Tuesday, 1 July 2025
POLITICS

“องอาจ” ขานรับ ครม. ส่งต่อผู้ป่วยโควิดกลับภูมิลำเนา พร้อมเสนอ 4 แนวทางเคลื่อนย้ายให้สำเร็จ

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี ครม. มีแนวคิดให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิดกลับไปรักษาตัวที่ภูมิลำเนาว่า นับเป็นแนวคิดที่ดีที่จะช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องเตียงรับผู้ป่วยใน กทม. ไม่เพียงพอต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดที่สูงต่อเนื่องขึ้นทุกวัน ถึงแม้จะมีองค์กรภาคเอกชน สื่อมวลชน รวมถึง ส.ส. ของแต่ละพื้นที่จะจัดทำโครงการรับผู้ป่วยกลับไปรักษาที่บ้านเกิดกันหลายจังหวัด แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับความต้องการของผู้ป่วยที่หาเตียงไม่ได้ใน กทม. ดังนั้นการดำเนินงานโดยรัฐบาลและภาครัฐโดยตรงน่าจะช่วยทำให้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิดได้มากขึ้น

นายองอาจ กล่าวต่อว่า เพื่อให้การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิดกลับภูมิลำเนาทำได้อย่างราบรื่น เป็นไปตามความประสงค์ของ ครม. จึงขอเสนอแนวทางการดำเนินการดังนี้ 1.ควรดูความพร้อมของโรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ที่จะรองรับผู้ป่วยว่ามีขีดความสามารถรองรับผู้ป่วยได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร 2.ควรสร้างความเข้าใจในชุมชนให้ความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจและเห็นใจผู้ป่วยที่จำเป็นต้องกลับมารักษาตัวที่บ้านเกิด 3.การบริหารจัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจาก กทม. ไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ต่างจังหวัดต้องบูรณาการประสานงานกันให้เกิดประสิทธิภาพ และ 4.ครม. ควรสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอต่อการทำงาน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย จึงขอฝากแนวทางทั้ ง4 ข้อต่อนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ศบค. กำกับดูแลการทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างจริงจังต่อไป

“อัครเดช” ร้อง “บิ๊กตู่”ตรวจสอบการจัดสรรวัคซีนใน จ.ราชบุรี ไม่เป็นธรรม แฉมีเล่นพรรค เล่นพวก จี้หากพบให้ย้ายออกจากจังหวัด ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการจัดหาวัคซีน ว่า ขอเรียกร้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ลงไปตรวจสอบการจัดสรรวัคซีนที่ไม่เป็นธรรมในจังหวัดราชบุรี ที่ผ่านมามีการฉีดวัคซีนให้กับทุกอำเภอแต่สิ่งที่เกิดปัญหาคือการจัดสสรวัคซีนที่ไม่เป็นธรรม จึงขอให้พิจารณาจัดสรรวัคซีนตามสัดส่วนประชากรและตามพื้นที่ระบาด โดยเฉพาะในอำเภอใหญ่ในจังหวัด เช่น ที่อำเภอบ้านโปร่งที่ได้รับการจัดสรรน้อยที่สุด เพียง 5.63% เมื่อเทียบกับอำเภอเมือง อำเภอดำเนินสะดวก บางแพ และโพธาราม ทั้งที่มีคลัสเตอร์ใหม่เกิดขึ้น 
         
“สิ่งที่ต้องเรียกร้องความเท่าเทียมและเป็นธรรม เพราะทราบว่ามีการเล่นพรรคเล่นพวกในการจัดสรรวัคซีนเกิดขึ้นในจังหวัดราชบุรี จึงขอให้นายกรัฐมนตรีได้ฟังเสียงของประชาชนบ้าง ขอให้ส่งคนลงไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วนไม่ใช่จัดสรรวัคซีนแบบนี้ หากพบใครที่ทำผิด เล่นพรรคเล่นพวก ขอให้ดำเนินการย้ายออกจากจังหวัดไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับจังหวัดอื่น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกระทบความเชื่อมั่นจากประชาชน เขาไม่ได้ด่าจังหวัด เขาด่ารัฐบาล จึงขอให้ทำจังหวัดราชบุรีเป็นตัวอย่างในการจัดสรรวัคซีนที่เป็นธรรม”นายอัครเดช กล่าว

