Wednesday, 2 July 2025
POLITICS NEWS

ศูนย์สิทธิผู้บริโภคฯร้อง "พรรคกล้า" ร่วมค้านสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ด้าน "อรรถวิชช์" ขอรัฐทบทวนให้ดี แนะ “มท.-คมนาคม”คุย ก.คลังตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน

ที่พรรคกล้า ตัวแทนศูนย์สิทธิผู้บริโภคจากเขตยานนาวา สาทร ลาดพร้าว ราชเทวี และหลักสี่ ได้เดินทางมายื่นหนังสือพรรคกล้า เพื่อขอให้สนับสนุนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคในการคัดค้านการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ไปอีก 30 ปี โดยมีนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า เป็นผู้รับมอบหนังสือ พร้อมกล่าวว่า พรรคกล้ายินดีร่วมต่อสู้บนแนวทางที่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยมองว่าถ้าเอาหนี้ไปแลกกับสัมปทาน เป็นการแก้ปัญหาของรัฐ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาให้ประชาชน เพราะจะทำให้เงื่อนไขการคิดค่าบริการแพงสูงกว่า 1 ใน 4 ของค่าครองชีพขั้นต่ำ อยู่กับเราไปอีกจนถึงปี 2602 ซึ่งเป็นการต่อขยายเวลานานเกินไป และค่าบริการประเทศอื่นไม่สูงขนาดนี้ จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนให้ดี เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายปีกว่าจะหมดสัญญาสัมปทานในปี 2572

“อะไรที่รัฐเป็นหนี้กับบีทีเอส ก็ต้องจ่าย แต่เรื่องหนี้ต้องแยกออกจากเรื่องสัมปทาน  คงไม่ใช่แค่เรื่องของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคม แต่จะต้องปรึกษากระทรวงการคลังถึงโอกาสที่จะตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มาร่วมระดมทุนระหว่างภาครัฐกับประชาชนเพื่อใช้หนี้แยกกับการต่อสัมปทาน มิฉะนั้น ถ้าให้สัมปทานเอกชนไปเรื่อยๆ แบบนี้ มันจะมีปัญหาทางไกล เพราะรัฐจะควบคุมราคาไม่ได้ เพราะเอกชนจะเป็นคนคิดต้นทุน และจะเสียโอกาสพัฒนาโครงข่ายขนส่งที่เชื่อมต่อกันทั้งระบบแบบไยแมงมุม” นายอรรถวิชช์

สศช. คาดจีดีพีไทยปีนี้โต 3.5 – 4.5%

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 4 ทั้งปี 2564 และแนวโน้มปี 2565 ว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 ขยายตัว 1.9% โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจปรับเพิ่มขึ้นเกือบทุกตัว ทั้งนี้การขยายตัวของเศรษฐกิจไตรมาสดังกล่าว เป็นผลมาจากตัวเลขการส่งออกที่ยังคงขยายตัวได้ในระดับสูง โดยเฉพาะปริมาณการส่งออกสินค้าขยายตัว 16.6% รวมถึงปริมาณส่งออกบริการขยายตัว 30.5% ยกเว้นการลงทุนรวมที่ยังติดลบอยู่ 0.2%

ดังนั้นจึงส่งผลให้ทั้งปี 2564 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ที่ 1.6% เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่เคยประเมินว่า จะขยายตัวได้ 1.2% เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าและบริการ และการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวเร่งขึ้น เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐกลับมาขยายตัว

'นายกรัฐมนตรี' พอใจเศรษฐกิจไทยปี 2564 เติบโต 1.6% สูงกว่าคาด ย้ำเดินหน้าฟื้นฟูประเทศในภาคท่องเที่ยว เร่งการลงทุนภาครัฐ ผลักดันการส่งออก ดูแลปัญหาหนี้สินครัวเรือน พร้อมจำกัดวงการแพร่ระบาดโควิด-19  

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาสที่4/64 และทั้งปี 2564 จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ว่าทั้งปี 2564 เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ 1.6% ซึ่งสูงกว่าที่ สศช. ได้ประมาณการไว้1.2%  

