Wednesday, 26 March 2025
POLITICS

"วราวุธ" มองความขัดแย้ง ระหว่างพรรคพปชร. - ภท. เป็นเรื่องธรรมดาทุกรัฐบาลหลังทำงานเกินครึ่งทาง ยินดีหักเงินเดือน เปรียบ  "เอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง"  ก็ยอม

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะ ประธานคณะกรรมการยนโยบายและ ยุทธศาสตร์ พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเตรียมญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ถือเป็นสิทธิ์ของฝ่ายค้านในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเป็นเรื่องปกติของระบอบรัฐสภา เมื่อเปิดสมัยประชุมฝ่ายค้านก็มีเอกสิทธิ์ที่จะยื่นอภิปราย

ทั้งนี้ ก็ต้องมาดูเนื้อหาว่าฝ่ายค้าน มีข้อมูลรายละเอียดอย่างไร อย่างตนทำงานในรัฐบาล ก็เห็นแต่ละฝ่ายทุ่มเททำงาน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อีกทั้งมีข้อจำกัดอย่างไรบ้าง บางท่านไม่ได้อยู่ในวงทำงาน ก็อาจมีความคิดหรือแนวคิดที่แตกต่างกันไป ก็ต้องมีการพูดคุยรับฟังและชี้แจงในสภา 

เมื่อถามว่าความระหองระแหงของพรรคร่วมรัฐบาล จะเป็นจุดบอดในฝ่ายค้านโจมตีได้หรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า จุดบอดถือเป็นเรื่องปกติของทุกรัฐบาล เราอยู่กันมาสองปีแล้ว ซึ่งถ้านับกันจริง ๆ เราเลยจุดครึ่งทางของรัฐบาลชุดนี้ ดังนั้น ก็เป็นเมือนการนับถอยหลังสำหรับทุก ๆ รัฐบาล 

"ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลนี้ เรานับถอยหลังแล้ว แต่เป็นที่ทุกรัฐฐบาล จะเจอเหมือนกัน เมื่อทำงานไปสักพักหนึ่ง ก็ยอมมีเรื่องที่ว่า การทำงานมีความเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติ ที่ฝ่ายค้านจะนำเรื่องเหล่านี้ มาแตกให้เป็นรายละเอียดในการอภิปราย เพื่อให้ประชาชนได้เห็น ถือเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยที่มีฝ่ายตรวจสอบและฝ่ายทำงาน ก็ต้องว่ากันไปตามฝ่ายนิติบัญญัติ" นายวราวุธ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันมองความขัดแย้งกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ ภูมิใจไทย (ภท.) ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันอย่างไร นายวราวุธ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่ตนเห็นมาทุกยุคทุกสมัย ความขัดแย้งในพรรครัฐบาลเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะในสถานที่เกิดโควิด-19 ที่มีความซับซ้อนและ ละเอียดอ่อนในการแก้ปัญหา หลายประเทศก็มีปัญหาที่แตกต่างกันไป ซึ่งประเทศไทยก็ไม่แตกต่างจากประเทศอื่น และเชื่อว่า เมื่อเทียบกันหลายประเทศแล้ว มาตรการในการแก้ไขของประเทศไทย มีประสิทธิภาพไม่แพ้ในหลายประเทศเลย แต่แน่นอนว่ามีบางประเทศทำได้ดีกว่าเรา แต่ประเทศที่ทำแย่กว่าเราก็มีเช่นกัน ซึ่งวิธีแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข พยายามกันอย่างเต็มที่ แน่นอนมีความเห็นที่แตกต่าง ก็เป็นสิทธิ์ที่ฝ่ายค้านจะนำประเด็นมาอภิปราย

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี นิด้าโพล เสนอ ส.ส. และ รัฐมนตรีบริจาคเงินเดือนในสภาวะวิกฤติแพร่ระบาดโควิด-19 นายวราวุธ กล่าวว่า ถ้าเป็นนโยบายก็ไม่ขัดข้อง ถ้าออกมาเป็นแนวทางเชื่อว่า ส.ส. และรัฐมนตรี ก็พร้อม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ส.ส. มีรายจ่ายค่อนข้างมากมาย โดยเฉพาะภาษีสังคมต่าง ๆ  

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะยอมเสียสละสักร้อยละ 30 จะยอมหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า ถ้านับจำนวนส.ส. และครม. ที่มีก็ไม่ได้เยอะอะไร ถ้าตัดออกมาจากเงินเดือนและ เงินที่ได้รับ ก็เหมือนเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง แต่ก็มีผลกระทบทางด้านจิตใจ ถ้าทุกฝ่ายเห็นตรงกัน ทุกคนก็พร้อมไม่น่ามีปัญหาอะไร พร้อมที่จะหักเงินเดือนตัวเอง 

“ดรุณวรรณ รองโฆษก ปชป.” แจง สิ่งที่เพจครูต้องมีคือความรู้ และการแสวงหาความจริง ย้ำ ปชป. ช่วยประสานหาเตียงมา 3 เดือนกว่า ตั้งใจช่วยกันโดยไม่เคยให้ร้ายใคร

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และโฆษกประจำตัวรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โพสต์ที่เฟซบุ๊กส่วนตัว ชี้แจงกรณีที่ เพจ LG and Friends โพสต์ถึงพรรคประชาธิปัตย์ ว่า 

การด่าคนอื่นที่กำลังนั่งทำงานอยู่มันง่ายมาก แค่พิมพ์ไม่กี่ประโยค ก็สร้างความเกลียดชังได้ คนเป็นครูสิ่งแรกที่ต้องมีคือความรู้ และปัญญาในการแสวงหาความจริง หากคนที่ทำหน้าที่สอนคนอื่นทำเยี่ยงนี้ก็น่าห่วงเยาวชนที่กำลังเห็นคนเหล่านี้เป็นต้นแบบ

ปล. 1 ดิฉันและทีมจิตอาสาของพรรค ทำงานช่วยหาเตียงมา 3 เดือนกว่าแล้วค่ะ และส่งเสียงมาตลอด ตั้งใจช่วยกันจริง ๆ โดยไม่เคยให้ร้ายใคร ยกเว้นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ ครูจะลองใช้วิธีนี้บ้างก็ดีนะคะ สร้างสรรค์กว่าเยอะ

ปล. 2 เคยเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชมครูแต่วันนี้ ต้องทบทวนใหม่เช่นกัน

ปล. 3 และกล้าพอที่จะเอาสิ่งที่ครูต่อว่าพวกเรารุนแรงแบบไม่รับผิดชอบ มาแชร์หน้า fb ส่วนตัวแบบไม่ตัดต่อ

ปล. 4 หากอยากรู้ว่าพวกเราทำอะไรกันอยู่ มาคุยกันได้ค่ะ จะเล่าให้ฟัง แต่ยาวนิดนะ

“เกศปรียา” ชี้ “รัฐบาล” จงใจพยายามฆ่าประชาชนไทย ในการเลือกวัคซีนด้อยคุณภาพในการป้องกันโรคโควิด-19

เกศปรียา แก้วแสนเมือง รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ ตั้งข้อสังเกต ว่า ทำไมรัฐบาลถึงต้องเจาะจงเอางบประมาณหลายหมื่นล้านบาทไปจัดซื้อวัคซีนเพียง 2 ยี่ห้อ มาเพื่อการต่อสู้กับสถานการณ์โรคระบาด รัฐบาลไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนมาก่อนเลยเหรอ หรือว่ารู้ประสิทธิภาพของวัคซีนแต่จงใจจัดซื้อเพียง 2 ยี่ห้อ เพราะวาระซ่อนเร้น

