Sunday, 20 July 2025
POLITICS

ปธ.พัฒนาการเมือง เผย คำสั่ง 'ห้ามเผยแพร่ความกลัว' ขัดรัฐธรรมนูญ สั่ง อนุฯ ต่อต้าน fake news ติดตาม กสทช.- DES ใกล้ชิด ชี้ เมื่อท่านตรวจสอบประชาชน ก็ต้องถูกตรวจสอบกลับเช่นกัน

นาย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวถึงประกาศราชกิจจานุเบกษาข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 29) ซึ่งมีผล 30 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป โดยมีเนื้อหาที่สำคัญก็คือ “ห้ามผู้ใดเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน” โดยกล่าวว่า หากพิจารณาถึงถ้อยความในข้อกำหนดข้างต้น อดตั้งคำถามว่ารัฐบาลของนายประยุทธ์ จันทร์โอชากำลังปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 หรือไม่

"ข้อความ "อันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว...ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน..." หมายความได้อย่างกว้างขวาง และหมายรวมถึงกรณีที่แม้ว่าข้อความนั้นเป็นความจริง เช่น การที่สื่อมวลชน พี่น้องประชาชนหรือพรรคการเมืองเสนอข้อมูลข่าวสาร วิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาดในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 การบริหารวัคซีนที่ผิดพลาดของรัฐบาล ข่าวผู้ป่วย-ผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดโควิด- 19 ก็ไม่อาจนำเสนอได้ ใช่หรือไม่ เช่นนั้นแล้ว ข้อกำหนดที่เขียนด้วยเท้าเช่นนั้น จึงมุ่งหมายที่จะปิดปากสื่อมวลชน พี่น้องประชาชน และพรรคการเมืองที่วิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวและความโง่เขลาเบาปัญญาในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นการใช้กฎหมายเพื่อปกปิดความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตัวเอง" 

ณัฐชา กล่าวต่อไปว่า ข้อกำหนดข้างต้น ยังเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะรัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เอาไว้ จริงอยู่ที่อาจมีข้อยกเว้นในบางสถานการณ์ แต่การห้ามไม่ให้พูดแม้แต่เรื่องจริง ย่อมไม่อยู่ในข้อยกเว้นนั้นและไม่เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน เพียงแค่ผู้มีอำนาจตีความว่ามีลักษณะเป็น "ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ผิดกฎหมาย และถูกดำเนินคดีได้ จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความกลัวขึ้นในหมู่ประชาชนด้วยการเอากฎหมายมาใช้ข่มขู่เสียมากกว่า พฤติกรรมแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากมาเฟียไม่ใช่เป็นพฤติกรรมของรัฐบาลในสังคมประชาธิปไตยที่ต้องรับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน

"ในข้อกำหนดข้อต่อมา ที่กำหนดให้สำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีอำนาจในการแจ้งผู้รับใบอนุญาตการให้บริการอินเทอร์เน็ต มีหน้าที่ตรวจสอบว่าข้อความหรือข่าวสารดังกล่าวมีที่มาจากที่ใดพร้อมทั้งให้แจ้งรายละเอียดให้สำนักงาน กสทช. ทราบ และให้ระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตนั้นทันที และให้สำนักงาน กสทช. ส่งรายละเอียดแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินคดีต่อไป

"ในฐานะกรรมาธิการ จึงต้องการคำตอบว่าเหตุใด กสทช. ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อกำกับดูแลการบริการการสื่อสารให้เป็นไปได้ด้วยเรียบร้อยเพื่อประโยชน์ของประชาชน จึงต้องไปเป็นแค่ 'มือ-เท้า' ของรัฐบาลนายประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการปิดหู ปิดตา ปิดปาก และสร้างความหวดกลัวให้กับประชาชน ทั้งที่ข้อกำหนดข้างต้นมากคลุมเครือจนถึงขนาดว่า ความจริงก็เสนอไม่ได้ กสทช. ต้องพึงระลึกไว้เสมอ หากยอมดำเนินการตาม องค์กรของท่านก็จะถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของความผิดพลาดและความล้มเหลวในการแก้ไขวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด -19 และส่งผลให้มีผู้ป่วย ผู้สูญเสีย และผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รวมไปถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายในการระงับการให้บริการอินเตอร์เน็ตที่ สำนักงาน กสทช. ทำได้โดยทันที โดยไม่ผ่านการตรวจถ่วงดุลโดยองค์กรตุลาการ เช่นนั้นแล้ว กสทช. ก็จะเป็นหน่วยงานที่ใหญ่คับฟ้า ควบคุมความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนได้โดยชัดเจน ไม่ต่างจากการปกครองของเผด็จการที่คอยควบคุมความคิดและโฆษณาชวนเชื่อเพียงด้านเดียวของรัฐบาล"

ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ยังกล่าวต่อไปว่า ในห้วงเวลาสถานการณ์ฉุกเฉิน การแพร่ระบาดของโควิด–19 ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน มีผู้คนล้มป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน มีคนที่สูญเสียครอบครัวที่รัก มีคนที่สูญเสียโอกาสหรืออนาคตในชีวิต หรือแม้แต่สูญเสียชีวิตของตนเอง การปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชนและผู้คนในสังคม ไม่ใช่การแก้ปัญหา เช่นนั้นแล้วนานาอารยประเทศที่ผ่านวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด–19 มาได้ คงเลือกใช้หนทางเช่นนี้หมด แต่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องคือการที่รัฐบาลและผู้มีอำนาจ ใช้สติปัญญาและอำนาจที่ตนมี แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยคำนึงถึงทุกชีวิตของประชาชน เพราะทุกชีวิตของประชาชนที่สูญเสียไป ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนกระดานนำเสนอข้อมูล แต่คือเลือดเนื้อ คือชีวิต คือความผูกพันธ์ของประชาชนครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง 

