Sunday, 28 April 2024
POLITICS NEWS

ประมง -เจ้าท่า ไฟเขียวลดขั้นตอนยื่นขอใบอนุญาตใช้เรือ

นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมง และกรมเจ้าท่า ได้ร่วมกันหารือถึงแนวทางในการดำเนินการเพื่อลดขั้นตอนการขอรับหนังสือรับรองเพื่อประกอบการยื่นขอออกใบอนุญาตใช้เรือประมง โดยปรับเปลี่ยนขั้นตอนใหม่ให้ชาวประมงสามารถยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตใช้เรือ ณ หน่วยงานกรมเจ้าท่าเพียงจุดเดียว เมื่อกรมเจ้าท่าได้รับคำร้องแล้วจะจัดส่งข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศของทั้ง 2 หน่วยงานโดยอัตโนมัติ ภายใต้กรอบการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพเช่นเดิม ล่าสุดอยู่ระหว่างการร่วมกันพัฒนาระบบเพื่อให้สามารถรองรับหลักการตามที่ได้เห็นชอบร่วมกัน คาดว่าจะเปิดใช้ระบบได้ช่วงต้นเดือนต.ค. นี้ 

ทั้งนี้ในการประชุมโครงการอบรมสัมมนาอาสาสมัครป้องกันปราบปรามประมงผิดกฎหมาย แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับซึ่งจัดโดยสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (สบนร.) ชาวประมง ได้เสนอให้กรมประมงลดขั้นตอนในการขอรับหนังสือรับรองเพื่อประกอบการยื่นขอรับใบอนุญาตใช้เรือประมง เนื่องจากมีขั้นตอนในการดำเนินการหลายขั้นตอน และต้องใช้ระยะเวลานานทำให้เกิดความล่าช้า และมีข้อเสนอแนะให้ภาครัฐมีหน่วยงานกลางที่สามารถรับคำร้องและคำขออนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทำการประมงได้ในจุดเดียว และขอให้ลดจำนวนเอกสารที่ซ้ำซ้อนโดยพิจารณาเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ

อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาการขอรับหนังสือรับรองเพื่อประกอบการยื่นขอออกใบอนุญาตใช้เรือประมงนั้น เดิมกำหนดให้ชาวประมงต้องมายื่นคำขอกับกรมประมงเมื่อได้หนังสือรับรองแล้วก็นำไปยื่นขอต่อใบอนุญาตใช้เรือกับกรมเจ้าท่าส่งผลให้ ชาวประมงจะต้องติดต่อไปมาระหว่าง 2 หน่วยงานเกิดความยุ่งยาก และสร้างภาระแก่ชาวประมง โดยได้ข้อยุติร่วมกันในการลดภาระของชาวประมง ซึ่งมีเรือจำนวนกว่า 60,000 ลำในปัจจุบัน

“หากเริ่มดำเนินการใช้ระบบฯ จะสามารถอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องชาวประมงเป็นอย่างมาก และกรมประมงยังคงมุ่งมั่นที่จะปรับลดขั้นตอนในกระบวนงานอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ชาวประมงต่อไป นอกจากนี้ วิธีการที่ปรับเปลี่ยน ยังเป็นวิธีที่สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ที่ต้องลดการเคลื่อนที่ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้ออีกด้วย”

“สิระ” ซัด "เพื่อไทย" ถนัดเล่นการเมืองข้างถนน หลังผุดแคมเปญล่าชื่อโหวตไม่ไว้วางใจ "ประยุทธ์" เย้ย ข้อมูลซักฟอกกลวงถึงต้องให้ ปชช. ช่วย ไล่ไปลาออก ถ้าไม่เชื่อมั่นระบบรัฐสภา

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยผุดแคมเปญเชิญชวนประชาชน ร่วมลงชื่อโหวตไม่ไว้วางใจรัฐบาลผ่านเว็บไซต์เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เนื่องจากบริหารประเทศล้มเหลว คู่ขนานกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯ ว่า ถามว่าพรรคเพื่อไทยไม่เชื่อมั่นระบบรัฐสภาหรืออย่างไร ทั้งที่ตัวเองเป็น ส.ส. หรือเคยทำแบบนี้แล้วประสบความสำเร็จ หรือว่าข้อมูลที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่มีอะไร กลวงหรืออย่างไร ส.ส.ต้องเป็นตัวอย่างกับประชาชนในการเชื่อมั่นระบบรัฐสภา ดังนั้น ขอให้พิจารณาตัวเองแล้วลาออกจากการเป็นส.ส. เพราะหากไม่พอใจอะไรจะได้ไปเข้าชื่อ ถามว่าบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร ตัวเองยังไม่ศรัทธาระบบรัฐสภา แล้วจะไปให้นายกฯลาออกได้อย่างไร หรือถนัดเล่นการเมืองข้างถนน

