Saturday, 20 April 2024
EDUCATION NEWS

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สรุปจากที่ประชุม โรงเรียนเอกชนทั่วไทย 524 แห่ง ยอมคืนค่าธรรมเนียมอื่นรวมเป็นเงินกว่า 561 ล้านบาท ใช้คืนเป็นเงินสด หรือส่วนลดปีถัดไป

นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เปิดเผยในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ว่า ได้มีการรายงานเรื่องการคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่นของโรงเรียนเอกชนให้ผู้ปกครอง โดยมีโรงเรียนที่คืนค่าธรรมเนียมอื่นจำนวน 524 แห่ง รวมเป็นเงินกว่า 561 ล้านบาท เช่น ค่าอาหาร ค่าอาหารเสริม ค่าอาหารว่าง ค่ารถรับส่ง ค่าเรียนเสริมวิชาการ ค่าเรียนสอนเสริมภาษาต่างประเทศ เป็นต้น

โดยวิธีการคืนค่าธรรมเนียมจะมี 2 ลักษณะ คือ คืนเป็นเงินสด หรือ คืนในรูปแบบเงินเครดิต เพื่อใช้เป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในปีการศึกษาต่อไป ส่วนโรงเรียนเอกชนบางแห่งที่ไม่มีการคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่น นั้น เนื่องจากโรงเรียนมีการจัดการเรียนการสอนชดเชยให้นักเรียนตามจำนวนเวลาเรียนที่ขาดไปจนครบหลักสูตร

ส่วนกรณีที่มีโรงเรียนเอกชนบางแห่งที่ไม่คืนค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่น และมีการจัดสอนเสริมให้แก่เด็กเรียนจำนวนมากกว่าปกติ จนเกิดความกังวล ว่า เป็นการเพิ่มภาระและความเครียดให้กับบุตรหลานมากเกินไปหรือไม่ นายอรรถพล มองว่าต้องพิจารณาเป็นโรงเรียนไป เพราะ โรงเรียนเอกชนส่วนใหญ่มีการปฏิบัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนได้ออกมาตราการไปเป็นที่เรียบร้อย เลขาฯ กช.กล่าว

สำนักงานศาลยุติธรรมประกาศวันสอบข้อเขียนเพื่อรับทุนของสำนักงานศาลยุติธรรมไปศึกษาระดับปริญญาโท ณ ต่างประเทศ ประจำปี 2564 (ทุนสำหรับบุคคลทั่วไป)

วันและเวลาสอบข้อเขียน

วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564 เวลา 13.00 – 15.00 น.

โดยให้ผู้เข้าสอบมาพร้อมกัน ณ สถานที่สอบ เวลา 12.30 กรณีผู้เข้าสอบมาถึงห้องสอบหลังจากเวลา 13.00 น. จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องสอบ

รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก

http://oia.coj.go.th/th/content/category/detail/id/10/cid/21/iid/233562

กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมมือ สถานทูตแคนาดา และสภาหอการค้าประเทศแคนาดา จัดหาครูต่างชาติสอนในโรงเรียนประจำตำบล 300 แห่ง เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของเด็กไทย เริ่มเดือนพฤษภาคมนี้

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ชี้แจงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ได้ทำข้อตกลงร่วมกับสถานทูตแคนาดา และสภาหอการค้าประเทศแคนาดา ในการจัดหาครูต่างชาติมาสอนในโรงเรียนดีประจำตำบล 300 แห่ง โดยเป็นระยะเวลาการดำเนินงาน 1 ปี คาดว่าจะเริ่มต้นในเดือน พ.ค.2564 นี้

เพื่อเป็นการเพิ่มทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียน เชื่อว่าภายใน 3 - 5 ปี เด็กที่เรียนภาษากับเจ้าของภาษาโดยตรง จะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างแน่นอน ในอนาคตจะมีครูต่างชาติมาสอนในโรงเรียนมากกว่า 300 แห่ง หรืออาจเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 แห่งอีกด้วย

รมว.ศึกษาธิการ ชี้แจงต่อว่า สำหรับนโยบายของตนนั้นต้องการให้เกิดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กปฐมวัย ด้วยภาษาคำศัพท์ง่ายๆ เพราะคิดว่าช่วงปฐมวัยเป็นวัยที่จะเรียนรู้เรื่องภาษาได้ดี โดยมีการผสมผสานกับแผนบูรณาการการศึกษากับโรงเรียนที่มีคุณภาพของชุมชน และโรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง ที่จะทำให้เด็กมีทักษะความพร้อมด้านภาษา เนื่องจากเด็กจะได้เรียนภาษากับครูต่างชาติโดยตรง

