Wednesday, 2 July 2025
POLITICS

"เสกสกล" ยัน "บิ๊กตู่" นำทัพ สู้สงคราม โควิด-19 จวก คนอคติ เล่นการเมืองในวิกฤตทำประเทศย่อยยับ

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมมาตรการเข้มในการบริหารจัดการดูแลผู้ป่วย ตนเห็นด้วยกับมาตรการที่ออกมา ถือเป็นการยกระดับมาตรการต่างๆให้เข้มขึ้น รัฐบาลให้ความสำคัญทั้งการบริหารสถานการณ์ให้เหมาะสมกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น การจัดสรรบุคลากร และการบริหารจัดการสถานที่ต่างๆ ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลให้ทุกฝ่ายได้เห็นภาพรวมและขับเคลื่อนไปด้วยกัน

ในที่ประชุมนายกฯให้ความสำคัญหลายเรื่อง เช่น เรื่องของโรงพยาบาลสนาม โดยนายกฯเห็นว่าต้องเร่งจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีอาการให้เข้าถึงการรักษาให้มากที่สุดและเร็วที่สุด และให้เพิ่มขีดความสามารถโรงพยาบาลสนามที่มีอยู่ในขณะนี้ ให้สามารถรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงให้มากขึ้น รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (Home Isolation – HI) และการดูแลผู้ป่วยในชุมชน (Community Isolation – CI) อย่างเป็นระบบ โดยจัดให้มีทีมแพทย์คอยติดตามอาการ ชุดเวชภัณท์และยาที่จำเป็นเพี่อคัดแยกผู้ป่วย ลดการแพร่เชื้อภายในครอบครัวและชุมชน สำหรับผู้ป่วยที่สามารถกักตัวที่บ้านได้ (HI) จะมีการจ่ายยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดออกซิเจน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้จะนำส่งศูนย์พักคอย หรือ (CI) ซึ่งกรุงเทพมหานครจะได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อให้ครบทั้ง 50 เขต

นอกจากนี้นายกฯยังได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาร่วมช่วยเหลือ สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมถึงการจัดส่งอาหารและยาให้ผู้ติดเชื้อที่รักษาตัวที่บ้านและที่ชุมชนในแต่ละวันอย่างต่อเนื่อง ให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยประสานผู้ป่วยกลับไปรักษาตัวในภูมิลำเนาได้ ตามมาตรการสาธารณสุขที่กำกับการเคลื่อนย้ายทุกขั้นตอน เพี่อลดปัญหาการได้เข้ารับการรักษาในพื้นที่ กทม. ที่มีข้อจำกัดเรื่องเตียง และสนับสนุนทีมปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เชิงรุก (Comprehensive Covid-19 Response Team) หรือ CCRT อย่างต่อเนื่อง โดยจะดำเนินการลงพื้นที่ทั้ง 50 เขตเพื่อตรวจคัดกรองเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนให้ครอบคลุมและทั่วถึง เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเร็วที่สุด

นายกฯ ยังได้เน้นเรื่องการปรับปรุงระบบการรับเรื่องผ่านโทรศัพท์สายด่วนต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้สามารถประสานข้อมูลร่วมกัน เพื่อนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่เป็นจริง ควบคู่ไปพร้อมกับการเดินหน้าจัดหาวัคซีนให้มากที่สุดเพื่อเร่งฉีดให้กับประชาชนโดยเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งในขณะนี้ในพื้นที่ กทม. ได้มีการฉีดวัคซีนเกินกว่าร้อยละ 50 ของประชากรแล้ว

สิ่งที่นายกฯไม่เคยลืมคือการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ทุ่มเททำงานกันอย่างหนัก ทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุข และคนทำงานจากทุกหน่วยงานที่ร่วมใจดูแลผู้ป่วยอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย  นายกรัฐมนตรียินดีและพร้อมรับฟังปัญหาและอุปสรรค เพี่อจะได้ร่วมช่วยหาวิธีแก้ไขและนำไปสู่แนวทางที่เหมาะสมในการทำงานของทุกหน่วยงาน

นายกฯและรัฐบาลทำงานกันอย่างหนัก หามรุ่งหามค่ำขนาดนี้ก็ยังไม่พอใจคนที่คิดอคติ เอาการเมืองมาเล่นในสถานการณ์วิกฤตโควิดในขณะนี้ โดยไม่คิดว่าความเสียหายที่ตัวเองคอยแซะ คอยวิพากษ์วิจารณ์นั้นจะเป็นอย่างไร ประเทศจะเสียหายย่อยยับขนาดไหน ไม่ว่านายกฯหรือรัฐบาลจะทำอะไร ก็คอยตั้งท่าตำหนิติเตียนตลอด จึงอยากเตือนสติฝ่ายค้านฝ่ายเห็นต่างทั้งหลาย ช่วยนึกถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย อนาคตลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร ญาติพี่น้องเราจะเป็นอย่างไร ต้องนึกถึงเขาด้วย อย่าเห็นแก่ตัวนึกถึงแต่ตัวเอง ด่าเอามันปากเอาสนุกอย่างเดียวไม่ได้ สุดท้ายถ้าเกิดกับญาติพี่น้อง ลูกหลาน หรือบุคคลใกล้ตัว เมื่อคิดได้ก็อาจจะสายไปแล้ว

วันนี้เป็นการต่อสู้กับสงครามโควิด มหันตภัยไวรัสที่ไม่เห็นตัว เราคนไทยจะมามัวทะเลาะกันไม่ได้แล้ว นายกฯและรัฐบาลอยากเห็นความร่วมมือร่วมใจเสียสละร่วมกัน จับมือกันสามัคคีกัน ไม่มีเวลามาทะเลาะขัดแย้งกัน เพื่อปกป้องรักษาชีวิตคนไทยทุกคนให้ผ่านสงครามโควิดนี้ไปให้ได้ ประเทศไทยจึงจะชนะด้วยพลังสามัคคีของคนไทยทุกคน

“พิจารณ์” เผยอนุกมธ.ครุภัณฑ์ ปรับลดงบแล้ว 1,630 ล้านบาท มั่นใจยังปรับลดงบกองทัพได้อีก งงไม่มีรายการจัดซื้อเครื่องแต่งกายทหารเกณฑ์ในงบครุภัณฑ์ 

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล ในฐานะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์และไอซีที ในคณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 65 เปิดเผยว่า ขณะนี้อนุกมธ.ฯ พิจารณาเกือบเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงงบประมาณส่วนของกองทัพเรือ ทั้งนี้ ภาพรวมการปรับลดของอนุกมธ.ฯ ขณะนี้ปรับลดแล้ว 1,630 ล้านบาท โดยเห็นว่างบประมาณครุภัณฑ์ของกระทรวงกลาโหม สามารถปรับลดลงได้อีก เนื่องจากยังมีการจัดซื้อครุภัณฑ์ที่ราคาสูงเกินจริง

