Friday, 29 March 2024
POLITICS NEWS

ครม. ให้ กำหนดมาตรฐาน ถุงมือยางตรวจโรค แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หลังพบ มีมิจฉาชีพ รีไซเคิลขาย 

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานต่างๆ และประชาชนทั่วไป 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด -19)  ทำให้เกิดความต้องการใช้ถุงมือยางจำนวนมาก จึงทำให้กลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของผู้ผลิตถุงมือยางแบรนด์ต่างๆ โดยหลอกให้ผู้ซื้อโอนเงินค่าสินค้า หรือหลอกขายถุงมือยางเก่าที่ใช้งานแล้ว ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อ จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว หรือที่เรียกว่า ถุงมือยางตรวจโรค ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.1056 เล่ม 1-2556 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ผู้ทำและผู้นำเข้าจะต้องขอรับใบอนุญาตทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 20 หรือมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และผู้จำหน่ายต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เป็นของผู้ได้รับอนุญาต และมีการแสดงเครื่องหมายมาตรฐานที่ถูกต้องครบถ้วน 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ประโยชน์ที่ประชาชนและสังคมได้รับจะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานต่างๆ และประชาชนทั่วไปได้ใช้ถุงมือยางตรวจโรคที่มีคุณภาพ ป้องกันการนำเข้าถุงมือยางตรวจโรคที่ไม่มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือยางตรวจโรค มีการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อีกด้วย

“ครม.” เทงบ 9 พันล้านบาท ซื้อวัคซีน เพิ่มเติม 20 ล้านโดส คาดส่งมอบภายในปี 64 พร้อมรับทราบให้คร.ลงนามซื้อไฟเซอร์เพิ่มอีก 10 ล้านโดส รวมยอด30 ล้านโดส  

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ สำหรับประชาชนคนไทยเพิ่มเติมอีก 20,001,150 โดส เป็นส่วนที่เคยลงนามไปแล้ว โดยวงเงินอนุมัติจะต้องนำไปชำระ จำนวน 9,372 ล้านบาท แบ่งเป็นการจัดหาวัคซีนประมาณ 8,439 ล้านบาท และเป็นค่าบริการจัดการประมาณ 933 ล้านบาท คาดว่าจะส่งมอบภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ช่วงประมาณปลายเดือนก.ย.-ต้นเดือนต.ค.นี้ 

นายอนุชา กล่าวว่า นโยบายรัฐบาล จะจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชน 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 สำหรับสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค จึงให้มีจัดหาวัคซีนที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันให้สามารถครอบคลุมการกลายพันธุ์ของไวรัส โควิด-19 ที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่คนไทยได้อย่างแท้จริง ลดอัตราการป่วยการเสียชีวิต และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรค COVID-19 รวมทั้งลดผลกระทบพื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว

นอกจากนี้นายอนุชา ได้แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม. ได้รับทราบการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดส โดยมอบหมายให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ที่ลงนามกับตัวแทนบริษัทไฟเซอร์ซึ่งจะทำให้มีวัคซีนชนิด mRNA ยี่ห้อไฟเซอร์ 30 ล้านโดส ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 โดยการทำข้อตกลงเพื่อจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ จะทำให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 กระจายให้ประชาชนเกือบครบทุกชนิด ทั้งmRNA ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ชนิดเชื้อตาย ของซิโนแวคและซิโนฟาร์ม ชนิดไวรัลเวกเตอร์ ของแอสตราเซนเนก้า

นายอนุชา กล่าวว่า นายกฯ ขอบคุณทุกหน่วยงานที่สนับสนุนให้สามารถจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ 30 ล้านโดส รวมถึงวัคซีนเทคโนโลยีต่างๆมาฉีดให้แก่ประชาชน และขอให้มีการบริหารจัดการกระจายวัคซีนให้ดีด้วยแผนที่ชัดเจน รวมถึงการให้ข้อมูลการจัดสรรแก่ประชาชนต่อไป

