Friday, 19 April 2024
LITE

21 มีนาคม พ.ศ. 2557 ‘ในหลวง ร.9’ เสด็จฯ ติดตามการดำเนินงาน ‘โครงการชั่งหัวมัน’ พลิกฟื้นผืนดินแห้งแล้ง สู่โครงการต้นแบบด้าน ‘การเกษตร’ เพื่อคนไทย

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง ไปยังโครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ อำเภอท่ายาง (เป็นการส่วนพระองค์) ในการทอดพระเนตรโรงเลี้ยงโคนม ทรงป้อนนมโคและทรงป้อนหญ้า พันธุ์แทงโกล่า แก่ลูกโค เพศเมียอายุ 3 เดือน จำนวน 2 ตัว ซึ่งดำเนินงานสนองพระราชดำริ ส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคนมให้เกษตรกรที่สนใจ และทอดพระเนตรการดำเนินงานโครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ

ทั้งนี้ ก่อนจะมาเป็น ‘โครงการชั่งหัวมัน’ ในอดีตนั้นเป็นพื้นที่ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เคยเป็นดินลูกรัง แห้งแล้ง และเป็นพื้นที่ปลูกไม้ยูคาลิปตัสไว้ตัดขาย มีแปลงปลูกมะนาวเดิมอยู่ประมาณ 35 และ ไร่อ้อยประมาณ 30 ไร่

ปลายปี พ.ศ. 2551 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงซื้อที่ดินจากราษฎร พื้นที่ประมาณ 120 ไร่ ณ บริเวณอ่างเก็บน้ำหนองเสือ บ้านหนองคอไก่ หมู่ที่ 5 ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ต่อมาปี พ.ศ. 2552 ทรงซื้อแปลงติดกันเพิ่มอีก 130 ไร่ รวมพื้นที่ทั้งหมด 250 ไร่ และทรงมีดำริให้ทำเป็นโครงการตัวอย่างด้านการเกษตร รวบรวมพันธุ์พืชเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงมาปลูกไว้ที่นี่ โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา

โดยกองงานส่วนพระองค์ ขอความร่วมมือหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนให้เข้ามาช่วยกันปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ เช่น การทำถนนเข้าโครงการ ขุดสระเก็บน้ำ ทำรั้วรอบโครงการ ก่อสร้างอาคาร และสาธารณูปโภค ติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล ทำระบบชลประทาน ทำให้พื้นที่โครงการ และหมู่บ้านใกล้เคียงมีความเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว

สำหรับชื่อโครงการ ‘ชั่งหัวมัน’ ความหมายนั้นมาจาก ‘การชั่งน้ำหนักมันเทศ’ ตามปฐมเหตุที่รองเลขาธิการพระราชวัง ‘ดิสธร วัชโรทัย’ เล่าไว้ ก่อนจะสาธยายต่อไปถึงแก่นแท้หัวใจอันเป็นที่มาแห่งโครงการพระราชดำริอีกหนึ่งโครงการนี้ที่คนไทยทุกคนต่างทราบกันเป็นอย่างดี

“เหตุผลจริงๆ คือ ขนาดว่าหัวมันที่วางอยู่บนตาชั่งซึ่งเป็น ‘เหล็ก’ ยังสามารถงอกขึ้นมาได้ บนผืนดินที่แห้งแล้ง มันก็ต้องขึ้นได้ ดังนั้น นี่ก็จึงเป็นเหตุผลประการสำคัญที่ทำให้พระองค์ท่านมาซื้อที่ดินที่นี่ ที่หมู่บ้านหนองคอกไก่ ซึ่งแห้งแล้งมากๆ พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ครั้งแรก ผืนดินที่นี่ยังมีแต่ต้นยูคาลิปตัส จะปลูกอะไรก็ลำบาก ติดปัญหาเรื่องน้ำ แต่ก็อย่างที่เราทุกคนคงทราบนั่นล่ะว่าอะไรที่ยากลำบาก พระองค์ท่านทรงโปรด พระองค์ท่านจะทำให้ดูเพื่อพิสูจน์ว่าทำได้ เพื่อจะได้เป็นแม่บท และเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเกษตรกรรมของชาวบ้านที่นี่”

“เมื่อก่อนนั้น ที่ดินแถวนี้ดินไม่ดี พระองค์ท่านทรงเลือกซื้อที่ดินที่ไม่ดี ที่ดินดีทรงไม่โปรด เพราะพระองค์ท่านทรงอยากแก้เรื่องที่ดิน จึงเจาะจงซื้อที่ดินที่มีต้นยูคาลิปตัส เพราะจะได้แก้ปัญหาเรื่องดิน”

แต่ปัจจุบันผ่านมาหลายปีแล้ว ผืนดินที่เคยแห้งแล้งแห่งนี้ ได้แปรสภาพกลายเป็นหนึ่งในโครงการต้นแบบด้านการเกษตร มีการจัดสรรทําการเกษตรทั้งแปลงพืชเศรษฐกิจที่ปลูกหลายชนิด อาทิ สับปะรด มะนาว มะพร้าว ข้าว ฟักทอง มันเทศ พืชผักสวนครัว ยางพารา ฯลฯ 

นอกจากนี้ยังมีฟาร์มโคนม ฟาร์มไก่ และแปลงเกษตรที่จัดเป็นสวนสวยให้ผู้มาเยือนแวะมาเยี่ยมชมเพื่อการท่องเที่ยวศึกษาเรียนรู้ ตลอดจนสร้างกังหันลมผลิตไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

‘ศาลอาญา’ ยกฟ้อง ‘ใบเตย-ดีเจแมน’ คดี Forex-3D ฟาก ‘ใบเตย’ ขอบคุณที่ความยุติธรรมปรากฏในวันนี้

(20 มี.ค. 67) กรณีศาลอาญานัดพิจารณาคดีที่ผู้เสียหายจากคดี Forex - 3D ฟ้องตรงต่อ ‘ใบเตย อาร์สยาม’ สุธีวัน กุญชร และ ‘ดีเจแมน’ พัฒพล มินทะขิน เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (20 มี.ค.) เบื้องต้นศาลพิจารณาและตัดสินยกฟ้องสองสามีภรรยาในคดีอาญา แต่ส่วนคดีแพ่ง ต้องจ่ายค่าเสียหายล้านกว่าบาท โดยคดีดังกล่าวเป็นคนละคดีกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ยื่นฟ้องดีเจแมนและใบเตย มีมูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท ตอนนี้อยู่ระหว่างการสืบพยานของศาล

โดยภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการ ใบเตย พร้อมทนาย และ แม่ป๋อง พิมพ์แข กุญชร ณ อยุธยา แม่ของดีเจแมน ได้เปิดใจต่อสื่อมวลชน ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม หลังจากนี้จะทำมาหากินเพื่อลูก ขณะที่แม่ป๋องเผยว่าที่ผ่านมาบอบช้ำกับการที่ชื่อเสียงนามสกุลต้องเสื่อมเสีย แต่หลังจากนี้จะอโหสิกรรมให้ทุกคน

“ขอบคุณศาลที่ตัดสินและให้ความเป็นธรรมกับใบเตย วันนี้ก็เป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ขอบคุณศาลที่ยังมีตาชั่งแห่งความยุติธรรม ดีใจมากค่ะ เรื่องนี้เป็นบทพิสูจน์ชีวิตจริง ๆ ขอบคุณทนายที่สู้ด้วยกันมา เราสู้กันด้วยความสุจริต ทั้งพยาน หลักฐานจริง ๆ เรามั่นใจในเอกสารหลักฐานของเรา

“อยากขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ให้กำลังใจ ครอบครัว แฟนคลับ ผู้ใหญ่ทุกคน ขอบคุณโอกาสในการทำงานทุกอย่างที่มอบให้ใบเตย ขอบคุณที่ให้โอกาสใบเตยกลับไปดูแลครอบครัว ดูแลลูก ได้กลับไปร้องเพลงรับใช้แฟนเพลง แฟนละคร ดีใจที่สุด ใบเตยอดทนกับทุก ๆ อย่างมาเกือบปี

“ที่ผ่านมาพยายามรักษาเนื้อรักษาตัว รักษาชีวิตเพื่อวันนี้ มันคุ้มค่ากับการอดทน สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอคะ ที่เคยสูญเสียอิสรภาพไป ก็ถือว่าสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ ณ วันนี้ใบเตยพอใจกับตรงนี้ค่ะ