นอกจากนี้มีการหาแนวทางยกระดับภาษาอังกฤษให้กับครู เพราะไม่ว่าจะเป็นครูหรือผู้บริหารสถานศึกษา จะต้องมีทักษะภาษาอังกฤษที่เหมาะสม มีความรู้ความสามารถเพียงพอในการค้นหาข้อมูลเพื่อนำมาสอนเด็กได้ ซึ่งจะทำให้ความกว้างขวางในการค้นหาความรู้ของครูมากขึ้น


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/education/827107

ส่องปรากฏการณ์ "Clubhouse" แพลตฟอร์มแชทด้วยเสียงที่กำลังเป็นกระแสความนิยมในขณะนี้ กับความท้าทายสถาบันการศึกษาของไทย ที่กำลังเผชิญกับอีกคลื่นหนึ่งของการดิสรัปชั่นที่ทำให้ตกไปจากเส้นความสนใจ และต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อสนองตอบต่อคนรุ่นใหม่

ช่วงสองสัปดาห์นี้หน้านิวส์ฟีดของทุกคนคงเต็มไปด้วยเรื่องของ Clubhouse โซเชียลมีเดียที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากในสังคมไทยขณะนี้ ทุกวงการต่างกล่าวถึงการเข้าไปแลกเปลี่ยนพูดคุยกันบนแพลตฟอร์มนี้ ตั้งแต่เรื่องธุรกิจ สังคม การเมือง ไปจนกระทั่งเรื่องจิปาถะในห้องที่เปิดให้พูดคุย ฟัง แสดงความเห็นอย่างหลากหลาย

ความโด่งดังยิ่งเพิ่มขึ้นจากการต้องถูกเชิญจากผู้ที่เข้าไปเป็นสมาชิกก่อนหน้า ความยากและการจำกัดจำนวนที่ไม่ใช่ใครก็ได้ เลยทำให้ยิ่งเพิ่มความกระหายของผู้คน จน Clubhouse ดังเปรี้ยงในชั่วข้ามคืน ไม่นับรวมการเข้าร่วมของคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันในสังคม จนคนที่กลัวตกขบวนต้องขวนขวายเข้าไปใน Clubhouse ด้วย

ความหลากหลายในประเด็นที่พูดคุย ผู้ตั้งประเด็น ผู้ร่วมคุยร่วมฟังและให้ความเห็นจะเป็นตัวทำให้ Clubhouse ร้อนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีกจากความง่าย ความสด ความเร็ว และการมีส่วนร่วมในประเด็นต่างๆ ในไม่ช้าจะได้เห็นแพลตฟอร์มเช่นนี้ออกมาอีกหลายราย ซึ่งก็จะเป็นเรื่องดีที่เราจะมีช่องทางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างหลากหลายจากผู้รู้จริง ทำจริงที่จะทำให้ความรู้แตกฉานไปได้อีกมากมายในสังคม

ความท้าทายอย่างยิ่งภายใต้ปรากฏการณ์ Clubhouse คือสถาบันการศึกษาของไทยกำลังจะเผชิญกับอีกคลื่นหนึ่งของการดิสรัปชั่นที่จะกวาดให้สถาบันการศึกษาตกไปจากเส้นความสนใจ หรือไม่ก็ต้องปรับตัวอย่างรุนแรงมากเพื่อสนองตอบต่อคนรุ่นใหม่ นักศึกษาจำนวนไม่น้อยบอกว่าการเข้าไปคุยกันใน Clubhouse ให้อรรถรสยิ่งกว่าการนั่งหน้าจอเรียนออนไลน์ที่ออกจะน่าเบื่อทั้งคนเรียนและคนสอนในเวลาที่มหาวิทยาลัยยังไม่เปิดอย่างตอนนี้

ที่กระทบหนักๆ แน่ๆ ในเบื้องต้นคือ ตลาดการฝึกอบรมที่น่าจะซบเซาหรือถูกกวาดล้างไปแทบจะสิ้นเชิง หลังจากที่เผชิญปัญหาหนักอยู่แล้วจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้การรวมตัวในการอบรมและสัมมนาใหญ่ๆ ทำไม่ได้อีกต่อไป การฝึกอบรมที่เคยทำรายได้ให้กับสถาบันการศึกษาและธุรกิจฝึกอบรมต่างๆ จะมี Clubhouse เป็นคู่แข่งโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Clubhouse สามารถทำได้ไม่แตกต่างกับการอบรมในห้องเรียน แถมได้วิทยากรหรือกูรูชื่อดังมาพูดให้ฟังโดยไม่ต้องเชื้อเชิญ สามารถรองรับคนได้ครั้งละหลายพัน ที่สำคัญคือฟรี ในที่สุด Clubhouse ยังจะกลายไปทำหน้าที่แทนบริษัทที่ ปรึกษาอีกด้วย ลองนึกภาพห้องสนทนาที่รวมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่างๆ มารวมกันเพื่อชี้แนวทางในการแก้ปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ปัญหาการทำมาหากิน ปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพ ฯลฯ การฝึกอบรมที่จะยืนหยัดอยู่ได้จึงต้องเป็นการอบรมแบบเข้มข้นสามารถหวังผลสัมฤทธิ์ได้ทันทีคนจึงจะยอมเสีบเงินมาอบรม ถ้าจะให้มานั่งฟังวิทยากรพูดเฉยๆ ทุกคนก็สามารถหาได้จาก Clubhouse

การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยต้องปรับตัวอย่างแรง ที่จริงถึงไม่มี Clubhouse ก็ต้องปรับกันหนักอยู่แล้ว การสอนเลคเชอร์แบบเดิมๆ ของอาจารย์จะไม่เป็นที่ศรัทธาของนักศึกษาอีกต่อไป หรือจะเชิญวิทยากรมาร่วมสอนในชั้นก็ไม่อาจเทียบความเข้มข้นได้กับหมู่กูรูชื่อก้องใน Clubhouse ที่เขาสามารถสร้างตัวตนหรือแฟนคลับได้ง่ายและกว้างขวางโดยไม่ต้องพึ่งมหาวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยโดยเฉพาะด้านสังคมศาสตร์จะต้องปรับปรุงหลักสูตรให้สามารถลงมือทำจริงได้มากขึ้น วิชาประเภทท่องตำรามาสอบต้องเลิกเสียทีแล้วหันมาโฟกัสกับการลงมือทำ หลายๆ วิชาสามารถยุบรวมกันได้ จำนวนหน่วยกิตที่เรียนต้องลดลงแล้วหาเวทีจริงให้นักศึกษามากขึ้น ที่สำคัญการเรียนแบบวิชาเอกหรือที่เรียกกันว่าไซโลเป็นเรื่องล้าสมัยแล้ว นักศึกษากระหายที่จะเรียนรู้ในเรื่องที่ไม่มีให้เขาเรียนที่อื่น กระหายที่จะข้ามศาสตร์ไปหาสิ่งที่เขาอยากค้นหา โดยไม่ติดกับคณะหรือวิชาเอก

ธรรมศาสตร์คิดเรื่องนี้มาตลอด ปริญญาที่เรียกว่า “ธรรมศาสตรบัณฑิต” จะทำให้นักศึกษารอบรู้ ทำได้จริง ทำเป็น โดยไม่ต้องติดว่าเมเจอร์อะไร นักศึกษาควรได้ความคล่องตัวในการออกแบบหลักสูตรที่เขาเชื่อว่าตรงกับความถนัดและโอกาสที่จะออกไปเลี้ยงชีพเขาในอนาคต ไม่ใช่ถูกกำหนดมาจากระเบียบข้อบังคับในการเรียนของมหาวิทยาลัย

ไม่น่าเชื่อว่า Clubhouse จะพลิกโฉมมหาวิทยาลัยไทยได้รวดเร็วพอๆ กับโควิด-19 เลยทีเดียว


ขอบคุณที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/923949

Flexible Classroom หรือห้องเรียนดิ้นได้ เป็นห้องเรียนอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับเด็ก โดยที่เด็กจะไม่ได้เพียงแค่ความรู้ แต่ได้ฝึกทักษะที่จำเป็นต่าง ๆ จากการทดลองทำจริง

เมื่อพูดถึง ‘ห้องเรียน’ คุณผู้อ่านนึกถึงห้องแบบไหนคะ ?

คุณนึกถึงห้องสี่เหลี่ยม มีกระดานดำใหญ่ ๆ ติดอยู่บนผนังหน้าห้อง มีชุดโต๊ะนักเรียนและเก้าอี้เรียงกันเป็นแถวเป็นแนวยาวไปจนถึงท้ายห้องหรือเปล่า

นั่นคือรูปแบบห้องเรียนที่พวกเราคุ้นเคยกันดีมาช้านาน แต่ถ้าหากห้องเรียนไม่จำเป็นต้องเป็นห้องที่มีเพียงโต๊ะ เก้าอี้ และกระดาน คุณอยากให้ห้องเรียนเป็นแบบไหน

พวกเราส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 20 ปีนั่งเรียนในโรงเรียน บางคนอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่านี้ นับว่ากินเวลาของชีวิตคนเราไปไม่น้อยเลยทีเดียว จึงอยากชวนคุณผู้อ่านคิดต่ออีกค่ะว่า เมื่อเราต้องลงทุนลงเวลาไปกับการเรียนหนังสือในห้องเรียนขนาดนี้แล้ว วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการเรียนคืออะไร? ทำไมเราต้องเรียน?

