Thursday, 7 November 2024
WORLD

บังกลาเทศ - ปลาฮิลซ่า สมบัติของชาติและสัญลักษณ์ของบังกลาเทศ

Chandpur/บังกลาเทศ - Hilsa (ชื่อวิทยาศาสตร์: Tenualosa Hilsa) เป็นปลาประจำชาติของบังคลาเทศ เป็นปลาทะเลที่มาถึงแม่น้ำของบังคลาเทศและอินเดียตะวันออกเพื่อวางไข่

​​​

Hilsa เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชาวเบงกาลีและในหลายพื้นที่ของอินเดีย เช่น เบงกอลตะวันตก โอริสสา ตริปุระ และอัสสัม

ในปี 2017 ปลา Hilsa ของบังกลาเทศได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือผลิตภัณฑ์ GI Md. Anisur Rahman หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของ Md. Anisur Rahman กล่าว

ปลาชนิดนี้มีรสชาติและกลิ่นที่ยอดเยี่ยมและยังอุดมไปด้วยคุณภาพอาหาร ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุในระดับสูง รวมทั้งกรดไขมันอิสระโอเมก้า 3 กรดอะมิโนที่จำเป็น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามิน A, D และ B

ปัจจุบัน Hilsa พบในแม่น้ำประมาณ 100 แห่งของบังกลาเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่น้ำสายหลักของแอ่งปัทมาและเมกห์นา แม่น้ำสาขา ปากแม่น้ำ และพื้นที่ชายฝั่งทะเลของอ่าวเบงกอลมักแวะเวียนมาที่ฮิลซาด้วย นอกจากนั้นก็จับจากทะเลแต่ปลาทะเลไม่อร่อยเท่าปลาแม่น้ำ

ชาวประมงและพ่อค้ามองว่า Padma Hilsa มีราคาสูงเนื่องจากมีความต้องการซื้อสูง โดยอ้างว่า Chandpur Hilsa “ดีที่สุดในบังกลาเทศ” และมีรสชาติดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ
ถึงกระนั้นผู้ซื้อจากภูมิภาคต่าง ๆ ก็แห่กันไปที่เมืองเพื่อซื้อปลาประจำชาติของฮิลซาเท่านั้น บางคนต้องเดินทางไกลจากซิลเหตไปยังเมือง Chandpur เป็นระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร เพื่อเอาปลาที่อร่อยนี้ไปส่งที่บ้านของพวกเขา

“เราได้ยินมาเสมอว่ารสชาติของ Chandpur Hilsa นั้นแตกต่างออกไป ฉันซื้อปลา 5 กก. เพื่อส่งไปที่บ้านของฉัน ฉันซื้อปลาขนาด 1 กิโลกรัมในราคา 1,000 รูปีต่อกิโลกรัม” Sahidul Islam บอกกับสำนักข่าว A24

กัมพูชา - ‘ศิลปินกัมพูชา’ โอด!!อยากกลับไปทำงานศิลปะ หลังวิกฤตโควิด-19

หลังจากหยุดไปเกือบสองปี รัฐบาลกัมพูชาได้ประกาศเปิดตัวอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับจิตรกรและผู้ค้างานศิลปะที่จะกลับมาฟื้นฟูช่วงที่ซบเซา ที่มาพร้อมกับการปิดเมืองอันเนื่องมาจากการระบาดของ ไวรัสโคโรน่า

ศิลปินหลายคนถูกบังคับให้ทำงานที่ยากซึ่งห่างไกลจากความสามารถเพื่อประกันการดำรงชีวิต ศิลปินและผู้ค้างานศิลปะหลายคน แสดงความหวังว่าชีวิตจะกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนเกิดโรคระบาด

จิตรกรและเจ้าของร้าน Yang Lita กล่าวว่าเธอสูญเสียเงินระหว่างการปิดร้านว่า “ร้านของฉันสูญเสียรายได้เกือบทั้งหมดเมื่อเกิดวิกฤต Covid-19

เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า สภาพที่ยากลำบากทำให้เธอต้องลดจำนวนพนักงาน โดยสั่งภาพวาดจากจิตรกรที่ใกล้ชิดเท่านั้นซึ่งทำให้จิตรกรเปลี่ยนงานจากช่างทาสีเป็นชาวนา โรงงาน หรือคนงานก่อสร้าง”

การเริ่มต้นใหม่ของภาคการท่องเที่ยวจุดประกายความหวังให้กับ Yong Leyta ซึ่งกล่าวว่า “ฉันหวังว่าร้านของฉันจะมีลูกค้า 70% เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต”

จิตรกร SeabKhorn เห็นด้วยและกล่าวว่า “ผมมีปัญหามากมายตั้งแต่เกิดการระบาดของ Covid-19 นักท่องเที่ยวก็ลดลง ตลาดปิด และฉันตกงานตั้งแต่เกิดโรคระบาด" เสริมว่าการเลี้ยงสัตว์ก็ไม่เป็นผลดีกับเขา

เมื่อได้รับข่าวการกลับมาเปิดภาคการท่องเที่ยวอีกครั้ง เซียบกรณ์ กล่าวอย่างมีความสุขว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับข่าวดีนี้ว่ารัฐบาลจะกลับมาเปิดการท่องเที่ยวอีกครั้ง เราจะสามารถกลับไปทำงานและมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ดังเดิม”

 

บังกลาเทศ - ‘ภาคการศึกษา’ เผชิญกับความท้าทายอันยิ่งใหญ่!! เนื่องจากโควิด-19 ผลักเด็กหลายล้านคนให้เป็นแรงงานเด็กในบังคลาเทศ