“จากนี้เดินหน้าทำมาหากินเต็มที่เพื่อเลี้ยงลูก จะทำทุกอย่างเพื่อเวทมนต์ และเล่นละคร ร้องเพลงรับใช้แฟน ๆ ต่อไป”

ด้านคดีของ ดีเจแมน ใช้หลักฐานเดียวกันในการต่อสู้คดี ทางด้านแม่ป๋อง พิมพ์แข แม่ของดีเจแมนเผยว่า

“แม่ต้องมีหวัง เราสู้มาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา เราบอบช้ำมาหลายปีจากการโดนใส่ความ ชื่อเสียงนามสกุล (กุญชร ณ อยุธยา) แม่ มันเรียกร้องกลับมาไม่ได้ ก็อโหสิกรรมกับคนที่ทำให้เราบอบช้ำ เสียชื่อเสียง

“ที่ผ่านมาไม่เคยออกมาแก้ตัวเลย เราเลือกนิ่งจะดีกว่าเรื่องจะได้ไม่บานปลาย แต่กลายเป็นว่าเราเสียหายหนัก แม่สู้เพื่อลูกมาตลอดตั้งแต่วันแรก แม่ไปเยี่ยมแมนทุกวันถ้าไม่มีถ่ายละคร

“ดีเจแมนเข้มแข็งและอดทน สักวันความจริงจะปรากฏ เขาคิดถึงลูกและครอบครัวมาก โดยเฉพาะกับลูกสาว น้องเวทมนต์ ไม่ได้เจอกัน 10 เดือนแล้ว สงสารลูกแม่มาก เวทมนต์ถามทุกวันว่าพ่อไปไหน ทำอะไรอยู่ ก็ต้องโกหกไป เรารู้ว่าเขาทรมาน ก็ได้แต่รอความยุติธรรมและความจริงปรากฏ”

20 มีนาคม พ.ศ. 2280 วันคล้ายวันพระราชสมภพ ‘พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช’ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี บูรพมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสยามประเทศ

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระนามเดิม ด้วง หรือ ทองด้วง เป็นบุตรพระอักษรสุนทร (ทองดี) ข้าราชการกรมอาลักษณ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เสนาบดีกรมพระคลังในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กับท่านหยก ธิดาเศรษฐีจีน มีพระบรมราชสมภพเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2280 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ 

ต่อมาได้ทรงรับราชการเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต จนพระชนมพรรษาครบ 21 พรรษา ได้ทรงผนวช ณ วัดมหาทลายพรรษาหนึ่ง หลังจากทรงลาผนวชแล้วทรงกลับเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงอีกครั้ง ครั้นพระชนมพรรษาได้ 25 พรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสุริยาศน์อมรินทร์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นหลวงยกกระบัตร ออกไปรับราชการที่เมืองราชบุรี

ต่อมาในปี พ.ศ. 2311 หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เสด็จเข้ามารับราชการในกรุงธนบุรี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระราชวรินทร์ ในกรมพระตำรวจหลวง ได้โดยเสด็จสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปปราบก๊กต่าง ๆ จนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางกรมพระตำรวจ ต่อจากนั้นทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นแม่ทัพไปปราบหัวเมืองต่าง ๆ หลายครั้ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบำเหน็จความชอบให้เป็นพระยายมราช และทรงทำหน้าที่สมุหนายกด้วย 

ในปีต่อมาทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าพระยาจักรี ที่สมุหนายก และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก รับพระราชทานเครื่องยศอย่างเจ้าต่างกรม ครั้น พ.ศ. 2324 ได้เกิดเหตุจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกต้องยกทัพกลับจากเขมรเพื่อปราบจลาจล และได้ขึ้นปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ขณะที่มีพระชนมายุได้ 46 พรรษา 

ทั้งนี้ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีราชธานีเดิมที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา พระองค์โปรดให้สร้างพระราชวังหลวงและโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉลองสมโภชพระนครเป็นเวลา 3 วัน ครั้งเสร็จการฉลองพระนครแล้ว พระองค์พระราชทานนามพระนครแห่งใหม่ให้ต้องกับนามพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรว่า ‘กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์’ หรือเรียกอย่างสังเขปว่า ‘กรุงเทพมหานคร’

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว พระองค์ทรงมีพระราชกรณีกิจที่สำคัญยิ่ง คือ การป้องกันราชอาณาจักรให้ปลอดภัยและทรงฟื้นฟูวัฒนธรรมไทยอันเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา การที่ไทยสามารถปกป้องการรุกรานของข้าศึกจนประสบชัยชนะทุกครั้ง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของพระองค์ในการบัญชาการรบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามกับพม่าใน พ.ศ. 2328 ที่เรียกว่า ’สงครามเก้าทัพ‘ นอกจากนี้พระองค์ยังพบว่ากฎหมายบางฉบับที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาไม่มีความยุติธรรม จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการตรวจสอบกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมด เสร็จแล้วให้เขียนเป็นฉบับหลวง 3 ฉบับ ประทับตราราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้วไว้ทุกฉบับ เรียกว่า ’กฎหมายตราสามดวง‘ สำหรับใช้เป็นหลักในการปกครองบ้านเมือง

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงรับการยกย่องเป็น 1 ใน 8 สมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศไทย พระองค์ทรงได้รับพระราชสมัญญานามว่าเป็น มหาราช เพราะทรงได้รับชัยชนะจากสงครามเก้าทัพนั่นเอง

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 7 กันยายน  พ.ศ. 2352 พระชนมพรรษาได้ 73 พรรษา

'นัท นิสามณี' แต่งตัวไม่เหมาะสมในซาอุฯ ไม่ให้เกียรติสถานที่และช่วงเดือนรอมฎอน

(19 มี.ค. 67) ควงแฟนหนุ่มไปเที่ยวที่ประเทศซาอุดีอาระเบียกันแบบหวานฉ่ำเลยทีเดียว สำหรับ นัท-นิสามณี เลิศวรพงศ์ ยูทูบเบอร์และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ซึ่งทริปนี้ นัท-นิสามณี จัดเต็มสุดๆ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม โดยมีตากล้องสุดหล่อคือ คุณแฟน ตามถ่ายรูปแบบจึ้งๆ ให้เกือบทุกมุมเลยทีเดียว

โดยทริปนี้เจ้าตัวได้หยิบบิกินีไปใส่แบบฉ่ำๆ พร้อมทั้งใส่บิกินีตัวจิ๋วถ่ายคอนเทนต์ให้หวานใจทาครีมกันแดดให้ พร้อมโพสต์ภาพลงโซเชียล แต่งานนี้กลับมีดรามา เมื่อชาวเน็ตและชาวมุสลิมหลายคนไม่อินด้วยกับคอนเทนต์นี้ ได้เข้ามาคอมเมนต์กันจำนวนมาก

ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าไม่เหมาะที่ใส่บิกินีในช่วงนี้ เพราะเป็นเดือนรอมฎอน และประเทศซาอุดีอาระเบียเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมที่เคร่งครัดเรื่องศาสนาเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ นัท-นิสามณี เคยมีกรณีดรามาที่ไม่เหมาะสมคล้ายๆ กัน โดยก่อนหน้านี้เคยปล่อยคลิปทำคอนเทนต์บ้ง สอนชาวต่างชาติพูดคำหยาบแบบผิดๆ และพูดล้อเล่นเชิงเหยียดผู้หญิงไทย ซึ่งเธอได้ไปกินสตรีทฟู้ดของประเทศสิงคโปร์ โดยมีเพื่อนชาวสิงคโปร์เป็นไกด์นำเที่ยว และระหว่างคลิป นัท-นิสามณี ก็ได้ถามเพื่อนชาวสิงค์โปร์ว่ารู้จักภาษาไทยคำไหนบ้าง

ชาวสิงคโปร์คนนั้นก็ได้ตอบว่า รู้จัก สวย, หล่อ, หิวมาก สักพัก นัท-นิสามณี ก็ถามว่า “รู้จักคำว่าเงี่*น ไหม” ซึ่งชาวสิงคโปร์ตอบมาว่าไม่รู้ นัท-นิสามณี จึงได้บอกว่า “ถ้าเจอใครดีที่ดูดี ก็สามารถพูดได้เลยว่า I’m เงี่*น” 