จนมาถึงวันนี้ตนเห็นเอกสารสรุปการประชุมจากสื่อ เลยถึงบางอ้อว่า รัฐบาลรู้ว่าวัคซีนที่สั่งซื้อมาไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน แต่ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง เลยไม่ยอมฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพป้องกันได้ดีให้กับบุคลากรด่านหน้าอย่างกลุ่มในวงการแพทย์ ที่รัฐบาลออกมาหาผลประโยชน์ว่าต้องให้กำลังใจนักรบชุดขาวเป็นระยะเวลาจะสองปีแล้ว 

พฤติกรรมแบบนี้ คือ เหมือนคนปากหวานก้นเปรี้ยว พูดเอาดีแต่แท้จริงไม่เคยปรารถนาดีกับใคร แม้แต่คนที่ช่วยเหลือเสี่ยงตายเพื่อตนเองและประเทศชาติอย่างนักรบชุดขาว แทนที่จะฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพป้องกันเชื้อโรคได้ให้ เพราะเป็นผู้เสียสละอยู่ด่านหน้ามีโอกาสสัมผัสเชื้อโรคสูง กลับตัดสินใจรักษาอำนาจตนเองต่อไป เพราะไม่รู้จะแก้ตัวให้วัคซีนชิโนแวคที่ตัดสินใจสั่งซื้อมาฉีดจนเป็นวัคซีนหลักที่คนไทยได้รับเวลานี้ 

ถ้าคุณมีวิธีคิดที่เห็นแก่อำนาจและประโยชน์ส่วนตน โดยอำมหิตกับประชาชนทั้งประเทศ เปรียบได้กับการเจตนาพยายามฆ่าประชาชนไทย คุณไม่สมควรเป็นตัวแทนประชาชนไทยแล้ว 

นอกจากจงใจพยายามฆ่าประชาชน รัฐบาลยังบริหารวัคซีนผิดพลาดร้ายแรง กรณีไปซื้อวัคซีนที่ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควรมาฉีดให้ประชาชน ผลที่ตามมามันคือการทิ้งเงินเป็นหลายหมื่นล้านบาท (ที่สำคัญเงินเหล่านั้นเป็นเงินของคนทั้งชาติ) โดยที่เศรษฐกิจก็ยังคงเดินหน้าไม่ได้ ต้องปิดต่อเพราะควบคุมโรคไม่ได้ 

จนปัจจุบันภาคเอกชนทนไม่ไหวต้องลงทุนซื้อวัคซีนคุณภาพทางเลือกที่สามารถป้องกันโรคได้มาฉีดเอง ตีเป็นมูลค่าตามข่าวจากยอดจองวัคซีน ทางเลือก ประมาณ 9 ล้านคน คิดค่าวัคซีนคนละ 3000 บาท ก็คิดเป็นมูลค่าประมาณ 27,000,000,000 บาท ประชาชนต้องลงทุนกันเองขนาดนี้เพื่อต้องการให้เศรษฐกิจกลับมาทำมาหากินได้ แบบนี้เราจะต้องมีรัฐบาลแย่ๆที่บริหารไม่ได้เรื่องคณะนี้ไว้ทำอะไร 

อยากบอกว่าถ้าพวกคุณกระหายอยากมีอำนาจ การตัดสินบริหารจัดการต้องมองภาพรวม จริงอยู่อาจจะมีวาระซ่อนเร้นในการใช้งบประมาณมาโดยตลอด แต่เรื่องที่ควรจะคิดได้ว่า ถ้ายึดเอาความเห็นแก่ตัวสูงสุดของกลุ่มตนเป็นที่ตั้งแล้วประเทศชาติพังเละเทะขนาดนี้ควรตัดสินใจทำมั้ย หรือความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนสูงจนหน้ามืดตามัว

“สิระ”ย้อนถาม "เต้ มงคลกิตติ์” ทำไมอยากเป็นลูกน้องโจร เย้ย "ทักษิณ"กลับมาก็ทประโยชน์อะไรไม่ได้ 

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ โพสต์เฟตบุ๊คส่วนตัวระบุถึงเวลาที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องกลับประเทศแล้ว พร้อมเสนอตัวเป็นลูกมือทุกหน้าที่ว่า ตนตั้งคำถามว่าวันนี้นายมงคลกิตติ์ เป็นผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ ที่ประชาชนเลือกเข้ามาให้ทำงาน เหตุใดวันนี้จึงเสนอตัวไปเป็นลูกน้องโจร เป็นลูกน้องมิจฉาชีพ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการที่ออกมาเสนอตัวเป็นลูกน้องของผู้ต้องหาหนีคดี ถือเป็นการกระทำที่ขัดจริยธรรม ส.ส.หรือไม่ 

นายสิระ ยังกล่าวว่า ถึงแม้นายทักษิณ จะกลับมา ก็ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านเมืองได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญปี 2560 นายทักษิณ ถือว่าขาดคุณสมบัติทั้งการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและส.ส เพราะมองว่าปัญหาของโควิด- 19 ไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลอย่างเดียวที่จะแก้ไขได้ประชาชนทุกคนต้องให้ความร่วมมือ และเมื่อประชาชนให้ความร่วมมือแล้วภาครัฐต้องเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร็วที่สุด 

"รมต.อนุชา" ลั่น รพ.สนามชัยนาท พร้อมรับ ผู้ป่วย โควิด-19 คนในพื้นที่ และจว.ใกล้เคียง

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ต.เขาพลอง อ.เมืองชัยนาท จ.ชัยนาท โดยมีนายสมบูรณ์ ศิริเวช ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท พร้อมด้วยนายนที มนตริวัต,นางศุภรินทร์ เสนาธง รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท, พลตำรวจตรีวรณัฏฐ์ ผันผ่อน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดชัยนาทที่เกี่ยวข้อง และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ร่วมในงาน

นายอนุชา ได้พบปะพูดคุยให้กำลังใจผู้ป่วยที่มารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสนาม จำนวน 15 คน ผ่านระบบวีดิโอคอล ภายในศูนย์บัญชาการโรงพยาบาลสนาม โดยกล่าวว่า วันนี้ได้มาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามขององค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจแทนพี่น้องชาวจังหวัดชัยนาทที่ได้เห็นความร่วมมือภาคส่วนราชการ จัดสร้างโรพยาบาลสนามขึ้นมารองรับประชาชนชาวชัยนาทที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19  ซึ่งระบาดเป็นระลอกที่สาม มีความรุนแรงและมีการกระจายของเชื้อเป็นวงกว้าง ถึงแม้ว่าตอนนี้สถานการณ์จังหวัดชัยนาทจะไม่รุนแรงแต่เตียงโรงพยาบาลหลักของรัฐมีอยู่จำนวนจำกัด ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในการบริหารจัดการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ในอนาคต เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก้ไขปัญหาให้กับชาวชัยนาท รวมถึงพี่น้องประชาชนจังหวัดใกล้เคียงที่ติดเชื้อโควิด-19 ประสบปัญหาหาเตียงรักษาไม่ได้ 

นายอนุชา กล่าวว่า ฝากถึงพี่น้องประชาชนชาวชัยนาท และพี่น้องประชาชนจังหวัดใกล้เคียง ที่กำลังประสบกับความเดือดร้อนเรื่องเตียงรักษาผู้ป่วย ซึ่งในหลายพื้นที่มีข้อจำกัดในเรื่องการดูแลผู้ป่วยไม่ทั่วถึงเนื่องจากผู้ป่วยที่มีจำนวนมาก อยากให้ติดต่อขอกลับมารักษาตัวในโรงพยาบาลสนามจังหวัดชัยนาท ที่เบอร์โทรศัพท์ 0629936162 หรือสาธารณสุขจังหวัดชัยนาท และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดชัยนาท จังหวัดชัยนาทยินดีที่จะต้อนรับ และดูแลเป็นอย่างดี พร้อมมอบความรัก ความอบอุ่น และความห่วงใยให้คนชัยนาทและพี่น้องประชาชนจังหวัดใกล้เคียงอย่างดีที่สุด ดั่งคนในครอบครัว