“บิ๊กตู่”เข้าทำเนียบรัฐบาล หารือมาตรการช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาช่วงสถานการณ์โควิด 19 “จับตา” ช่วงบ่ายเตรียมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ประชุมร่วมภาคเอกชน 40 บริษัท  ร่วมแก้ปัญหาโควิด 19   

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เข้าปฎิบัติหน้าที่ ที่ทำเนียบรัฐบาลอีก 1 วัน เนื่องจากมีภารกิจสำคัญช่วงเช้า อีกทั้งต้องประชุมหารือเรื่องมาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงสถานการณ์โควิด - 19  ภายหลังสัปดาห์ที่ผ่านมา ครม. ให้กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการไปกำหนดแนวทางการลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เช่น พิจารณาให้ส่วนลดเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เป็นกรณีพิเศษ โดยให้คลอบคลุมทั้งสถานศึกษารัฐและเอกชน  

ทั้งนี้ มีรายงานว่าที่ประชุม ยังจะหารือถึงรูปแบบว่าจะช่วยค่าใช้จ่ายเป็นการ จ่ายตรงให้ผู้ปกครอง โดยใช้ฐานข้อมูลเรียนฟรี 15 ปี  และจะยกเว้นค่าใช้จ่ายในทุกกลุ่ม หรือมีการยกเว้นกลุ่มใดบ้าง เป็นต้น  รวมถึงจะหารือถึงข้อเสนอโครงการในลักษณะที่กำหนดให้รัฐร่วมสมทบภาระส่วนลดให้แก่สถานศึกษาบางส่วน  รวมถึงรับฟังรายงานสรุปในกรณีที่สถานศึกษาภาคเอกชนประสบปัญหาทางการเงิน  ข้อมูลปัญหาและความต้องการต่างๆเพื่อให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ในการพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาทางการเงินให้แก่สถานศึกษาภาคเอกชนที่มีความเหมาะสมต่อไป

ส่วนในช่วงบ่ายเวลา 14.00 น. คณะผู้บริหารบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อมอบสิ่งของและเงินบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19 ) ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล และ เวลา 14.20 น. นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ 40 ซีอีโอ เรื่องการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า

คกก.สรรหาเลขาธิการป.ป.ช. เปิด 3 รายชื่อผู้สมัคร "ประหยัด-นิวัติไชย-อุทิศ"

รายงานข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) แจ้งว่า นายนนทิกร กาญจนะจิตรา ประธานคณะกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ลงนามในประกาศคณะกรรมการสรรหาฯ เปิดเผยรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการสรรหา จำนวน 3 ราย ดังนี้ นายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งนี้ หากปรากฎภายหลังว่า ผู้สมัครเข้ารับการสรรหารายใดมีคุณสมบัติไม่ตรงตามกฎหมาย ระเบียบ และประกาศรับสมัคร หรือผู้สมัครเข้ารับการสรรหารายใดแสดงคุณสมบัติอย่างใดเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบจะถือว่าผู้สมัครรายนั้นเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมการสรรหาจะตรวจสอบบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ประวัติ ความประพฤติตามกฎหมาย ระเบียบ และประกาศรับสมัคร ก่อนที่จะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสรรหาพร้อมกัน ทั้งกำหนด วัน เวลา และสถานที่เข้ารับการสรรหาทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ป.ป.ช.ต่อไป

“ธนกร” ซัด “สุดารัตน์” ดิสเครดิตรัฐบาล สร้างความสับสน จี้ ให้เลิกเอาชีวิต ปชช.มาเป็นเกมส์การเมือง

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ที่ระบุ เพราะ sunshine law หรือเปล่า ทำให้รัฐบาลไม่ยอมสั่งวัคซีน mRNA ที่สามารถปกป้องชีวิตคนไทยได้ ว่า หลายครั้งที่ตนรู้สึกผิดหวังกับพฤติกรรมของคุณหญิงสุดารัตน์ ที่มักจะอาศัยจังหวะโจมตีรัฐบาลเพื่อหวังผลทางการเมืองต่อการตั้งพรรคใหม่เพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจความทุกข์ร้อนของประขาชน เป็นการใส่ร้ายรัฐบาลแบบไร้เหตุผลรองรับ เหมือนจินตนาการไร้ขอบเขต วันนี้รัฐบาลสั่งวัคซีน mRNA มาแล้ว มีการเซ็นสัญญากับไฟเซอร์ 20 ล้านโดส จะเข้ามาไตรมาส 4 ของปี 64 รวมไปถึงการสั่งโมเดอร์น่าด้วย คุณหญิงสุดารัตน์พยายามโยงเสมือนกับรัฐบาลไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในการจัดหาวัคซีน หากคุณหญิงสุดารัตน์จะกล่าวหาใครก็ควรมีหลักฐาน ไม่ใช่พูดขึ้นมาลอยๆ เพื่อให้รัฐบาลเสียหาย ตนขอบอกคุณหญิงสุดารัตน์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะไม่ยอมให้ใครมาหาผลประโยชน์จากเรื่องนี้เด็ดขาด ไม่เหมือนรัฐบาลในอดีตที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่นจนมีรัฐมนตรีต้องติดคุก

