Saturday, 5 July 2025
NEWS

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอเชิญร่วมงานเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2565  ณ ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย ระหว่างวันที่ 31 มกราคม - 9 กุมภาพันธ์ 65 พร้อมขอเชิญชวนทุกท่าน ร่วมลงชื่อสะเดาะเคราะห์ สวดชัยมงคลคาถา [พะเก่ง]  เฮง เฮง เฮง ต้อนรับปีขาล

ระหว่างวันที่ 31 มกราคม - 9 กุมภาพันธ์ 2565 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดยนายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ  ขอเชิญทุกท่าน ร่วม “สักการะหลวงปู่ไต้ฮง” ขอพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีนเพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับปีใหม่  

ลงชื่อสวดชัยมงคลคาถา หรือ “พะเก่ง” เพื่อสะเดาะเคราะห์ ขอให้ครอบครัวมีสุข เสริมโชคลาภ เสริมดวงชะตา เสริมความมั่นคงสถาพร ตลอดปี พร้อมรับประทาน สาคูสิริมงคล  เพื่อความกลมเกลียวและอยู่เย็นเป็นสุข  รับฮู้ (ยันต์) ของหลวงปู่ไต้ฮง  ติดหน้าบ้าน หรือพกติดตัวเพื่อคุ้มครอง  เคาะระฆังทอง ให้ก้องกังวานเพื่อให้ชีวิตสดใส การงานรุ่งเรืองระบือไกล และร่วมขอพรเทพยดาฟ้าดินเนื่องในวันประสูติ (ทีกงแซ)  ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 8 ก.พ. 65  ขออำนาจฟ้าดินเป็นที่พึ่ง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ เช่น หลวงปู่ไต้ฮง ช่วยดลบันดาลให้ประสบโชคดีตลอดปีใหม่ (โดยในวันที่ 31 มกราคม และวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดบริการโต้รุ่ง)

เทศกาลตรุษจีน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เฮง ๆ ๆ  ต้อนรับปีขาล มูลนิธิฯ เปิดให้มีการทำบุญพะเก่งออนไลน์ 
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 หรือเฟซบุ๊ก แฟนเพจ facebook.com/atpohtecktung

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดให้มีมาตรการคุมเข้มทั้งในด้านการตั้งจุดคัดกรองเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิโดยเจ้าหน้าที่ที่มีองค์ความรู้ด้านการช่วยเหลือฉุกเฉิน การจัดตั้งจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ตามจุดต่าง ๆ การจัดทำสัญลักษณ์การเว้นระยะห่าง (Social Distancing) รวมถึงการขอความร่วมมือประชาชนผู้มีจิตศรัทธาสวมหน้ากากอนามัย  สแกน QR Code แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ทุกครั้งก่อนเข้าศาลเจ้าไต้ฮงกง และฝั่งสำนักงาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นอกจากนี้ยังจัดให้การฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ซึ่งมูลนิธิฯ ได้ริเริ่มดำเนินการอย่างเคร่งครัดเรื่อยมา เพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับประชาชน และผู้มีจิตศรัทธาที่เดินทางร่วมทำบุญสาธารณกุศลกับมูลนิธิฯ  โดยในช่วงเทศกาลตรุษจีน มูลนิธิฯ จะมีมาตรการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อไวรัสทุกวันหลังปิดทำการในแต่ละวัน 

ผู้อำนวยการ WHO เตือนระวัง 'อันตราย' หากทึกทัก 'โอมิครอน' คือจุดจบโควิดระบาด

ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนในวันจันทร์ (24 ม.ค.) เป็นเรื่องอันตรายหากทึกทักว่าตัวกลายพันธุ์โอมิครอนเป็นลางแห่งจุดจบระยะเฉียบพลันของโควิด-19 เร่งเร้าประเทศต่างๆ ให้ยังคงมุ่งสมาธิในการเอาชนะโรคระบาดใหญ่

"มันอันตรายหากทึกทักว่าโอมิครอนจะเป็นตัวกลายพันธุ์สุดท้ายและเราอยู่ในช่วงท้ายเกม" ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก บอกกับที่ประชุมคณะกรรมการบริหารชุดหนึ่งขององค์การอนามัยโลก ในเรื่องของโรคระบาดใหญ่ที่ยืดเยื้อมากว่า 2 ปีและคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วเกือบ 6 ล้านราย "ในทางตรงกันข้าม ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทั่วโลก เหมาะสำหรับตัวกลายพันธุ์ต่างๆ จะปรากฏเพิ่มเติม"

