Friday, 26 April 2024
VIDEO

Click on Clear THE TOPIC จับประเด็น เน้นความรู้ EP.1/4 ตอนเวทีนางงามกับความงามที่หมดยุคภาพสะท้อนวัตถุทางเพศ

เวทีนางงามกับความงามที่หมดยุคภาพสะท้อนวัตถุทางเพศ

ภาพจำของเวทีนางงามกับการเป็นวัตถุทางเพศหมดไปแล้ว แต่กลายเป็นพื้นที่ขับเคลื่อนสังคม ซึ่งทำให้การพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยกลายเป็นเรื่องสากลอย่างที่ควรจะเป็น

พบกับ ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล

ดำเนินรายการโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Host & Content Creator THE STATES TIMES

.

.

คุณบุ๋น พิมพ์บุญ สถิตมั่นในธรรม | THE STUDY TIMES STORY EP.19

บทสัมภาษณ์ คุณบุ๋น พิมพ์บุญ สถิตมั่นในธรรม นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิติศาสตร์ Peking University, สาธารณรัฐประชาชนจีน 
เตรียมตัวอย่างไร? พิชิตทุนรัฐบาลจีนเต็มจำนวน

คุณบุ๋นถือเป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีมาตลอด ทุกคนเชียร์ให้เข้าสายวิทย์ ตอนนั้นตนก็คิดว่าสายวิทย์จะทำให้มีทางเลือกในอนาคตมากกว่า แต่ช่วงม.ต้น โรงเรียนมีกิจกรรมให้ค้นหาตัวเอง บวกกับได้เริ่มเรียนพิเศษวิชาต่าง ๆ และพบว่าตัวเองไม่ได้อินเท่าที่ควร เมื่อเรียนชั้นม.3 สังเกตตัวเองว่าเรียนได้กับเรียนอย่างมีความสุขไม่เหมือนกัน ค้นพบว่าตัวเองมีความสนใจด้านภาษา จึงขอคุณพ่อไปเรียนพิเศษที่เน้นวิชาที่สนใจจริง ๆ และหาข้อมูล จนตัดสินใจสอบเข้าสายศิลป์ภาษาที่เตรียมอุดมฯ
 
เหตุผลที่เลือกเรียนศิลป์ภาษาจีนของคุณบุ๋นนั้นมาจากเทรนด์ของสังคม ที่ในปัจจุบันพบว่าจีนเข้ามามีบทบาทมาก และด้วยความที่ตนเคยเรียนมาในช่วงวัยเด็ก อาจจะมีความรู้หลงเหลืออยู่ จนสุดท้ายคุณบุ๋นสามารถสอบเข้าศิลป์ภาษาจีน เตรียมอุดมศึกษา ได้ลำดับที่ 1 ซึ่งพอรู้ผลก็ช็อคมาก 

จนถึงวันนี้คุณบุ๋นก็ยังมั่นใจว่าถ้าตัวเองเลือกเรียนสายวิทย์ก็เรียนรอด แต่เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบดีกว่า และไม่เห็นด้วยว่าคนที่เรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์ คนไหนจะเก่งกว่ากัน คุณบุ๋นมองว่า อยู่ที่ความถนัดส่วนบุคคล และเรื่องที่เขาเลือกจะทำมากกว่า 

เด็กที่อยู่ในระบบการศึกษาทุกคน มีความรู้สึกเหมือนกัน คือ  ไม่ใช่ทุกวิชาที่เราจะชอบ จะอยากเรียน แต่ด้วยระบบการศึกษา ทำให้จำเป็นต้องเรียนทุกวิชาที่อยู่ในหลักสูตร เพราะฉะนั้นจึงมีทั้งวิชาที่ตอบโจทย์ และวิชาที่ไม่อยากเรียน 

นอกจากเรียนเก่งแล้ว เรื่องกิจกรรมก็ไม่น้อยหน้า เพราะช่วงที่เรียนอยู่เตรียมอุดมฯ คุณบุ๋นได้ทำกิจกรรมหลายอย่าง อาทิ เข้ากิฟต์ไทย ทำคณะกรรมการตึก ไปแข่งขันเล่านิทานภาษาจีน สุนทรพจน์ภาษาอังกฤษ คุณบุ๋นเล่าว่า แต่ก่อนคุณบุ๋นไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง ไม่ชอบทำงานเบื้องหน้า ชอบงานเบื้องหลังมากกว่า โดยกิจกรรมที่ชอบที่สุดคือการเป็นกรรมการตึก มีหน้าที่ดูแลกิจกรรมต่าง ๆ ของตึก เช่น งานกีฬาสี งานวันสำคัญต่าง ๆ ทำให้ได้ฝึกทักษะประสานงาน ได้เจอเพื่อนที่หลากหลาย

แรงบันดาลใจเลือกเรียนต่อนิติศาสตร์ 
แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนต่อนิติศาสตร์ของคุณบุ๋ม มาจากความชื่นชอบดูหนังที่เกี่ยวกับนักกฎหมาย ทนายความ หนังสืบสวนสอบสวน รู้สึกอิน ทำให้เลือกนิติฯ ในทุกสนามที่ไปสอบ

ทุนรัฐบาลจีนเต็มจำนวน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง 
คุณบุ๋นเล่าว่า จุดเริ่มต้นในการสมัครทุนเพราะมีครูมาแนะนำให้รู้จัก สิ่งที่ใช้สอบด่านแรก คือ การสอบข้อเขียน โดยมีศูนย์สอบที่ภาคต่าง ๆ จะทำการคัดเลือกเด็กที่สอบผ่านข้อเขียนจากทั่วประเทศ 40 คน ไปสอบสัมภาษณ์ต่อ 

ตอนแรกที่เดินทางไป คุณบุ๋นไม่ได้ไปด้วยทุนรัฐบาลจีน แต่ไปด้วยทุนโดยตรงของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง โดยมหาวิทยาลัยมาตามหาเด็กแลกเปลี่ยนที่มีศักยภาพพอที่จะไปเรียนได้ เป็นที่รู้กันดีว่ามหาวิทยาลัยในจีนมีการแข่งขันที่สูงมาก 

สำหรับมหาวิทยาลัยปักกิ่ง นักเรียนต่างชาติสามารถเข้ามาได้หลายวิธี หนึ่งคือ นักเรียนต่างชาติที่เรียนจบม.ปลายที่จีน โดยกลุ่มนี้จะได้รับข้อสอบอีกชุดที่ต่างจากคนจีน ใช้อัตราแข่งขันแยกกัน อีกกลุ่มคือแบบคุณบุ๋น เป็นเด็กที่ถูกคัดมาจากประเทศต่าง ๆ ต้องไปเรียน Pre-University ก่อนหนึ่งปี ซึ่งถ้าสามารถเรียนผ่าน สอบผ่าน ถึงจะได้ขึ้นมหาวิทยาลัย แต่หากไม่ผ่านก็ต้องไปตามทางของตัวเอง ซึ่งมีอัตราแข่งขันครึ่งต่อครึ่ง สอบร้อยคน ได้ขึ้นไปเรียนมหาลัยไม่เกิน 50 คน 

คุณบุ๋นเล่าประสบการณ์การเรียน Pre-University ว่าเป็นปีที่ลำบากที่สุด เป็นปีแห่งการปรับตัว ทั้งในเรื่องการใช้ชีวิต การเรียนที่หนักหน่วง การที่จะไปเรียนร่วมกับคนจีนได้ ต้องมีทักษะภาษาและความรู้พื้นฐานที่เพียงพอ โดยทักษะที่สำคัญคือต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย ในเวลาจำกัดให้ได้

สิ่งที่คุณบุ๋นพบคือ ถึงแม้จะเรียนจบศิลป์จีนมา และมีความมั่นใจว่าภาษาจีนพัฒนาขึ้นมาก สอบ PAT7 ได้คะแนนดี มั่นใจว่าระดับนี้ไปจีนก็น่าจะสามารถสื่อสารได้แล้ว แต่ความจริงคือ ต่อให้ได้คะแนนสอบ HSK ได้ระดับ 5-6 แต่การไปใช้ชีวิตในจีนสุดท้ายก็ไม่สามารถสื่อสารได้อย่างที่คิด วิธีเดียวที่ทำได้คือต้องขยัน ทริคในการพัฒนาด้านภาษาของคุณบุ๋น คือ ทำทุกอย่างทั้งอ่าน เขียน พูด ฟัง ท่องเที่ยว การอยู่ในประเทศของเจ้าของภาษาช่วยทำให้เรียนรู้ได้ง่าย 

ประสบการณ์เรียนต่อ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน 
คุณบุ๋นเล่าว่า ในเรื่องของตัววิชานิติศาสตร์ทั้งไทยและจีนไม่ได้ต่างกันมาก มีทั้งที่จีนทำได้ดีกว่า หรือไทยพัฒนาได้ดีกว่า ขึ้นอยู่กับแง่มุมที่ศึกษา แต่สุดท้ายสามารถเชื่อมโยงกันได้ ด้วยหลักทางกฎหมายที่ไม่ได้ต่างกันมาก สิ่งที่ท้าทายคือ การเรียนกฎหมายต้องอ่านและเขียนเยอะมาก ซึ่งคุณบุ๋นกังวลเพราะไม่สามารถทำได้เร็วเท่าคนจีน แต่คุณบุ๋นเชื่อว่า การที่เราเป็นคนที่ไม่ได้เก่งมาก ในกลุ่มคนที่เก่งมาก จะทำให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ

คุณบุ๋นเองก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาเหมือนกับทุก ๆ คน ช่วงที่ขึ้นปี 1 เข้าไปอยู่ในคณะนิติที่มีเด็กต่างชาติน้อยมาก แค่อ่านกฎหมายภาษาไทยก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งต้องอ่านเป็นภาษาจีนให้ทันที่จะสอบก็เกิดแรงกดดันตัวเองเป็นเรื่องปกติ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ด้วยการร้องไห้ แล้วตั้งใจทำต่อ

ปัจจุบัน คุณบุ๋นกำลังศึกษาอยู่ชั้นปี 3 แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ยังไม่สามารถเดินทางกลับไปประเทศจีนได้ ได้สมัครเรียนควบนิติรามคำแหงอีกหนึ่งปริญญา ส่วนในอนาคตต้องวางแผนอีกที ว่าจะเลือกเรียนต่อหรือทำงาน 

.

.

.

คุณอ๋อง พชรพล ชัฎอนันต์ | THE STUDY TIMES STORY EP.18

บทสัมภาษณ์ คุณอ๋อง พชรพล ชัฎอนันต์ Victoria Secondary School, St Andrew’s Junior College, สิงคโปร์
Computer Engineering, Nanyang Technological University, สิงคโปร์ 
เทคนิคเรียนอย่างไรให้ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ภายใน 3 ปีครึ่ง มหาวิทยาลัยชั้นนำสิงคโปร์

ปัจจุบันคุณอ๋องทำงานอยู่บริษัท Garena บริษัทเกมยักษ์ใหญ่ของสิงคโปร์ ตำแหน่งปัจจุบันคือ Management Associate

ก่อนไปเรียนต่อที่สิงคโปร์ คุณอ๋องศึกษาระดับชั้นมัธยมต้น ณ โรงเรียนสาธิตปทุมวัน ภาคไทย เป็นเด็กเรียนดีปกติ ทำเกรดได้ 4.00 ไม่ได้เป็นเด็กแข่งขันทางวิชาการ แต่ที่บ้านสนับสนุน ทั้งการเรียนและกิจกรรม อาทิ ดนตรี เล่นเปียโน กีฬา ถ่ายภาพ 

จนกระทั่งครูประจำชั้น น้องสาวและคุณแม่ แนะนำให้ลองสมัครทุนที่ชื่อว่า ASEAN Scholarship เป็นทุนที่รัฐบาลไทยมอบให้กับเด็กนักเรียนในประเทศอาเซียน วิธีการสมัครคือ ให้ส่งใบสมัครเป็นโปรไฟล์ไปพิจารณาก่อน หากผ่านรอบโปรไฟล์จะต้องไปสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ สำหรับทุนนี้ ไม่ได้มองหาเฉพาะเด็กที่เก่งทางด้านวิชาการเท่านั้น แต่ต้องทำได้ดีทั้งการเรียน กิจกรรม จิตอาสา มีความเป็นผู้นำ และมีศักยภาพ

จากนั้นคุณอ๋องได้รับเลือกเข้าไปสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ ตอนนั้นภาษาอังกฤษไม่ได้แข็งแรง เพราะเรียนภาคไทยมาตลอด แต่คิดว่ากรรมการน่าจะเห็นบางอย่างจากการตอบคำถาม มีคำถามข้อหนึ่งถามว่า คิดว่าเด็กนักเรียนที่เรียนภาคไทย หรือภาค EP ใครจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากกว่ากัน? ซึ่งคุณอ๋องตอบในเชิงว่า ขึ้นอยู่กับ individual มากกว่า ว่านักเรียนคนนั้นมีความตั้งใจมากน้อยแค่ไหน กรรมการน่าจะเห็นการมี Critical Thinking จากคำตอบที่ไม่ได้ตัดสิน

ปีแรกที่สิงคโปร์ คุณอ๋องเริ่มเรียนในระดับชั้น ม.3 และ ม.4 ที่เรียนโรงเรียนชายล้วน Victoria Secondary School, St Andrew’s Junior College เป็นช่วงชีวิตการเรียนที่ยากลำบากที่สุด เพราะต้องปรับตัวทั้งภาษา วัฒนธรรม การออกจาก Comfort Zone และ อื่น ๆ 

คุณอ๋องเล่าว่า ปีแรกที่ไป สิ่งที่ยากที่สุดคือ วิชาภาษาอังกฤษและสังคม เพราะวิชาภาษาอังกฤษที่สิงคโปร์ ไม่โฟกัสกันที่ Vocab หรือ Grammar เหมือนตอนเรียนที่ไทยแล้ว แต่จะสอนเกี่ยวกับ Writing และ Content ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เป็นการ discuss เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ตอนนั้นเรียนหนักมาก ซึ่งช่วงพักกลางวันหรือหลังเลิกเรียน คุณอ๋องต้องไปอ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่ห้องสมุด ท่องคำศัพท์ทุกวัน 

คุณอ๋องเคยเครียดมาก เพราะสอบตกในวิชาภาษาอังกฤษและสังคมตั้งแต่ครั้งแรก จากเคยเรียนที่ไทยได้ 4.00 มาตลอด เครียดมากจนร้องไห้ แต่โชคดีที่พ่อแม่ไม่กดดันและคอยช่วยเหลือ หาวิธีแก้ไข เมื่อแรงกดดันน้อยลง ความเครียดก็ลดลง ทำอะไรได้ดีขึ้นเป็นลำดับ