พท.ซัด “บิ๊กตู่” น่าละอายปล่อยวีไอพีแย่งวัคซีนแพทย์ อัด รัฐกดตัวเลขคนติดเชื้อหวังอ้างความสำเร็จ

นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย และในฐานะแพทยสภา เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิดในประเทศไทย ที่รัฐบาลประกาศตัวเลขผู้ติดเชื้อว่าลดลงนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการตรวจในรูปแบบการตรวจ RT-PCR  ไม่รวมตัวเลขที่ตรวจ โดยใช้ชุดตรวจ RTK สามารถตรวจได้เพียงวันละ 50,000 รายเท่านั้น หากตรวจมากกว่านี้คงพบมากกว่านี้ ในแต่ละวันจะพบผู้ติดเชื้อจำนวน 20,000 ราย ดังนั้นตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริงสูงกว่านี้อย่างแน่นอน ที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาลต้องการอ้างว่ามาตรการที่รัฐบาลใช้บังคับประชาชนมีประสิทธิภาพ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริง ขณะเดียวกันรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญเรื่องการตรวจสอบการกระทำที่ส่อไปในทางไม่สุจริต โดยเฉพาะการจัดหาชุดตรวจหาเชื้อ แม้ก่อนหน้านี้ชมรมแพทย์ชนบทออกมาทักท้วงเรื่องการจัดซื้อชุดตรวจแอนติเจนหรือ ATK ตรวจหาเชื้อโควิด-19 จำนวน 8.5 ล้านชุด เพราะกังวลในเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของชุดตรวจที่รัฐจัดซื้อ เหตุใดองค์การเภสัชกรรมยืนยันจะเดินหน้าขั้นตอนการลงนามสัญญา ถึงเวลานี้มองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน หวั่นว่าจะมีกลุ่มหาผลประโยชน์จากสถานการณ์โควิด 

นพ.สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการบริหารจัดการวัคซีนนั้น รัฐบาลปิดบังแผนบริหารวัคซีน การจัดสรรก็ไม่มีความเป็นธรรม หรือรัฐบาลจงใจที่จะเก็บวัคซีนของบุคลากรด่านหน้า เพื่อเตรียมไว้ให้กับกลุ่มวีไอพีที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจในรัฐบาลมากกว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับกลุ่มนายทุนขุนทหารที่ใกล้ชิด มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนก่อนบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานหนัก น่าละอายที่พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

"เสกสกล "เผย เตรียมตั้งวอร์รูมนอกสภาฯ เก็งข้อสอบฝ่ายค้าน ฟุ้ง “จัดทีมโต้-ฝ่ายกฎหมายดำเนินคดีส.ส.ฝ่ายค้าน” กร้าว “เพื่อไทย”เหมือนหมาบ้า ฟัดนอกกติกา-ไม่ยึดระบบรัฐสภาฯเชื่อ พิษสนองเข้าตัวเอง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของฝ่ายค้าน ว่า จะมีการตั้งวอร์รูมนอกสภาฯ โดยมีคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีทุกกระทรวง ทุกพรรคการเมืองซีกรัฐบาล จะตั้งวอร์รูมนอกสภา เพื่อรับมือญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน คอยทำหน้าที่ในการหาข้อมูลสนับสนุนและพิทักษ์ปกป้องนายกฯและรัฐมนตรี ที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ  โดยมีตนเป็นหัวหน้าทีมตอบโต้ฝ่ายค้าน และมีนักกฎหมายไว้เตรียมการดำเนินคดีกับส.ส.ฝ่ายค้าน ในกรณีที่บิดเบือนใส่ร้ายป้ายสี ใช้หลักฐานอันเป็นเท็จและโจมตีจาบจ้วงก้าวล่วงดูหมิ่นดูแคลนสถาบันเบื้องสูง ทั้งนี้วอร์รูมนอกสภาฯจะทำงานเชิงรุกตอบโต้ฝ่ายค้าน ซึ่งไม่ใช่การคุกคามหรือข่มขู่ แต่เพื่อป้องปรามและส่งสัญญาณเตือนถึงฝ่ายค้านว่าอย่าได้อภิปรายนอกลู่นอกทางหรือสร้างหลักฐานอันเป็นเท็จ ตลอดจนอย่าก้าวล่วงจาบจ้วงสถาบันอย่างเด็ดขาดอาจจะโดนดำเนินคดีมาตรา 112 ได้ 