คำเตือนนี้ดูจะสวนทางกับความเห็นของดร.ฮานส์ คลูก ผู้อำนวยการภาคพื้นยุโรปขององค์การอนามัยโลก ที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีเมื่อวันอาทิตย์ (23 ม.ค.) ว่าตัวกลายพันธุ์โอมิครอนได้ผลักให้โควิด-19 เคลื่อนเข้าสู่ขั้นใหม่ และอาจนำมาซึ่งจุดจบของโรคระบาดใหญ่ในยุโรป

คลูกกล่าวว่า "เมื่อครั้งระลอกการแพร่ระบาดของโอมิครอนที่กำลังเล่นงานทั่วยุโรปในปัจจุบันเบาบางลง โลกจะมีภูมิคุ้มกันหมู่หลายสัปดาห์และหลายเดือน ซึ่งเป็นผลจากการฉีดวัคซีนหรือเพราะคนมีภูมิคุ้มกันแล้วจากการติดเชื้อ และการแพร่ระบาดจะลดลงตามฤดูกาลเช่นกัน"

"เราคาดหมายว่าจะมีช่วงเวลาที่เงียบเชียบช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่โควิด-19 อาจกลับมาอีกในช่วงปลายปี แต่มันไม่จำเป็นที่มันจะกลับมาในรูปแบบของโรคระบาดใหญ่" คลูกกล่าว

แม้โอมิครอนโหมกระพือเคสผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นแตะระดับเกือบ 350 ล้านคน แต่มันส่งผลกระทบถึงตายน้อยกว่าและอัตราการฉีดวัคซีนในระดับสูง นำมาซึ่งมุมมองในแง่บวกว่าบางพื้นที่อาจผ่านพ้นสถานการณ์เลวร้ายของโรคระบาดใหญ่ไปแล้ว

ลุงกร้าว!! กำชับทำคดีบิ๊กไบค์ตรงไปตรงมา ยัน!!เรื่องนี้อยู่ที่คนไม่ใช่อยู่ที่กฎหมาย

(24 ม.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มอบหมาย กรณีนายกฯ มีความคิดเห็นอย่างไรต่อกรณีที่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ชนคุณหมอเสียชีวิต และในทางคดีได้กำชับตำรวจอย่างไรนั้น 

“ผบ.ทบ.” ต้อนรับ ผบ.ทบ.สิงคโปร์ เดินทางเยือนประเทศไทย สานความร่วมมือพัฒนาภูมิภาค

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้การต้อนรับ พล.ต.โก๊ะ ซือ โฮว (Goh Si Hou)  ผู้บัญชาการทหารบกสิงคโปร์ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในโอกาสนี้ หลังการตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ผู้บัญชาการทหารบกสิงคโปร์ได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ ภายในกองบัญชาการกองทัพบก ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ ยุทโธปกรณ์ วิวัฒนาการด้านต่างๆ ของกองทัพบกไทย  จากนั้นได้แลกเปลี่ยนแนวคิดการบริหารงานและหารือความร่วมมืองานด้านความมั่นคง กับ ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบก  ภายใต้การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19  

ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวขอบคุณกองทัพบกสิงคโปร์ที่ได้ให้การสนับสนุนเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับประเทศไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งชื่นชมในการคลี่คลายสถานการณ์โควิดของประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้เชื่อมั่นว่ากองทัพบกทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันทั้งในงานด้านความมั่นคง การร่วมกันแก้ไขปัญหาในทุกวิกฤติ  รวมทั้งการพัฒนาด้านต่างๆทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากลต่อไป 

เพชรบูรณ์ - จัดเวทีวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ผลการดำเนินงานตลาดเกษตรกร

นายอนันต์ ตั่นฉ้วน เกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์ มอบหมายให้นายสุภาร อภัยนอก หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร เปิดการจัดเวทีชุมชนเพื่อวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์ผลการดำเนินงานตลาดเกษตรกรที่ผ่านมา โครงการพัฒนาระบบตลาดภายในสำหรับสินค้าเกษตร (ตลาดเกษตรกร) กิจกรรมตลาดเกษตรกร ปี 2565 เพื่อให้เห็นผลการดำเนินงานที่ผ่านมา จุดแข็ง จุดอ่อน ปัญหา อุปสรรค พร้อมกำหนดแนวทางแก้ไขปรับปรุงและวางแผนกลยุทธ์อย่างมีทิศทางโดยมีบุคคลเป้าหมายประกอบด้วย เกษตรกรที่จำหน่ายสินค้าตลาดเกษตรกรสุขใจไทหล่มเก่าและตลาดเกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ รวม 10 ราย และเจ้าหน้าที่ ผู้รับผิดชอบงานตลาดเกษตรกระดับอำเภอ ณ ห้องประชุมสำนักงานเกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์