"แทนที่จะปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน แต่สิ่งที่ผู้มีอำนาจจะต้องรีบดำเนินการคือ การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ประชาชนว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร รัฐบาลกำลังดำเนินการอะไร และประชาชนต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ประชาชนมีสิทธิรับรู้ข้อมูลข่าวสารและข้อเท็จจริงที่เกิดชึ้นในบ้านเมือง ไม่ใช่รับรู้ได้แต่เพียงสิ่งที่ผู้มีอำนาจนำเสนอ เพราะประชาชนย่อมมีวิจารณญาณและใช้ความคิดในการทำความเข้าใจและตัดสินใจว่าจะเชื่อสิ่งเหล่านั้นหรือไม่

"การมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลมีอำนาจสูงสุดเด็ดขาดจะทำอะไรก็ได้ หากแต่การใช้อำนาจเด็ดขาดนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเท่านั้น และต้องไม่ก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญเกินสมควร"

ณัฐชา ย้ำว่า หากรัฐบาลและผู้มีอำนาจไม่มีสติปัญญามากพอในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แม้จะมีตัวอย่างให้ศึกษาและปฏิบัติตามจากนานาอารยะประเทศที่กำลังผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยด้วยดีแล้ว การเปลี่ยนม้ากลางศึก ที่ปัจจุบันนี้ ประชาชนก็ไม่มีความแน่ใจว่าเป็นม้าจริงหรือไม่นั้น ก็เป็นทางออกที่สำคัญยิ่งของประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ความจริงใจ และความเข้าอกเข้าใจถึงพี่น้องประชาชนเข้ามาแก้ไขปัญหา

ทั้งนี้ ตนได้มีการมอบหมายให้อนุกรรมาธิการ ต่อต้าน fake news ในคณะกรรมาธิการสื่อสารมวลชน ติดตามการทำงานของกระทรวง DES ใกล้ชิด เพื่อติดตามการทำงานคณะกรรมการเฉพาะกิจที่คาดว่าตั้งขึ้นเพื่อการนี้ ในเมื่อท่านกล้าจะตรวจสอบผู้อื่น ในฐานะตัวแทนประชาชนขอตรวจสอบพวกท่านบ้าง จะได้กระจ่างว่า ฝ่ายใดกันแน่คือกระบวนการผลิตข้อมูล ข่าวสารเท็จออกมาสร้างความหวาดกลัวให้พี่น้องประชาชน

“รองโฆษกปชป.” คาดมีคนคอยให้ท้าย “กลุ่มทะลุฟ้า” มีคดีที่ไรไปประกันตัวทุกที 

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มทะลุฟ้า เพื่อเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล โดยกลุ่มผู้ชุมนุมมีพฤติกรรมทำลายทรัพย์สิน ป้ายสีตัวอาคาร และก่อความเดือดร้อนรำคาญให้กับประชาชนทั่วไปว่า พฤติกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตนเห็นว่า สวนทางกับสิ่งที่ผู้ชุมนุมพยายามบอกคนทั่วไปว่า เป็นผู้รักประชาธิปไตยและไม่ต้องการการเมืองแบบเดิมๆ แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ตั้งแต่ที่เริ่มจัดกิจกรรมตั้งแต่เดือนสิงหาคม 63 จนถึงตอนนี้ กลับเป็นการสร้างความไม่สบายใจและเอือมระอาต่อผู้คนในสังคม เพราะนอกจากจุดยืนที่ไม่สามารถเป็นไปได้แล้ว ยังมีข่าวเป็นระยะๆ ในเรื่องของความขัดแย้งของมวลชนด้วยกันเอง และการไม่ยอมฟังความคิดเห็นของคนอื่น ซึ่งถ้าคนรุ่นใหม่รักประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว จะต้องเคารพในสิทธิเสรีภาพของตนเองและความแตกต่างของผู้อื่น หาทางประสานประโยชน์ระหว่างกัน ไม่ใช่ไปไล่กดดันให้คนอื่น คิดเหมือนตนเอง ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรกับคนเอาแต่ใจ ที่เป็นแนวทางไปสู่ความคิดที่เป็นเผด็จการในเวลาต่อมาได้  
      
“เหตุการณ์ที่เกิดกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย ผมคาดว่าจะต้องมีคนคอยให้ท้ายแน่นอน ที่ผ่านมาปรากฏว่า พอมีการดำเนินคดีก็จะมีบุคคลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีในวงการเมือง ไปประกันตัวออกมา รวมทั้งใช้จุดอ่อนเรื่องสถานภาพการเป็นนักศึกษาหรือเยาวชน มาเป็นเกราะกำบัง ซึ่งทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้ใจ ทำให้มีการกระทำที่ผิดกฎหมายและเกิดเหตุทำลายทรัพย์สินบ่อยครั้งขึ้น ดังนั้นผมอยากให้ผู้ชุมนุมหรือน้องๆเยาวชน ที่รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โปรดใช้วิจารณญาณในการพิจารณาข่าวสารและพฤติกรรมของนักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองที่สนับสนุนอยู่นั้น ได้ปฏิบัติตนตามหลักประชาธิปไตยหรือช่วยเหลือดูแลประชาชนหรือไม่ เพราะผมเชื่อว่าน้องๆเยาวชนหรือแม้แต่คนในสังคม ต่างก็อยากให้ปัญหาการเมืองไปแก้ไขกันในพื้นที่ที่ถูกที่ควร”นายชัยชนะ กล่าว          นายชัยชนะ กล่าวต่อว่าในเมื่อผู้ชุมนุม กระทำการอันเกินขอบเขตการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมือง มีการละเมิดทรัพย์สินและสวัสดิภาพของประชาชน รวมทั้งฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ทางพรรคฯ  ก็ได้ดำเนินการแจ้งความและจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด เพื่อให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่นๆ ที่คิดจะล้ำเส้นโดยใช้สิทธิเกินเลยตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ยืนยันว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ทางพรรคฯ ไม่ได้คิดเรื่องการเมือง เพราะยังมีปัญหาของประชาชนมากมายรอให้ทางพรรคประชาธิปัตย์แก้ไขอยู่