"บิ๊กตู่"ห่วงการเมืองทั้งใน-นอกสภาฯ “หวั่น” เหตุการณ์บานปลายเหมือนม็อบในอดีต วอนประชาชนเลี่ยงชุมนุม “ขู่” พวกที่เคยมีคดีต้องพิจารณาให้รอบคอบ พร้อมยันไม่หวั่นศึกซักฟอก กำชับ ครม.ทำการบ้าน “โว” ถือเป็นโอกาสดีใช้เป็นเวทีขี้แจงต่อประชาขน และสมาชิกในสภา

ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี( ครม.) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบคำถามสื่อมวลชน โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการชุมนุมทางการเมืองที่มักจะมีความวุ่นวายหลังการชุมนุมหลักยุติ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้นโยบายอย่างต่อเนื่องว่าให้เจ้าหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยโดยให้ยึดกฎหมายที่มีอยู่ดำเนินการอย่างระมัดระวัง รวมทั้งการสลายการชุมนุมก็ขอให้ยึดหลักสากลเป็นหลัก 

นายอนุชา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ให้มีการระงับเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะจากผู้ชุมนุม อีกทั้งขณะนี้ไม่ใช่มีเพียงผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป ทั้งในส่วนของการจราจรและการทำลายทรัพย์สินของราชการอย่างที่ปรากฏในข่าวอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งการทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยวิธีการต่างๆ และย้ำว่าทุกอย่างต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่กระทำความผิด โดยเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นในการดำเนินการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยกับบ้านเมืองโดยเร็ว

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงสถานการณ์ทางการเมือง ทั้งใน และ นอกสภาฯอย่างไร นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ และเป็นช่วงสำคัญที่กำลังให้ประชาชนคนไทยทุกคนให้ความร่วมมือ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ขอบคุณคนไทยส่วนใหญ่ที่ให้ความร่วมมืออย่างดี ที่ไม่ไปรวมตัวกันในกิจกรรมต่างๆ และต้องขออภัยกับความเดือดร้อนในกรณีที่ต้องมีมาตรการในการปิดกิจกรรมและกิจการบางส่วน 

“ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีไม่ต้องการให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อยากให้กลับไปเหมือนในอดีตในช่วงที่มีการชุมนุม แล้วอาจจะมีเหตุการณ์บานปลายเกิดขึ้น ดังนั้นขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงในการออกมาชุมนุม เพราะหากออกมาในช่วงนี้ก็ต้องถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีตามกฎหมายและในหลายส่วนที่ต้องส่งฟ้อง หากส่งฟ้องแล้วมีการดำเนินการผิดเงื่อนไขของการที่ศาลให้ประกันตัวก็ต้องโดนคุมขัง ดังนั้น จึงขอให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดีแล้วพิจารณาในส่วนนี้ด้วย” นายอนุชากล่าว

นอกจากนี้ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงตอบคำถามต่อสื่อมวลชน ถึงความพร้อมในการรับมือศึกซักฟอกที่จะมีขึ้นว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวเสมอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่อยู่ในรายชื่อที่จะถูกอภิปรายได้เตรียมความพร้อม และนายกรัฐมนตรีระบุว่าถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบในมุมต่างๆ ในการทำงานของรัฐบาลว่า สิ่งที่ผ่านมาอาจเกิดความเข้าใจผิดจากการไม่ได้ชี้แจงให้ครบถ้วน ดังนั้นจังหวะที่จะใช้เวทีของสภาผู้แทนราษฎรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะสื่อสารให้ประชาชน โดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับทราบถึงการทำงานที่ผ่านมาด้วย

ครม. เห็นชอบ ตั้ง ปลัดกระทรวงแรงงาน - อธิบดีกรมป่าไม้ คนใหม่ - อนุชา สะสมทรัพย์ นั่ง ผู้ช่วยรมต. ของรมว.ทส.