ตามรายงานล่าสุดของ ILO และ UNICEF บังคลาเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายอันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการศึกษา เนื่องจากโควิด-19 ผลักเด็กหลายล้านคนให้เป็นแรงงานเด็กในบังคลาเทศ

การปิดโรงเรียนมานานกว่าหนึ่งปีและการลดรายได้ของครอบครัว ทำให้เด็กที่ไปโรงเรียนเสี่ยงต่อการใช้แรงงานเด็ก ด้วยค่าแรงต่ำทำให้การใช้แรงงานเด็กเป็นที่นิยมในปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่จะทำเวิร์คช็อปริมถนน (งานซ่อม งานเชื่อม งานเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ) , ร้านอาหารและแผงลอย, ร้านค้าขนาดเล็ก, ร้านเสริมสวย, เบเกอรี่, เคมีภัณฑ์, การเก็บขยะและการขนส่ง

Rasheda K Chowdhury กรรมการบริหารโครงการรณรงค์การศึกษายอดนิยม กล่าวว่า สิ่งที่กำลังแสดงให้เห็นอยู่ในตอนนี้คือ จำนวนเด็กที่ออกจากโรงเรียนและทำงานที่เสี่ยงอันตรายเพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลมีบทบาทและความรับผิดชอบในการส่งเด็กกลับโรงเรียนตามแผนการศึกษาและแผนงาน

มีการกล่าวถึงว่า เด็กที่ยากจนและอดอยากได้รับความช่วยเหลือประมาณ 33 เปอร์เซ็นต์ ของความช่วยเหลือในบ้านในธากา นักเรียนเกรดแปดที่ทำงานในเวิร์กช็อปยังกล่าวด้วยว่า หลังจากที่โรงเรียนปิดเป็นเวลานาน เพื่อนร่วมชั้นของเขาหลายคนเริ่มทำงานในสถานที่ต่าง ๆ ท่ามกลางความยากลำบากจากการระบาดครั้งใหญ่นี้ด้วย

สถานการณ์และความยากลำบากทางการเงินผลักดันให้นักเรียนโรงเรียนชูโมนาทำงานเป็นช่างเย็บปักถักร้อย

นอกจากนี้ Ripon บอกกับ A24 ว่าเขาอยากที่จะกลับไปโรงเรียนและเรียนต่อในชั้นประถมศึกษาปีที่ 10 ของเขา แต่การปิดโรงเรียนและความต้องการใช้จ่ายของครอบครัวทำให้เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

มัลดีฟส์ - การแข่งขันระดับภูมิภาค! เพื่อโอกาสในการลงทุนใน “มัลดีฟส์”

มัลดีฟส์เป็นความทะเยอทะยานของประเทศในภูมิภาคหลัก ๆ ที่แข่งขันกันเพื่อแย่งชิงอิทธิพล โดยเฉพาะอินเดียและจีน

ปักกิ่งลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในภูมิภาคนี้ระหว่างการปกครองของ Abdulla Yameen อดีตผู้นำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (BRI) ของจีน ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุงการเข้าถึงการค้าทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม จีนถูกวิจารณ์อย่างหนัก ส่วนใหญ่มาจากประเทศตะวันตก ที่เรียกเก็บเงินจากประเทศกำลังพัฒนาที่มีหนี้สินที่ไม่ยั่งยืนซึ่งพวกเขาไม่มีความหวังในการชำระคืน

ในขณะเดียวกัน จีนตอบว่าเงินกู้ของตนได้รับการต้อนรับและมีความจำเป็นอย่างมาก โดยชี้ให้เห็นว่าจีนไม่ได้กำหนดเงื่อนไขเบื้องต้นทางการเมืองใด ๆ และให้เงินทุนแก่สถานที่ที่ผู้บริจาคชาวตะวันตกละเลย

สำหรับผู้เชี่ยวชาญ การลงทุนของจีนก่อให้เกิดประโยชน์มากมายแก่ประเทศเหล่านี้ Maya Majueran K. ผู้อำนวยการ BRISL กล่าวว่า BRI ได้นำประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมากมายมาสู่ประเทศที่เข้าร่วม นอกจากนี้ ท่าเรือโคลัมโบ CICT-Terminal ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีนยังเป็นประโยชน์ต่อศรีลังกาอย่างมาก

“ในปี 2564 CICT-Terminal เป็นท่าเทียบเรือตู้สินค้าที่ดีที่สุดในเอเชียที่มีขนาดไม่เกิน 40 ล้าน TEU และนี่เป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ปี 2017 และฉันมั่นใจว่า CM Port ของจีนได้นำความรู้ด้านเทคโนโลยีมาสู่ท่าเรือ Colombo เช่นเดียวกับท่าเรือ Hambanthota และ โครงการเมืองท่าเรือโคลัมโบ” Majueran K. กล่าว

Shiraz Yoonus สภาที่ปรึกษาการพัฒนาองค์กร กล่าวถึงเหตุผลที่มัลดีฟส์ย้ายออกจากการลงทุนจากประเทศจีน มาเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2015 โดยการมีส่วนร่วมของอินเดีย “โดยส่วนใหญ่ ปัจจัยด้านสงครามก็คือมีการสนับสนุนจากอินเดียของเรา และปากีสถานอยู่ที่นั่น”

เธอยังตั้งคำถามเกี่ยวกับการลงทุนว่า “เป็นกับดักแบบนุ่มนวลระดับภูมิภาคอีกแบบหนึ่งหรือไม่? ฉันจะเรียกมันว่าจักรวรรดินิยมสมัยใหม่”

