Friday, 26 April 2024
LITE

‘ลิซ่า’ ซื้อบ้านใหม่ที่อเมริกา มูลค่ากว่า 140 ลบ. คาด!! เตรียมตัวเดินหน้าลุยตลาดอินเตอร์เต็มตัว

(17 เม.ย.67) แมนชัน โกลบอล (Mansion Global) นายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์หรูระดับโลก รายงานว่า ‘ลิซ่า’ ลลิษา มโนบาล เพิ่งซื้อบ้านหรูในย่านเบเวอร์ลี ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มูลค่า 3.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 144 ล้านบาท

ทั้งนี้ รายงานอ้างข้อมูลจากเอกสารการทำธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งระบุว่า ลิซ่าปิดดีลซื้อบ้านหลังนี้ไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยบ้านหลังนี้เพิ่งได้รับการรีโนเวทเสร็จเรียบร้อย

ลอรี ฮาร์ริส จากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Keller Williams Los Feliz ซึ่งเป็นคนนำบ้านหลังนี้ออกขายให้ข้อมูลว่า ถึงแม้บ้านของลิซ่าจะได้รับการรีโนเวทให้มีความทันสมัย แต่ตัวบ้านที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1924 ยังคงให้ความรู้สึกแบบโลกเก่า ประกอบกับอาณาบริเวณที่มากถึง 1.3 เอเคอร์ (ประมาณ 3.3 ไร่) จึงทำให้บ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขา Coldwater Canyon หลังนี้มีความเป็นส่วนตัว แถมยังล้อมรอบด้วยเนินเขา และทัศนียภาพอันสวยงาม

รายงานระบุว่า House of Rolison ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบชื่อดังในลอสแองเจลีส ซื้อบ้านหลังนี้มาในปี 2023 ก่อนจะรีโนเวทบ้านที่มีอายุเก่าแก่ถึง 100 ปีให้ออกมาในสไตล์คฤหาสน์ขุนนางแถบชนบทของอังกฤษ โดยตัวบ้านมีเถาองุ่นปกคลุมเป็นบริเวณกว้างถึง 3,387 ตารางฟุต มี 4 ห้องนอน หลังคามุงกระเบื้องดินเผา พื้นปูด้วยหิน มีเพดานทรงโค้งทำจากไม้

ในเรื่องของความเป็นส่วนตัว มีพุ่มไม้สูงทำหน้าที่เปรียบเสมือนรั้วกั้นตัวบ้านออกจากถนน ส่วนด้านนอกตัวบ้านมีระเบียงไม้กว้างพร้อมเตาอบพิซซ่า และสระน้ำอีก 1 แห่ง

ทั้งนี้ การที่ลิซ่าตัดสินใจซื้อบ้านในย่านเบเวอร์ลี ฮิลส์ เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่านักร้องสาววัย 27 ปีน่าจะเดินหน้าลุยงานในฐานะศิลปินระดับโลกอย่างเต็มตัว หลังจากที่เธอไม่ต่อสัญญาเดี่ยวกับ วายจี เอ็นเตอร์เทนเมนต์ โดยหันมาเปิดบริษัท LLOUD เป็นของตัวเอง ตามมาด้วยการเซ็นสัญญากับค่ายเพลงระดับโลกอย่าง RCA Records

นอกเหนือจากการทำงานในแวดวงแฟชั่น และการทำเพลงแล้ว ลิซ่ายังหันไปจับงานด้านการแสดงเป็นครั้งแรกด้วย โดยล่าสุดเธอกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีรีส์ยอดนิยมของ HBO เรื่อง The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งอยู่ระหว่างการถ่ายทำที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน 6 เดือน

17 เมษายน พ.ศ. 2331 วันคล้ายวันเกิด ‘สมเด็จพระพุฒาจารย์’ หรือ ‘สมเด็จโต’ พระเกจิเถราจารย์ผู้มีความประพฤติอันน่าเลื่อมใส

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) หรือนามที่นิยมเรียก สมเด็จโต, หลวงปู่โต หรือ สมเด็จวัดระฆัง เกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (หลังสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ได้แล้ว 7 ปี) ซึ่งก็คือเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 ณ บ้านไก่จ้น (บ้านท่าหลวง) อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เป็นพระภิกษุมหานิกาย เป็นพระมหาเถระรูปสำคัญที่ได้รับความนิยมนับถืออย่างมากในประเทศไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในสมัยรัชกาลที่ 4-5

นอกจากนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) นับเป็นพระเกจิเถราจารย์ผู้มีปฏิปทาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพนับถือทั่วไปมาตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน และนอกจากจริยาวัตรด้านความสมถะอันโดดเด่นของท่านแล้ว ท่านยังทรงคุณทางด้านวิชาคาถาอาคม เมตตามหานิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุมงคล ‘พระสมเด็จ’ ที่ท่านได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา ได้ถูกจัดเข้าในพระเครื่องเบญจภาคี หรือสุดยอดของพระเครื่องวัตถุมงคล 1 ใน 5 ของประเทศไทย และมีราคาซื้อขายในปัจจุบันต่อองค์เป็นราคานับล้านบาท ด้วยปฏิปทาจริยาวัตรและคุณวิเศษอัศจรรย์ของท่าน ทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นอมตะเถราจารย์รูปหนึ่งของเมืองไทย และมีผู้นับถือจำนวนมากในปัจจุบัน

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

รางวัลที่ 1 : 943598

เลขหน้า 3 ตัว : 729 / 727

เลขท้าย 3 ตัว : 154 / 200

เลขท้าย 2 ตัว : 79

รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 : 943597 / 943599

รางวัลที่ 2 : 062259 / 100755 / 297933 / 448213 / 282285

รางวัลที่ 3 : 788457 / 147563 / 018772 / 773313 / 734269 / 454577 / 720144 / 267940 / 595074 / 665998

รางวัลที่ 4 : 133343 / 863195 / 727091 / 194615 / 972561 / 040459 / 514761 / 745069 / 924865 / 101738 / 261565 / 879972 / 666284 / 256511 / 299820 / 882048 / 985476 / 740276 / 911165 / 145541 / 876132 / 397217 / 001228 / 311765 / 095714 / 449523 / 465845 / 971568 / 651025 / 131029 / 300839 / 775119 / 998458 / 419267 / 236113 / 033439 / 579570 / 385255 / 408301 / 719958 / 599692 / 161787 / 721757 / 071875 / 976687 / 705082 / 068452 / 842015 / 616783 / 475389

รางวัลที่ 5 : 646104 / 53413 / 996997 / 556347 / 653726 / 322555 / 236948 / 234248 / 536503 / 616068 / 531320 / 092288 / 692070 / 383482 / 616761 / 019836 / 650707 / 175313 / 081630 / 106078 / 772486 / 936704 / 263801 / 631424 / 549465 / 744261 / 175392 / 209708 / 614633 / 906751 / 008649 / 560631 / 314231 / 271470 / 172715 / 197190 / 769576 / 433446 / 680808 / 299159 / 306461 / 751072 / 182425 / 088983 / 996353 / 411758 / 179497 / 752050 / 277674 / 756546 / 803498 / 129309 / 562888 / 644959 / 193111 / 862993 / 898212 / 598986 / 120489 / 104180 / 116314 / 893211 / 442322 / 106160 /040197 / 087920 / 182825 / 869716 / 454174 / 549714 / 079611 / 732916 / 323067 / 147982 / 063690 / 215548/ 341167 / 949675 / 061659 / 381378 / 957591 / 100329 / 218351 / 737012 / 876637 / 070320 / 622334 / 237941 / 657266 / 342931 / 464986 / 960034 / 851456 / 972601 / 424276 / 045170/ 814109 / 964814 / 690806 / 487179

‘เรือเซวอล’ อับปาง ขณะเดินทางไปเกาะเชจู โศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตชาวเกาหลีใต้กว่า 300 คน

ในวันนี้เมื่อ 10 ปีก่อน ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สะเทือนใจคนทั้งโลก โดยเฉพาะชาวเกาหลีใต้ นั่นก็คือโศกนาฏกรรม ‘เรือเซวอล’ อับปาง ที่คร่าชีวิตไปกว่า 300 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมทั้งสิ้น

โดยเหตุการณ์นี้ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 เรือเซวอลกำลังมุ่งหน้าจากเมืองอินชอนสู่เกาะเชจูตามตารางเวลาที่กำหนด โดยบนเรือส่วนใหญ่เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมของโรงเรียนดันวอน ที่กำลังออกไปทัศนศึกษา

เมื่อรวมจำนวนผู้โดยสารและลูกเรือแล้ว เรือลำนี้บรรจุผู้โดยสารกว่า 476 ชีวิต ซึ่งเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของน้ำหนักผู้โดยสาร ที่เจ้าของเรืออ้างว่าเซวอลสามารถบรรทุกได้

ในวันเกิดเหตุ กัปตันอีจุนซอก วัย 69 ปี ผู้กุมชะตาชีวิตคนบนเรือเกือบ 500 คน กลับไม่ได้อยู่ในห้องควบคุมเรืออย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับสั่งให้ลูกเรือเป็นผู้ดำเนินการทุกอย่างแทน ซึ่งเมื่อเรือเข้าสู่ช่องแคบ ที่เต็มไปด้วยโขดหินและคลื่นแรงใต้ทะเล ลูกเรือที่ไม่มีประสบการณ์มากพอก็ตัดสินใจผิดพลาดได้หันหัวเรือกะทันหัน และกระปุกพวงมาลัยเรือที่ทำงานขัดข้อง จึงเป็นปัจจัยแรกที่ทำให้เซวอลศูนย์เสียการทรงตัว

