Thursday, 10 October 2024
WORLD

การเดินทางแสนพิเศษ กับเส้นทางชลประทานประวัติศาสตร์แห่ง 'Wallis'

วันนี้วี่จะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยว Sion (ซียง หรือ ซียอง) เป็นเมืองหลวงของ Wallis (วาเล หรือ วาลิส) ตั้งอยู่ในภูมิภาค Romandie (รอม็องดี) ซึ่งใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก เมืองซียองตั้งอยู่กลางหุบเขาขนาดใหญ่ในเทือกเขาแอลป์ และเป็นแหล่งผลิตไวน์มากเป็นอันดับสามในสวิตเซอร์แลนด์ ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก พื้นที่ตรงนี้อากาศจะค่อนข้างร้อนกว่าภูมิภาคอื่น 

วี่ชอบเที่ยวไปเรื่อยๆ ชอบ hiking ดังนั้นไม่ว่าจะไปพักร้อนที่ไหนก็จะหาทางเดินแปลกๆใหม่ๆ เสมอ พอดีวี่ได้หนังสือมาเล่มนึงซึ่งรวมสถานที่ว๊าวๆ หลายที่ในสวิส แล้วก็ได้สะดุดตากับสถานที่หนึ่งคือ Grand Bisse de Lens เป็น historic irrigation channels of the Valais หรือช่องทางชลประทาน ประวัติศาสตร์ของ Valais (เรียกช่องทางชลประทานได้รึป่าวนะ) Grand Bisse de Lens สร้างเมื่อปี 1450 เส้นทางนี้มีคำเตือนว่าเมื่อจะเดินไม่ควรมีความเวียนหัวใดๆ และไม่ควรมีอาการกลัวความสูง เพราะบางช่วงบางตอนคือไม่มีที่ให้จับ ทางเดินแคบมากที่สุดและบางช่วงบางตอน เหมือนเราเดินบนผา มองลงไปตัดตรงลงพื้นเลย คือไม่ต้องนึกว่าถ้าตกไปจะสภาพเป็นแบบไหน 

วี่ขับรถไปจอดที่ เมือง Chermignon d’en Bas แล้วนั่งรถบัสไปลงที่เมือง Lens วี่เริ่มเดินจากตรงนี้แล้วกลับมาที่เมือง Chermignon d’en Bas เส้นทางประมาณ 7.5 กิโลเมตร ช่วงที่สวยที่สุดน่าจะเป็นจากเมือง Lens ที่เป็นจุดเริ่มต้นของวี่ไปจนถึงประมาณกิโลเมตรที่ 3 

University Ranking จะเลือกเรียนตามอันดับ หรือ เลือกคิดอย่างลุ่มลึก

ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัย โดยแบ่งตามสาขาวิชาจาก QS University Ranking by Subject 2022 น่าจะช่วยให้ผู้สนใจเรื่องการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของโลก ภายใต้ ‘การรับรู้’ คุณสมบัติ ดีกรี ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยดังๆ ในโลก ได้เปิดใจมองเห็นภาพที่แตกต่างว่า เราควรเลือกเรียน เพราะ ‘อยากรู้’ ในศาสตร์หรือสาขาที่เยี่ยมยอดแค่ไหนมากขึ้น ภายหลังจาก ‘วิทยาลัยดุริยางคศิลป์’ (College of Music) มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการจัดอันดับเข้า Top 50 เป็นครั้งแรก

ผมกำลังหมายถึงอะไร?

การจัดอันดับมหาวิทยาลัยในโลกนั้น ใช้ตัวแปรหลายอย่าง ทั้งจำนวนสาขาวิชาที่เปิด / ความเพียบพร้อมทางเทคโนโลยี / อัตราส่วนอาจารย์และนักศึกษา / จำนวนงานวิจัย / บัณฑิตในระดับปราชญ์ชั้นสูงที่ผลิตได้ / ความหลากหลายทางเชื้อชาติ และอีกหลายมิติ นั่นจึงทำให้บรรดาสถาบันที่ทำการจัดอันดับ จึงมักจะประกาศผลการจัดอันดับที่ไม่ตรงกันเท่าไรนัก

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยในทุกประเทศทั่วโลก ที่มีมากกว่า 31,097 แห่งนั้น จะมีวิธีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด ด้วยการประกาศอันดับที่ Top 500 หรือมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด 500 อันดับแรก และมหาวิทยาลัยที่ ไม่ติดอยู่ใน Top 10 หรือ Top 20 ก็อาจถูกมองว่า ‘ไม่ดีจริง’ ในสายตาของผู้ที่คุ้นเคยกับการจัดอันดับที่ใช้แค่หลักสิบ

อย่างไรก็ตาม จำนวนมหาวิทยาลัย 500 แห่ง ก็ถือว่าเป็นดีกรีที่ไม่เลว เพราะถือเป็นสัดส่วนราว 1.6% หากวัดจากจำนวนมหาวิทยาลัยทั่วโลกกว่า 3 หมื่นแห่ง ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจในระดับหนึ่ง

แต่ผมก็ไม่อยากให้พวกท่าน ถูกลวงด้วยเลข 500 โดยไม่ดูมวลรวมทั้งหมดของมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ทั่วโลกนะ!!