นายพิจารณ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าการพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับรายการจัดซื้อครุภัณฑ์ ยังไม่มีเวลาตรวจสอบที่เพียงพอเนื่องจากมีระยะเวลาสั้น เพราะหน่วยงานนำเอกสารให้กมธ.พิจารณาล่าช้า อีกทั้งตั้งข้อสังเกตว่ากมธ.พยายามรวบรัดการพิจารณางบประมาณ โดยทำการตัดลดงบประมาณ และผ่านความเห็นชอบไปอย่างรวดเร็ว 

“การตัดลดงบประมาณของกองทัพบก 1,100 ล้านบาท ส่วนตัวเห็นว่ายังมีรายการที่สามารถตัดได้อีก เช่น การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ปี 65 อย่างเฮลิคอปเตอร์ ที่ของบประมาณ 700 ล้านบาท หัวลากรถรวมแล้วประมาณเกือบ 881 ล้านบาท ซึ่งหากกมธ.อนุมัติเห็นชอบก็จะทำให้ต้องจ่ายงบประมาณผูกพันในปีถัดไปอีก 1,700 ล้านบาท ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่กว่าปีนี้” นายพิจารณ์ กล่าว

นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับงบประมาณของกองทัพอากาศที่มีการปรับลดไป 510 ล้านบาท โดยการจัดซื้อปีนี้ไม่มีการซื้อยุทโธปกรณ์ใหญ่ แต่เป็นงบผูกพันต่อเนื่องตั้งแต่ปี 62 ส่วนปี 64 ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน เพราะสถานการณ์โควิด - 19 ทำให้ยังไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ เช่น โครงการพัฒนาระบบสื่อสาร ที่มีการแก้ไขรายละเอียดในทีโออาร์ ซึ่งงบประมาณในส่วนนี้ ส่วนตัวเห็นว่าสามารถเลื่อนออกไปก่อน พร้อมย้ำว่ารายละเอียดข้อสังเกตในการพิจารณางบประมาณครั้งนี้ จะรวบรวมนำไปอภิปรายในวาระ 2  และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อแฉให้เห็นว่า ยังมีโครงการอะไรที่สามารถปรับลดได้อีก เพราะไม่จำเป็นในสถานการณ์โควิด - 19 ครั้งนี้ ขณะเดียวกัน ยังเห็นว่าการตั้งงบประมาณของกองบัญชาการกองทัพไทยในการปรับปรุงระบบเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่ชี้แจงรายละเอียดไม่ครบถ้วน เมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่นๆในลักษณะเดียวกัน  และยังเห็นว่ามีการจ้างที่ปรึกษาในวงเงินงบประมาณที่สูงกว่าหลักเกณฑ์  ในท้ายที่สุดหน่วยงานอ้างเรื่องความมั่นคง และเรียกเก็บเอกสารคืน 
       
“รอบนี้เป็นเรื่องตลก เพราะรายการจัดซื้อของกองทัพบก ชุดแต่งกายของทหารเกณฑ์ไม่ปรากฏในเอกสารรายการจัดซื้อครุภัณฑ์ ยังหาไม่เจอว่าซ่อนอยู่ที่ไหนหรือว่าเลิกซื้อแล้ว” นายพิจารณ์กล่าว 

รองโฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ติดตาม คืบ มาตรการ“พักทรัพย์ พักหนี้” ฟังเสียงสะท้อนจากเอกชน - มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู คาดต.ค.นี้ ธนาคารปล่อยถึงแสนล้าน

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการ  “มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้”  ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2564 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดของ COVID-19 ให้มีภาระหนี้ลดลงและสามารถกลับมาดำเนินกิจการได้อีกครั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ผ่านกลไกการรับโอนสินทรัพย์หลักประกันเพื่อชำระหนี้ของสถาบันการเงิน พร้อมให้สิทธิซื้อทรัพย์คืน และต่อมา ครม. ยังได้เห็นชอบมาตรการภาษีอากรเพื่อสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้อีกด้วย

สอดรับมติครม.ดังกล่าว กรมสรรพากรได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเรื่อง ‘กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข กรณีหนี้ที่ต้องดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้’ และได้มีผลบังคับใช้เมื่อ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการยกเว้นภาษีแก่สถาบันการเงินและลูกหนี้ธุรกิจที่ร่วมโครงการ “พักทรัพย์ พักหนี้” คาดว่าจะมีผลให้ผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการมากขึ้นอย่างแน่นอน เพราะไม่ต้องกังวลกับภาระภาษี เป็นการลดต้นทุนให้กับลูกหนี้และสถาบันการเงิน

อีกทั้งสถาบันการเงินสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชนและธุรกิจต่างๆได้เพิ่มขึ้น และสำหรับภาคการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์  (ธ.ก.ส.) ได้มีมาตรการ “พักทรัพย์ พักหนี้” เช่นกัน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการ(บุคคล หรือ นิติบุคคล) สหกรณ์ภาคการเกษตรที่ประกอบธุรกิจพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม บริการ และธุรกิจเกษตร ที่มีหนี้เงินกู้หรือมีทรัพย์สินเป็นหลักประกันเงิน ก่อน 1 มี.ค. 2564 ผู้สนใจสามารถติดต่อ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ

ในส่วนของมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอดการปล่อยสินเชื่อทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ณ วันที่ 19 ก.ค. มียอดรวมทั้งสิ้น 7.8 หมื่นล้านบาท  ครอบคลุมลูกหนี้  2.5 หมื่นราย คิดเป็นวงเงินเฉลี่ย 3 ล้านบาทต่อราย ซึ่งทาง ธปท.วิเคราะห์ว่า การปล่อยสินเชื่อมีแนวโน้มเป็นตามเป้าหมายร่วมของธปท.และสมาคมธนาคารไทยที่ 1 แสนล้านบาท ภายในเดือนต.ค.นี้ อีกทั้งสินเชื่อมีการกระจายตัวได้ดีทั้งในแง่ของขนาด ประเภทธุรกิจและภูมิภาค จำนวน 46% กระจายไปยัง SMEs ขนาดเล็ก ขณะที่ 68% อยู่ในภาคพาณิชย์และบริการ และ 68% เป็นธุรกิจในต่างจังหวัด

นายกรัฐมนตรีได้ติดตามความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือต่างๆที่ได้ออกมาโดยตลอด ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคอยประเมินผลการดำเนินงาน และรับฟังเสียงสะท้อนจากภาคเอกชน ผ่านการหารือในหลายวาระด้วยกัน เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19

ราเมศ สนับสนุน พาณิชย์ จัดการเด็ดขาด ผู้ค้าออนไลน์ที่ฉวยโอกาส เอาเปรียบหลอกลวง ปชช. ร้อง สายด่วน 1569  ได้

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการเข้มงวดเรื่องราคาสินค้าและบริการเพื่อไม่ให้มีการเอาเปรียบประชาชนว่าพรรคได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเรื่องการฉวยโอกาสเอาเปรียบและหลอกลวงประชาชนในเรื่องการซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะช่องทางการซื้อขายทางออนไลน์ ที่ขณะนี้เป็นช่องทางที่สำคัญเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 จึงทำให้มีการสั่งซื้อช่องทางนี้เป็นจำนวนมาก มีทั้งกรณีสั่งซื้อแล้วไม่ได้สินค้า สั่งซื้อแล้วเมื่อของมาส่งสินค้าก็ไม่ตรงตามที่ได้สั่งซื้อ บางรายกลับได้รับอีกชนิดหนึ่งซ้ำร้ายกว่านั้นไม่มีคุณภาพด้วย ติดต่อกลับไปก็ไม่สามารถติดต่อกลับได้ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก 