ภาพ/ข่าว สำนักงานเกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์

“ปนป.11 กลุ่มเสือ” ผุด โครงการ “สัมผัสแทนสายตา สู่การพัฒนาอย่างเท่าเทียม" ยกระดับ “สื่อภาพนูน” สู่คุณภาพชีวิตผู้พิการทางการมองเห็น

คณะนักศึกษาหลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย ปนป.11 กลุ่มเสือ  ใน สถาบันพระปกเกล้า จัดทำโครงการ “สัมผัสแทนสายตา สู่การพัฒนาอย่างเท่าเทียม”  เพื่อร่วมกันให้ความช่วยเหลือ และแบ่งปันทรัพยากร นำมาซึ่งการจัดการอบรมและประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาผู้สอนในการผลิตสื่อภาพนูน (Tactile Taxture) อันเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและสื่อการสอน ที่จะช่วยให้ผู้เรียนซึ่งเป็นผู้พิการทางการเห็น สามารถมองเห็นภาพและเข้าใจเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นในประเทศไทย ทำให้ผู้พิการทางการเห็นได้รับผลกระทบอย่างมากขาดโอกาสทางการประกอบอาชีพ และการรับการศึกษาในช่วงระยะเวลาที่ภาครัฐและเอกชนต้องกำหนดนโยบายการเว้นระยะห่างทางสังคม

ซึ่งโครงการนำร่องยกระดับศักยภาพผู้พิการทางการเห็นด้วยสื่อภาพนูน จัดในระหว่างวันที่ 21-23 มกราคมที่ผ่านมา ณ โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ  ซึ่งได้รับเกียรติจาก นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมงาน ได้แก่ นายประสงค์ สุบรรณพงษ์ ผอ.โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ, นายต่อพงศ์ เสลานนท์ อดีตนายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย, นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ประธานมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์, นางกรกนก ศิริวงษ์ รอง ผอ.สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กระทรวงศึกษาธิการ, ดร.รัฐศาสตร์ กรสูต รอง ผอ.สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตอล(DEPA), รศ.ดร.ธัญลักษณ์ วีระสมบัติ จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า และ นายกิตติพงษ์ เอื้อพิพัฒนากูล ที่ปรึกษามูลนิธิพัฒนาศักยภาพคนพิการ  

ทั้งนี้โครงการ “สัมผัสแทนสายตา สู่การพัฒนาอย่างเท่าเทียม” คณะนักศึกษาหลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย รุ่นที่ 11 กลุ่มเสือ นำโดย ผศ.ทพญ.วรณัน ประพันธ์ศิลป์, ร.ต.อ.ณัฏฐพงษ์ อินทร์ศร และคณะนักศึกษา ตั้งเป้าประสงค์จะใช้ประสบการณ์ที่ได้รับจากการศึกษาในหลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้ามาปรับประยุกต์และประสานความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสื่อการเรียนการสอน อันเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการศึกษาและเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย

สำหรับโครงการนำร่องยกระดับศักยภาพผู้พิการทางการเห็นด้วยสื่อภาพนูน ได้มีการคัดเลือกโรงเรียนเป้าหมายจำนวน 10 โรงเรียน โรงเรียนละ 2 ท่าน เพื่อได้รับความรู้และนำไปพัฒนาต่อยอดในการปฎิบัติหน้าที่ ณ หน่วยงานเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้พิการทางสายตาในช่วงวัยต่างๆ โดยมีบุคลากรครูเข้าร่วมรับการอบรมทั้งหมดจำนวน 12 แห่ง ดังนี้

1. โรงเรียนการศึกษาคนตาบอด ขอนแก่น
2. โรงเรียนการศึกษาคนตาบอด นครราชสีมา
3. โรงเรียนการศึกษาคนตาบอดร้อยเอ็ด
4. โรงเรียนการศึกษาคนตาบอดร้อยเอ็ด
5. โรงเรียนการศึกษาคนตาบอดและคนตาบอดพิการซ้ำซ้อนลพบุรี
6. โรงเรียนการศึกษาเด็กตาบอดพิการซ้ำซ้อนชะอำ
7. โรงเรียนธรรทิกวิทยา
8. โรงเรียนบ้านเด็กรามอินทรา
9. โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ
10. โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ
11. โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
12. โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือในพระบรมราชินูปถัมภ์ จังหวัดเชียงใหม่

พล.1 รอ.จัดขายหมูราคาถูก ชุมชนใกล้แฟลตทหาร ในโครงการ “ธงฟ้า ราคาประหยัด”

ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาในการช่วยเหลือกำลังพล ครอบครัว และประชาชน กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ร่วมกับกระทรวงพานิชย์ ดำเนินการจัดรายการ “ธงฟ้า ราคาประหยัด” สำหรับจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของกำลังพล และประชาชนในบริเวณใกล้เคียง  ณ ชุมชนแฟลตโยธี โดยมีรายการสินค้า ดังนี้ 

  - เนื้อหมู  กก.ล่ะ  150 บาท
  - เนื้อไก่ (น่องไก่ติดสะโพก) กก.ล่ะ 65 บาท
  - ไข่ไก่ เบอร์ 2 แผงล่ะ 80 บาท
  - น้ำตาลทราย กก.ล่ะ 18 บาท
  - ข้าวหอมมะลิ ขนาด 5 กก. ราคา 120 บาท 
  - นำ้มันพืช ขนาด 1 ลิตร ราคา 48 บาท

‘สวนนุงนุชพัทยา’ มอบเงินสนับสนุน ‘งบประมาณกองทุนเพื่อการศึกษา’! ให้แก่โรงเรียนบ้านปางห้วยตาด เพื่อใช้ในการเรียนการสอน

ที่โรงเรียนบ้านปางห้วยตาด อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนุงนุช พัทยา  ได้มอบเงินสนับสนุนงบประมาณกองทุนเพื่อการศึกษาให้แก่โรงเรียนบ้านปางห้วยตาด  จำนวน 250,000 บาท  โดยมี นายอรรถวุฒิ พึ่งเนียม (นายอำเภอแม่แตง)นายพิชิตชัย อินทร์ภูวงศ์  รอง ผอ.สพป.เชียงใหม่ เขต 2 พร้อมด้วยคณะศึกษานิเทศก์ สพป.เชียงใหม่ เขต 2 พร้อมด้วยคณะศึกษานิเทศก์ สพป.เชียงใหม่ เขต 2 เป็นผู้รับมอบพร้อมด้วย คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และแขกผู้มีเกียรติ

โดยการมอบเงินสนับสนุนงบประมาณกองทุนเพื่อการศึกษาในครั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมาทางคณะได้เคยเดินทางมามอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนโรงเรียนบ้านปางห้วยตาด หลังจากนั้นได้มีการพูดคุยกับทางคณะครูผู้บริหาร ซึ่งได้รับทราบว่าทางโรงเรียนนั้นได้เงินงบประมาณมาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งไม่เพียงพอในการบริหารโรงเรียนทั้งปี โดยยังขาดเงินในการบริหารอีก 250,000 บาท ทางสวนนงนุช นำโดย นายกัมพล ประธานสวนนงนุชพัทยา จึงได้มอบเงินสนับสนุนงบประมาณกองทุนเพื่อการศึกษาให้แก่โรงเรียนบ้านปางห้วยตาด ตามที่ทางโรงเรียนต้องการ เพื่อจะได้นำมาบริหารงานของโรงเรียน  เพื่อให้เด็กได้มีการมีเรียนรู้ เป็นอนาคตที่ดีของประเทศชาติที่ดีต่อไป

 

‘องค์การอนามัยโลก’ ชี้!! การระบาดใกล้ถึงจุดสิ้นสุด หลัง Omicron ส่อแวว!! ทำระบาดใหญ่ยุโรปจบลง 

ฮันส์ คลูจ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคยุโรป กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ Omicron ในยุโรปกำลังเข้าสู่ระยะใหม่ ซึ่งอาจนำมาสู่จุดจบของการแพร่ระบาดในยุโรป 

“เป็นไปได้ว่ายุโรปกำลังก้าวเข้าสู่จุดสิ้นสุดของโรคระบาด”

คลูจ กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพีโดยเสริมว่าโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนสามารถแพร่เชื้อให้กับชาวยุโรปถึง 60% ภายในเดือนมี.ค. 65

นอกจากนี้ เมื่อยุโรปผ่านการแพร่ระบาดของเชื้อโอมิครอนระลอกรุนแรงนี้ไปได้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าโลกจะมีภูมิคุ้มกันหมู่ไปอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ไม่ว่าจะด้วยวัคซีนหรือการติดเชื้อ และการแพร่ระบาดจะลดลงตามฤดูกาลด้วย

“เราคาดว่าจะมีช่วงเวลาที่เงียบสงบช่วงหนึ่ง ก่อนที่โควิด-19 จะกลับมาแพร่ระบาดอีกในช่วงปลายปีนี้ แต่อาจไม่ได้กลับมาในรูปแบบของโรคระบาดใหญ่ (Pandemic)” คลูจกล่าว

ขณะที่องค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคแอฟริกาได้กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตในภูมิภาคลดลงเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกที่ 4 ซึ่งเชื้อโอมิครอนทำให้การแพร่ระบาดถึงจุดพีก

ครม. เคาะ คนละครึ่ง เฟส 4 ได้คนละ 1,200 บาท เริ่มใช้ 1 ก.พ. 65

ที่ประชุม ครม. อนุมัติโครงการคนละครึ่ง เฟส 4 จ่ายคนละ 1,200 บาท เริ่มใช้ 1 ก.พ.-30 เม.ย.