“โฆษกกลาโหม”สอน สส.ณัฐชา อย่าอคติ ดูแคลน ชี้ ทหาร ก็คือ  ปชช. พร้อมแจงความจำเป็นขอวัคซีน วอนทำงานการเมืองในระบบไม่อคติ 

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม  เปิดเผยถึงกรณีสส.ณัฐชา โฆษกพรรคก้าวไกล ออกมากล่าวผ่านสื่อถึงทหาร ซึ่งทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติ เอาเปรียบ กดทับประชาชน แทรกคิวแย่งวัคซีนประชาชน โดยเรียกร้องเหตุผล ความจำเป็นจากการที่กระทรวงกลาโหม ขอรับการสนับสนุนวัคซีนฉีดให้กับทหารกองประจำการใหม่ ที่พึ่งเข้ารับราชการนั้น

ทั้งนี้อยากทำความเข้าใจกับท่านณัฐชา ว่า ทหารทุกคน ก็คือ ประชาชนเช่นกัน เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ซึ่งเป็นลูกหลานเรา ที่ต่างหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเข้ามาทำหน้าที่เป็นกำลังหลักปกป้องประเทศ ดูแลผลประโยชน์ชาติและช่วยเหลือประชาชน  จึงอยากให้เห็นความสำคัญ ดูแลให้กำลังใจพวกเขาและไม่อคติ ดูแคลน หรือกีดกันทหารแปลกแยกจากออกไปจากประชาชน

“น้องๆทหารใหม่จำนวนมาก ที่เดินทางมาจากต่างพื้นที่ เข้ามารับราชการและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในทุกหน่วยทหารทั่วประเทศพร้อมกันนั้น กองทัพได้มีมาตรการเข้มข้น ดูแลคัดกรองตั้งแต่แรกเข้า ทั้งการรายงานตัว การเคลื่อนย้าย การสอบประวัติ การตรวจคัดกรองเชื้อเร่งด่วนและการส่งเข้ารักษาเมื่อตรวจพบ นอกจากนั้นได้จัดสถานที่พัก การรับประทานอาหาร และกำหนดการปฏิบัติประจำวันตามมาตรการที่สาธารณสุขกำหนด โดยเฝ้าระวังและกักตัวควบคุมโรคร่วมกันใน 14 วันแรก เพื่อให้มั่นใจกับครอบครัวของพี่น้องทหารใหม่ ถึงความปลอดภัยของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันและไม่สร้างปัญหากับชุมชนรอบหน่วยทหาร”พล.ท.คงชีพ กล่าว และว่า

การที่ กระทรวงกลาโหม ขอรับการสนับสนุนวัคซีนกับ กระทรวงสาธารณะสุข จำนวน  60,000 โดส เพื่อฉีดให้กับทหารใหม่ที่พึ่งเข้ารับราชการและปฏิบัติงานร่วมกับครูฝึกในทุกหน่วยทหารทั่วประเทศนั้น เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันโรครองรับภายในเวลา 2 เดือนหลังฝึกจบ ก่อนต้องหมุนเวียนกระจายกำลังลงไปช่วยทำหน้าที่ต่างๆในการดูแลและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงด่านหน้า ทั้งชายแดนและพื้นที่ชั้นใน  ที่ปัจจุบันทหารลงไปปฏิบัติภารกิจป้องกันชายแดน และสนับสนุนการคัดกรองโรคผ่านแดน 

โดยเฉพาะผู้ลักลอบเข้าเมืองทั้งทางบกและทางน้ำ การจัดกำลังสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณะสุข และ ศบค. ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเป็นพื้นที่และเฉพาะกลุ่ม เช่น สมุทรสาคร คลองเตย เรือนจำ แคมป์คนงาน เป็นต้น การจัดตั้งและดูแลโรงพยาบาลสนาม การดูแลสถานกักตัวควบคุมโรคของรัฐ การสนับสนุนจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การจัดรถครัวสนามช่วยเหลือชุมชนเสี่ยงสูง ฯลฯ 

พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า การเข้ารับราชการของทหารใหม่ในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ต่อเนื่องนั้น ยังมีความจำเป็น เพื่อทดแทนกำลังทหาร ที่ปลดประจำการไปแล้วจำนวนหนึ่งในสี่ ตั้งแต่ 30 เม.ย.64 ที่ผ่านมา โดยตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา กำลังทหารที่เหลือสามในสี่ต้องหมุนเวียนกันทำหน้าที่มากขึ้น ทดแทนกำลังทหารที่ขาดหายไป จากการเลื่อนเข้าหน่วยเป็น 1 ก.ค.64  ทั้งนี้เพื่อให้กองทัพมีกำลังเพียงพอสำหรับการปฏิบัติในภารกิจหลักและสนับสนุนหน่วยงานต่างๆช่วยเหลือประชาชน ต่อสู้กับโควิดที่ยังคงอยู่กับเราไปอีกนาน

“ขอความกรุณา ท่าน สส.ณัฐชา ได้ทำหน้าที่ผ่านกลไกของรัฐสภา หรือทำหนังสือสอบถามหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรง หากประสงค์ต้องการรับทราบข้อมูลใดๆที่ถูกต้อง โดยเกรงว่าการถามตอบผ่านสื่อไปมา อาจเกิดความคลาดเคลื่อนของการนำเสนอและได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน และอาจสร้างความสับสนซ้ำเติมสังคมในสถานการณ์ที่ประเทศเราต้องการความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ กระทรวงกลาโหม ขอไม่ตอบโต้ใดๆทางการเมืองและยืนยันทำหน้าที่เป็นหลักด้านความมั่นคงให้กับประเทศชาติและประชาชนในทุกสถานการณ์ของบ้านเมือง”พล.ท.คงชีพ กล่าว

ก้าวไกล เรียกร้อง5 ข้อจัดการวัคซีนให้ "ประยุทธ์" เร่งดำเนินการ "วิโรจน์" กังวลแอสตราเซเนกา ไทยแลนด์ ส่งมอบวัคซีนให้ไทยได้ไม่ตรงแผน ตั้งข้อสังเกตรบ.หละหลวมทั้งที่เอาเงินภาษีปชช.6 ร้อยล้านหนุนทำวัคซีน สั่งหยุดซื้อซิโนแวคหลังพบประสิทธิภาพต่ำ จี้เผยราคาซื้อ

ที่อาคาร URMENA หัวหมาก นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อก้าวไกล กล่าวถึงข้อสั่งการถึงบรัฐบาลในการบริหารจัดการวัคซีนและการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ว่า สำหรับการส่งมอบวัคซีน แอสตราเซเนกาที่มีกำหนดต้องส่งมอบในเดือน มิ.ย. ที่ 6,333,000 โดส จากข้อมูลที่ปรากฎในระบบติดตามตรวจสอบย้อนกลับโซ่ความเย็น ที่จัดทำขึ้นโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พบว่ามีการส่งมอบเพียง 5,371,100 โดส เท่านั้น ยังขาดการส่งมอบอีก 961,900 โดส ซึ่งยอดที่ขาดส่งนี้ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลจะต้องไปเร่งติดตามมาให้ได้ เพราะนี่หมายถึงเกือบ 1 ล้านชีวิตของประชาชนคนไทย ซึ่งจากขีดความสามารถในการฉีดที่โรงพยาบาลต่างๆ ทำได้ 961,900 โดส นั้นใช้เวลาเพียงแค่ 3 วัน เท่านั้น ก็จะช่วยชีวิตประชาชนคนไทยเกือบ 1 ล้านคน ให้ปลอดภัยได้