“เสกสกล” ซัด “ณัฐวุฒิ” หยุดพล่ามการเมือง ชี้ รอประเทศพ้นวิกฤตโควิดก่อนค่อยว่ากัน วอน ให้ใจหมอ-ปชช.ย้อน หรืออยากลงถนนได้รางวัลตอบแทนอีกครั้ง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กพาดพิงถึงนายกรัฐมนตรี โดยเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกทันที หลังจากนั้นให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกฯจากบัญชีว่าที่นายกฯที่มีอยู่ถ้าไม่ได้นายกฯด้วยวิธีแรกให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 วรรคสอง ส.ว.ต้องร่วมโหวตเพื่อเปิดทางให้มีนายกฯจากคนนอกบัญชีเพื่อทำเรื่องเร่งด่วนคือแก้ปัญหาโควิด แก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) และให้ตัดอำนาจส.ว.เลือกนายกฯ ว่า

ฟังแนวคิดของนายณัฐวุฒิ แล้วเศร้าใจ ที่พยายามทำทุกวิถีทางที่จะล้มรัฐบาลนี้ให้ได้  แต่ในที่สุดก็เข้าแบบเดิมคืออยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนนายกฯ ใช้ความเพลี่ยงพล้ำจากวิกฤตโควิดมาซ้ำเติมประเทศแทนที่จะเห็นใจ ช่วยเหลือดูแลประชาชน เหมือนอย่างที่คนอื่น หรือศิลปิน ดารา หลายคนทำ เช่นเอาข้าว เอาน้ำ ยารักษาโรคไปช่วยเหลือ หรือซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ ดีกว่าใช้ปากพูดเพราะจะเป็นประโยชน์กว่า และขอร้องให้พักเรื่องการเมืองไว้ก่อนรอให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด ถึงเวลานั้นอยากจะพูดอะไรก็พูดเลยที่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งนายณัฐวุฒิ น่าจะรู้ดีว่าอะไรจริง อะไรเท็จ พูดจริงเป็นอย่างไร พูดเท็จผลคืออะไร อย่าได้คะนองปากในช่วงที่ประชาชนกำลังลำบาก และบุคคลากรทางการแพทย์กำลังทำงานอย่างหนักในตอนนี้ เพราะฉะนั้นอย่ามาแซะกันเรื่องทางการเมืองในตอนนี้

นายเสกสกล กล่าวว่า ยืนยันว่านายกฯ ไม่ท้อและไม่ทิ้งงานที่บริหารแน่นอน และยังประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะทีมแพทย์ทุกวัน พยายามหาวิธีแก้ปัญหาตลอด ไม่ได้มีเวลามารับฟังเรื่องที่คนที่ไม่ได้ใช้สมองคิดออกมาพ่นน้ำลาย หรือคิดแต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญจนประชาชนเบื่อหน่าย ถ้านายณัฐวุฒิ หยุดคิดริษยาจะเป็นคุณูปการต่อประเทศอย่างมาก หรือคงอยากจะลงถนนให้บ้านเมืองหายนะอีกเพราะลงแล้วแกนนำได้รางวัลต่างตอบแทนเป็นรัฐมนตรีถึงสองกระทรวงฯก้าวข้ามศพประชาชนคนเสื้อแดง ไปเอาตำแหน่งเสนาบดีใหญ่โต ยังหวังจะใช้แผนเดิมเพื่อจะได้กลับมารับรางวัลตอบแทนอีกใช่หรือไม่ 

“อยากบอกว่าประวัติบางครั้งก็ไม่ได้บันทึกซ้ำรอยเสมอไป อย่าคิดว่ามวลชนจะรู้ไม่ทันว่าใครสู้แล้วรวย ใครสู้แล้วได้ดิบได้ดี เอาตัวรอด แต่คนที่เจ็บและชอกช้ำที่สุดคือมวลชน ที่ถูกหลอกมาบาดเจ็บล้มตายบนท้องถนน ทอดทิ้งมวลชนอย่างเจ็บปวดหัวใจ ถ้าอยากรู้อะไรดีๆว่าจริงหรือไม่ให้ไปถามนายสมหวัง อัสราษี อดีตเหรัญญิกนปช.เอาเอง ว่าถูกกรมสรรพกร เรียกเก็บภาษี 572 ล้านจนยอมล้มละลาย สาเหตุเป็นเพราะอะไร”

“จุรินทร์” สั่งผ่าน คกก.พัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติให้ทุกหน่วยรับฟังข้อเสนอสมัชชาเยาวชน ต้องรายงานความคืบหน้าการช่วยแก้ปัญหาทุก 3 เดือน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (30ก.ค.) มีการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอของสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ และของสมัชชาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ประจำปี 2563 ซึ่งประกอบด้วย การพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้มีความสนใจในการรับราชการ การพัฒนาตลาดสินค้าออนไลน์เพื่อผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ การสร้างโอกาสทางอาชีพให้กลุ่มเปราะบาง การปรับหลักสูตรเพศศึกษา กฎ ระเบียบในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับความหลากหลายและการเปลี่ยนแปลงของสังคม พิจารณาให้สิทธิเด็กและเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์เข้าถึงการกู้ยืมเงินจากกองทุนเพื่อการศึกษา เปิดโอกาสให้นักเรียนนอกระบบสามารถใช้ประสบการณ์การทำงานเทียบเท่าเป็นหน่วยกิตบางวิชาในสถานศึกษา เป็นต้น