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ได้แก่ 

1. นางอุรุญากร จันทร์แสง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกีฏวิทยา (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) กลุ่มกีฏวิทยาทางการแพทย์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (จุลชีววิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 

2. นางนวลจันทร์ วิจักษณ์จินดา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านภูมิคุ้มกันวิทยา (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) กลุ่มภูมิคุ้มกันวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ภูมิคุ้มกันวิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  
  
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

ครม.อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายชัยยา เจิมจุติธรรม วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ กรมโยธาธิการและผังเมือง ให้ดำรงตำแหน่ง วิศวกรใหญ่ (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

ครม.อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 7 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้   
1. นายเฉลิมชัย ปาปะทา ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำ แหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง    
2. นายจงคล้าย วรพงศธร ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำ แหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง     
3. นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมป่าไม้ 
4. นายพงศ์บุณย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี  
5. นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม  
6. นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง     
7. นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำ แหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง     

ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

ครม.อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอรับโอน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

ครม.อนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 1 คน คือ นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในด้านธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง การบริหารความเสี่ยง การวางแผนกลยุทธ์องค์กร และการบริหารทรัพยากรบุคคล ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป 

ครม.อนุมัติตามที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการสื่อสารมวลชน) ในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ แทนผู้ที่ลาออก และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป 

ครม.เห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายอนุชา สะสมทรัพย์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง 

ครม.เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงาน จำนวน 8 คน ได้แก่ นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงาน , นายประสงค์ พูนธเนศ ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง , นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม , นายปรเมธี วิมลศิริ ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ  เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ปัจจุบันคือตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) , นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นผู้ประกอบกิจการพลังงาน , นายประเสริฐ ตปนียางกูร  ผู้แทนสภาวิศวกร , นายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ผู้แทนของอธิการบดีของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ , นายวิจารย์ สิมาฉายา ผู้แทนองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไรในทางธุรกิจ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2564

ครม. ไฟเขียวซื้อ-จัดหาวัคซีน Pfizer รวม 30 ล้านโดส 

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 20,001,150 โดส (Pfizer) กรอบวงเงินจำนวน 9,372 ล้านบาท แบ่งเป็นการจัดหาวัคซีน 8,439 ล้านบาท และการบริหารจัดการ 933 ล้านบาท ช่วงระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือน ส.ค. – ธ.ค.นี้ เพื่อจัดหาวัคซีนโควิด-19 สำหรับสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน โดยกลุ่มเป้าหมายสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติม (Pfizer) จำนวน 20,001,150 โดส ของกรมควบคุมโรค ตามนโยบายรัฐบาลที่จะจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชน 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 สำหรับสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ประกอบกับ ขณะนี้มีผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่หลากหลาย รัฐบาลจึงเห็นควรให้มีจัดหาวัคซีนที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันให้สามารถครอบคลุมการกลายพันธุ์ของไวรัส โควิด-19 ที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่คนไทยได้อย่างแท้จริง ลดอัตราการป่วย/การเสียชีวิต และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโควิด รวมทั้งลดผลกระทบ/พื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว

นอกจากนี้ที่ประชุม ครม. ยังรับทราบการจัดสั่งซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดส พร้อมมอบให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามกับผู้แทนบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัดและไบออนเทค ทำให้การจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA  เพิ่มจำนวนเป็น 30 ล้านโดส ซึ่งจะเริ่มทยอยจัดส่งในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 นี้ 

ส่วนการทำข้อตกลงเพื่อจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ในครั้งนี้ จะทำให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 กระจายให้ประชาชนเกือบครบทุกชนิด ทั้งในส่วนของ mRNA ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ชนิดเชื้อตาย ของซิโนแวคและซิโนฟาร์ม ชนิดไวรัลเวกเตอร์ ของแอสตร้าเซนเนก้า โดยวัคซีนไฟเซอร์ ได้รับการขึ้นทะเบียนแบบมีเงื่อนไขจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2564 และเป็นวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนให้ใช้สำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปได้

“หมอเรวัต” ประณาม คฝ.ไม่ปฏิบัติตามหลักสากล อัด "ประยุทธ์” รู้เห็นเป็นใจยอมให้จนท.ทำร้ายปชช.

นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) โดยระบุข้อความว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค. กระสุนจริงนัดแรกเจาะคอผู้ร่วมชุมนุม บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงเป็นชายอายุ 20 ปี ถูกส่งถึงห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชวิถี เวลาประมาณ 21.00 น. อาการแรกรับ หมดสติ ไม่หายใจ ไม่มีชีพจร ต้องใส่ท่อหายใจ และปั๊มหัวใจประมาณ 6 นาทีสัญญาณชีพจึงกลับมา จากการทำซีที (CT) สมอง พบกระสุนปืน 1 นัดฝังอยู่ที่ก้านสมองและมีกระดูกต้นคอซี่ที่ 1และ 2 แตก ขณะนี้อาการโคม่ายังไม่รู้สึกตัว 

นพ.เรวัต ระบุต่อว่า ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้ปฏิบัติการด้วยความรุนแรงทั้ง ทั้งฉีดน้ำแรงดันสูง แก๊สน้ำตาและกระสุนยางจนมีผู้บาดเจ็บสาหัส ตาบอดแล้วหนึ่งราย บริเวณที่มีการปราบปรามอย่างรุนแรงคือสามเหลี่ยมดินแดงซึ่งใกล้บ้าน พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นพื้นที่ต้องห้ามถ้าผู้ชุมนุมเคลื่อนเข้าไปใกล้เมื่อไหร่ก็จะถูกปราบปรามอย่างโหดและในที่สุดก็จะต้องมีผู้บาดเจ็บล้มตาย

“จึงขอประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ปฏิบัติตามหลักสากลต่อผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ ผู้ที่ควรต้องรับผิดชอบและควรถูกประณามมากที่สุดคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่รู้เห็นเป็นใจยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำโหดร้ายทารุณต่อประชาชน เพื่อคุ้มครองป้องกันตัวเองทั้งที่ปลอดภัย อยู่ในบ้านพักภายในค่ายทหาร” นพ.เรวัต ระบุ 

ปธ.กมธ.การเมืองตั้งคณะทำงานแสวงหาความจริงเหตุยิงประชาชนที่ดินแดง จี้ ผบ.ตรเปิดพยานหลักฐาน อย่าอ้างปากเปล่า

ที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมจากประชาชน กล่าวว่า จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่มีความรุนแรงตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และเมื่อคืนมีเหตุการณ์ยิงประชาชนที่ออกมาชุมนุมโดยกระสุนจริง และมีพยานหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการยิงออกมาจากสถานีตำรวจนครบาลดินแดง กรณีดังกล่าวผู้กำกับ สน.ดินแดง และผู้บริหารระดับสูงของตำรวจ ต้องเอาพยานหลักฐานข้อเท็จจริงมาชี้แจง ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับไฟดับที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาพอเหมาะพอเจาะที่สน. ไม่ว่าจะเป็นการใช้พื้นที่ในความควบคุมดูแลของท่านเป็นฐานที่มั่นในการทำร้ายประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่มีภาพบุคคลใช้อาวุธปืนยิงออกมาจาก สน. เหล่านี้ว่ากันด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่พูดแต่เพียงว่า ไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยไม่มีหลักฐานอะไรเลย

“ในฐานะ ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการตั้ง นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล เป็นประธานคณะทำงานติดตามการชุมนุมเพื่อสังเกตุการณ์และรวบรวมเหตุความรุนแรง ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เตรียมพิจารณาเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะเหตุการณ์ความรุนแรงที่ สน.ดินแดง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเชิญ ผบ.ตร., ผบ.อคฝ., ผกก.สน.ดินแดง รวมถึงหัวหน้าหน่วยควบคุมฝูงชนที่ปฏิบัติหน้าที่ในคืนวันนั้นมาชี้แจง เพราะนี่เป็นเหตุการณ์ที่สังคมตั้งคำถามเป็นอย่างมากว่าสถาบันที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย จะเป็นฝ่ายละเมิดกฎหมายเองหรือไม่ เราซึ่งเป็นสมาชิกรัฐสภา เป็นตัวแทนจากประชาชน ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบความจริงเรื่องนี้ให้ปรากฏ” นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวอีกว่า พร้อมกันนี้ ในนามของประธานกมธ. จะเสนอให้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อสอบสวนแสวงหาความจริงเรื่องนี้ โดยเชิญนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงบุคลที่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมมาร่วมในการสืบสวนสอบสวนทำความจริงให้ปรากฏ 

