Saturday, 14 September 2024
POLITICS NEWS

ครม.เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ 5.55 พันล้าน เสริมสภาพคล่องให้ ขสมก. และ รฟท. จัดบริการแก่ประชาชนต่อเนื่อง

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ว่า ครม.เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2565 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 2,279 ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 3,278 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 5,557 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

โดยเป็นวงเงินอุดหนุนจ่ายชดเชยผลขาดทุนให้กับ ขสมก. และ รฟท. ในรูปของเงินงบประมาณตามจำนวนส่วนต่างของประมาณการรายได้และต้นทุนการให้บริการสาธารณะ เพื่อให้สามารถจัดบริการสาธารณะที่มีคุณภาพกับประชาชนอย่างต่อเนื่องและลดปัญหาสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินภารกิจ ซึ่งภาระงบประมาณที่รัฐต้องชดเชยดังกล่าว ยังคงไม่เกินร้อยละ 30 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด

‘สมศักดิ์’ โต้!! คนปล่อยข่าว ‘สามมิตร’ ซบ ‘เพื่อไทย’ แค่ว่างงาน ยัน!! โค้งสุดท้ายรัฐบาล ค่อยพูดการเมือง 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และแกนนำกลุ่มสามมิตร ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีที่มีข่าวว่ากลุ่มสามมิตร จะไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย (พท.) ว่า วันนี้รัฐบาลยังมีเวลามากกว่า 1 ปี 6 เดือน การจะไปพูดคุยเรื่องการเลือกตั้ง หรือการย้ายพรรค คงไม่เป็นธรรมชาติ แม้อาจจะมีคนที่อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามองในภาพรวม ประเทศไทยและรัฐบาลกำลังออกจากอุโมงค์แห่งความมืด เริ่มเห็นแสงที่เป็นความสุข สดชื่นของประเทศ ทั้งเรื่องโควิด-19 และน้ำท่วม สิ่งเหล่านี้กำลังเริ่มคลี่คลายและรัฐบาลก็กำลังทำงาน 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขณะที่ส่วนหนึ่ง พยายามปล่อยข่าว ซึ่งสื่อมวลชนและตน ก็รู้ว่าสื่อที่ปล่อยข่าวฉบับแรกเป็นใคร แต่อยากบอกว่าเรื่องการเมือง ยังไม่ควรเอามาพูดกันในเวลานี้ ควรให้ถึงเวลาที่เหมาะสม ให้ประเทศได้เห็นแสงสว่างเรื่องเศรษฐกิจ และเรื่องอื่นที่กำลังจะพัฒนาก่อน การนำเรื่องของการเลือกตั้งหรือการโยกย้ายต่าง ๆ มาพูดตอนนี้ไม่เป็นผลดีกับประเทศในภาพรวม ตนอยากให้ลืมเรื่องการเลือกตั้ง และการย้ายพรรคไปก่อนที่จะถึงเวลาอันควร อย่างน้อยให้เกินไป 1 ปี เหลือเวลา 5-6 เดือน ค่อยมาพูดกันเรื่องนี้ก็เป็นไปได้ แต่วันนี้ไม่สมควร

‘แรมโบ้’ ฟาดแรง ‘ชัยเกษม’ มีสมองหรือไม่? เป็นถึงอดีตผู้รักษากม. แต่หนุน ‘แอมเนสตี้’ 

‘แรมโบ้’ ฟาดแรง ‘ชัยเกษม’ มีสมองหรือไม่เป็นถึงอดีตผู้รักษากฎหมาย แต่สนับสนุนแอมเนสตี้ ทั้งที่รู้เป็นองค์กรมีพฤติกรรมทำลายประเทศ เข้าข้างคนทำผิดกฎหมายแล้วอ้างสิทธิมนุษยชน 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายชัยเกษม นิติสิริ แกนนำพรรคเพื่อไทยแสดงจุดยืนพรรคไม่สนับสนุนที่จะให้ยุบ หรือ ขับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกจากประเทศไทย และพาดพิงตนเองบอกว่าคนไล่ไม่รู้เอาสมองส่วนไหนคิด โดยระบุว่านายชัยเกษมเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตอัยการสูงสุด อดีตอัยการอาวุโส แต่กลับมองว่าองค์กรที่สนับสนุนกลุ่มที่ทำความผิดกฎหมายเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