แน่นอนว่า คุณพ่อคุณแม่ทุกคนอยากให้ลูกเรามีชีวิตที่ดี มีความสุขและประสบความสำเร็จ และเชื่อว่าการมีผลการเรียนที่ดีจะนำพาลูกเราไปสู่เป้าหมายนั้นได้ และแล้วโลกก็เริ่มเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่าเดิมมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มมีอาชีพบางอาชีพหายไป มีอาชีพแปลกใหม่เกิดขึ้นมา แบบแผนการเรียนที่เคยดีนั้นอาจจะปรับเปลี่ยนตามไม่ทัน แต่ใช่ว่าโรงเรียนจะไม่จำเป็น ถึงอย่างไรเด็กก็ต้องไปโรงเรียน เป็นเหตุให้มีห้องเรียนรูปแบบใหม่เกิดขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในอนาคต

ปัจจุบันผู้ปกครองหลายคนเริ่มสนใจทำ Home School ให้ลูกกันมากขึ้น ซึ่ง Home School ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของรูปแบบการเรียนที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะผู้ปกครองสามารถออกแบบห้องเรียนได้อย่างเฉพาะเจาะจงกับตัวลูกและยังยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ง่ายด้วย นอกจากนั้น ยังมีห้องเรียนแบบ Flexible Classroom หรือห้องเรียนดิ้นได้เกิดขึ้น เป็นห้องเรียนอีกรูปแบบหนึ่งที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับเด็ก โดยที่เด็กจะไม่ได้เพียงแค่ความรู้ แต่ได้ฝึกทักษะที่จำเป็นต่าง ๆ จากการทดลองทำจริง

Flexible Classroom บรรลุวัตถุประสงค์ด้วยห้องเรียนดิ้นได้

หัวใจของห้องเรียนดิ้นได้ คือ ยึดบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนเป็นหลัก เน้นปฏิบัติ ทำงานเป็นทีม ต่อยอดและเติบโตจากผลลัพธ์ มากกว่าการจัดอับดับหรือให้เกรดเฉลี่ย เด็กที่เรียนในห้องเรียนดิ้นได้ จะเริ่มต้นจากผลลัพธ์ก่อนว่าเราจะเรียนสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร การทำเช่นนี้ทำให้เด็ก ๆ เข้าใจว่าเค้าจะเรียนไปเพื่ออะไร เด็กจะอยากลงมือทำและผลลัพธ์นั้นจะต้องเป็นสิ่งที่เด็กต้องการ นักเรียนจะได้เรียนจากกระบวนการนำไปสู่ผลลัพธ์ โดยที่นักเรียนหาวิธีด้วยตัวของเค้าเอง

เช่น หากน้องอยากเรียนเรื่องการเป็นผู้ประกอบการ ห้องเรียนดิ้นได้จะทำการสร้างสถานการณ์ผู้ประกอบการจริงให้กับนักเรียน และน้อง ๆ จะได้กำไรจริงขาดทุนจริง ถ้าน้องขาดทุน น้องจะได้เรียนรู้ต่อไปอีกว่าขาดทุนตรงไหน ต้องแก้อย่างไร โดยมีครูที่เป็น Innovative Educator เป็นผู้ดูแลตลอดกระบวนการ

ทั้งนี้ ห้องเรียนแบบดิ้นได้จะสามารถให้ประโยชน์แก่ลูกได้ดีที่สุด ก็ต่อเมื่อคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองต้องเชื่อมั่นว่าลูกเราทำได้ พ่อแม่ต้องหลุดออกจากความคิดว่าเค้ายังเด็กและปล่อยให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง

เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่และลูกทุกคนค่ะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก

หัวข้อ Flexible Classroom for 21st Century ห้องเรียนดิ้นได้ในศตวรรษที่ 21

Link : https://www.facebook.com/299800753872915/videos/202930958185615

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์

สพฐ. ร่วมหารือกรมสุขภาพจิต สร้างความปลอดภัยในโรงเรียน ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เตรียมประเมินสุขภาพจิตของนักเรียน จัดกลุ่มดูแลเยียวยาอย่างตรงจุด

นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ตนได้หารือร่วมกับกรมสุขภาพจิตเกี่ยวกับแนวทางการสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในโรงเรียน ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งในส่วนของการทดสอบด้านจิตใจ กรมสุขภาพจิตในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงได้เข้ามาช่วยเหลือ ทั้งด้านการถ่ายทอดความรู้ และทักษะที่ใช้สำหรับการประเมินสุขภาพจิตของนักเรียน ให้กับข้าราชการครูและบุคลากรของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทุกคน เพื่อที่จะทราบว่านักเรียนแต่ละคนมีสภาพจิตใจอยู่ในระดับใด และสามารถจัดกลุ่มนักเรียนให้ง่ายต่อการดูแลได้