“เพราะต้องยอมรับว่า เมื่อตำรวจตกเป็นจำเลยสังคมในกรณีนี้เสียเอง ก็อาจมีการสืบสวนสอบสวนที่ไม่เป็นกลางได้ ประชาชาชนอาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ เราในฐานะตัวแทนประชาชน มีหน้าที่ปกป้องสิทธิ์ประชาชนจึงต้องทำหน้าที่นี้ ตั้งคณะทำงาน และหาตัวผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและกระบวนการทางวินัย ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนต่อไป ตอนนี้เริ่มติดต่อนักวิชาการที่จะเข้ามาเป็นคณะทำงานแล้ว เมื่อได้คณะทำงานครบถ้วนก็พร้อมเริ่มทำงานแสวงหาความจริงเพื่อให้ประชาชนรับทราบโดยเร็วที่สุด” นายณัฐชา กล่าว

ทบ.-สหรัฐ ยืนยันสถาบัน AFRIMS ปลอดภัย มุ่งวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อสุขภาพประชาชน  หลังมีข่าวปลอมในทวิตเตอร์

ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (สวพท.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก พร้อมด้วย พล.ต.ธำรงค์โรจน์ เต็มอุดม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร และ พ.ท.แบรนดอน แมคคาร์เธอร์  รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายสหรัฐฯ) ร่วมกันแถลงข้อเท็จจริงกรณีมีการนำข่าวเท็จลงในโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารและสถานการณ์โควิด 

โดย พล.ท.สันติพงศ์ กล่าวว่า ด้วยกองทัพบกได้ตรวจพบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จในโซเชียลมีเดีย โดยทวิตเตอร์แอคเคาท์หนึ่ง มีการตั้งข้อสังเกตและเชื่อมโยงว่า สถาบันวิจัยวิทยาศาสต์การแพทย์ทหาร (สวพท.) อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดโควิดในไทย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาหรือสมมติฐานที่ร้ายแรงมาก กองทัพบกขอเรียนให้ทราบว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง และได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อข่าวเท็จดังกล่าวแล้ว เมื่อ 16 ส.ค. 64 สำหรับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (สวพท.) หรือ AFRIMS  เป็นหน่วยงานในสังกัดกรมแพทย์ทหารบก ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2501 จากความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมของไทยและกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา

โดยทำงานวิจัยร่วมกันในการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อในประเทศไทยและภูมิภาคแถบนี้อย่างต่อเนื่องมากว่า 60 ปี นำมาซึ่งประโยชน์สู่กองทัพและประชาชนไทยและในภูมิภาค นอกจากนี้ยังเป็นหน่วยเครือข่ายความร่วมมือการวิจัยโรคอุบัติใหม่ โรคอุบัติซ้ำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 และได้มีการศึกษาวิจัยโรคเขตร้อน โรคระบาด โรคติดเชื้อ ซึ่งเป็นประโยชน์ทางด้านการแพทย์ทั้งในส่วนสุขภาพกำลังพล ปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ชายแดน และประเทศไทยในภาพรวม  ล่าสุด  สวพท. มีบทบาทสำคัญในสถานการณ์โควิด โดยได้เป็นหน่วยงานเข้าตรวจคัดกรองโควิดในชุมชนพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ในชุมชนทหาร และประชาชนทั่วไป 