มากไปกว่านั้น ที่ประชุมยังได้รับทราบการรายงานสถานการณ์ด้านเด็กและเยาวชน จากกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งพบแนวโน้มและปัญหา อาทิ เด็กไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อและแม่มากขึ้น เนื่องจากพ่อแม่ทำงานอยู่คนละจังหวัดจึงต้องให้ลูกอยู่กับปู่ย่าตายาย ภาวะโรคอ้วน เด็กรู้ไม่เท่าทันสื่อออนไลน์ ติดเกมส์ ติดพนัน โรคซึมเศร้าในกลุ่มเยาวชนอายุ18-25 ปี และล่าสุดข้อมูลของไตรมาสแรกปีนี้ รายงานว่า เด็กไทยถูกจัดเป็นอันดับสองของโลกรองจากญี่ปุ่น กว่า 91% เคยถูกกลั่นแกล้งรังแก ด้วยการตบหัว ล้อชื่อพ่อแม่ โดนดูถูก พูดจาเหยียบหยาม 

นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มว่า คณะกรรมการได้ติดตามการดำเนินการของหน่วยงานต่างๆในการแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งหลายเรื่องจะสำเร็จได้ต้องสร้างความตระหนักในสังคมและครอบครัวถึงภัยใกล้ตัวและแนวทางที่ถูกต้องในการดูแลเด็กและเยาวชนในยุคปัจจุบัน ขณะเดียวกัน เพื่อให้ให้การขับเคลื่อนงานด้านนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีส่วนร่วมและครอบคลุมคนทุกกลุ่ม มุ่งเป้าสร้างคนรุ่นใหม่เป็นคนดีมีคุณภาพ นายจุรินทร์ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของสมัชชาเด็กและเยาวชน  และให้รายงานความคืบหน้าของการดำเนินการและการแก้ปัญหาต่อคณะกรรมการทราบทุกสามเดือน

“แสนยากรณ์” ชี้ “บิ๊กตู่” รวบอำนาจจัดการโควิดครบรอบ 3 เดือน ใช้ไม่ได้ผล ถึงเวลารับฟังคนอื่น ยกข้อเสนอ “กรณ์” ออกพระราชกำหนด ปลดล็อกระบบราชการรวมศูนย์ แก้วิกฤตประเทศ อย่ารอจนให้คนมาไล่ปลดนายกฯ ทั้งประเทศ 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ว่า ครบรอบ 3 เดือนที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจแก้ปัญหาโควิด-19 ด้วยวิธีการแบบรวมศูนย์อำนาจกฎหมาย 31 ฉบับไว้ที่ตัวเอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับสวนทาง ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นใกล้แตะหลัก 2 หมื่นคนต่อวันในเร็วๆ นี้ ถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีต้องยอมรับว่า ระบบราชการรวมศูนย์นอกจากไม่ใช่ทางออกแล้ว ยังเป็นอุปสรรคในสถานการณ์วิกฤต จึงขอให้นายกรัฐมนตรีรับฟังข้อเสนอของนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ที่เสนอให้รวบรวมปัญหาอุปสรรคที่ทำให้กระบวนการต่างๆ ล่าช้า แล้วปลดล๊อกปัญหาต่างๆ ให้มีผลทันทีด้วยการออกเป็นพระราชกำหนด และขอให้พิจารณาแนวทางนี้ในการประชุม ครม. นัดถัดไปทันที 

“ตรวจ Rapid Antigen Test พอพบว่าติดเชื้อ แต่บางโรงพยาบาลไม่รับเข้ารักษา บอกว่าต้องตรวจ RT-PCR ก่อน , หากพบว่าติดเชื้อ ควรแจกยาฟาวิพิราเวียร์ที่จุดตรวจทันที ยามีในสต๊อกเดือนสิงหาคมนี้ 40 ล้านเม็ด เดือนกันยายนอีก 40 ล้านเม็ด แต่จุดตรวจหลายที่กลับแจกยาไม่ได้ เพราะยาไปไม่ถึง , ศูนย์พักคอยชุมชนมีประโยชน์มาก แยกตัวจากครอบครัวมากักตัวในศูนย์ที่ชุมชนจัดขึ้น สกัดวงจรการระบาด แต่หลายพื้นที่ตั้งไม่ได้เพราะส่วนราชการในพื้นที่ไม่อนุญาต ทั้งที่ส่วนราชการควรเป็นตัวช่วยทำให้ศูนย์พักคอยเกิดขึ้นทุกพื้นที่ , การกระจายวัคซีนยังไม่มีประสิทธิภาพ ประชาชนโดนเลื่อนคิวหลายครั้ง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างกัมพูชา อนุญาตให้บริษัทเอกชนสามารถยื่นขอใบอนุญาตนำเข้าวัคซีนทุกยี่ห้อที่ได้รับอนุมัติจากองค์การอนามัยโลก (WHO)แล้ว” นายแสนยากรณ์ กล่าว 

โฆษกพรรคกล้า กล่าวต่อว่า รัฐธรรมนูญหมวดหน้าที่ของรัฐ มาตรา 55 กำหนดว่า รัฐต้องดําเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง แต่หลายคนคนติดเชื้อไม่ได้เตียง บางคนตายคาบ้าน ตายข้างถนน แพทย์พยาบาลทำงานหนักจนติดเชื้อเอง เป็นสัญญาณชี้ชัดว่าระบบสาธารณสุขล้มเหลว รัฐบาลไม่สามารถทำตามรัฐธรรมนูญได้ ถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีควรรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะเสียงสะท้อนจากพื้นที่จริง อย่าปล่อยให้ “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” อย่างที่ท่านนายกฯ เคยพูดไว้ ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดขณะนี้คือการออกพระราชกำหนด ปลดล็อกปัญหา อย่าให้ถึงขั้นออกมาไล่ปลดนายกรัฐมนตรีทั่วประเทศ