ที่ผมว่าเช่นนั้น เพราะการจัดอันดับมหาวิทยาลัย 500 อันดับแรก ยังถือว่าเป็นสัดส่วนน้อยมาก และควรมีการขยายการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยให้มากกว่าหลักร้อย ไปสู่อย่างน้อยก็หลักพัน เพราะในการจัดอันดับเป็นหลักร้อยนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะได้ ‘จำนวน’ มหาวิทยาลัยเข้าอันดับครบ เนื่องจากมีมหาวิทยาลัยที่ได้คะแนนเสมอกันอยู่จำนวนหนึ่ง ดังนั้นอันดับที่คะแนนเท่ากัน จะทำให้อันดับที่ตามมาหายไป เช่น อันดับ 50 มี มหาวิทยาลัยได้คะแนนเท่ากัน 10 แห่ง จะทำให้ไม่มีอันดับ 51-60 อันดับ เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น หากหันไปมอง มหาวิทยาลัยเก่าแก่ ระดับโลก และเป็นที่ยกย่องยอมรับกัน ทั้งในวงการวิชาการระดับสูง และโดยประชาคมโลกมานานหลายทศวรรษ/ศตวรรษนั้น ล้วนรักษาคะแนนรวม (Overall) จนรักษาอันดับของตนเองไว้ได้ในอันดับต้นๆ จะมีเปลี่ยนแปลงขึ้นลงบ้างเล็กน้อยในแต่ละปี ส่งผลให้อันดับที่แตกต่างนั้น ไม่ได้มหาศาล แต่ต่างกันเพียงแค่หลัก ‘ทศนิยม’ เช่น Harvard อันดับ 5 (คะแนนรวม 98), Stanford และ Cambridge อันดับ 3 ทั้งคู่ (คะแนนรวม 98.7), California Institute of Technology ในเมืองพาซาดีนา แคลิฟอร์เนีย อันดับที่ 6 (คะแนน 97.4), Imperial College ลอนดอน อันดับที่ 7 (คะแนน 97.3) หรือจากมหาวิทยาลัย ในอันดับช่วง Top 20 เช่น Nanyang Technological University (NTU) สิงคโปร์ อันดับที่ 12 (คะแนน 90.8), ส่วน University of Pennsylvania อันดับที่ 13 (คะแนน 90.7) แต่ University of Pennsylvania ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า Penn เป็นมหาวิทยาลัยในกลุ่ม Ivy League และมีความเก่าแก่ 282 ปี ส่วน NTU แม้เปิดมาได้เพียง 40 ปี แต่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และอยู่ในอันดับ Top 80 ตลอดมา

สังเกตได้ว่า ปัจจัยในการเลือก ไม่สามารถจะมองเพียงตัวเลขที่เรียงอันดับ 1-2-3 แบบไร้มิติได้ เพราะคะแนนที่ต่างกันเป็นจุดทศนิยม ในแต่ช่วงอันดับ ยังบ่งบอกถึงมาตรฐานสูงในระดับเดียวกันอยู่

สิ่งที่ผมกำลังจะบอก คือ หากผู้เรียน ไม่ได้ติดตามคุณภาพของสถาบัน และมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในโลก ด้วยข้อมูลเชิงลึก ก็จะยึดติดกับอันดับของมหาวิทยาลัย หรือคำบอกเล่าแบบต่อๆ กันมา กลับกันผู้ที่เรียนเก่ง หรือมีความจริงจังทางด้านวิชาการ ไม่ว่าสาขาใดก็ตาม พวกเขามักจะศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐานทางวิชาการของมหาวิทยาลัยต่างๆ อย่างมีมิติ มากกว่ามองแค่ Top 10, Top 50 หรือ Top 200 

ถึงกระนั้นเรื่องของอันดับ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลต่อการประเมินคุณภาพ มันยังสำคัญ!! และสะท้อนถึงความก้าวหน้าของมิติด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยนั้นๆ จนถีบตัวเข้าสู่ทำเนียบแห่งความเป็นสากล!!

อย่างการเข้าอันดับ Top 50 ของมหาวิทยาลัยมหิดล ในสาขาการแสดงทางศิลป์และดนตรี ในปี 2022 นี้ ภายใต้ QS University Ranking by Subject ก็ยืนยันถึงความก้าวหน้าของ College of Music (CMMU) หรือ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ชัดเจน เพราะหากวัดระยะเวลาเพียง 28 ปี นับจากวันสถาปนาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ในปี 2537 แล้วนั้น CMMU ได้แสดงตัวตนให้แวดวงการศึกษาดนตรี รับรู้ได้ถึงการมีตัวตน มีเสียง และมีพลัง จนโลกได้รู้จักวิทยาลัยด้านดนตรี จากประเทศเล็กๆ และเป็นประเทศที่ประชาคมโลกจำนวนมาก มองไม่เห็นถึงความเป็นสากลทางด้าน Performing Arts นั้นต้องหันมาเหลียว!!

ทั้งนี้ หากมองอันดับ Top 10 ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ในสาขา Performing Arts รายชื่อสถาบันและมหาวิทยาลัย เช่น Royal College of Music (ลอนดอน), The Juilliard School (นิวยอร์ค), Royal Academy of Music (ลอนดอน), Curtis Institute of Music (ฟิลาเดลเฟีย) หรือ University of Music and Performing Arts Vienna (เวียนนา) ล้วนเป็นสถาบันทางดนตรี และการแสดง ที่อยู่ในระดับศักดิสิทธิ์ มีความขลังสูงสุด และผู้ที่จะผ่านการคัดเลือกเข้าไปเรียนในสถาบันเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นหัวกะทิ หรืออัจฉริยะทั้งสิ้น ไม่ต่างจาก หัวกะทิในสาขาแพทย์, กฎหมาย, วิศวกรรมศาสตร์, วิทยาศาสตร์, คณิตศาสตร์, สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยอันดับต้นของโลก

ส่วนในอันดับ Top 30 ของมหาวิทยาลัยที่มีความเป็นเลิศในสาขาการแสดงและดนตรี ยังเป็นสถาบันอันเก่าแก่ เช่น Royal Academy จากซาลซ์บูร์ก ออสเตรีย, สถาบันจากเดนมาร์ก, จากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, จากสวีเดน, จากมอสโก และมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ต่อด้วย Cambridge, Oxford, Yale, Columbia, UCLA มหาวิทยาลัยเหล่านี้ มีชื่อเสียงมานับร้อยปี อีกทั้งอยู่ในประเทศที่พลเมืองมีดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เยาวชนเติบโตมาด้วยโอกาสทางดนตรีและการแสดง ที่มีทั่วไป ชนชั้นกลางสืบทอดทักษะทางดนตรีให้กับลูกหลาน และทำให้เยาวชนพัฒนาทักษะจนสามารถแข่งขันเข้าเรียนในสถาบันอันมีชื่อเสียงได้

ผจญภัยใน ‘Bergün’ รัน ‘เลื่อน’ ท้า ‘ลมหนาว’ ความสนุกแบบ ‘สุดเสียว' แค่ครั้งเดียว​ เกินพอ!! 