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนการที่คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวหารัฐบาลว่ามีสัดส่วนการซื้อวัคซีนจากประเทศในกลุ่มที่มี sunshine law น้อย หรือแทบไม่มีนั้นก็ไม่เป็นความจริง อย่าพยายามดิสเครดิตรัฐบาล ไม่มีใครเอาชีวิตของประชาชนมาเป็นเกมส์การเมืองแบบคุณหญิงสุดารัตน์ ประชาชนทราบดีว่าพรรคไทยสร้างไทยเป็นแค่พรรคสาขาของคนแดนไกลใช่หรือไม่ วันนี้รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ปัญหาโควิด ไม่ว่าจะเป็นการเร่งจัดหาวัคซีน การรักษาผู้ที่ติดเชื้อ การเยียวยา ฯลฯ แต่ฝ่ายค้านทำเสมือนไม่ต้องการให้รัฐบาลทำงานสำเร็จ ออกมาโจมตีรัฐบาลทุกเรื่อง ขนาดสนับสนุนม็อบให้ชุมนุมประท้วงโดยไม่กลัวจะแพร่โควิด-19 ด้วยซ้ำไป อยากให้เห็นใจบุคลากรทางการแพทย์บ้าง ทุกคนทำงานหนักมาก พล.อ.ประยุทธ์ทำเต็มที่ ไม่มีท้อ แม้จะถูกตำหนิ ด่าทอ นายกฯก็ไม่เคยท้อ จะทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะโควิด-19ให้ได้ เพื่อพี่น้องคนไทยทุกคน

 

ในพิธีปฐมนิเทศน์นิสิตใหม่จุฬา ทุกคณะ รุ่น 105 'เพนกวิน' ชี้ นักศึกษาคือคนส่วนมากและสำคัญที่สุด

จากพิธีปฐมนิเทศน์นิสิตใหม่จุฬา ทุกคณะ รุ่น 105 ทางออนไลน์ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.64 ที่ผ่านมานั้น ได้มีการเชิญผู้ต้องหาในคดี ม.112 ทั้งปวิน, เพนกวิน, รุ้ง ร่วมพิธีโดยการอัดคลิปมาเผยแพร่ ที่น่าสนใจคือคำพูดของนายเพนกวิน มีอยู่ตอนหนึ่งพูดว่า

ทริกดี ๆ ของการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคือการแจก 'ค_ย' ให้ผู้บริหาร เจ้าของมหาวิทยาลัยทุก ๆ คนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ซึ่งผมคิดว่าก็เป็นกันทุกมหาวิทยาลัย นิสิตนักศึกษาคือประชากรส่วนมาก ดังนั้นเสียงของนิสิตนักศึกษามันต้องดังที่สุด สำคัญที่สุด

ฉะนั้น เราต้องส่งเสียงของเราให้ดัง ๆ แรง ๆ เพื่อให้เขารู้ว่าเรามีตัวตนนะ เราจ่ายเงินให้คุณไปบริหารมหาวิทยาลัย เพราะมีเราเข้าเรียนมันจึงยังมีมหาวิทยาลัยอยู่ ดังนั้น ผู้บริหารจะต้องฟังเสียงนักศึกษา

นักศึกษาเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ เราจึงต้องตรวจสอบผู้บริหาร นายกรัฐมนตรี หรือคนที่สูงกว่านายกรัฐมนตรี ที่ใช้เงินของเราทำอะไรสักอย่าง ใช้อำนาจเหนือเรา


