นมาประกอบละคร ‘เกมรักทรยศ’ เป็นภาพ 8 พรรคร่วมรัฐบาลนำโดยพรรคก้าวไกล จัดแถลงข่าวที่พรรคประชาชาติ โดยในครั้งนั้นนายพิธาและหมอชลน่านได้ทำท่าประสานมือเป็นรูปหัวใจถ่ายรูปต่อหน้าสื่อมวลชน

ต่อมาเป็นภาพวันที่ก้าวไกลแถลงส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล และภาพเหตุการณ์วันที่พรรคภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ มาเยือนพรรคเพื่อไทย และดื่มเครื่องดื่ม ‘ช็อกมิ้นต์’ ด้วยกัน โดยตลอดช่วงที่โปรโมตละครใช้เพลง ‘คืนความสุขให้ประชาชน’ ก่อนที่จะมีคอมเมนต์ขอให้ปิดเพลง

‘พิธา’ ลบตำแหน่ง ‘แคนดิเดตนายกฯ ไทย’ ออกจากไอจี พร้อมแชร์คลิปเศร้า ‘ก้าวไกลไม่มีใครเลย นอกจากประชาชน’

(25 ส.ค. 66) ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ล่าสุดในอินสตาแกรม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ลบคำว่า ‘แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย 30th Prime minister–designate of Thailand.’ ออกจากโปรไฟล์ของ อินสตาแกรม pita.ig เหลือแค่เพียงคำว่า ‘นักการเมือง’

นอกจากนี้ ยังได้แชร์คลิปจากผู้ใช้ TIKTOK ลงในไอจีสตอรี่ ซึ่งเป็นช่วงที่นายพิธาลงพื้นที่หาเสียงช่วงเลือกตั้ง พร้อมกับมีแคปชันว่า ‘ก้าวไกลไม่มีใครเลย นอกจากประชาชน’

‘พิธา’ เผย โทรยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ แล้ว ฝากกู้วิกฤตศรัทธา เป็นนายกฯ ของทุกคน

(25 ส.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ หรือ โย ผู้สมัคร สส. เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล เลือกตั้งซ่อมเขต 3 จ.ระยอง พร้อมทีมงาน ได้เดินทางโดยรถแห่หาเสียง ลงพื้นที่ ต.บ้านนา อ.แกลง จ.ระยอง เพื่อขอคะแนนเสียงให้กับ ‘โย พงศธร’ ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายลงมา โดยมีชาวบ้านในพื้นที่แห่ต้อนรับ และ ขอถ่ายเซลฟี่ และ ขอลายเซ็น กับนายพิธา จำนวนมาก โดยไม่กลัวเปียกฝน

นายพิธา กล่าวว่า มาวันนี้ เพื่อมาพบปะกับพี่น้องประชาชน ขอคะแนนให้กับ ‘โย พงศธ’  รับรองจะไม่ผิดหวัง ส่วนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้โทรศัพท์แสดงความยินดี และ ยืนยัน คือ ยินดีกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ก็ต้องยืนยันว่า วิกฤติของบ้านเมืองครั้งนี้ อาจไม่ใช้วิกฤตเศรษฐกิจ ไม่ใช่วิกฤตเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและวิกฤตการศึกษา แต่เป็นวิกฤตศรัทธาของประชาชนในชาติ ในฐานะผู้นำจึงต้องรวมความคิดของคนในชาติให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน โดยได้ยินว่า นายเศรษฐา เคยให้สัมภาษณ์ว่า จะเป็นนายกฯ ของประชาชน ก็ขออวยพรให้ทำได้ และทำได้จริงๆ