ในเรื่องของกิจกรรม ที่สิงคโปร์นักเรียนทุกคนจะต้องเลือกชมรมของตัวเอง คุณอ๋องมีทั้งชมรมหลักและชมรมรอง ชมรมหลัก คือ เป็นสมาชิกวงขับร้องประสานเสียงของโรงเรียน เคยเข้าร่วมการแข่งขัน Singapore Youth Festival ได้รับ Gold with Distinction สิ่งที่ได้จากการอยู่ชมรมนี้คือ ความรับผิดชอบ ความเป็นผู้นำ และความพยายาม และมีชมรมรองคือ ชมรมคณิตศาสตร์ 

ความแตกต่างของระบบการศึกษาสิงคโปร์และไทย ที่แตกต่างกันชัดเจนคือ สิงคโปร์จะมีแผนการสอนที่ชัดเจนกว่า ข้อสอบเป็นไปตามแผน ไม่ยากเกินไป ไม่ง่ายเกินไป สามารถแยกความแตกต่างของนักเรียนได้อย่างชัดเจน แต่เท่าที่คุณอ๋องเคยเรียนในระบบการศึกษาไทย พบว่า ข้อสอบในการสอบเข้าโรงเรียนแต่ละที่ยากเกินไป จนไม่สามารถประเมินนักเรียนได้ แยกนักเรียนเก่งออกไปจากนักเรียนที่ทำข้อสอบไม่ได้ เป็นเครื่องมือในการตรวจวัดนักเรียนที่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ
 
ผ่านไป 2 ปี คุณอ๋องต้องไปสอบ O level ซึ่งเป็น National exam ของสิงคโปร์เพื่อเข้าเรียน Pre University หรือ Junior College ระดับชั้น ม.5-ม.6 ได้เข้าโรงเรียนที่ชื่อว่า St Andrew’s Junior College โดยได้อยู่ห้อง Talent Development Program การเรียนที่นี่จะลดวิชาเรียนลงไปเยอะมาก เช่น วิทยาศาสตร์จะบังคับเรียนเคมี และให้เลือกอีกหนึ่งตัวระหว่างชีววิทยาและฟิสิกส์ 

หลังจากเรียนจบ 4 ปี มีการสอบ A level เป็น National exam เช่นกัน ใช้คะแนนยื่นสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่สิงคโปร์  โดยคุณอ๋องได้รับ Offer พร้อมทุน จาก Nanyang Technological University คณะ Computer Engineering

เทคนิคเรียนจบภายใน 3.5 ปี เกียรตินิยมอันดับ 1 
สิ่งที่ทำให้คุณอ๋องเรียนจบภายใน 3.5 ปี เพราะที่สิงคโปร์นักเรียนทุกคนจะมีโอกาสได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศครึ่งปี แต่คุณอ๋องเลือกที่จะไม่ไป ทำให้เรียนจบได้ไว อีกสิ่งหนึ่งคือการรู้จักตัวเอง รู้ความสามารถของตัวเอง 

คุณอ๋องเชื่อว่า เวลาในมหาวิทยาลัยไม่ได้มีไว้เรียนอย่างเดียว มหาวิทยาลัยเป็นสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ที่จะทดลองสิ่งต่าง ๆ และทำข้อผิดพลาด เวลาส่วนใหญ่สามารถไปทดลองทำนู่นทำนี่ได้เยอะพอสมควร ซึ่งในช่วงปี 3 คุณอ๋องก็ได้มีโอกาสทำ Internship เป็น Full time developer ที่บริษัท Autodesk กว่า 6 เดือน

ปัจจุบันคุณอ๋องทำงานอยู่บริษัท Garena โดย base ที่สิงคโปร์ ทำอยู่สิงคโปร์ 3 เดือน ก่อนจะถูกส่งตัวมาช่วยงานที่สาขาในประเทศไทย คุณอ๋องเผยว่า สิ่งที่ Garena มองหาคือ ความฉลาด ความพยายาม และความสนใจในเกม

เป้าหมายในอนาคต
คุณอ๋องมีความสนใจในด้านการศึกษา นอกเหนือจากการทำงาน Full-time แล้ว เวลาว่างเสาร์อาทิตย์ยังรับสอนพิเศษให้น้อง ๆ ที่จะเตรียมไปสอบทุนอาเซียน ในอนาคตอยากจะเปิดเป็นเซนเตอร์ที่จะซัพพอร์ตน้อง ๆ ที่ต้องการหาทุน หรือหาโอกาสเพื่อไปต่อยอด ดึงศักยภาพของน้อง ๆ ออกมา

.

.

.

คุณกิต กิตติพงษ์ ลุยวิกกัย | THE STUDY TIMES STORY EP.17

บทสัมภาษณ์ คุณกิต กิตติพงษ์ ลุยวิกกัย เรียนภาษาจีน Qingdao University, สาธารณรัฐประชาชนจีน

ปริญญาโท Computer Science & Software Engineering, Monash University, ออสเตรเลีย

จากนักการเงินสู่เจ้าของธุรกิจศูนย์แนะแนวศึกษาต่อจีน ไต้หวัน เกาหลี OREN

ปัจจุบันคุณกิตทำงานอยู่ในศูนย์แนะแนวศึกษาต่อจีน ไต้หวัน เกาหลี OREN ซึ่งคุณกิตไม่ได้จบทางด้านการศึกษามาโดยตรง ก่อนหน้านี้ทำงานในเรื่องของการเงิน การธนาคาร และคอมพิวเตอร์

จุดเริ่มต้นทำงานด้านการศึกษา ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อจีน ไต้หวัน เกาหลี OREN

หลังจากจบมา คุณกิตได้ทำงานด้านการเงินการธนาคารอยู่สักพัก จากนั้นได้ไปเรียนต่อปริญญาโท ด้าน Computer Science & Software Engineering ที่ออสเตรเลีย เพราะส่วนตัวมีความชอบเรื่องคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ยังเด็ก หลังจบปริญญาโท อยากเพิ่มสกิลภาษาขึ้นมา ซึ่งภาษาที่เลือกคือ ภาษาจีน จึงได้เลือกไปศึกษาต่อด้านภาษาที่ประเทศจีน ได้เจอกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง พบว่าระบบการรับนักศึกษาต่างชาติที่จีนยังไม่เฟื่องฟู การติดต่อค่อนข้างยาก ไม่มีบริษัทหรือศูนย์แนะแนวอย่างในปัจจุบัน จึงร่วมกับเพื่อนเปิดศูนย์แนะแนวเรียนต่อจีน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเด็กที่ไป

นักเรียนไทยคนแรกของเมืองชิงเต่า Qingdao University

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว คุณกิตได้ข้อมูลเมืองชิงเต่ามาและมีศูนย์แนะนำอยากให้เด็กไทยไปเรียน ตอนแรกคิดว่าเป็นเมืองที่อยู่บนเกาะ เมืองนี้มีความน่าสนใจคือคนไทยอาจไม่เยอะมากเท่าเมืองอื่น เป็นเมืองท่าที่สำคัญ มีบริษัทยักษ์ใหญ่มาตั้ง พอไปถึงวันแรก ต่อเครื่องบินที่ปักกิ่งเข้าชิงเต่า พบว่าทั้งลำไม่มีคนต่างชาติเลย เป็นคนจีนทั้งหมด พอเครื่องลงจอดทุกคนสลายตัว เหลือคุณกิตอยู่ที่สนามบินคนเดียว นั่งรออยู่สนามบินหลายชั่วโมงกว่าที่รถมหาลัยจะมารับ

วันแรกที่นั่งเรียน คุณกิตเป็นคนไทยคนเดียวในมหาวิทยาลัย พอเอาตัวรอดได้เพราะได้ภาษาจีนนิดหน่อย นักเรียนในโรงเรียนเกิน 50% เป็นคนเกาหลี เนื่องจากชิงเต่าใกล้กับเกาหลี มีชาวญี่ปุ่น เยอรมัน ซึ่งชิงเต่าเคยเป็นอาณานิคมของเยอรมันมาก่อน คนเยอรมันเลยมาเรียนกัน

Culture Shock ที่พบคือ คำศัพท์ของจีนแทนคำศัพท์ต่างประเทศแทบทุกอย่าง ทุกคำศัพท์จากต่างประเทศถูกแปลงเป็นภาษาจีนทั้งหมด รวมทั้งชื่อคนไทยที่ไม่มีภาษาจีนก็จะถูกแปลงด้วย สิ่งที่งงที่สุดสำหรับคนต่างชาติ ณ ตอนนั้น คือการเปิดบัญชีธนาคาร เพราะคนจีนที่เมืองชิงเต่าไม่ค่อยได้เจอกับคนต่างชาติ คุณกิตเองใช้เวลาถึง 3 วันในการเปิดบัญชี

ประสบการณ์ที่ได้จากการไปเรียนภาษาจีนที่ชิงเต่า

ถ้าพูดถึงชิงเต่าแล้ว ในสมัยก่อนคนจะคิดว่าเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่ตอนที่ปักกิ่งจัดโอลิมปิกครั้งแรก ได้เลือกเมืองชิงเต่าในการจัดโอลิมปิกทางน้ำ ชิงเต่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญของจีน ในการขนถ่ายสินค้าจากฝั่งทางเหนือ รวมทั้งเป็นจุดยุทธศาสตร์ มีกองเรือดำน้ำที่สำคัญ บริษัทสำคัญมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ชิงเต่า รวมทั้งเป็นเมืองทางเศรษฐกิจที่สำคัญของมณฑล

การใช้ชีวิตที่ชิงเต่า ในเทอมแรกด้วยความเป็นนักเรียนไทยคนเดียว คุณกิตรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวแทนของประเทศไทย หากเรามีพฤติกรรมอย่างไร คนจะตัดสินว่าคนไทยเป็นคนแบบนั้น คุณกิตจึงเป็นตัวแทนในการทำกิจกรรมทุกอย่าง เพราะทำให้ได้เรียนรู้ ได้แสดงออก ที่สำคัญคือมีโอกาสในการใช้ภาษาเยอะมาก ทำให้ภาษาจีนพัฒนาโดยอัตโนมัติ

ประสบการณ์เรียนต่อออสเตรเลีย ปริญญาโท ด้าน Computer Science & Software Engineering, Monash University Australia
คุณกิตไปเรียนต่อปริญญาโท ด้าน Computer Science & Software Engineering, Monash University ที่ออสเตรเลีย  ได้อยู่กับ Host Family ที่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ซึ่งคุณกิตเดินทางไปก่อนล่วงหน้าสามเดือนเพื่อไปเรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม ปรับพื้นฐาน เลือกไปอยู่กับแฟมิลี่เพราะอยากรู้วัฒนธรรมของคนออสเตรเลีย แฟมิลี่พยายามให้พูด ทำการบ้าน เขียนไดอารี่ทุกวัน เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ อีกทั้งลูกของแฟมิลี่กำลังเรียนคอมพิวเตอร์พอดี คุณกิตเลยมีโอกาสช่วยสอน 
 
คุณกิตไปทำงานในร้านอาหารไทย และด้วยความที่คุณกิตเรียนมาทางด้านคอมพิวเตอร์ จึงมีโอกาสไปทำงานออฟฟิศ ช่วยแผนกคอมพิวเตอร์ในบริษัทเล็ก ๆ 

คุณกิตแนะนำสำหรับคนที่อยากไปเรียนต่อทางฝั่งตะวันตก หรือฝั่งจีน ไว้ว่า ฝั่งตะวันตกมีความเป็นระบบในการรับนักศึกษาต่างชาติมากกว่า ทั้งระบบโฮส การจัดการจองห้องพัก การเปิดบัญชี การติดต่อกับมหาวิทยาลัยค่อนข้างสะดวก สิ่งที่อยากแนะนำคือ น้องที่อยากไปทำงานพาร์ทไทม์ ถ้ามีความรู้เฉพาะในส่วนของงานที่จะไปทำ หรือมีประสบการณ์มาก่อน จะทำให้ได้เปรียบกว่าคนอื่น ได้งานที่ดีกว่าคนอื่น เช่น การทำขนม บาริสต้า จะสามารถหางานได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์เลย และพยายามคลุกคลีกับชาวต่างชาติ เพราะจะได้เรียนรู้ ได้ฝึกภาษา ได้ประสบการณ์ที่มากกว่า

ขณะที่ทางฝั่งจีน การติดต่ออาจจะมีการใช้ภาษาท้องถิ่น ทำให้มีความติดขัดอยู่บ้าง อย่างการเปิดบัญชีธนาคาร การเข้าใจข้อกำหนด กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น จีนห้ามเล่นโซเชียลมีเดียของต่างชาติ 

สำหรับใครที่สนใจไปเรียนต่อในประเทศจีน ไต้หวัน เกาหลี  สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อจีน ไต้หวัน เกาหลี OREN ไลน์ @OREN

.

.

คุณนูป อัครพัชร์ ภัทรศิริภาณิน | THE STUDY TIMES STORY EP.16

บทสัมภาษณ์ คุณนูป อัครพัชร์ ภัทรศิริภาณิน นักศึกษาแพทย์ Medical University of Lublin, สาธารณรัฐโปแลนด์ 
นักเรียนแพทย์สายคอนเทนต์ เรียนที่โปแลนด์ให้อะไรมากกว่าที่คิด

ปัจจุบัน คุณนูปเป็นนักศึกษาแพทย์ อยู่ที่ Medical University of Lublin ประเทศโปแลนด์ 

จุดเริ่มต้นเรียนแพทย์ที่โปแลนด์ มหาวิทยาลัย Medical University of Lublin
คุณนูปมีความสนใจอยากเรียนหมออยู่แล้ว เพราะมีความฝันอยากเป็นหมอในค่ายผู้อพยพ จนได้พบเอเจนซี่ที่ส่งนักศึกษาไปเรียนที่โปแลนด์ จึงได้ตัดสินใจ ด้วยความที่ค่าเทอมไม่แพง และค่าครองชีพไม่สูง ที่คุณนูปเคยศึกษาเปรียบเทียบค่าเทอมเรียนหมอ 6 ปี พบว่า โปแลนด์มีค่าใช้จ่ายประมาณ 2.4 ล้านบาท ขณะที่เอกชนที่ประเทศไทยประมาณ 3 ล้านบาท 

การเรียนที่โปแลนด์จะเรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ช่วง 4 เทอมแรกมีเรียนภาษาโปลิชด้วย ในคลาสเรียนมีทั้งนักเรียนจากไต้หวัน อเมริกัน ตะวันออกกลาง สแกนดิเนเวีย

คุณนูปสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยวิชาทางวิทยาศาสตร์และใช้คะแนน IELTS ปัจจุบันนักเรียนไทยที่มาเรียนแพทย์ที่ Lublin มีประมาณ 100 กว่าคน จุดเด่นที่ทุกคนเลือกมาเพราะค่าเทอมที่ถูก และค่าครองชีพที่ไม่แพง 

การเรียนที่โปแลนด์มีสอบทุกสัปดาห์ ต้องทำคะแนนสอบให้ได้มากกว่า 50% ขึ้นไป จึงจะมีสิทธิ์สอบไฟนอล ต้องอ่านหนังสืออยู่เรื่อย ๆ  ปีแรกที่มาปรับตัวยากมาก เพราะคนไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ ทำให้สื่อสารยาก