เทศกาลประกวดวัว “Viehschau” ประเพณีที่น่าหวงแหนของ...สวิตเซอร์แลนด์

เทศกาลประกวดวัว จริง ๆ แล้วสมัยก่อน เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงยุคกลางตอนปลายจนถึงยุคสมัยใหม่ การเลี้ยงวัวเป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่โดดเด่นในภาคกลางของสวิตเซอแลนด์ ดังนั้นตลาดปศุสัตว์ในท้องถิ่นจะมีบทบาทเป็นอย่างมาก รวมถึงสหกรณ์การเพาะพันธุ์โคนมในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น งานเทศกาลประกวดวัวนี้ แต่ละที่จะจัดในช่วงเวลาที่แตกต่างกันเริ่มจากกันยายน ไปจนถึงตุลาคม 

งาน Vieh Ausstellung (ฟี เอ๊าซชเตลลุ่ง) หรือ Viehschau (ฟีเชา) ในภาษาเยอรมัน ส่วนในภาษาสวิสไม่มีภาษาเขียน พวกเราชาวนาเรียกกันว่า “เฟ อู๊ซชเตลลิค” (วีวี่พูดคำนี้ ในกลุ่มที่ทำงานเพื่อน 5 คน ซึ่งมีวีวี่กับเพื่อนอีกคนเท่านั้นจะรู้ว่าหมายคืออะไร จึงอาจจะเป็นส่วนน้อยหรือชาวนาที่อาจจะทราบความหมายของมัน) 

ซึ่งงานนี้หลัก ๆ สมัยก่อนนอกจากจะเป็นตลาดซื้อ - ขายแม่วัวพันธุ์ดี หรือลูกวัวที่มาจากแม่พันธุ์ดี ๆ หรือพ่อวัวเพื่อเอามาไว้ผสมพันธุ์แล้ว ยังมีการแข่งขัน ‘โชว์วัว’ คือเอาวัวของตัวเองมาโชว์กันในงาน เพื่อตามหาแม่พันธุ์ที่ดีที่สุดอีกด้วย แม้ว่าการเกษตรจะสูญเสียความสำคัญไปมากตั้งแต่ช่วงปี 1950 แต่ “เฟ อู๊ซชเตลลิค” ก็ยังคงเป็นที่พบปะทางสังคมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ได้รับความนิยมอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทของสวิตเซอร์แลนด์ตอนกลาง ซึ่งปัจจุบันไม่เพียงแต่ดึงดูดใจชุมชนชาวเกษตรกรรมเท่านั้น แต่รวมไปถึงส่วนอื่น ๆ ของประชากรด้วย 

ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในการเพาะพันธุ์วัวในสวิตเซอร์แลนด์ คือตลาดวัวที่รัฐ Zug (ซูก) ที่มีลูกวัวตัวผู้มากถึงประมาณ 250 ตัวเลยทีเดียว จัดขึ้นโดย Braunviehzuchtverband (คล้าย ๆ สหกรณ์ในไทยบ้านเรา) ตั้งแต่ปี 1898 และจะจัดขึ้นวันพุธ และวันพฤหัสบดีในสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน ซึ่งจะมีเกษตรกร ชาวนา ตัวแทนจำหน่ายและผู้ซื้อ หลั่งไหลมาจากทุกส่วนของประเทศรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน และถึงแม้จะมีการเปิดตัวของการผสมเทียมในปี 1960 ตลาดซื้อขายเพาะพันธุ์วัวจะสูญเสียความสำคัญเชิงหน้าที่บางอย่างสำหรับพ่อพันธุ์ - แม่พันธุ์ แต่อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นเทศกาลที่สำคัญในปฏิทินของชาวรัฐ Zug ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อ นายธนาคาร พ่อค้า หรือชาวนา 

‘เพลงรักชาติ’ น้ำมนต์ หรือ อาหารใจ ?

เพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” เป็นกระแสดนตรี ที่มีการรับรู้เป็นกระแสการเมือง จากเนื้อหาที่ปลุกสำนึกรักชาติ โดยนำเพลงซึ่งคนรุ่นกลางและรุ่นใหญ่ รู้จักกันในฐานะ “เพลงสุนทราภรณ์” ที่เผยแพร่ครั้งแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2488 ผู้ที่มีส่วนตั้งแต่ครั้งที่เพลงนี้ชนะการประกวด “การแต่งเพลงปลุกใจ” ครั้งนั้น ได้แก่ มัณฑนา โมรากุล, ชวลีย์ ช่วงวิทย์, สุปาณี พุกสมบุญ และเพ็ญศรี พุ่มชูศรี แต่ยังไม่ได้มีการบันทึกเสียงไว้ ต่อมาเมื่อได้มีการบันทึกเสียง มีนักร้องซึ่งเป็นดาวเด่นของวงสุนทราภรณ์ เป็นผู้ขับร้องได้แก่ ศรีสุดา รัชชตวรรณ, มาริษา อมาตยกุล, บุษยา รังสี และวรนุช อารีย์

แม้ว่าจะเป็นเพลงปลุกใจผู้คนในอดีตส่วนใหญ่ ไม่ได้โยงเพลงเข้ากับการเมืองอย่างจริงจัง เพราะโดยสภาพทั่วไป แม้ว่าจะมีอิทธิพลของลัทธิการเมืองแทรกแซงอยู่ในสังคม แต่ภาพโดยรวมคือ คนไทยย่อมรักชาติ เกิดเมืองไทย โตเมืองไทย ไม่รักชาติแล้วจะไปอยู่ที่ไหน เพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” ในอดีตที่ผ่านมา จึงเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกที่ดี เป็นเพลงที่มีทำนองไพเราะ ชวนให้ร้องตาม