ด้านพลตรีธำรงค์โรจน์ กล่าวว่า การบริหารจัดการของ สวพท. เป็นหน่วยงานที่มีพันธกิจ ในเรื่อง
1. ดำเนินการวิเคราะห์ วิจัย ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารเพื่อสร้างเสริมสุขภาพทหาร 
2.ให้บริการตรวจวินิจฉัยและตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์แก่ทหารและประชาชน
3.เป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารทางการแพทย์เพื่อสนับสนุนภารกิจของกองทัพบก ทั้งนี้ในพื้นที่ชายแดน ภารกิจของ สวพท.ยังครอบคลุมเรื่องการเฝ้าระวังโรคของทหารตามแนวชายแดน อาทิ ไข้มาลาเรีย, ไข้รากสาดใหญ่ เป็นต้น และในปัจจุบัน สวพท.เป็นห้องปฏิบัติการในการตรวจคัดกรอง COVID-19 สำหรับในการทำงานร่วมกับทางฝ่ายสหรัฐอเมริกาให้กับประชาชนไทยทุกคน ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา ขอเรียนว่าเป็นการทำงานร่วมกันภายใต้การกำกับของ สวพท. 

ทั้งในด้านการวิจัย การเฝ้าระวังโรค การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมาตรฐานห้องปฏิบัติการของทางสถาบันถือเป็นหนึ่งในห้องปฏิบัติการต้นแบบที่มีความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้สถาบันให้ความสำคัญสูงสุดกับการบริหารจัดการและรักษามาตรฐานความปลอดภัย 

พ.ท.แบรนดอน กล่าวว่า กว่า 60 ปีที่ผ่านมา กองทัพบกสหรัฐฯ และกองทัพบกไทยร่วมทำงานกันอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร หรือ AFRIMS ในการต่อสู้กับโรคเขตร้อน เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการเผยแพร่เอกสารเท็จ และกล่าวหานักวิทยาศาสตร์ไทยและสหรัฐฯ ที่ทำงานร่วมกันกว่า 400 คนที่ปฎิบัติงานอย่างมีอาชีพ และอุทิศตนทำงานในสถาบันแห่งนี้ จึงขอเรียนชี้แจงว่า AFRIMS เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่มีประสิทธิผลและมีความสำคัญอย่างยิ่งระหว่างสหรัฐฯ และราชอาณาจักรไทย ในการช่วยรักษาชีวิตมนุษย์นับล้านคนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก การทำงานร่วมกันแบบทวิภาคีใน AFRIMS ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาด้านการสาธารณสุขและการแพทย์ให้แก่ประเทศไทยและสหรัฐ แต่ยังรวมถึงการก้าวถึงเป้าหมายระดับโลก ความร่วมมือทั้งสองฝ่ายทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขในภูมิภาค และที่สำคัญอย่างยิ่ง มาตรฐานของห้องปฏิบัติการของเรามีความปลอดภัยสูง การวิจัยที่ AFRIMS มุ่งเน้นในการต่อสู้กับโรคเขตร้อนในภูมิภาค อาทิ ไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก ชิกุนคุนย่า ชิการ์ โรคเชื้อไวรัสเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และ HIV

ความร่วมมือในงานวิจัยร่วมกันช่วยให้เราได้พัฒนาวัคซีนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงการวินิจฉัยและการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งได้รักษาชีวิตของคนนับล้านทั่วโลก และเราจะยังคงดำเนินภารกิจต่อไป อาทิเช่น การสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน mRNA ของจุฬาลงกรณ์ในช่วงการศึกษาขั้นต้น และผลของการศึกษาแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มว่าปลอดภัยและมีประสิทธิผลต่อการพัฒนาวัคซีน COVID-19 ภายในประเทศต่อไป ความร่วมมือครั้งนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในการที่สหรัฐฯ ให้คำมั่นที่จะยืนหยัดเคียงข้างประเทศไทยจนกว่าโรคระบาดนี้จะถูกกำจัดลง