ด้วยความที่คนที่นี่ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก สำเนียงจะฟังยากมาก ทำให้มีอุปสรรคด้านการสื่อสาร เวลาเครียดคุณนูปก็จะมีออกไปกินข้าว ท่องเที่ยวกับเพื่อน หรือแม้กระทั่งไปหานักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยที่มีให้บริการ

วิถีชีวิตนักเรียนไทยในโปแลนด์ ส่วนใหญ่จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ทำกิจกรรมร่วมกัน ไปเตะฟุตบอล ทานข้าวด้วยกัน แต่ด้วยความที่สอบเยอะมากก็จะไม่ค่อยมีเวลา วิธีที่ทำให้คุณนูปผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้ คือ การจดไดอารี่ไว้ 

สิ่งที่น่าสนใจในโปแลนด์ คุณนูปแนะว่า ถ้าชอบมิวเซียม ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ ดนตรีคลาสสิก โปแลนด์เป็นอีกตัวเลือกที่น่ามาเที่ยวมาก ด้วยความที่เป็นพื้นที่ของสงครามโลกครั้งที่ 2 มาก่อน และมีอุทยานแห่งชาติกว่า 100 แห่ง

คุณนูปเป็นนักกิจกรรมตัวยง ทั้งเล่นดนตรี กีฬา ท่องเที่ยว ปีนผา คุณนูปเล่าว่า กิจกรรมปีนผา เริ่มทำช่วงกลับไทยเมื่อปีที่แล้วตอนสถานการณ์โควิดระบาดหนัก เจ้าของสำนักพิมพ์ที่คุณนูปเป็นนักเขียนอยู่ได้ชวนไปปีนผา ไปแล้วเกิดติดใจ เมื่อกลับมาโปแลนด์ก็ยังสนใจและทำต่อมาเรื่อย ๆ 

คุณนูปมีอุดมการณ์ คือ อยากเป็นแพทย์ที่ดูแลผู้ลี้ภัย เพราะมีอาจารย์ที่เป็นต้นแบบ แล้วรู้สึกว่าเท่ดี ตอนย้ายมาอยู่โปแลนด์มีช่วงหนึ่งที่เขวไปบ้าง แต่มีโอกาสได้ทำเรื่องเกี่ยวกับอาหารกลางวันให้เด็กที่เคนย่า เลยสามารถดึงตัวเองกลับมาในความฝันที่เคยตั้งไว้ 

จุดเริ่มต้นอาชีพนักเขียน 
จุดเริ่มต้นการเป็นนักเขียนของคุณนูปเริ่มมาจากเป็นแฟนของสำนักพิมพ์ชี้ดาบ รู้จักกับพี่ที่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ ช่วงที่โปแลนด์มีโควิดระบาดหนักทำให้ออกไปไหนไม่ได้ เลยตัดสินใจทักไปคุยกับรุ่นพี่เจ้าของสำนักพิมพ์ พี่เลยได้ชวนมาเขียนหนังสือรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับคนไทยที่เจอโควิดจากทั่วโลก คุณนูปจึงตัดสินใจเขียนหนังสือที่มีชื่อว่า พังเรนเจอร์ : AGE OF CORONA

อีกเล่มมีชื่อว่า อยุติธรรม เจนเนอร์เรชั่น | พังเรนเจอร์ จูเนียร์ ซึ่งรวบรวมประสบการณ์ที่เจอมาแล้วรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับตัวเรา 

การเขียนสำหรับคุณนูปเหมือนการปลดปล่อยอีกรูปแบบหนึ่ง ด้วยความที่กิจกรรมบางอย่างที่เคยทำเพื่อปลดปล่อยความเครียด อาจจะทำไม่ได้ในช่วงโควิด จึงต้องหาวิธีอื่นในการปลดปล่อยออกมา
 
คุณนูปคิดว่า 'นักศึกษาแพทย์' และ 'นักเขียน' มีทั้งส่วนที่เหมือนและต่างกัน เช่น เรื่องเรียนทำให้ต้องอ่านหนังสือทุกวัน ส่วนการเขียนเป็นสิ่งที่เจอทุกวัน เป็นสิ่งที่สะสมทุกวันทั้งคู่ แต่ความต่าง คือ การเขียนเป็นประสบการณ์ตรงที่เราเจอเองจริง ๆ แต่การเรียนไม่ใช่สิ่งที่เราเจอมาด้วยตัวเอง แต่เป็นเรื่องที่เราอ่านความรู้ที่คนอื่นเตรียมไว้แล้ว

แผนในอนาคตเมื่อเรียนจบของคุณนูป คือ กลับไทยเพื่อสอบใบประกอบเก็บไว้ ก่อนจะออกเดินทางไปตามค่ายผู้ลี้ภัยแล้วค่อยกลับมาเมืองไทย 

สุดท้ายคุณนูปฝากสำหรับคนที่อยากเรียนแพทย์ในโปแลนด์ไว้ว่า ข้อสอบเข้ายากขึ้นมาก ให้อ่านหนังสือเยอะ ๆ ทำภาษาอังกฤษไว้ให้ดี


.

.


.

คุณหนึ่ง จีระศักดิ์ ป้อมสุวรรณ | THE STUDY TIMES STORY EP.11

บทสัมภาษณ์ คุณหนึ่ง จีระศักดิ์ ป้อมสุวรรณ Minister Counsellor อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ, ประเทศโปแลนด์ เส้นทางและชีวิตของนักการทูต ที่ต้องรอบรู้เรื่องราวข่าวสารรอบโลก

คุณหนึ่งเล่าว่า การจะเป็นนักการทูตได้ ต้องเป็นข้าราชการของกระทรวงการต่างประเทศก่อน การจะเข้ามาในกระทรวงการต่างประเทศ สำหรับน้อง ๆ ที่สนใจ ไม่จำเป็นต้องจบรัฐศาสตร์การทูตเท่านั้น ตัวคุณหนึ่งเองจบสายเศรษฐศาสตร์มา คนส่วนใหญ่ในกระทรวงเป็นสายสังคมวิทยา เพราะในทางการทูตต้องหาความหลากหลาย ต้องการองค์ความรู้จำนวนมาก 

หน้าที่ของนักการทูตคือส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ในโลกนี้มีหลากหลายประเด็นที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ หรือแต่ละประเทศมาร่วมมือกัน ผลประโยชน์ของชาติมีหลายมิติ จึงต้องการนักการทูตที่มีความรู้ในหลายมิติเช่นเดียวกัน 

ชีวิตนักการทูตนั้น การมาอยู่ต่างประเทศต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ที่หลากหลายมาก คุณหนึ่งเล่าว่า โดยปกติคนที่เข้ามาจะต้องใช้เวลาเรียนรู้งานที่เมืองไทยก่อนเฉลี่ยประมาณ 3-4 ปี เมื่อมาอยู่ต่างประเทศได้นำประสบการณ์ในเมืองไทยมาใช้ในการเป็นนักการทูต ขณะเดียวกันก็มาเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพิ่มเติมจากการประจำการในต่างประเทศ เมื่อครบวาระ 4 ปี จึงนำประสบการณ์กลับไปใช้ในเมืองไทย อยู่ประมาณสามปี ก็เดินทางไปอีกประเทศหนึ่ง ชีวิตนักการทูตจะกลับไปกลับมา ควรมีการวางแผนชีวิตที่ดี โดยเฉพาะเรื่องของครอบครัว

คุณหนึ่งเผยว่า การทำงานของนักการทูตรุ่นใหม่ในประเทศ ปัจจุบันผู้บริหารกระทรวงเห็นความสำคัญของการรู้งานที่หลากหลายมากขึ้น เพราะฉะนั้นทางกระทรวงจึงให้ข้าราชการรุ่นใหม่ เวียนงาน ไม่เฉพาะเวียนกรม แต่เวียนข้ามกลุ่มงานด้วย นอกจากนี้ยังมีงานด้านบริหาร งานด้านการคลัง งานบริหารบุคคล เป็นทักษะที่จำเป็นของนักการทูต

ด้านการทำงาน ในกรมจะแบ่งเป็นกองเพื่อดูแลงานต่าง ๆ ในแต่ละกองมีคนเฉลี่ย 8-10 คน ข้อด้อยคือเมื่อคนน้อย งานปริมาณเยอะ ข้อดีคือ นักการทูตแต่ละคน ไม่ว่าจะเด็กขนาดไหน มีโอกาสได้ดูงานในเชิงลึก หลากหลาย และมีความรับผิดชอบในส่วนงานของตัวเอง 

นักการทูตควรมีบุคลิกอย่างไรนั้น คุณหนึ่งให้คำนิยามไว้คำเดียวว่า ‘ครบเครื่อง’ เนื่องจากต้องเจอคนหลากหลายประเภท เพราะฉะนั้นความรู้ที่หลากหลายเป็นเรื่องสำคัญ หากต้องการจะสื่อสาร มีบทสนทนากับผู้คน ก็จำเป็นต้องรู้ในเรื่องนั้น ๆ พอประมาณ ความรู้ที่หลากหลาย จึงเป็นสิ่งที่นักการทูตควรจะต้องมี

หากอยากเป็นนักการทูต ควรเติมองค์ความรู้ หรือพัฒนาตัวเองอย่างไร คุณหนึ่งแนะนำว่า หนังสือที่ดีที่สุดที่จะใช้ในการสอบ ในการอ่านและทำความเข้าใจ คือ หนังสือพิมพ์ เพราะเป็นความหลากหลาย เป็นความรู้รอบตัว อ่านหนังสือพิมพ์ในไทย จะรู้ว่าเมืองไทยเกิดอะไรขึ้น ขณะเดียวกันอ่านหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ เพื่อให้รู้ว่าตอนนี้โลกไปทิศทางไหนแล้ว ศึกษาประเด็นต่าง ๆ รอบโลก เรื่องที่คนให้ความสนใจ           

ชีวิตนักการทูตสำหรับตัวคุณหนึ่งเองนั้น ประเทศแรกที่ได้ไปประจำการ คือแอฟริกาใต้ กรุงวิคตอเรีย (Victoria) ยุคนั้นในแอฟริกามีสถานทูตอยู่ 4-5 แห่ง นอกจากประเทศที่ดูแลแล้ว ยังดูแลประเทศใกล้เคียงที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย ซึ่งนอกจากแอฟริกาใต้แล้วได้ดูแลอีก 10 ประเทศรอบ ๆ ของแอฟริกาตอนใต้ 

สำหรับคนที่เป็นนักการทูตตอนออกต่างประเทศครั้งแรก แน่นอนว่ายังหนุ่มยังสาว มีข้อจำกัดในชีวิตน้อย ยังมีพลังงานเยอะ การออกต่างประเทศครั้งแรกมักจะพูดกันว่าเป็นเหมือนกับ ‘รักแรกพบ’ ได้ไปประจำการที่ไหนมักจะมีความรัก ความประทับใจให้กับประเทศนั้น ๆ คุณหนึ่งไปแอฟริกาใต้ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แอฟริกาเป็นทวีปที่มีสีสัน คนไทยไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ มีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจ เป็น 4 ปีที่มีประสบการณ์ที่ดีมาก และในแอฟริกาใต้ พบว่ามีชุมชนคนไทยอยู่มากกว่าที่คิด จากนั้นกลับมาเมืองไทยได้ 2 ปีครึ่ง ก่อนเดินทางต่อไปยัง ซิดนีย์ ออสเตรเลีย

คุณหนึ่งเล่าประสบการณ์ในแอฟริกาใต้ ให้ฟังว่า กลุ่มคนผิวสีทั้งหมด จะแยกเป็นเผ่าเล็ก ๆ แต่ละเผ่าจะมีการเมืองระหว่างเผ่า  และมีประวัติของเผ่าที่ไม่เหมือนกัน เช่น เผ่าซูลู ในแอฟริกาใต้ ที่ถือว่าเป็นเผ่าของนักรบ รูปร่างกำยำ อีกเผ่า คือ เผ่าคอร์ซา เป็นเผ่าของคนมีการศึกษา กลุ่มผู้บริหาร ลักษณะของแต่ละเผ่าจะไม่เหมือนกันเลย อีกทั้งวัฒนธรรม การเต้นระบำ ภาษาก็ไม่เหมือนกัน

คุณหนึ่งให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ในหนึ่งประเทศมีสถานทูตได้เพียงแห่งเดียว แต่มีสถานกงสุลใหญ่ได้หลายที่ตามความจำเป็นและตามผลประโยชน์ เช่น ในสหัรัฐอเมริกามีหลายแห่ง ในออสเตรเลียมีสองแห่ง คือ แคนเบอร์รา และซิดนีย์

การทำงานเป็นอัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ, ประเทศโปแลนด์ ในตอนนี้ คุณหนึ่งเล่าว่า ในสถานทูตมีสมาชิก 5 ท่าน คือ ท่านทูต คุณหนึ่ง เจ้าหน้าที่ 2 ท่าน และเจ้าหน้าที่ทางด้านการคลังอีก 1 ท่าน นอกจากนี้ยังมี เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่เป็นคนท้องถิ่นที่ถูกจ้างมา ในกรณีของโปแลนด์ ต้องการคนท้องถิ่นเพื่อมาติดต่อประสานกับงานท้องถิ่น เนื่องจากคนที่นี่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ จะใช้ภาษาโปลิชเป็นส่วนใหญ่ ตัวคุณหนึ่งเองมีหน้าที่ช่วยสนับสนุนท่านทูตในการดูแลงาน กรองงานจากเจ้าหน้าที่ที่เสนอขึ้นมา ดูงานบริหาร การเงิน การบริหารภายในต่าง ๆ 

คุณหนึ่งกล่าวว่า หน้าที่ของสถานทูตไทยที่ไปอยู่ในแต่ละประเทศ มีหน้าที่เดียว คือ การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยเรากับประเทศนั้นให้ดีขึ้น แต่หน้าที่เดียวนี้จะแตกแขนงออกไปตามกรอบบริบทของประเทศนั้น ๆ ยกตัวอย่างกรณีของโปแลนด์ ต้องมีการหาว่าความสัมพันธ์หรือความสำคัญของโปแลนด์ต่อไทยอยู่ตรงไหน จะทำให้โปแลนด์ตอบโจทย์ผลประโยชน์ของไทยได้อย่างไร 

โดยโปแลนด์เป็นประเทศที่มีประชากรประมาณ 38 ล้านคน แต่เป็นประเทศหนึ่งที่สามารถเป็นอู่ข้าวอู่น้ำในยุโรปกลาง สิ่งหนึ่งที่โปแลนด์มีแต่เราคิดไม่ถึง คือ เขามีเทคโนโลยี มีกลุ่มสมัยใหม่ หรือที่เรียกว่ากลุ่ม Start-Up ที่มีความสามารถ มี ecosystem ที่เหมาะกับการเติบโตของ Start-Up โปแลนด์มีชายแดนติดกับเยอรมัน แต่ค่าแรงโปแลนด์ถูกกว่าเยอรมัน 3 เท่า โดยมากนักลงทุนในกลุ่มยุโรปตะวันตกจะมาสร้างโรงงาน ใช้ทรัพยากรบุคคลของโปแลนด์ เพื่อผลิตและส่งของไปขายในยุโรปตะวันตก ด้วยบริบทของโปแลนด์นี้เอง สถานทูตของไทยจึงมีบทบาทในการผลักดันผลประโยชน์ระหว่างไทยและโปแลนด์ในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 

คุณหนึ่งทิ้งท้ายไว้ว่า อาชีพอะไรก็ตาม เราทำประโยชน์ให้ชาติได้ทั้งนั้น แต่ถ้าใครที่อยากทำประโยชน์ให้ประเทศชาติด้วยการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ไทยกับประเทศต่าง ๆ ได้มีบทบาทที่ดีต่อกันมากขึ้น มีความร่วมมือต่อกันมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ สนใจในการใฝ่รู้ เตรียมตัวให้สอดคล้องกับสิ่งกระทรวงต้องการ กระทรวงยังต้องการความคิดใหม่ ๆ มุมมองใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงและประเทศชาติ 


.