แต่เมื่อเพลงถูกนำกลับมาเสนอใหม่ โดยสร้างสรรค์ในสไตล์ดนตรีแตกต่างกัน รวม 4 เวอร์ชัน เพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” ไม่ได้เป็นแค่เพลง ไว้ฟังให้ Feel Good เท่านั้น แต่ทำหน้าที่เหมือนเป็น “น้ำมนต์” หรือเป็น “กระบอง” ไว้ฟาดฝ่ายตรงข้าม

ฝ่ายตรงข้าม คือ กระแสการด้อยค่าประเทศไทย อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน มีการเปิดเพจเฟซบุ๊ก เชิญชวนให้คนทุกรุ่น ย้ายภูมิลำเนาไปแสวงหาอนาคตในประเทศอื่น และเสนอข้อมูลที่เกลี้ยกล่อม ถึงสังคมที่ขาดความเท่าเทียม ขาดความยุติธรรมในกลไกต่าง ๆ เช่น ด้านกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการที่รัฐพึงจัดให้แก่ประชาชน แต่เนื่องจากข้อมูลที่นำเสนอนั้น ไม่ตรงกับสภาพที่ผู้คนในสังคมไทยได้สัมผัสเสมอไป วาทกรรมที่ปรากฏทั้งในลักษณะคำพูด และตัวอักษร จึงถูกมองเห็นว่าเป็นลักษณะ “ชังชาติ” และการรับมือกับพฤติกรรม “ชังชาติ” คือ การแสดงความรักชาติ รักแผ่นดินไทย

การโต้ตอบระหว่างฝ่ายด้อยค่าประเทศไทย และฝ่ายรักประเทศ มีมากมายทั้งทางโซเชียลมีเดีย และสื่ออื่น ๆ เช่น รายการทีวี อินโฟกราฟิก และคลิปยูทูบ และเครื่องมือที่เชื่อว่าจะใช้ตอบโต้ได้ดี คือ ดนตรี ดังนั้นจึงเกิดโปรเจกต์ “บ้านเกิดเมืองนอน 2564” ที่ดึงคนดนตรีมาร่วมงานกันมากมายถึง 22 คน โดยนำเสนอในสไตล์ Rock, Pop, Jazz และ Piano 

สไตล์ดนตรีหลากแนว สนองต่อรสนิยมดนตรีของคนฟัง ค่อย ๆ ทยอยปล่อยแต่ละเวอร์ชันออกมาตาม ๆ กันเกิดเป็นกระแส เกิดเป็นข่าว เกิดเป็นพลังในการโต้ตอบกับการด้อยค่าประเทศชาติ แต่คำถามคือ เป็นกลยุทธ์ตอบโต้ ที่มีความยั่งยืน หรือเป็นเพียงการแลกหมัดเฉพาะเหตุการณ์ ?

มหัศจรรย์แห่ง “น้ำตกไรน์” (Rheinfall) 1 ใน 3 น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป!!

วันนี้วี่จะมาเล่าเรื่อง “น้ำตกไรน์” (Rheinfall) ให้ฟัง ไม่ว่าใครจะไปจะมาวี่จะต้องพามาที่น้ำตกนี้เสมอ เหตุผลไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแค่เพราะว่ามันอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ เดินทางง่าย - ค่าตั๋วถูก ซึ่งปกติวี่จะนั่งรถไฟไปลงที่สถานี “Schloss Laufen am Rheinfall” ตรงฝั่งปราสาทจะมีเส้นทางเดินเลียบน้ำตกจากตัวปราสาท จุดนี้เป็นจุดที่เราจะได้อยู่ใกล้น้ำตกที่สุด เสียค่าเข้า 5 ฟรังค์ (ประมาณ 180 บาทไทย) ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพงเลยถ้าแลกกับความประทับใจของบรรยากาศตลอดเส้นทาง ส่วนอีกทางเป็นทางที่จะมาลงที่ป้าย Neuhausen Rheinfall ซึ่งเส้นนี้จะเป็นทางที่เห็นวิวด้านหน้าน้ำตก 

น้ำตกไรน์ (Rheinfall) เป็นน้ำตกที่เกิดจากแม่น้ำไรน์ ไปทางเหนือของ Zürich บริเวณพรมแดนระหว่างรัฐ Schaffhausen และรัฐ Zürich เป็น 1 ใน 3 น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป อีกสองที่คือ Sarpsfossen ที่นอร์เวย์ และ Dettifoss ที่ไอซ์แลนด์ 

น้ำตกไรน์ อยู่ระหว่างเมืองเล็ก ๆ ชื่อ Neuhausen am Rheinfall (นอยเฮาเซ่น อัม ไรน์ฟอล) กับ เมือง Laufen-Uhwiesen (เลาเฟ่น-อูฮ์วีเซ่น) ใกล้ ๆ เมือง Schaffhausen (ชาร์ฟเฮ้าเซ่น) ทางตอนเหนือของสวิส น้ำตกไรน์มีความพิเศษตรงที่มีน้ำเป็นสีเขียวมรกตไหลค่อนข้างเชี่ยวกระทบกับแก่งหินจนเป็นฟองสีขาวและเกิดเป็นละอองน้ำที่กระเซ็นไปทั่ว เป็นภาพที่สวยจับใจมาก ๆ บางครั้งยังมีรุ้งกินน้ำแสนสวยมาอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนได้ถ่ายภาพที่น่าประทับใจ และยังได้สูดอากาศที่สดชื่นบริสุทธิ์จากต้นไม้ใหญ่ที่เรียงรายอยู่ทั่วบริเวณอีกด้วย