ที่น่ากังวลก็คือ ตั้งแต่เดือน ก.ค. เป็นต้นไป AstraZeneca Thailand จะเริ่มส่งออกวัคซีนไปยังประเทศต่างๆ โดย 1 ใน 3 ของกำลังการผลิต จะสำรองไว้ให้กับประเทศไทย นั่นหมายความว่าจากกำลังการผลิต 180-200 ล้านโดสต่อปี หรือ 15-17 ล้านโดสต่อเดือน AstraZeneca Thailand จะส่งมอบให้กับประเทศไทยเพียงแค่ 5-6 ล้านโดสต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งไม่ตรงตามแผนการจัดหาวัคซีน ที่รัฐบาลประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 20 เม.ย.64 ที่เว็บไซต์ของรัฐบาลไทย เพจศูนย์ข้อมูล COVID-19 เพจไทยคู่ฟ้า หรือ เว็บไซต์ของสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี ระบุตรงกันว่าในเดือน มิ.ย. จะได้รับวัคซีน AstraZeneca 6.3 ล้านโดส ก.ค.-พ.ย. เดือนละ 10 ล้านโดส และ ธ.ค. อีก 5 ล้านโดส รวมเป็น 61 ล้านโดส ซึ่งแผนนี้ ก็เท่ากับว่า AstraZeneca ไม่สามารถส่งมอบวัคซีนได้ตามแผนการส่งมอบที่รัฐบาลกำหนดได้แน่ๆ 

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต่อมาในวันที่ 2 ก.ค. ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ก็ได้ออกมายอมรับแล้วว่า AstraZeneca Thailand คงไม่สามารถส่งมอบวัคซีนได้เดือนละ 10 ล้านโดส ได้ โดยระบุว่าสัญญาจัดซื้อไม่ได้ระบุจำนวน โดยกำหนดกรอบคร่าวๆ ไว้ที่ 61 ล้านโดสต่อปีเท่านั้น โดยกรมควบคุมโรคได้ส่งเพียงแค่แผนการจัดฉีดวัคซีนให้ AstraZeneca Thailand รับทราบที่เดือนละ 10 ล้านโดส ซึ่ง AstraZeneca Thailand ไม่ได้ปฏิเสธ คงต้องตั้งคำถามว่า ถ้ารัฐบาลไปทำสัญญาเช่นว่านี้จริง ก็ถือว่าเป็นความหละหลวมใหญ่หลวงมาก สัญญาอะไรเพียงแต่กำหนดกรอบตัวเลขคร่าวๆ แล้วอย่างนี้จะวางแผนการฉีดวัคซีนให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างไร 

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ประชาชนจดจำได้ว่า รัฐบาลไทยอุดหนุนเงิน 600 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน ให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตวัคซีนชนิดเวกเตอร์ไวรัสให้กับประเทศไทย โดยหนึ่งในเงื่อนไขที่ปรากฎในหนังสือเรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ระบุไว้ชัดว่า “... เพื่อให้ประเทศไทยได้รับสิทธิในการซื้อวัคซีนที่ผลิตโดยผู้ผลิตในไทยเป็นอันดับแรกตามจำนวนความต้องการ ... และวัคซีนที่เหลือบริษัท AstraZeneca วางเป้าหมายในการกระจายให้กับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้” ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 63 ก็มีมติ ครม. อนุมัติงบกลาง ของงบประมาณประจำปี 63 อุดหนุนให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด

ดังนั้นพรรคก้าวไกลเรายืนยันว่า ประเทศไทยจึงมีความชอบธรรมที่จะได้รับวัคซีนจาก AstraZeneca Thailand เดือนละ 10 ล้านโดส ส่วนที่เหลืออีก 5-6 ล้านโดส AstraZeneca Thailand จึงสามารถนำไปส่งออก การที่ AstraZeneca Thailand จะส่งมอบให้กับประเทศไทยเพียงแค่ 5 ล้านโดสต่อเดือน จึงเป็นการไม่ยุติธรรมต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงิน 600 ล้านบาท ซึ่งคงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องเปิดเผยสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยกับ AstraZeneca Thailand ว่ามีเงื่อนไขนี้บรรจุอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีก็เท่ากับว่ารัฐบาลเอาเงินภาษีของประชาชน 600 ล้านบาท ไปอุดหนุนเอกชน โดยไม่ได้ทำตามเงื่อนไขตามที่ได้แจ้งให้ประชาชนทราบ ซึ่งหากไม่สามารถชี้แจงได้ ก็อาจเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง


นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่าน รัฐบาลรู้อยู่แก่ใจว่า สถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ประเทศกำลังเผชิญหน้ากับเชื้อสายพันธุ์เดลต้า มีการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน เชื่อว่าเชื้อสายพันธุ์เดลต้า จะเป็นเชื้อสายพันธุ์หลักในการระบาดในที่สุด เนื่องจากมีอัตราการแพร่ระบาดที่เร็วกว่าเชื้อสายพันธุ์อัลฟ่าถึง 40% และปัจจุบันพบผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าในพื้นที่ กทม. แล้วถึง 70% และ และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในพื้นที่ กทม. ในเดือน ก.ค.-ส.ค. นี้ และที่น่ากังวลไปกว่านั้นก็คือ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญออสเตรเลียที่ระบุว่า เชื้อสายพันธุ์เดลต้าสามารถแพร่จากคนสู่คน โดยใช้เวลาเพียงแค่ 10 วินาที เท่านั้น แทนที่รัฐบาลจะเร่งจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อกลายพันธุ์ โดยเฉพาะเชื้อสายพันธุ์เดลต้าได้ รัฐบาลกลับยังคงยืนกรานที่จะจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ทั้งๆ ที่มีกรณีตัวอย่างให้เห็นที่ประเทศชิลี ตุรกี ที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรเป็นสัดส่วนที่มากพอสมควรแล้ว 

โดยวัคซีนที่ฉีดเป็นหลักคือ ซิโนแวค แต่ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้  และไม่ใช่ว่าเหตุการณ์ที่บุคลากรทางการแพทย์ ติดโควิด ทั้งๆ ที่ฉีดซิโนแวค ครบ 2 เข็ม จะไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ตัวอย่างก็มีให้เห็น เจอกับตัวก็โดนมาแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลจึงดึงดันที่จะจัดซื้อวัคซีน ซิโนแวคเพิ่มเติมอีก 28 ล้านโดส ซึ่งหากพิจารณาราคาก็ไม่ใช่ว่าจะถูก จากราคาที่เคยเปิดเผยผ่านสื่อคือ 549.01 บาท จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 64 ที่ระบุว่า ค่าใช้จ่ายในการจัดหาวัคซีนซิโนแวค 500,000 โดส วงเงินรวม 290.24 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าวัคซีน 271.25 ล้านบาท และเป็นค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 18.99 ล้านบาท  ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการในการฉีดวัคซีน 31.36 ล้านบาท นั่นหมายความว่า วัคซีน 1 โดส จะต้องใช้งบประมาณเท่ากับ 643.2 บาท (รวม VAT) 

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยจัดหาวัคซีน ซิโนแวคมาแล้ว 19.5 ล้านโดส โดยรับบริจาคจากประเทศจีนมา 1 ล้านโดส มีมติ ครม. เพียง 2.5 ล้านโดส ที่เหลือ 16 ล้านโดส คาดว่าใช้งบประมาณ 10,291 ล้านบาท ไม่ปรากฏมติ ครม. ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นมติลับ ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลับ ทำไมถึงเปิดเผยให้ประชาชนทราบไม่ได้ หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับประเด็นในเรื่องราคาวัคซีน ที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตหรือไม่ ว่าราคาวัคซีนซิโนแวคที่รัฐบาลไทยซื้อ อาจจะมีราคาแพงกว่าประเทศอื่น ในประเด็นนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องชี้แจงว่า ราคาที่แท้จริงของซิโนแวคคือ โดสละเท่าไหร่ แพงกว่าที่ประเทศอื่นซื้อหรือไม่ เพราะเหตุใด วันนี้คำถามที่ก้องอยู่ในหัวใจของประชาชนในตอนนี้ ก็คือ ทำไมการสั่งซื้อวัคซีนยี่ห้ออื่น ทำไมไม่เร็วเหมือนกับวัคซีนซิโนแวคที่เหมือนไม่มีการติดขัดใดๆ เลย ทุกอย่างผ่านฉลุย ล่าสุดเลขาฯ สมช. ก็ยังออกมายืนยันว่าวัคซีนซิโนแวคยังคงเป็นวัคซีนที่เหมาะสมกับสภาพเวลานี้ โดยไม่ได้สนใจคำท้วงติงใดๆ จากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเลย

รัฐบาลไม่สามารถอ้างได้ว่าความล่าช้านั้นเกิดจากการที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน เพราะกรณีของวัคซีนซิโนฟาร์มยังสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วได้ หากนับตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. ที่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สามารถนำเข้าวัคซีนได้เอง วันที่ 25 มิ.ย. ก็สามารถเริ่มฉีดได้แล้ว ใช้เวลาเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ประชาชนก็ได้ฉีดวัคซีนแล้ว นี่จึงสะท้อนว่า ถ้าจะเร่งรัดให้เร็ว ก็ทำได้ แต่รัฐบาลเลือกที่จะละเลยไม่ทำเอง  ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ประชาชนได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากอยู่ทุกวัน ทั้งหมดล้วนมาจากความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ภายใต้ความไร้สติปัญญาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งสิ้น

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องสั่งการ พร้อมกับเรียกร้อง ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งดำเนินการ ตามที่ได้สั่งการไว้ ดังต่อไปนี้ 1. การบริหารจัดการวัคซีน 1.1ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีน พ.ศ. 2561 ในการบังคับให้ AstraZeneca Thailand ส่งมอบวัคซีนให้เป็นไปตามแผนการส่งมอบเดือนละ 10 ล้านโดส ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐบาลอุดหนุนให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ 600 ล้านบาท 1.2 ให้รัฐบาลปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ในการพยายามอย่างสูงสุด เร็วที่สุด ในการจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลต่อเชื้อสายพันธุ์เดลต้า และเชื้อกลายพันธุ์ต่างๆ  จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการเซ็นสัญญาเพื่อจัดหาวัคซีน mRNA ให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน พร้อมกับเปิดสัญญาให้ประชาชนได้ร่วมตรวจสอบ

1.3 ยุติการสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคจนกว่าจะมีผลการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ ที่ยืนยันในประสิทธิภาพ  
1.4 เปิดเผยสัญญา และเงื่อนไขข้อตกลงการสั่งซื้อวัคซีน ที่รัฐบาลได้ทำไว้กับ AstraZeneca Thailand และ ซิโนแวค ตลอดจนมติ ครม. ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาวัคซีนทั้งหมด  1.5 ให้รัฐบาลเร่งจัดฉีดวัคซีนเสริมภูมิให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า  1.6 เร่งปรับปรุงระบบฐานข้อมูลการลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีน ให้เชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูล MOPH IC ของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมกับปรับปรุงสูตรในการกระจายวัคซีนใหม่

2. การบริหารจัดการเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ของระบบสาธารณสุข และการดูแลชีวิตของประชาชน
2.1 มาตรการการกักตัวรักษาตนเอง ที่ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการไปก่อนหน้านี้หลายครั้ง ยังคงต้องเน้นย้ำให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ 2.2 พิจารณาอนุญาตให้ผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่ยังไม่ครบระยะเวลา 14 วัน แต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเบาบาง ในกรณีที่เข้าเงื่อนไขที่สามารถกักตัวรักษาตนเองได้ ให้กักตัวรักษาตนเอง

3. รัฐบาลควรเร่งตรวจเชิงรุกด้วย Rapid Antigen Test พร้อมกับอนุญาตให้ประชาชนได้เข้าถึงชุดตรวจที่ผ่านมาตรฐาน อย. 

4. การจัดฉีดวัคซีนที่ล่าช้านั้นมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง รัฐบาลจะต้องเยียวยาให้กับประชาชนทั้งที่เป็นแรงงานในระบบ และแรงงานนอกระบบอย่างเป็นธรรม ด้วยเงินสด แบบถ้วนหน้า

5. ให้รัฐบาลกำหนดหลักเกณฑ์ในการล็อกดาวน์ และผ่อนคลาย โดยคำนึงถึงสถานการณ์การติดเชื้อ และขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่ แบบเป็นขั้นบันได จึงขอสั่งการให้ พล.อ.ประยุทธ์ เร่งไปดำเนินการ

ก้าวไกล ถาม กลาโหมขอวัคซีน 6 หมื่นโดสเพื่อ? ยืดอกเป็นรั้วของชาติห้ามแย่งปชช. ซัดเรียกทหารใหม่เข้ากรมไม่มีความจำเป็นในสถานการณ์โควิด

ที่อาคาร URMENA หัวหมาก นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีเรียกทหารเกณฑ์ใหม่เข้ากรมว่า ในช่วงเดือนเม.ย.จะเป็นการจับเลือกทหารที่เกณฑ์ ซึ่งส่งผลให้ทหารกองประจำการเข้ารับราชการทหารในวันที่ 1 พ.ค.ในผลัดที่1 จำนวน 45,000 คน และมีคำสั่งเลื่อนการเข้าประจำการไปแล้วคือ 1 มิ.ย. ทหารชุดนี้เราได้เรียกร้องมาโดยตลอดว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องเร่งเกณฑ์ทหารชุดใหม่เข้ากรม กองในสถานการณ์แบบนี้ เรายืนยันอีกครั้งว่านี้คือสมรภูมิของสงครามเชื้อโรค เราจะต้องใช้ทุกสัพพะกำลังของรัฐบาลที่มีอยู่เพื่อปกป้องประชาชน แต่เรื่องนี้ไม่มีการรับฟังเสียงใดใดเนื่องจากทหารก็อ้างว่ามีความจำเป็นต้องใช้เหล่าทหารเกณฑ์จำนวนดังกล่าว 

นายณัฐชา กล่าวอีกว่า มาถึงวันนี้มีเอกสารออกมาจากสำนักงานปลัดกระทรวงกระหลาโหมขอสนับสนุนวัคซีนจำนวน 60,000 โดสให้กับทหารใหม่ และเจ้าหน้าที่พนักงานที่อยู่ใกล้ทหารใหม่ ซึ่งในเอกสารดังกล่าวระบุชัดเจนว่าขอสนับสนุนวัคซีนให้กับครอบครัว บริวารผู้ที่สัมผัสกับทหารใหม่ วันนี้ประชาชนอยู่คนละโลกกับทหาร ยังรอคอยวีคซีนรอคิวอยู่ และตอนนี้วัคซีนได้ให้ฉีดกับกลุ่ม 7โรคร้ายก่อน แต่ข้างในกรมไม่มีใครมีโรคร้าย แต่เพียงจะให้นายทหารชั้นผู้ใหญ่ได้ปลอดภัยเลยต้องขอวัคซีนเข้ามาก่อน วันนี้ถ้าทหารบอกว่าเป็นรั้วของชาติจะต้องไม่มาแย่งวัคซีนของประชาชน แต่คุณต้องช่วยเหลือประชาชน ตอนนี้ประชาชนไม่มีเตียงรักษาทหารถ้าเป็นรั้วของชาติจริงในสมรภูมิเชื้อโรคครั้งนี้ ต้องเปิดพื้นที่ของหน่วยทหารใหม่ให้เป็นพื้นที่พักคอยรอเตียงจากโรงพยาบาลสนามในทุกพื้นที่ของการรับทหารใหม่ 