ส่วนเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาล นายพิธา กล่าวว่า จากการจับขั้วหลายขั้วของพรรคการเมือง คิดว่าการทำงานน่าจะยากเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ได้เคยพูดคุยกับคุณเศรษฐา ทวีสิน ในเวทีดีเบต พูดถึงการสมรสเท่าเทียม และสุราก้าวหน้า โดยหวังว่าจะผลักดันได้จริง ๆ หรือไม่ ยังหวังว่า วิกฤตที่ประเทศ ได้รับผลกระทบจะได้รับการแก้ไข และก็จะได้กู้วิกฤตศรัทธากลับมาสู่การเมืองไทย

นายพิธา กล่าวต่ออีกว่า ถึงจะเป็นฝ่ายค้าน ก็เป็นฝ่ายค้านเชิงรุกที่ยังมีหลายนโยบายที่สามารถผลักดันได้เพื่อให้ผลประโยชน์อยู่กับประชาชน ยืนยันว่าการทำงานเป็นฝ่ายค้าน คอยตรวจสอบเพื่อให้รัฐบาลทำงานเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และปราบการคอร์รัปชันให้ได้มากที่สุด กรณีที่มีการจดพรรคการเมืองในชื่อ พรรคอนาคตไกล ไม่รู้จัก และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล เพิ่งได้ยินจากสื่อเช่นกัน

‘แจ็ค แฟนฉัน’ ถาม!! เล่นการเมืองต้องมีพรรคพวกห้ามเห็นต่าง ถึงจะอยู่รอดเหรอ?

ต้องมีพรรค มีพวก และห้ามเห็นต่างเหรอ?

‘แจ็ค แฟนฉัน’ ยิงคำถามเด็ดใส่ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในรายการแฉ ทางช่อง GMM 25 เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 66 โดยถามว่า 

“คนไทยที่ออกไปเลือกตั้ง เขาเลือกพรรคคุณ เลือกคุณเป็นนายก และคุณได้เป็นนายกฯ แน่ๆ แต่สุดท้ายแล้วไม่ได้เป็น แล้วประเทศไทย หรือว่าคนไทยต้องทำยังไง? หรือการเมืองมันต้องอยู่ในเห็นเหรอ ต้องมีพรรคพวกโดยเห็นต่างไม่ได้เหรอ? บทเรียนตรงนี้พี่ได้อะไรบ้าง”

โดยเมื่อได้ฟังคำถามแล้ว นายพิธา เอ่ยปากชมว่าเป็นคำถามที่ดีมากๆ ก่อนจะตอบว่า 

“เป็นคำถามที่โดนใจหลาย ๆ คน คนในระยองเขต 3 ก็ถามแบบนี้ คนถามเลยว่า เสียเวลาออกไปเลือกตั้งทำไม? ทั้ง ๆ ที่เลือกไปแล้วไม่ได้อย่างที่เลือก สื่อต่างชาติหลาย ๆ เจ้าก็อาจจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเรา เขาอาจจะคิดว่ามันคืออำนาจนิยมที่อนุญาตให้มีการเลือกตั้ง และถ้าคิดแบบนั้น ก็ยิ่งต้องเลือก เลือกจนกว่าจะได้ จนกว่าจะเป็นฉันทามติของประชาชน ไม่จำเป็นต้องเป็นผม อาจจะเป็นคนอื่น แต่ถ้าเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ตรงเจตนาของประชาชน อีก 4 ปีข้างหน้าก็จะมีหวัง แต่ห้ามทิ้งฐานที่มั่นคือการเลือกตั้ง ก่อนเลือกอำนาจเป็นของเรา แต่หลังเลือกตั้งอำนาจเป็นของคนอื่น อย่างน้อยเราควรทำให้มันอยู่ในระบบของบ้านเมืองเรา”

‘พิธา’ ติดอันดับ ‘TIME100 Next 2023’ ด้านผู้นำที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย. 66) นิตยสาร Time สื่อดังในสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ผลการจัดอันดับ ‘TIME100 Next 2023’ ว่าด้วยผู้นำหน้าใหม่จากทั่วโลกที่กำลังกำหนดอนาคตและกำหนดความเป็นผู้นำรุ่นต่อไป ซึ่งพบว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (Pita Limjaroenrat) หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นคนไทยคนเดียวที่อยู่ในรายชื่อ 100 บุคคลสำคัญในการจัดอันดับดังกล่าว