นายเสกสกล กล่าวว่า การที่ฝ่ายค้านเขียนญัตติใช้ภาษาที่ทุเรศอัปยศอดสูที่สุด เสมือนดูถูกประชาชน ไม่เคยมีฝ่ายค้านยุคไหนที่ใช้ภาษาดูหมิ่นดูแคลนผู้นำประเทศ และไม่ยอมใช้วิธีเล่นการเมืองยึดกติกาในสภาฯตามระบอบประชาธิปไตย แต่เล่นการเมืองเถื่อนนอกสภาฯโดยใช้แคมเปญลงชื่อไล่ล่านายกฯ วิธีการเล่นการเมืองแบบป่าเถื่อนนอกสภาฯไม่ยึดมั่นในกติกาประชาธิปไตย เป็นพรรคฝ่ายค้านที่เลวร้าย ใจอำมหิตเป็นความคิดที่ชั่วช้าสารเลวของพรรคเพื่อไทยในยุคตกต่ำที่สุด

เพื่อหวังล้มรัฐบาล และกลับมามีอำนาจช่วย นายทักษิณ ชินวัตรและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมาฟอกตัวให้พ้นคดีทุจริตให้ ได้ จึงกล้าทุ่มเท ยอมทุบหม้อข้าว ถล่มโจมตีนายกฯและรัฐบาล ทุกรูปแบบ ไม่ต่างกับหมาบ้าทีไล่งับไล่กัดชาวบ้านไปทั่วสุดท้ายถึงจุดจบเพราะพิษหมาบ้าของตัวเองที่จะโดนประชาชนลงทัณฑ์ จนทำให้นายใหญ่ทั้งสองก็คงต้องระเหเร่ร่อนพเนจรต่อไป เพราะความคิดการเมืองแบบเพี้ยน จิตวิปริต ของคนบางคนในพรรคเพื่อไทย เหมือนกับที่เคยคิดจะออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ช่วยนายทักษิณ กลับบ้าน ในยุครัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ 

“บิ๊กตู่” ตั้ง “เสธ.ไก่” นั่ง เลขาฯสมช.คนใหม่  บอกขอโทษคนในที่ไม่ได้ขึ้น เดี๋ยวตั้งเป็นที่ปรึกษานายกฯ เทียบซี 11 ปลอบใจ

ที่ทำเนียบรัฐบาล  พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยที่ประชุมได้มติเห็นชอบแต่งตั้ง พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เสนาธิการทหาร ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. คนใหม่ แทน พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสมช.ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ตามที่ พล.อ.ณัฐพลเป็นคนเสนอ โดยจะต้องมีการตรวจสอบประวัติก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)พิจารณาต่อไป ทั้งนี้  พล.อ.สุพจน์ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 22  มีอายุราชการเหลืออีก 2 ปี โดยจะเกษียณอายุราชการในปี 2566

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา พล.อ.สุพจน์ นับเป็นนายทหารคนที่ 5 แล้ว ที่โอนย้ายจากกองทัพมาเป็นเลขาธิการ สมช.โดยก่อนหน้านี้มีการโอนย้าย พล.อ.ทวีป เนตรนิยม พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา และพล.อ.ณัฐพล

อย่างไรก็ตาม นายกฯ ได้กล่าวในที่ประชุมเพียงสั้นๆว่า ว่า “ขอโทษคนในด้วยที่ไม่ได้ขึ้น เดี๋ยวจะแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี  ตำแหน่งเทียบเท่าซี 11”

“เลขาประธานรัฐสภา” เผย ร่างพ.ร.บตำรวจฯ อยู่ในชั้นกมธ. วิสามัญ  มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ สตช.ให้สอดคล้องภารกิจตำรวจ

นายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวถึงความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เป็นผู้เสนอ ว่า ขณะนี้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งเป็นร่างที่ ครม.ได้เสนอต่อรัฐสภา โดยร่างพ.ร.บ.ตำรวจฯมีทั้งหมด 172 มาตรา  มีสาระสำคัญที่น่าสนใจคือมีการกำหนดหน้าที่และอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) และเพื่อให้สอดคล้องกับการปฎิบัติภารกิจของตำรวจก็ได้มีการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อโอนภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของ สตช.เช่นกองกำกับการตำรวจรถไฟ ภาระกิจงานจราจร ภารกิจที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะมีการโอนไปให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีภารกิจนั้นโดยตรงรับไปดำเนินการ การจัดระเบียบราชการในสตช.กำหนดแบ่งส่วนราชการอย่างน้อยต้องมีกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค ให้มีกองบังคับการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรจังหวัด และปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชน มีการแบ่งข้าราชการตำรวจออกเป็นสองประเภทคือข้าราชการตำรวจที่มียศและข้าราชการตำรวจที่ไม่มียศ กำหนดให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีบทบาทในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์มากยิ่งขึ้น และบทบาทของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจในร่างพ.ร.บ.ฯ ฉบับนี้ จะมีการปรับปรุงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์และเรื่องคุ้มครองระบบคุณธรรมต่างๆด้วย

นายราเมศกล่าวต่อว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว มีประเด็นที่น่าสนใจ คือการกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจมีหน้าที่และอำนาจพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมของประชาชนจากการกระทำของข้าราชการตำรวจที่กระทำการอันมิชอบ ประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมและเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำรวจ กระทำผิดวินัย ก็จะเป็นกลไกที่สำคัญในการที่จะมาปลดเปลื้องทุกข์ให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากข้าราชการตำรวจและการกำหนดให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการบริหารงานจัดให้มีกองทุนเพื่อการสืบสวนสอบสวนและกาดป้องกันการปราบปรามกระทำความผิด รวมถึงการปรับบัญชีอัตราเงินเดือนเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง

“ณัฐวุฒิ” ควง “บก.ลายจุด”  เปิดเส้นทาง 29 สิงหา CAR MOB  CALL OUT ก่อนยกระดับชุมนุมใหญ่ ขับไล่ “พล.อ.ประยุทธ์”

ที่สำนักงานข่าวยูดีดี นิวส์ (UDD NEWS) แยกแคราย จ.นนทบุรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ  (นปช.) และ แกนนำผู้จัดกิจกรรม นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แถลงข่าวรายละเอียดกิจกรรมนัดชุมนุม29 สิงหา  CAR MOB  CALL OUT  ว่า การนัดหมายครั้งนี้ถือเป็นการนัดหมายครั้งสำคัญโดยหลังจากนี้เราจะยกระดับการเคลื่อนไหวเชิญชวนประชาชนทั้งประเทศออกมาแสดงพลัง ไม่ไว้วางใจและขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีประชาชนมากมายเพียงใดที่ไม่เอาพลเอกประยุทธ์ โดยในวันที่ 29 สิงหา จึงเป็นการแสดงพลังครั้งสุดท้ายก่อนจะยกระดับการชุมนุมใหญ่หลังจากนี้ไม่กี่วัน ซึ่งครั้งนี้ก็ยังคงเช่นเดิมมีสีสันในการจัดประกวดตกแต่งรถ ป้ายข้อความ เพิ่มเติมคือการประกวดภาพถ่ายจากช่างภาพสมัครช่างภาพอิสระ เล่น ทั้งภาพนิ่ง และวีดีโอ โดยนำภาพถ่ายของท่านขึ้นโชว์ในโลกออนไลน์ จะมีคณะกรรมการตรวจสอบและให้คะแนน นอกจากนั้นยังมีการประกวดของเชียร์สองข้างทางในการมีส่งนร่วม และเผยแพร่ภาพลงในโซเชียลมิเดียร์ เป็นการหล่อหลวมพลัง ทุกกลุ่มมารวมกันเดินทางไปทิศทางเดียวไปทิศทางเดียวกัน โดยนัดหมายในเวลา 14.00 น. 

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า เริ่มจากแยกเกษตร หัวขบวนมุ่งหน้าถนนวิภาวดี ท้ายขบวนยาวไปทางฝั่งถนนเกษตร-นวมินทร์ 15.00 น. จะเคลื่อนขบวนลอดใต้อุโมงค์เกษตร ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ข้ามสะพานถนนวิภาวดีผ่านหน้าเรือนจำ ข้ามสะพานแยกพงษ์เพชร ตรงข้ามสะพานแยกแคราย มุ่งสู่ถนนรัตนาธิเบศร์ข้ามพระนั่งเกล้า(ใหม่) ผัดแยกท่าอิฐจากนั้นขึ้นสะพานยกระดับวนขวาไปทางถนนราชพฤกษ์ (เกาะช่องจราจรซ้ายสุด) จากนั้นขึ้นสะพานยกระดับวนขวาเข้าถนนชัยพฤกษ์ จากนั้นมุ่งหน้าไปทางปากเกร็ดขึ้นสะพานพระรามสี่ ลงสะพานทางซ้าย เข้าห้าแยกปากเกร็ดเลี้ยวซ้าย เข้าถนนติวานนท์มุ่งหน้าสวนสมเด็จฯ งั้นตรงไปเรื่อยๆ จะเข้าเขตเชื่อมต่อระหว่างจ.นนทบุรี-จ.ปทุมธานี จากนั้นมุ่งหน้าไปทางปทุมธานี ข้ามสะพานปทุมธานี แล้วไปสุดทาง ที่ลายเทพปทุม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าศาลากลางหลังเก่าจ.ปทุมธานี 