นอกจากเรื่องสอนพูดคำหยาบแบบผิดๆแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องการพูดถึงหญิงไทยอีกด้วย โดย นัท-นิสามณี ได้บอกกับเพื่อนชาวสิงคโปร์ว่า “ถ้าเลือกผู้หญิงไทยเป็นแฟนจะได้เงินน้อย แต่ถ้าเลือกกะเทย เขาจะให้เงินคุณ” และนั่นก็ทำให้ช่วงนั้นชาวเน็ตจำนวนมาก ต่างไม่พอใจในสิ่งที่เธอทำ

19 มีนาคม พ.ศ. 2502 ‘ในหลวง ร.9’ ทรงพระบรมราโชวาทแก่ ‘ทหารค่ายเสนาณรงค์’ “ประเทศเราอยู่มาได้แต่โบราณ ต้องอาศัยความสามัคคี-ความพร้อมเพรียงของทุกคน”

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2502 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนิน ณ ท่าเรือเทศบาลสงขลาเพื่อประทับเรือยนต์ ‘พัทลุง’ ซึ่งจัดถวายเป็นเรือพระที่นั่ง ทอดพระเนตรทะเลสาบสงขลา วิถีชีวิตของชาวบ้านและการแข่งเรือของชาวประมงในทะเลสาบสังขลา ชาวบ้านจัดซุ้มเฉลิมพระเกียรติอย่างสวยงามไว้กลางน้ำเพื่อรับเสด็จ ปัจจุบันเรือพัทลุงได้รับการซ่อมแซมและขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรจอดอยู่ในคลองลำปำ หลังวังเจ้าเมืองพัทลุง

ในวันเดียวกันนี้หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จทอดพระเนตรกิจการของสถานีการยางคอหงส์แล้ว ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังค่ายเสนาณรงค์ ทรงมีพระปฏิสันถารและพระราชดำรัสตอบแก่ทหารและข้าราชการที่มารอรับเสด็จดังนี้

“ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมค่ายเสนาณรงค์ ซึ่งค่ายนี้เป็นค่ายของกองทัพบกที่อยู่ทางใต้ที่สุดของประเทศไทยเรา อาณาเขตกรมผสมที่ 5 ที่จะต้องปกครอง ที่ต้องป้องกัน ที่เป็นอาณาเขตที่สำคัญ ยิ่งเป็นชายแดนข้าพเจ้าก็พอใจที่ท่านได้ฟัง ท่านแสดงความเจตนาอันแน่วแน่ที่จะทำหน้าที่ป้องกันประเทศ โดยที่ท่านได้กล่าวเสียงให้คำปฏิญาณ ขอให้การเปล่งเสียงปฏิญาณนั้นจงเป็นสัญลักษณ์ว่าทุกคนจะทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถในเวลาปกติไม่ทำสงคราม ทหารก็มีหน้าที่หลายอย่าง แต่หน้าที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ก็คือฝึกฝนอดทนและเรียนรู้ความรู้ต่างๆ เพิ่มเติมอยู่เสมอเพื่อที่จะให้ตนเองดีขึ้นมีความสามารถดีขึ้น และให้หมู่คณะเข้มแข็งขึ้น ต้องไม่ลืมว่าหน้าที่ของทหารมาก่อนอื่น คือต้องรู้จักรักชาติ การเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ประเทศเราอยู่มาได้แต่โบราณก็ต้องอาศัยความสามัคคีและความพร้อมเพรียงของทุกคน ขอให้ทหารทุกคนมีกำลังใจกำลังกายที่จะประกอบกิจการของตน เพื่อให้เป็นกำแพงป้องกันประเทศชาติในเมื่อมีความจำเป็น ขอให้ค่ายเสนาณรงค์นี้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไปชั่วกาลนาน”

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติพระบรมราชินีนาถ ทรงเยี่ยมเหล่าทหารและข้าราชการที่ค่ายเสนาณรงค์แล้ว จึงเสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังโรงเรียนหาดใหญ่ (ปัจจุบันคือโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย) ประทับ ณ พลับพลา ที่ประทับ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 16.45 น. เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรซึ่งมีทั้งคณะครู นักเรียน ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จอย่างหนาแน่น

ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักเขาน้อย ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งทอดพระเนตรซุ้มรับเสด็จของอำเภอหาดใหญ่ซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

18 มีนาคม พ.ศ. 2448 'ในหลวง ร.5' ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะ ต.ท่าฉลอม เป็น ‘สุขาภิบาลท่าฉลอม’ จุดเริ่มต้นของการกระจายอำนาจการปกครองแก่ ปชช.ท้องถิ่น ให้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดให้วันที่ 18 มีนาคม ของทุกปี เป็น ‘วันท้องถิ่นไทย’ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้ยกฐานะ ‘ตำบลท่าฉลอม’ ขึ้นเป็น ‘สุขาภิบาลท่าฉลอม’ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2448 ถือเป็น ‘ปฐมบทแห่งการปกครองท้องถิ่นไทย’ และเป็นรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่น

ทั้งนี้ ตามประวัติศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2440 (ร.ศ. 116) สุขาภิบาลแห่งแรกของไทยได้รับการจัดตั้งขึ้นในเขตกรุงเทพมหานครเรียกว่า ‘สุขาภิบาลกรุงเทพ’ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้พระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. 116 ขึ้น โดยผู้บริหารสุขาภิบาลกรุงเทพ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่อยู่ในบังคับบัญชาของเสนาบดีกระทรวงนครบาล ตามที่ทรงทอดพระเนตรมาจากการเสด็จประพาสต่างประเทศ

หลังจากนั้น 8 ปี คือในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2448 (ร.ศ. 124) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการให้ยกฐานะตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาครเป็น ‘สุขาภิบาล’ เรียกว่า ‘สุขาภิบาลท่าฉลอม’ ซึ่งถือว่าเป็นสุขาภิบาล ‘หัวเมือง’ แห่งแรกของไทย ซึ่งในปัจจุบันคือ ‘เทศบาลนครสมุทรสาคร’

สำหรับเหตุที่การจัดตั้งสุขาภิบาลหัวเมืองล่าช้าไปมาก เพราะสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทรง เล็งเห็นว่า การสุขาภิบาลซึ่งเป็นรูปแบบที่ประชาชนปกครองตนเองนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากราษฎรในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการจ่ายภาษี การร่วมกันดูแลรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของชุมชน หากบังคับให้มีขึ้นโดยที่ประชาชนไม่เห็นความจำเป็นก็จะไม่ประสบความสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอม จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของการกระจายอำนาจการปกครองให้แก่ประชาชนและเป็นการถือกำเนิดของการปกครองส่วนท้องถิ่นครั้งแรกในประเทศไทย นอกจากนี้ ในวันท้องถิ่นไทย หน่วยงานต่าง ๆ ในท้องถิ่นจะร่วมกันจัดกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งกิจกรรมสาธารณประโยชน์ 

‘แน็ก ชาลี’ ควง ‘กามิน’ ออกงานคู่กัน เป็นครั้งแรก  แฮปปี้ ทั้งเรื่องงาน-เรื่องหัวใจ จีบไปด้วย โกยเงินไปด้วย 

เมื่อวานนี้ (16 มี.ค.67) ออกงานคู่กันอีเวนต์แรก ก็แตกกระจาย เลยทีเดียว ‘แน็ก ชาลี ไตรรัตน์’ ควงแขน ‘กามิน’ มาร่วมงานเปิดตัว Eucerrin Pro Acne Sulution SOS Serum กลางสยาม วัน โดยทั้งคู่ได้หยอดกันต่อหน้าสื่อ ทำเอากรี๊ดกันไปหลายตลบ เพราะน่ารักไม่แผ่ว ซึ่งสาวกามินก็เผยว่าดีใจมากที่ได้มางานในวันนี้ ก่อนมางานก็ดูดวงมาแล้ว ว่าต้องมาทำงานที่เมืองไทย

กามิน : “ดีใจมากๆ ที่ได้มาร่วมงานอีเวนต์ใหญ่ขนาดนี้ รู้สึกขอบคุณชาลีมากๆ ที่ช่วยให้ได้มาร่วมงานครั้งนี้และขอบคุณแฟนทุกๆ คนค่ะ (โชว์พูดภาษาไทยว่า หิวมากๆ ฉันอยากกินไก่ สนุกๆ ตลกๆ หิวจะตายอยู่แล้ว) ชาลีและแฟนคลับเป็นคนสอน”