ถ้าพูดถึงอากาศหนาวที่สวิตเซอร์แลนด์ เชื่อว่าหิมะ เป็นสิ่งแรก ๆ ที่คุณผู้อ่านจะต้องนึกถึงและแน่นอนว่าหากมีหิมะ แล้วกิจกรรมสุดฮิตที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือการ ‘เล่นเลื่อน’ ซึ่งจริง ๆ แล้ว วีวี่ เองมีแพลนไว้ ว่าอยากไปเล่นเลื่อนมานานมากแล้ว แต่ก็มัวรอจังหวะเหมาะ ๆ อากาศดี ๆ พอได้เวลาประจวบเหมาะก็วางแผนปักหมุด เตรียมมุ่งหน้าไปที่ Prättigau ซึ่งจากการหาข้อมูลระยะทางก็ไม่ใกล้ ไม่ไกล เพียง 12 กิโลเมตร 

แต่ต้องขอบอกก่อนว่าที่ Prättigau เขามีมาตรการป้องกันโควิด 2G ที่ค่อนข้างแน่นหนาพอสมควร (ณ วันที่ 23 มกราคม)  ซึ่งสถานที่นี้ก็ยินดีต้อนรับผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว หรือผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้วรักษาหายขาดแล้วเท่านั้น และแน่นอนว่างานนี้ วี่ต้องกินแห้วไปตามระเบียบ เพราะวี่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เรียกได้ว่า แพลนล่มไม่เป็นท่าเลยสิคะท่านผู้อ่าน

แต่อย่าคิดว่างานนี้จะทำให้วี่ยอมแพ้! ที่นี่ไปไม่ได้ เราก็หาที่ใหม่สิครับผมมม วี่ก็ได้หาข้อมูลวางแพลนใหม่อีกรอบอย่างว่องไว และก็ดันไปนึกถึง Bergün อีกสถานที่ ที่จะสานฝันการเล่นเลื่อนของวี่ให้เป็นจริง! แต่ต้องบอกก่อนว่า Bergün เนี่ยวี่เคยไปเยือนมาแล้ว แต่ก็นะ 10 กว่าปีมาแล้วนานจนจำความรู้สึกไม่ได้แล้วว่าสถานที่นั้นเป็นอย่างไร และน่าตื่นเต้นอย่างไรบ้าง

พอหาสถานที่แพลนพร้อม ข้อมูลพร้อม เราก็มุ่งหน้าไปที่ Bergün กันเลย โดยวิธีการเดินทางมายังที่นี่วี่เลือกที่จะขับรถมาเอง ถึงปุ๊บก็หาที่จอดที่สถานีรถไฟเลย (ราคาไม่แพงด้วย) นอกจากนี้ตรงสถานีรถไฟ Bergün เนี่ยยังมีที่ให้เช่าเลื่อนด้วยนะ แต่ว่าเรายังไม่เช่าตั้งแต่ตรงนี้หรอกนะ ต้องบอกเลยว่าเราโชคดี ที่มีแพลนและหาข้อมูลมา วี่เลยได้จองตั๋วรถไฟไว้ที่สถานีปลายทางตรงจุดเล่นเลื่อน คือ สถานี Preda เลยไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่นเพื่อเช่าเลื่อน โดยการเดินทางก็แสนง่าย เราก็นั่งรถไฟไปที่ Preda แล้วนั่งเลื่อนกลับไป Bergün ด้วยระยะทาง 6 กิโลเมตร

ทีนี้เรามาคุยกันเรื่องเส้นทางเล่นเลื่อนกันดีกว่าต้องขอบอกเลยว่า ‘เส้นทางเล่นง่ายมาก’ แทบไม่ต้องเอาขาแตะพื้นเลย เพราะเลื่อนที่เช่าคือลื่นปรื๊ดมากกกก แถมต้องบอกว่าเป็นความโชคดีของวี่ที่เราไปค่อนข้างเช้า คนเลยยังน้อย ทำให้พื้นที่ไปเล่นยัง Fresh อยู่มาก ทำให้ยังไม่ค่อยมีรอยทำให้ควบคุมเลื่อนให้ไปซ้ายขวาหรือเช้าโค้งได้ง่ายมาก ทำให้เล่นเพลินกันจุก ๆ ไปเลยถึง 2 รอบ พอรอบ 2 มาถึงข้างล่าง ตรงจุดสิ้นสุดจะมีกระเช้าต่อไปที่ Darlux 

ซึ่งจริง ๆ แล้วเพื่อนวี่ เองก็เล่นเลื่อนลงมาได้อีกเส้นทาง แต่ถ้าใครไม่ชอบ จากจุดสิ้นสุดนี้ก็เดินกลับไปที่สถานีรถไฟ Bergün เพื่อกลับไปเล่นเลื่อนที่ Preda ได้อีก แต่วี่เห็นว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็ขอนั่งกระเช้าห้อยขาต่อไปที่ Darlux แล้วเล่นเลื่อนลงมาที่ Bergün ซะหน่อยแล้วกันจะได้มาไม่เสียเที่ยว 