“เราจะไปเส้นทางเดียวกันทั้งขบวน CAR MOB  CALL OUT แตกต่างกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาซึ่งครั้งนี้มีระยะทางไกลรวม 50 กิโลเมตร เชื่อมต่อกรุงเทพ ปริมณฑลกินพื้นที่สามจังหวัด จากนั้นพอถึงจุดหมายปลายทางแล้ว จะมีการปราศรัยเราจะปิดขบวบ พร้อมกันประกาศเจตนารมณ์ ขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ แล้วทางเราจะแจ้งกำหนดนัดหมายการชุมนุมใหญ่ในครั้งถัดไป ซึ่งจะไม่เห็นการเคลื่อนขบวนอย่างที่ผ่านมา หลังจากนี้การชุมนุมรูปแบบคงเปลี่ยนแปลงไปเรายังคงยืนยันหลักการชุมนุมด้วยสันติวิธี เรามีเจตนารมย์ ที่เปิดเผยไม่เข้าไปในพื้นที่เปาะบาง หรือพื้นที่เผชิญหน้า ที่อาจทำให้เกิดความรุนแรงในทุกรูปแบบ ไม่มีลุยไม่มีเผชิญหน้า ไม่มีปะทะ มีแต่ความมุ่งมั่นไม่ลดละที่จะขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ ให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรายินดีที่จะเปิดรับทุกคนทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีเจตนารมย์ร่วมกัน และเข้าใจในภารกิจร่วมกัน เราจะมีการประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสร้างแนวทางการเคลื่อนไหวให้เข้าใจเส้นทางเข้าใจรูปแบบเข้าใจวัตถุประสงค์ถือว่าเป็นการทำงานร่วมกันอำนวยความสะดวกให้กันและกันซึ่งเราสามารถขึ้นไหวตามเสรีภาพของเราซึ่งกฎหมายคุ้มครองเจ้าหน้าที่ ก็สามารถที่จะปฏิบัติงานอำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัยให้พี่น้องประชาชนได้” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายสมบัติ กล่าวว่า ตนมองว่ารูปแบบคาร์ม็อบ เดินทางมาถึงจุดสำคัญ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้าแล้วเชื่อว่าโดยรูปแบบโดยในแต่ละครั้งก็มีการยกระดับมีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมากและเรามั่นใจว่าในครั้งที่ 5 คาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมากที่สุดเท่าที่เราเคยทำกิจกรรมมา ในเชิงปริมาณถือว่าจะใช้จำนวนคนที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นหน้าตักเพื่อที่จะเสนอไปถึงตัวพลเอกประยุทธ์และพรรคร่วมรัฐบาลไม่เช่นนั้นฝ่ายการเมืองก็จะอธิบายว่าเป็นประชาชนกลุ่มหนึ่ง เราจะใช้จำนวนคนเป็นตัวที่จะบอกว่าเราเป็นประชาชนกลุ่มไม่น้อยที่ออกมาเคลื่อนไหว และหลังวันที่ 29 สิงหา เป็นวันที่สำคัญ เพราะจะเป็นวันที่เชื่อมต่อ ที่มีความเคลื่อนไหวในสภาฯ แต่เราเป็นกิจกรรมนอกสภาฯ ในสภามีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในสภา วันที่ 31 สิงหาคม ต่อเนื่องไปถึงวันที่ 2 กันยายน  ถึงเราจะจัดกิจกรรมใหญ่เป็นการลงคะแนนไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์และรัฐบาลนอกสภาซึ่งหมายความว่าในสภาก็จะมีการที่ไปอำนวยการกันไปเป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองแต่นอกสภาเราจะมีเวทีมีการชุมนุมใหญ่เคลื่อนไหว พร้อมกันและเชิญประชาชนมาร่วมในการลงคะแนนไม่ไว้วางใจรัฐบาลรหัสเสียงของประชาชนออกมาว่าไม่ไว้วางใจรัฐบาลและเสียงในสภาออกมาว่าบรรดาสส. ไว้วางใจรัฐบาล สิ่งนี้ก็จะกลายเป็นประเด็นและเงื่อนไขซึ่งจะนำไปสู่การชุมนุมใหญ่ที่ต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด 

นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญและเป็นโอกาสที่ประชาชนที่จะร่วมไม้ร่วมมือกันซึ่งจริงแล้วเรากำลังสู้กับยางภายของพลเอกประยุทธ์คือพลเอกประยุทธ์เป็นบุคคลที่ที่เราสงสัยว่ามียางอาย หรือป่าว ความผิดพลาดในการบริหารประเทศ มาถึงขนาดนี้ แต่ยังไม่ยอมออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆเลยเราจะใช้วิธีการรีดยางอาย ซึ่งปกติคนมียางอาย ทำผิดพลาดนิดหน่อยก็ต้องยอมรับ แต่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยมีการแสดงความรับผิดชอบใดๆ ซึ่งยางอายอาจจะอยู่ลึกมาก หรืออาจจะมีน้อย พวกเราจะต้องรีบจนพล.อ.ประยุทธ์ ยอมเราไม่ต้องการเอาชนะ อย่าเข้าใจผิด 

“ผมมองแล้วว่าพล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความสามารถหากยังคงบริหารประเทศต่อไปแบบนี้ภายใต้ก่อนนำของพล.อ.ประยุทธ์ มันจะนำความเสียหายมาสู่พี่น้องประชาชน แล้วยากมากที่จะกอบกู้วิกฤตหรือกู้ซากปรักหักพังที่พล.อ.ประยุทธ์ สร้างสมไว้เป็นสมบัติให้กับประชาชน ไปใช้หนี้กันในอนาคต บาดแผลเหล่านี้เราไม่ควรให้พล.อ.ประยุทธ์ ทำเละเทะไปมากกว่านี้ หากไม่สามารถที่จะสร้างยางอายด้วยตัวเองได้ ผมก็ขอเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาล ช่วยทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ลงจากอำนาจเสียที หากพรรคร่วมรัฐบาลไม่กระทำการแต่ยังคงเป็นนั่งร้าน ให้กับพล.อ.ประยุทธ์ ต่อไปสุดท้ายประชาชนจะเป็นคนตัดสินพรรคร่วมรัฐบาล เองไม่ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด ช่วงเวลานี้หรือในการเลือกตั้งในโอกาสต่อไป ผมมองว่า 10 วันหลังจากนี้จะมีความเข้มข้นทางการเมืองขึ้นเรื่อย” บก.ลายจุด กล่าว

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะมีเหตุปะทะอย่างที่เคยจัดครั้งผ่านๆมา นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า จะมีเหตุปะทะกันที่ไหนก็ตามเราเป็นห่วงอยู่แล้วเพราะในแนวทางหรือวัตถุประสงค์ของการเคลื่อนไหวมันไม่มีเรื่องนี้และการแสดงเจตนารมย์คือการหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ทั้งนั้นจึงขอแสดงความหวังในตรงนี้ว่าในวันที่ 29 สิงหาคมทุกอย่างจะเริ่มต้นและจบลงด้วยความสงบเรียบร้อยในเวลา ก่อนค่ำ คือ 18.00 น. ก็จะประกาศยุติการชุมนุม และหวังว่าจะไม่เกิดความรุนแรงในพื้นที่ใดก็ตามในวันนั้นและหวังว่าพลังเนื้อหาสาระหรือรูปแบบการเคลื่อนไหวของ CAR MOB  CALL OUT  จะมีพื้นที่ทางสาธารณะในทุกช่องทางของสื่อสารมวลชนหรือสื่อออนไลน์สื่อไปถึงประชาชนทั้งคนไทยและคนทั่วโลกได้อย่างเต็มที่