แน็ก : “เขาเรียนรู้เองด้วย เขาอยากขอบคุณคนไทยหลายๆ คน เขาเลยอยากเรียนรู้ภาษาไทยมากขึ้น จริงๆ ทุกวันเขาพยายามให้คนใกล้ตัวเขาสอนภาษาไทยเยอะๆเพราะตอนนี้เขามาทำงานที่ไทยแล้วก็อยากทำงานให้เต็มที่ เพื่อขอบคุณทุกคนจริงๆด้วย”

กามิน : “ขอบคุณแฟนๆ ที่สนับสนุนมาตั้งแต่ต้นจนจบเลยจริงๆ ก่อนหน้านี้เคยดูดวง เขาบอกว่าจะได้มาทำงานในไทย ดีใจมากๆ ที่เป็นจริงขึ้นมา ขอบคุณทุกคนมากๆ”

แน็ก : “ผมขอบคุณที่ทุกคนน่ารักกับผมมากันตลอด และผมก็ดีใจมากๆ ที่ได้พาเขามายืนด้วยกันตรงนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้มันแทบจะเป็นความจริงไม่ได้ แต่เรามาทำกันมาจนถึงจุดนี้ ขอบคุณทุกคนที่มาในวันนี้ ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่เป็นกำลังใจให้เราตั้งแต่วันแรก ผมดีใจมากเขาเองก็ดีใจมากๆ

ดีใจที่ทุกคนมา อีกอย่างมันเป็นความน่ารักของเขาด้วย ที่ทำให้ทุกคนยังอยู่กับเขาได้นาน ขอให้เขาน่ารักแบบนี้นานๆตลอดไป ผมว่าวันนี้เขาตื่นเต้น เห็นเขานิ่งเขาตื่นเต้นบวกกับอากาศวันนี้ที่ร้อน แต่ก็ต้องขอบคุณงานนี้จริงๆ ที่ให้โอกาสเราสองคน อยากให้ทุกคนรักเขาให้ได้มากที่สุด วันนี้ผมดูเก๊กไปหน่อยใช่ไหมครับ อยู่กับสาวก็อย่างนี้แหละต้องนิ่งไว้ก่อน”
อยากทำเพลงให้กามิน

แน็ก : “ผมอยากทำเพลงให้เขาหลายเพลง เป็นเพลงที่เราทำให้เขาจริงๆ และยกให้เขาไปเลย ตอนนี้ก็ดูอยู่ว่าเขาอยากทำเพลงแนวน่ารักๆ เพราะเขาชอบร้องเพลงและเล่นดนตรีได้หลายอย่างด้วยการแสดงก็เก่งมากๆ ด้วย เวลามาทำงานก็ทำให้ งานง่ายมากขึ้นด้วย (ขอแต่งหรือขอเป็นแฟน?) ขอแต่งให้กันดีๆ ก่อน (หัวเราะ) เรื่องมาร่วมงานกันที่เมืองไทย ผมก็คิด ผมก็จะพูดตลอด ผมจะเป็นคนที่คิดไว้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ตัวผมก็อาจจะรู้ก่อน เราตั้งใจในการทำบางสิ่งมากเราใช้ความจริงใจเข้าไป เต็มๆ ร้อยด้วย กับอะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็จุดจบมันก็คือมีความสุขมาก ได้มายืนอยู่ตรงนี้ด้วยกัน”

กามินรับแน็ก สเปก

กามิน : “ใช่ (นักข่าวถามวาดูดวงว่าจะได้ทำงานที่ไทยแล้วดูดวงไหมจะมีแฟนเป็นคนไทย?) อาจจะ (ชาลี?) (หัวเราะ)”

แน็ก : “เรื่องดวงสมพงศ์กัน ก็สาธุ ปล่อยให้มันเป็นไปตามสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ผมไม่ต้องเช็กดวง ก็รอดู เราก็พยายามทำตัวให้มันดีขึ้นๆ หลายๆ อย่าง ก็อยู่ด้วยกันให้ทำงานมีความสุขพยายามทำให้ดีที่สุด เขาเป็นคนที่ง่ายๆ สบายๆ ที่แบบดีใจมาก”

ทำคะแนนอยู่ทุกวัน

แน็ก : “ใช่ครับ ทำอยู่ ตลอดเวลา ถามว่าเขาให้ผ่านไหม ก็คือจริงๆ หลายคนจะต้องทำความเข้าใจ ความเป็นจริงเรื่องหนึ่งนะ เขาก็พยายามเอ็นเตอร์เทน ให้ทุกคนมีความสุข”

ยิ่งทำงานด้วยกัน ยิ่งมีความสุข และใกล้ชิดกันมากๆ หาวิธีเนียนๆ ใกล้ชิดกัน
แน็ก : ”ส่วนตัวผมก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แค่ว่าผมอยากแสดงมุมไหนให้เพื่อนๆ ได้เห็น แต่ก็ดีใจที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ อีกมากมาย ต้องขอบคุณมากๆ ผมเป็นคนที่เวลาโชคดีก็จะโชคดีมากๆ เวลาโชคร้ายก็โชคร้าย แต่โชคดีมากกว่า เวลามีความรัก มีความรู้สึกดีเรื่องความรัก ทุกคนน่ารักมาก เปิดใจให้ผม และรอดูไปด้วยกัน เราก็มีถามบ้าง แต่เราคุยกันแบบผู้ใหญ่ เราสองคนโตกันมาก คุยกันในหลักความจริง ทุกอย่างมันต้องใช้เวลาในการพัฒนา แต่เท่าที่ผมดูในความรู้สึกของผม เราทำงานด้วยกันไม่กี่วันมันก็มีความสุขขึ้นมากๆ ใกล้ชิดกันมากขึ้น พยายามหาวิธีเนียนๆ ใกล้ชิดกับเขาเยอะๆ”

ขอเป็นแฟนไหม อยู่บนความจริง

แน็ก : “เดี๋ยวต้องมีการคุยอยู่แล้ว ทุกอย่างอยู่บนความจริง”

กามิน : “ถามว่าเขาขอเป็นแฟนจะโอเคไหม (หัวเราะ) ถ้าซักผ้าเก่งก็โอเคนะ”

แน็ก : “ผมซักผ้าโคตรเก่งเลยครับ”

กามิน : “เขา very handsome ถูกใจ ตาโต ชอบไทยๆ สเปกค่ะ”
ลักกี้อินเกม แอนด์ เลิฟ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ 100 เปอร์เซ็นต์ ทุ่มเทและพยายามเพื่อให้เกิดขึ้น

แน็ก : “ก็ขอบคุณทุกคนจริงๆ ผมดีใจมากๆ ที่ได้มาเจอสิ่งดีๆ มากขึ้น นอกจากเจอเขาแล้วยังได้เจอเพื่อนๆ มากมายที่เปิดใจให้เรา ให้กำลังใจเราทั้งคู่ มันเป็นอะไรที่ดีมากๆ เรื่องแบบนี้มันไม่ได้เกิดกันได้ง่ายๆ และมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ 100% ผมเองต้องทุ่มเทพยายามหลายอย่างเพื่อจะให้มันเกิดขึ้นในวันนี้“

ภาษาไม่ใช่อุปสรรค นินทาไม่ได้แล้ว กามินรู้ภาษาไทยมากขึ้น

แน็ก : ”ถ้าเป็นอุปสรรคไม่ได้มายืนตรงนี้หรอก ผมจะพยายามให้เขาเรียนเพิ่มเติม เป็นตัวเขาที่จะต้องเรียนอีกมากมาย ผมเชื่อและอยากให้เขาได้ทำงานที่นี่ ใครจะว่าใครจะอะไรก็ไม่เป็นไร ตอนนี้เขาก็พูดไทยได้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น ผมนินทาอะไรเริ่มไม่ค่อยได้แล้ว เห็นนิ่งๆ แบบนี้เขาเข้าใจนะ ส่วนภาษาเกาหลีแรกๆ ก็เรียนนะครับ แต่เขามาทำงานที่นี่เลยให้เขาฝึกเยอะๆ ดีกว่า”