วันที่ 24 มกราคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่ห้องศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) บนตึกไทยคู่ฟ้า

หนึ่งในวาระที่น่าจับตาคือ การรายงานการใช้เงินกู้ โดยคณะกรรมการกลั่นกรอง ที่มีเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นประธาน ลำดับ 3 ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2565 (คกง.)

‘อัษฎางค์’ แนะ!! ดัน ‘กม.-จริยธรรมสังคมไทย’ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่จับต้องได้เสียที

นักวิชาการอิสระ ยกออสเตรเลียเข้มงวดกฎหมายและจริยธรรมทางสังคม ช่วยให้อุบัติเหตุทางถนนน้อย แนะไทยถึงเวลาต้องปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายและจริยธรรมทางสังคมตั้งแต่บัดนี้

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ทางม้าลายและรถพยาบาลฉุกเฉิน” สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของออสเตรเลีย ระบุว่า เมืองไทยได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ธรรมชาติและพิสูจน์หาความจริงไม่ได้ แต่คนไทยให้ความเคารพเชื่อถือและไม่กล้าแตะต้องหรือกระทำผิดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ในขณะที่ออสเตรเลียและประเทศตะวันตกหรือประเทศชั้นนำของโลกมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่จับต้องได้ นั้นคือ กฎหมายและจริยธรรมทางสังคม

กฎหมายคือข้อบังคับ และจริยธรรมทางสังคมคือข้อควรปฏิบัติ เป็น 2 สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวตะวันตกและประเทศที่พัฒนาแล้ว ทางม้าลายและรถพยาบาลฉุกเฉิน คือตัวอย่างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดเพราะเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในเรื่องของกฎหมายและจริยธรรมทางสังคมในประเทศที่พัฒนาแล้ว

“ผมอยู่ออสเตรเลียมา 20 ปี ภาพที่เห็นแล้วประหลาดใจและประทับใจนับตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาอยู่จนถึงปัจจุบัน คือรถ ทุกคนพร้อมใจกันหยุดรถทันทีเมื่อมีคนย่างเท้าลงบนทางม้าลาย และรถทุกคันพร้อมใจกันชิดซ้ายทันทีที่ได้ยินเสียงไซเรนของรถพยาบาลฉุกเฉิน ในออสเตรเลีย อาจแทบจะพูดได้ว่า คุณสามารถเดินหลับตาหรือก้มหน้าดูมือถือในขณะที่เดินข้ามถนนบนทางม้าลายได้เลย เพราะรถที่วิ่งมาจะหยุดแบบทันทีทันใดเมื่อมีคนก้าวเท้าลงบนทางม้าลาย ผมไม่ได้บอกว่า ไม่เคยมีข่าวรถชนคนบนทางม้าลาย หรือข่าวรถชนกับรถพยาบาลฉุกเฉินเลย แต่ตลอด 20 ปีผมได้ยินข่าวนั้นเพียง 1 หรือ 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งนั้นคืออุบัติเหตุจริงๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการขับรถเร็ว เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ”

ในออสเตรเลีย ถ้าเป็นถนนเล็กหรือเป็นถนนที่การจราจรไม่คับคั่ง จะมีทางม้าลายให้คนใช้ข้ามถนน ซึ่งประชาชนทุกคน ถูกปลูกฝังให้จอดรถทันทีเมื่อมีคนย่างเท้าลงบนทางม้าลาย ถ้าเป็นถนนใหญ่หรือถนนที่มีการจราจรหนาแน่นมากๆ จะมีไฟสัญญาณเขียว-แดงสำหรับบังคับรถให้จอดเวลามีคนข้ามถนน รถที่วิ่งในเมืองจะใช้ความเร็วได้เพียง 50 กม./ชม. ส่วนในเขตที่เป็นชุมชนหนาแน่น เช่น กลางใจเมืองหรือหน้าโรงเรียนในเวลานักเรียนมาโรงเรียนหรือเลิกเรียน จะวิ่งรถได้เพียง 40 กม./ชม. เท่านั้น ซึ่งเรื่องความเร็วรถนี้คือ ปัจจัยสำคัญสำหรับการป้องกันอุบัติเหตุรถในซิดนีย์วิ่งได้เพียง 40-50 กม./ชม. แต่รถกลับไม่ติดวินาศสันตะโรเหมือนในกรุงเทพ และไม่เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงอย่างสม่ำเสมออยู่ตลอดเวลา เพราะอะไร