แม่น้ำไรน์เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 14,000 ถึง 17,000 ปีก่อนในช่วงยุคน้ำแข็ง มีความสูง 23 เมตรและกว้าง 150 เมตร เกิดจากการละลายของหิมะ ในฤดูหนาวมีกระแสน้ำไหล 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่วนในฤดูร้อนมีกระแสน้ำไหล 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเลยทีเดียว เห็นน้ำเชี่ยวแบบนี้มีปลาด้วยนะ แต่มีแค่ปลาไหลเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวไปตามซอกหินในน้ำที่เชี่ยวแบบนี้ได้ ถ้าใครอยากสัมผัสบรรยากาศน้ำตกไรน์อย่างใกล้ชิด ก็สามารถขึ้นเรือข้ามไปเกาะกลางน้ำตก ที่มีธงชาติสวิสอยู่บนยอดโขดหินได้ 

หนังเลียนแบบคน หรือ คนเลียนแบบหนัง ?

เมื่อใดที่จัดรายการกับคุณวารินทร์ สัจเดว เรื่องภาพยนตร์ คุณวารินทร์ จะตั้งคำถามแบบไม่ต้องการคำตอบเสมอว่า “ตกลงหนังเลียนแบบชีวิต หรือชีวิตเลียนแบบหนัง?”

คำถามนี้ เป็นคำถามในรูปแบบของ “ไก่กับไข่ อันไหนเกิดก่อนกัน” ? 

จุดประสงค์ของภาพยนตร์ คือการให้ความบันเทิง ความบันเทิง ไม่ได้หมายถึงความร่าเริง สนุกสนาน ตลกโปกฮา เท่านั้น! ผู้ชมได้รับความบันเทิงจากการร้องไห้จนตาบวม เมื่อได้ชมเรื่องโศกเศร้า หรือตื่นเต้นจนต้องยกขาขึ้นจากเก้าอี้ หรือส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ การได้ปลดปล่อยทางอารมณ์คือความบันเทิง ความบันเทิงของภาพยนตร์ จึงหลากหลาย รวมไปถึงภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวสำคัญในประวัติศาสตร์ เรื่องราวที่เปิดโลกทัศน์ให้ชาวโลก เรื่องราวที่ชวนให้ผู้ชมคิดตาม ทั้งในแง่จิตวิทยา สังคม วัฒนธรรม ศรัทธา และความเชื่อ เรื่องราวทั้งเรื่อง หรือเพียงบางช่วง ฝากข้อคิดและกระตุ้นให้ผู้ชมวิเคราะห์ด้วยเหตุผล

การสร้างภาพยนตร์โดยเสนอความคิดรวม (Theme) หรือพล็อต (Plot) ที่ตรงกับอารมณ์สาธารณะในช่วงเวลานั้น เป็นแนวทางของการสร้างภาพยนตร์ ที่สามารถทำเงินได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน เช่น ในยามที่สังคมส่วนใหญ่ รู้สึกคับข้องใจ เก็บกด แค้นเคือง อยากได้พลังวิเศษที่ใช้ปราบทรราช หรือปราบนักการเมืองที่เหมือนปีศาจร้าย ภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ สามารถทดแทน คลายความเก็บกดได้ ภาพยนตร์แนวเทพนิยาย แอนิเมชัน แฟนตาซี และมิวสิคัล เป็นหนทางหนีจากความวุ่นวายในโลกจริง (Escapism) ภาพยนตร์กลุ่มนี้ จะออกมาในช่วงที่ผู้คนในสังคม หรือทั้งโลกเผชิญอุปสรรคที่ยืดเยื้อ ไม่จบสิ้น และปัญหาที่แก้กันไม่จบ 

ในช่วงของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ ออกมาถึง 33 เรื่อง ทั้งในแบบแอ็กชันแฟนตาซีจริงจัง และแบบแอ็กชันปนตลก เช่น Batman, Superman, Aquaman, Wonder Woman, Spiderman, Deadpool, Captain America, Dr. Strange, Suicide Squad, Fantastic Four, Guardians of the Galaxy, Justice League, Raknarok, Black Panther, Ant Man, Avengers, Captain Marvel และอีกมากมายรวมทั้งซูเปอร์ฮีโร่ในแบบแอนิเมชัน ซูเปอร์ฮีโร่ในภาพยนตร์ เผชิญหน้ากับอำนาจชั่วร้าย เพื่อปกป้องโลก ปกป้องประชาชนไร้เดียงสาที่ตกเป็นเหยื่อของสิ่งเลวร้าย

เมื่อหนังจบ ฝ่ายชั่วร้ายถูกทำลาย นำความพึงพอใจมาให้ผู้ชม ความรู้สึกหนักอึ้งที่สะสมอยู่ในใจ ได้ถูกปลดปล่อยออกไป แม้ว่าในโลกจริงนั้น สถานการณ์รอบตัวยังไม่เปลี่ยนแปลง

Black Panther เป็นซูเปอร์ฮีโร่ผิวดำ เป็นชนเผ่าที่ผดุงไว้ซึ่งความชอบธรรม และปกป้องโลก Wonder Woman และเผ่าพันธุ์ของเธอ ก็เช่นกัน ตัวละครเหล่านี้เกิดจากความต้องการที่ซ่อนอยู่ในจิตสำนึก อยากให้โลกมีคนเก่งเช่นในหนัง มาช่วยกอบกู้สถานการณ์ในยามที่สภาพความเป็นอยู่มืดมน