ขณะเดียวกันนายชัยเกษมไม่ควรมองแค่เรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ควรมองถึงเรื่องการกระทำผิดกฎหมายด้วย ซึ่งแอมเนสตี้ออกมาปกป้องคนที่ทำผิดกฎหมาย ที่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน จาบจ้วงก้าวล่วงสถาบัน จึงเป็นธรรมดาที่คนส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยแล้วออกมาขับไล่ 

'กรมบัญชีกลาง' เผยผลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ปี 64  ประหยัดงบประมาณได้กว่า 7.8 หมื่นล้านบาท 

นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับ ดูแล และพัฒนาระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และประกาศเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างในระบบสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง ทำให้ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียม และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

อีกทั้งยังช่วยประหยัดเงินงบประมาณจากโครงการต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) หน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและก่อหนี้แล้วจำนวนทั้งสิ้น 5,247,846 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 98.34 ของจ านวนโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด โดยมีมูลค่าที่จัดหาได้ 1,333,622.22 ล้านบาท สามารถประหยัดงบประมาณได้ 78,667.29 ล้านบาท หรือประหยัดได้ร้อยละ 5.57  ของวงเงินงบประมาณในการจัดหาสำหรับวิธีการจัดซื้อจัดจ้างที่สามารถประหยัดงบประมาณได้มากที่สุดในปีงบประมาณ พ.ศ.2564  

ได้แก่การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-market) ซึ่งในปีนี้ประหยัดงบประมาณได้ร้อยละ 15.14  ของวงเงินงบประมาณในการจัดหา แต่การจัดซื้อจัดจ้างที่มีมูลค่ามากที่สุด ได้แก่การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีประกวดราคา อิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ซึ่งมีมูลค่าถึง 919,989.69 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 55.66 ของมูลค่างบประมาณ ในการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด รองลงมาคือวิธีเฉพาะเจาะจง และวิธีคัดเลือกตามลำดับ และเมื่อจำแนกปริมาณ การจัดซื้อจัดจ้างตามวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง พบว่าหน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงมากที่สุด เป็นจำนวน 5,200,064 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 97.45 ของจ านวนโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด  

'พิมรี่พาย'​ คำอธิบายของความเท่าเทียม เริ่มต้นจากศูนย์เหมือนคนไทยหลายคน

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก “เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค” ระบุว่า... 

"พิมรี่พาย คือคำอธิบายเรื่องความเท่าเทียม"

ความเท่าเทียมไม่ได้หมายถึง ประเทศนี้ไม่มีคนจน มีแต่คนรวย 

ความเท่าเทียมไม่ได้หมายถึง ทุกคนมีปริญญา เป็นผู้จัดการ เป็นเจ้าของกิจการเหมือนกันทั้งประเทศ

ความเท่าเทียมไม่ได้หมายถึง ทุกคนต้องมีรายได้เท่ากัน รวยเท่ากัน เรียนโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยดังเดียวกัน ทำงานบริษัทใหญ่เหมือนกัน

“แต่ความเท่าเทียมหมายถึง ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน”

มีโอกาสเท่าเทียมกัน ในการ...