ทั้งนี้ การเติบโตในหลายส่วนก็เป็นผลจากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล เช่นการบริโภคของประชาชนที่ดีขึ้นจากที่รัฐบาลมีมาตรการเยียวยา แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย การบริโภคและลงทุนของรัฐที่เติบโตจากการเร่งรัดการเบิกจ่าย ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจากการทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวภายใต้มาตรการที่ปลอดภัย ควบคู่ไปกับการดูแลประชาชนทั้งด้านการป้องกันและรักษาจากโรคโควิด-19  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  นายกรัฐมนตรีพอใจกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยเผชิญกับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงเช่นเดียวกับทุกประเทศทั่วโลก  โดยรัฐบาลได้พยายามทุกวิถีทางอย่างเต็มที่ในการดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก  

สำหรับปี 2565 ที่สภาพัฒน์ได้ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลายด้านแต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่าในปี 2565 นี้รัฐบาลจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของโควิด-19 ควบคู่ไปกับการดูแลการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด   

โดยรัฐบาลจะรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวมาได้แล้วตั้งแต่ปลายปี 2564 ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายในครัวเรือน ที่จะมีการดูแลกลไกต่างๆ เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาสินค้าและค่าครองชีพของประชาชน แก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนให้ต่อเนื่อง  ฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว เร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐทั้งส่วนของรายจ่ายประจำและการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่การลงทุนเอกชนจะดำเนินนโยบายสนับสนุนทั้งการฟื้นตัวและลงทุนของนักลงทุนไทย และการดึงดูดลงทุนของต่างชาติ ตลอดจนการขับเคลื่อนการส่งออกที่ปีนี้จะยังคงได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศ 

‘หญิงหน่อย’ กระตุกรัฐ!! หลังเตียงเริ่มไม่พอ พร้อมจี้ทบทวนสูตรไขว้วัคซีนให้กลุ่มเด็ก

‘สุดารัตน์’ นำทัพคาราวานไทยสร้างไทยเยือนทุ่งครุ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. พร้อมเตือนรัฐบาลรับมือโควิดระบาดหนัก อ้าง!! ชาวบ้านร้องเตียงไม่พอ จี้ทบทวนสูตรไขว้วัคซีนให้เด็ก แนะหาวัคซีนคุณภาพ-สร้างจุดตรวจคัดกรองแยกผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาโดยเร็ว

21 ก.พ. 65 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วยนายสุธา ชันแสง ผู้บริหารพรรค นำทัพขบวนคาราวานสร้างไทย 77 จังหวัด พบปะประชาชนเขตทุ่งครุ พร้อมเปิดตัวนายฉัตรพล ขวัญบัว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตทุ่งครุ โดยมีประชาชนชาวทุ่งครุให้การตอบรับอย่างคึกคักตลอดเส้นทาง

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก ถึงสถานการณ์โควิดที่ได้กลับมาแพร่ระบาดอย่างหนักในช่วงนี้ว่าเตียงโรงพยาบาล เริ่มไม่เพียงพอต่อผู้ป่วยโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งมีความน่าเป็นห่วง และน่ากังวลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยอาการหนัก ที่โรงพยาบาลหลายแห่งในกทม. และจังหวัดใหญ่ๆ เตียงสำหรับผู้ป่วยโควิดอาการหนัก เริ่มไม่พอรองรับ จึงขอให้รัฐบาลอย่านิ่งนอนใจ และต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือ เพราะจากตัวเลขข้อมูลของ ศบค. มีผู้ติดเชื้อที่รับการรักษากว่า 166,000 คน แบ่งเป็นรับการรักษาที่โรงพยาบาลกว่า 77,000 คน และโรงพยาบาลสนามและอื่นๆ อีก 89,000 คน 

“โฆษกรัฐบาล” ยัน รัฐบาล ทุ่มเทแก้ค้ามนุษย์ ซัด ฝ่ายค้านอย่าทำประชาชนสับสน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายปัญหาคอร์รัปชันจากเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเชื่อมโยงกับขบวนการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะชาวโรฮีนจา ที่ถูกทรมานและโดนกระทำ ว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญกับปัญหาค้ามนุษย์ที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ตลอดจนภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นระหว่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผลกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความุ่งมั่นแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจังมาโดยตลอด

นายธนกร กล่าวว่า  กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีกำชับเน้นย้ำมาตลอด ให้ทุกส่วนราชการช่วยเหลือและคุ้มครองเหยื่อจากการค้ามนุษย์ โดยไม่เลือกปฏิบัติในทุกเชื้อชาติเป็นการเร่งด่วน  เพื่อร่วมคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้เหยื่อที่ได้รับการบังคับกดขี่ โดยเฉพาะการค้าประเวณี และการใช้ความรุนแรงที่ยังคงเหลืออยู่ ในส่วนของเจ้าหน้าที่ภาครัฐหากเข้าไปมีส่วนร่วมกับการค้ามนุษย์จะต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะมีตำแหน่งสูงแค่ไหนก็ตาม ห้ามละเว้นทุกกรณี

นายธนกร กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหากาค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาลว่ามึความตั้งใจแก้ไขปัญหามากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมา สอดคล้องกับผลสำรวจของซูเปอร์โพล (SUPER POLL)ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.0 ระบุ รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ให้ความสำคัญต่อด้านมนุษยธรรมและการคุ้มครองมากกว่าอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะการต่อต้านการค้ามนุษย์ ในขณะที่ร้อยละ 72.7 เห็นความสำคัญและตระหนักต่อเรื่องของมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน เสรีภาพและต้องการความคุ้มครองจากรัฐมากขึ้นในกลุ่มเด็ก เยาวชน และผู้หญิง ร้อยละ 75.1 เชื่อมั่นว่า ความตั้งใจจริงของรัฐบาล การใส่ใจจริงจังในหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวาง มีส่วนสำคัญในการป้องกันและแก้ปัญหาการค้ามนุษย์อย่างยั่งยืน 

“โฆษกรัฐบาล” เผย นายกฯ ย้ำ ปชช.รู้ทันเทคโนโลยี วอน อย่าหลงเชื่อข่าวโควิด-19 ปลอม   แนะตรวจสอบแหล่งข้อมูลทุกครั้งก่อนแชร์   

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ย้ำทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังการสร้างข่าวปลอม และบิดเบือนข้อมูลนโยบายรัฐบาล และข่าวสารทางราชการโดยเฉพาะในเรื่องโควิด-19  จากการติดตามตรวจสอบของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)ขณะนี้มีหลายข่าวที่มีการแชร์ข้อมูลจะมีการเชื่อมโยงกับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในความสนใจของประชาชนติดตามข่าวสาร เพื่อล่อลวงให้คนเข้ามาคลิกอ่าน เกิดความตื่นตระหนก หลงเชื่อ และแชร์ข่าวปลอมโดยรู้ไม่เท่าทัน

พร้อมกันนี้ก็ฝากย้ำเตือนไปยังประชาชนทุกคนใช้เทคโนโลยีและการรับข้อมูลข่าวต่าง ๆ อย่างรู้เท่าทัน อย่าลงเชื่อข้อมูลข่าวสารที่ได้รับโดยทันทัน แต่ขอให้มีการพิจารณา คิดวิเคราะห์ และตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ทุกครั้งก่อนเชื่อและเผยแพร่แชร์ข้อมูลออกไป

เพื่อช่วยกันป้องกันข้อมูลคลาดเคลื่อนที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดและนำไปสู่ความตื่นตระหนกและความวุ่นวายในสังคมได้ ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังกำชับผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัดรวมทั้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) บริหารจัดการสถานการณ์การแพร่รระบาดในพื้นที่ รวมทั้งเร่งนำผู้ป่วยโควิด-19 เข้าสู่ระบบการรักษาตามลำดับอาการ 

“นายกฯ” พอใจ บินซาอุฯ เที่ยวปฐมฤกษ์ สิ้นเดือน ก.พ.นี้ ขานรับต่อยอดการท่องเที่ยวไทย ตั้งเป้าปี 65 กวาดรายได้ 2 หมื่นล้านบาท 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยินดีที่การท่องเที่ยวระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม หลังสายการบิน Saudi Arabian Airlines ประกาศเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ บินตรงจากซาอุดีฯ-ไทย ในวันที่ 28 ก.พ.นี้ ทั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จของการประสานความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย ครั้งประวัติศาสตร์ ส่งผลให้เกิดความร่วมมือระหว่างสองประเทศ หลังจากนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนซาอุฯ

โดยตอกย้ำความสำเร็จซึ่งเป็นผลจากการดำเนินนโยบายอย่างรอบด้านของนายกรัฐมนตรี ที่สั่งการให้รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการให้คืบหน้า จัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือ และประสานงานอย่างใกล้ชิด เพื่อเดินหน้าความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีให้เป็นผลและเกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

นายธนกร กล่าวว่า ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขานรับร่วมมือผลักดันการทำงาน โดยในวันที่ 26-27 ก.พ.นี้ กระทรวงการต่างประเทศ จะนำคณะหอการค้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนไปซาอุดีฯ และทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้วางแผนนำผู้ประกอบการภาคเอกชนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเดินทางไปซาอุดีฯ ช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการท่องเที่ยวไทย ซึ่งคาดว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีอาระเบียมาไทยให้ได้ถึง 2 แสนคน สร้างรายได้ประมาณ 20,000 ล้านบาท ในปี 2565 นี้ 

นายธนกร กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ อยู่ระหว่างการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยกับกระทรวงท่องเที่ยวของซาอุดีอาระเบีย เพื่อส่งเสริมการทำตลาดท่องเที่ยวแบบ 2 ทาง พร้อมส่งเสริมให้ผู้แสวงบุญชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวได้หลังประกอบพิธีแสวงบุญ ทั้งพิธีฮัจญ์ และพิธีอุมเราะห์ รวมถึงการขยายเวลาพำนักในประเทศซาอุดีฯ ให้แก่คนไทยที่ได้วีซ่าแสวงบุญ ซึ่งขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการส่งร่าง MOU ไปให้ทางซาอุดีฯ พิจารณา 

“เทพไท”ยัน นโยบายประกันรายได้ของ ปชป.ตอบโจทย์ดีกว่าโครงการจำนำข้าว ชี้ เงินถึงมือเกษตรกร ไม่มีโกง รัฐไม่สูยเสียงบ หวังทุกรัฐบาลสานต่อ

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กว่า ราคาสินค้าเกษตรที่รัฐบาลชุดนี้ ได้นำนโยบายประกันรายได้เกษตรของพรรคประชาธิปัตย์ไปใช้ มีการประกันราคาผลผลิตพืชเกษตร 5 ชนิด คือข้าว,ข้าวโพด,มันสำปะหลัง,ยางพารา,ปาล์มน้ำมัน ซึ่งราคาผลผลิตสินค้าเหล่านี้ ราคาท้องตลาด สูงกว่าราคาประกันของรัฐบาลทุกตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราคายางพารา ที่รัฐบาลประกันรายได้น้ำยางสด ที่กิโลกรัมละ 57 บาท แต่ราคาท้องตลาดกิโลกรัมละ 65 บาท ปาล์มน้ำมันรัฐบาลประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 4 บาท ราคาท้องตลาด กิโลกรัมละ 11-12 บาท

ส่วนข้าวโพดรัฐบาลประกันรายได้ กิโลกรัมละ 8.50 บาท ราคาท้องตลาด กิโลกรัมละ 9.72-10.00 บาท นับว่าเป็นความสำเร็จของโครงการประกันรายได้เกษตรกร ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยได้พิสูจน์ความสำเร็จมาแล้ว ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2553 ที่ได้ใช้นโยบายประกันรายได้เกษตรกรเป็นครั้งแรก และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก 

นายเทพไท กล่าวว่า เมื่อราคาพืชผลผลิตการเกษตร สูงกว่าราคาประกันทุกตัว รัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินส่วนต่างเลย และที่ต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ ก็คือราคายางพารา กิโลกรัมละ 180 - 200 บาท ส่วนราคาปาล์มนำ้มันกิโลกรัมละ 10 บาท เป็นการยืนยันและเป็นคำตอบที่ดีที่สุดว่า นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ดีกว่านโยบายโครงการรับจำนำผลผลิตเกษตรกร ที่ทำให้สูญเสียงบประมาณเป็นจำนวนมาก เช่นโครงการรับจำนำข้าว ที่รัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณในการใช้หนี้ เป็นจำนวนมากถึง 7 แสนล้านบาท และมีการทุจริตคอร์รัปชั่นกันทุกระดับ 