ตนได้รับข้อมูลจากนายทหารชั้นสัญญาบัตรว่าไม่อยากให้เปิดรับทหารใหม่เข้ามา เพราะนายทหารสัญญาบัตรเหล่านี้มีบ้านพักอยู่ในค่ายทหารเกรงว่าเมื่อเปิดรับทหารใหม่เข้ามาแล้วมาจากทั่วทุกสารทิศจะเป็นการนำเชื้อเข้ามาหรือไม่ แต่นายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายๆคนไม่ฟังคำนี้ เพราะนายทหารที่จำเป็นต้องใช้ทหารเกณฑ์ไม่ว่าจะใช้ในตัวบุคคล หรือเป็นยัตรเอทีเอ็มมีความต้องการยอดทหารใหม่เข้าไป เพราะฉะนั้นมันสวนทางกันที่ว่าวันนี้ฝึกก็ไม่ได้แต่กลับนำยอดทหารใหม่เข้าไป ดังนั้นถ้าเกิดทหารยังเป็นทหารที่ปกป้องประชาชนในสถานการณ์สงครามเชื้อโรค ข้าราชการทหารต้องอำนวยความสะดวกในสถานการณ์นี้เพื่อปกป้องประชาชน และต้องไม่เอาเปรียบแทรกคิวเอาวัคซีนของประชาชน ไม่เช่นนั้นเราจะมีรั้วของชาติที่กดทับประชาชนในชาติ วันนี้เราจึงอยากทราบความชัดเจนของความจำเป็นต้องใช้วัคซีน 60,000 โดส และมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่จะต้องมีทหารใหม่ในห่วงสถานการณ์เช่นนี้ นายณัฐชา กล่าว

“นทพ.” หนุน สธ. เสริมกำลังดูแลเปิดให้บริการใน  รพ.บุษราคัม เพิ่มเติม เปิดแล้ววันนี้อีก 1,500 เตียง พร้อมจตเคียงข้างประชาชน ใช้ศักยภาพทหารดูแลประชาชน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

พลเอก นเรนทร์  สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) จัดกำลังร่วมปฏิบัติงานกับกระทรวงสาธารณสุขในภารกิจดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ณ รพ.บุษราคัม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยเสริมกำลังพลของ นทพ. ร่วมกับบุลากรทางการแพทย์ของ สธ. ในการขนส่งอาหาร ยารักษาโรคและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นในการดูแลรักษาให้กับผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งในวันนี้เปิดเพิ่ม Hall Chalenger 2 ให้บริการกับประชาชนเข้ามาพักรักษาตัวไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยไว้ที่บ้าน โดยมี นายอนุทิน  ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดและพลเอก นเรนทร์  สิริภูบาล ผบ.นทพ. พลโท ธวัชชัย  ดะนุดิษฐ์ เสธ.นทพ. ร่วมพิธี

อีกทั้งตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส./หน.ศปม.) โดยปฏิบัติงานทุกวันจนกว่าจะจบภารกิจ

“ก้าวไกล” เผย จ่อยื่นซักฟอกรัฐบาลเร็วขึ้นภายใน ต.ค.-พ.ย. ชี้ยังไม่มีการคุยในฝ่ายค้าน แต่เตรียมข้อมูลกันอยู่ 

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการหารืออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในฝ่ายค้าน ว่า ยังไม่ทราบว่ามีการหารืออย่างเป็นทางการ แต่ในส่วนของพรรคก้าวไกลได้เตรียมข้อมูลกันอยู่ เนื่องจาก 2 ครั้งที่ผ่านมาการอภิปรายไม่ไว้ใจจะเกิดขึ้นในช่วง ปลายสมัยประชุมคือเดือนก.พ. แต่ในครั้งนี้จะมีการยื่นญัตติขออภิปรายไม่วางใจเร็วขึ้นกว่า 2 ครั้งที่เคยมีมา ส่วนการหารือในพรรคร่วมฝ่ายค้านขณะนี้วิปฝ่ายค้านยังไม่มีการคุยกัน แต่อาจเป็นการหารือกันในระดับเลขาธิการพรรค สำหรับพรรคก้าวไกลตอนนี้กำลังเตรียมข้อมูลกันโดยเน้นหนักในเรื่องของงบประมาณ ซึ่งหลังจากที่พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 65 ผ่านวาระ 3 เสร็จประมาณปลายเดือนก.ย. ในเดือนต.ค.หรือเดือนพ.ย.ก็จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ

“บิ๊กตู่” ลงนาม คลายล็อก งานก่อสร้าง 4 ประเภท ในกทม.-ปริมณฑล ทั้งโครงการก่อสร้างใต้ดินที่มีความลึก, นั่งร้าน, แบริเออร์กั้นจราจร, ไฟสัญญาณจราจร, แผ่นเหล็กปิดงานผิวจราจร, รพ.สนาม-สถานพยาบาล สั่ง เข้มก่อสร้างขนาดเล็ก หากพบเป็นแหล่งแพร่เชื้อสั่งปิดทันที ราย

ข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เพื่อขอให้พิจารณาอนุมัติในหลักการการให้อนุญาตสำหรับการก่อสร้างโครงการก่อสร้างบางประเภท และเคลื่อนย้ายแรงงานในกรณีที่มีความจำเป็น โดยเสนอขอให้มีการผ่อนคลายข้อกำหนดฉบับที่ 25 กรณีคำสั่งห้ามการก่อสร้างในโครงการก่อสร้างบางประเภท ได้แก่ 1.โครงการก่อสร้างซึ่งหากหยุดก่อสร้างในทันที หรือการดำเนินการล่าช้าอาจก่อให้เกิดความเสียหายเชิงโครงสร้างด้านวิศวกรรมจนยากต่อการแก้ไข หรือเกิดอันตรายแก่ประชาชนที่สัญจรไปมา หรือ ชุมชนโดยรอบโครงการก่อสร้างนั้น เช่น โครงการก่อสร้างใต้ดินที่มีความลึก การก่อสร้างชั้นใต้ดินที่ยังไม่ได้เทปูนปิดล้อม 2.การก่อสร้างชั่วคราวซึ่งหยุดการก่อสร้างในทันที หรือดำเนินการล่าช้าจะได้รับความเสียหายจนเกิดอันตรายแก่ประชาชนที่สัญจรไปมา หรือชุมชนโดยรอบโครงการดังกล่าว เช่น นั่งร้าน และแบบรอการเทปูน โดยเฉพาะแผ่นพื้นที่ 3.การก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร แบร์ริเออร์กั้นช่องจราจร แผ่นเหล็กปิดงานก่อสร้างบนผิวจราจร และ 4.การก่อสร้างในสถานที่ก่อสร้างที่มีความเกี่ยวข้องกับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ด้านสาธารณสุข เช่น โรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาล สถานพยาบาล หรือ สถานที่ก่อสร้างอื่น ๆ ที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรค

 นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมพิจารณาขอผ่อนคลายคำสั่งเคลื่อนย้ายแรงงานประเภทก่อสร้างจากสถานที่พักชั่วคราว ทั้งกรณีการข้ามเขตจังหวัด หรือภายในเขตจังหวัด เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรคโควิด-19 เช่น การรักษาพยาบาล การควบคุมป้องกันโรค การตรวจสุขภาพ การตรวจวินิจฉัยและการฉีดวัคซีน ทั้งนี้ ให้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการโรคติดต่อเป็นผู้พิจารณาอนุญาตโครงการก่อสร้างที่เข้าหลักเกณฑ์ทั้ง 4 ประเภทข้างต้นในเขตพื้นที่ของตนเองเป็นกรณีไป 

 รายงานข่าวแจ้งว่า ในที่ประชุม ศปก.ศบค.ได้พิจารณาข้อเสนอดังกล่าวแล้ว และได้ให้ความเห็นชอบในหลักการ ขณะเดียวกัน มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อความมั่นคงด้านสาธารณสุข ดังนี้ เห็นสมควรให้ผ่อนคลายคำสั่งห้ามการก่อสร้างในโครงการบางประเภทตามที่ กทม.เสนอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการที่แรงงานก่อสร้างนั้นได้รับวัคซีนแล้ว โดยสามารถเคลื่อนย้ายแรงงานก่อสร้างนั้นได้ ขณะเดียวกัน เห็นสมควรให้ผู้ว่าฯกทม. หรือผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้พิจารณาอนุญาตโครงการก่อสร้างที่เข้าหลักเกณฑ์เป็นรายๆ ไป และขอให้ กทม.และจังหวัดปริมณฑลกำกับติดตามการดำเนินการก่อสร้างโครงการที่มีความจำเป็นตามที่ได้รับการผ่อนคลายให้ดำเนินการภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด 