น่าห่วง!! วัคซีนเทพ​ Pfizer ประสิทธิภาพลดเหลือ 39% เมื่อเจอเชื้อเดลตา | NEWS GEN TIMES

สุดท้ายแล้ว​ หน้าที่ของทุกวัคซีน​ คือ​ ช่วยเราให้รอดตาย!! และทุกวันนี้ก็ได้ทำหน้าที่ของมันจริง ๆ

ฉะนั้นอย่าตระหนก!! หากจะมีข่าวภูมิคุ้มกันของวัคซีนยี่ห้อต่าง ๆ​ ลดลง​ไปตามระยะเวลาหลังฉีด​ เพราะ​แม้​แต่ผลลัพธ์ของวัคซีนเทพอย่าง Pfizer​ ล่าสุด ก็ยังพบประสิทธิภาพที่ลดเหลือ 39% ในอิสราเอล​ หลังเจอพิษไวรัสสายพันธุ์ ‘เดลตา’ ระบาด

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

.

.


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.จังหวัดพัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความระบุ 3 ข้อที่นายทักษิณไม่เปลี่ยน แนะ กลับไทย 'ต้องมีพระนำ'

30 ก.ค. 64 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.จังหวัดพัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ คนที่ยังเหมือนเดิม

ผมแอบฟัง แอบอ่าน ความเห็นของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร อยู่บ้าง เพื่อไม่ให้ตกข่าว ผมเห็นว่า ท่านอดีตนายกทักษิณ ยังไม่เปลี่ยนแปลง ใน 2-3 เรื่อง คือ

1.) ไม่ค่อยมีกัลยาณมิตรเหมือนเดิม ผมเคยพูดในสภาว่า ท่านจะพังกับคนรอบข้าง ท่านไม่มีกัลยาณมิตร คนใกล้ชิดจะได้ประโยชน์จากท่าน แต่ท่านจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากคนเหล่านี้เลย เพราะเมื่อถึงเวลาคนเหล่านี้จะไปหาที่ใหม่ และฝากคำพูดไว้กับท่านว่า" มันจบแล้วครับนาย" วันนี้ ก็เห็น 2-3 คนเชียร์ท่านอยู่ในคลับเฮาส์ และเวลาเชียร์ท่านนายกทักษิณ ท่านก็ของขึ้นตามแรงเชียร์ทุกครั้ง

นี่!! ท่านยังเหมือนเดิม

2.) ท่านนายกทักษิณ ยังใช้คำพูดไม่น่ารัก เวลาพูดท่านจะแสดงความเหนือชั้นและข่มคนอื่นทุกครั้ง ท่านลืมภาษิตที่ว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" ความไม่น่ารักของท่าน เช่น ท่านพูดถึงคนอื่นว่า "ยังโง่เหมือนเดิม" "โง่กว่าเดิม" และผมยังเข้าใจไปว่า ท่านยังพาดพิงไปถึงพลเอกประยุทธ์ด้วย ทำนองว่า ยึดอำนาจไปแล้วคิดว่าจะฉลาด ก็ยังโง่เหมือนเดิม

อันนี้แหละ ที่ผมว่า ท่าน "ไม่น่ารัก" ไม่เป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เขาไม่ตำหนิใครด้วยถ้อยคำรุนแรงในที่สาธารณะหรอก

3.) สุดท้ายที่ท่านนายกทักษิณพูดว่า ท่านจะกลับเมืองไทยแน่นอน และออกทางประตูหน้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีสื่อมาถามผม ผมก็บอกว่า มีอยู่ 2-3 วิธี ที่ท่านมาและออกทางประตูหน้าได้ ผมลืมไปอีกวิธีหนึ่ง ที่ท่านสามารถออกทางประตูหน้าได้ คือ "ต้องมีพระนำ"


ที่มา : https://www.facebook.com/NipitPhatthalung/photos/a.580115755392887/5817237455013998/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ราเมศ’ บุก แจ้งความ มวลชนทะลุฟ้าแล้ว ลั่น ‘เอาให้ถึงที่สุด’

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางไปยัง สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุม ทะลุฟ้า จากกรณีบุกรุกเข้าไปในที่ทำการพรรคและทำลายทรัพย์สิน รวมถึงการเผาหุ่นให้เกิดเพลิงใหม้ โดยน่าจะเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน และความผิดอืนๆที่เกี่ยวข้อง 

นายราเมศได้กล่าวว่า การดำเนินคดี เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ตามระบบประชาธิปไตยที่กลุ่มผู้ชุมนุมพยายามเรียกร้อง การไม่เคารพความเห็นผู้อื่น การทำลายทรัพย์สินผู้อื่น การทำผิดกฎหมาย นี่คือความเป็นประชาธิปไตยหรือ ความเลวร้ายของแนวคิดนำไปสู่การกระทำที่ผิดกฎหมาย เมื่อกล้าทำผิดก็ให้กระบวนการยุติธรรมจัดการตามระบบ แล้วติดตามว่าจุดจบคดีนี้จะเป็นอย่างไร หลังจากนี้จะไปเก็บทุกอย่างโดยละเอียดยิบ เพื่อนำมามอบให้พนักงานสอบสวนต่อไป

หมอวรงค์ ชี้ ป๋าเทพช่วยดันกลุ่มคนพลังเงียบ เตือนพวกจาบจ้วง หยุดการกระทำได้แล้ว

30 ก.ค. 64 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ว่า #ปรากฏการณ์ป๋าเทพ

การแสดงออกของป๋าเทพ แค่วันเดียว ถูกกล่าวขานกันไปทั้งประเทศ เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะประชาชนที่คิดแบบป๋าเทพมีจำนวนมาก เพียงแต่คนส่วนใหญ่คือพลังเงียบ