หนังเป็นช่องทางหลีกหนีจากความจริง เพราะหนังชดเชยในสิ่งที่อยากให้มี อยากให้เป็น แต่เป็นไปไม่ได้ในโลกจริง ผู้คนสานต่อจินตนาการของภาพยนตร์ได้เพียง คอสเพลย์ แต่งแฟนซีเป็นซูเปอร์ฮีโร่ไปงานปาร์ตี้ หรือสร้างความสนุกสนานในโอกาสต่าง ๆ

นอกจากซูเปอร์ฮีโร่แล้ว ภาพยนตร์ยังถ่ายทอดเรื่องราวในมุมอื่น ๆ ของชีวิตมนุษย์ เช่นเรื่องการคอร์รัปชันในองค์กรทั้งของรัฐ และเอกชน การเสียสละและต่อสู้เพื่อส่วนรวม การเหยียดชนชั้นและสีผิว ไปจนถึงเรื่องการล่วงเกินทางเพศของนักบวชในศาสนาต่าง ๆ เป็นเรื่องราวของหนังเลียนแบบชีวิต

แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง สังคมเห็นว่าผู้คนเลียนแบบหนัง โดยกล่าวโทษว่าหนังเป็นต้นเหตุของการใช้ยาเสพติด อาชญากรรมประเทศต่าง ๆ ทั้งจี้ ปล้น ข่มขืน เพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน สังคมที่มี LGBTQ เพิ่มขึ้น การฆ่าตัวตาย การหย่าร้าง และพฤติกรรมไม่สร้างสรรค์สารพัดรูปแบบเกิดจาก คนเลียนแบบหนัง

ด้วยเหตุที่เชื่อกันว่า หนังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมเลียนแบบหนัง จึงต้องมีการตรวจตราเนื้อหาที่หนังจะนำเสนอ

วัดกันที่ “Chilbi” (คิลบี้) เทศกาล ‘งานวัด’ สไตล์สวิส

งาน Chilbi (คิลบี้) ในภาษาสวิสหรือ Kirchweih (เคีรยคไวห์) ในภาษาเยอรมัน เป็นอารมณ์คล้าย ๆ งานวัดของไทยเรา เป็นเทศกาลที่น่าจะมีมาตั้งแต่ยุคกลางปี 1330 โอ้โห! 690 ปีแล้วนะ ครั้งแรกเกิดขึ้นที่ Wetzikon จากครอบครัวที่ร่ำรวยมั่งคั่งและมีอำนาจในสมัยนั้น เป็นผู้ที่สืบทอดโบสถ์โดยการนำเอาญาติพี่น้องในตระกูลมาเป็นบาทหลวงเพื่อรักษาอำนาจให้คงอยู่ ได้มีการเฉลิมฉลองการรับบาทหลวงเป็นครั้งแรกสำหรับโบสถ์นี้ และนับแต่นั้นก็มีการเฉลิมฉลองแบบนี้ทุก ๆ ปีจนถึงปัจจุบัน

ส่วนในปี 1334 Bischof von Konstanz เป็นผู้มีตำแหน่งสูงทางศาสนาในภูมิภาค Konstanz ก็ได้ทำการเฉลิมฉลอง Chilbi ขึ้นหลังจากที่มีการสร้างโบสถ์เสร็จสิ้น โดยทำการเฉลิมฉลองในวันอาทิตย์หลังจากวันที่พระแม่มาเรียขึ้นสู่สวรรค์ หรือวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนสิงหาคม ซึ่งเมือง Wädenswil (แวเดนสวิล) เมืองแถวบ้านวี่ก็ยังจัดงานในช่วงเวลานี้อยู่ 

แต่ก่อน Chilbi เป็นเพียงแค่การเฉลิมฉลองธรรมดา ๆ เท่านั้น และ Chilbi Wetzikon เริ่มเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง ผู้คนจากหมู่บ้านโดยรอบจะแห่แหนมาเที่ยวงาน ในปี 1877 เป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกว่าในงานมีม้าหมุน และในปี 1947 เริ่มมีรถบั๊มพ์เข้ามา ต้นศตวรรษที่ 20 วิวัฒนาการต่าง ๆ เริ่มเข้ามามีบทบาท งาน Chilbi ก็มีการพัฒนาเช่นกัน มีเครื่องเล่นเครื่องร่อนมากมาย เครื่องเล่นต่าง ๆ ก็เริ่มมีความเร็ว แรง และน่าหวาดเสียวมากขึ้น 

วี่มาสวิตเซอร์แลนด์ครั้งแรกในปี 2001 ตอนที่ได้มางานวัดครั้งแรกรู้สึกตื่นเต้น นึกไปถึงงานวัดหลวงปู่อี๋ที่บ้านที่สัตหีบ บรรยากาศคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ตัวแสดงเปลี่ยนไปเป็นคนสวิส วัยเด็กก็ตื่นเต้นกับม้าหมุน วัยรุ่นก็สนุกสนานกับเครื่องเล่นหวาดเสียวต่าง ๆ กลุ่มเพื่อนสาวที่สนุกสนานเจี๊ยวจ๊าว คู่แฟนที่เดินจับมือเคียงกัน วัยทำงานก็จะมาหาอะไรกิน นั่งดื่มพูดคุยสังสรรค์กันตามประสา