.

คุณต้น รัฐพล ปั้นทองพันธุ์ | THE STUDY TIMES STORY EP.15

บทสัมภาษณ์ คุณต้น รัฐพล ปั้นทองพันธุ์ ได้รับทุนมูลนิธิ มหิธร กลีบ ไกรฤกษ์

ปริญญาโทกฎหมายธุรกิจ Cambridge University, สหราชอาณาจักร

ฝันเป็นจริงเพราะฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ได้ทุนเรียนต่อต่างประเทศ มหาวิทยาลัย TOP ของโลก

ปัจจุบันคุณต้นดำรงตำแหน่ง Vice President ดูแลด้านกฎหมายในบริษัทเอกชน เพิ่งเรียนจบกลับมาจากประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ไปเรียน Corporate Law เน้นที่กฎหมายบริษัท เกี่ยวกับธุรกิจและการค้าโดยตรง จาก University of Cambridge

กฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจ หรือ Corporate Law ถือว่าเป็นหัวใจ จากการไปเรียนมาทำให้คุณต้นทราบว่าทางอังกฤษสามารถพัฒนาและแก้ปัญหาทางธุรกิจได้ดีกว่าประเทศไทย

ย้อนกลับไป คุณต้นเรียนในโรงเรียนไทยมาโดยตลอด เรื่องของภาษาอังกฤษเรียกว่าไม่ได้เลย จากนั้นได้เรียนต่อเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเรียนควบนิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงไปด้วย ในชั้นปี 3 เป็นช่วงที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ได้ไปเรียนที่สถาบันพัฒนาภาษา Fast English อยู่ 2 ปีครึ่ง ต้องปูพื้นใหม่ทั้งหมด หลังจากนั้นได้ไปฝึกงานที่ Law Firm 4 ปี กว่าจะคล่องในการใช้ภาษาอังกฤษ

คุณต้นเชื่อว่า หากไม่ได้เรียนอินเตอร์ การพัฒนาภาษาอังกฤษของนักเรียนไทยค่อนข้างลำบาก เพราะไม่ได้มีการรวมข้อมูลที่ต้องรู้จริง ๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษไว้ สิ่งนี้ถือเป็นจุดอ่อน

คุณต้นเริ่มจุดประกายเรื่องของภาษาอังกฤษช่วงปี 3 เพราะฝันอยากไปเรียนเมืองนอก การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณต้นทั้งหมดเรียกว่ามาจากการเรียนที่ Fast English บวกกับความตั้งใจท่องคำศัพท์ มีวินัยในตัวเอง สิ่งสำคัญคือการฝึกฝนด้วยตัวเองต่อ

ทุนมูลนิธิ มหิธร กลีบ ไกรฤกษ์

ก่อนที่จะได้ทุนมูลนิธิ มหิธร กลีบ ไกรฤกษ์ คุณต้นได้ทุนสหภาพยุโรปก่อน รวมทั้งยื่นสมัครที่ LSE ประเทศอังกฤษ แต่เนื่องจากทางเนติบัณฑิตเปิดรับสมัครสอบแข่งขันทุน โดยทุนนี้ไม่ได้กำหนดว่าต้องไปมหาวิทยาลัยไหน เพียงแต่กำหนดให้ไปมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย หรือญี่ปุ่น ซึ่งคุณต้นเองได้ใบตอบรับจาก Cambridge พอดี เมื่อสอบแข่งขันผ่าน จึงแจ้งกับทางทุน ไปเรียนต่อได้เลย

จุดอ่อนของคนไทยที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ คุณต้นมองว่า อยู่ที่ภาษาอังกฤษ ภาษาต้องได้ก่อน ใครจะไปเรียนไม่ต้องรีบ เตรียมตัวให้พร้อม ศึกษามหาวิทยาลัยดี ๆ จากมุมมองส่วนตัว คุณต้นคิดว่าที่ตนเองได้ ไม่ใช่เพราะความเรียนเก่ง แต่เพราะความหลากหลาย และมีประสบการณ์ทำงานที่เยอะพอสมควร รวมทั้งมีความก้าวหน้าในการทำงาน สิ่งนี้เป็นจุดที่นักเรียนมักจะมองข้าม

สำหรับคนที่จะสอบทุนมูลนิธิ มหิธร กลีบ ไกรฤกษ์ ต้องมีคุณสมบัติ คือ จบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ สอบเนผ่าน และมีอายุไม่เกิน 35 ปี โดยทุนนี้ไม่ได้เปิดทุกปี แต่ 4 ปีเปิดครั้ง ต้องสอบแข่งขัน เขียน Essay ภาษาอังกฤษสามข้อ รอบสุดท้ายสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ข้อดีของทุนนี้คือเป็นทุนฟรี ไม่มีภาระผูกพัน สำหรับคนที่จะได้ทุนนี้ คุณต้นมองว่า ต้องรู้จักขายตัวเองให้เป็น ก่อนที่จะไปขายของให้คนอื่น ต้องรู้ว่าตัวเองมีจุดแข็ง จุดอ่อนอะไร ทุกอย่างต้องวางแผนล่วงหน้า สำหรับสายกฎหมาย การทำงานเป็นอีกสิ่งที่ทำให้โตขึ้นและเข้าใจ  

ตอนสัมภาษณ์ คุณต้นเล่าว่า เจอคำถามที่ไม่ใช่คำถามกฎหมายมากนัก เช่น เรื่องอาเซียน คำตอบจึงเป็นสหสาขาวิชา เด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์อาจจะยังตอบคำถามได้ไม่ค่อยดี 

Cambridge University
คุณต้นมีความประทับใจในการไปเรียนที่ Cambridge University มาก เนื่องจากอากาศดี สภาพแวดล้อมเหมือนโรงเรียนประจำ มีแยกออกเป็นบ้านเหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีกิจกรรมในบ้าน ทั้งกีฬา ดนตรี บอร์ดเกม เป็นมหาวิทยาลัยแห่งการศึกษา ที่แท้จริง มีสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเรียนรู้ 

ในเรื่องการใช้ชีวิตคุณต้นไม่มีปัญหา ช่วงสองอาทิตย์แรก อาจจะมีเรื่องของความเกร็งในการใช้ภาษาอยู่บ้าง เพราะไม่ชินสำเนียงคนอังกฤษ ทำให้ฟังไม่ค่อยออก แต่เมื่อผ่านไปทุกอย่างก็ลงตัว ส่วนการเข้าหาอาจารย์ไม่มีปัญหา เพราะอาจารย์พูดช้าและมีความเข้าใจนักเรียนต่างชาติ

ข้อแตกต่างการศึกษาไทยและอังกฤษ
คุณต้นมองว่า ระบบการศึกษาไทยต้องรื้อใหม่ หัวใจของการไปเรียนอาจารย์ต้องเก่ง ในการเรียนเรื่องหนึ่งไม่ได้มีเพียงศาสตร์เดียว แต่มีปัญหาหลากหลายประเด็น ต้องนำมาประยุกต์กันเพื่อแก้ปัญหาให้ได้ แต่ของไทยยังเรียนศาสตร์เดียว นี่คือข้อแตกต่าง อีกสิ่งคือระบบการยอมรับฟังความเห็นต่าง และสุดท้ายคือเรื่องของฮาร์ดแวร์ที่ยังมีปัญหา เช่น จะให้เรียนออนไลน์แต่ไม่มี WiFi เพราะฉะนั้นต้องมีการรื้อทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

สุดท้ายนี้ คุณต้นฝากถึงคนที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศหรืออยากพัฒนาตนเองไว้ว่า ถ้ามีความฝัน เก็บความฝันไว้ในใจ อย่าเอาความฝันนั้นออกไปที่อื่น ถ้าคุณไม่ล้มเลิก ยังไงวันหนึ่งคุณก็สำเร็จในสิ่งที่คุณตั้งใจแน่นอน


.

.


 

Click on Clear THE TOPIC จับประเด็นเน้นความรู้ EP.1/3 ตอน ต้นทุนทางเพศของคนเรา ไม่เท่ากัน

ต้นทุนทางเพศของคนเรา ไม่เท่ากัน

พบกับ ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล

ดำเนินรายการโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Host & Content Creator THE STATES TIMES

.

.
 

คุณก้อย ดร. วรวสา ชัยวรกุล | THE STUDY TIMES STORY EP.10

บทสัมภาษณ์ คุณก้อย ดร. วรวสา ชัยวรกุล นักวิจัย Post-Doctoral Associate, University of Minnesota, สหรัฐอเมริกา กับเรื่องราว ชีวิตนักวิจัยที่สหรัฐอเมริกา ที่ให้อะไรมากกว่าการเรียน

คุณก้อยจบปริญญาตรีเกี่ยวกับ Biology ชีววิทยา จากมหาวิทยาลัยบูรพา หลังจากนั้นรู้สึกว่าตัวเองชอบในเรื่องของ Human Anatomy จึงสมัครสอบเรียนปริญญาโทที่คณะแพทยศาสตร์ ศิริราช จนได้เรียนสมใจ เมื่อเรียนค้นพบว่าตัวเองชอบในเรื่องระบบประสาทของตัวคน อยากจะรู้เพิ่มมากขึ้น จึงมาเรียนต่อปริญญาเอก ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้านชีวเวชศาสตร์ จากนั้นคุณก้อยได้ไปเป็นนักวิจัย Post-Doctoral Associate อยู่ที่สหรัฐอเมริกา 

จุดเริ่มต้น Post-Doctoral Associate, University of Minnesota, สหรัฐอเมริกา
เนื่องจากปี 2008 มีไข้หวัดนกระบาดเป็นครั้งแรก ซึ่งมีข่าวว่าคนสามารถติดเชื้อได้ และไข้หวัดนกตัวนี้สามารถติดเชื้อเข้าสู่เซลล์ประสาทสมองและทำให้คนตาย คุณก้อยได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการหาตัวรับของเซลล์ดังกล่าว มีการทำในส่วนของ Animal Science ต้องใช้ตัวไข่ฟัก เพื่อเป็นตัวโมเดลในการเพิ่มจำนวนของไวรัส การไปทำ Postdoc ที่ University of Minnesota ของคุณก้อย จึงอยู่ในส่วนของ Animal Science 

คุณก้อยเล่าว่า เหมือนกับเป็นโชค เพราะเป็นช่วงที่เรียนจบ และมีโอกาสเข้ามาพอดี สิ่งที่สำคัญก็คือ ทุกคนมีโอกาสเข้ามาทั้งนั้น แต่อยู่ที่ว่าเราพร้อมแค่ไหน เตรียมตัวพร้อมไหมที่จะรับโอกาสตรงนั้น ณ ตอนนั้นคือคุณก้อยพร้อม จึงมีโอกาสเข้าไปทำงานวิจัย

วิถีชีวิตของนักวิจัย
ชีวิตนักวิจัยของคุณก้อย คือ ต้องอยู่กับตำราและแล็บ เรียกได้ว่าเป็นความหลงใหล จากตอนเด็ก ๆ อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ เดินทางมาในสายวิทยาศาสตร์เรื่อย ๆ ยิ่งเรียนสูงขึ้น ลึกขึ้น ทำให้ต้องมีการอ่านงานวิจัยต่าง ๆ เพื่อหาหัวข้อมาทำงานวิจัย ยิ่งได้อ่านเปเปอร์ก็ยิ่งรู้สึกอเมซิ่ง อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง เจอจุดที่น่าสนใจ และชอบที่จะทำตรงนี้ 

Postdoc คือ
Postdoc เรียกได้สองชื่อ คือ Post-Doctoral Associate และ Postdoctoral Fellow โดย Postdoctoral Fellow เหมือนคนที่ได้ทุนและมาทำวิจัย เป็นทุนของ Professor ที่มีโปรเจคแล้วอยากได้คนมาทำวิจัย โดยต้องรับนักศึกษาที่จบปริญญาเอกแล้ว ในขณะที่ Postdoc มีความหมายว่า นักวิจัยหลังปริญญาเอก ซึ่งคนมักเข้าใจผิดว่าเป็นการเรียน แต่ความจริงคือเรียนจบแล้ว เรียกว่าเป็นการทำงาน เพราะได้เงินเดือนจากมหาวิทยาลัย แต่ Postdoc จะทำอยู่ได้แค่สามปี จากนั้นต้องเลื่อนเป็น Research Associate

ชีวิต Postdoc ที่ University of Minnesota, สหรัฐอเมริกา
เพราะเป็นคนปรับตัวได้ง่าย คุณก้อยจึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไร ก่อนหน้านี้มีความรู้สึกอยากไปทำงานที่ต่างประเทศอยู่แล้ว มี Passion ตั้งแต่ปริญญาตรี เพราะมีญาติอยู่ที่อเมริกา ซึมซับความรู้สึกเวลาที่ญาติกลับมาพร้อมของฝากจากต่างประเทศ รู้สึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีความคิดอยากไปทำงานที่อเมริกา เพื่อจะได้มีเงินมาเลี้ยงพ่อแม่ 

ช่วงเวลาสามเดือนขณะที่เรียนปริญญาเอก ก่อนไปทำ Postdoc มีโอกาสไปรัฐเพนซิลเวเนีย ไปเป็นคู่กับรุ่นพี่คนหนึ่งที่ต้องไปแลกเปลี่ยนที่แล็บ ครั้งนั้นเหมือนการเตรียมตัวก่อนไปทำจริง สำรวจตัวเองว่าสามารถอยู่ในแล็บต่างประเทศได้ไหม การใช้ชีวิตเป็นยังไง จนรู้สึกว่าตัวเองชอบมาก ๆ 

คุณก้อยไปอยู่อเมริกาทั้งสิ้น 4 ปี โดยเป็น Postdoc 3 ปีและเป็น Research Associate 1 ปี จากนั้นได้กลับมาเมืองไทย วิถีนักวิจัยในต่างประเทศสำหรับคุณก้อย เรียกได้ว่าเกินความคาดหวัง เพราะแตกต่างจากสังคมในเมืองไทย รู้สึกชอบสังคมที่นั่นมากกว่า เพราะให้อิสระทางความคิด ทางการพูด ให้กียรติกัน ไม่ว่าจะจากเพื่อนนักวิจัยด้วยกัน หรือตัว Professor เอง 

ความแตกต่างในการพัฒนางานวิจัยระหว่างไทยและต่างประเทศ
คุณก้อยมองว่าการพัฒนางานวิจัยขึ้นอยู่กับแล็บและอาจารย์ ในประเทศไทยเรามีอาจารย์เก่ง ๆ หลายท่าน การได้อยู่กับอาจารย์ที่เปิดกว้าง ทำงานวิจัยขึ้นห้าง ไม่ใช่การขึ้นหิ้ง กล่าวคือ งานวิจัยที่สามารถนำมาใช้ได้จริง เหมือนกับแนวทางการทำวิจัยที่ต่างประเทศ คือสิ่งที่ดีและมีประโยชน์มากกว่า

ทิ้งท้ายสำหรับคนที่อยากจะเป็นนักวิจัย
คุณก้อยกล่าวว่า Passion ของนักวิจัย ต้องมีความรู้สึกอยากค้นคว้า อยากหาความจริง อยากหาสิ่งใหม่ ๆ มีพื้นฐานรักการอ่าน เป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น ในสมัยก่อนนักเรียนจะโดนกดไว้ว่าห้ามตั้งคำถาม ห้ามอยากรู้อยากเห็น ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ทักษะที่ดีสำหรับการจะเป็นนักวิจัยในอนาคต แต่โชคดีที่คุณก้อยมีการสร้างทักษะตรงนี้ขึ้นมาตอนที่ไปเรียนต่างประเทศ

.