เมื่อถามว่าการปะทะกันที่สามเหลี่ยมดินแดง ไม่ว่าจะฝ่ายใดเริ่มก่อนก็ตามมองอย่างไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นี้เป็นสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักร่วมกันว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายใดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ โดยหลักการในสังคมประชาธิปไตย ที่เกิดเหตุประทะระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ทุกวันจนเกือบกายเป็นเรื่องปกติ รัฐจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ รัฐจะเอาชนะประชาชนด้วยการใช้กำลังกลางถนนทุกวัน เช่นที่ผ่านมาไม่ได้ เราเรียกร้องเสมอให้รับฟังเสียงจากเยาวชนและให้เปิดพื้นที่การปฎิบัติการลดความรุนแรง ลดเงื่อนไขการเผชิญหน้ากับเยาวชนกลุ่มดังกล่าวให้มากขึ้น และเราเรียกร้องด้วยว่าให้นายกรัฐมนตรี หรือผู้ใหญ่ในรัฐบาลส่งสัญญาณให้ชัดว่าท่านไม่ประสงค์สิ่งนี้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติว่าจะต้องไม่ให้มีการปะทะหรือใช้กำลังกับประชาชนอีกต่อไป

ด้านนายสมบัติ กล่าวว่า ตนยอมรับว่าเป็นปฏิกิริยาของน้องๆที่เขาไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ และหาวิธีการในการแสดงออก ซึ่งหากเราต้องการเอาชนะพล.อ.ประยุทธ์ หรือชนะเผด็จการ ที่มีกำลัง มีกองกำลัง มีงบประมาณ มีอาวุธซึ่งหนทางสำคัญที่จะเป็นไปได้เราจะต้องชนะทางการเมืองก่อน ทางการเมืองนั้นหมายถึงจะต้องมีประชาชนจำนวนมาก เห็นด้วยและเข้าร่วมแนวทางที่เป็นแนวทางทางการเมืองมันถูกมานำเป็นแนวทางหลักของการต่อสู้ของประชาชน การใช้กำลังของรัฐในการต่อสู้ทางการเมืองที่ยืนหยัดอยู่บนแนวทางสันติวิธี จะเป็นการลดทอนความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐ ให้ตกต่ำลงไปอีก แล้วจะทำให้การเคลื่อนไหวของประชาชน ได้รับความชอบธรรม ตนอยากจะเชิญชวนน้องๆอยากให้ลองมาร่วมต่อสู้ทางการเมือง มาสู้กันแล้วไม่เอาตัวเองไปเป็นเหยื่อกับฝ่ายรัฐที่ใช้ความรุนแรงกับเรา เวลานี้เป็นโอกาสสำคัญ ที่ประชาชนจะออกมาขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ ในครั้งนี้ 

รัฐบาลเบาใจมูดี้ส์ คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศมีเสถียรภาพ 

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้รับทราบการประเมินสถานทางการเงินการคลังล่าสุด บริษัท Moody’s Investors Service  ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยไว้ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+  และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ที่ระดับมีเสถียรภาพ จากปัจจัยสำคัญ คือ ไทยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่และหลากหลาย ภาครัฐมีฐานการเงินที่เข็มแข็ง ภาคการคลังสาธารณะ มีความแข็งแกร่ง หนี้ระยะสั้นอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 8 สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำมาก คือ น้อยกว่าร้อยละ 2 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง และอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ

ขณะเดียวกัน ตัวเลขมูลค่าการส่งออกและการลงทุนในประเทศ เป็นอีกสองตัวชี้วัดถึงโอกาสฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า การส่งออกในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค.ปี64 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 16.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  และเกินดุลการค้าอยู่ 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการลงทุนในประเทศ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานภาวะการลงทุนครึ่งปีแรกของปี 64 ว่า มีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน  801 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 3.86 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 158%  ประเทศที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนที่มีมูลค่าลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และจีน 

นางสาวรัชดา กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ และยังได้รับการประเมินทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ หลังจากผ่านช่วงโควิด19 นี้ไป มูดี้ส์ ยังคาดว่าการลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะช่วยเพิ่มการลงทุน การจ้างงานของภาคเอกชนและอุปสงค์ภายในประเทศอีกมาก และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างแน่นอน ควบคู่กันไป รัฐบาลได้เดินหน้านโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี 

นอกจากนี้จะเร่งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ที่สำคัญ หวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมกันแสดงความเห็นต่างทางการเมืองอยู่บนวิถีประชาธิปไตยในกรอบกฎหมาย เพื่อไม่ให้กระทบโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจ และบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนของประเทศ

โฆษกรัฐบาล ชี้ รัฐบาลอยู่ได้ด้วยศรัทธาประชาชน ต่อ ‘ลุงตู่’ จวก ฝ่ายค้าน ผุดแคมเปญไล่นายกฯ ไม่เหมาะสม ไม่ควรขยายผลนอกสภา จี้ ทบทวน