กามิน : “ซารังเฮ”

แน็ก : “นี่ไงบอกรักกันแล้ว”

เดินหน้าจีบ พร้อมเป็นป๋าดัน

แน็ก : “เดินหน้าจีบก่อนเป็นป๋าดันอีกครับ สุดท้ายสิ่งที่จะอยู่กับเขาได้นานที่สุดคือความเป็นตัวของเขาเอง อยู่ที่ว่าเขาจะคงความน่ารักแบบนี้ได้ตลอดไปหรือเปล่า ต้องบอกก่อนว่าเรื่องราวของเรามันเป็นการให้ใจของทุกคนที่ให้ใจพวกเรามา เราให้ใจทุกคนมากๆ เลย วันไหนเราดี น่ารักทุกคนก็สนับสนุน วันไหนผมหรือเขาไม่ดี ไม่มีความน่ารักก็หยุดสนับสนุนทั้งคู่ได้ ผมเชื่อว่าเราจะยังน่ารักกันไปอีกนาน จะทำให้ดีที่สุด”
จีบไปด้วยรับเงินไปด้วย

แน็ก : “ใช่ ผมชอบมาก ความรักที่มันเปิดเผย ผมมีความสุขมากจนบางทีตัวเขาก็กังวลอยู่เหมือนกันนะว่ามันคือเรื่องจริงหรือว่าแต่งเรื่องหรือเปล่า ก็จะพยายามบอกเขาตลอดว่ามันจริง ที่เราทำทุกอย่างมันจริง เราใส่ใจไปเต็มร้อยด้วย”

กามิน : “ดีใจมากๆ จนไม่คิดว่านี้คือเรื่องจริงเลย เหมือนเป็นความฝันที่ได้มาร่วมงานกับชาลี และทุกคน ทุกคนดูแลดีจนรู้สึกเกรงใจ”
ค่าตัวสูงแต่ไม่ถึง 8 หลัก

แน็ก : ”สาธุครับ หลายคนอาจจะเข้าใจว่ามันงานเดียว ไม่ใช่ครับ บางทีระยะเวลางานนั้นเป็นปี ต้องทำงานหลายครั้งหลายวัน ที่บอก 8 หลักไม่จริงเลย

เท่าที่ได้มาก็ดีมากๆ แล้ว สาธุขอให้ 8 หลักเร็วๆ คือจ้างงานพวกเราได้ครับ ผมจะถามเขาตลอดว่าเต็มใจทำงานไหม มีความสุขที่ทำงานไหม เขาจะบอกว่าแฮปปี้ทุกวันเป็นสิ่งที่ดีมากๆก็ต้องขอบคุณลูกค้าทุกคนและทุกกำลังใจมันเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ณ ตอนนี้”

จริงใจที่สุด อยากให้ทุกอย่างดีที่สุดสำหรับกามิน

แน็ก : “ตัวผมดูเรื่องความเหมาะสมและสิ่งที่เขาควรจะเป็น คุมเรื่องต่างๆ ตัวผมเองกล้าพูดว่าจริงใจที่สุด ในการที่อยู่กับเขาหรือดูแล อยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันดีที่สุดสำหรับเขา ไม่ใช่ว่ามาปุ๊บ แล้วโดนคนโน้นคนนี้พาไปเละเทะ มันจะหลุดออกนอกกรอบ เพราะยังไงเขาก็ยังไม่ใช่คนไทยยังไม่ได้เข้าใจอะไรเต็มร้อยทุกอย่าง ตัวผมต้องขออนุญาต ควบคุมในบางสิ่งบางอย่างอยู่

ส่วนเป็นผู้จัดการหัวใจหรือเปล่า สาธุ ครับ (สถานะตอนนี้เป็นอะไร นักปั้น นักจีบหรือนักรัก) พร้อมกันไปหมดละครับ ถ้าใครสังเกตสองเดือนที่ผ่านมาผมมีโอกาสที่จะไลฟ์ขายของเยอะมาก ผมมีคนติดตามมากขึ้น มีคนให้กำลังใจแต่ผมไม่ทำเลยนะ เรื่องของการขายของ ผมทำแต่สินค้าที่ติดกับผมอยู่ แล้วผมรู้สึกว่าผมไม่อยากทำงานคนเดียว อยากจะทำงานทุกอย่างที่ให้เขามาร่วมทำงานกับเราด้วย มันก็เหมือนเป็นกำลังใจอย่างหนึ่ง ทำให้ผมอยากทำงานด้วย ตอนนี้ผมก็เลยทำงานให้เต็มที่ที่สุด”

17 มีนาคม พ.ศ. 2509 'ในหลวง ร.9' ทรงพระราชทาน ‘ปลานิล’ ให้กรมประมงเพาะขยายพันธุ์ พัฒนาเป็นสัตว์เศรษฐกิจสู่การสร้าง ‘อาชีพ-รายได้-อาหาร’ ให้คนไทย

'ปลานิล' เป็นปลาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวไทย มีต้นกำเนิดมาจากพันธุ์ปลา Nile tilapia จำนวน 50 ตัว ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2508 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลี้ยงไว้ในบ่อที่สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต จนแพร่ขยายพันธุ์เป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ปลาชนิดนี้เจริญเติบโตดี เลี้ยงง่าย และเนื้อมีรสชาติดี เหมาะที่จะเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่สำคัญของประชาชนทั่วไป พระองค์จึงพระราชทานปลาที่เพาะเลี้ยงจากสวนจิตรลดาจำนวน 10,000 ตัว แก่กรมประมง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2509 เพื่อขยายพันธุ์และแจกจ่ายแก่ประชาชนเพื่อนำไปเลี้ยงในทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานชื่อปลาชนิดนี้ว่า ‘ปลานิล’ ปัจจุบันปลานิลเป็นปลาที่นิยมบริโภคโดยทั่วไปในประเทศ และสามารถส่งออกนำรายได้เข้าประเทศมีมูลค่าถึงประมาณ 900 ล้านบาทต่อปี

‘ปลานิล’ เลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์ง่าย มีคุณลักษณะพิเศษหลายอย่าง เช่น กินอาหารได้ทุกชนิด เช่น ไรน้ำ ตะไคร่น้ำ ตัวอ่อนของแมลงและสัตว์น้ำเล็กๆ และมีรสชาติดี จนตอนนี้กลายเป็นปลาที่เราสามารถหาพบได้ตามแหล่งธรรมชาติ และเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของไทย เป็นปลาน้ำจืดที่คนไทยบริโภคมากที่สุดในปัจจุบัน

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567

📌รางวัลที่ 1 : 997626
📌รางวัลเลขท้าย 2 ตัว : 78
📌รางวัลเลขหน้า 3 ตัว : 571 509
📌รางวัลเลขท้าย 3 ตัว : 794 329
📌รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1: 997625,997627
 
📌รางวัลที่ 2 : 485642,631001,897694,158908,485546
 
📌รางวัลที่ 3 :935199, 322578,669775,620048,826842
421546,105303,951264,238160,696050

📌รางวัลที่ 4: 758395,000341,531222,431579,382805
411596,246073,447454,535126,791580
657195,720975,434148,281788,118769
018003,363379,611287,236153,542218
667327,258455,716354,766185,323851
766682,990089,343639,835813,051048
186506,621447,836291,194519,429726
024292,511125,229005,465714,656833
830148,369148,381682,701512,082645
069735,636604,788574,582288,941507

📌รางวัลที่ 5: 897221,359981,281316,483750,790445
703954,941330,777286,834119,089496
256562,241656,726226,827733,733185
769325,793922,494870,123872,505629
952154,421006,208031,072364,229601
263497,074037,061993,366058,321698
528251,942827,074356,067668,615908
155537,414317,405975,763641,111550
638069,530904,349703,937154,075430
779987,843878,392798,257097,912304
894675,706515,427954,538263,979750
711328,981529,898338,803122,305480
754334,929805,613167,926111,384858
668676,779577,253377,712705,382576
197338,291923,580053,152229,250163
022080,372465,077241,351806,270058
341652,765794,346588,640404,950507
124680,554182,212559,570696,574568
001197,478627,007809,132215,512054
269609,943540,372430,259872,086935