ซึ่งจะมีทั้งกลุ่มเด็กสุขภาพจิตปกติ และไม่ปกติ เช่น ชอบทำร้ายตัวเอง ชอบทำร้ายผู้อื่น เป็นต้น เมื่อมีการประเมินนักเรียนแล้ว กรมสุขภาพจิตก็จะให้ความรู้กับครูว่าสามารถเยียวยา ดูแลรักษาพัฒนากับเด็กแต่ละกลุ่มนี้อย่างไร และหากเด็กกลุ่มไหนที่มีสุขภาพจิตอยู่ในระดับที่เกินความสามารถของครู ก็จะมีการประสานบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ โดยการทำงานแบบบูรณาการกัน คือ สุขภาพทางกายโรงเรียนเป็นผู้ดูแล และสุขภาพจิตทางกรมสุขภาพจิตเป็นผู้ดูแล

“ขณะนี้ สพฐ. และกรมสุขภาพจิตได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกันหมดแล้ว เมื่อ สพฐ.ป้อนข้อมูลเด็กในการตอบคำถามต่าง ๆ จะสามารถประมวลผลออกมาได้ทันทีว่าสุขภาพจิตของเด็กอยู่ในระดับไหน ก็สามารถจะจัดกลุ่มดูแลเยียวยาเด็กได้อย่างตรงจุด โดยจะมีการนำร่องในกลุ่มโรงเรียนคุณภาพชุมชนและโรงเรียนมัธยมดีสี่มุม จังหวัดละ 1 แห่ง จะเริ่มในปีการศึกษา 2564 นี้

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ทำให้ สพฐ.และหน่วยงานที่มีองค์ความรู้ทางด้านสุขภาพจิต ได้เข้ามาช่วยเหลือกัน รวมถึงจะมีการต่อยอดถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้ปกครองด้วย เนื่องจากเราต้องการที่จะให้ทุกคนร่วมกันดูแลการสังเกตเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีทั้งกำลังกาย กำลังใจที่ดี มีความสุข พร้อมที่จะเรียนรู้ในแหล่งการเรียนรู้ที่ดี” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว


ที่มา: https://www.facebook.com/312592942736950/posts/717511342245106/?d=n

รมว.ศึกษาธิการ ดึง กูรู เร่งปรับหลักสูตรด้านประวัติศาสตร์ ทั้งการ “เรียน - สอน” ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ยกระดับประวัติศาสตร์ไทย หนุนภูมิปัญญาท้องถิ่น ดันเศรษฐกิจประเทศ

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการกระชุมผู้ทรงคุณวุฒิรายวิชาประวัติศาสตร์ว่า เมื่อวันที่ 22 ก.พ. มีผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นคณะทำงานด้านหลักสูตรประวัติศาสตร์เข้าร่วมประชุมหลายท่าน โดยแต่ละท่านมีประสบการณ์ด้านประวัติศาสตร์หลากหลายแขนง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ชาติไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรมประเพณี เป็นต้น ซึ่งบางท่านเคยร่วมทำหลักสูตรกับทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มาก่อนด้วย

สำหรับผู้ทรงคุณวุฒิกลุ่มนี้ ได้นำเสนอแนวทางการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการนำเสนอให้มีความน่าสนใจ และสามารถทำให้เกิดการซึมซับในความภาคภูมิใจของความเป็นไทย ซึ่งสอดคล้องและสามารถนำไปผสมผสานกับแผนงานที่กระทรวงศึกษาธิการที่กำลังเตรียมทำไว้ในแผนการบูรณาการการศึกษา ในการจะรวมโรงเรียนเครือข่ายในการสร้างโรงเรียนคุณภาพชุมชน

“ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้น ก็คือ การนำความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือนำประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเข้ามาให้ความรู้ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของการเชื่อมต่อในการที่จะบูรณาการการศึกษา แต่เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะว่าในอนาคต มีหลาย ๆ อย่างที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ หลายๆ อย่างที่เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือความสามารถทักษะที่เราจะนำสินค้าท้องถิ่นมาโปรโมต เพื่อให้มีการต่อยอดทางด้านเศรษฐกิจ ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่เราจำเป็นต้องวางรากฐานให้มีความเข้มแข็งตั้งแต่วันนี้” นายณัฏฐพล กล่าว