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/110502

https://www.facebook.com/watch/?v=506587460425983


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ ท้า ‘บิ๊กตู่’ กล้า ๆ หน่อย สั่งการใช้ค่ายทหารเป็นรพ.สนาม ช่วยผู้ป่วยโควิดล้น เหน็บสั่งทุกกระทรวงระดมแก้ปัญหาได้แต่ลืมกลาโหม

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาระบุว่า “ค่ายทหารมีไว้ทำไม” ผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่ง โทรมาหาแลกเปลี่ยนความคิดว่า ในภาวะที่โรงพยาบาลขาดเตียง คนป่วยล้น คนติดใหม่เป็นหมื่น คนตายรายวันเป็นร้อย โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามเท่าที่มีอยู่ในภาวะล้นเกินกว่าที่จะรองรับได้อีกแล้ว ทำไมไม่เอาพื้นที่ในค่ายทหาร ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วประเทศมาสนับสนุนเป็นโรงพยาบาลสนาม

เลยลองค้นดูว่า ประเทศไทยมีค่ายทหารและหน่วยงานของทหารมิใช่น้อย ดังนี้

ทัพภาค 1 มี 26 ค่ายทหาร

ทัพภาค 2 มี 16 ค่ายทหาร

ทัพภาค 3 มี 23 ค่ายทหาร

ทัพภาค 4 มี 12 ค่ายทหาร

ทั้งนี้ ยังไม่รวม กทม. ที่ยังเป็นที่ตั้ง พล. 1 รอ. พล. ม. 2 รอ. และเหล่าสนับสนุนการรบ เหล่าช่วยรบ และยังมีสนามกอล์ฟของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ที่กระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ

“วันนี้ยังไม่เห็นการพยายามใช้ทรัพยากรเหล่านี้เพื่อมาช่วยแก้ปัญหา ผู้ใหญ่ใจดี ท่านเลยตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลควรให้ประเด็นนี้เป็นอีกทางเลือกหรือไม่ ผมเลยตั้งข้อสังเกตตามไปว่าอาจเป็นวันนี้ นายกรัฐมนตรีอาจยังไม่มีโอกาสคุยกับรมว. กลาโหม เมื่อวาน (20 กรกฎาคม) ในที่ประชุม ครม. ท่านสั่งทุกกระทรวงให้ระดมทรัพยากรมาแก้ปัญหาโควิด สั่งรัฐมนตรีทุกกระทรวง แต่ลืมสั่ง รมว.กลาโหม” นายสมชัย ระบุ

นายสมชัย ระบุทิ้งท้ายว่า "กล้า ๆ หน่อย คุณประยุทธ์"


ที่มา : https://www.matichon.co.th/politics/news_2840196

https://www.facebook.com/185853798130698/posts/4016186958430677/?d=n


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"บิ๊กตู่"ขอประชาชนเลี่ยงรวมกลุ่มชุมนุมช่วงนี้ สุ่มเสี่ยงแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในกันเอง ยืนยันรับฟังทุกฝ่ายขอมาร่วมพูดคุยกันอย่างสันติ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จัทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ขอให้ประชาชนคำนึงถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้มีตัวเลขสูงขึ้นในแต่ละวัน และสิ่งต่างๆที่นายกฯ ต้องดำเนินการโดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายและการปราบปราม ทั้งการรวมตัวกันอย่างผิดกกฎหมาย การควบคุมราคาสินค้าต่างที่จะ ออกมาในอนาคต เช่น ชุดตรวจโควิด Antigen Test Kit ก็มีความสำคัญ รวมถึงที่ผ่านมาก็ให้ความสำคัญกับเรื่องการปราบปรามการพนัน การหยุดการลักลอบเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้รัฐบาลให้ความสำคัญ

"เรื่องการชุมนุม นายกรัฐมนตรีอยากขอให้ทุกคนหลีกเลี่ยง เพราะอาจเป็นเหตุของการระบาดโควิด-19 ภายในพื้นที่ชุมนุมเอง ซึ่งย้ำว่านายกฯ มุ่งมั่นตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ด้วยความห่วงใยประชาชน ดังนั้นถ้าหากประชาชนมีความคิดเห็นมีข้อเสนอแนะ ย้ำว่านายกฯพร้อมยินดีรับฟังความคิดเห็น แต่ขอให้นำเสนอในแนวทางที่สันติและสามารถพูดคุยกันได้ เพื่อทำให้อุปสรรคต่างๆที่รัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขในปัจจุบัน สามารถเดินหน้าต่อไปได้และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติในอนาคตอันใกล้” นายอนุชา กล่าว