16 มีนาคม พ.ศ. 2564 ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ทรงพระราชทานพระราโชวาทหัวข้อ ‘นักวิทยาศาสตร์ตัวน้อย’ “การฝึกให้เด็กมีอุปนิสัยช่างสังเกต-ค้นคว้า จะทำให้เด็กเจริญเติบโตด้วยความเข้าใจ”

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2564 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จออก ณ ห้องประชุม อาคารหอพระสมุดส่วนพระองค์ วังสระปทุม ทรงเปิดงานสัมมนาวิชาการ ‘ครบรอบ 10 ปี โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทยกับการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน’ โดยถ่ายทอดสดผ่านสื่อออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ โดยเป็นการปรับรูปแบบในการจัดงานช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิค-19

เนื่องในโอกาสนี้ พระองค์ทรงพระราชทานพระราชดำรัสเปิดการสัมมนาและทรงปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ ‘บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยกับการศึกษาเพื่อความยั่งยืน’ ความตอนหนึ่งว่า “การฝึกให้เด็กมีอุปนิสัยช่างสังเกต เฝ้าค้นคว้าหาคำตอบของปัญหาด้วยตนเอง ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เด็กเจริญเติบโตด้วยความเข้าใจสิ่งที่พบเห็นรอบตัวอย่างมีเหตุผล และมีวิจารณญาณ ทั้งอนุบาลและประถม

“บางทีการที่จะไปเรียนในโรงเรียนไกลๆ พ่อแม่ก็จะเป็นห่วง ไม่สามารถกลับได้ก็ต้องอยู่โรงเรียนประจำ ทำให้ กศน.ก็จะขยายและไปสอนที่นั่น ก็จะเอาโครงการคล้ายๆ บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ไปสอนในระดับประถม เด็กมีวุฒิภาวะดีมาก และก็ช่างสังเกตเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้ เกี่ยวกับเรื่องสิ่งรอบตัวเราดีมาก”

“เรามองเห็นว่าเราจะสามารถขยายไปในระดับประถมได้ แต่การศึกษาในระดับประถมศึกษาที่เราอยากจะขยายนั้นมิใช่ของง่าย เยอรมันเองเค้าก็มองว่าทำได้ แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ของไทยก็มีปัญหา ระดับประถมนี้จะมีหลักสูตรแน่นอน เพราะฉะนั้นก็จะสอนตามหลักสูตรเหมือนกันทั่วประเทศ

“ส่วนอนุบาลมีหลักสูตรแน่นอน จะสอนอะไรก็ได้ มันก็เข้ากับโครงการนี้ แต่ระดับประถมยากตรงนี้ ตรงที่มีหลักสูตรตายตัว แต่ว่ามาในยุคนี้ หลักการของการสอนก็ต้องมีชั่วโมงที่เหมือนกันว่า ไม่ต้องทำตามหลักสูตร เพราะว่ามันแข็งเกินไป อาจจะนำมาใช้สอนอะไรชนิดที่สร้างสรรค์ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปได้ตามบริบทของท้องที่”

จากนั้นทรงทอดพระเนตรการบรรยายผ่านโปรแกรมออนไลน์ จาก ดร.ไมเคิล ฟริซ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศเยอรมนี และ นางซิบลี ไซเดอร์ ผู้อำนวยการโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศออสเตรเลีย พร้อมกันนี้ รองศาสตราจารย์คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ ประธานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย กราบบังคมทูลเบิกผู้แทน 8 ภาคี เข้ารับพระราชทานบันทึกข้อตกลง (MOA) ประกอบด้วยผู้แทนจากมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด และบี.กริม (B.Grimm) ซึ่งเป็นบันทึกข้อตกลงที่ทำต่อเนื่องมาเป็นฉบับที่ 3 ที่ทำร่วมกับมูลนิธิบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศเยอรมนี (Haus der Kleinen Forscher) โดยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒดำเนินการในการรับและส่งสัญญาณออนไลน์จากที่ต่างๆ ถ่ายทอดให้ผู้ที่เข้าร่วมงานได้รับชม โดยมีผู้นำเครือข่ายท้องถิ่นและคณะทำงานของโครงการกว่า 3,500 คน จาก 238 เครือข่ายทั่วประเทศเข้าร่วมกิจกรรม

รศ.ดร.คุณหญิงสุมณฑา กล่าวว่า โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2553 ตามพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อปลูกฝังนิสัยรักวิทยาศาสตร์และทักษะทางวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัย โดยเริ่มต้นมีโรงเรียนเข้าร่วมเพียง 221 โรงเรียน ปัจจุบันขยายผลสู่ 29,129 โรงเรียน ใน 238 ผู้นำเครือข่ายท้องถิ่นแล้ว ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ได้ขยายโครงการไปทั่วประเทศ อีกทั้งมีองค์ความรู้ด้านการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ปฐมวัยเพิ่มขึ้นมากมาย

ทั้งนี้ จากความสำเร็จในการวางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้กับโรงเรียนอนุบาลไปทั่วประเทศแล้ว ยังมีการเผยแพร่โครงการสู่ระบบครอบครัวโดยได้จัดทำรายการโทรทัศน์ ‘บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย’ เป็นรายการวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย นำเสนอในรูปแบบการ์ตูนแอนิเมชั่น ที่สอดแทรกการทดลองวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจง่าย และมีการทดลองวิทยาศาสตร์ในหลายรูปแบบ เพื่อสร้างฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ให้ลงลึกสู่ครอบครัวมากขึ้น ผู้ปกครองได้ร่วมทดลองไปกับเด็กๆ ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้เด็กรุ่นใหม่รักและเห็นว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่อ และยังสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กกล้าคิด กล้าทำ กล้าพูด

โดยออนแอร์ทุกวันอาทิตย์ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย รวมถึงได้มีการจัดงานเทศกาลวันบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง

‘แอนนี่ บรู๊ค’ ชนะคดีฟ้องเพจดัง สร้างคอนเทนต์ขยะ ทำลูกชายเสียหาย วอน!! เลิกเอาอดีตมาบูลลี่-อย่ายุ่งกับชีวิตเด็ก ย้ำ เรื่องผู้ใหญ่มันผ่านมาแล้ว

(15 มี.ค.67) หลังจากที่เคยขึ้นศาลไต่สวนมูลฟ้องคดีหมิ่นประมาท เจ้าของเพจชื่อดัง ที่โพสต์รูปลูกชาย น้องฑีฆายุ วัย 13 ปี มีเกรียนคีย์บอร์ดพาดพิงถึงลูกในแง่ไม่ดี ทั้งที่ลูกยังเป็นเยาวชน ทำให้เกิดความเสียหายทั้งชื่อเสียงและจิตใจ ตั้งแต่เดือน ม.ค. ปีที่ผ่านมา

ล่าสุดวันนี้ แอนนี่ บรู๊ค ได้เผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่าตนชนะคดีเรียบร้อยแล้ว คู่กรณีโดนโทษอาญา 2 ปี พร้อมค่าปรับ อัดเลิกเถอะ เอาอดีตคนอื่นมาบูลลี่ ส่วนเพจอื่นที่พาดพิงถึงลูกอย่าคิดว่าจะรอด

“ชนะแล้วนะคะ คดีที่แอนฟ้องเพจที่สร้างคอนเทนต์ขยะเกี่ยวกับแอนและลูก โดนโทษอาญาไป 2 ปีและค่าปรับ เลิกเถอะนะคะเอาอดีตคนอื่นมาบูลลี่โดยไม่สนปัจจุบันว่าเขาทำดีแค่ไหนมาไกลอย่างไรแล้ว

🙏ขอบคุณพี่เจมส์ ทนายเจมส์ LK ที่ทำให้เห็นว่าวิชาชีพทนายไม่ใช่มาจากคำบอกเล่า แต่มาจากความสามารถโดยแท้

📌ส่วนคนคอมเมนต์รอหน่อย ทยอยอยู่ ส่วนเพจอื่นตอนนี้ที่ทักไปแล้วบอกให้ลบแล้วยังไม่ยอมลบ ก็อย่าคิดว่าจะรอด ดิฉันว่างค่ะ ถ้าคุณยังไม่หยุดยุ่งกับลูกดิฉัน”

บอกแล้วว่าไม่ไกล่เกลี่ยคือไม่ไกล่เกลี่ยไม่รับเงินใต้โต๊ะใด ๆ ทั้งสิ้น คำไหนคำนั้นเลิกยุ่งกับชีวิตชาวบ้านเขาได้แล้วพวกที่ชอบความสนุกในการพิมพ์ เพราะบางคนเขาไม่ได้ให้อภัยคุณ