โดย Time บรรยายว่า สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของเขา ซึ่งพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงร้อยละ 38 ของผู้ออกเสียงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 คือชายผู้นี้ที่จบการศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พยายามทำให้วาระที่ถูกมองว่ารุนแรง (Radical) ของพรรคนั้นบรรลุเป้าหมาย นั่นคือการปฏิรูปกองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์

นโยบายของพรรคก้าวไกล เช่น การยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร นั่นทำให้เส้นทางของ พิธา ถูกสกัดขัดขวางทั้งจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ตลอดจนความท้าทายมากมายจากข้อกกฎหมาย พิธา เล่าว่า ตนเริ่มสนใจการเมืองตั้งแต่ถูกทางบ้านส่งไปเรียนที่ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งปัจจุบัน แม้พิธาจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขบวนการปฏิรูปที่เขาเป็นผู้นำสัญญาว่าจะสร้างแรงผลักดันต่อไป โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนไทย

“ผมภูมิใจกับความสำเร็จของเรา และเราสามารถทำอะไรได้อีกมากมายเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลในรัฐสภาและพูดในนามของประชาชน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าว

‘พิธา’ ประกาศลาออกตำแหน่ง ‘หัวหน้าพรรคก้าวไกล’ เปิดทางเลือก หน.พรรคคนใหม่ ทำหน้าที่ ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’

(15 ก.ย. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์แจ้งสมาชิกพรรคและประชาชน โดยระบุว่า แม้วันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า พรรคก้าวไกลต้องเดินหน้าสู่การทำงานเพื่อประชาชนในฐานะ ‘ฝ่ายค้าน’ ที่มีเสียงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 แต่ในเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้ ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ จำเป็นต้องเป็น สส. ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของพรรคฝ่ายค้านอันดับ 1

ปัจจุบันผมยังอยู่ภายใต้คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ผมจึงยังไม่สามารถเข้าไปทำงานในสภาผู้แทนราษราษฎร และไม่สามารถจะดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ได้ในระยะเวลาอันใกล้

ขณะเดียวกัน ผมได้หารือกับคณะกรรมการบริหารและ สส. ของพรรคก้าวไกลแล้วเห็นว่า บทบาท ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อระบบรัฐสภา และสมควรเป็นบทบาทที่รับผิดชอบโดยหัวหน้าพรรคของพรรคฝ่ายค้านหลักในสภาฯ ซึ่งตอนนี้คือพรรคก้าวไกล ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ จะเปรียบเสมือนหัวเรือที่กำกับทิศทางการทำหน้าที่ในสภาฯ ของฝ่ายค้าน เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลและผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงที่ยังตกหล่นจากนโยบายของรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล ณ ขณะนี้ เพื่อเปิดทางให้พรรคเลือก สส. ที่สามารถทำหน้าที่ ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ ในสภาฯ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทนที่ผม

ผมขอยืนยันกับทุกท่านว่า ไม่ว่าสถานะของผมจะเป็นอย่างไร ผมไม่ได้หายไปไหน แต่จะยังคงทำงานร่วมกับพรรคก้าวไกลและพี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังและสุดความสามารถเพื่อขับเคลื่อนวาระการเปลี่ยนแปลงที่เราปรารถนาร่วมกัน

แล้วในวันที่ 24 ก.ย.นี้ ผมขอเชิญสมาชิกพรรคก้าวไกลมาพบกันอีกครั้ง ในงาน ‘ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’ ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 เขตดินแดง กรุงเทพฯ เพื่อมุ่งหน้าสู่การสร้างพรรคการเมืองที่เข้มแข็งของพวกเราไปด้วยกัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top