เลือกที่เรียน เลือกอาชีพ เลือกเส้นทางชีวิต เลือกผู้แทนราษฎร 

แต่...ใครจะได้เข้าเรียนโรงเรียนเด่น​ มหาวิทยาลัยดัง หรือทำงานในบริษัทใหญ่ มีอาชีพที่มั่งคงหรือสูงส่ง มีเส้นทางชีวิตที่เลิศเลอ นั้นขึ้นอยู่กับตัวของตัวเอง

เพราะทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ในโอกาสที่จะได้ทำในสิ่งที่วาดหวังเท่าเทียมกัน ส่วนใครจะคว้าได้มากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง รวมทั้งขึ้นอยู่กับตัวเอง ขึ้นอยู่กับ...ความสามารถ ความพยายาม ความมุ่งมั่นตั้งใจและเป้าหมายของชีวิต

นอกจากนี้ ความเท่าเทียมกันในทางการเมืองคือ การมีสิทธิ์ในการเลือกตั้งเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมีความรู้ระดับปริญญาเอกหรือ ม.6

>> พิมรี่พาย คือ​ คำอธิบายเรื่องความเท่าเทียม!! 

พิมรี่พาย ไม่ได้เกิดมาจากครอบครัวมหาเศรษฐี แถมเคยปากกัดตีนทีบมาก่อนเหมือนคนส่วนใหญ่ของประเทศและของโลก

พิมรี่พาย เคยวิ่งหาที่ขายของเหมือนแม่ค้าคนอื่น ๆ เคยขาดทุน เคยถูกโกง เคยหมดตัวเหมือนทุกคน

พิมรี่พาย มีโอกาสรวยหรือจนเหมือนเราทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

แต่ในที่สุด พิมรี่พายก็ประสบความสำเร็จในการขาย จนโด่งดังเป็นมหาเศรษฐีในเวลาเพียงไม่กี่ปี

โดยที่ พิมรี่พาย ไม่ได้มีอะไรที่ไม่เท่าเทียมกับคนอื่นเลย

จับตาครม. เคาะโครงการประกันรายได้พืชเกษตรแสนล้าน

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  มีวาระที่เกี่ยวข้องกับทางด้านเศรษฐกิจเสนอให้กับที่ประชุมพิจารณา โดยเฉพาะโครงการประกันรายได้เกษตรพืชเกษตรตามนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ เสนอโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว เพิ่มเติม หลังจากได้เสนอครม.ขออนุมัติการจ่ายเงินแล้วในงวดแรก รวมทั้งยังเสนอโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิต เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/2565 ขณะที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่ 3 คิดเป็นวงเงินรวมกว่า 1.4 แสนล้านบาท 

ทั้งนี้ภายหลังจากผ่านการเห็นชอบแล้ว ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเร่งจ่ายเงินลงไปยังบัญชีเกษตรกรทันที เพราะที่ผ่านมาการดำเนินโครงการนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ  เห็นชอบให้ขยายเพดานก่อหนี้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 28 จาก 30% เป็น 35% ชั่วคราว 1 ปี ทำให้รัฐบาลมีวงเงินกู้เพิ่มขึ้น 1.55  แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้กับโครงการได้ต่อเนื่อง


 

'สาธิต' เผย สธ. ชง ครม. แก้มติศบค. กลับไปใช้วิธีตรวจแบบ RT-PCR นทท.เข้าประเทศ ป้องโอไมครอน ชี้ ไฟเขียว ขยายเยียวยา อสม. อีก 6 เดือน 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เนื่องจากปัญหาการระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน ในการประชุมครม. วันเดียวกันนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะนำเสนอให้ที่ประชุมครม. ทบทวนมติศบค. เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด- 19 จาก RT-PCR เหลือเพียงการตรวจแบบ ATK ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 16 ธันวาคม โดยกระทรวงสาธารณสุขจะขอให้กลับไปใช้วิธีแบบ RT-PCR เหมือนเดิม โดยเป็นการใช้มติครม. แก้ไขมติศบค. เพื่อให้มีคัดกรองอย่างเข้มข้น สำหรับผู้ที่เดินทางมาจาก 63 ประเทศ และจะไม่มีการพิจารณาให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มนอกจาก 63 ประเทศนี้ 

นายสาธิต กล่าวว่า ส่วนการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยในปัจจุบันเรายังไม่พบโอไมครอน ยังคงใช้การตรวจแบบ ATK เช่นเดิม แต่กรณีที่เดินทางมาจากต่างประเทศ จำเป็นต้องตรวจแบบ RT-PCR  ซึ่งหากพบว่าเป็นบวก ก็จะต้องไปตรวจว่าเป็นโอไมครอน หรือไม่ ส่วนนักท่องเที่ยวที่การเข้าประเทศแบบวิธี Test&Go ยังยึดวิธีแบบเดิม ที่จะต้องรอผลตรวจ RT-PCR ให้เป็นลบก่อน 