ผลวิจัย “บุหรี่ไฟฟ้าเสี่ยงเซ็กส์เสื่อม” ไม่ถูกต้อง เครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้าโวย ให้ข้อมูลผิด อันตรายยิ่งกว่า

เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ECST เผยแพทย์ออสซี่ โต้ข้อสรุปว่าใช้บุหรี่ไฟฟ้าเสี่ยงเซ็กส์เสื่อมไม่ถูกต้อง ชี้การวิจัยไม่ได้แบ่งกลุ่มผู้ทำการศึกษาว่าเป็นผู้สูบบุหรี่มาก่อนหรือไม่ วอนกลุ่มต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าเลิกให้ข้อมูลที่ผิดๆ กับสังคมหรืออ้างงานวิจัยแค่ฉบับเดียวมาทำข่าว เพราะจะทำให้คนใช้บุหรี่ไฟฟ้าหันกลับไปสูบบุหรี่อีก ซึ่งอันตรายกว่าเดิม แนะนโยบายบุหรี่ไฟฟ้าไทยควรขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่ถูกต้องดีกว่าการสร้างความหวาดกลัว

นายอาสา ศาลิคุปต ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า “ลาขาดควันยาสูบ” หรือ ECST และแอดมินเพจ “บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 100,000 คน กล่าวว่า “ผลวิจัยที่สรุปว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศไม่ถูกต้อง ซึ่ง ดร.คอลิน เมนเดลซอห์น แพทย์ชาวออสเตรเลีย ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้ป่วยติดบุหรี่ ชี้แจงว่าความจริงแล้วอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเป็นผลมาจากการสูบบุหรี่ เนื่องจากผู้ที่เปลี่ยนมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เคยสูบบุหรี่มาก่อน แต่งานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้มีการแยกกลุ่มตัวอย่างเป็นคนที่สูบบุหรี่อย่างเดียว คนที่เลิกสูบบุหรี่แล้วเปลี่ยนมาใช้บุหรี่ไฟฟ้า และคนที่ใช้แต่บุหรี่ไฟฟ้า ทำให้การสรุปผลมีความคลาดเคลื่อนได้”

ดร. เมนเดลซอห์น ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างแผนควบคุมบุหรี่แห่งชาติของออสเตรเลีย ยังเสริมว่าการศึกษานี้สอบถามผู้ชายจำนวน 13,700 คนซึ่งมีเพียง 4.8% เท่านั้นที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่การศึกษานี้มีข้อที่กังขาหลายประการ อันดับแรก รูปแบบการศึกษาที่เป็น cross sectional study ที่เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง ไม่ได้เป็นการทำการทดลองเพื่อหาความสัมพันธ์กัน อีกทั้งไม่มีการเปรียบเทียบอัตราการเกิดอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (ED) ในกลุ่มผู้ใข้บุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่เคยสูบบุหรี่ กับผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่เคยสูบบุหรี่มาก่อน เพื่อดูว่าแนวโน้มการเกิดอาการ ED ที่มากขึ้น นั้นที่แท้แล้วมาจากการสูบบุหรี่หรือเปล่า และอีกประการคือการศึกษายังพบว่าอัตราการเกิด ED ในผู้ชายที่สูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่มีสัดส่วนที่พอกัน ซึ่งน่าแปลกใจ เพราะเป็นทราบกันดีอยู่แล้วว่าการสูบบุหรี่ทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

‘เอ้ สุชัชวีร์’ เสนอ 3 ทางออก แก้ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเสนอ 3 แนวทางในการแก้ปัญหาโศกนาฏกรรมบนท้องถนน หลังเกิดเหตุเศร้า ส.ต.ต.ขี่บิ๊กไบค์ชนแพทย์หญิงเสียชีวิต

จากกรณีข่าวสุดสลด เมื่อ ส.ต.ต.ควบจักรยานยนต์ big bike ducati สีแดง ชนขณะที่ พญ.วราลัคน์เดินข้ามถนนบริเวณทางม้าลาย หน้าสถาบันไตภูมิราชนครินทร์ ถนนพญาไท เป็นเหตุให้ พญ.วราลัคน์เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ตำรวจนครบาลเผยแจ้ง 5 ข้อหา "ส.ต.ต." ขี่บิ๊กไบค์ชนแพทย์หญิงเสียชีวิต "ขับรถโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย" และข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ในข้อหา นำรถไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาใช้ในทาง, ขับรถไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย และไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายบนพื้นทาง (ไม่หยุดรถให้คนข้าม) และพ.ร.บ.รถยนต์ฯ ข้อหา ฝ่าฝืนใช้รถที่ไม่ได้เสียภาษีประจำปี โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (23 ม.ค.) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเพจ "เอ้ สุชัชวีร์" เสนอทางแก้ปัญหาเพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยได้ระบุข้อความว่า