ที่ผ่านมา AFRIMS เป็นศูนย์ความร่วมมือหลักขององค์การอนามัยโลก ด้วยความร่วมมือกันทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ต่อการระบาดของโรคทั่วภูมิภาคอาเซียน  การสนับสนุนของ AFRIMS ช่วยสร้างความมั่นใจว่าราชอาณาจักรไทยจะยังคงเป็นผู้นำในด้านสาธารณสุขและการแพทย์ในภูมิภาคอาเซียน ทุกสิ่งที่ทางสถาบันได้ดำเนินการอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายไทยและสหรัฐฯ เพื่อรักษามาตรฐานสูงสุดของห้องปฏิบัติการ ซึ่งทำให้ AFRIMS เป็นหนึ่งในห้องปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยสูงสุดในโลก AFRIMS มีห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่า ห้องปฏิบัติการ สิ่งส่งตรวจ พนักงาน และสาธารณชน มีความปลอดภัย และได้รับการรักษาความปลอดภัยตลอดเวลา ทั้งนี้เราตระหนักดีถึงบทบาทของความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์ไทยและสหรัฐฯ ที่ AFRIMS ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ปลอดภัยและเคร่งครัดจะช่วยให้เราทุกคนปลอดภัย

โฆษกกองทัพบก ได้กล่าวสรุปว่า กองทัพบก เข้าใจดีกว่า ปัจจุบัน ประชาชนมีความอ่อนไหวในข้อมูลข่าวสารในสถานการณ์โควิด  เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องของข้อมูลเท็จ ทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรและความสัมพันธ์ของประเทศ จำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายควบคู่กับการชี้แจงข้อเท็จจริงให้กับประชาชนได้รับทราบ ขอยืนยันว่า ทบ ได้ทุ่มเท ยึดมั่นในการดูแล ประชาชน และสนับสนุนรัฐบาลในสถานการณ์โควิดอย่างดีที่สุด ข่าวสารใดที่ประชาชนได้รับแล้วเกิดความไม่มั่นใจก็ขอให้ได้ตรวจสอบกับ ทบ. หรือหน่วยงานที่ถูกพาดพิง ก็จะช่วยกำจัดกระบวนการข่าวปลอมได้อีกทางหนึ่ง

‘ทิพานัน’ ตอก ‘พิธา’ ลงทุนน้อย หวังกำไรมาก หลังถ่ายภาพโชว์โซเชียลหลังม็อบยุติ เผยธาตุแท้นักการเมืองทำนาบนหลังม็อบ ชาวบ้านข้องใจ ‘มาทำไมตอนจบ’ ไม่นำมวลชนเคลื่อนไหวในกรอบสันติวิธีและไม่ผิดกฎหมาย

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ติดตามความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในชุมชนต่าง ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่ได้รับจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีพี่น้องประชาชนหลายคนได้แสดงความวิตกกังวลว่าต่อสถานการณ์การชุมนุมของมวลชนกลุ่มต่าง ๆ จะส่งผลต่อการเมือง การแก้ไขปัญหาโควิด-19 และการฟื้นฟูประเทศ ซึ่งตนได้ให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นและจริงใจ พยายามทำทุกวิถีทางที่จะคลี่คลายสถานการณ์ทั้งวิกฤติโควิด และวิกฤติการเมืองไปพร้อม ๆ กันอย่างดีที่สุดและเร็วที่สุด

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พี่น้องประชาชนยังตั้งข้อสังเกต กรณีที่มีนักการเมือง เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ไปติดตามสถานการณ์หลังการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมว่า มาทำไมตอนจบ เรื่องนี้ตนเชื่อว่า พี่น้องประชาชน รวมทั้งกลุ่มมวลชนต่าง ๆ รู้เท่าทันนักการเมืองแล้วว่า มีเจตนาอะไร การแสดงตนในพื้นที่ในช่วงเวลาที่สถานการณ์จบลง แล้วถ่ายภาพเผยแพร่ในโซเชียล เพื่อเรียกคะแนนนิยมช่วงชิงมวลชนใช่หรือไม่ เพราะหากมีความจริงใจและเป็นผู้นำที่แท้จริง ต้องลงพื้นที่ช่วยพูดคุยควบคุมและนำมวลชนให้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบสันติวิธีและไม่ผิดกฎหมาย จึงจะเป็น ‘ฮีโร่’ ที่แท้จริง ไม่ใช่เดินเกมแก้เก้อหวังผลทางการเมือง หวังคะแนนมวลชนแบบหลบหลังม็อบแบบนี้