แต่นั่นแหละค่ะความอยากไปสุดทุกทางของวี่ ต้องขอบอกเลยว่า ‘แค่ครั้งเดียวพอ’! เพราะเส้นทางเล่นเลื่อนสุดชิว กลายเป็นเล่นเลื่อนแบบท้าตาย! ต้องขออธิบายก่อนว่าระยะทางการเล่นเลื่อนลงมาที่ Bergün ใช้ระยะทางประมาณ 4.5 กิโลเมตร ซึ่งตลอดทางขอบอกเลยว่า ‘ทางชันขั้นสุด’ 

แถมทางที่เล่นยังเป็น Shadow Side คือ แดดเข้าไม่ถึง แถมพื้นยังเป็นน้ำแข็ง และพอความชันบวกน้ำกับแข็งที่พื้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ‘ลื่นแบบเบรกไม่อยู่’! ถึงขนาดต้องเอาเท้าสองข้างลงเบรกตลอด แต่แม้ว่าจะพยายามเบรกตลอดทางแล้ว ก็ยังเร็วจนขนลุกเลยทีเดียว 

‘SOFT POWER’ จะ Soft อะไร...กันหนักหนา ?

คำว่า “Soft Power” ได้ยินกันบ่อยในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา จากปรากฏการณ์ ลิซ่า BLACKPINK ที่โด่งดังไปทั่วโลก หรืออาคาร Thailand Pavilion ในบริเวณงาน EXPO ที่ดูไบ รวมไปถึงเวทีประกวดนางงามต่าง ๆ ที่นำคำว่า Soft Power มาใช้ ไปจนถึงการอ้างว่า Soft Power คือทางรอดของเศรษฐกิจไทย

อาคาร Thai Hospitality

ทำไมงานบันเทิง เช่น ลิซ่า BLACKPINK จะมีอำนาจอันนุ่มนวล (Soft Power) หรือการแนะนำของดีเมืองไทย และการประกวดนางงามจะมีอำนาจอะไร ความหมายที่แท้จริงคืออะไร...?? 

ย้อนไปเมื่อครั้งที่ Gangnam Style ได้รับความนิยมถล่มทุกพื้นที่ในโลก ในปี 2012 ผู้คนจากทั่วโลกเริ่มสนใจเกาหลีใต้ ทั้งในมิติของดนตรี วัฒนธรรม เศรษฐกิจและการเมือง และทำให้เกิดกระแสเกาหลีนิยมในอเมริกา ในระดับที่วง BTS มีซิงเกิลขึ้นอันดับหนึ่งของ Billboard ตามด้วยภาพยนตร์ Parasite (2019) ได้รางวัลออสการ์ถึง 4 รางวัล รวมทั้งสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แล้วตอกย้ำศักยภาพของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีอีกครั้งในปี 2021 เมื่อนักแสดงเกาหลี ได้รับรางวัลนักแสดงหญิงสมทบยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง Minari อีกทั้งความนิยมต่อซีรีส์ Squid Game ที่แรงจนไม่มีกำแพงใดจะขวางกั้นเชื้อชาติของผู้ชมได้

เหตุการณ์เหล่านี้ เปลี่ยนทัศนะของผู้คนในประเทศตะวันตก จากที่เห็นว่ายังอยู่ในความเชื่อเก่า ๆ และรสนิยมล้าหลัง มาเป็นโลกทัศน์ใหม่ ได้เห็นความทันสมัย ความประพฤติและกรอบความคิดของชาวเกาหลีใต้ อคติที่เคยมีต่อแบรนด์เกาหลีใต้เริ่มลดลง ความนิยมต่ออาหารเกาหลีเพิ่มขึ้น และหากไม่มีโควิด-19 เป็นอุปสรรค ยอดนักท่องเที่ยวสู่เกาหลีต้องเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

แต่ความนิยมต่อสิ่งเหล่านี้ ถือว่าเป็น อำนาจ (Power) หรือไม่? 

คำว่า “อำนาจ” หมายถึงอิทธิพล หรือวิธีการ ที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ คำว่า soft power ปรากฏให้เห็นในช่วงยุค 1980s หรือกว่า 30 ปีมาแล้ว โดย โจเซฟ นัย (Joseph Nye) อาจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ให้นิยามว่า เป็น “การใช้อำนาจที่ไม่ใช่กำลังทางกายภาพ เช่นกองทัพ หรืออาวุธ แต่ใช้วิธีการชักจูง เกลี้ยกล่อม ทำให้หลงใหล เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่ต้องการ” และอธิบายว่า soft power คือการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) ที่ไม่รู้ว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ อาจารย์โจเซฟ ได้อธิบายคำศัพท์นี้อีกครั้งในช่วงเข้าสู่ สหัสวรรษ 2000 ทำให้คำว่า soft power แพร่หลายยิ่งขึ้น

‘Christmas Market’ ตลาดคริสต์มาส บรรยากาศที่น่าหลงใหลแห่งปี

เดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้ ถ้าจะไม่พูดถึงเทศกาลคริสต์มาสก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เราจะได้กลิ่นอายของเทศกาลนี้ที่เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนมา ในดินแดนสวิสทุก ๆ ที่ก็จะมีตลาดคริสต์มาส ขนาดเล็กหรือใหญ่แตกต่างกันไปตามแต่ละหมู่บ้านหรือตามแต่เมืองจะรังสรรค์ วันที่จัดก็จะกระจายแตกต่างกันออกไป วี่อาจไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวตลาดคริสต์มาสที่อื่น ๆ มากเท่าไหร่ เพราะส่วนมากจะทำงานและสิบปีหลังมานี่วี่ขายของเองในตลาดคริสต์มาสของหมู่บ้าน เลยอยากมาเล่าจากประสบการณ์ของตัวเองให้เพื่อน ๆ ฟัง

Concept ของตลาดคริสต์มาสก็น่าจะเป็นร้านรวงต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกงานแฮนด์เมด ขนมอบ หรือเป็นของขึ้นชื่อของพื้นที่นั้น หรือจะเป็นเครื่องดื่มร้อน ๆ ทั้งหลาย ทั้งมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อที่สุดก็น่าจะเป็นไวน์ร้อนนี่แหละ 