"แค่เสียใจ คงไม่พอ สามทางแก้ ผมขอเสนอ โศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญบนถนนใจกลาง กทม. เมื่อรถมอเตอร์ไซค์ชนคุณหมอเสียชีวิตขณะข้ามทางม้าลาย”

ผม เอ้ สุชัชวีร์ ขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุด ต่อครอบครัวคุณหมอกระต่าย และเพื่อนร่วมงานทุกท่าน แต่แค่เสียใจ คงไม่พอ เมื่อผมอาสามารับใช้ กทม. ก็ต้องมาพร้อมการแก้ปัญหา ไม่ให้ความสูญเสียเกิดขึ้นอีก ในฐานะวิศวกร อดีตนายกวิศวกรรมสถานฯ และอดีตนายกสภาวิศวกร ผมขอเสนอ (อีกครั้ง) ว่า ในประเทศที่อุบัติเหตุบนถนนน้อยมาก เขาทำอย่างไร ทำไมเราต้องเปลี่ยนถนน กทม. ให้ปลอดภัย

1.) "ต้องไม่ยอมให้ผ่านไปเหมือนไฟไหม้ฟาง มีหน่วยงานหาความจริง"

เมื่อมีอุบัติเหตุบนถนน เขาจะตั้งกรรมการผู้เชี่ยวชาญเพื่อถอดบทเรียนจริงจัง ไม่รอข่าวเงียบ เพื่อหาต้นตอปัญหา ไม่ใช่แค่รู้ว่าใครชน คนนั้นรับผิดชอบ เพราะมันอาจเกิดจากปัจจัยอื่นด้วย ดังนี้ "เกิดจากถนน และสิ่งแวดล้อม" หรือ "เกิดจากยานพาหนะ" หรือ "เกิดจากคน ผู้ขับขี่" หรือทุกปัจจัย เพื่อนำไป "แก้ไขที่ต้นเหตุ!!!" ลดความเสี่ยง หยุดการสูญเสียในอนาคต

กทม. จะต้องมีหน่วยงานกลางเพื่อไต่สวนหาสาเหตุที่แท้จริง ถอดบทเรียนเพื่อนำมาดำเนินลดความเสี่ยง หน่วยงานนี้ต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านถนนและวิศวกรรมจราจร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญอิสระภายนอก ดำเนินการเก็บข้อมูลหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถวิเคราะห์สาเหตุได้ถูกต้อง แล้วเสนอทางแก้ไข ทั้งด้วยการเปลี่ยนกายภาพถนน ใช้เทคโนโลยี และใช้กฎหมายเข้มข้น กทม. มีสำนักจราจร มีสำนักโยธา มีสำนักการแพทย์ มีคณะวิศวะ คณะแพทย์ มีคนเก่ง พร้อมครับ ต้องทำ #เราทำได้

โฆษก ทร. เผย กองทัพเรือ จัดเรือหลวงสงขลา เรือหลวงแสมสาร เรือหลวงมันนอก พร้อมสนับสนุนการขจัดคราบน้ำมัน กรณีเรือ อับปางกลางอ่าวไทย

พล.ร.ท.ปกครอง  มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์   เรือบรรทุกน้ำมันดีเซล ชื่อ ป. อันดามัน 2 ซึ่งจอดทอดสมอและอับปางลง บริเวณ แลต.10 องศา 35.06 ลิปดา น. ลอง.99 องศา 38.35 ลิปดา อ. (ระยะห่างจากปากน้ำชุมพรประมาณ 24 ไมล์ทะเล) เหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม ที่ผ่านมา โดยภายในเรือ มีน้ำมันอยู่ประมาณ 5 แสน ลิตร ซึ่งในวันนี้ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือได้ประชุมร่วมกับกรมเจ้าท่า ทัพเรือภาคที่ 1 กรมอุทกศาสตร์ กรมควบคุมมลพิษ และเจ้าของบริษัทเรือได้ข้อสรุปจากการประชุมว่า  จากการประเมินคราบน้ำมันที่รั่วไหล จากการตรวจสอบพบว่ามีความรุนแรงระดับ 1 น้ำมันรั่วไหลมีขนาดเล็ก ไม่เกิน 20 ตัน ซึ่งกรมเจ้าท่าจะเป็นหน่วยควบคุมและกำกับการปฏิบัติในภาพรวม ทั้งนี้ หากกรณีน้ำมันรั่วไหลเพิ่มมากขึ้น เป็นขนาดกลาง ตั้งแต่ 20-1,000 ตัน ซึ่งเข้าสู่ความรุนแรงระดับ 2 (Tier 2) จะประสานให้กองทัพเรือจัดตั้งศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการ รับผิดชอบกำหนดแผนและยุทธวิธีในการขจัดคราบน้ำมัน  