เสียงสะท้อนชนชั้นกลาง​ กับมาตรการเยียวยา ด้วย ‘ยา’ ที่ไม่ถูกสูตร | Contributor EP.20

นาทีนี้ใครจะช่วยพวกเขาได้?
เหล่าผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร และธุรกิจกลางคืน​ ซึ่งเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19​ อย่างหนักหน่วง

บางรายสู้โควิดรอบแรกแบบเต็มที่ รอดมาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
แต่มารอบนี้ เริ่มมาล้มหาย ส่วนที่ล้มหายไปตั้งแต่ระลอกแรก 
ทุกวันนี้คือเริ่ม ‘ล้มละลาย’

แม้จะมีมาตรการช่วยเหลือและเยียวยา
แต่สุดท้ายก็เป็นการเยียวยา ด้วย ‘ยา’ ที่อาจจะไม่ถูกสูตร

การช่วยเหลือคนรากหญ้า เป็นสิ่งที่ควรต้องทำ​ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด!!

แต่ปัญหา คือ แล้วที่อยู่ระหว่างกลาง... 
คนชนชั้นกลาง​ โดยเฉพาะเจ้าของผู้ประกอบการล่ะ?
ทั้ง ๆ​ ที่พวกเขา​ คือ​ อีกโซ่ข้อกลางผู้ที่จะเป็นที่ ‘พึ่งพา’ ของคนรากหญ้าอีกต่อในระยะยาว…

ปล่อยล้มได้เช่นนั้นหรือ??

แหล่งเงินกู้ ที่ถูกปฏิเสธ เพราะระบบคัดกรองสินเชื่อเก่า ในภาวะวิกฤติใหม่
รายได้ที่กอบกู้คืนมาไม่ได้ เพราะการปิดเมืองแบบลักปิดลักเปิด​ เหตุรัฐคุมเชื้อไม่ชัด กู้วิกฤติไม่ทันการ

ผู้ประกอบการเหล่านี้ ถูกร่างแห แม้จะไม่ได้เป็นผู้ก่อ!!

ทางออกอยู่ตรงไหน?

มันก็อยู่ตรงทางเข้านี่แหละ

อยากลองฟังไหม? วิธีเยียวยา ด้วยสูตรยาที่ถูกโรค 
จากเสียงของคนที่เขาอยู่ในวงธุรกิจนี้
ที่อยากตะโกนบอกลุงให้ได้ยินว่า...

มันมี!! และลองเคารพเสียงของพวกเขาบ้าง!! 

ร่วมหาทางออกจากเสียงสะท้อนของคนวงใน​ ตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารและคนกลางคืน​ ที่​ Contributor EP​ นี้ชวนฟังแบบคิดตามจากเขา... 

คุณหนึ่ง พีระพล พิภวากร
- กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบญจมาศ อารี จำกัด เจ้าของร้านอาหารบ้านเบญจมาศ และ Ari Social Club 
- ผู้ประกอบการร้านอาหาร ผับ บาร์ และ โปรโมเตอร์คอนเสิร์ต 
- สมาชิกชมรมผู้ประกอบการผับ บาร์ (รายย่อย)
- ชมรมคนทำคอนเสิร์ต และอีเวนต์
- สมาพันธ์ผู้ประกอบอาชีพธุรกิจกลางคืน และธุรกิจบันเทิงแห่งประเทศไทย (สธก)

.

.


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก การกระทำและการแสดงออกของม็อบ 18 กรกฎา ต่อองค์พระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr แสดงความคิดเห็นกรณีม็อบ 18 กรกฎาคม 64 ที่ผ่านมา ว่า สำหรับผู้ที่เกิดและเติบโตมาในรัชสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างผม การกระทำและการแสดงออกของม็อบ 18 กรกฎา ต่อองค์พระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

นอกจากการกระทำในม็อบ ยังตามมาด้วยการโพสต์ภาพ และข้อความข่มขู่ คุกคามเป็นภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ ซึ่งแม้จะไม่ระบุว่าหมายถึงใคร แต่ทุกคนที่เห็นจะบอกได้โดยไม่ต้องคิดว่า ข้อความและรูปที่โพสต์ต้องการจะสื่ออะไร ถึงใคร