 รายงานข่าวแจ้งว่า ส่วนกรณีการก่อสร้างขนาดเล็กที่ไม่ถูกห้ามตามข้อกำหนดฉบับที่ 25 ถ้าผู้ว่าฯ กทม.หรือผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นว่า หากปล่อยให้การก่อสร้างแล้วอาจเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขอให้ใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อพิจารณาสั่งปิดสถานที่ก่อสร้างหรือหยุดการก่อสร้างได้ตามอำนาจ นอกจากนี้ ให้ทาง กทม.และจังหวัดปริมณฑลทำการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้เข้าใจมาตรการตามข้อกำหนดฉบับที่ 25 ที่ไม่ห้ามการก่อสร้างโครงการขนาดเล็กซึ่งไม่มีการเคลื่อนย้ายแรงจำนวนมากอันเป็นเหตุให้เกิดการแพร่กระจายของโรค และให้จัดช่องทางสำหรับประชาชนหรือผู้ประกอบการในการที่จะสอบถามเกี่ยวกับการดำเนินการตามคำสั่งตามข้อกำหนดฉบับที่ 25 ด้วย ทั้งนี้ เมื่อ ศปก.ศบค.เสนอขอให้นายกฯ ในฐานะ ผอ.ศบค. แล้ว จึงได้ลงนามเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมาแล้ว

ปธ.ชุมชนวัดดวงแข ร้องผู้สมัครส.ก.เพื่อไทย พบผู้ป่วยโควิดในชุมชนอาการสาหัส หาเตียงไม่ได้ เชื้อเริ่มระบาดไปห้องเช่ารอบข้าง บี้ รบ.จัดหาวัคซีนให้ชุมชน

นายใจพิชญ์ สุขุมาลจันทร์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่มอบข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ผู้นำชุมชนวัดดวงแข เพื่อใช้ประกอบอาหารปรุงสุกให้แก่สมาชิกในชุมชนที่กักตัวในห้องเช่า โดยชุมชนวัดดวงแขมีบ้านอยู่จำนวน 78 หลังคาเรือน แต่เนื่องจากถูกแบ่งซอยเป็นห้องเช่าขนาดเล็ก จึงทำให้มีผู้พักอาศัยอยู่รวมกันแล้วหลายร้อยคน มีทั้งคนไทยประกอบอาชีพเดินรถไฟ คนทำงานรับจ้างรายวัน และแรงงานต่างด้าวอาศัยรวมกันอยู่ที่ชุมชนแห่งนี้  ทั้งนี้ นางกาญจนศิริ คำรื่น ประธานชุมชนวัดดวงแข กล่าวว่า ชุมชนแห่งนี้เป็นตึกแถวห้องเช่าซอยย่อยขนาดเล็ก มีทั้งคนไทยและแรงงานต่างด้าวที่อยู่อย่างแออัด ถ้าใครติดเชื้อคนหนึ่งจะแพร่ระบาดยกห้องและลามไปห้องข้างเคียง ขณะนี้ผู้ป่วยยังอยู่ในชุมชนมีอาการน่าห่วงมาก มีอาการไข้ขึ้นสูง อาเจียน ไอ หายใจไม่สะดวก ยังหาเตียงให้ไม่ได้ แต่ที่กังวลมากกว่าคือ เริ่มพบผู้อาศัยอยู่ห้องใกล้เคียงกับผู้ป่วย เริ่มมีอาการไข้ขึ้นสูงและไอ จึงให้ผู้อาศัยห้องใกล้เคียงทั้งหมดไปตรวจหาเชื้อที่จุดตรวจเชื้อเคลื่อนที่สามย่าน ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผลการตรวจ ซึ่งการระบาดรอบนี้ระบาดเร็วและพบในอัตราที่สูงเช่นที่ชุมชนบ้านครัว ตรวจเชื้อ 100 คน พบติดเชื้อ 35 คน และยังหาเตียงไม่ได้ จึงกังวลอย่างยิ่งว่าจะระบาดซ้ำเป็นคลัสเตอร์ใหญ่จนไม่สามารถจะควบคุมได้

นายใจพิชญ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาผู้ป่วยล้น เตียงขาด เมื่อประสานโรงพยาบาลไปก็ไม่มีคำตอบ ขณะนี้ผู้อาศัยห้องใกล้ๆ กับผู้ติดเชื้อ เริ่มมีอาการไข้แล้ว จึงอยากให้ภาครัฐเร่งมือช่วยแก้ไขปัญหาเตียงขาด พาผู้ป่วยไปรักษาให้เร็ว และจะดีที่สุดควรรีบนำเข้าวัคซีนที่มีคุณภาพมาฉีดให้กับคนในชุมชนทุกคนอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดระบาดซ้ำ เพราะหากโควิดกลับมาระบาดซ้ำอีกรอบ อาจกลายเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ที่ควบคุมไม่ได้

พท.ถาม “ประยุทธ์” ทำผิด รธน.หรือไม่ทันทีที่ปชช.ซื้อวัคซีนเอง บี้เร่งจัดซื้อโมเดอร์นาให้ด่านหน้า อย่าปล่อยให้แพทย์รบด้วยชุดเกราะกระดาษ

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การบริหารจัดการวัคซีนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ ผอ.ศบค.ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น แม้แต่การแก้ไขปัญหาในขณะนี้ก็ยังผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะช่วงแรกรัฐบาลกำหนดให้วัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนหลักเพียงเจ้าเดียว จึงไม่มีวัคซีนคุณภาพมาเพียงพอเร่งฉีดให้ประชาชน จนวันนี้จึงปรับแผนใช้วัคซีนแก้ขัดอย่างซิโนแวคที่ประชาชนไม่ไว้ใจมาเป็นวัคซีนหลัก และยังเตรียมจะซื้อเพิ่มอีก 28 ล้านโดส

ส่วนวัคซีนที่ประชาชนเรียกร้องอย่างโมเดอร์นา กลับถูกปิดกั้นดำเนินการล่าช้า ทั้งที่มีงานวิจัยหลายฉบับรองรับว่ารับมือกับโควิด-19 สายพันธุ์ที่มีแนวโน้มระบาดอยู่ได้มากกว่า กลับกลายเป็นวัคซีนทางเลือกที่ประชาชนต้องเสียเงินจ่ายด้วยตนเอง ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า  ทันทีที่ประชาชนกดโอนเงินมัดจำค่าวัคซีนทางเลือก  วินาทีนั้นเท่ากับว่าพล.อ.ประยุทธ์กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 47 ที่ระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” หรือไม่

นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะ ผอ.ศบค.ต้องใช้วิธีการทางการทูต ไม่ว่าจะเป็นการทูตแบบทางการหรือไม่เป็นทางการ รวมทั้งใช้ศักยภาพของภาคเอกชนที่ติดต่อธุรกิจกับต่างชาติ ให้เข้ามาช่วยจัดหาวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ ให้เร็วขึ้นได้ อย่าจมอยู่กับวาทกรรมวัคซีนที่ดีคือวัคซีนที่มี ในเมื่อของที่มีอาจจะไม่เพียงพอต่อการควบคุมการระบาด การบริหารวัคซีนภายใต้รัฐบาลชุดนี้ มีความพยายามผูกขาดวัคซีน ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าจำนวนมากที่ได้ฉีดเพียงซิโนแวค 2 เข็ม เหมือนต้องสู้รบด้วยชุดเกราะกระดาษ ศบค.ต้องพิจารณาฉีดวัคซีนคุณภาพเข็มที่ 3 ให้แพทย์เป็นการฉุกเฉิน ก่อนที่สาธารณสุขไทยจะพังทลายเหมือนปราสาททราย