สำหรับในส่วนของกรมเจ้าท่า  ได้ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.เดินเรือ มาตรา 121 ออกประกาศ โดยสำนักงานเจ้าท่าจังหวัดชุมพร แจ้งให้เรือต่างๆ ระมัดระวังในการเดินเรือในบริเวณที่มีเรืออับปาง รวมทั้งแจ้งให้บริษัทไทยแหลมทองค้าน้ำมันประมงจำกัด  ซึ่งเป็นเจ้าของเรือ ป.อันดามัน2 ห้ามใช้เรือและดำเนินการกู้เรืออับปางโดยเร็วโดยจะทำการเก็บกู้น้ำมัน (ดีเซล) เป็นลำดับแรก ภายใน 7 วัน หลังจากนั้นจะให้กู้เรือภายในเวลา 15 วัน รวมทั้งจัดเตรียมอุปกรณ์ขจัดคราบน้ำมัน ประกอบด้วย ทุ่นกักเก็บน้ำมัน  (Boom) ความยาว 800 เมตร และสาร Dispersant จำนวน 700 ลิตร  นอกจากนั้น ทางกรมควบคุมมลพิษ และกรมทรัพยากรธรรมชาติและชายฝั่ง ได้มีการเตรียมแผนเผชิญเหตุและเตรียมการรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในกรณีคราบน้ำมันรั่วไหลเข้าชายฝั่ง

  โฆษกกองทัพเรือ  กล่าวว่า ในส่วนของกองทัพเรือได้สั่งการให้ทัพเรือภาคที่ 1 จัด    เรือหลวงสงขลา เรือหลวงมันนอก และเรือหลวงแสมสาร  เตรียมความพร้อมในการสนับสนุนการขจัดคราบน้ำมัน ตามที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือจะสั่งการ พร้อมทั้งจัดเตรียมตู้คอนเทนเนอร์บรรจุอุปกรณ์ขจัดคราบน้ำมัน จำนวน 2 ตู้ กับให้หมู่เรือสำรวจของกองเรือทุนระเบิด กองเรือยุทธการ โดยใช้เรือหลวงบางระจันซึ่งมี ยาน seafox-i ยานล่าทำลายทุ่นระเบิด(mine disposal  vehicle:MDV) มีขีดความสามารถในการค้นหา พิสูจน์ทราบและทำลายทุ่นระเบิด สามารถปรับมาใช้ในภารกิจนี้ได้

 พล.ร.ท.ปกครอง กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.ร.อ. สมประสงค์ นิลสมัย  ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้แสดงความเป็นห่วงพร้อมทั้งสั่งการให้ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ เฝ้าติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยืนยันว่า กองทัพเรือ  มีความพร้อมทั้งยุทโธปกรณ์และกำลังพล  ในการขจัดคราบน้ำมันในทะเล ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งได้มีการฝึกซ้อมกันเป็นประจำทุกปี  ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญของกองทัพเรือ  เพื่อพิทักษ์รักษา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องทะเล ซึ่งนับว่าเป็นแหล่งผลประโยชน์ของชาติที่สำคัญของประเทศ ให้คงไว้อย่างยั่งยืน โดยความคืบหน้า ในส่วนของการจัดการขจัดคราบน้ำมันทางกองทัพเรือจะรายงานให้ทราบเป็นระยะ

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อสรุปจากการประชุม จากการประเมินคราบน้ำมันที่รั่วไหล จากการตรวจสอบพบว่ามีความรุนแรงระดับ 1 น้ำมันรั่วไหลมีขนาดเล็ก ไม่เกิน 20 ตัน กรมเจ้าท่าจะเป็นหน่วยควบคุมและกำกับการปฏิบัติในภาพรวม

‘วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร’ วิจิตรงาม - พระอารามหลวงชั้นเอก!! | MEET THE STATES TIMES EP.56

📌 ‘วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร’ วิจิตรงาม - พระอารามหลวงชั้นเอก
📌 หนึ่งในสถาปัตยกรรมอันงดงาม…แห่งต้นกรุงรัตนโกสินทร์!!   

👄 ในรายการ MEET THE STATES TIMES ข่าวคุยเพลิน

💻 ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES

.

.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top