คนเราต้องหัดมองปัจจุบันของคนอื่นเขาบ้างว่าเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองยังไง ไม่ใช่เอาแต่เรื่องอดีตมาพูดอยู่ตลอดเวลา แม่เลี้ยงเดี่ยวบางคน ตอนนี้มีสามีไปแล้วเป็นร้อย ดิฉันยังไม่เคยทำอะไรผิดพลาดอีกเลย ก็ต้องรู้จักดูกันบ้าง ไม่ใช่เอาความสะใจมาบูลลี่เรื่องอดีตคนอื่นกับเด็กก็ไม่เว้นมันก็ควรโดน

สำคัญคือลูกดิฉันไม่ได้ผิดอะไร เด็กไม่ได้ทำผิดอะไรเลย อย่ายุ่งกับชีวิตของเด็ก เรื่องผู้ใหญ่มันผ่านมาแล้ว”

‘ในหลวง ร.4’ โปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ ‘ราชกิจจานุเบกษา’ เพื่อให้คนไทยได้รู้ข่าวราชการแผ่นดินทั้งใน-นอกประเทศ

‘ราชกิจจานุเบกษา’ ถือเป็นสิ่งพิมพ์ประเภทวารสารฉบับแรกของรัฐไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดพิมพ์ขึ้น เริ่มออกฉบับแรกเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2401 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศคำสั่งทางราชการ โดยเฉพาะในการประกาศกฎหมาย ซึ่งมีการรับรองในกฎหมายว่า กฎหมายทั้งหลายต้องลงเผยแพร่ในหนังสือนี้ก่อนจึงจะมีผลใช้บังคับได้ และเผยแพร่ให้ส่วนราชการและราษฎรได้ทราบทั่วกัน มีกำหนดออกทุก 15 วัน แต่การจัดพิมพ์ราชกิจจานุเบกษาในสมัยเริ่มแรกนี้ ตีพิมพ์เผยแพร่ได้เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ก็ต้องหยุดกิจการไป

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเล็งเห็นความสำคัญของหนังสือราชกิจจานุเบกษา และทรงหวังที่จะให้ราษฎรได้รับทราบข่าวคราวและราชการแผ่นดินทั้งในและนอกประเทศ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ออกหนังสือราชกิจจานุเบกษาอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2417 ในการจัดพิมพ์ครั้งนี้พิมพ์ออกเผยแพร่ด้วยวิธีการจำหน่ายในอัตราปีละ 8 บาท โดยมีกำหนดออกในวันขึ้น 1 ค่ำ ขึ้น 9 ค่ำ แรม 1 ค่ำ และแรม 9 ค่ำ ของทุกเดือน แต่ราชกิจจานุเบกษาที่พิมพ์ออกในสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนต้น ก็ออกไม่สม่ำเสมอนัก ต่อมาจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเปลี่ยนแปลงกำหนดออกราชกิจจานุเบกษาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2432 โดยมีกำหนดออกทุกวันอังคาร หลังจากนั้น การจัดทำราชกิจจานุเบกษาก็ได้ดำเนินสืบมาจนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ ราชกิจจานุเบกษา ในสมัยแรกเริ่ม สมัยรัชกาลที่ 4 นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานพิมพ์ พิมพ์ขึ้นในปีมะเมีย สัมฤทธิศก 1220 และปีมะแม เอกศก 1221 ต่อกัน 2 ปี เป็นหนังสือหลายร้อยฉบับ สำหรับพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทได้ทราบข้อราชการต่าง ๆ  ครั้นมาถึงในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ พระดำริว่า “หนังสือราชกิจจานุเบกษา ในรัชกาลที่ ๔ เป็นหนังสือที่มีประโยชน์ไม่ควรให้สูญหายไป” จึงได้ทรงรวบรวมต้นฉบับเท่าที่หาได้มาจัดพิมพ์ขึ้นใหม่เป็นจำนวน 500 เล่ม โดยอักขรวิธีที่พิมพ์ยังคงอยู่ตามเดิมมิได้มีการแก้ไขแต่ประการใด แต่การพิมพ์ราชกิจจานุเบกษาดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ สิ้นพระชนม์เสียก่อน พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าไชยันตมงคล ได้ทรงรับธุระดำเนินงานจนแล้วเสร็จ และได้เย็บผูกเป็นเล่มนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายใน ที่เหลือได้จำหน่ายในราคาเล่มละ 5 บาท

ในตอนแรกเริ่มนั้น ราชกิจจานุเบกษา คือ หนังสือหมายประกาศการเล็กน้อยต่าง ๆ จากผู้เป็นพระมหากษัตริย์ มาในวันจันทร์ เดือนห้า ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย ยังเป็นนพศก เป็นปีที่แปด ในรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งในรัชกาลปัจจุบันนี้ ให้ข้าราชการทุกตำแหน่งทั้งในกรุงและนอกกรุงและราษฎรทั้งปวงทราบโดยทั่วกันและทำตาม ประพฤติตาม และรู้ความตามสมควร เพื่อไม่ทำให้ประกาศผิดพระราชดำริ พระราชประสงค์ และไปเล่าลือ เข้าใจความผิด ๆ ไป

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริตริตรองในการที่จะทำนุบำรุงแผ่นดินให้เรียบร้อยสำเร็จประโยชน์ทั่วถึงให้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงทรงพระวิตกว่าราชการต่าง ๆ ซึ่งสั่งให้กรมวังให้สัสดีและทะลวงฟัน เดินบอกตามหมู่ตามกรมต่าง ๆ นั้นก็ดี การที่ยังบังคับให้นายอำเภอมีหมายป่าวประกาศแก่ราษฎรในแขวงนั้น ๆ ก็ดี พระราชบัญญัติใหม่ ๆ ตั้งขึ้นเพื่อที่จะห้ามสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือบอกสิ่งที่ควรทำก็ดี การเตือนสติให้ระลึกและถือพระราชกำหนดกฎหมายเก่าก็ดี ตั้งขึ้นและเลิกอากรภาษีต่าง ๆ และพิกัดภาษีนั้น ๆ และลดหย่อนลงหรือขึ้นพิกัดของภาษีนั้น ๆ ก็ดี การเกณฑ์และขอแรงและบอกบุญก็ดี ว่าโดยสั้น ๆ คือเหตุใด ๆ การณ์ใด ๆ ที่ควร ช้าราชการทั้งปวงและราษฎรทั้งหลายพึงรู้โดยทั่วกันนั้น แต่ก่อนเป็นแต่ทำหมายหรือคำประกาศเขียนด้วยดินสอสีดำลงประกาศส่งกันไปส่งกันมา และให้ลอกต่อกันไปผิด ๆ ถูก ๆ ก็เพราะหนังสือ หรือคำประกาศนั้นมีน้อยฉบับ ผู้ที่ได้อ่านและเข้าถึงมีน้อยทำให้ไม่ทั่วถึง ว่าการพระราชประสงค์และประสงค์ของผู้ใหญ่ในแผ่นดิน จะบังคับมาและตกลงประการใด ข้าราชการทั้งปวงและราษฎรทั้งปวงก็ไม่ทราบทั่วกัน ได้ยินแต่ว่ามีหมายประกาศบังคับมา เมื่อการณ์นั้นเกี่ยวข้องกับตัวใครก็เป็นแต่ถามกันต่อไป ผู้ที่จะได้อ่านต้นฉบับน้อยคน บางคนถึงจะได้อ่านก็ไม่เข้าใจ