ในออสเตรีย กรุงเวียนนา เริ่มมีตลาดคริสต์มาสมาตั้งแต่ปี 1296 และที่เยอรมัน เมืองมิวนิก เกิดขึ้นในปี 1310 ส่วนที่สวิสวี่หาข้อมูลไม่เจอว่าเริ่มมีตั้งแต่เมื่อไหร่ ถามชาวนาอินดี้ (สามีของวี่) ได้ความว่า “ผมจำไม่ได้ว่ามีตั้งแต่เมื่อไหร่แต่น่าจะหลังจากปี 1990 ตอนผมเป็นเด็ก ๆ ที่หมู่บ้านเรายังไม่มี” (ชาวนาอินดี้เกิดปี 1961) แต่ตลาดคริสต์มาสที่สถานีรถไฟซูริค ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี 1994 ซึ่งมีต้นคริสต์มาสสูง 15 เมตรที่ประดับตกแต่งด้วยคริสตัล Swarovski มากถึง 7,000 ชิ้น ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์และเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว รวมถึงมีร้านค้ามากมายถึง 150 ร้านเลยทีเดียว เรียกว่าเดิน ดื่ม กิน ช็อปกันให้มันสุด ๆ ไปเลย

ส่วนตลาดคริสต์มาสแถวบ้านวี่เป็นงานเล็ก ๆ มีร้านรวงเพียง 25 - 35 ร้านเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกของ Hand Made ประเภทงานไม้ งานถัก เครื่องประดับ มีอาหารประจำท้องถิ่น เช่น ไส้กรอก แฮม แยมผลไม้ ซอสสำหรับสปาเกตตี้ต่าง ๆ และนอกเหนือจากนี้ยังมีอาหารขายหลากหลาย เช่น Raclette (รัคเรท) ชีสร้อน ๆ ยืด ๆ และไส้กรอกย่าง

ตัววี่เองเริ่มขายมาตั้งแต่ปี 2011 ตอนแรกใจเพียงแค่นึกสนุก ในปีแรกเลยเริ่มต้นขายแค่ข้าวแกง พะแนง ปอเปี๊ยะทอด กาแฟ และเหล้าร้อนอย่างที่เขาฮิต แต่ในปีถัด ๆ มาไม่ได้แค่นึกสนุกอย่างเดียวสิ เพราะรายได้โอเคมาก (ฮ่า ๆ ๆ ๆ) เลยเริ่มจริงจังมาขายเป็นอาหาร 4 อย่าง ปอเปี๊ยะ เหล้าร้อน และไวน์ร้อน โดยหมู่บ้านวี่ตลาดนี้จะมีแค่วันเดียว ตั้งแต่เวลา 12:00 - 19:00 น. แต่หกโมงเย็นคนก็เริ่มเก็บร้านกันแล้ว เรียกว่าขายหมดเกลี้ยงทุก ๆ ปี ที่สำคัญเลยคือคนที่นี่ชอบกินอาหารไทยกันมาก

Magic Bag : แคมเปญท้องถิ่นสร้างรอยยิ้มให้เด็กมองโกเลีย

อูลานบาตอร์/มองโกเลีย - ในปี 2015 ขณะที่กลุ่มคนหนุ่มสาวกำลังแจกของขวัญปีใหม่ให้กับเด็กๆ ในพื้นที่สูงอายุ พวกเขาค้นพบสภาพที่น่าสยดสยองที่เด็กหลายพันคนอาศัยอยู่ ที่เกิดเหตุกระตุ้นให้พวกเขาดำเนินการรณรงค์ประจำปีที่เรียกว่า "ถุงวิเศษ" โดยจะเย็บกระเป๋าและบรรจุของขวัญให้เด็กๆ นำไปแจกจ่ายในวันปีใหม่ โดยกำหนดเป้าหมายไปที่เด็กกลุ่มเปราะบาง



คนหนุ่มสาวเหล่านี้ก่อตั้งกลุ่ม Lantuun Dohio เพื่อต่อต้านการล่วงละเมิดเด็กและการค้ามนุษย์ พวกเขายังเปิดตัวการรณรงค์หาทุนเพื่อปกป้องและให้ความรู้แก่เด็ก ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว และขณะนี้ได้ก่อตั้งศูนย์ “ดินแดนมหัศจรรย์ที่ 1 และ 2” ในเขตซงนินไคร์คานและบายันซูร์คของอูลานบาตอร์


หากไทยรั้งท้าย!! อันดับ ‘การสื่อสารภาษาอังกฤษ’ ด้อยค่าประเทศหรือไม่ !!?

ENGLISH PROFICIENCY RANKING อันดับทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ

“ก่อนอื่น จะเชื่อการจัดอันดับทักษะการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ที่ทำขึ้นมานี้เพียงใด ต้องรู้จักผู้จัดทำอันดับเสียก่อน...”

EF ย่อมาจาก “Europeiska Ferieskolan” ซึ่งเป็นภาษาสวีดิช การที่ย่อเหลือ “EF” ไม่ใช่มหาวิทยาลัย หรือสถาบันวิชาการ แต่เป็นโรงเรียนสอนภาษา ที่เป็น “บริษัท” ดำเนินธุรกิจเชิงพาณิชย์ ก่อตั้งขึ้นในยุค 60s โดย “Bertil Hult” นักเดินทางท่องโลกวัย 24 ปี ที่ได้พบว่าการเรียนภาษาอังกฤษเป็นสิ่งจำเป็น และได้ใช้แนวคิด การเดินทางเพื่อเรียนรู้ภาษา (Language Travel) จึงเปิดบริษัทขึ้น และพานักเรียนมัธยมในสวีเดน ไปเรียนภาษาอังกฤษในประเทศอังกฤษ