ทั้งชีวิตของเรา ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยเห็นใครเลยที่กล้าทำเช่นนี้กับองค์พระมหากษัตริย์ที่เราเคารพบูชา แบบนี้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้ เกิดจากการวางแผน และใช้เครื่องมือทุกชนิด ป้อนข้อมูลจริงบ้างเท็จบ้าง ส่วนใหญ่เป็นเท็จ และปล่อยข่าวลือในทางร้ายผ่านสื่อสมัยใหม่ต่าง ๆ เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่เขากำหนด ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่เด็ก จะหลงเชื่อในข้อมูล และข่าวเท็จเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ง่ายมาก

ปฏิบัติการเช่นนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ แต่มีมาตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ แต่มาโหมหนักแบบไม่กลัวฟ้าดินตั้งแต่ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นต้นมา

ญาติผู้ใหญ่ของผมท่านหนึ่ง เคยถวายงานใกล้ชิดต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรเห็นในสื่อสมัยใหม่ที่มีการโจมตีพระองค์ด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จ พระองค์รับสั่งด้วยความเสียพระทัยกับญาติผู้ใหญ่ของผมท่านนั้นว่า

"เขาเกลียดฉันด้วยเรื่องอะไรหรือ"

ทั้งที่ผมไม่ได้เคยใกล้ชิดกับพระองค์ท่านเลย แต่เมื่อได้ฟัง ยังอดน้ำตาซึมไม่ได้

จำเป็นเร่งด่วนนักหรือ ที่ต้องล้มสถาบัน ล้มราชวงศ์จักรีลงให้ได้ ล้มแล้วสังคมจะดีขึ้นอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ หรือใครได้ประโยชน์ พวกเขาบอกนักบอกหนาว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ และเครือซีเมนต์ไทย เคยเป็นของประชาชน ลองตรองดูให้ดีว่า เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ทั้ง 2 บริษัทเป็นบริษัทมหาชน ประชาชนที่เป็นผู้ถือหุ้นเท่านั้นที่เป็นเจ้าของ เคยค้นหาข้อมูลหรือไม่ว่าใครคือผู้ก่อตั้ง และเป็นเจ้าของแต่เดิม แล้วรัฐบาลไหนที่ออกกฎหมายตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ถึงแม้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อตามกฎหมายเดิม) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ บริษัททั้ง 2 ก็ไม่ได้เป็นของประชาชนอยู่ดี ยกเว้นประชาชนที่เป็นผู้ถือหุ้นเท่านั้น

การโจมตีการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน เพื่อดำเนินโครงการตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่าไม่มีประโยชน์ เพราะถ้าได้ผลจริง ประเทศไทยต้องไม่มีคนจนแล้ว เป็นการใช้ตรรกะที่ทื่อด้าน แต่น่าหดหู่ที่ยังมีคนหลงเชื่อไม่น้อย

โครงการตามพระราชดำริ เกิดจากการที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จออกเยี่ยมพสกนิกรของพระองค์ในที่ทุรกันดารทั่วประเทศ เมื่อทรงพบปัญหาความเดือดร้อนชองประชาชน พระองค์จึงทรงมีความคิดที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในที่นั้น ๆ การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือกันของหน่วยราชการต่างกรม ต่างกระทรวง ขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหา แต่ราชการไทยทำงานกันแบบแยกส่วน ตัวใครตัวมันมาแต่ไหนแต่ไร และไม่เคยมีรัฐบาลไหนแก้ปัญหานี้ได้ การปฏิรูประบบราชการที่ผ่านมาทุกครั้งมีแต่ทำให้มีหน่วยราชการเพิ่มขึ้น แทนที่จะลดลง แต่ด้วยพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 หน่วยราชการต่าง ๆ กลับทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และเดินหน้าได้รวดเร็วกว่าปกติ เกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยราชการ นานมากก่อนที่คำว่า บูรณาการจะเป็นที่รู้จักกันเสียอีก

ตัวอย่างที่ดีคือ โครงการหลวงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสนับสนุนให้ชาวเขาในภาคเหนือที่มีอาชีพปลูกฝิ่น หันมาปลูกพืชผัก และผลไม้เมืองหนาวแทน เงินทุนเริ่มแรกมาจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จัดตั้งเป็นมูลนิธิ และต่อมาได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศบ้าง จากภาคเอกชนบ้าง เริ่มแรกก็ประสบปัญหามาก ขาดทุนมาก แต่ด้วยความมุ่งมั่นของพระองค์ และความทุ่มเทของผู้ทำงาน ปัจจุบันต้องนับว่า โครงการหลวงประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งจนแทบไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน

นอกเหนือจากงบสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา พวกเรามีโอกาสบริโภคผลไม้เมืองหนาว พืช ผัก เมืองหนาว ที่ผลิตภายในประเทศเราเอง ที่สำคัญคือชาวเขาก็หันมาประกอบอาชีพที่ถูกกฎหมายและยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย

ยังมีตัวอย่างของโครงการตามพระราชดำริอีกมากมายที่ทำให้ชาวไร่ ชาวนา และประชาชนในชนบทมีชีวิตที่ดีขึ้น และแน่นอนว่า โครงการที่มีปัญหาก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา

ดังนั้น ผู้ที่เกิดไม่ทันยุคที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างที่ไม่ทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ได้โปรดใช้วิจารณญานก่อนที่จะหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่เป็นจริงที่นำเข้าสู่สื่อต่าง ๆ ด้วยจุดหมายทางการเมือง เพื่อจะได้ไม่เป็นเครื่องมือให้นักการเมือง หรือกลุ่มการเมืองบางกลุ่มโดยไม่รู้ตัว

ยิ่งกว่านั้น ความเป็นไปได้ของการที่ขบวนการนี้ เป็นขบวนการที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ เพื่อผลประโยชน์ของชาติหรือ national interest ของเขา ไม่ใช่ของเรา เป็นความเป็นไปได้ที่ไม่อาจละเลยได้อย่างเด็ดขาด

ขอให้ระลึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ให้จงหนัก


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4589719101038609&id=100000016923106


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม.ไฟเขียว จัดสรรอัตรา ขรก.ตั้งใหม่ “สธ.-ยต.” 2,411 อัตรา เพิ่มค่าใช้จ่ายปีละประมาณ 760 ล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ให้กับส่วนราชการ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งสิ้น 2,411 อัตรา ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 2,136 อัตรา และ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม จำนวน 275  อัตรา เพื่อปฏิบัติภารกิจการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่ประชาชนในส่วนภูมิภาค รวมถึง 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยจะมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 760 ล้านบาท  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วนรายละเอียดการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย นายแพทย์ปฏิบัติการหรือชำนาญการ หรือชำนาญการพิเศษ 1,651 อัตรา ค่าใช้จ่าย 511 ล้านบาทต่อปี ทันตแพทย์ปฏิบัติการหรือชำนาญการ หรือชำนาญการพิเศษ 370 อัตรา ค่าใช้จ่าย 114 ล้านบาทต่อปี นายแพทย์ปฏิบัติการหรือชำนาญการ หรือชำนาญการพิเศษบรรจุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 90 อัตรา ค่าใช้จ่าย 30 ล้านบาทต่อปี และทันตแพทย์บรรจุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 25 อัตรา ค่าใช้จ่าย 8.4 ล้านบาท  และพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการหรือชำนาญการของกรมราชทัณฑ์ จำนวน 275 อัตรา ค่าใช้จ่าย 95 ล้านบาทต่อปี

“ครม.”ขยายวงเงินเยียวยา ‘นายจ้าง-ลูกจ้างม.33’พื้นที่แดงเข้ม 10 จว.รวม 13,505 ล้านบาท เตรียมเยียวยาอีก 3 จ.เพิ่มเติม

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรีว่า (ครม.) ว่า ครม. อนุมัติกรอบวงเงินโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ  ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ รวม 10 จังหวัด ให้กิจการที่ได้รับผลกระทบ 9 สาขา จากเดิมที่ได้เห็นชอบไปแล้ว 2,519.38 ล้านบาท เพิ่มเป็น 13,504.696 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10,985.316 ล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้ครม. เห็นชอบให้ขยายพื้นที่เยียวยาผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการโควิด เพิ่มเติมจาก 10 จังหวัด เป็น 13 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ครม.และจะนำกรอบวงเงินที่เพิ่มขึ้นนำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาต่อไป