 

‘ก้าวไกล’ ยินดี ‘คณะก้าวหน้า’ ชนะใจชาวบ้าน หลังคว้าชัยเลือกตั้ง อบต. 38 แห่ง ทั่วประเทศ

ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความยินดีต่อชัยชนะของคณะก้าวหน้า หลังมีการประกาศผลการเลือกตั้ง อบต.ทั่วประเทศ โดยคณะก้าวหน้าคว้าชัยชนะทั้งหมด 38 แห่งทั่วประเทศ 

ชัยธวัช ระบุว่า นี่คือปรากฏการณ์ความตื่นตัวของการเมืองท้องถิ่น ที่พี่น้องประชาชนต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่นตนเอง ซึ่งการเมืองระดับท้องถิ่นเป็นการเมืองที่ตัวแทนของพี่น้องประชาชนสามารถใช้ความรู้ ความสามารถและงบประมาณในการพัฒนาได้อย่างเต็มที่

‘ก้าวไกล’ ชวนจับตากม. ล้างมรดกบาปคสช. หลังฉบับประชาชน บรรจุเข้าสภา 1 ธ.ค. นี้

‘ก้าวไกล’ ชวนติดตาม ร่างกฎหมาย ‘ล้างมรดก คสช.’ ฉบับประชาชน เข้าสภา ‘โรม’ จี้ ‘ประธานสภา’ อย่าดอง ร่างฯ อนค. ให้บรรจุเข้าพิจารณาพร้อมกันด้วย ยืนยันพรรคก้าวไกลพร้อมโหวตรับหลักการการล้างมรดกบาป คสช.

รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า สัปดาห์นี้ถือเป็นอีกหมุดหมายสำคัญในการล้างมรดก คสช. เนื่องจากทางไอลอว์ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาชนที่ต้องการ ‘รื้อมรดกคสช.’ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่า ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย พ.ศ. ....ที่ เข้าชื่อเสนอโดยประชาชน 13,409 คน ให้ยกเลิกประกาศและคำสั่งของ คสช. รวม 35 ฉบับ ได้ถึงคิวการพิจารณาและจะบรรจุในวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2564 นี้ 

โดย รังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า ตนและพรรคก้าวไกลขอสนับสนุนร่างกฎหมายของประชาชนและการอภิปรายที่กำลังจะมีขึ้นในครั้งนี้อย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้อยากเชิญชวนให้สื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนติดตามการอภิปราย เพื่อช่วยกันส่งเสียงไปให้ถึง ส.ส. ในสภาทุกคน ให้มาร่วมกับประชาชนในการปลดอาวุธ คสช. ที่ยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนี้ คสช. จะหมดสถานะไปแล้วในทางกายภาพ แต่ในความเป็นจริงยังมีวิญญาณร้ายสิงอยู่ผ่านประกาศคำสั่งทั้งหลายที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 ทำให้มีผลบังคับใช้ตลอดไปจนกว่าจะถูกยกเลิก ซึ่งช่องทางการยกเลิกในระบบประชาธิปไตยก็คือ การเสนอให้รัฐสภาออกพระราชบัญญัติมายกเลิก