 

โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ เดินหน้า ยุทธศาสตร์ชาติก้าวสู่รัฐบาลดิจิทัลอย่างสมบูรณ์-ยูเอ็น จัดไทย อยู่ในกลุ่มที่มีการพัฒนา รัฐบาลดิจิทัล ระดับสูงมาก

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้วางแนวนโยบายและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อการก้าวเป็นรัฐบาลดิจิทัล ยกระดับความโปร่งใส ตรวจสอบได้หรือการเป็นรัฐบาลเปิด (Open Government) อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและ ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงเพิ่มการได้รับความเชื่อใจจากประชาชน (Public Trust)

นายอนุชา กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศผลการสำรวจรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ประจำปี 2020 หรือ UN E-Government Survey 2020 อันประกอบไปด้วยการประเมินระดับการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศต่างๆ ใน 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government Development Index: EGDI) ดัชนีการมีส่วนร่วมทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Participation Index: EPI) และดัชนีการให้บริการภาครัฐออนไลน์ในระดับท้องถิ่น (Local Online Service Index: LOSI) โดยผลการจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ประจำปี พ.ศ.2563 ไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 57 จาก 193 ประเทศ ซึ่งไทยได้รับตำแหน่งที่ดีขึ้นอย่างมาก จากอันดับที่ 73 ในปี 2561 และอันดับที่ 77 ในปี 2559 มีการพัฒนาในด้านการเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งองค์การสหประชาชาติจัดไทยให้อยู่ในกลุ่มที่มีการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลในระดับสูงมากโดยหากพิจารณาในรายละเอียดแต่ละด้าน ไทยได้รับคะแนนด้านการให้บริการออนไลน์ (Online Service Index: OSI) และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม (Telecommunication Infrastructure Index: TII) เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระดับอาเซียน ไทยอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากสิงคโปร์ (อันดับที่ 11 ของโลก) และมาเลเซีย (อันดับที่ 47 ของโลก) ตามลำดับ 

นายอนุชา กล่าวว่า ในรายงานดังกล่าวได้เปิดเผยถึง ดัชนีการมีส่วนร่วมทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Participation Index: EPI) ซึ่งประเมินการใช้เครื่องมือดิจิทัลในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดทิศทางการทำงานของภาครัฐ ได้แก่ การเปิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรับฟังความคิดเห็นมากขึ้น ในการกำหนดนโยบาย ร่างกฎหมาย การใช้จ่ายงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง ตลอดจน การร้องเรียนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ไทยได้รับการจัดให้อยู่อันดับที่ 51 ปรับตัวขึ้นมาจากอันดับที่ 82 ในปี 2561 ซึ่งคงเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ (อันดับที่ 6 ของโลก) และมาเลเซีย (อันดับที่ 29 ของโลก) ตามลำดับ

นายอนุชา กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างเข้มข้น โดยได้กำหนดเป็นแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2563-2565 จึงส่งผลให้ประเทศได้รับการยอมรับและการจัดอันดับที่ดีในเวทีโลก และพร้อมวางแนวทางสู่อนาคตอย่างต่อเนื่อง

ศรีสุวรรณ จ่อร้อง ดีเอสไอ สอบ รฟท.  ก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ส่อ ทุจริต

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ตรวจสอบติดตามโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา หรือรถไฟไทย-จีน ระยะทาง 253 กม. วงเงิน 179,413 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ซึ่งมีการแบ่งการก่อสร้างงานโยธาเป็น 14 สัญญา ซึ่งขณะนี้ผู้รับเหมาโครงการแต่ละสัญญากำลังดำเนินการก่อสร้างให้เป็นไปตามสัญญา ซึ่งจะประกอบไปด้วยโครงสร้างยกระดับสำหรับวางรางรถไฟความเร็วสูง โครงสร้างทางรถไฟบนดิน นอกจากนี้ยังมีงานก่อสร้างโรงซ่อมรถไฟ และอาคารประกอบอีก หลายอาคาร โดยมีบริษัทที่ปรึกษาจากประเทศจีนร่วมทำงานกันอย่างใกล้ชิดนั้น

แต่จากการตรวจสอบบางสัญญาพบความผิดปกติในการก่อสร้างและการดำเนินงานซึ่งอาจไม่เป็นไปตามข้อสัญญาการจ้าง หรือ ทีโออาร์ หลายจุด อาทิ การวางรางรถไฟ ซึ่งตามสัญญาจะต้องใช้รางเหล็กคุณภาพดีที่มีปีการผลิตในปี 2019 เท่านั้น แต่ปรากฏว่ามีการสอดใส้นำรางเหล็กเก่าที่ผลิตในปี 2013 และปี 2014 มาสอดใส้ใช้สลับแทนในบางจุดเพื่อตบตาผู้ตรวจสอบ (ซึ่งอาจไม่ได้ลงดูพื้นที่จริง)โดยเบื้องต้นพบว่ามีการนำรางเก่ามาใช้ทั้งหมด 48 ท่อน แยกเป็นปี 2013 จำนวน 28 ท่อน(PZH2013) ปี 2014 จำนวน 20 ท่อน(BISG2014) โดยตรวจพบในจุดที่ Sta.3+513 ไปจนถึงจุด 4+113 ซึ่งการสอดใส้นำรางเก่ามาใช้แทนรางใหม่จะทำให้ผู้รับเหมาประหยัดเงินไปได้อย่างมาก ซึ่งปัญหาดังกล่าวทราบมาว่าทางบริษัทที่ปรึกษาจากประเทศจีนได้ตรวจพบแล้ว และได้ทำหนังสือรายงานไปยังผู้จัดการโครงการฯของ รฟท.แล้ว แต่ทว่าเรื่องกลับเงียบไป เป็นที่น่าพิรุธ

นอกจากปัญหาการสอดไส้การนำรางเก่ามาใช้แล้ว ยังมีปัญหาการนำรถกระบะยี่ห้อหนึ่งมาใช้ในโครงการโดยในสัญญาระบุว่าต้องเป็นรถที่มีแรงม้า 2,900 แรงม้า แต่เอามาใช้จริงกลับเป็นรถที่มีแรงม้าเพียง 2,200 แรงม้าเท่านั้น อาจไม่ตรงกับสเปกตามสัญญา และยังพบว่าการก่อสร้างอาคารสำนักงานจำนวน 3 อาคาร ที่ อ.ปากช่อง พบว่ามีการก่อสร้างเกินไปกว่าแบบแปลนที่กำหนดจากพื้นที่ใช้สอย 1,550 ตร.ม. กลับเพิ่มเป็น 1,940 ตร.ม. ทำให้ค่าก่อสร้างเพิ่มมากขึ้น ค่าบริหารจัดการเพิ่มมากขึ้น และยังไม่มีฉนวนกันความร้อนบนผ้าเพดานไม่เป็นไปตามแบบที่กำหนดอีกด้วย และเฟอร์นิเจอร์ภายในอาคารโครงการฯพบว่ามีการจัดซื้อจัดหามาใช้ในราคาที่แพงกว่าราคาตลาดที่ซื้อขายกันโดยทั่วไปหลายเท่ามาก และยังพบข้อพิรุธอื่น ๆ อีกมากมาย

โดยในวันจันทร์ที่ 5 ก.ค.64 เวลา 10.00 น.ไปยื่นที่สำนักงาน DSI ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะนำพยานหลักฐานทั้งหมดไปร้องเรียน ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ทำการตรวจสอบว่าโครงการรถไฟไทย-จีนดังกล่าว มีการทุจริตคอรัปชั่นกันหรือไม่ หากพบความผิด และมีใครเกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบบ้าง จะได้ดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top