ครม.อนุมัติ ขยายระยะเวลาประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.- 30 ก.ย. เพื่อ ยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก 2 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 และสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2564 ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)เสนอ  ซึ่งประกาศฉบับเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 31กรกฎาคม 2564 นี้  โดยสมช.ในฐานะศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ซึ่งในที่ประชุมปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานการแพร่ระบาดว่า สถานการณ์ในระดับโลก ยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในหลายภูมิภาค ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้ออยู่ในอันดับที่ 62  อันดับหนึ่งคือสหรัฐอเมริกา อันดับสอง อินเดีย และอันดับสาม บราซิล

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในไทยระลอกเดือน เมษายน 2564 ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 9 กรกฎาคม 2564 มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมจำนวน 288,643 ราย  ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปรากฏจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนมากกว่าหลายพันคนต่อวัน และมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเชื้อไวรัสโควิด -19 เป็นชนิดสายพันธุ์ใหม่อย่างเดลต้า สามารถแพร่ระบาดและติดต่อกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังพบสายพันธุ์เบต้า ที่มีความรุนแรงมาก อาจส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยสูงขึ้น ขณะเดียวกันยังพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในจังหวัดที่มีสถานประกอบการ โรงงาน ตลาดค้าส่ง  และพบการระบาดต่อเนื่องจากผู้ติดเชื้อที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ที่พักแรงงานก่อสร้างชั่วคราว ครอบครัว ตลาด สถานที่ทำงาน และสถานที่ชุมชนต่างๆ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการแพร่ระบาดในระยะต่อไป กระทรวงสาธารณสุขประเมินว่าจะมีผู้ติดเชื้อจำนวน 10,000รายต่อวัน หรือมีผู้ป่วยสะสมมากกว่า 100,000 ราย ภายในระยะเวลา 14 วัน ซึ่งจะส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในอัตราเกิน 100 รายต่อวัน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการกำหนดมาตรการควบคุมแบบบูรณาการเพื่อควบคุมและแก้ไขสถานการณ์โดยเร็ว เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านสาธารณสุข จะช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาระต่อบุคลากรทางการแพทย์ เตียงรักษา หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ศปก.ศบค. พิจารณาแล้วเห็นว่า สถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและระยะต่อไปยังคงเป็นภัยคุกคามความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน ความมั่นคงปลอดภัยทางด้านสาธารณสุข และระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จึงมีความจำเป็นต้องขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ออกไป เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการควบคุมและระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยในสุขภาพและชีวิตของประชาชน

ครม.ไฟเขียวเยียวยาประกันสังคมเพิ่มอีก 3 จังหวัดล็อกดาวน์

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบให้ช่วยเหลือเยียวยาลูกจ้างและนายจ้าง ที่อยู่ในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เพิ่มเติมอีก 3 จังหวัด คือ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา จากเดิมที่ช่วยเหลือไปแล้ว 10 จังหวัด โดยจะช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างในกลุ่มเป้าหมายเดิม 9 สาขาอาชีพ และผู้ที่อยู่ในระบบถุงเงิน สัญชาติไทย และยังประกอบอาชีพ ซึ่งไม่รวมข้าราชการและข้าราชการบำนาญ ครอบคลุมทั้งผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมและไม่อยู่ในระบบประกันสังคม เป็นเวลา 1 เดือน 

สำหรับการช่วยเหลือ แยกเป็น แรงงานตามมาตรา 33 ได้รับ 2,500 บาทต่อคน และมาตรา 39 และ 40 ได้รับ 5,000 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคม จัดทำรายละเอียดและนำเสนอครม.ตามขั้นตอนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยให้นายจ้างและลูกจ้างที่ได้นับเงินช่วยเหลือนี้ ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาจากเงินที่ได้รับการช่วยเหลือด้วย 

ครม. ไฟเขียว ขยาย พื้นที่แดงเข้ม จาก 10 เป็น 13 จังหวัด สั่ง เยียวยาผู้ประกอบการ-ลูกจ้าง ด้วย

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบการขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบและให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 13 กรกฎาคม 64 ให้ครอบคลุมพื้นที่จากเดิม 10 จังหวัด เป็น 13 จังหวัด เพิ่มเติมจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และอยุธยา โดยยังคงกลุ่มลูกจ้างและผู้ประกอบการใน 9 กลุ่มกิจการที่ได้รับผลกระทบ อัตราการจ่ายและวิธีการจ่ายเงินเช่นเดิม เป็นระยะเวลา 1 เดือน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top