นายราเมศ กล่าวต่อว่า พรรคได้ประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ตลอดเพื่อช่วยเหลือประชาชน  ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 

ที่ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการค้าภายใน ติดตามให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด รวมถึงเจ้าหน้าที่ เพื่อดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เกี่ยวกับการแสดงราคาจำหน่ายปลีกสินค้าหรือบริการนั้นต้องแสดงให้ตรงกับราคาที่จำหน่ายหรือค่าบริการที่ให้บริการ อย่างเคร่งครัด

เพราะหากผู้ใดทำการฝ่าฝืนจะเป็นความผิด และมีโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ด้วย บางรายที่หลอกลวงประชาชนเข้าลักษณะการฉ้อโกงในความผิดอาญาก็มีไม่อยากให้มีการซ้ำเติมวิกฤติด้วยการเอาเปรียบประชาชนในสถานการณ์เช่นนี้ 

ขอเตือนว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์เข้มงวด ทำงานเชิงรุกในการสำรวจตรวจสอบ มีการตักเตือนบางรายที่ยังไม่รายแรงก็มีมาก มีดำเนินคดีก็หลายราย ร้านค้าบนสื่อออนไลน์ทุกประเภทต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามพรบ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เช่น การแสดงราคา รายละเอียดสินค้า จำหน่ายไม่ตรงราคาที่แสดง ไม่แจ้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นต้น 

ประชาชนสามารถร้องเรียนเรื่องสินค้าและบริการผ่านสายด่วน 1569 กรมการค้าภายในได้ ขณะนี้ได้มีการตรวจสอบเชิงรุก ในสภานการณ์ควบคุมโควิด 19 เราคนไทยทุกคนต้องช่วยกัน การฉวยโอกาสเอาเปรียบกัน เสมือนเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชนในทุกๆเรื่อง

“กรณ์” กระตุก สธ.-ดีอีเอส บริหารข้อมูลผู้ป่วยโควิดล้มเหลว แนะปลดล็อคระบบราชการ ดึงสกิลเอกชน ใช้ดาต้า เร่งช่วยชีวิตคน 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ไลฟ์สด บอกเล่าถึงประสบการณ์การทำงานของพรรคกล้า โครงการ กล้าหาเตียง โดยระบุว่า พบปัญหาอุปสรรคมากมาย เชื่อว่าภาระต่างจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน กว่าที่ผู้ป่วยจะสามารถเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลในระดับต่างๆ ได้ ทั้งนี้ จากสถิติการฉีดวัคซีนวันละ 250,000 โดส ถือว่ามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยขณะนี้สามารถฉีดให้กับประชาชนแล้ว 15 ล้านคน แต่ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่รัฐบาลประกาศไว้จะฉีดให้ครบ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี หมายความว่าในอีก 160 วันที่เหลือ จะต้องฉีดให้ได้วันละ 500,000 โดส จึงจะสามารถครอบคลุมได้ตามเป้าหมาย  

นายกรณ์ บอกว่า จากที่ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้ป่วยท่านหนึ่ง เมื่อกลางดึกวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้ป่วยสูงวัยมีโรคประจำตัวทั้งโรคไตและเบาหวาน ทีมอาสาพรรคกล้าาพยายามช่วยเต็มที่ แต่ถูกโรงพยาบาลประจำของผู้ป่วยปฏิเสธที่จะรับดูแล เราพยายามหาช่องทางอื่น และโทรเบอร์ 1669 ตามคำแนะนำของโรงพยาบาล แต่ถูกตัดสายทุก 4 นาที ส่วนเบอร์ 02-2705685-9 ของกองทัพบกที่แจ้งว่าเปิดรับสายตลอด 24 ชั่วโมง ก็โทรไม่เคยติด วันต่อมาผู้ป่วยอาการผู้ป่วยทรุดลงอย่างรวดเร็ว จึงตัดสินใจส่งรถไปรับเพื่อจะพาไปโรงพยาบาลแต่รถไปไม่ทัน จนเช้าตรู่วันที่ 23 กรกฎาคม ทราบว่าผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว และได้ทำการฌาปณกิจในทันที สร้างความสลดหดหู่ใจของกลุ่มอาสา แต่ก็เทียบไม่ได้กับความรู้สึกของครอบครัวที่ต้องสูญเสียคนที่รัก  

“ผมต่อสายไปคุยกับภรรยาผู้เสียชีวิต ท่านไม่ได้ติดใจกับระบบการช่วยเหลือ ท่านเข้าใจว่าเป็นช่วงสถานการณ์วิกฤต หากระบบดี เชื่อว่าวันนี้ผู้ป่วยก็ยังคงมีชีวิตอยู่ เรื่องราวเหล่านี้กำลังกลายเป็นเรื่องปกติ ที่เรารับทราบทุกวัน พวกเรามานั่งสุมหัวกัน เพื่อทบทวนถึงระบบระเบียบราชการ และขั้นตอนที่เป็นอุปสรรคมากมาย ที่อาจใช้ได้ในภาวะปกติ แต่ในภาวะวิกฤตควรจะปรับปรุง โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยมีการตรวจ Rapid Antigen แล้วพบว่าติดโควิด หลังตรวจวัดค่าออกซิเจนแล้ว ก็ควรให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาพยาบาลในทันที ไม่ต้องมาตรวจ PCR ตามเงื่อนไขของทางราชการอีก ตอนนี้การตรวจก็ยาก ผู้ตรวจออกไปหาพื้นที่ที่ต้องตรวจ นอกจากเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเองแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อผู้ที่เดินทางมาตรวจด้วย ตอนนี้การตรวจเริ่มผ่อนคลาย แต่ก็มีผลแค่การรู้เท่านั้น แต่ยังไม่มีผลกับการใช้สิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล  เราก็ยังขอเรียกร้องว่าการตรวจให้กับประชาชนในพื้นที่เสียง ต้องฟรี” หัวหน้าพรรคกล้า กล่าว 