งานที่เมือง Wädenswil จัดงาน Chilbi ติดกับทะเลสาบซูริคและบริเวณสถานีรถไฟ วี่จะไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ทุก ๆ ปีเป็นธรรมเนียมที่ทำตั้งแต่มาสวิสปีแรกจนถึงตอนนี้ เดินวนไปโดยรอบหาของกิน เล่นเกมปาลูกโป่งบ้าง ยิงปืนบ้าง ปีแรก ๆ ได้ตุ๊กตามาเต็มบ้านเลย เมื่อเดินจนเมื่อยขาก็จะมีซุ้มงานอยู่หลายจุด มีที่นั่งให้คนมานั่งกินนั่งดื่มสังสรรค์พูดคุยกันแต่อาจคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างนะเพราะเสียงดนตรีดังสนั่นหวั่นไหวมาก ๆ สมัยก่อนงานอาจมีเพียงแค่วันอาทิตย์ แต่ในปี 1958 ก็เริ่มจัดงานเป็นวันเสาร์-อาทิตย์-จันทร์ ซึ่งในวันเสาร์งานอาจมีถึงตีสองตีสามเลยทีเดียวกว่าคนจะซา ตามเต็นท์นั่งบางทีมีคนนั่งดื่มกันถึงตีสี่ตีห้าเลยทีเดียว 

ส่วนปีที่แล้วเป็นปีที่แปลกใหม่สำหรับพวกเรามาก เพราะไม่มีงาน Chilbi อย่างเช่นปกติ จะมีเพียงชิงช้าสวรรค์เพื่อเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของงานเท่านั้น ปีนี้ก็เช่นกันแต่อาจจะมีร้านขนม ร้านยิงปืน ร้านปาลูกโป่งอยู่สองถึงสามร้านเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นมาจากปีที่แล้ว เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดนั่นแหละ บางงานที่ใหญ่หน่อยเค้าจะจัดงานไว้ 2 โซน คือโซนร้านค้าซึ่งเปิดใครเข้าไปก็ได้ กับโซนเครื่องเล่น ซึ่งโซนเครื่องเล่นนี้ต้องมีใบ certificate ว่าฉีดวัคซีนแล้ว แต่ถ้าไม่มี เขามีจุดบริการตรวจโควิดฟรีหน้างานด้วยนะ 

บางครั้งวี่ก็รู้สึกว่าโลกใบนี้แม้จะกว้างใหญ่แค่ไหน แต่หลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่าง มันช่างคล้ายกันอย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ เพราะแม้เอเชียและยุโรปจะห่างไกลกันแค่ไหน แต่ก็มีสิ่งที่คล้ายกันอยู่หลาย ๆ อย่าง เช่นอย่างงาน Chilbi ที่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับโบสถ์และศาสนา ซึ่งก็คล้ายกับไทยเราที่งานวัดก็เกี่ยวข้องกับวัดและศาสนาเช่นเดียวกัน โลกที่ดูเหมือนกว้างใหญ่และมีความแตกต่างในหลาย ๆ ด้าน หรือที่จริงแล้วมันมีความเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่มาตลอด…


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

มรดกโลก “อเลิท์ซ กลาเซียร์” (Aletsch Glacier) มหาธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์

“Aletsch glacier” (ธารน้ำแข็งอาเล็ทช์ กลาเซียร์) เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ (Alps) อยู่ในรัฐ Wallis (วาลิส) มีความยาวถึง 23 กิโลเมตรกินพื้นที่ตั้งแต่ Jungfrau มาจนถึง Valias (Wallis) ช่วงที่หนาที่สุดของธารน้ำแข็งคือลึกประมาณ 900 เมตรเลยนะ แถมเจ้าธารน้ำแข็ง Aletsch ยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 200 เมตรต่อปี แบบที่เราไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ 

การเดินทางก็สามารถเลือกได้หลายเส้นทาง  
>> 1.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Fiesch ไปที่ Fiescheralp และต่อไปที่ยอดเขา Eggishorn จากตรงนี้ถ้าอากาศดีจะสามารถมองเห็น Jungfrau Joch (ยุงเฟรา Top of Europe) และ Matterhorn (มัทเทอร์ฮอร์น) ได้ด้วย 
>> 2.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Mörel (เมอเรล) ไปที่ยอดเขา Riederalp ตรงนี้สามารถ Hiking เส้นทางง่าย ๆ ได้ เส้นทางป่าตรงนี้สวยงามมาก จุดนี้ไม่มีร้านอาหารมีแต่เป็นเหมือนรถตู้เก่า ๆ เปิดให้เราสามารถซื้อเครื่องดื่มต่าง ๆ มีโต๊ะวางกลางแจ้งอยู่ 2-3 โต๊ะ แต่จะเปิดเฉพาะอากาศดีเท่านั้น 
>> 3.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Betten (เบทเท่น) ไปที่เมือง Bettmeralp (เบทเมอร์อัล์ป) แล้วต่อกระเช้าไปที่ยอดเขา Bettmerhorn (เบทเมอร์ฮอร์น) ตรงนี้มีร้านอาหารให้นั่งดื่มกาแฟดูวิวสวย ๆ ชิล ๆ ได้ด้วย ซึ่งวี่เลือกแบบที่ 3 เพราะหลงรักเมืองเล็ก ๆ บนภูเขาที่ชื่อ Bettmeralp มาก และมาบ่อยมาก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

“Bettmeralp” เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ปลอดมลพิษคล้าย ๆ Zermatt เพราะมีแต่รถไฟฟ้าวิ่งเท่านั้น ไม่มีรถยนต์ที่เป็นเครื่องเบนซินหรือดีเซลเลย ช่วงหน้าหนาวที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการเล่นสกี แต่หน้าร้อนก็สวยไม่แพ้กัน ที่วี่ชอบมากเพราะบ้านจะเป็นบ้านไม้แบบสมัยก่อน แม้กระทั่งโรงแรม หรือ airbnb ก็จะทรงเดียวกันหมดเลย ที่สถานี Betten สามารถซื้อตั๋ว 3 days pass ได้ในราคา 45 ฟรังค์ (ถ้ามีบัตรครึ่งราคา) ถ้าไม่มีราคาเต็มคือ 65 ฟรังค์ สำหรับวี่ว่าราคาเหมาะสมนะ เพราะสามารถขึ้นกระเช้าในระแวกนั้นฟรี และขึ้นรถบัส-รถไฟระแวกนั้นฟรีทั้งหมด