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเชิญชวนประชาชนร่วมลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นสิทธิที่ชอบธรรมและสามารถดำเนินการได้ แต่การเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาลด้วยนั้น ฝ่ายค้านต้องทบทวนให้ดีว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลควรเป็นเรื่องที่ดำเนินการภายในที่ประชุมสภา ไม่ควรนำไปขยายผลออกไปสู่นอกสภา 

หากฝ่ายค้านมั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอ ก็สามารถนำมาแสดงและอภิปรายต่อที่ประชุมสภาได้ จากนั้นก็ยังสามารถยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อตามขั้นตอนได้อีกด้วย ตนอยากให้การอภิปรายนั้นเป็นไปด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ใช้เป็นเวทีสาดโคลนใส่กัน โดยรัฐบาลจะถือโอกาสนี้ชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนถึงนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่า เสียงข้างมากของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในสภารวมกับเสียงของสมาชิกวุฒิสภา ค้ำจุนการอยู่รอดของรัฐบาลและการดำรงอยู่ในตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีนั้น ขอชี้แจงว่า การกล่าวหาดังกล่าวถือเป็นการไม่ให้เกียรติสมาชิกวุฒิสภา และเพื่อนส.ส.ในซีกรัฐบาลเกินไปหรือไม่ เพราะสมาชิกวุฒิสภาย่อมมีดุลพินิจของตัวเอง ไม่มีใครไปบังคับหรือสั่งการใด ๆ ได้ 

ขณะที่ ส.ส.รัฐบาลนั้นก็เป็นตัวแทนของประชาชนเช่นเดียวกับ ส.ส.ฝ่ายค้าน ศักดิ์และสิทธิเท่าเทียมกัน แต่วันนี้สิ่งที่ค้ำจุนรัฐบาลอยู่ก็คือ ความเชื่อมั่นและความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ที่คิดนโยบายต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม วันนี้ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลทุ่มสรรพกำลังแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ เชื่อว่าเมื่อพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอย่างทุกวันนี้ เราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้โดยเร็วอย่างแน่นอน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” เปิดช่องทุจริตเชิงนโยบาย หวั่นงบภาษีเกือบหมื่นล้าน ใกล้หาเสียงผ่านโครงการต่างๆ

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เห็นชอบข้อเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก รวมเป็นทั้งสิ้น 35 จังหวัด จำนวนโครงการที่ผ่านการอนุมัติ 4,303 โครงการ รวมกรอบวงเงินจัดสรรที่ 9,757.86 ล้านบาท การจัดทำโครงการดังกล่าว รัฐบาลหวังว่าจะเกิดการจ้างงานอย่างน้อย 95,500 คน มีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 18 ล้านคน และโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก 

แต่จากการพิจารณาโครงการที่รัฐบาลนำเสนอนั้น ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ละเป็นการใช้งบประมาณอย่างมีนัยยะทางการใช้ งบประมาณ เพราะหลายโครงการไม่สมเหตุสมผลและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ  อาทิ โครงการพัฒนาสินค้า ท่องเที่ยวบริการ และการค้า เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการตลาด เมื่อสถานการณ์โควิดยังอยู่ในขั้นวิกฤตแล้วจะมีนักท่องเที่ยวที่ไหนมาเที่ยว การพัฒนาสินค้าจะไปขายให้กับใคร 

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า หลายจังหวัดได้งบประมาณไปเพื่อ การขุดบ่อบาดาลสำหรับการเกษตร การขยายท่อเพื่อการเกษตร ซึ่งในงบประมาณปี 2565 มีการจัดสรรให้กับแต่ละกระทรวงไปดำเนินการแล้ว การจัดงบประมาณลงไปจึงเป็นการจัดงบประมาณลงไปซ้ำซ้อนและอาจจะเกิดการทุจริตงบประมาณได้ ซึ่งงบประมาณที่ลงไปเป็นงบประมาณหาเสียงมากกว่าพัฒนาพื้นที่

“นอกจากนี้ โครงการที่รัฐบาลกำหนดขึ้นมานั้น น่าสนใจว่าทำไมต้องเร่งรีบใช้เงิน เพื่อประชาชนหรือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองมากกว่า หวั่นโครงการดังกล่าวเปิดช่องทุจริต เอื้อประโยชน์ใครหรือไม่และหาโอกาสใช้เงินภาษีหาเสียงทางการเมืองมากกว่าต้องการช่วยเหลือประชาชน”
นายสงคราม กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top