แนวคิดดังกล่าวใช้เป็นแนวทางในการขยายธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันนอกจากสอนภาษาอังกฤษในระดับต่าง ๆ ทั้งในกลุ่มนักเรียน (อายุ 13-18 ปี) จนถึงผู้ทำงาน และนักธุรกิจ ยังเป็นเอเยนต์ในการติดต่อ หาที่เรียน ให้กับผู้ต้องการเรียนภาษาและด้านอื่น ๆ ในต่างประเทศ จัดทัวร์ และจัดหาโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ไปเรียนในต่างประเทศ

ปัจจุบัน EF เป็นสถาบันการศึกษา ที่สอนทั้งภาษาและความรู้สาขาอื่น ๆ และ EF ที่ยังหมายถึง Education First  มีสาขาใน ไมอามี่ - ซูริค - ดูไบ - ลอนดอน นอกจากหลักสูตรต่าง ๆ แล้ว ยังได้ทำงานวิจัยโดยได้รับความร่วมมือจาก มหาวิทยาลัย เคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด และมหาวิทยาลัยปักกิ่ง 

>> การจัดอันดับของ EF มาจากการสำรวจออนไลน์
การสำรวจออนไลน์ กับโลกแห่งความเป็นจริง ไม่เหมือนกันเสมอไป ดังนั้น เราจึงไม่ต้องปักใจเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราได้เดินทางไปสัมผัสโลกกว้างมาแล้ว และได้ประสบมาด้วยตนเองว่าทักษะภาษาอังกฤษของผู้คนในประเทศต่าง ๆ เป็นอย่างไร ลองนึกถึงร้านสะดวกซื้อในฮ่องกง หากจะไปซื้อซิมการ์ด หรือหากาวสักหลอด พนักงานจะสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ขณะที่พนักงานวัยรุ่นร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพฯ จะประกอบประโยคง่าย ๆ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่เป็นคนต่างชาติ

ส่วนที่ญี่ปุ่น ไม่ต้องพูดถึง ใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่น Telephone, Sim card, Charger, Toothbrush พูดช้า ๆ พนักงานที่เป็นวัยหนุ่มสาวยังเรียนหนังสืออยู่ก็ไม่เข้าใจ ขอบคุณ Google Translate ที่ทำให้พนักงานเข้าใจความต้องการของลูกค้าต่างชาติ

เมื่อ 5 ปีก่อน EF Efficiency Index อธิบายว่า ประเทศในทวีปเอเชีย มีระดับทักษะภาษาอังกฤษต่ำ เพราะหลาย ๆ ประเทศ ให้เรียนภาษารัสเซีย เป็นภาษาที่สอง มากกว่าภาษาอังกฤษ... จริงหรือ? ประเทศใด?

ในการเก็บข้อมูล EF ทำการสำรวจกับประชากร ประมาณ 2 ล้านคน จาก 112 ประเทศ โดยแต่ละประเทศ ใช้กลุ่มตัวอย่าง อย่างน้อย 400 คน และใช้คะแนนเฉลี่ยเป็นดัชนีชี้วัดทักษะภาษาอังกฤษของแต่ละประเทศ การสำรวจในปี 2020 มีผู้ทำข้อสอบเป็นเพศหญิง 53% อายุเฉลี่ยของผู้สอบคือ 26 ปี ผู้ที่เข้าสอบ เลือกสอบด้วยตนเอง EF ไม่มีค่าตอบแทนหรือรางวัลใด ๆ ให้กับผู้สมัครเข้าสอบ แรงจูงใจของผู้สอบคือต้องการทราบระดับทักษะภาษาอังกฤษของตนเอง และเป็นการสอบ Online ดังนั้นผู้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ว่าอยู่ส่วนใดของประเทศสามารถเข้าสอบได้ 30% ของผู้เข้าสอบ ทำการสอบด้วยโทรศัพท์มือถือ

แม้ว่าในการสมัครเข้าสอบ ผู้สมัครจะต้องระบุว่าเรียนจบแล้ว แต่การคัดเลือกดังกล่าว หมายถึงผู้เข้าสอบที่มีระดับความรู้ภาษาอังกฤษต่ำมาก แต่ต้องการวัดระดับทักษะของตนเอง ในขณะที่ผู้มีทักษะภาษาอังกฤษดี หรือดีมาก หรือใช้ได้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ไม่สนใจที่จะสมัครสอบ ไม่มีเวลาและคะแนนจาก EF ไม่ได้นำไปใช้สำหรับการศึกษาต่อหรือสมัครงาน เช่น IELTS, TOEIC หรือ TOEFL

>> ความน่าเชื่อถือของการจัดอันดับ
ประเทศจีนมีประชากร 1.4 พันล้านคน 1% คือ 140 ล้านคน 0.1% เท่ากับ 1.4 ล้านคน EF ไม่ได้ประเมินผลการสอบ จากกลุ่มตัวอย่าง 1 ล้านคน และอาจจะไม่ถึง 1 แสนคน 

ผลการจัดอันดับของ EF ชี้ให้เห็นว่า ผู้คนในประเทศจีน มีทักษะภาษาอังกฤษระดับปานกลาง เช่นเดียวกับ อินเดีย เกาหลีใต้ และมาเก๊า คนที่เคยเดินทางไปประเทศจีน คงทราบดีว่า เมื่อออกไปพ้นเมืองใหญ่ พ้นจากเขตธุรกิจแล้ว ประชาชนจีนพูดภาษาอังกฤษได้ระดับใด ดังนั้นผลสอบ จึงไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดทักษะภาษาอังกฤษของคนกว่าพันล้านคนได้ และการจัดให้ประเทศจีนมีระดับทักษะเท่ากับฮ่องกง และมาเก๊า หรืออินเดีย ยิ่งไม่น่าเชื่อถือ

ประเทศในเอเชีย ที่มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับต่ำ ได้แก่ ญี่ปุ่น ปากีสถาน บังกลาเทศ อินโดนีเซีย เวียดนาม และศรีลังกา ส่วนประเทศที่ EP ชี้ว่า มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับต่ำมาก ได้แก่ ไทย เมียนมา กัมพูชา อัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน และ คีร์กีซสถาน 