.

คุณแจ๊ค น.สพ. ดร. มนูศักดิ์ วงศ์พัชรชัย | THE STUDY TIMES STORY EP.14

บทสัมภาษณ์ คุณแจ๊ค น.สพ. ดร. มนูศักดิ์ วงศ์พัชรชัย ได้รับทุนส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มวิจัย กองทุนรัชดาภิเษกสมโภช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Post-doctoral researcher, BioTechnology Institute, University of Minnesota, สหรัฐอเมริกา 
เรื่องราวทุนการศึกษาเปลี่ยนชีวิต ต่อยอดความฝันทำงานวิจัยระดับโลก

ปัจจุบัน ดร. แจ๊ค เป็นนักวิจัยอยู่ที่บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี โดยจุดเริ่มต้น ดร. แจ๊คเรียนจบปริญญาตรี เกียรตินิยม จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้มีโอกาสเสนอขอทุนของมหาวิทยาลัย เรียนต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอกได้เลย ซึ่งในปีนั้นทางจุฬาฯ มีอายุครบ 90 ปี มีกองทุนใหม่ชื่อว่า กองทุนจุฬาดุษฎีพิพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งดร. แจ๊ค ถือเป็นรุ่นแรกของกองทุนนี้ เงื่อนไขของทุน คือ หากเรียนในคณะที่ประเทศขาดแคลน ต้องได้เกียรตินิยมเป็นอย่างน้อย จึงจะมีสิทธิ์สมัครเข้าไป หากอยู่ในคณะที่ประเทศไม่ขาดแคลน ต้องติด Top10 ของคณะ ซึ่งสายวิทยาศาสตร์ของดร. แจ๊ค ขณะนั้นรับอยู่ 8 คน 

ในการเรียนต่อปริญญาโทและเอก ดร. แจ๊คยังคงเรียนอยู่ในคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ โดยเป็นสัตวแพทย์สาธารณสุข ซึ่งในตอนนั้นเป็นช่วงที่ไข้หวัดนกระบาดหนักในประเทศไทย 

ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว ดร. แจ๊คเล่าว่า การเรียนสัตวแพทย์ ที่จุฬาฯ นักศึกษาชั้นปี 1-4 ทุกคน ที่มีอยู่ร้อยกว่าคนในรุ่น จะเรียนเหมือนกันหมด พอถึงปี 5 จะแยกครึ่งนึงไปฝึกงาน ซึ่งดร. แจ๊คได้ไปฝึกงานทั้งในโรงพยาบาลสัตว์ คลินิกสัตว์เลี้ยง ฟาร์ม เพื่อนำมาตัดสินใจว่าชอบทางไหน และเมื่อขึ้นปี 6 อาจารย์ก็จะให้เลือกสาย โดยดร. แจ๊คเลือกไปทางสายฟาร์ม ในช่วงปี 6 มีภาควิชาสัตวแพทย์สาธารณสุข ที่จะเรียนเกี่ยวกับ DNA เล็ก ๆ ต้องใช้จินตนาการสูง ดร. แจ๊คมีความสนใจทางด้านนี้ เป็นที่มาของการสมัครขอทุนเรียนต่อปริญญาโทและเอกในภาคนี้โดยเฉพาะ

จริง ๆ แล้วดร. แจ๊ค แทบไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ แต่เมื่อได้รับทุน ข้อบังคับของทุนข้อหนึ่ง คือจะต้องไปทำโปรเจคที่ต่างประเทศ ในที่ที่อาจารย์มี contact ซึ่งอาจารย์ของดร. แจ๊ค จบมาจาก Minnesota, สหรัฐอเมริกา จึงได้ให้ดร. แจ๊คลองสมัครไป ผลคือ Professor ที่นั่นสนใจ จึงได้ไปในฐานะนักเรียน ขณะนั้นดร. แจ๊ค เรียนปริญญาเอกที่เมืองไทยได้สองปีครึ่ง ก่อนจะดรอปเรียนและไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ Minnesota หนึ่งปี

เมื่อไปถึงอเมริกาครั้งแรก ดร. แจ๊คถึงกับงง ด้วยความที่ไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน จากนั้นได้แชร์บ้านพักกับนักเรียนจากหลากหลายประเทศจำนวน 12 คน สิ่งที่ทำเมื่อไปถึงคือนำโทรศัพท์มาค้นหาเซเว่นที่ใกล้ที่สุด แต่ใกล้ที่สุดคือห่างจากบ้านพัก 130 ไมล์ เมื่ออยู่ไปสักพักถึงได้รู้ว่าคนที่ Minnesota ค่อนข้างจะเป็นคนอนุรักษนิยม ซัพพอร์ตอะไรที่เป็น Local จึงต้องเรียนรู้ว่าร้านมินิมาร์ท Local ของที่นั่นมีชื่อว่าอะไร

เพราะมีโปรเจคที่ต้องทำให้จบ ในจำนวนเงินและระยะเวลาที่จำกัด ดร. แจ๊คจึงต้องวางแผนคุยกับ Professor ให้แน่นอนว่าอยากทำอะไร และด้วยความที่ยุ่งมากทำให้ไม่มีเวลาไปโฟกัสอย่างอื่น ลืมเรื่อง Homesick ไปเลย นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคในเรื่องของภาษา เพราะถูกสอนมาแต่ในเรื่องแกรมม่า ท่องคำศัพท์ ทำให้ไม่สามารถสื่อสารบทสนทนาที่จะทำให้ต่างชาติเข้าใจได้ ทำให้มีปัญหาในช่วงแรก ใช้เวลาปรับตัวด้านนี้อยู่เป็นปี โชคดีที่ได้รู้จักกับครอบครัวคนอเมริกันที่คอยชวนไปเที่ยวที่ฟาร์ม ทำความรู้จักกับครอบครัว จึงได้ฝึกภาษามากขึ้น และตัวดร. แจ๊คเองก็พยายามผลักดันตัวเอง ฝึกฝนออกเสียงเรื่อยมา

เมื่อทำงานไปได้สักพัก ทาง Professor และพี่เลี้ยงหรือ Senior Scientists สองคน ที่เป็นชาวญี่ปุ่นและชาวจีน เห็นความขยันของดร. แจ๊ค เมื่อเห็นว่ามีตำแหน่ง Postdoc เปิด จึงให้ลองเข้าไปคุยกับ Professor ที่เปิดรับตำแหน่งนี้ ซึ่ง Professor คนนี้มารู้ทีหลังว่าเป็นผู้อำนวยการของสถาบันวิจัยทาง BioTech ของที่นั่น หลังจากสัมภาษณ์ผ่านก็ได้ทำงานต่อ และอยู่ที่อเมริการวมทั้งสิ้น 4 ปี

อุปสรรคอีกอย่างที่พบตอนไปอเมริกา คือ Professor ของดร. แจ๊คเป็นคนอินเดีย ที่รู้กันดีว่าคนอินเดียส่วนใหญ่จะทำงานโหด เข้มงวดมาก โดนจี้งานเยอะ บางครั้งทำให้ท้อได้เหมือนกัน ดร. แจ๊ค เล่าว่า ต้องทำงานตื่น 7 โมงเช้า เลิกตี 1 ตี 2 ทุกวัน ทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุด เป็นแบบนี้อยู่ 1 ปี แต่การถูกเค้นศักยภาพออกมา ผลคือทำให้ได้ผลงานที่ค่อนข้างดี

วิธีที่ทำให้ผ่านช่วงเวลากดดันของดร. แจ๊ค คือ การนั่งสมาธิ เพราะการทำงานหนักไปเรื่อย ๆ รู้สึกเหมือนสมองยุ่งเหยิง ทุกคืนก่อนนอน ดร. แจ๊คจะใช้เวลา 5-10 นาทีในการทำสมาธิเพื่อจัดระบบเซลล์สมอง สองอย่างในชีวิตที่ดร. แจ๊คทำแล้วเห็นผล คือการทำสมาธิ และการเล่นกีฬา 

หากพูดถึงความแตกต่างในด้านองค์ความรู้ระหว่างไทยและต่างประเทศ ดร. แจ๊ค มองว่า ในแง่ของวิชาการ ไม่คิดว่าเมืองไทยด้อยกว่า ศักยภาพเด็กไทยเมื่อไปอยู่ตรงนั้นก็ไม่ด้อยกว่าคนอื่น จุดอ่อนอาจมีเพียงเรื่องของภาษาในช่วงแรก 

ทั้งยังบอกอีกว่า จริง ๆ การจบปริญญาเอกไม่ใช่คนพิเศษอะไร เพียงแต่ผ่านการฝึกกระบวนการผิดมาอย่างหนัก ส่วนการเป็น Postdoc เป็นโปรแกรมที่ทำให้แข็งแกร่งมาอีกขั้น มาถึงตอนนี้ Professor จะบอกเสมอว่า คุณไม่ใช่นักเรียนแล้ว คุณต้องจัดการชีวิตตัวเอง ต้องมั่นใจในสิ่งที่จะทำ ในสิ่งที่จะพูด และรับผิดชอบในคำพูด

สุดท้ายดร. แจ๊ค ฝากไว้ว่า เราจะทำอะไรให้สำเร็จ มันสำเร็จมาจาก Passion เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำอะไรแกมบังคับ จะมีเหตุผลมากมายที่บอกว่า หยุดมันเถอะ แต่ถ้าเราทำงานด้วย Passion แรงผลักดันที่จะทำให้สำเร็จ ยังไงมันก็สำเร็จ ไม่ต้องกลัว  พอเราไปเมืองนอกจริง ๆ เราก็จะไปเจอเพื่อนจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งเขาจะเป็นเหมือนเรา


.

.

คุณชัช สิรวิชญ์ ทีวะกุล | THE STUDY TIMES STORY EP.9

บทสัมภาษณ์ คุณชัช สิรวิชญ์ ทีวะกุล ปริญญาโท European Public Law Organization, กรีซ 
กำลังศึกษาปริญญาเอก Université Toulouse Capitale, ฝรั่งเศส ปรับจิตใจให้แข็งแกร่ง จากความกดดันในประเทศที่ล็อกดาวน์กับการเรียนที่หนักหน่วง

คุณชัช จบการศึกษาจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน นิติศาสตรบัณฑิต และนิติศาสตรมหาบัณฑิต (กฎหมายมหาชน) มธ., เนติบัณฑิตไทย I.I.LLM. (กฎหมายมหาชนยุโรป) ที่ EPLO กรีซ ปัจจุบันทำงานที่ศาลปกครองสูงสุด ตำแหน่งพนักงานคดีปกครองปฏิบัติการ อยู่ในระหว่างการลาศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่ Université Toulouse Capitale, ฝรั่งเศส ซึ่งขณะนี้คุณชัชอยู่ฝรั่งเศสเป็นระยะเวลา 7-8 เดือน ท่ามกลางสถานการณ์การล็อกดาวน์รอบที่ 3 

หลักสูตรที่คุณชัชกำลังศึกษาอยู่ เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนในระดับปริญญาเอก คือ หลักสูตรที่เรียกว่า DUEF เป็นหลักสูตรการศึกษาภาษาฝรั่งเศส ที่ได้ประกาศนียบัตรเทียบเท่าปริญญาตรี  เพราะในการวัดระดับภาษาจะมีการแบ่งความเชี่ยวชาญเป็นระดับ การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยชั้นสูง ปริญญาโท-เอก ระดับภาษาฝรั่งเศสขั้นต่ำที่ต้องได้คือ ระดับ B2 

คุณชัชเล่าว่า เป้าหมายหลักของนักเรียนที่เรียนภาษาที่ 3 คือทำยังไงก็ได้ให้สอบผ่านระดับ B2 อย่างของฝรั่งเศสจะเป็นการสอบ DELF-DALF  แล้วแต่ว่าจะใช้แบบไหน หลักสูตร DUEF ที่คุณชัชเรียนอยู่เป็นประกาศนียบัตรที่สามารถใช้เทียบเท่าได้เหมือนกับการสอบ Delf แต่มีรายละเอียดที่ยากกว่า เนื่องจาก การสอบ Delf คือสอบฟัง พูด อ่าน เขียน แต่การสอบ DUEF สอบฟัง พูด อ่าน เขียนเหมือนกัน แต่โครงสร้างหลักสูตรจะมีรูปแบบคือ เรียน 8 ชั่วโมงต่อวัน แบ่งครึ่งเช้า ครึ่งบ่าย ครึ่งเช้าจะเป็นคอร์สภาษา แกรมม่า ฟัง พูด อ่าน เขียน โต้ตอบกับอาจารย์เจ้าของภาษา 

ส่วนวิชาภาคบ่าย เป็นวิชาเลือก 4 วิชา บังคับเลือก 1 คือ วิชาเสริมเพิ่มพูนคำศัพท์ ส่วนอีก 3 วิชาจะเลือกอะไรก็ได้ เช่น วิชาวรรณกรรมฝรั่งเศสเบื้องต้น วิชาเศรษฐศาสตร์ วิชาการเมืองการปกครอง วิชาวัฒนธรรม โดยเรียนเป็นภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด 