นายกรณ์ กล่าวว่า อีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขคือ การเข้าถึงระบบการรักษา ผ่านช่องทาง Call Center รัฐบาลควรเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มจำนวนผู้รับสาย เพิ่มข้อมูลให้กับผู้รับสายให้เขามีข้อมูลเพียงพอให้คำปรึกษากับผู้ป่วย เช่นเดียวกับประเด็นยา ที่ยังถกเถียงกัน ข้อเท็จจริงวันนี้คือ ระบบสาธารณสุขของรัฐ ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนามได้  ผู้ป่วยที่ติดค้างอยู่ตามวัด ตามชุมชน จำนวนมากเข้าไม่ถึงยา วันนี้รัฐบาลมีนโยบายแยกตัวผู้ป่วยออกจากครอบครัว โดยให้ สปสช.ดูแลเรื่องยา อาหารสามมื้อ และให้คำปรึกษาทางการแพทย์ แต่หลังจากตรวจสอบพบว่า ผู้ที่เข้าระบบของเราแทบไม่เจอใครได้รับยา หรือรับการช่วยเหลือจากราชการ ตามนโยบายที่กำหนดไว้  นโยบายก็เรื่องหนึ่ง แต่ผลในทางปฏิบัติ เป็นหนังคนละม้วน จึงขอให้ผู้มีอำนาจช่วยลงมาดูด้วยตัวเอง ว่านโยบายของท่านนำไปสู่การปฏิบัติได้ไหม และที่ยังทำไม่ได้มันติดอะไร สามารถปลดล็อค ปลดแอกได้ไหม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงนโยบายที่ท่านกำหนดให้โดยสะดวกมากขึ้น อีกเรื่องคือศูนย์พักคอย พรรคกล้าได้ให้ความร่วมมือสร้างศูนย์พักคอย  2 แห่ง เพราะเรามองว่าแนววิธีนี้เป็นประโยชน์ต่อการตัดวงจรการแพร่เชื้อในชุมชนกันเอง เนื่องจากส่วนใหญ่อยู่กันอย่างแออัดในครอบครัว ดังนั้นจึงให้คำแนะนำกับชุมชน ในการใช้พื้นที่ส่วนกลาง สร้างศูนย์พักคอย แยกตัวผู้ป่วยมาได้อย่างปลอดภัย  แต่ศูนย์พักคอยที่มีอยู่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ 

“วันนี้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเกือบ 150,000 คน ทั่วประเทศ รักษาหาย 7,500 คน ขณะที่เรามีผู้ป่วยต่อวันเกือบหมื่นคน ที่ต้องเข้ารับการรักษา จึงต้องเร่งสร้างศูนย์พักคอยเพิ่มขึ้น กทม. ประกาศจะสร้างศูนย์พักคอยทั้ง 50 เขต จำนวน 5,000 เตียง มันไม่พออยู่แล้ว เราต้องเผื่อไว้อย่างน้อย 100,000 เตียง คำนวณง่าย ๆ  ในแต่ละวันมีผู้ป่วย 5,000 คน ใช้เวลารักษาฟื้นตัว 20 วัน ถึงจะออกไป และให้ผู้ป่วยท่านใหม่เข้ามาแทนที่ จำนวนเตียงที่ต้องเตรียมคือ 100,000 เตียง วันนี้แถวบ้านผม ทราบว่ามีคนงาน  20 คนนอนติดเชื้อโควิด ไม่ได้อยู่ในระบบการรักษา และเราไม่รู้เลยว่า ทั้ง 20 คนนั้นสลับกันไปจ่ายตลาดเพื่อหาอาหารสิ่งของจำเป็นประทังชีวิต ผมรู้สึกอึดอัดกับเรื่องราวที่รับทราบในแต่ละวัน” นายกรณ์ กล่าว  

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า จากข้อเสนอข้างต้นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หน่วยราชการจะทำ แต่อยู่ในวิสัยที่ปรับปรุงแก้ไขได้และต้องเร่งทำ โดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ล้มเหลวเรื่องระบบการจัดการข้อมูล วันนี้เราไม่รู้เลยว่า ผู้ป่วยอยู่ไหน ใครอยูในพื้นที่เสี่ยงที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนกี่คน เขาเหล่านั้นอยู่ที่ไหน โรงพยาบาลมีเตียงว่างกี่เตียงและอยู่ที่ไหน การบริหารจัดการที่ดีเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่ปรับปรุงระบบการจัดการและนี่คือภาระสำคัญเร่งด่วน ของ กระทรวงดีอีเอส ที่ต้องสร้างอีโคซิสเต็มให้ผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ ต้องรู้ว่าผู้ป่วยอยู่ไหน เตียงว่างกี่เตียงและอยู่ที่ไหน กลุ่มเสี่ยงรอการฉีดวัคซีนกี่คน อยู่ที่ไหนบ้าง ข้อมูลเหล่านี้รัฐต้องมีอยู่ในมือ และต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย 

นอกจากนี้ เรื่องการทำมาหากิน เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเยียวยา ควรสร้างแพลตฟอร์มอีโคซิสเต็ม สร้างโอกาสการทำมาหากินในช่วงล็อคดาวน์ วันนี้กระทรวงดีอีเอสทำน้อยไป ทั้งที่มีเครื่องมือในมือ วันก่อนได้พูดคุยกับ คุณเชาว์ หรือนายสมคิด จิรานันตรัตน์ ผู้ออกแบบแอป 'เป๋าตัง' วันนี้ประชาชนโหลดแอปเป๋าตังอยู่ในมือถือจำนวน  30 ล้านคน เป็นแพลตฟอร์มที่ควรจะขยายผลให้มีการจองวัคซีน โดยไม่จำเป็นต้องไปออกแบบแอปใหม่ให้ยุ่งยาก วันนี้ร้านอาหารที่ถูกสั่งปิด ผู้ประกอบการจำนวนมากไม่อยู่ในระบบดิลิเวอรี่ เพราะเขาทำไม่เป็น กระทรวงดีอีเอส ก็ควรจะทำให้เขาเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มนี้ 

“ท่านนายกรัฐมนตรี เชิญ 40 ซีอีโอ รวมถึงประธานหอการค้า ประธานสภาอุตสาหกรรม เข้ามาพูดคุยปรึกษาที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันก่อน เป็นเรื่องที่ดี แต่คิดว่าการพูดคุยทำมาแล้วหลายครั้ง เขาก็ฝากรัฐหลายครั้ง สุดท้ายรัฐก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง พวกเราทุกคนที่อยู่หน้าด่าน เราพบขีดจำกัดของระบบราชการ นายกฯ ควรมองข้ามระบบราชการ ไปสู่เครื่องมืออื่น ๆ ที่มีอยู่ในประเทศ ว่ามีภารกิจอะไรบ้างที่มอบให้หน่วยราชการไปทำ แต่ไม่สามารถทำได้ ยกตัวอย่าง call center เบอร์ที่จัดมา หลักการมันดีอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถจัดการให้รองรับความต้องการของประชาชนได้ ถึงเวลาแล้ว ที่ทาจะไปปรึกษาผู้ประกอบการว่า เอกชนรับไปทำได้ไหม ยกตัวอย่าง AIS TRUE รับภาระไปได้ไหม ศูนย์พักคอย หน่วยราการ อาจสร้างไม่ทัน กลุ่ม เอสซีจี ทำได้ไหม เขาก็ทำเตียงกระดาษบริจาคให้รัฐอยู่แล้ว ลองดูทักษะการบริหารจัดการของเขา สามารถช่วยสมทบ หรือ ทำหน้าที่แทนระบบสาธารณสุขของรัฐ ได้แค่ไหน ศูนย์พักคอย ขณะนี้มีหลักแสนเตียง หามรุ่งหามค่ำ ประเด็นอาหาร ท่านมอบให้ซีพีเลยได้ไหม เซเว่นมี 10,000 สาขา ทั่วประเทศเขามีอาหารอยู่แล้ว เขาสามารถจัดส่งได้ถึงมือผู้ป่วยได้ทันที  สถานการณ์วันนี้จึงไม่ใช่แค่รับฟังข้อเสนอแนะ แต่ต้องเป็นการระดมผู้รู้ ที่มีความสามารถ มีทรัพยากรในมือ เพื่อช่วยกันนำพาพวกเราผ่านด่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้ เชื่อว่า กว่าที่จะถึงวันที่เราประกาศเอาชนะโควิด คงต้องมีการสูญเสียคนอีกหลายร้อยหลายพันชีวิต แต่จะสูญเสียมากน้อยแค่ไหน ต้องขึ้นอยู่กับการทำงานของทางราชการเป็นหลัก วันนี้ต่อให้มีเงินหลักแสน ก็ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ ขอเป็นกำลังให้ทุกคน อย่าป่วย อย่าเสี่ยงต่อการติดเชื้อ สตางค์ไม่สามารถซื้อความปลอดภัยได้ ” นายกรณ์ กล่าวพร้อมกับย้ำว่า พรรคกล้ายังคงเป็นหน่วยประสานงานช่วยเหลือผู้ป่วยหาเตียง สามารถติดต่อไปได้ที่เพจ Kla party  จะมีกลุ่มอาสารอรับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง

กห.เห็นชอบสนับสนุนร่วมภารกิจสร้างเสถียรภาพของสหประชาชาติ 

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าร่วมประชุมผ่านรูปแบบการประชุม สื่ออิเล็กทรอนิกส์  โดยภายหลังการประชุม พ.อ.วีรยุทธ์ น้อมศิริ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม  แถลงผลการประชุม ว่า สภากลาโหมมีมติให้ความเห็นชอบในการสนับสนุนกําลังเข้าร่วมภารกิจสร้างเสถียรภาพของสหประชาชาติ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตย (MONUSCO) 

โดยกองทัพไทยได้สนับสนุนกําลังเข้าปฏิบัติการร่วมกับนานาประเทศในภารกิจรักษาสันติภาพของ สหประชาชาติมาอย่างต่อเนื่องในทุกรัฐบาล โดยภารกิจ MONUSCO เป็นภารกิจสังเกตการณ์ตามข้อตกลงหยุดยิงและ ใช้กําลังเมื่อจําเป็น เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงหยุดยิงและสนับสนุนให้มีการปล่อยตัวเชลยศึก เพื่ออํานวยความสะดวก ในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนและผู้ผลัดถิ่นในพื้นที่ ตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง สหประชาชาติ ที่ 1925 (2010) โดยภารกิจดังกล่าว ได้จัดตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 ซึ่งปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ทางทหาร จํานวน 18,316 นาย โดยมีประเทศจากท่ัวทุกภูมิภาคของโลกท่ีให้การสนับสนุนกําลังพลรวม 63 ประเทศ

ทอ.จัดเครื่องบินลำเลียง​ ATR นำส่งชุดตรวจ Rapid Antigen Test ให้รพ.ในพื้นที่ 3 จชต.

พล.อ.อ.แอร์บูล  สุทธิวรรณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ได้สั่งการให้กองบิน 6 จัดเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 16 (ATR) สนับสนุนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการนำส่งชุดตรวจ Rapid Antigen Test จำนวน 12,600 ชุด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ "ทุก(ข์)ภัย ไทยช่วยกัน" ไปส่งมอบให้กับโรงพยาบาลในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อใช้ในการตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงมีความรุนแรงและแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ โดยออกเดินทางจากท่าอากาศทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง ไปยังสนามบินบ่อทอง จังหวัดปัตตานี


 
สำหรับโครงการ “ทุก(ข์)ภัย ไทยช่วยกัน”เกิดจากการรวมพลังของกลุ่มบุคคลในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อจัดหาเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ตามโรงพยาบาล และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ขาดแคลน โดยจะส่งมอบผ่านทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อนำไปจัดสรรและส่งมอบให้กับโรงพยาบาล หรือหน่วยงานต่าง ๆ ต่อไป

ทั้งนี้ กองทัพอากาศพร้อมให้การสนับสนุนกำลังพล ยุทโธปกรณ์ ทรัพยากรของกองทัพอากาศ และพร้อมให้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กร อย่างเต็มกำลังความสามารถในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19​ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้สามารถกลับมาดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว

ทบ. แจงผุดภารกิจใช้ C295 เคลื่อนย้ายผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา ไม่ใช่ลดกระแสโจมตีกองทัพจัดหาเครื่องบินลำเลียง CASA บอกแล้วแต่คนจะมอง แต่ตรรกะที่ผ่านมา ใช้ยานพาหนะ ช่วยเหลือประชาชนตลอด 

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวชี้แจง กรณีใช้เครื่องบินลำเลียง 295  หรือ C295 มาใช้ในภารกิจรับส่งผู้ป่วยโควิด-19 กลับภูมิลำเนา  ว่าเป็นการลดกระแสช่วงที่กองทัพโดนโจมตี รวมถึงประเด็นการจัดซื้อเครื่องบินลำเลียง CASA หรือไม่ ว่า แล้วแต่คนจะมอง แต่ยืนยันว่า กองทัพบก  ไม่ได้มองว่าเป็นการลดกระแสอะไร เพราะพิจารณาจากตระกะที่ผ่านมา การใช้ยานพาหนะของทบ. โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์เคลื่อนย้าย เราใช้ยานพาหนะพวกนี้มาโดยตลอด ไม่ใช่เฉพาะใช้แค่ C295 แต่ก็เล็งใช้ยุทโธปกรณ์อื่นด้วย เพื่อเสริมขีดความสามารถในการช่วยเหลือประชาชน 

ส่วนจะเริ่มดำเนินการเมื่อไหร่นั้น พันเอกหญิงศิริจันทร์ ระบุ ขณะนี้เตรียมแสตนบายไว้ 1 ลำ ส่วนการนำคนขึ้นเครื่อง ต้องรับการส่งเคสมาจาก สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หรือ สพฉ. ก่อน เพราะต้องได้รับการอนุญาตจากแพทย์ต้นทาง และต้องมีระบบสาธารณสุขปลายทาง รองรับด้วย 

โดยระยะทางอยากส่งให้ไกลที่สุด เนื่องจากในพื้นที่ใกล้ๆ มีรถดำเนินการอยู่แล้ว  ผบ.ทบ. จึงอยากย่นระยะการเดินทางระยะไกล  โดยไกลสุด จะอยู่ที่ชั่วโมงบิน 2-2 ชั่วโมงครึ่ง  เหนือ ใต้ อีสาน ไปได้หมด  อาจมีข้อจำกัด คือ จังหวัดที่ไปจะต้องมีสนามบินให้ลง  หรือลงจังหวัดใกล้เคียงได้ ก็ต้องมีรถมารองรับ 

“แรมโบ้”ปัดพัลวัน “สนธิญา” ไม่ใช่ลูกน้อง ชี้ แจ้งเตือนดารา คอลเอาท์ทำเอง ยันไม่เกี่ยว “บิ๊กตู่” 

นายเสกสกลอัตราวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกครั้งกรณีที่มีสื่อบางฉบับ และผู้ดำเนินรายการบางคน กล่าวหาว่าใช้ให้นายสนธิญา สวัสดี ไปยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) ให้ตรวจสอบกลุ่มศิลปิน ที่ออกมาคอลเอาท์ รัฐบาล ว่า ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องจริง นายสนธิยาไม่ใช่ลูกน้อง แต่เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร และสิ่งที่นายสนธิญาไปทำเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะเห็นว่าคนดังมาโพสต์หรือกล่าวด้อยค่าวัคซีน หรือพูดในทางที่จะเสียหายในภาษาที่ไม่สุภาพ จึงอยากให้ผบช.นตักเตือนคนเหล่านั้น เหมือนคนที่จะมาร่วมชุมนุม ก็ให้ตำรวจออกมาเตือนก่อนว่าผิดกฎหมาย

“ยืนยันว่าเขาทำในนามส่วนบุคคล  ไม่ได้ไปในฐานะที่เป็นตัวแทนของผม ของรัฐบาล หรือของนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญผมและนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ใช้ให้ไปทำ และเขาไม่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษหรือแจ้งความดำเนินคดี แค่ให้ห้ามปราม ตักเตือน ดารา ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เขาจะใช้สิทธิ์ส่วนบุคคล เขาไม่ได้ผมบอกผมก่อน และผมก็ไม่รู้ว่าจะไป ยืนยันว่าไม่ใช่ลูกน้องผม แต่ยอมรับว่ารู้จักและเคยไปร่วมร้องทุกข์กล่าวโทษคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กล่าวหารัฐบาลที่กองปราบปราม”

ลูกหนี้ กยศ.ยิ้มได้ รัฐสนับสนุน ช่วยเหลือลูกหนี้ต่อเนื่อง สู้ภัยโควิด  ผ่อนสูงสุด 30 ปี หักเงินเดือนขั้นต่ำเพียง 10 บาท   เริ่มสิงหาคม 2564 - มิถุนายน 2565 นี้

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผย พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา นายกรัฐมนตรีย้ำความสำคัญในการช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษาและผู้ปกครอง ลดบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษารวมทั้งลูกหนี้ กยศ.  ล่าสุดกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เห็นชอบมาตรช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมจากที่ได้ยกเลิกกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุนในสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564  โดยเตรียมมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ผู้กู้ยืม ปรับลำดับตัดชำระหนี้และปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระ ผู้กู้ยืมที่อยู่ในระบบหักเงินเดือนสามารถขอปรับลดจำนวนเงินที่หักเหลือขั้นต่ำ 10 บาทต่อเดือน ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 - มิถุนายน 2565   นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาตร์ วิจัยและนวตกรรม นำมาตรการลดค่าค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนักเรียนและนักศึกษาในปีการศึกษา 2564 เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในสัปดาห์หน้า (27 กรกฎาคม 2564) ด้วย

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  กยศ.  เตรียมแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ ปรับเปลี่ยนลำดับตัดชำระหนี้และเปลี่ยนเงื่อนไขการผ่อนชำระสำหรับผู้กู้ยืมกลุ่มก่อนฟ้องคดีเพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ค้างชำระและลดปัญหาหนี้ค้างชำระของกองทุนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังนี้ 1. ปรับโครงสร้างหนี้ สำหรับผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระหนี้ที่ยังไม่ถูกฟ้องคดี หากไม่สามารถผ่อนชำระเงินคืนตามสัญญา กองทุนจะให้ผู้กู้ยืมทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้โดยขยายระยะเวลาผ่อน และเปลี่ยนเงื่อนไขเพื่อให้มีระยะเวลาในการผ่อนชำระมากขึ้น สามารถผ่อนได้สูงสุด 30 ปี แต่ในการชำระเงินงวดสุดท้ายผู้กู้ยืมต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ และมีส่วนลดเบี้ยปรับโดยให้ชำระในงวดสุดท้าย ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมสามารถแจ้งความประสงค์ขอปรับโครงสร้างหนี้ได้ที่แอปพลิเคชัน กยศ.Connect หรือทางเว็บไซต์ https:/wsa.dsl.studentloan.or.th ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป 

2. ปรับเปลี่ยนลำดับตัดชำระหนี้ สำหรับผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระเงินคืนกองทุนที่ยังไม่ถูกฟ้องคดี จากเดิมที่ใช้วิธีการตัดเบี้ยปรับ ดอกเบี้ย และเงินต้น กองทุนจะปรับเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้ใหม่ โดยจะนำเงินที่ได้รับชำระไปตัดเงินต้น ดอกเบี้ย และเบี้ยปรับ 3. ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการผ่อนชำระเงินคืน สำหรับผู้กู้ยืมรายใหม่ และผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างปลอดหนี้และยังไม่ครบกำหนดชำระหนี้ จากเดิมที่ผ่อนชำระเป็นรายปี กองทุนจะปรับให้ผ่อนชำระเป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันทุกเดือน และเพิ่มระยะเวลาการผ่อนชำระจากเดิมไม่เกิน 15 ปี เป็นไม่เกิน 30 ปี ขึ้นอยู่กับยอดหนี้ของผู้กู้ยืมแต่ละราย ทั้งนี้ในการชำระเงินงวดสุดท้ายผู้กู้ยืมจะต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ โดยลดเบี้ยปรับให้เหลือเพียง 0.5% กรณีผู้กู้ยืมไม่สามารถชำระหนี้ได้ในสถานการณ์นี้ รวมทั้งชะลอการฟ้องคดี บังคับคดี ยกเว้นคดีที่จะขาดอายุความ และงดการขายทอดตลาดไว้จนถึงสิ้นปีนี้

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญในการแก้ปัญญาหนี้ภาคประชาชน  ส่งเสริมสร้างวินัยทางการเงิน  ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายังสนับสนุนนโยบาย กยศ. ในการช่วยเหลือลูกหนี้ กยศ. ให้มีความสามารถในการชำระหนี้คืนจากมาตรการต่างๆของกองทุน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อลูกหนี้ กยศ. ที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้จำนวน 3.5 ล้านราย หากสนใจก็สามารถเข้าร่วมโครงการ ก็จะได้รับประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ กยศ. ในครั้งนี้ด้วย” นางสาว รัชดากล่าว

“บิ๊กตู่” สั่งปัดฝุ่น “ช้อปดีมีคืน” กลับมาใช้ หวังกระตุ้นการใช้จ่ายปลายปี

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้มอบหมายในที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายทั้งโครงการคนละครึ่ง และโครงการ ยิ่งใช้ยิ่งได้ หรือพิจารณานำโครงการช็อปดีมีคืนกลับมาใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเร่งให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจตามเป้าหมายของโครงการ 