นอกจากนี้ นายณัฏฐพล ยังย้ำด้วยว่า การปรับหลักสูตรนั้น เป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงานด้านหลักสูตร ที่จะต้องนำเอาไปพิจารณาว่า วิธีการจะเป็นอย่างไร และทำให้เกิดการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ได้จริงอย่างไร หรือวิชาประวัติศาสตร์นั้น จะนำมาปรับในหลักสูตรพื้นฐาน ซึ่งเรื่องนี้ผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าว ก็จะต้องนำหลักสูตรไปผสมผสานกับฝ่ายวิชาการของ สพฐ. และฝ่ายคณาจารย์จากมหาวิทยาลัย ที่ตั้งคณะทำงานขึ้นมาแล้ว โดยจะนำไปผสมผสานกันในศาสตร์เหล่านี้ได้อย่างไร

สำหรับหลักสูตรด้านประวัติศาสตร์ส่วนนี้ ที่ต้องนำมาผสมผสานกันนั้น นายณัฏฐพล กล่าวว่า สิ่งที่ตนเองต้องการเห็น ก็คือ อยากให้เด็กๆ ได้ซึมซับสิ่งเหล่านี้ เพราะประวัติศาสตร์ไทยมีเสน่ห์หลายอย่าง มีความหลากหลาย ซึ่งไม่ใช่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องการสู้รบอย่างเดียว และเป็นสิ่งที่เราต้องทำการประชาสัมพันธ์ หรือโปรโมตอย่างเต็มที่ เพราะเราต้องการที่จะพัฒนาด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย

“ดังนั้นอะไรที่จะมีเสน่ห์เท่าประวัติศาสตร์ อย่างเวลาที่เราเดินทางไปประเทศต่างๆ เพราะว่าเราการไปเห็นประวัติศาสตร์ของประเทศเขา หากเราสามารถยกระดับความสวยงามในท้องถิ่นทั่วทั้งประเทศได้ โดยผ่านกระบวนการการศึกษา ผ่านคนที่มีความรู้ ผ่านนักเรียน และผู้ปกครองที่มีความรู้มากขึ้น ในอนาคตก็จะสามารถต่อยอดให้ประเทศได้เป็นอย่างดี และจะยิ่งดึงดูดให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มมากขึ้นอีก” รมว.ศธ. กล่าว...

ขณะเดียวกันในส่วนของครู แม้มีความตั้งใจอยู่แล้ว แต่ความมั่นใจ หรือความรอบรู้ในด้านประวัติศาสตร์ในแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกัน จึงต้องเข้าใจว่าครูในทั่วประเทศกระจายทั่วไปหมด ไม่ใช่ว่าครูอยู่ที่จังหวัดระยองเป็นคนระยอง ดังนั้นความกล้า และความเข้าใจ ในการที่จะนำเสนอด้านประวัติศาสตร์ในจังหวัดนั้น ๆ ก็จะมีความเข้มข้นไม่มาก ซึ่งเรื่องนี้จึงต้องมีการบูรณาการกันทั้งระบบ

“ดังนั้นเรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากมีการจัดระบบองค์ความรู้ในแต่ละจังหวัด ส่วนในวิธีการนำเสนอผมมั่นใจว่า ครูสามารถปรับเปลี่ยนได้อยู่แล้ว” นายณัฏฐพล กล่าว

นายณัฏฐพล กล่าวเพิ่มด้วยว่า สำหรับวันนี้ครูเอกสังคม มีองค์ความรู้การผสมผสานในหลายๆ ด้าน แต่ในเบื้องต้นต้องขอให้คณะทำงานด้านหลักสูตรนำเสนอมาก่อน เนื่องจากประวัติศาสตร์ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ ภูมิศาสตร์ และพุทธศาสนา ซึ่งต้องมาดูว่าจะทำการเชื่อมต่อได้อย่างไร

“เด็กที่สนใจ เลข วิทย์ อาจจะไปเป็นวิศวะ แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ เพื่อสามารถนำรูปแบบต่างๆ ไปออกแบบ เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันหมด ดังนั้นจึงต้องรอให้ทีมงานนำเสนอหลักสูตรมาก่อนโดยคำนึงถึงความเหมาะสม” นายณัฏฐพล กล่าว


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/politic/2037768

“Thai MOOC” แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ เปิดโอกาสด้านการศึกษาให้กับคนไทยทุกเพศทุกวัยได้เรียนฟรีแบบไม่มีเงื่อนไข เผยยอดผู้เรียนทะลุกว่า 800,000 คน พร้อมดันแพลตฟอร์มสู่ระดับสากล

เพราะการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด Thai MOOC Platform (Thailand Massive Open Online Course Platform) ภายใต้กำกับของโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับคนไทยทุกคน ก้าวสู่ปีที่ 5 มุ่งพัฒนาหลักสูตรที่พร้อมพัฒนาคนในทุกช่วงวัย ปั้นรายวิชาทั้งไทยและต่างประเทศ กว่า 500 รายวิชา จากผู้เชี่ยวชาญกว่า 120 สถาบัน ซึ่งมียอดผู้เรียนทะลุกว่า 800,000 คน พร้อมดันแพลตฟอร์ม Thai MOOC สู่ระดับสากล