ที่วี่มาคราวนี้ไม่ใช่แค่มาชมความยิ่งใหญ่และสวยงามของธารน้ำแข็ง Aletsch เพียงเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกว่ามาหลายครั้งมากแล้ว ครั้งนี้ตั้งใจเพื่อมา Hiking โดยเฉพาะ และว่ากันว่ามีหลายเส้นทางที่สวย แต่วี่สนใจอยู่ 2 เส้นทาง คือ 

>> เส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) เส้นทางสันเขา ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) กับเส้นทางที่เรียบขนานธารน้ำแข็งหรือเส้นทาง 360 องศา ‘Panorama’ เป็นเส้นทางที่เราจะเดินใกล้ธารน้ำแข็งได้มากที่สุด มีระยะทาง 12.2 กิโลเมตร แต่เดินจริง GPS จับได้ระยะทางประมาณเกือบ 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินรวมกับการพักเกือบ 6 ชั่วโมง วี่เองก็กลัวไม่ไหว...ประกอบกับดูพยากรณ์อากาศบอกว่าสักช่วงบ่ายสามจะมีพายุฝน เลยชั่งใจอยู่ว่าจะไปทางไหน ซึ่งเส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) คือเดินบนสันเขาได้วิวมุมสูง ระยะทางแค่ 3-4 กิโลเมตร แต่เป็นการเดินขึ้นและลงแบบสุดแรง และถ้าฟ้าไม่เปิดจะมองไม่เห็นอะไร ส่วนอีกทางมีระยะทางยาว และเส้นทางช่วงต้น ๆ จะเดินยากนิดหน่อย ใช้เวลานาน ซึ่งไม่รู้จะทันบ่ายสามก่อนพายุเข้าไหม ถ้าไม่ทันจะไม่สนุกแน่เพราะจะเจอพายุบนเขา สรุปวี่เลยเลือกเส้นทางนี้ เพราะวี่มีความต้องการที่จะเข้าใกล้ธารน้ำแข็งให้มากที่สุด

>> เส้นทาง ‘360 องศา panorama’ เริ่มจาก Bettmerhorn ที่ความสูง 2,858 เมตรจากระดับน้ำทะเล อ้อมไปด้านหลังของยอดเขา Eggishorn (เอกิสฮอร์น) ผ่านทะเลสาป Vordersee มาจบที่สถานีกระเช้า Fiescheralp ที่ความสูง 2,212 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพื่อลงมาที่เมือง Fiesch และนั่งรถบัสหรือรถไฟ ก็ได้กลับมาที่เมือง Betten เพื่อมานั่งกระเช้าขึ้นมาที่ Bettmeralp เพราะโรงแรมอยู่ที่นี่ ถึงแม้ระยะทางมันจะยาวแต่วิวมันว๊าวมันสวยสะกดมากกกกก!! มีล้านให้เต็มล้านเลยแหละ 

ส่วนคำเตือนของเส้นทางนี้คือไม่เหมาะกับคนที่เวียนหัวง่าย เพราะบางช่วงบางตอนทางแคบ ตัดจากทางเดินคือเป็นผาและตัดตรงลงพื้น ด้วยความสูงขนาดนี้คงไม่ต้องบอกเนาะว่าตกมาจะเป็นไง... ดังนั้นจึงมีป้ายเตือนก่อนตรงจุดตั้งต้น และแนะนำควรใส่รองเท้า Hiking เพราะพื้นผิวของเส้นทางมีความหลากหลายสำหรับผู้ไม่คุ้นชิน ต่อมาก็ลงมาถึงสถานีกระเช้าช่วง 4 โมงเย็น พายุกำลังโหม ทำให้กระเช้าเล็กที่นั่งเกิดการแกว่งไปมาเพราะลม เดินสัก 2 กิโลเมตรสุดท้าย ก็เกิดลมแรง ทั้งฝน ทั้งเหนื่อย ทั้งเปียก ทั้งหนาว ความรู้สึกของขาเรามันเหมือนหนักสักร้อยกิโล ยกเหมือนจะไม่ขึ้น เหมือนจะเดินไม่รอด แต่ในที่สุดวี่ก็ทำได้สำเร็จและกลับมาถึงโรงแรม นึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจไปในวันนี้ มันเติมเต็มความรู้สึกดีมาก และมีความสุขมากจริง ๆ

วี่รักบรรยากาศหมู่บ้าน Bettmeralp รู้สึกอบอุ่นผ่อนคลายและสบายใจ ชอบขึ้นไปนั่งดูธารน้ำแข็ง นั่งดูได้ทีละนาน ๆ ไม่รู้จักเบื่อเลย ยังนึกไปด้วยซ้ำว่าเราเป็นแค่คนซึ่งถ้าเทียบกับธารน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่เราก็ตัวเล็กนิดเดียว และเราไม่สามารถที่จะงัดข้อกับธรรมชาติที่แสนจะยิ่งใหญ่ได้เลย ธรรมชาติบางครั้งก็ช่างสวยงามเสียเหลือเกิน แต่บางคราก็อาจจะน่ากลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน...


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top