ผมคิดว่า คนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มม็อบ ที่ออกมาป่วนประเทศ หวังให้มีการแพร่เชื้อ จาบจ้วงสถาบัน น่าจะหยุดได้แล้ว เพราะสิ่งที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย

สงสารน้อง ๆ เขา เพราะยิ่งทำยิ่งหมดอนาคต ต้องไปจบชีวิตในคุก แม้แต่ดาราที่หลงออกมา call out แทบจะเหยียบเบรกไม่ทัน เพราะคิดไม่ถึงว่า ประชาชนจีนจะออกมาต่อต้านอย่างรุนแรง

ป๋าเทพบอกว่า จบแค่ประถม 4 ป๋าเทพจึงเป็นตัวแทนของ ประชาชนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา และผมเชื่อว่า ปรากฏการณ์ป๋าเทพ จะยิ่งทำให้คนไทยมีพลังใจ และกล้าแสดงออกมากขึ้น


ที่มา : https://www.facebook.com/therealwarong/posts/2967013406903024


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ราเมศ โฆษก ปชป ตรวจความเสียหาย ที่ทำการพรรค ย้ำเกินกรอบกฎหมาย ลั่น แจ้งความ ดำเนินคดีถึงที่สุด

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกฎหมายพรรค ได้เข้าตรวจสอบความเสียหายที่ทำการพรรค โดยได้กล่าวว่า การแสดงออกของผู้ชุมนุมมกลุ่ม "ทะลุฟ้า" ที่ได้เดินทางมายังพรรคประชาธิปัตย์ ต้องบอกว่าไม่ใช่การเดินทางมาชุมนุมโดยสงบ การเดินทางมาครั้งนี้ได้มีการทำลายทรัพย์สินของพรรคให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก การปาสีใส่ทรัพย์สินของพรรคไม่ว่าจะเป็นป้ายหน้าพรรค  ฝาผนัง กระจก ทุกอย่างเกิดความเสียหาย 

นี่ไม่ใช่การแสดงเชิงสัญลักษณ์ที่อยู่ในกรอบของกฎหมาย เป็นการกระทำที่เกินกรอบของกฎหมายบ้านเมือง การมาเพื่อพูดคุย ปราศรัย สามารถทำได้ พรรคพร้อมรับฟังทุกเรื่อง แต่ไม่ใช่มากระทำการทำลายทรัพย์สินของพรรคแบบนี้ อยากถามกลุ่มผู้ชุมนุมเหมือนกันว่าวันนึงถ้ามีคนมาทำลายข้าวของในบ้านคุณ คุณจะยอมหรือไม่ 

พรรคมีความจำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดี อันเนื่องมาจากการทำลายทรัพย์สินของพรรคให้เกิดความเสียหาย บ้านเมืองมีกฎหมาย เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความศักดิ์สิทธิต่อไป

"ม็อบทะลุฟ้า" บุกพรรคภูมิใจไทย ทวงถามข้อเรียกร้อง ให้ถอนตัวพรรคร่วมรัฐบาล  ก่อนจะแปะสติ้กเกอร์ข้อความเสียดสี-ปาสีแดงใส่ป้ายพรรค-เผาหุ่นจำลองพลเอกประยุทธ์ แสดงออกเชิงสัญลักษณ์การเมือง 

ที่พรรคภูมิใจไทย กลุ่มผู้ชุมนุม "ทะลุฟ้า" นำโดย นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่-ดาวดิน  และแนวร่วมอ่านแถลงการณ์และยื่นหนังสือถึงพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งเป็นข้อความเพียงคำเดียว หน้าพรรคภูมิใจไทย เพื่อทวงถามข้อเรียกร้องให้ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยชี้ถึงความล้มเหลวในการบริหารวิกฤตโควิด-19 
       
หลังกลุ่มผู้ชุมนุมทะลุฟ้าประกาศขีดเส้นภายใน 10 นาทีไม่มีแกนนำของพรรคมารับหนังสือ มีการติดสติ้กเกอร์โลโก้และข้อความเสียดสีทางการเมืองว่า "ภูมิใจตู่" พร้อมทั้งการปาถุงที่บรรจุสีแดงปาใส่ที่ป้ายชื่อพรรคและประตูทางเข้าที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ก่อนจะตะโกนขับไล่พลเอกประยุทธ์ให้ลาออกจากตำแหน่ง   
      
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมนำหุ่นไล่กาที่มีหน้ากากหน้ารูปหน้าของนายกรัฐมนตรีด้วย 3 หุ่น มาทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ด้วยการเผาหุ่นก่อน 1 หุ่นที่พรรคภูมิใจไทย  โดยตำรวจพยายามเข้ามาดับไฟและขอร้องอย่าเผาหุ่นแล้ว แต่ผู้ชุมนุมก็คัดค้านอย่างสันติด้วยการนั่งคุกเข่าขวางและชูมือสัญลักษณ์การชุมนุม และระหว่างการทำกิจกรรม ผู้กำกับจาก สน.บางเขน ประกาศแจ้งต่อผู้ชุมนุมรับทราบว่าการชุมนุมเป็นการกระทำฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และขอให้เลิกทำกิจกรรม จากนั้นผู้ชุมนุมตะโกนไล่ตำรวจและรถประกาศถอยร่นออกไป 


     
ทั้งนี้ หลังทำกิจกรรมนานกว่า 1 ชม. กลุ่มผู้ขุมนุม ได้เคลื่อนย้ายไปทำกิจกรรมต่อที่พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยระหว่างทำกิจกรรมเนื่องจากติดกับถนนทำให้การจราจรบริเวณนั้นติดขัดช่วงที่ทำกิจกรรม