ความยากก็คือหลักสูตรนี้ถูกคิดมาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเด็กที่จบชั้นมัธยมและกำลังจะไปรียนต่อในระดับปริญญาตรีของฝรั่งเศส มีการเรียนรวมกับผู้คนที่หลากหลาย ทั้งเด็กที่จบปริญญาตรีจากประเทศอื่นแล้วจะมาเข้าเรียนโทที่ฝรั่งเศส หรือมาเรียนต่อปริญญาเอก หรือผู้ที่ใช้ชีวิตมีครอบครัวอยู่ที่นี่ การมาเรียนที่นี่ได้ประโยชน์คือทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียนที่เข้มข้น เรียนรู้วิธีคิด รวมถึงวิชาพื้นฐานของประเทศฝรั่งเศสด้วย ข้อเสียเดียวคือเรียนหนัก    

การเรียนในประเทศฝรั่งเศสนั้น คุณชัชเล่าว่า มีความเป็นแบบแผน การที่จะเขียนงาน นำเสนองาน จะมีการวางแพลนเป็นรากฐานการแสดงความคิดเห็นทุกอย่าง มีการวางโครงสร้างว่าจะพูดเรื่องอะไร ปัญหาที่จะพูดคือเรื่องอะไร ข้อโต้แย้ง การให้เหตุผลสนับสนุน โดยสิ่งนี้จะแทรกซึมอยู่ในทุกเรื่องของการเรียนระดับสูงที่ฝรั่งเศส ตั้งแต่การพูดและการเขียนตอบข้อสอบ เพราะเป็นเรื่องที่เด็กฝรั่งเศสได้ฝึกมาตั้งแต่ระดับประถมและมัธยม

การเรียนปริญญาโทที่กรีซ 
คุณชัชได้ไปเรียนปริญญาโทที่ European Public Law Organization ประเทศกรีซ ในหลักสูตร Academy of European Public Law เน้นศึกษาเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายมหาชนยุโรป ลักษณะการเรียนเป็นความรู้ที่บูรณาการสองเรื่อง หัวใจหลักคือ ศึกษาพลวัตของกฎหมายในยุโรปว่าแนวคิดของแต่ละประเทศส่งผ่านไปอีกประเทศนึงได้อย่างไร และแนวคิดของกฎหมายกลางที่เป็น Community Law อย่างสหภาพยุโรป ส่งผลยังไงต่อกฎหมายปกครอง กฎหมายมหาชนภายในประเทศต่าง ๆ โดยเนื้อหาเป็นเรื่องที่คุณชัชสนใจอยากจะศึกษาต่ออยู่แล้ว 

ลักษณะการไปที่กรีซเหมือนกับการไปเอาความรู้เพิ่มกับอาจารย์และไปพรีเซนต์ เพราะ 1 เดือนก่อนจะบินได้ให้เตรียมตัวอ่านทุกอย่างที่มอบหมายมา ไปถึงวันแรกก็ทำการดีเบตเลย

การบริหารจัดการเวลา
การจัดการเวลาสำหรับคุณชัชมีความยากสองอย่าง คือ เรื่องการเตรียมตัวและบินไปเรียน ในปีแรกลักษณะการเตรียมตัวจะแตกต่างกัน รู้อยู่แล้วว่ามีช่วงเวลาที่ต้องลาไปศึกษาต่อ ได้มีการทำเรื่องลาหน่วยงานเจ้าของสังกัด ซึ่งคุณชัชได้รับความกรุณาจากสำนักงานศาลปกครองเป็นอย่างดี ช่วงก่อนการเตรียมตัวหนึ่งเดือน เตรียมสอบ เตรียมเขียนงาน การแบ่งเวลาไม่สามารถเอาเวลาราชการมาทำเรื่องพวกนี้ได้เลย เพราะเป็นเวลางาน จึงต้องรู้เทคนิคตัวเองว่าใช้เวลาเขียนงานนานไหม เตรียมตัวนานหรือไม่ บริหารจัดการเวลาให้ดี รู้จักตัวเองก่อน ว่าเรามีข้อจำกัดอะไร อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ จะช่วยให้เราคิดกลยุทธ์ในการรับมือได้ดีขึ้น แต่ในปีที่สองมีความลำบากเพราะต้องเรียนผ่าน Zoom เวลา Time Zone ไม่เหมือนกัน ทำให้ต้องเรียนช่วงดึกและตื่นไปทำงานเช้า 

แรงผลักดันที่ทำให้ใฝ่รู้
คุณชัชเล่าว่า ความรู้ที่ได้จากการทำงาน เป็นความรู้ที่ไม่เหมือนกับการเรียน แต่ทั้งสองอย่างสอดคล้องกัน หมายความว่า เวลาทำงานไปสักพักเราจะรู้ว่ามีเรื่องที่เราอยากจะรู้มากขึ้น ในขณะที่การเรียนไปเรื่อย ๆ เราจะเริ่มรู้สึกว่า เรื่องที่เราเรียนจะนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงอย่างไร การบาลานซ์สองอย่างคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต 

Professor ท่านหนึ่งกล่าวว่า นักกฎหมายในศตวรรษใหม่ที่ต้องการ ควรเป็นรูปแบบ T-Shape หมายถึง มีความรู้กว้าง และรู้ลึกในด้านใดด้านหนึ่ง 

ความแตกต่างในการเรียนต่างประเทศเทียบกับในไทย
ในเรื่องของระบบการศึกษานั้น คุณชัชเล่าว่า หากเราเริ่มจากศูนย์โดยที่ไม่รู้อะไรเลย การได้รับข้อมูลหรือการได้รับการปูพื้นฐานที่ถูกต้องก็มีความจำเป็น เพราะฉะนั้น Lecture-based ยังมีความจำเป็นอยู่ในทุกประเทศ เพียงแต่สิ่งที่ต่างคือการผสมกันระหว่างหลักสูตรที่เป็น Lecture-based  กับการแลกเปลี่ยน ตั้งคำถามระหว่างอาจารย์ ถ้าเราไม่มีความรู้พื้นฐานมาก่อนก็ไม่สามารถไปดีเบตอะไรกับอาจารย์ได้ ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้จากหลากหลายวิธี มีข้อมูลชุดใหม่ ๆ Lecture-based อาจต้องปรับตัวมากขึ้น การเพิ่มความมีส่วนร่วมระหว่างนักศึกษากับอาจารย์เป็นสิ่งสำคัญ และการให้ความสนใจกับนักศึกษาเป็นรายบุคคลว่าเขามีความสนใจเรื่องอะไรก็สำคัญเช่นกัน

ประเทศกรีซ    
คุณชัชเล่าว่า เมืองเอเธนส์, กรีซ เป็นประเทศที่เหมาะกับการไปเรียนและสัมมนา เป็นสถานที่ที่คุณชัชชอบ อาหารอร่อย แดดแรงทุกวัน คนอาจจะรู้สึกว่ากรีซเป็นประเทศที่ไม้ใช้ภาษาอังกฤษ แต่ความจริงแล้วกรีซเป็นประเทศท่องเที่ยว ผู้คนพูดภาษาอังกฤษได้ คุณชัชไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิตที่กรีซแม้แต่นิดเดียว

การใช้ชีวิตที่ฝรั่งเศส ณ ปัจจุบัน
เพราะการไปเรียนต่างประเทศต้องเคยมีประสบการณ์ที่จำไม่ลืม คุณชัชเล่าว่า โควิดทำให้ทุกอย่างยากขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ก่อนมา เรื่องของความแพนิคในใจ แต่เมื่อมาถึง ความรอบคอบจะช่วยให้คุณมีชีวิตประจำวันที่ง่ายขึ้น ดีขึ้น นอกจากนี้คือการบริหารจัดการ

การเรียนปริญญาเอกต้องใช้เวลากว่า 3 ปีครึ่ง – 4 ปี หรือยาวนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ต้องบริหารจัดการตัวเองให้ดี เป้าหมายของคุณชัช ณ วันนี้คือ อยากทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวข้องกับทฤษฎีสัญญาทางปกครอง หลังเรียนจบปริญญาเอกจะนำความรู้ที่ได้พร้อมความรู้จากการทำวิจัยกลับมาใช้กับงานแน่นอน

สุดท้ายสิ่งที่คุณชัชอยากแนะนำน้อง ๆ ที่สนใจศึกษาต่อต่างประเทศ คือ อย่ากลัว ศักยภาพของทุกคนมีอยู่แล้ว ทุกคนสามารถเปล่งประกายในทางที่ตัวเองชอบได้ เพราะฉะนั้น อย่ากลัวที่จะเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ออกไปนอกพรมแดนเพื่อสำรวจสิ่งที่ไม่ใช่ชีวิตประจำวัน เพราะการไปเรียนเมืองนอกคือการออกจาก Comfort Zone มีการทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ตัวเองไม่เคยทำเยอะมาก และบางทีเกิดความกลัวว่าเราจะทำได้ไหม เราจะล้มเหลวหรือเปล่า ความผิดหวัง ความผิดพลาด เป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่ทำให้เราแตกต่าง คือ การลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนอื่นด้วย 

เพราะฉะนั้น คนที่คิดว่าอยากไปเรียนต่อเพื่อหาโอกาสที่ดี สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ถามตัวเองว่า พร้อมไหมที่จะออกมาจาก Comfort Zone เพราะการทำอะไรก็ตาม ต้องใช้ความพยายามและความพากเพียร อย่ากลัวที่จะไปถึงตรงนั้น ข้างนอกมีตัวช่วย และโอกาสมากมายที่จะหยิบยื่นมาให้ 

 


.

.

.

คุณแกว่น กวิล นาวานุเคราะห์ | THE STUDY TIMES STORY EP.13

บทสัมภาษณ์ คุณแกว่น กวิล นาวานุเคราะห์ ปริญญาโทด้านสื่อสารทางการเมือง University of Missouri, St.Louis (UMSL), สหรัฐอเมริกา 
วิชาการสื่อสารทางการเมืองที่เข้มข้น เพิ่มศักยภาพการสื่อสารผู้นำรุ่นใหม่

คุณแกว่นเรียนจบปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ สาขาการปกครอง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุดเริ่มต้นในการเรียนรัฐศาสตร์คือความสนใจเรื่องมหภาค ตอนเด็กเป็นคนไม่ชอบคณิตศาสตร์ คิดว่าชอบด้านภาษามากกว่าคำนวณ พยายามหาข้อมูลว่าอะไรที่ทำให้เราเข้าใจคนหมู่มาก และเข้ากับตัวเองมากที่สุด จนได้มารู้จักด้านรัฐศาสตร์ ที่เป็นความเข้าใจหลักคิด กระบวนการระหว่างคนกับคน คนกับรัฐ รัฐกับรัฐ ศาสตร์พวกนี้จำเป็นต้องมีอาจารย์สอน และส่วนตัวชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ไม่ชอบดูละครหรือการ์ตูนมากนัก เลยคิดว่ารัฐศาสตร์น่าจะเหมาะ

ช่วงฝึกงานในชั้นปี 4 คุณแกว่นได้ไปฝึกที่เนชั่นทีวี เริ่มเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในขาของสื่อสารมวลชน เลยรู้สึกว่าเปิดโลก รายการที่ไปฝึกงานคือรายการทีวีที่ชื่อว่า สภากาแฟ ซึ่งนำคนที่อยู่ใน Topic ต่าง ๆ ที่กำลังเป็นที่สนใจในสังคมมานั่งล้อมวงร่วมพูดคุยกัน ทำให้รู้สึกว่าได้ประโยชน์ต่อผู้ชม และเป็นสาขาที่สนใจด้วยเหมือนกัน เมื่อเรียนจบก็ทำการหาข้อมูลว่ามีสาขาวิชาใดบ้างที่สามารถต่อยอดความสนใจทั้งสองอย่างให้อยู่ด้วยกัน ทำให้ไปเจอว่ามีสาขาที่เรียกว่า สื่อสารการเมือง จึงมองหาโอกาสในการเรียนต่อ เพื่อตอบสนองความสนใจและความอยากรู้ของตัวเอง 

กระทั่งไปเจอ Professor ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้คุณแกว่นตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโท ด้านสื่อสารทางการเมือง ที่ University of Missouri, St.Louis (UMSL) สหรัฐอเมริกา เพราะมีความสนใจและอยากเรียนกับ Professor ท่านนี้ที่สอนอยู่ และรู้สึกว่าตัวเองเข้ากับวัฒนธรรมอเมริกันได้มากกว่า เพราะเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่รัฐโคโลราโดมาก่อน ปักใจว่าเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ ผู้คนหลากหลาย และอเมริกาเปิดโอกาสในการทำงานอย่างอื่นขณะที่เรียนได้ และด้วยระยะเวลาหลักสูตร 2 ปี น่าจะทำให้มีโอกาสในการเห็นโลกและใช้ชีวิตได้มาก

ความคาดหวังเรื่องการเรียนในตอนนั้นคือ ไปเอาวิชาจากผู้ที่เป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลก สุดท้ายก็ได้ตามที่คาดหวัง เพราะได้เรียนกับเขา ได้เห็นมุมมอง ได้ช่วยทำงาน ใช้ชีวิตด้วยกันช่วงหนึ่ง ส่วนเรื่องชีวิตไม่ได้คาดหวังความสนุกสนาน เพียงแต่คาดหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตแบบที่ไม่เคยใช้ในเมืองไทยมาก่อน ซึ่งพออยู่ที่อเมริกา สิ่งเย้ายวนมีมาก หากมีวินัยมากพอ ก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ คุณแกว่นได้ฝึกตัวเองในเรื่องของการดูแลตัวเอง ความรับผิดชอบที่มากขึ้น คาดหวังว่าจะโตขึ้น ซึ่งคุณแกว่นคิดว่าได้ตามที่คาดหวังไว้

คุณแกว่นอธิบายว่า Political Communication หรือ สื่อสารการเมือง หลักๆ เรียนเรื่องของทฤษฎีการเมืองก่อน ต้องเข้าใจว่าทฤษฎีการเมืองแต่ละอย่างที่มีเป็นอย่างไร ต่อมาคือทฤษฎีการสื่อสาร การสื่อสารเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่สำคัญคือการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพทำอย่างไร นำมาประยุกต์กับทฤษฎีการเมืองที่เรียน
เพราะมีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมท่ามกลางคนเก่ง ๆ สิ่งที่คุณแกว่นได้มาคือ สกิล  “Learn-Unlearn-Relearn”  โดย Unlearn ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นกว่า Learn เพราะคือการสลายตัวตน ทิ้งอัตตา ทิ้งสิ่งที่เคยเรียน เคยรับรู้ เพื่อจะRelearn คือการเรียนรู้ รับรู้ข้อมูลใหม่ ๆ นำมาใช้ สุดท้ายแล้วแนวคิดนี้สัมพันธ์และสามารถนำมาใช้ได้กับทุกเรื่อง