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังอยากเห็นการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับมาตรการของรัฐ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั้งการลงทะเบียนออนไลน์เพื่อร่วมโครงการ ชี้แจงข้อสงสัย รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ  ซึ่งจะเป็นการสร้างความเข้าใจในมาตรการรัฐในระดับพื้นที่ด้วย พร้อมขอให้ ศบศ. นำผลการหารือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและภาคเอกชนในการประชุม 40 ซีอีโอพลัส มาขับเคลื่อนในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19  ร่วมฟื้นฟูประเทศร่วมกับภาคเอกชน 

“นายกฯ ยังขอให้เร่งส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจใหม่ๆ เช่น การดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าประเทศไทย ผู้มีกำลังซื้อสูง ผู้เชี่ยวชาญ ผู้สูงอายุ เพื่อสนับสนุนกำลังซื้อภายในประเทศอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ได้สั่งการในที่ประชุมครม. ให้เร่งพิจารณาแผนงานของทุกกระทรวง ที่อยู่ภายใต้งบประมาณฯปี 64 และ 65  ที่เบิกจ่ายต่ำกว่าเป้าหมาย หากโครงการใดที่ติดขัดเพราะสถานการณ์โควิด-19 ก็สามารถชะลอได้ และพิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด”  

“ประวิตร” ถกปคม.ไฟเขียวแผนป้องค้ามนุษย์ ปี64-65 เห็นชอบตั้ง “พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์” ปธ.อนุกกฯต้านค้ามนุษย์ไทย-สหรัฐฯ  ย้ำ ยกระดับการทำงานจนท.รัฐ รองรับมาตรการสากล 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.)ครั้งที่ 3/2564 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยและนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วม

โดยที่ประชุมเห็นชอบ แผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี 64-65 และโครงการสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ 3 ด้าน คือ 1.ด้านดำเนินคดี ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับผิดชอบ 2.ด้านคุ้มครองช่วยเหลือ ให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯรับผิดชอบ และ 3.ด้านป้องกัน ให้กระทรวงแรงงานรับผิดชอบ และเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่วมว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ไทย-สหรัฐ(ฝ่ายไทย) โดยมี พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ เป็นประธาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการต่อต้านการค้ามนุษย์ขับเคลื่อนการดำเนินงาน ให้มีประสิทธิภาพ

นอกจากนั้นที่ประชุมรับทราบรายงานผลการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ดังนี้โดยแนวโน้มสถานการณ์การค้ามนุษย์ในรูปแบบออนไลน์และแรงงานบังคับเพิ่มสูงขึ้น การจำกัดการเคลื่อนที่และการสื่อสารของผู้เสียหายที่ถูกบังคับกักตัวในสถานคุ้มครองของรัฐ ควรมีการวิเคราะห์ผู้เสียหายเป็นรายบุคคล ส่วนการคัดกรองคดียังประสบปัญหาความชัดเจน ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และขาดแคลนล่ามผู้เชี่ยวชาญ จึงควรยกระดับการแก้ปัญหาร่วมกัน  และรับทราบรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ทิปรีพอร์ต ประจำปี64 ของสหรัฐ ที่ปรับระดับประเทศไทยจากระดับ 2 (Tier 2)ไปอยู่ในระดับ 2 ที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) โดยสหรัฐฯได้เห็นถึงความพยายาม ของไทยและพร้อมให้ข้อแนะนำเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้บรรลุเป้าหมาย ต่อไป

จากนั้นพล.ประวิตร เป็นประธานประชุมคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยที่ประชุมเห็นชอบ แต่งตั้งพล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ เป็นประธานอนุกรรมการ พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ให้เป็นที่ยอมรับและยกระดับสู่มาตรฐานสากล ยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง และแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทุกมิติ

โดยพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คณะอนุกรรมการฯ ชุดใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นกลไกสำคัญในการต่อต้านการค้ามนุษย์ จะต้องเร่งรัดดำเนินงานให้เห็นผล เป็นรูปธรรม เพื่อแสดงความจริงใจ ต่อการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย และต้องบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม และเด็ดขาดให้มากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ให้มุ่งมั่นทุ่มเทในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ อย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงหลักสิทธิมนุษยชน เป็นสำคัญ

“สงคราม” ไล่ “บิ๊กตู่” อย่าอยู่สร้างหายนะให้ประเทศอีกเลย อัดส่งลิ่วล้อไล่ฟ้องดารา ศิลปินหวังใช้กฎหมายปิดปาก ประชาชน

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด แม้รัฐบาลขยายระยะเวลาบังคับใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.บ.ฉุกเฉิน รวมทั้งออกมาตรการล็อกดาวน์เข้มข้นในหลายพื้นที่ แต่ผลที่ออกมาคือไม่สามารถหยุดการระบาดของเชื้อไวรัสได้ นับวันมีแต่รุนแรงขึ้นมีประชาชนติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลักหมื่นทุกวัน ชัดเจนว่ารัฐบาลใช้แต่อำนาจแต่ทำงานไม่เป็นแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะแม้แต่ตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไม่กล้ามาทำงานในทำเนียบแล้วประชาชนจะมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลได้อย่างไร

การประกาศปิดกิจการของผู้ประกอบการหลายหลายอาชีพ ตามมาตรการรัฐบาลเป็นการทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ รัฐบาลอ้างเพื่อควบคุมการระบาดแต่ในความเป็นจริงมันควบคุมไม่ได้ แต่รัฐได้ทำลายระบบเศรษฐกิจไทยลงอย่างย่อยยับที่สุด ทำคนตกงานหลายล้านคน ในขณะที่การชดเชยให้กับผู้ประกอบการและลูกจ้าง รัฐกลับใช้เวลานานมากกว่าจะชดเชยให้กับคนเหล่านี้ได้ แต่เวลาใช้อำนาจกลับสั่งปิดกิจการทันที ประชาชนมองว่าพลเอกประยุทธ์เก่งแต่อำนานแต่ทำงานไม่เป็น

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า การที่บรรดาลิ่วล้อของพลเอกประยุทธ์ ออกมาฟ้องร้องประชาชนศิลปิน ดารา ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ด้วยข้อความต่างๆ สร้างความไม่พอใจให้พลเอกประยุทธ์และรัฐบาลเป็นอย่างมาก ดังนั้นการออกมาแจ้งความดำเนินคดีกับคนเหล่านี้ เป็นไปตามความต้องการของพลเอกประยุทธ์ เพราะต้องการใช้กฎหมายปิดปากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนไม่ให้ออกมาพูด แม้รัฐบาลจะบริหารงานได้ห่วยแค่ไหน ไร้ความรับผิดชอบจนมีผู้ติดเชื้อนอนตายข้างถนน รัฐบาลกลับไม่รับผิดชอบชีวิตประชาชน หากเป็นแบบนี้ไม่ต้องมีรัฐบาลก็ได้ พลเอกประยุทธ์ เก่งแต่ใช้อำนาจกับประชาชน แต่ไม่รับผิดชอบความเดือดร้อนและความตายประชาชน ควรออกไปได้แล้ว อย่าอยู่เพื่อสร้างความหายนะให้กับประเทศอีกเลย

“องอาจ”เสนอ"บิ๊กตู่"ใช้ค่ายทหารทั่วประเทศ ทำ รพ.สนาม  หนุนทบ.ตั้งศูนย์ต้านภัยโควิด แนะดึงทร.-ทอ.ร่วมด้วย