ทอ.จัดโครงการ “ทัพฟ้าส่งเวชภัณฑ์ทั่วไทย ร่วมใจฝ่าวิกฤตโควิด-19” สนับสนุนอากาศยาน นำส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้โรงพยาบาลในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ

ที่กองทัพอากาศ พล.อ.อ.แอร์บูล  สุทธิวรรณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ ได้สั่งการให้ ศูนย์ปฏิบัติการพลเรือน-ทหาร ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ (ศป.พรท.ศบภ.ทอ.) สนับสนุนการลำเลียงอุปกรณ์การแพทย์ไปยังสถานพยาบาลทั่วประเทศ ซึ่งกองทัพอากาศร่วมกับมูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย และโครงการทุก(ข์)ภัย ไทยช่วยกัน ร่วมปฏิบัติภารกิจ “เติมน้ำใจ ต่อ...ลมหายใจ” โดยได้ดำเนินการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนทั่วประเทศไทย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและช่วยเหลือผู้ป่วยโรคโควิด-19 

โดยวันนี้ กองทัพอากาศได้จัดเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 16 (ATR) ในการลำเลียงอุปกรณ์ทางการแพทย์ ประกอบด้วย เครื่องช่วยหายใจ High Flow จำนวน 6 เครื่อง, หน้ากาก N95 จำนวน 3,000 ชิ้น, ชุด PPE จำนวน 300 ชุด และอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแบบอากาศบริสุทธิ์ (PAPR) จำนวน 3 เครื่อง ไปส่งมอบให้กับ โรงพยาบาลยะลา โรงพยาบาลปัตตานี และโรงพยาบาลนราธิวาส เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน 

ทั้งนี้กองทัพอากาศได้จัดเตรียมเครื่องบินลำเลียง อาทิ C-130, ATR ฯ ล ฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับน้ำหนักและปริมาตรของอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมกำลังพลที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนภารกิจ “เติมน้ำใจ ต่อ...ลมหายใจ” อย่างต่อเนื่อง ในการลำเลียงอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปส่งยังสถานพยาบาลในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง หรือมากกว่านั้นตามความจำเป็นเร่งด่วน 

นายกรัฐมนตรี ลงนามในราชกิจจานุเบกษา ประกาศห้ามเผยแพร่ข่าว ข้อมูลสร้างความหวาดกลัว บิดเบือน สับสน พร้อมให้อำนาจ กสทช. สั่ง ISP ตัดเน็ตได้ทันที

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 29) โดยระบุว่า เนื่องจากมีการเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนเพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดหรือสับสน ปฏิบัติตนไม่ถูกต้องจนเกิดความเสียหาย หรือเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ การละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น การรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือการรักษาสุขภาพของประชาชนโดยผ่านทางสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต อันเป็นการช้ำเติมสถานการณ์ฉุกเฉินให้วิกฤติยิ่งขึ้น จำเป็นต้องมีมาตรการที่กำหนดให้การใช้สิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงออกเป็นไปอย่างมีเหตุผล ถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริงและมีความรับผิดชอบต่อความสงบสุขของสังคมส่วนรวมในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้

นายกรัฐมนตรี จึงได้ออกข้อกำหนด ห้ามผู้ใดเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลาย ซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

ในกรณีมีการเผยแพร่ข้อความหรือข่าวสารดังกล่าวข้างต้นในอินเทอร์เน็ต ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) แจ้งผู้รับใบอนุญาตการให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกรายทราบ และให้ตรวจสอบว่าข้อความหรือข่าวสารดังกล่าวมีที่มาจากเลขที่อยู่ไอพี (IP address) ใด หากเป็นเลขที่อยู่ไอพี (IP address) ที่ตนเป็นผู้ให้บริการ ให้แจ้งรายละเอียดต่อสำนักงาน กสทช. และให้ระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่เลขที่อยู่ไอพี (IP address) นั้นทันที และให้สำนักงาน กสทช.ส่งรายละเอียดตามที่ได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่งให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยเร็วเพื่อดำเนินคดีต่อไป


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"ยุทธพงศ์" ร้อง "ประธานสภาฯ" สอบ ถอยเบนซ์ 5 ล้าน ขณะเป็นกมธ.งบ 65 ก่อนบรรจุวาระ 2-3

ที่รัฐสภา นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ยื่นหนังสือถึง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ขอให้ตรวจสอบนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ในฐานะกมธ.งบประมาณฯ ในสัดส่วนพรรคพลังประชารัฐ กรณีได้รับรถเมอร์ซิเดสเบนซ์หรูป้ายแดง มูลค่า 5 ล้านบาท ในขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นกมธ.งบประมาณฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ที่ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า เนื่องจากนายเรืองไกรได้โพสต์รูปคู่กับรถเมอร์ซิเดสเบนซ์ เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา พร้อมระบุข้อความว่า มีผู้ใหญ่ใจดีให้เงินซื้อรถใหม่เอาไว้ใช้ตามใจที่อยากได้ s 560 ป้ายแดง เลข 8807 ซึ่งปรากฏให้เห็นตามข่าว ต่อมาวันที่ 19 ก.ค. นายเรืองไกรยังให้รายละเอียดข้อมูลดังกล่าวเกี่ยวกับผู้ใหญ่ใจดีถึงการเจรจาต่อรองเรื่องเงินสด 20-30 ล้านบาท หรือผู้ใหญ่ใจดีจะให้เป็นรถยนต์แก่นายเรืองไกร และนายเรืองไกรยังได้ยอมรับในรายการเจาะลึกทั่วไทยโดยอ้างถึงผู้ใหญ่ใจดี แต่ต้องการปกปิดชื่อและสถานะของผู้ให้ทรัพย์สินดังกล่าว ตนจึงอยากให้ตรวจสอบว่าเงินสดจำนวน 5 ล้านบาทได้มาอย่างไร ได้มาอย่างโปร่งใสหรือไม่ เกี่ยวข้องกับการพิจารณางบประมาณฯ หรือไม่ และได้แจ้งธุรกรรมทางการเงินกับ ปปง. หรือไม่