กัมพูชา - คนขายของชายหาดไร้บ้านในสีหนุวิลล์ ขอการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นเพิ่มเติม

สีหนุวิลล์/กัมพูชา - พ่อค้าเร่ไร้บ้านหลายร้อยรายใน Prey Veng ที่ทิ้งบ้านเกิดและย้ายไปที่สีหนุวิลล์เพื่อโอกาสในการทำงานที่ดีขึ้น เรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นอนุญาตให้พวกเขาอยู่ในที่ที่พวกเขาอยู่ในหาด Otres และอย่าบังคับให้พวกเขาย้ายออกไป

ผู้ขายชายหาดบางรายอ้างว่าพวกเขาต้องออกจากบ้านเกิดเนื่องจากขาดโอกาสในการทำงานและหนี้สินที่พวกเขาแบกรับสำหรับธนาคารและบริษัทไมโครไฟแนนซ์

คนอื่นๆ กล่าวว่าธุรกิจของพวกเขาได้รับผลกระทบเนื่องจากการระบาดใหญ่และการล็อคในช่วงสองปีที่ผ่านมา

ในขณะที่รัฐบาลกัมพูชาประกาศเปิดประเทศอีกครั้ง ได้กดดันให้ผู้ขายออกจากสีหนุวิลล์หรือสร้างร้านค้าที่เหมาะสม หากพวกเขาต้องการขายสินค้าของตนต่อไป แทนที่จะทำงานในเกวียน 

พ่อค้าแม่ค้าหาดต้อนรับเปิดใหม่ อย่างไรก็ตามพวกเขาปฏิเสธที่จะออกจากที่รุ่งเรืองซึ่งพบแหล่งทำมาหากิน

ในการพูดคุยกับสำนักข่าว A24 ผู้ขายบ่นว่าพวกเขาไม่สามารถเช่าบ้านเพื่อพักอาศัยหรือสร้างร้านค้าเพื่อทำงาน ในขณะที่บางคนระบุว่าพวกเขา “จ่ายเงิน 1,000 เรียล (0.25 ดอลลาร์) ต่อวันเพื่อใช้สถานที่นี้”   

หลายคนเน้นว่าปัญหาทางการเงินที่พวกเขาพบในบ้านเกิดทำให้พวกเขาต้องย้ายถิ่นฐาน โดยเรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นอนุญาตให้พวกเขาทำธุรกิจในพื้นที่นี้ต่อไป เนื่องจากเป็นแหล่งรายได้เพียงแหล่งเดียวสำหรับพวกเขา  

“ฉันเช่าพื้นที่เพาะปลูกเพื่อปลูกมันเทศและเสียเงินไป 5,000 ดอลลาร์ ฉันเป็นหนี้ธนาคาร ฉันจึงย้ายมาที่นี่เพื่อหาเงินมาจ่ายคืนที่ธนาคารและจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกๆ ของฉัน” พ่อค้าคนหนึ่งในหาดกล่าว

เมียนมา - รัฐบาลเงาเมียนมา ระดมทุนผ่าน Unity Bonds เปิดขายพันธบัตรระดมทุนช่วยประชาชน ต้าน รบ.ทหาร!!

รัฐบาลเงาของเมียนมาร์ (NUG) ได้เปิดตัวพันธบัตรเพื่อการลงทุนแบบเอกภาพมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อระดมทุนอย่างน้อย 800 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนทางสังคมและมนุษยธรรม ซึ่งรวมถึงการดูแลสุขภาพ การศึกษา สวัสดิการสังคม และการสนับสนุนบุคลากรทางทหารที่บกพร่อง รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยกเว้นการใช้จ่ายทางทหาร  (NUG) ก่อนหน้านี้เคยระดมเงินด้วยการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลพร้อมกับหวยนเวย์อู และตอนนี้ขาย Unity Bonds เพื่อใช้เงินที่หามาได้เป็นทุนโครงการปฏิวัติ มีรายงานว่ารัฐบาลเงาเริ่มออกหุ้นกู้ชุดแรกมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ และมีการซื้อขายมากกว่า 9 ล้านดอลลาร์ใน 24 ชั่วโมงแรก

‘มิน กันต์ จอ ลินน์’ หัวหน้าสหภาพนักศึกษากล่าวว่า การขายพันธบัตรในเมียนมาเกิดขึ้นจากความจำเป็นเร่งด่วนในเรื่องฉุกเฉิน เช่น ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และกลไกการพัฒนาที่จะช่วยบรรเทาการประท้วงหยุดงาน

‘มิน คานต์ จอ ลิน’  ผู้นำสหภาพนักศึกษา/ผู้นำนัดหยุดงาน ได้กับบอกนักข่าว A24 ว่า “NUG กำลังกู้ยืมเงินจากชาวเมียนมาซึ่งจำเป็นสำหรับการปฏิวัติ ดังนั้น พวกเขายืมเงินจากเรา เดาว่านี่เป็นวิธีที่ NUG-bond ทำงาน โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นสัญญาของรัฐบาล และทันทีที่พวกเขาชนะการปฏิวัติ เราก็สามารถใช้สัญญานี้เพื่อเรียกเงินของเราคืนจากพวกเขาได้ ธนาคารส่วนใหญ่ในเมียนมาให้ความร่วมมือกับรัฐบาลทหารในการจับกุมประชาชน ดังนั้น เราจึงต้องระมัดระวังในการทำธุรกรรม