“หากมรดกบาปเหล่านี้ยังอยู่ ประเทศไทยจะไม่อาจกลับคืนสู่สภาวะปกติ เป็นประชาธิปไตยที่ยืนอยู่บนหลักนิติรัฐได้เลย ด้วยเหตุนี้ อดีตพรรคอนาคตใหม่จึงประกาศนโยบายเรื่องจัดการ ‘มรดกบาปคสช.’ ไว้เป็นหนึ่งในนโยบายการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 62 และได้ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวผ่านกลไกของสภาผู้แทนราษฎร มีการร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคำสั่งของหัวหน้า คสช. และได้เสนอเข้าสู่สภา โดยอาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย. 62 เนื้อหาหลักใหญ่ใจความคือ ยกเลิกประกาศคำสั่งหัวหน้า คสช. ทั้งสิ้น 17 ฉบับ เนื่องจากหลายฉบับมีเนื้อหาที่กระทบสิทธิมนุษยชน ขัดหลักการความยุติธรรม ขาดหลักนิติรัฐนิติธรรม และเป็นประกาศที่ออกมาช่วง คสช. ครองอำนาจ ที่ขาดการมีส่วนร่วมประชาชน”

'3 นิ้ว' ปลุกม็อบบุกสภา!! นัดกดดัน ไฟเขียวกฎหมาย 'รื้อมรดก คสช.' 

เพจ ‘ทะลุฟ้า’ ได้แชร์เฟซบุ๊ก ‘iLaw’ ที่เชิญชวนแนวร่วมให้ร่วมงาน ‘รวมพลังประชาชน-รื้อมรดกคสช.’ ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 16.00 - 18.30 น. ณ สนามรัฐสภา (แยกเกียกกาย)

โดยระบุว่า เนื่องจากในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2564 สภาเตรียมพิจารณาร่าง ‘ปลดอาวุธ คสช.’ เพื่อพิจารณายกเลิกประกาศและคำสั่ง ที่ตกค้างเป็นมรดกมาจากยุค คสช. ให้อำนาจแก่รัฐบาลทหารโดยไร้การตรวจสอบ เช่น อำนาจทหารขังคนได้ 7 วัน, การยกเว้นผังเมืองให้อีอีซี เป็นความพยายามล้างผลพวงรัฐประหารครั้งแรก และเป็นการพิจารณาร่างกฎหมายที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอ

ทั้งนี้ เมื่อ 25 พ.ย. 64 iLaw ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่า ร่าง พ.ร.บ. ที่เคยเข้าชื่อเสนอโดยประชาชน 13,409 คน เพื่อเสนอให้ยกเลิกประกาศและคำสั่งของ คสช. รวม 35 ฉบับ ที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ถึงคิวการพิจารณาและจะได้รับการบรรจุในวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2564 จึงขอให้ผู้เสนอกฎหมายเตรียมตัวเพื่อไปนำเสนอในวันดังกล่าวด้วย

ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ มีชื่อเต็มว่า ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย พ.ศ. …. หรือเรียกเป็นชื่อเล่นว่า ร่าง #ปลดอาวุธคสช ที่เสนอให้ยกเลิกประกาศและคำสั่ง ซึ่งออกมาโดยการอ้างอำนาจการเป็นรัฏฐาธิปัตย์เมื่อเข้าทำรัฐประหาร และอำนาจพิเศษจาก “มาตรา 44” ซึ่งต่อมาแม้ คสช. จะหมดสถานะไปแล้วแต่ประกาศคำสั่งทั้งหลายยังได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 ให้มีผลบังคับใช้ตลอดไปจนกว่าจะถูกยกเลิก และช่องทางการยกเลิกในระบบประชาธิปไตยก็คือ การเสนอให้รัฐสภาออกพระราชบัญญัติมายกเลิก

ตัวอย่างของประกาศและคำสั่งที่เสนอให้ยกเลิก เช่น คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558, 5/2558 และ 13/2559 ที่ให้อำนาจทหารเอาคนไปกักขังเป็นเวลาเจ็ดวัน, ประกาศ คสช. ฉบับที่ 26/2557 ให้ตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษเพื่อสั่งปิดกั้นเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องขอหมายศาล, คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 47/2560 ที่ให้ยกเว้นการใช้ผังเมืองในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี), ประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557 ที่ให้ควบคุมเนื้อหาในสื่อมวลชน, ประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 ที่ให้เอาพลเรือนขึ้นศาลทหาร, ประกาศ คสช. ฉบับที่ 40/2557 ที่ให้การไม่มารายงานตัวกับ คสช. เป็นความผิด ฯลฯ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top