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ว่า เฟซบุ๊กศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบกได้เผยแพร่ข้อมูลระบุว่ากองทัพบกได้เริ่มตั้งศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด-19 เพื่อเป็นสื่อกลางช่วยผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบรักษาไปยังศูนย์แรกรับและส่งต่อผู้ป่วยโควิดของรัฐบาล (อาคารนิมิบุตร) หรือสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงช่วยเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อไปยังโรงพยาบาลสนามที่จัดเตรียมไว้ ทั้งโรงพยาบาลสนาม ทบ. 18 แห่ง โรงพยาบาลค่าย ทบ. 29 แห่ง และศูนย์พักคอยผู้ป่วยโควิด-19 ของกรุงเทพฯ 17 แห่ง รวมถึงมีฌาปนสถานของ ทบ.อีก 4 แห่งไว้รองรับ จึงเป็นเรื่องน่ายินดีที่กองทัพบกได้เริ่มเข้ามาช่วยรับ-ส่งฟรี 24 ชั่วโมง ทั้งผู้ป่วยติดเชื้อ ผู้หายป่วยเคลื่อนย้ายศพและฌาปนกิจศพ  อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินการสามารถช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้มากขึ้น เพราะแนวโน้มการแพร่ระบาดยังไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลง 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า ตนจึงขอเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ดังนี้ 1.ควรนำค่ายทหารทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายทหารในกรุงเทพฯ มาทำเป็นโรงพยาบาลสนาม และจุดพักคอยเพิ่มขึ้น และ 2.ควรแปรสภาพศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด-19 ของกองทัพบกให้เป็นศูนย์ของกองทัพไทย รวมถึงประสานให้กองทัพเรือและกองทัพอากาศเข้ามาทำงานช่วยเหลือประชาชนด้วย  3.ควรสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอต่อการทำงานอย่างจริงจัง ไม่ควรปล่อยผู้นำหน่วยไปหางบทำงานกันเอง  ทั้งนี้ ตนเชื่อมั่นว่าถ้าพล.อ.ประยุทธ์สามารถทำตามข้อเสนอนี้ได้ จะช่วยผู้ป่วยติดเชื้อและครอบครัวได้อีกจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนของภาครัฐดีขึ้นอย่างแน่นอน

Call Out!! ฉัน​ต้องการเสียงดัง ๆ​ ของ​ 'เธอ'​

แทบจะเป็นธรรมเนียมไปแล้ว​ ในทุกๆ​ ครั้งที่อุณหภูมิทางการเมืองระอุ​ และมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง​

และเหล่า​ 'คนดัง'​ หรือ​ 'มีชื่อเสียง​'​ ก็มักจะต้องถูกดึงเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงออก โดยมีผู้คนในโลกโซเชียลคอยกดดันผ่านแฮชแท็กมากมายในหลาย ๆ​ แพลตฟอร์ม​ เช่น​ ทวิตเตอร์

#วันนี้ดาราcalloutหรือยัง

กระแสเหล่านี้รุนแรงและเป็นแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นถี่มากในตอนนี้แก่เหล่าคนดัง!!

ว่าแต่ทำไมต้องเป็นศิลปินและดารา?

การดันแฮชแท็กเหล่านี้​ เพื่อเรียกร้องให้ทั้งดารา/ศิลปินใน ‘ไทย’ และ ‘ไอดอลคนไทยในต่างประเทศ’ ออกมาแสดงความคิดเห็นหรือจุดยืนในเรื่องการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นนั้น

เนื่องจากความสนใจหรือการตั้งคำถามผ่าน เสียงหรือข้อความของเหล่าดารา/ศิลปินน​ั้น​ มีความ​ Impact​ ต่อสังคมอย่างมาก​ ยิ่งดาราคนนั้นดังมากเท่าไร​ เสียงก็จะยิ่งดังชัดขึ้นต่อการเมืองในช่วงนั้น

เพราะพวกเขา​ คือ Influencer หรือผู้มีอิทธิพลบนสื่อโซเชียลมีเดีย รวมถึงการเป็นผู้มีอิทธิพลต่อกระแสภายในสังคม

และด้วยความเป็น ‘ผู้มีอิทธิพลทางสื่อ’ เป็น ‘ผู้มีชื่อเสียง’ จึงพ่วงมาด้วยการมีผู้ติดตามจำนวนมาก

นั่นหมายความว่าการเคลื่อนไหวของบุคคลเหล่านี้บนโซเชียลมีเดียในแต่ละครั้งไม่ว่าจะในด้านใด (จะเป็นการรีวิวสินค้า/ขายของ หรือการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง) ผู้คนที่ติดตามโซเชียลของบุคคลเหล่านี้ก็จะรับรู้เรื่องราวและส่งต่อสารที่สื่อออกมาได้กว้างขวางมากขึ้น

ฉะนั้น​ ถ้าคุณทำอะไรก็ดัง​ ขายของ​ รีวิวสินค้า โน้มน้าวชักจูงใจคน​ และแฟนคลับได้ ก็ต้องออกมาเป็นกระบอกเสียงในเรื่องการเมือง​ เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมต่อสังคมวงกว้างได้ด้วยเช่นกัน​ (แกมบังคับเนาะ)​

แน่นอนว่า​ การออกมาแสดงความคิดเห็น หรือจุดยืนทางการเมืองอาจส่งผลกระทบต่อตัวดารา/ศิลปิน ทั้งในเรื่องของชีวิต หน้าที่การงาน ครอบครัวหรือคนรอบข้างได้

แต่กลุ่มที่ต้องการให้ Call​ Out​ ก็จะมีการพูดว่าคนดังที่ออกมาเชียร์จะไม่ถูกคุกคาม​ และถ้าคุณกล้าออกมา​ Call​ Out​ พวกเราก็จะสนับสนุนคุณ​ตลอดไป (แม้สุดท้ายจะเกิดผู้ไม่สนับสนุนอีกฟากเกิดตามมาก็ตาม)​

ถึงกระนั้น​ ทุกวันนี้​ ศิลปิน/ดาราไทยหลายคน​ ก็เริ่มจะออกมาเป็นกระบอกเสียง และ​ Call​ Out​ ในทางการเมืองมากขึ้น​ ซึ่งจะด้วย 'จุดยืนส่วนตัว'​ หรือ 'แรงกดดัน'​ จากสังคมก็บอกได้ยาก...

แต่อย่างไรเสีย​ สิ่งที่อยากฝากคนไทยไว้​ คือ​ การออกมาหรือไม่ออกมาแสดงความคิดเห็น ย่อมเป็นสิทธิของแต่ละคนตามหลักของประชาธิปไตยที่บอกว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงออกทางความคิดเห็น

เช่นเดียวกันกับตัวประชาชนเอง​ ก็มีสิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ หรือเลือกที่จะติดตามหรือไม่ติดตามต่อก็ได้เหมือนกัน...

เรื่องนี้ต้องแยกแยะให้ออกด้วย!!


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top