เมื่อการศึกษาและการเรียนรู้ในปัจจุบันไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน Thai MOOC Platform หรือแพลตฟอร์มการจัดการเรียนรู้ออนไลน์แบบเปิดจึงเกิดขึ้น เพื่อเปิดโอกาสด้านการศึกษาให้กับคนไทยทุกเพศทุกวัยได้เรียนฟรีแบบไม่มีเงื่อนไข กับคอร์สเรียนออนไลน์คุณภาพที่ได้มาตรฐานจากอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพต่าง ๆ ด้วยระบบการเรียนที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เลือกเรียนได้ในเวลาที่สะดวก พร้อมกันนี้ Thai MOOC มุ่งหวังให้ผู้เรียนสามารถเก็บประวัติการเรียนและสะสมผลการเรียนรู้ เพื่อเทียบโอนวุฒิการศึกษาได้ด้วยในอนาคต Thai MOOC จึงกลายเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งการเรียนในระบบและการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้

รศ.ดร.ฐาปนีย์ ธรรมเมธา ผู้อำนวยการโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย กล่าวว่า “ในปีนี้เราก้าวสู่ปีที่ 5 มีสมาชิกกว่า 800,000 คน ที่ครอบคลุมทั้งเยาวชนระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่พึ่งสำเร็จการศึกษา และกลุ่มผู้สูงวัย สะท้อนให้เห็นความตระหนักถึงคุณค่าการเรียนรู้ตลอดช่วงวัยที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย เราอยากผลักดันให้ Thai MOOC เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับคนไทยและเชิญชวนให้คนไทยทุกช่วงวัยเข้ามาหาข้อมูลการเรียนรู้จากที่นี่ได้อย่างต่อเนื่อง”

ผศ.ภก.ดร.อนุชัย ธีระเรืองไชยศรี รองผู้อำนวยการโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย กล่าวว่า “Thai MOOC เป็นเสมือนศูนย์กลางแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้เรียน เรารวบรวมเอาข้อมูลรายวิชาออนไลน์จากผู้ให้บริการทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามารวมไว้ด้วยกัน เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา และมีระบบ IDP (Identity Provider) ที่ให้ผู้เรียนสามารถเข้าใช้งานระบบต่าง ๆ ที่ร่วมมือกับ Thai MOOC ได้โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก ถือได้ว่าเป็น One Stop Service สำหรับผู้เรียนออนไลน์เลยทีเดียว”

ศ.ดร.จินตวีร์ คล้ายสังข์ รองผู้อำนวยการโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย กล่าวว่า “การศึกษาเป็นเรื่องของทุกภาคส่วน เราอยากให้คนไทยเข้าถึงการศึกษาได้อย่างทั่วถึง ที่ผ่านมาเราได้มีการประชุมระดับชาติ ระดับนานาชาติ ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการประชุมในระดับอาเซียนที่เราร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการร่วมกับประเทศเกาหลีใต้ (ASEM: MOOC's Stakeholder Forum 2020) เพื่อหารือเกี่ยวกับหลักสูตรและแพลตฟอร์มที่ได้มาตรฐาน เริ่มมีการเจรจาการแลกเปลี่ยนรายวิชา ทั้งกับ MOOC ในเอเชีย เช่น J-MOOC(ประเทศญี่ปุ่น) หรือ K-MOOC (ประเทศเกาหลีใต้) หรือแม้แต่ทางฝั่งยุโรปอย่างประเทศอิตาลี ในอนาคตเราได้มีการเพิ่มซับไตเติ้ล (Subtitle) เป็นภาษาไทย คาดว่าในปีหน้าเราจะมีรายวิชาที่เป็นหลักสูตรต่างชาติ 20 รายวิชาแน่นอนค่ะ”

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเรียน และเลือกค้นหารายวิชาที่สนใจในประเด็นต่าง ๆ จากคำสำคัญได้ เช่น สุขภาพภาษา ดิจิทัล การถ่ายภาพ จิตวิทยา ฯลฯ ผ่านช่องทาง thaimooc.org หรือติดตามข่าวสารทาง Facebook Fan page “THAI-MOOC”


ขอบคุณที่มาและรูปภาพ: https://siamrath.co.th/n/221733

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก TCAS64 รอบที่ 1 แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)

ตรวจสอบรายชื่อ http://www.atc.chula.ac.th/TCAS/TCAS1q.php

ผู้ที่ได้รับการประกาศรายชื่อเป็นผู้ผ่านการคัดเลือก จะต้องเข้าไปทำการยืนยันสิทธิ์การเข้าศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในระบบ TCAS64 รอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 22 - 23 กุมภาพันธ์ 2564 ตามที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กำหนด