สำหรับการสื่อสารในประเทศไทยนั้น คุณแกว่นอธิบายว่า การสื่อสารประกอบด้วย 3 สิ่ง คือ ผู้ส่งสาร สาร ผู้รับสาร มองแยกไปทีละส่วน ผู้ส่งสารได้ทำการส่งสารอย่างถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะ มีการคิดคำนวณที่ดีก่อนที่จะส่งไปหรือไม่ ต่อมาคือ สาร เป็นพิษเป็นภัยต่อคนอื่นหรือไม่ ชัดเจนตรงประเด็น มีคุณภาพหรือไม่ และผู้รับสาร มีความสามารถในการพิจารณา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ สารที่ได้รับ ก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ หรือทำอะไรกับสารนั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงกันทั่วโลก 

ในด้านการสื่อสารของประเทศไทย ตอนนี้มีการกระจายตัวค่อนข้างเยอะ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ผู้ส่งสาร สาร ผู้รับสาร ค่อนข้างจะเป็น Mass Media (ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์) ซึ่งสามารถควบคุม ตรวจสอบได้ง่าย แต่ในปัจจุบันเริ่มกระจายเป็นโซเชียลมีเดีย หลายแพลตฟอร์ม หลายช่องทาง ในส่วนตัวคุณแกว่นมองว่าค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะเมื่อมีการกระจายไปในหลายแพลตฟอร์ม บางครั้งสารไม่ได้รับการผลิตออกมาอย่างดี 

คุณแกว่นกล่าวว่า คนเราจะสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจของสารต่าง ๆ ที่ได้รับมาก่อน เท่าที่คุณแกว่นเห็นมา ส่วนมากเด็กไทยเก่งเรื่องการจำ แต่สิ่งที่เด็กไทยยุคนี้ยังทำได้ไม่ดี คือ การสังเคราะห์ ซึ่งการสังเคราะห์ คือ การนำสิ่งที่เราแยกแยะมาประกอบร่างและสร้างเป็นสิ่งใหม่ 

สิ่งสำคัญที่คุณแกว่นอยากให้เกิดขึ้นในเมืองไทย คือ การพัฒนาความรู้ ความคิดต่อยอด สามารถสังเคราะห์ข้อมูลความรู้ที่เรามี เกิดขึ้นมาเป็นสิ่งใหม่ได้ 

ย้อนกลับไปช่วงที่ไปเรียนอเมริกา คุณแกว่นเล่าว่าได้ทำงานเยอะมาก เพราะคุณพ่อออกให้แค่ค่าเทอม ฉะนั้นต้องช่วยเหลือตัวเองในเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัว จึงทำตั้งแต่งานในมหาวิทยาลัย ทั้งเป็นคนเรียงหนังสือในห้องสมุด, proctor, ผู้ช่วยสอน และทำงานที่ร้านอาหารในเมือง

ปัจจุบันหลังจากกลับมาจากต่างประเทศ คุณแกว่นยังคงทำงานที่หลากหลาย เป็น Co-Founder 3 บริษัท หนึ่งคือบริษัททำด้านของพรีเมี่ยมให้แบรนด์ฟอร์ด บริษัทที่สองคือเป็นที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ บริษัทที่สามทำเกี่ยวกับ Marketing Agency นอกจากนี้ส่วนตัวคุณแกว่นยังเป็นที่ปรึกษาทางด้านการตลาดและพัฒนาธุรกิจให้อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์

สุดท้ายคุณแกว่นฝากถึงคนรุ่นใหม่ ในการรับสารและสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ไว้ว่า ตอนนี้มีข้อมูลข่าวสารหลั่งไหลเยอะ เพราะฉะนั้นสกิลสำคัญที่จะทำให้ชีวิตดำเนินไปได้ด้วยดี คือรู้จักการแยกแยะ และเลือกที่จะรับข้อมูล อีกอย่างที่จำเป็นมากคือสกิลในการไตร่ตรองพิจารณาข้อมูลที่เข้ามาก่อน ว่าข้อมูลที่เราได้รับมาจริงหรือไม่ก่อนที่เราจะตัดสินใจเชื่อ เพราะข้อมูลในทุกวันนี้มีเยอะ และไม่ได้รับการกรองที่ดีก่อนมาถึงเรา จึงต้องมีทักษะในการพิจารณา หาข้อมูล และตัดสินเมื่อมั่นใจแล้วว่าข้อมูลนั้นจริง

.

.

คุณตั๋น ธนันพัชญ์ รัตนโชติจิรสิน | THE STUDY TIMES STORY EP.12

บทสัมภาษณ์ คุณตั๋น ธนันพัชญ์ รัตนโชติจิรสิน ผู้จัดการด้าน Customer Services บริษัทไอที, ออสเตรเลีย

ปริญญาโทการตลาด Macquarie University, ซิดนีย์, ออสเตรเลีย

กล้าที่จะก้าวออกจาก Comfort Zone เข้าทำงานบริษัทไอทีประเทศออสเตรเลียมากกว่า 10 ปี

ปัจจุบันคุณตั๋นกลับมาทำงานที่เมืองไทยในบริษัทเดิม สายงานเดิมกับที่ทำในประเทศออสเตรเลีย คือ Operations Customer Service เป็นบริษัทเกี่ยวกับไอที

คุณตั๋นเติบโตและเรียนในโรงเรียนไทยมาโดยตลอด กระทั่งจบปริญญาตรี ศิลปศาสตร์ เอกภาษาฝรั่งเศส ม.ธรรมศาสตร์ จึงเลือกไปเรียนต่อออสเตรเลีย ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าจะไปเรียนแค่ภาษา แต่พบว่าออสเตรเลียมีสาขาที่น่าสนใจในการเรียนต่อ ในด้านเกี่ยวกับธุรกิจ จึงเลือกเรียนต่อปริญญาโทใน Master of commerce in Business , Macquarie Uni, Sydney Australia เป็นระยะเวลา 2 ปี

คุณตั๋นเล่าว่า สิ่งที่ทำให้เบนเข็มเลือกเรียนต่อออสเตรเลีย จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริกานั้น เป็นเพราะสภาพสังคม เพื่อน และความเฟรนด์ลี่ของคนที่ออสเตรเลีย โชคดีที่เจอเพื่อนที่ดี พื้นฐานของคนออสเตรเลียเป็นคนใจดี รีแล็กซ์

การเป็นนักเรียน International Student ที่ออสเตรเลียนั้น คุณตั๋นเล่าว่า ต้องทำเกรดเฉลี่ยให้ได้ 3 ขึ้นไป จึงจะมีโอกาสได้ฝึกงาน โดยคนที่จะขอฝึกงานได้จะต้องมีสกิลด้านภาษาที่สามารถนำไปใช้งานในสายงานที่จะไปขอฝึกได้ เพราะเป็นการลงทำงานจริง ซึ่งการฝึกงานนี้เป็นการต่อยอดให้ไปเริ่มทำงานจริง

ในช่วงที่เรียนอยู่คุณตั๋นก็มีการทำงานเสริมควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะทำในเย็นวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เพราะวันจันทร์ถึงพฤหัสจะให้เวลากับเรื่องเรียนเป็นหลัก โดยงานที่เริ่มทำช่วงแรกคือ ร้านอาหารไทย ทำทั้งเสิร์ฟ งานในครัว ล้างจาน หุงข้าว เรียกว่าทำมาหมดแล้ว ซึ่งตอนนั้นยังพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง

หลังเรียนจบแล้วคุณตั๋นตัดสินใจทำงานอยู่ที่ออสเตรเลีย โดยคุณตั๋นเล่าว่า เป็นความโชคดีที่ในตอนนั้นมีวีซ่าสำหรับคนที่เรียนจบมา เพื่อยื่นขออยู่ทำงานต่อ 18 เดือน เมื่อได้วีซ่าดังกล่าว หลังฝึกงานจบแล้วคุณตั๋นมีความคิดว่าอยากได้ประสบการณ์ต่อ เริ่มชอบและมีความสุขกับการอยู่ออสเตรเลีย จึงทำงานต่อมา 18 เดือน กระทั่งสุดท้ายอยู่ที่ออสเตรเลียยาวนานถึง 17 ปี

เสน่ห์ของออสเตรเลียที่ทำให้คุณตั๋นติดใจมากจากหลาย ๆ องค์ประกอบรวมกัน ตั้งแต่สภาพภูมิประเทศ อากาศ ผู้คน วัฒนธรรม ความหลากหลายทางเชื้อชาติ ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน บนพื้นฐานการเคารพซึ่งกันและกัน อีกสิ่งหนึ่งคือเรื่องของงาน เพราะยังเอ็นจอยกับงานที่ทำและได้พัฒนาสกิล ได้ลองอะไรใหม่ ๆ

การทำงานตำแหน่งแรกหลังฝึกงานจบ คุณตั๋นทำในบริษัทไอที เกี่ยวข้องกับที่ทำในปัจจุบัน เพราะในตอนนั้นบริษัทกำลังหาคนที่เป็น Thai support สามารถพูดได้สองภาษา เพราะต้องดูแลลูกค้าไทย จึงไปสมัคร เมื่อทำงานได้ 7-8 เดือน บริษัทมาแจ้งว่าจะยุบศูนย์ที่ซิดนีย์ โดยจะย้ายศูนย์ไปอยู่ที่ประเทศจีน จากนั้นมาได้งานที่สอง ก็ยังอยู่ในสายงานเดิม เป็นบริษัทที่เคยซัพพอร์ตสมัยอยู่บริษัทที่หนึ่ง ซึ่งยังอยู่ในวีซ่า 18 เดือน ทำมาอย่างเต็มที่ได้หนึ่งปีตัดสินใจเดินไปบอกหัวหน้าว่า อีกไม่กี่เดือนวีซ่าจะหมด แต่อยากอยู่ต่อ แฮปปี้กับออสเตรเลีย มีวิธีไหนที่บริษัทจะช่วยสนับสนุน บริษัทจึงได้ทำ Work Permit ให้

หลังจากกลับมาทำงานที่ไทยแล้ว คุณตั๋นเปรียบเทีบความแตกต่างของการทำงานไว้ว่า มีความต่างในเรื่องของการการจัดการเวลา ที่ออสเตรเลียจะพูดเสมอว่าต้องมี work-life balance คนที่นั่นจะมาก่อนเวลา และเมื่อถึงเวลาก็จะเริ่มทำงานทันที ทุกคนรู้หน้าที่ตัวเอง การตรงต่อเวลาเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการทำงานกับต่างชาติ อีกเรื่องที่สำคัญมากคือเรื่องเวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ถ้าไม่จำเป็นห้ามโทรหา เพราะจะถือว่าไม่เคารพ และมีการแยกส่วนแพลตฟอร์มการติดต่อเรื่องงานและส่วนตัวไว้ชัดเจน

ในสังคมออสเตรเลียต่อ LGBT คุณตั๋นเล่าว่า ที่รู้สึกคือสังคมที่นั่นไม่ได้มองคนที่เพศสภาพ แต่มองว่าบุคคลคนนั้นคือบุคคลคนนั้น มีความสามารถด้านไหน มีปฏิสัมพันธ์กันในฐานะอะไร อีกทั้งออสเตรเลียเป็นประเทศที่ผู้หญิงผู้ชายชายค่อนข้างเท่าเทียมกัน

วัฒนธรรมการทำงานร่วมกับคนต่างชาติ สิ่งที่ไม่ควรทำ คุณตั๋นแนะนำว่า เป็นเรื่องของ equality ในที่ทำงาน เราจะไม่พูดถึงเรื่องเพศ อายุ สถานะ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างมากในการทำงาน

สุดท้ายคุณตั๋นฝากเป็นกำลังใจสำหรับคนที่อยากไปเรียนต่อหรือไปทำงานต่อที่ต่างประเทศ ไว้ว่า หนึ่งในสิ่งที่คุณตั๋นสังเกตและเห็นจากเพื่อนรอบตัว คือ เพื่อน ๆ คนไทยชอบดูถูกตัวเอง ชอบคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถ ไม่เก่งภาษาอังกฤษ เลิกดูถูกตัวเอง มองก่อนว่าตัวเองมีความสามารถอะไร เราทำอะไรได้ดี กล้าที่จะลองผิดลองถูก ส่วนใหญ่คนไทยชอบอยู่ใน Comfort Zone ของตัวเอง ทำงานในที่ที่คิดว่าตัวเองถนัดและปลอดภัย ไม่ได้พัฒนาตัวเอง ทั้งหมดมาจากความกลัว อยากจะบอกทุกคนว่า ออกจาก Comfort Zone บางทีการเครียดบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่มันทำให้เราพัฒนาตัวเอง

.

.

คุณตาล วัณย์ทิศากร พิณแพทย์ | THE STUDY TIMES STORY EP.8

บทสัมภาษณ์ คุณตาล วัณย์ทิศากร พิณแพทย์ ตำแหน่ง Client form publishing generalist, Privat bank Julius baer, เมืองซูริค, สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อชีวิตในฝัน ตัดสินใจลัดฟ้าใช้ชีวิตหลังแต่งงานที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มากกว่า 20 ปี

คุณตาล เป็นสาวชาวไทย ที่ตัดสินใจบินลัดฟ้าไปใช้ชีวิตหลังแต่งงานอยู่ที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ณ ปัจจุบันทำงานในตำแหน่ง Client form publishing generalist, Privat bank Julius baer

คุณตาลเล่าว่าชีวิตที่สวิส เป็นอะไรที่ง่าย เพราะทุกอย่างตรงเวลา ใช้การโดยสารรถไฟเป็นหลักในการเดินทางไปทำงานในเมืองซูริค

ย้อนกลับไป 20 ปีที่แล้ว
คุณตาลรู้จักกับแฟนตอนอายุ 20 ปี ขณะเรียนอยู่ระดับปวส. ช่วงใกล้จบได้ทบทวนตัวเองแล้วว่าวุฒิปวส. ที่ไทยไม่สามารถนำมาทำอะไรได้ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่ออายุได้ 21 ปี จึงตัดสินใจแต่งงานมาใช้ชีวิตอยู่ที่สวิส ซึ่งเหตุการณ์นี้เองทำให้คุณพ่อของคุณตาลโกรธ จนไม่พูดด้วย แต่มีคุณแม่ที่เข้าใจ และคอยซัพพอร์ต

คุณตาลเล่าว่า เริ่มต้นชีวิตที่สวิส เหมือนการนับจาก -1 เหมือนโดนจับโยนลงใส่น้ำเย็น ต้องจัดการชีวิตตัวเอง ด้วยตัวเองทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องของภาษา จาก เอ บี ซี ของภาษาอังกฤษ ต้องมาเริ่ม อา เบ เซ ในภาษาเยอรมัน คุณตาลเรียนภาษาอยู่ประมาณ 4 เดือน ที่ที่คุณตาลอยู่ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการ ส่วนภาษาทั่ว ๆ ไปที่ใช้ คือภาษาสวิส ที่นี่ไม่มีภาษาเขียนมีแต่ภาษาพูด ในระหว่างนั้นต้องคิดเป็นภาษาไทย พูดอังกฤษ ฟังสวิส เขียนเยอรมัน พางงไปหมด