นอกจากนี้ รูปแบบการขายพันธบัตรที่มีอยู่บนเว็บไซต์โดย NUG (National Unity Government) ยังไม่คงที่ และเราต้องส่งบัญชีผู้รับที่แตกต่างกันเมื่อซื้อพันธบัตรเหล่านั้น และยังมีการตัดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบ่อยครั้ง ดังนั้นเราจึงประสบปัญหาเหล่านี้ในการซื้อพันธบัตร ฉันยังไม่เห็นประกาศหรือข้อความใด ๆ เกี่ยวกับวิธีการและที่ที่พวกเขาจะใช้เงินนั้น แต่เราวางใจ NUG เป็นรัฐบาลของเรา ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าพวกเขาจะใช้เงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเรา นั่นคือ ประชาธิปไตยที่แท้จริงโดยสมบูรณ์ ที่เกิดขึ้นในสหพันธรัฐ รวมทั้งพม่ากับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่จะรักษาสิทธิที่สมดุลของพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลที่เรากำลังซื้อพันธบัตรเหล่านี้”

‘มิน คานต์ จอ ลิน’ ผู้นำสหภาพนักศึกษา/ผู้นำนัดหยุดงาน บอกว่า “ตอนนี้ NUG (รัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ) ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย กำลังขายพันธบัตร มีประวัติการทำแบบเดียวกันมาอย่างยาวนานในช่วงที่ผ่านมา พวกเขากล่าวว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะขายพันธบัตรมูลค่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ พวกเขาเริ่มต้นด้วย 200 ล้านในการขายครั้งแรกของพวกเขา ปัจจุบันอัตราอุปสงค์เพิ่มขึ้น ความจำเป็นฉุกเฉินเช่นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม CDM การประท้วงเป็นสิ่งจำเป็นในประเทศของเรา เดาว่าเงินสด 800 ล้านดอลลาร์ที่ได้รับจากการขายพันธบัตรสามารถช่วยได้ มีปัญหาในการซื้อพันธบัตรเหล่านี้ พวกเขาไม่สามารถเปิดบัญชีของผู้รับในธนาคารเมียนมาได้

อย่างที่รู้ NUG ไม่สามารถทำธุรกรรมใด ๆ ในธนาคารเมียนมาได้ และนั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องใช้บัญชีธนาคารต่างประเทศ ดังนั้นคนนอกประเทศจึงสามารถซื้อจากธนาคารหนึ่งไปยังอีกธนาคารหนึ่งได้ การส่งเงินสดจากที่นี่ไปยังธนาคารต่างประเทศนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่คนที่อยู่ต่างประเทศที่สนใจซื้อพันธบัตรเหล่านี้

 

มองโกเลีย - ชีสมองโกเลียที่โดดเด่นทำจากนมจามรีที่ระดับความสูง 3,000 เมตร

อูลานบาตอร์ /มองโกเลีย – ช่างฝีมือชีสจากทั่วมองโกเลียรวมตัวกันเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนในเทศกาลชีส
ชีสที่ผลิตในมองโกเลียมีรสชาติที่โดดเด่นเนื่องจากพื้นที่ทางธรรมชาติที่หลากหลายและสภาพอากาศที่รุนแรง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของนมสัตว์ในท้องถิ่น

ตัวอย่างนี้คือชีสจามรีที่ทำขึ้นที่ระดับความสูง 3,000 เมตรในเทือกเขาอัลไต จามรีที่พบในไม่กี่ประเทศผลิตนมได้น้อยมาก แต่มีไขมันสูง ทำให้เหมาะสำหรับชีสคุณภาพสูง

หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติมองโกเลีย (MNCCI) ระบุว่าจะสนับสนุนช่างฝีมือชีสและทำงานอย่างเต็มที่เพื่อนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดโลก ผู้อำนวยการ Cheese Republic และช่างฝีมือชีส Ya. Enkhee กล่าวว่าชีสในมองโกเลียทำขึ้นด้วยวิธีช่างฝีมือ ไม่ใช่ประเพณีของชาวมองโกเลีย แต่เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ใช้กันทั่วโลก เนื่องจากพื้นที่ธรรมชาติที่ใหญ่และหลากหลาย จึงสามารถผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและมีเอกลักษณ์เฉพาะได้จำนวนเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับลักษณะของพืช ลม ปศุสัตว์ และสัตว์ในพื้นที่

“ปีนี้เราทำชีสมากกว่า 160 ตัน” Enkhee กล่าว ช.กัลไตคู ช่างชีส “ทูวายักษ์” ให้กำลังใจชาวอุเรียนไคและทูวา แห่ง Tsengelsoum จังหวัดบายัน-อุลจี “เป้าหมายหลักของเราคือการสนับสนุนคนเลี้ยงสัตว์ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาสามารถทำชีสแสนอร่อยด้วยนมของพวกเขา และแสดงให้พวกเขาเห็นว่านมจามรีที่พวกเขาเลี้ยงนั้นสามารถนำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพงมากและเป็นที่ต้องการซึ่งหาได้ยากในยุโรป”

ดังนั้นคนเลี้ยงสัตว์จึงต้องการเพิ่มการผลิตจามรี ผลิตชีสจากนม และสร้างแบรนด์ที่เรียกว่า "ทูวายักษ์"
คุณสมบัติหลักคือชีสทำจากนมจามรีที่กินหญ้าที่ระดับความสูง 3,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สมุนไพรที่ปลูกมีประโยชน์ต่อโรคภัยไข้เจ็บมากมาย นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาพบว่ามันสามารถส่งผลกระทบต่อผู้ที่เป็นมะเร็งได้ ชีสมองโกเลียจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่หายากและมีคุณภาพดี เพราะทำมาจากนมของสัตว์ที่กินสมุนไพรดังกล่าว

ในขณะเดียวกัน S.Bayasgalan เลขาธิการหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติมองโกเลียชี้ให้เห็นว่าข้อได้เปรียบหลักของเทศกาลในวันนี้คือช่างฝีมือชีสจากทั่วประเทศมองโกเลียมารวมตัวกันเพื่อเรียนรู้จากกันและกันและแนะนำผลิตภัณฑ์ของตนสู่สาธารณะ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top