พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม โพสต์ข้อความบน Facebook ส่วนตัวว่า “ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 มกราคม ปี 2563 เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทย ได้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นประเทศแรกที่มีผู้ติดเชื้อโควิดนอกประเทศจีน จนเกิดการแพร่ระบาดขึ้น รัฐบาลต้องใช้มาตรการต่างๆ และระดมทั้งบุคลากรและทรัพยากรเพื่อควบคุมสถานการณ์ ทั้งการปิดสถานที่ สถานศึกษา งดการเดินทาง ปิดประเทศไม่รับนักท่องเที่ยว จนทำให้ธุรกิจจำนวนมากต้องหยุดกิจการ นักเรียนไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้ ภาคการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของประเทศต้องหยุดชะงัก แต่ด้วยมาตรการเหล่านี้ ทำให้เราควบคุมสถานการณ์จนผู้ติดเชื้อลดลงจนเหลือศูนย์ได้ในเดือนพฤษภาคม และประเทศไทย ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิดได้ดีที่สุดของโลก ในขณะที่หลายประเทศยังคงมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงทุกวัน แต่ประชาชนชาวไทย เริ่มกลับมาสู่การใช้ชีวิตได้เหมือนก่อน ภายใต้รูปแบบชีวิตวิถีใหม่ ที่ต้องใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง
แต่การต่อสู้กับโควิดนั้นยังไม่ได้จบง่ายๆ เราต้องเจอกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ เช่นเดียวกับอีกหลายๆประเทศที่กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เราก็ยังต้องต่อสู้กับโควิดในระลอกนี้ในหลายพื้นที่
แต่ในวันนี้ กว่าหนึ่งปีครึ่งหลังจากพบผู้ติดเชื้อคนแรกในประเทศไทย อาวุธของเราไม่ได้มีเพียงหน้ากากและเจลแอลกอฮอล์ เหมือนการต่อสู้ของเราในปีที่แล้ว แต่เรามีอาวุธสำคัญที่จะสามารถพลิกสถานการณ์ และเอาชนะไวรัสร้ายนี้ได้อย่างเด็ดขาด นั่นคือ “วัคซีน”
“วัคซีน” จะเป็น “เกราะป้องกัน” ให้คนไทยไม่เจ็บป่วยจากโรคร้าย ช่วยลดภาระการทำงานหนักของบุคลากรทางการแพทย์ ที่ทุ่มเทเสียสละมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว
“วัคซีน” จะเป็น “กุญแจ” ที่ช่วยเปิดประตูของประเทศ ให้กลับมารับนักท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เปิดร้านค้าทำมาหากิน และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้
และ “วัคซีน” จะเป็น “พลัง” ที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
ด้วยความสำคัญของ “วัคซีน” ที่ผมได้กล่าวมาแล้ว ทำให้ผมและรัฐบาล ได้พยายามอย่างเต็มที่ ทุกหนทาง ที่จะจัดหาวัคซีนโควิด-19 มาให้ได้มากที่สุด เพื่อประชาชนชาวไทย และผู้อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ร่วมกับเราทุกคน และได้ประกาศให้การฉีดวัคซีน เป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ให้สำเร็จลุล่วง
โดยที่ผ่านมา เราฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มอาชีพเสี่ยงไปแล้วมากกว่าสี่ล้านโดส ในวันนี้ เรามีวัคซีนพร้อมฉีดแล้ว 3.54 ล้านโดส ทั้งวัคซีนจากแอสตราเซเนกา 2.04 ล้านโดส และซิโนแวก 1.5 ล้านโดส และจะทยอยได้รับวัคซีนเพิ่มอย่างต่อเนื่องจากการผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งเป็นบริษัทของคนไทย อยู่ในประเทศไทยของเราเอง รวมทั้งวัคซีนอื่นๆ ที่รัฐบาลจัดหามาเพิ่มตามเป้าหมาย 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้
โดยในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ผมได้มอบหมายหลักการในการกระจายวัคซีน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคมากที่สุด นั่นคือ
1.) ทุกจังหวัดจะต้องได้รับวัคซีนเพื่อให้เริ่มต้นได้พร้อมกัน ไม่มีจังหวัดใดถูกทอดทิ้ง
2.) จำนวนวัคซีนที่ได้รับจัดสรร จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญคือ จำนวนประชากร จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนอาชีพกลุ่มเสี่ยง และการเป็นพื้นที่เฉพาะ เช่นพื้นที่ท่องเที่ยวหรือพื้นที่เศรษฐกิจ โดยแต่ละจังหวัดจะเป็นผู้กำหนดการจัดสรรวัคซีนให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ ในจังหวัดเอง
3.) ทุกคนที่จองคิวไว้แล้วจะต้องได้รับวัคซีน โดยยึดวันที่จองไว้เดิมให้ได้มากที่สุดในการดำเนินการตามวาระแห่งชาติในครั้งนี้ ผมต้องขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกคน โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ดำเนินการอย่างดีเยี่ยม จนทำให้วันนี้เรามีวัคซีนอย่างเพียงพอ เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และในการดำเนินการกระจายวัคซีนไปทั่วประเทศ
“ผมขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ที่ต่างดูแลรับผิดชอบ ควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด และบริหารจัดการให้ประชาชนในจังหวัดของท่านได้รับวัคซีนให้ได้มากที่สุด”
สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ อสม. และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่อยู่ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนต่างๆทั่วประเทศ ที่รับภารกิจสำคัญอย่างยิ่งในการให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ซึ่งต้องดำเนินการต่อเนื่องไปอีกหลายเดือน ผมขอขอบคุณที่ทุกท่านทุ่มเท เสียสละ และร่วมต่อสู้โควิดร่วมกับผมและประชาชนคนไทยทุกคนมาโดยตลอด ผมขอให้กำลังใจและขอชื่นชมท่านจากใจจริง
วันนี้ วันที่ 7 มิถุนายน 2564 จะต้องบันทึกไว้ว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์การต่อสู้ในสงครามไวรัสในครั้งนี้ เป็นหมุดหมายในการเริ่มต้นโต้กลับของคนไทยพร้อมกันทั้งประเทศ ว่าเราจะไม่ยอมแพ้ให้กับไวรัสโควิด-19 และเราจะร่วมกันสู้อย่างไม่ย่อท้อ จนกว่าประเทศไทยจะได้ชัยชนะ”