หากไม่เข้าไปทำการยืนยันสิทธิ์ตามที่ ทปอ.กำหนด จะถือว่าสละสิทธิ์และไม่ประสงค์จะเข้าศึกษาในโครงการนั้น ๆ

(ดูรายละเอียดของการยืนยันสิทธิ์ในระบบ TCAS64 ได้ที่ https://student.mytcas.com)

สทศ. พร้อมจัดสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูรุ่นแรก วันที่ 20 - 21 ก.พ.นี้ วอนผู้เข้าสอบปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

นางศิริดา บุรชาติ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ สทศ. จะดำเนินการจัดการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพครู ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2564 ให้แก่สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ในระหว่างวันที่ 20 - 21 กุมภาพันธ์ 2564 และจะประกาศผลสอบวันที่ 31 มีนาคม 2564 ทางเว็บไซต์ สทศ. และคุรุสภานั้น

การทดสอบครั้งนี้ มีจำนวนผู้มีสิทธิ์สอบทั้งหมด 7,263 คน เป็นคนไทย 7,224 คน และชาวต่างประเทศ 39 คน จำแนกผู้มีสิทธิสอบตามศูนย์สอบ 4 ศูนย์ 5 สนามสอบดังนี้ 1.) ศูนย์สอบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนามสอบ โรงเรียนทวีธาภิเศก และโรงเรียนสันติราษฎร์ 2.) ศูนย์สอบมหาวิทยาลัยขอนแก่น สนามสอบ โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย 3.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี สนามสอบ โรงเรียนสุรนารีวิทยาลัย 4.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สนามสอบ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ 5.) ศูนย์สอบมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สนามสอบ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย

นางศิริดา กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ การที่ สทศ.เปลี่ยนสนามสอบจากเดิม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เป็น โรงเรียนทวีธาภิเศกนั้น เพื่อให้การดำเนินการทดสอบดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรื โควิด-19 เนื่องจากสนามสอบโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่ง สทศ. ได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้เข้าสอบในสนามสอบดังกล่าวรับทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยส่งอีเมลและ SMS ตามเบอร์โทรศัพท์ที่ผู้สมัครสอบได้ลงทะเบียนไว้ และประชาสัมพันธ์ผ่านทางเว็บไซต์ รวมถึงสื่อต่าง ๆ

สำหรับผู้มีสิทธิสอบที่เป็นชาวต่างประเทศ สทศ. ได้โทรศัพท์ประสานงานและให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และขอให้ผู้ที่มีสิทธิสอบจากเดิมสนามสอบ "โรงเรียนเตรียมอุดมศึษา" เป็น "โรงเรียนทวีธาภิเศก" เข้ามาตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบ เลขที่นั่งสอบ และสนามสอบใหม่อีกครั้ง รวมทั้งพิมพ์บัตรประจำตัวผู้มีสิทธิสอบใหม่ได้ทางเว็บไซต์ สทศ. www.niets.or.th

"ผู้เข้าสอบต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติและมาตรการป้องกันเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และมาตรการป้องกันของแต่ละจังหวัด รวมทั้งปฏิบัติตามระเบียบการเข้าห้องสอบ และเตรียมหลักฐานแสดงตนเพื่อเข้าห้องสอบ ได้แก่ บัตรประจำตัวผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู และ บัตรประจำตัวประชาชน หรือ ใบอนุญาตขับขี่ หรือ หนังสือเดินทาง (Passport) ที่มีรูปถ่าย ผู้เข้าสอบต้องมีหลักฐานตามที่กำหนด มิฉะนั้นจะไม่มีสิทธิ์สอบ

สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำข้อสอบ ได้แก่ ดินสอดำ 2B ปากกา ยางลบ และกบเหลาดินสอ สำหรับการสอบวิชา 104 วิชาชีพครู อนุญาตให้นำน้ำยาลบคำผิดและยางลบหมึกเข้าห้องสอบได้" ผอ.สทศ.กล่าวและว่า สำหรับผู้มีสิทธิสอบที่มีภูมิลำเนาจังหวัดสมุทรสาคร มีจำนวน 35 คน สทศ.ได้มีการตรวจสอบข้อมูลแล้ว พบว่า ร่างกายปกติ ไม่มีภาวะเสี่ยงหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง Covid-19 อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าสอบทุกคนจะต้องผ่านการกลั่นกรองตามมาตรการป้องกันของ ศบค. และมาตรการของแต่ละจังหวัดอย่างเคร่งครัด


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/education/826190


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top