เพราะราษฎรที่รู้หนังสือในขณะนั้นมีน้อยกว่าผู้ที่ไม่รู้หนังสือ หนังสือก็อ่านไม่ออก ดวงตราของขุนนางในตำแหน่งก็ดูไม่เป็น ซึ่งจะบังคับใช้เรื่องอะไรก็ดูไม่เป็น เห็นตราแดง ๆ ก็พากันกลัว ผู้ที่ถือหนังสือว่าว่าอย่างไรก็เชื่อหมด เพราะฉะนั้นจึงมีคนคดโกง แต่งหนังสือเป็นท้องตราอ้างว่ารับสั่งจากวังหลวงและวังหน้า และเจ้านายเสนาบดีที่เป็นที่นับถือเคารพยำเกรงของราษฎร แล้วก็บังคับหลอกลวงไปต่าง ๆ นานา ด้วยการไม่เป็นธรรม ทำให้ราษฎรเดือดร้อน และเสียพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน และพระนามเจ้านาย และชื่อขุนนาง เพราะฉะนั้นพระราชดำริที่ให้มีการออกพระราชกิจจานุเบกษาก็เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการตีพิมพ์หนังสืออย่างหนึ่ง มีชื่อภาษาสันสฤตว่า ‘ราชกิจจานุเบกษา’ แปลว่าหนังสือเป็นที่เพ่งดูราชกิจ มีตรารูปพระมหามงกุฎและฉัตรขนาบสองข้างดวงใหญ่ ตีในเส้นดำกับหนังสือนำหน้าเป็นอักษรตัวใหญ่ว่า ‘ราชกิจจานุเบกษา’ อยู่เบื้องบนบรรทัดทุกฉบับ เป็นสำคัญ แจกมาแก่คนต่าง ๆ ที่ควรรู้ทุกเดือน ทุกปักษ์

14 มีนาคม พ.ศ. 2565 ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ทรงแสดงปาฐกถาในการประชุมวิชาการฯ ด้านสิ่งแวดล้อม “การพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำเป็นต้องใส่ใจระยะยาว เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน”

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 65 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์นายกกิตติมศักดิ์และองค์ประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา เสด็จออก ณ วังสระปทุม ทรงเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม ‘The 3rd International Conference on Environment, Livelihood, and Services 2022’ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ออนไลน์ ตามที่ได้พระราชทานพระราชานุมัติ ให้มูลนิธิชัยพัฒนา

โดยโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ร่วมกับคณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, หน่วยงานราชการ และภาคเอกชน จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 14 - 16 มีนาคม 2565 เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการจัดการน้ำเสียด้วยวิธีทางธรรมชาติตามแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเปิดโอกาสให้นักวิจัยและนักศึกษา ได้แสดงผลงานวิจัย และสร้างเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อม

ในการนี้ ทรงแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง ‘การเปลี่ยนแปลงของโลก และการช่วยเหลือให้ประชาชนพึ่งพาตนเอง ผ่านโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของมูลนิธิชัยพัฒนา’ โดยทรงเน้นย้ำว่าถึงแม้สถานการณ์โควิด-19 จะทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ทั่วโลกหยุดชะงักลงชั่วคราว แต่ช่วยให้คุณภาพสิ่งแวดล้อมดีขึ้น ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดน้อยลง การพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม จึงจำเป็นต้องให้ความใส่ใจระยะยาว เพื่อเป้าหมายที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม จะเห็นได้จากการที่ทรงก่อตั้งมูลนิธิชัยพัฒนา และโครงการด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่มูลนิธิฯ ดูแลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ, โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี ล้วนเป็นโครงการที่ดำเนินการในระดับท้องถิ่น แต่ส่งผลระดับนานาชาติ

ในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มูลนิธิชัยพัฒนา ยังจัดตั้ง ‘กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด-19 (และโรคระบาดต่าง ๆ)’ ขึ้น เพื่อจัดซื้อและจัดหาอุปกรณ์รวมทั้งนวัตกรรมทางการแพทย์ ช่วยเหลือโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ รวม 122 แห่งใน 56 จังหวัด รวมทั้งสนับสนุนให้ประชาชนปลูกพืชอาหารเพื่อการบริโภค นับว่าเป็นการพึ่งพาตนเองได้อีกทางหนึ่ง”

การประชุมครั้งนี้ มีหัวข้อสำคัญ ได้แก่ การปรับตัวและจัดเตรียมทรัพยากรธรรมชาติ, การเตรียมความพร้อมรับภัยธรรมชาติและมลภาวะแวดล้อม , เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม และด้านสังคม มีวิทยากรพิเศษ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง จากต่างประเทศ ร่วมบรรยาย อาทิ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา

‘ม้า อรนภา’ ปลื้ม!! ‘ลิซ่า’ โผล่ทักทายหลังบังเอิญเจอในเกาหลี ชื่นชม!! เป็นเด็กน่ารัก ไม่แปลกใจที่โด่งดังระดับโลกขนาดนี้

(13 มี.ค. 67) ‘ม้า อรนภา กฤษฎี’ นักแสดงอาวุโส เผยแพร่รูปถ่ายคู่กับ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ ผ่านทางเฟซบุ๊ก ‘Ornapa Krisadee’ ระบุว่า…

มาเกาหลีครั้งนี้ ดีใจมาก เดินดูเสื้ออยู่ในร้านแบรนด์หนึ่ง ใน section ที่เงียบสงบ ได้ยินเสียงผู้หญิง 2 คนคุยกันเป็นภาษาอังกฤษที่โซฟา แต่เราไม่ได้สนใจ นอกจากดูเสื้อไปเรื่อย ๆ พอเดินใกล้ 2 คนที่นั่งอยู่นั้น ก็มีเสียงผู้หญิงคนหนี่งเรียก “พี่ม้า” เราหันไปมองเสียงที่อยู่ใกล้มาก ๆ เห็นหญิงสาวใส่หน้ากากยืนอยู่ ดิฉันทำหน้างง ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า “ลิซ่าค่ะ” ฉันก็ยังงงอยู่ลิซ่าไหน จึงบอกว่า ถอดหน้ากากสิ พอถอดมาคือ ลิซ่า จริง ๆ ด้วย”

นักแสดงอาวุโส ระบุเพิ่มเติมว่า “ดิฉันตกใจมาก และดีใจมาก ๆ ที่ได้เจอเธอ ดิฉันจึงพูดว่า ขอบคุณมากนะที่ทักพี่ (คนดังระดับโลกทักดิฉัน) ดิฉันขอกอดนาง และตามด้วยขอถ่ายรูปได้ไหม ต้องถามเพราะนางมากับผู้จัดการ นางบอกว่าได้ แต่ขอทาปากหน่อย เพราะพึ่งลงเครื่องมาจากปารีส ยังไม่ได้ล้างหน้าเลย แต่มาช้อปปิ้งได้อิอิ เพราะคืนนี้นางต้องไปงานของ Bvlgari จึงได้รูปนี้มา โดยการขออนุญาตเป็นที่เรียบร้อย เราคุยกันอยู่นานพอสมควร ด้วยความภาคภูมิใจที่เธอก้าวมาอยู่ถึงจุดนี้ได้ ปลื้มใจนางจริง ๆ นางบอกว่าจะไปเล่าให้แม่ฟังว่าเจอใคร และบอกว่าไม่คิดจะได้เจอพี่ม้า นางตื่นเต้นพอกับเรา ใช้เวลาเม้าส์นาน เราเลยบอกด้วยว่าบอกผู้จัดการเธอด้วยนะว่าพี่เป็นใคร จะได้ไม่หงุดหงิด แต่ผู้จัดการนางก็เป็นคนถ่ายรูปให้เรา ดีใจเป็นที่สุดที่ลิซ่าทักดิฉัน เด็กคนนี้น่ารักจริง ๆ ถึงไปได้ไกลขนาดนี้ ถึงยิ่งใหญ่ระดับโลกขนาดนี้”

13 มีนาคม พ.ศ. 2553 'ในหลวง ร.9' พระราชทานชื่อ ‘ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย’ เทิดพระเกียรติน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ ’สมเด็จย่า‘

ท่าอากาศยานเชียงรายเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2535 สังกัดกรมการบินพาณิชย์ (บพ.) กระทรวงคมนาคม ซึ่งใช้ชื่อว่า ‘สนามบินบ้านดู่’ ต่อมา บพ.ได้ถูกโอนมาขึ้นอยู่กับการบริหารของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2541 และการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ได้แปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน ตามแนวนโยบายของรัฐบาล ภายใต้ชื่อ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2545 ถึงปัจจุบัน

ต่อมา คณะกรรมการ ทอท. มีมติเห็นชอบให้เพิ่มชื่อท่าอากาศยานเชียงรายเป็น ‘ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย’ เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดีที่มีต่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ตามที่ได้มีการร้องขอจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในจังหวัดเชียงราย ดังนั้น ทอท. จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top