"นายเรืองไกรเป็นนักตรวจสอบ ตรวจสอบคนอื่นมาเยอะ ก่อนจะไปตรวจสอบคนอื่นก็ควรปัดกวาดบ้านตัวเองให้สะอาดก่อน" นายยุทธพงศ์ กล่าว

นายยุทธพงษ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ตนมายื่นเรื่องต่อนายชวนนั้น เนื่องจากนายชวนเป็นผู้บรรจุระเบียบวาระการประชุม ซึ่งหลังจากที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ในฐานะประธานกมธ.งบฯ และนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานงบฯ คนที่ 4 ตรวจสอบเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วจะต้องรายงานต่อประธานสภาฯ ก่อนบรรจุระเบียบวาระการประชุม พ.ร.บ.งบ 65 ในวาระที่ 2 และ 3 ซึ่งหาก พ.ร.บ.งบ 65 มีปัญหาในการพิจารณาว่ามีเรื่องผลประโยชน์หรือส่วนได้ส่วนเสีย อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 144 นายชวนจะได้ตรวจสอบก่อนบรรจุระเบียบวาระว่า ร่างพ.ร.บ.งบ 65 ถูกต้องหรือไม่ ด้านนายสมบูรณ์ กล่าวว่า ตนจะนำหนังสือดังกล่าวเข้าไปตามระเบียบของสภาและจะนำไปกราบเรียนนายชวนเพื่อพิจารณาและสั่งการต่อไป

'ยิ่งลักษณ์' อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความแสดงความห่วงใยพี่น้องประชาชนไทยในภาวะสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ระบุว่า ดิฉันได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทยด้วยความเป็นห่วงมาโดยตลอดค่ะ จึงขอส่งกำลังใจให้พี่น้องประชาชนรวมถึงบุคลากรด่านหน้าไปจนถึงทีมงานสนับสนุนทุกท่าน ทุกคนทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย ดิฉันขอไม่วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพราะอะไรที่นำพาประเทศเรามาถึงภาวะการณ์เช่นนี้ ได้แต่ขอภาวนาให้ระดับนโยบายทำในสิ่งที่ถูกที่ควร เพื่อให้คนไทยได้มีชีวิตความเป็นอยู่ทางสาธารณสุขที่ปลอดภัยที่สุด

ดิฉันกังวลค่ะว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นกำลังทำลายระบบเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มาตรการของภาครัฐทำให้ประชาชนจำนวนมากขาดอาชีพ ขาดรายได้ และมีความเสี่ยงตกงานเพิ่มขึ้น หนี้ครัวเรือนพุ่งไม่หยุด ผู้ประกอบการทั้งรายย่อย รายเล็ก รายกลาง แม้แต่รายใหญ่ในหลายธุรกิจ กำลังเผชิญกับภาวะขาดรายได้ ขาดสภาพคล่อง

ขณะที่หลายโรงงานในภาคส่งออกที่เป็นเครื่องจักรเดียวของเศรษฐกิจมีผู้ติดเชื้อเป็นหลักพัน ส่งผลกระทบไปทั้งห่วงโซ่อุปทานการผลิต เสี่ยงลามไปถึงระบบธนาคารที่เป็นหัวใจ และเส้นเลือดของระบบเศรษฐกิจ เพราะเมื่อรายได้หดหายลง การชำระเงินต้นและดอกเบี้ยก็จะยากมากขึ้น

ในอดีตภาคการเกษตรเคยเป็นที่หลบภัยของผู้ตกงาน แต่ในวันนี้กำลังอ่อนแออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ราคาสินค้าเกษตรหลัก ๆ ตกต่ำแทบทุกผลผลิต การผลักคนกลับสู่ต่างจังหวัดไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเพราะคนไม่มีหนทางทำกิน ทุกคนจนลง สวนทางกับค่าครองชีพทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค สาธารณูปโภค รวมไปถึงราคาเชื้อเพลิงกลับทะยานสูงขึ้น

ขณะที่การลงทุนทางตรงทั้งจากธุรกิจไทยและต่างชาติที่เคยหวังว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่แก่ผู้จบการศึกษา ยังมองไม่เห็นอนาคตเพราะต้องรอจนกว่าความเชื่อมั่นจะกลับมา นอกจากนี้ปัญหาความอ่อนแอทางการคลังทั้งของรัฐบาลกลาง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คงทำให้ประชาชน ภาคเอกชน ต้องหันมาพึ่งพิงตัวเอง และพึ่งพากันและกันเป็นหลัก

ดิฉันขอส่งความห่วงใยไปยังครอบครัวของผู้สูญเสียและร่วมเป็นแรงใจให้คนไทยผ่านพ้นความยากลำบากทั้งความปลอดภัยจากโรคร้ายและภัยทางเศรษฐกิจที่กำลังรุมเร้าไปให้ได้นะคะ ดิฉันมั่นใจค่ะว่าในทุกวิกฤติยังมีความหวังและโอกาส หากประเทศเรามีผู้นำและรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ แต่สถานการณ์ในปัจจุบันประเทศต้องการมืออาชีพเข้ามาแก้ไขปัญหา พร้อมกับจัดหาวัคซีนที่สามารถรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์อย่างเร่งด่วน และต้องไม่ลืมที่จะดูแลเยียวยาประชาชนที่กำลังหายใจรวยรินเพราะพิษเศรษฐกิจจากการบริหารผิดพลาดของรัฐบาล

ดิฉันหวังว่าวันนั้นจะมาถึงเร็ว ๆ ค่ะ


ที่มา : https://www.facebook.com/Y.Shinawatra/photos/a.201001219944341/4579207935456959


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top