'ราเมศ' เผย ยื่นแก้ 'กฎหมายราชทัณฑ์' แล้ว ทุจริตลดโทษยากขึ้น

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีการยื่นแก้ไขกฎหมายราชทัณฑ์ต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า

ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช และคณะได้มีการยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ ต่อสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในกระบวนการของสภาคาดว่าจะได้บรรจุในระเบียบวาระการประชุมต่อไป

นายราเมศกล่าวต่อว่าพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ต้องยอมรับว่ามีบทหลายประเด็นที่ไม่สอดคล้องกับหลักการทางอาญาไม่เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล ประกอบกับก่อให้เกิดปัญหาและสังคมตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการภายในของกรมราชทัณฑ์ อาทิ รูปแบบและโครงสร้างของคณะกรรมการราชทัณฑ์ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาลดวันต้องโทษจำคุก การพักการลงโทษของผู้ต้องขัง การแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อกำหนดให้มีกระบวนการที่รัดกุมและมีความโปร่งใส โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการที่มีความอิสระโปร่งใสและมีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริงเป็นผู้พิจารณาขั้นต้นเกี่ยวกับการลดวันต้องโทษจำคุก การพักการลงโทษของผู้ต้องขัง

นายราเมศกล่าวต่อว่าร่างฉบับนี้จะให้ศาลที่คดีถึงที่สุดเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยและมีคำสั่งในการลดวันต้องโทษจำคุก การพักการลงโทษของผู้ต้องขังในแต่ละคราวไป และกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขขึ้นใหม่ในการพิจารณาการลดวันต้องโทษจำคุก การพักการลงโทษของผู้ต้องขัง โดยเฉพาะคดีทุจริต คดีอาญา คดียาเสพติดที่ร้ายแรง และคดีอื่น ๆ ที่เป็นภัยต่อสังคมอย่างร้ายแรง เพื่อกำหนดมาตรการและเพิ่มระยะเวลาปลอดภัยให้แก่สังคม ทั้งเป็นไปตามหลักการในทางสากล
มีความชัดเจนในตัวร่างของพรรคได้กำหนดให้อำนาจตุลาการคือศาล ซึ่งเป็นผู้พิจารณากำหนดโทษได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในกระบวนการลดโทษเพื่อให้เกิดความละเอียดรอบคอบมากขึ้น

“จุรินทร์”ยันเสถียรภาพรัฐบาลยังไปต่อได้ ปัดตอบ “เสี่ยหนู”จ่อนั่งนายกฯ ถ้าเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง แนะวิปรัฐบาลเช็คเสียงส.ส.ให้ชัด 

ที่โรงแรมขอนแก่นโฮเต็ล จ.ขอนแก่น  นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายมองว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งต่อไป อาจเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อาจเป็นตัวแปรในการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลและได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ว่า  ตนไม่ขอวิจารณ์พรรคไหนทั้งสิ้น  แต่ยังคิดว่าจนถึงวันนี้เสถียรภาพในภาพรวมของรัฐบาลยังเดินหน้าต่อไปได้  อย่างไรก็ตาม มีสิ่งสำคัญ คือคณะกรรมการประสานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) จะต้องเร่งประเมินว่าเสียงส.ส.ที่มีความชัดเจน มั่นคงแน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลนั้นมีจำนวนเท่าไหร่ แล้วกำกับให้เป็นไปได้ตามนั้นในการลงมติในสภาผู้แทนราษฎร  

ซึ่งถ้าทำอย่างนี้ได้ ก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลในระบบรัฐสภาที่อยู่ได้ด้วยเสียงข้างมากในสภาฯ  และที่สำคัญ ต้องสร้างผลงานการทำหน้าที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะประชาชนอยากเห็นรัฐบาลที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีนโยบายที่ตอบสนองความต้องการได้ และมีวิสัยทัศน์ที่จะนำประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

เมื่อถามว่าในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ยังมั่นใจอยู่หรือไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระ  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตนไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบอย่างนั้นได้ เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยเงื่อนไขหลายอย่าง ซึ่งหัวหน้ารัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล เสียงในสภา ผลงานและการยอมรับของประชาชน หรือเสียงตอบรับจากประชาชน จะเป็นองค์ประกอบรวมกันด้วย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top