ในแง่ของการฝึกภาษา คุณตาลเล่าว่า ตนเรียนรู้จากวิถีชีวิตของทุกคน มีเพื่อนส่วนใหญ่เป็นคนสวิส หากอยากจะเข้าถึงภาษาของเจ้าของภาษาจริง ๆ ต้องคุยกับคนสวิสให้เยอะ คุณตาลมีความเชื่อว่าภาษาต่างประเทศนั้นไม่ใช่ภาษาของเรา การพูดผิดถือว่าไม่แปลก ถ้าเราไม่พูดเราก็จะไม่ผิด แต่เราก็จะไม่ได้เรียนรู้เลย เพราะฉะนั้นต้องกล้าพูด ฝึกฝนด้วยการคุยกับผู้คนเยอะ ๆ จะได้สำเนียงด้วย 

งานแรกที่คุณตาลไปสมัคร คือ งานล้างจานในร้านอาหารของบริษัทไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในรัฐซูริค ทำในตำแหน่งล้างจานอยู่ 4 เดือน จนได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยแม่ครัว สลับกับแคชเชียร์ ทำอยู่ที่นี่ได้ประมาณ 15 เดือนก็ต้องลาออก เพราะยังรับกับวัฒนธรรมของที่นี่ไม่ค่อยได้ ยังอ่อนไหวกับสิ่งต่าง ๆ อยู่มาก

ความยากในการไปใช้ชีวิตอยู่ที่สวิสของคุณตาล คือความคิดถึงครอบครัว เพราะในสมัยก่อนไม่มีอินเทอร์เน็ต จะติดต่อกับแม่ได้ต้องไปซื้อบัตรโทรศัพท์ ร้องไห้บ่อยแต่กลับไม่เคยรู้สึกท้อ

วัฒนธรรม วิถีชีวิตคนสวิส
คุณตาลเล่าว่า บริบทของคนรอบตัวคุณตาล ไม่มีใครสนใจชุดความคิดที่ว่า เธออ้วนขึ้น ผอมลง ดำไหม ขาวไหม ถือกระเป๋ายี่ห้ออะไร ได้เงินเท่าไหร่ ที่ประเทศไทยอาจมีคนถามว่าทำไมผิวเธอดำจัง แต่ที่สวิสคนจะทักว่า ทำไมสีผิวเธอสวยจัง อยากได้สีผิวแบบนี้ คนสวิสที่คุณตาลรู้จัก ให้ค่ากับชีวิตของตัวเอง ใช้ชีวิตของตัวเองเป็นไปตามครรลอง ตื่นเช้ามาเคยทำอะไรก็ทำ ทำงาน ท่องเที่ยว เข้าฟาร์ม มีความสุขกับสิ่งที่ทำ 

การทำงาน
ที่สวิสจะคิดการทำงานเป็นเปอร์เซ็นต์ 100 เปอร์เซ็นต์ คือทำงานปกติ กินเงินเดือนเต็ม ทำงานอยู่ที่ 40-43 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือหากจะหางานที่สามารถทำแค่ 80 เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ คือทำ 4 วัน หยุด 3 วัน ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับที่คุณตาลกำลังทำอยู่ ตอนเริ่มทำแรก ๆ คุณตาลเริ่มทำเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ คือสองวันครึ่งต่อสัปดาห์ แต่ตอนนี้เพิ่มขึ้นมา ก็ได้เงินเยอะขึ้น โดยสวัสดิการจะขึ้นอยู่กับรูปแบบงาน ว่าเป็นพนักงานประจำ ชั่วคราว หรือรายชั่วโมง แต่การจ่ายเงิน pension จะจ่ายตามเปอร์เซ็นต์งาน หากเกษียณก็จะได้เงินแค่ส่วนนั้น

บ้านอายุ 151 ปี
ที่สวิสบ้านจะมีอายุเก่าแก่ทั้งนั้น เพราะมีการสร้างที่ดีมาก บ้านที่คุณตาลอยู่มีอายุ 151 ปี เป็นบ้านไม้ โดยส่วนใหญ่บ้านที่สวิสจะมีห้องใต้ดินทุกบ้าน ไว้สำหรับเก็บของ ส่วนหลังบ้านของคุณตาล จะมีส่วนต่อเติมเรียกว่าเป็นห้องหลังบ้าน เหมือนตู้เย็น หน้าหนาวทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้เลย 

ความพอใจกับชีวิต ณ วันนี้
คุณตาลเล่าว่าพึงพอใจกับชีวิต ณ วันนี้มาก อยู่ที่ในอนาคตเรามองเห็นตัวเองยังไง ในวันนั้นคุณตาลมองเห็นตัวเองยืนอยู่ตรงนี้ และนำพาตัวเองไป ไม่ได้รอว่า ฉันอยู่ตรงจุดนั้น แล้ววันนึงฉันจะได้ไปอยู่ เราอยากเป็นคนแบบไหน เราต้องพาตัวเองไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น ใกล้ ๆ กับคนแบบนั้น แล้วเราจะกลายเป็นคนแบบนั้นไปด้วย ทำดี คิดดี ไม่ว่าจะทำอะไรหากเรามีความมุ่งมั่นมากพอ เราทำได้หมด

ฟาร์มบนพื้นที่ 44 ไร่
ฟาร์มของสามีคุณตาลนั้นอยู่ห่างจากบ้าน 2 กิโล เป็นพื้นที่พิเศษที่ทางรัซซูริคขีดโซนแดงไว้ว่า ห้ามกระทำการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ฟาร์มมีต้นไม้ประมาณ 80 กว่าต้น บนเนื้อที่ 44 ไร่ มีแอปเปิ้ล ลูกแพร์ ลูกพลัม เชอรี่ ถั่ววอลนัท แบล็กเบอรี่ ราสเบอรี่ องุ่น มีแพะยี่สิบกว่าตัว มีผลผลิตที่เก็บทานได้ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีเวลาสบาย ๆ ถือว่าเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบและน่าอิจฉาไม่น้อย

.

.

.

คุณชาร์ต สืบศิษฏ์ ศานติศาสน์ | THE STUDY TIMES STORY EP.7

บทสัมภาษณ์ คุณชาร์ต สืบศิษฏ์ ศานติศาสน์ ประถมศึกษา Hughes School, ออสเตรเลีย ปริญญาโททุน JASSO รัฐบาลญี่ปุ่น The University of Tokyo, ญี่ปุ่น เสน่ห์วัฒนธรรมและระบบการศึกษาประเทศญี่ปุ่น จุดเริ่มต้นทำงานด้านการศึกษา

คุณชาร์ตเกิดที่เมืองไทย แต่เมื่ออายุได้เพียง 10 เดือน ต้องขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิต เดินทางไปอยู่ที่ออสเตรเลีย เนื่องจากตามคุณพ่อไปเรียนต่อปริญญาเอก จึงได้ไปใช้ชีวิตที่ออสเตรเลียตั้งแต่อายุประมาณ 1 ขวบ ถึง 6 ขวบ เข้าศึกษาโรงเรียน Hughes School ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษา รวม 6 ปี

เวลาอยู่ที่บ้านจะใช้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ คุณพ่อคุณแม่จะพูดสลับกัน แต่เพราะการเรียนหนังสือที่นั่นทำให้ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ทำให้ตอนที่กลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย ต้องมาเรียนภาษาไทยใหม่กว่าครึ่งปี ถึงจะต่อสายสามัญในไทยได้ตามปกติ 

สิ่งที่คุณชาร์ตประทับใจมากเกี่ยวกับระบบการศึกษาและครูของออสเตรเลีย คือ ในช่วงอนุบาลจะมีการสอนพวก Skills ที่เราสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ตั้งแต่เด็ก ๆ โดย Skill ที่คุณชาร์ตเรียนและมาต่อยอดได้จนถึงปัจจุบันคือ การเรียนทำอาหาร ที่ออสเตรเลียสอนเด็กเข้าครัวตั้งแต่อนุบาล สิ่งนี้ทำให้คุณชาร์ตคุ้นเคยกับการทำอาหาร จนกลายเป็นความชอบ

คุณชาร์ตมองว่า สิ่งสำคัญในสังคมคือ การมีทักษะ การที่คนเรามีทักษะ เสมือนเป็นสมบัติล้ำค่าที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต ยิ่งเรามีทักษะเยอะจะยิ่งทำให้เรามีรายได้เพิ่มมากขึ้น ทักษะจึงเป็นสิ่งที่ควรจะมี และคนเราสามารถเสริมทักษะได้ตลอดชีวิต 

วิถีชีวิตในออสเตรเลีย สิ่งที่คุณชาร์ตจำได้ฝังใจคือ ตัวเองเป็นเด็กเอเชียตัวเล็กที่โดนบูลลี่หนักมาก โดนเพื่อนแกล้งมาตลอด เข้าใจว่าเป็นสังคมของเด็ก ๆ ที่มีแกล้งมีทะเลาะกันบ้าง ถือเป็นประสบการณ์นึงของชีวิต แต่ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตในตอนนี้ 

สิ่งที่คุณชาร์ตสังเกตได้จากการโดนบูลลี่ คือ การบูลลี่ที่ออสเตรเลียแตกต่างจากในไทย โดยของออสเตรเลียเป็นการแกล้งแบบเด็กทั่ว ๆ ไป ส่วนของไทยจะชอบเอาจุดด้อยของคนอื่นมาล้อเลียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าตา พ่อแม่ ครอบครัว ซึ่งมองว่าสิ่งนี้มีผลต่อการใช้ชีวิตของเด็กในอนาคตค่อนข้างมาก 

คุณชาร์ตเล่าว่าการปรับตัวหลังกลับมาเรียนต่อในไทย ที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ตัวเองเข้ามาตอนป.2 เข้ามาสร้างสังคมใหม่ สิ่งที่ยากที่สุดคือภาษาไทย และวิชาทั่วไปที่เรียนในเมืองไทย เช่น วิชาภาษาไทย วิชาสังคมศึกษา

คุณชาร์ตมองว่าเรื่องภาษามีความยากง่ายแตกต่างกัน อยู่ที่การใช้ และความคุ้นเคยในภาษาของแต่ละสังคม เรื่องภาษาเป็นการเรียนรู้จากความเคยชินและการใช้งานโดยตรง 

ต่อมา เมื่อถึงชั้นป.4 คุณชาร์ตได้ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นครั้งแรก ประมาณครึ่งปี เพราะตามคุณพ่อที่เป็นอาจารย์ไปสอนที่เกียวโต อยู่ห้อง international class แต่คนต่างชาติยังไม่เยอะ เพราะอยู่ในเขตเล็ก ๆ ของเมืองเกียวโต
  
การไปญี่ปุ่นรอบแรกทำให้คุณชาร์ตประทับใจจนต่อยอดกลับไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท สิ่งที่ประทับใจคือนิสัยคนญี่ปุ่น ความเป็นระเบียบ การให้ความสำคัญกับทุก ๆ สิ่งที่ทำ ให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง และชอบระบบการศึกษาของญี่ปุ่น ที่นอกจาการเรียนในตำรา ยังเน้นในเรื่อง Skills และประสบการณ์นอกห้องเรียน เช่นในวิชาสังคม ที่นอกจากเรียนในตำรา ยังได้ออกไปศึกษาสังคมจริง ๆ ไปเดินสำรวจตลาด โรงเรียน ห้าง

หลังการไปญี่ปุ่นครั้งแรก คุณชาร์ตกลับมาเรียนต่อที่สาธิตจุฬาฯ จนจบม.6 ได้ไปสอบเข้าม.เกษตรศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ แต่ด้วยความที่ชอบการเรียนรู้หลาย ๆ อย่าง ไม่ชอบทำอะไรแค่อย่างเดียว ต้องหาอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น และได้ไปอ่านไอเดียการใช้ gap year ที่เป็นช่วงพักจากเรียน เพื่อออกไปหาประสบการณ์ จึงไปสอบชิงทุนไปเรียนแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยซากะ จังหวัดซากะ ค่อนข้างจะเป็นเมืองชนบทที่สุดของญี่ปุ่น 

คุณชารต์มีวัตถุประสงค์หลักคือการไปเรียนรู้วัฒนธรรม เรียนรู้การใช้ชีวิตของคนที่นั่น การไปอยู่ในชนบททำให้เห็นวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ คุณชาร์ตเล่าว่ามีเพื่อนเป็นผู้สูงอายุญี่ปุ่นเยอะมาก ทั้งคุณลุงคุณป้าที่น่ารัก เนื่องจากการไปเดินห้าง ไปทำกิจกรรมกับกลุ่มผู้สูงอายุ ได้เรียนรู้ทั้งมารยาทบนโต๊ะอาหาร มารยาทในการทำธุรกิจ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพบเจอได้ในสังคมเมือง

เนื่องจากคุณชาร์ตเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวมาก มองว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่าสนใจ สามารถท่องเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ละภูมิภาค แต่ละจังหวัดจะมีความน่าสนใจต่างกัน แนะนำให้มือใหม่ควรไปเที่ยวในเมืองใหญ่ ๆ ก่อน แต่เมื่อไรที่คุ้นชินกับญี่ปุ่นแล้ว คุณชาร์ตแนะนำให้ลองไปท่องเที่ยวเมืองเล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะจะยังคงความเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่

เนื่องจากคุณชาร์ตมีความสนใจเรื่องการศึกษามาก ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมนโยบายด้านการศึกษา พรรคกล้า สิ่งที่อยากผลักดัน คีย์เวิร์ดที่คุณชาร์ตให้คือ การศึกษาเพื่อโลกอนาคต การศึกษาต้องก้าวกระโดด 1 ก้าว 2 ก้าว กว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ การศึกษาต้องเตรียมพร้อมให้กับเด็กในอีก 10 ข้างหน้า โดยสิ่งที่คุณชาร์ตอยากผลักดันมีทั้งหมด 3 เรื่อง คือ

1.) Lean Education ทุกวันนี้เราเป็นการศึกษาแบบมีไขมันส่วนเกิน จากคำพูดเด็กที่ว่า เรียนไปไม่เห็นจะได้ใช้ พบว่ามีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เป็นไขมันส่วนเกิน และสมควรได้รับการลีน เหลือเฉพาะในสิ่งที่สำคัญจริง ๆ 

2.) Up-skill Re-skill เพราะทักษะเป็นสมบัติที่จะติดตัวไปได้ตลอดชีวิต การฝึกทักษะไม่ได้มีเฉพาะในโรงเรียนอีกต่อไป การมีทักษะต่าง ๆ ที่สำคัญต่อการใช้ชีวิต ที่เข้ากับเทรนด์โลกอนาคต จะมีประโยชน์กับเรามาก

3.) การศึกษาที่สามารถสร้างงานได้ เด็กจบมาไม่มีงานทำหลายล้านคน สิ่งที่เป็นปัญหาของเด็กจบใหม่คือ จบมาแล้วยังไม่สามารถทำงานได้ ยังขาดอีกหลาย Skills คุณชารต์จึงอยากผลักดันเรื่องเรียนจบแล้วสามารถสร้างงานได้และทำงานได้ดี โดยอาจเสริมในเรื่องของการฝึกงาน

.

.

.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top