“สิ่งที่นายพิธา และพรรคก้าวไกลควรทำ คือ ช่วยกันรณรงค์สื่อสารให้ม็อบทำการชุมนุมโดยสันติ ไม่พกพาอาวุธ ไม่ยั่วยุเจ้าหน้าที่หรือกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและไม่ทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายและฝ่าฝืนมาตรการควบคุมการแพรระบาดโควิด-19 ช่วยกันสร้างเวทีพูดคุยที่ลดการปะทะลดการยั่วยุอย่างสร้างสรรค์เป็นธรรม ไม่ใช่ออกมาแสดงแบบหลบหลังม็อบ สิ่งที่นายพิธาทำ ลงทุนน้อย แต่หวังกำไรมาก เชื่อว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเองก็ดูออกแล้วว่า ธาตุแท้ของนักการเมืองทำนาบนหลังม็อบ ที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างที่ตนเองย้ำมาตลอดนั้น หน้าตาเป็นแบบไหน” น.ส.ทิพานัน กล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ทิพานัน”จวก “พิธา”ทำนาบนหลังม็อบ ลงทุนน้อยหวังกำไรมาก เชื่อ ปชช.-มวลชน เห็นธาตุแท้ แนะ ให้ชวนม็อบลดรุนแรง คุยสันติวิธี

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี  กล่าวกรณีที่ประชาชนในชุมชนต่างๆแสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การชุมนุมของมวลชนกลุ่มต่างๆ จะส่งผลต่อการเมืองและการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และการฟื้นฟูประเทศ ว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่น จริงใจ พยายามทำทุกวิถีทางที่จะคลี่คลายสถานการณ์ทั้งวิกฤตโควิดและวิกฤตการเมือง ไปพร้อมกันอย่างดีและเร็วที่สุด ส่วนที่มีนักการเมือง เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์หลังการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ส.ค.เชื่อว่า ประชาชน กลุ่มมวลชน รู้เท่าทันนักการเมืองว่ามีเจตนาอะไร 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การแสดงตนหลังสถานการณ์จบลง แล้วถ่ายภาพเผยแพร่ในโซเชียล เพื่อเรียกคะแนนนิยม ช่วงชิงมวลชนใช่หรือไม่ หากมีความจริงใจและเป็นผู้นำที่แท้จริง ต้องลงพื้นที่ช่วยพูดคุย ควบคุมและนำมวลชนให้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบสันติวิธีและไม่ผิดกฎหมาย จึงจะเป็นฮีโร่ที่แท้จริง ไม่ใช่เดินเกมแก้เก้อ หวังผลทางการเมือง หวังคะแนนมวลชนแบบหลบหลังม็อบ สิ่งที่นายพิธาและพรรคก้าวไกล ควรทำคือช่วยรณรงค์สื่อสารให้ม็อบชุมนุมโดยสันติ ไม่พกพาอาวุธ ไม่ยั่วยุเจ้าหน้าที่หรือกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายไม่ทำให้ประชาชนทั่วไป ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายและฝ่าฝืนมาตรการควบคุมการแพรระบาดโควิด-19 ช่วยกันสร้างเวทีพูดคุย ลดการปะทะและยั่วยุอย่างสร้างสรรค์เป็นธรรม 

“สิ่งที่นายพิธา ทำ ลงทุนน้อยแต่หวังกำไรมาก เชื่อว่ากลุ่มผู้ชุมนุม ดูออกแล้วว่าธาตุแท้ของนักการเมืองทำนาบนหลังม็อบ ที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างที่ตนเองย้ำมาตลอดนั้น หน้าตาเป็นแบบไหน” น.ส.ทิพานัน กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top