นอกจากความหละหลวมในการทำหน้าที่ของเขาแล้ว เรือลำนี้ยังบรรทุกสินค้าที่ไม่สมดุลและเกินน้ำหนักมาตรฐาน คอนเทนเนอร์สินค้าที่จัดวางอย่างไม่รัดกุม รวมถึงน้ำอับเฉาที่มีน้อยกว่าที่ทางการกำหนด โดยเรือเซวอลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรือมือสองที่ซื้อต่อมาจากบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทชองแฮจินของเกาหลีใต้ ได้ซื้อมาเพื่อใช้งานต่อเมื่อปี พ.ศ. 2555

หลังจากนั้น บริษัทชองแฮจินของเกาหลีใต้ ได้มีการปรับปรุงเรือและทำการต่อเติม เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้มากกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้เองจึงกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ เพราะการต่อเติมเรือ ทำให้ศูนย์ถ่วงเรือมีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นทางบริษัทฯ ยังได้ยื่นขอบรรทุกสินค้าเกือบ 2,000 ตัน ซึ่งต่อมากรมทะเบียนเรือ ได้ปรับลดน้ำหนักบรรทุกสินค้าของเซวอลลงเหลือครึ่งหนึ่ง และกำหนดให้ต้องบรรทุกน้ำอับเฉาถึง 2,000 ตัน เพื่อให้เรือสามารถทรงตัวอยู่ได้

และดูเหมือนว่าโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ เกิดจากความประมาทของตัวกัปตันและความเห็นแก่ได้จากทางบริษัทเจ้าของเรือเซวอล ที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสาร แต่ยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์บนเรือยิ่งสร้างความสลดใจ เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเหล่านี้แล้วแทนที่กัปตันอีจุนซอก จะลำเลียงผู้โดยสารไปยังเรือชูชีพ แต่กลับออกคำสั่งให้ทุกคนอยู่ประจำที่รอคำสั่งต่อไป ขณะที่เรือประมงและเรือพาณิชย์ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็ทยอยเข้าให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารบริเวณดาดฟ้าเรือและผู้โดยสารที่กระโดดลงทะเลเพื่อเอาชีวิตรอด

ส่วนกัปตันอีจุนซอกและลูกเรืออีกจำนวนหนึ่ง ก็เลือกที่จะสละเรือและหลบหนีออกมา ทำให้คนที่ยังติดค้างอยู่ภายในตัวเรือชั้นต่าง ๆ รวมกว่า 300 รายเสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 5 ที่กำลังจะไปทัศนศึกษา แต่กลับต้องมาพบจุดจบอันน่าเศร้า สร้างความสะเทือนใจให้กับชาวเกาหลีทั้งประเทศ รวมถึงคนที่ทราบข่าวทั่วโลก

ทั้งนี้ วันที่ 15 พฤษภาคม กัปตันอีจุนซอก หัวหน้าวิศวกรประจำเรือ และลูกเรืออีก 2 คนถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตาย ขณะที่ ลูกเรืออีก 11 คนถูกตั้งข้อหาละสละเรือละทิ้งหน้าที่ และเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ศาลได้ตัดสินให้กัปตันอีจุนซอกรับโทษจำคุก 36 ปี หัวหน้าวิศวกรรับโทษจำคุก 30 ปี ส่วนลูกเรือที่เหลือรับโทษจำคุกระหว่าง 5 ถึง 20 ปี และในปี 2560 ทางการเกาหลีใต้ จึงได้กู้ซากเรือเซวอลขึ้นมาจากใต้ท้องทะเลได้จนสำเร็จ หลังจากที่จมอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานานกว่า 3 ปี

15 เมษายน พ.ศ. 2455 โศกนาฏกรรมสุดเศร้า ‘ไททานิค’ จมดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก หลังปะทะกับภูเขาน้ำแข็ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต-สูญหายจำนวนมาก

เรือที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดที่สร้างด้วยฝีมือมนุษย์ในเวลานั้น เดินทางออกจากเซาท์แทมป์ตัน สหราชอาณาจักร มุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก และเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจมดิ่งสู่มหาสมุทรแอตแลนติก หลังปะทะกับภูเขาน้ำแข็ง เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2455

อาร์เอ็มเอส ไททานิค (RMS Titanic) เป็นเรือโดยสารเดินทางเที่ยวแรกจากเซาท์แทมป์ตัน สหราชอาณาจักร ไปนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา การจมของไททานิค เป็น 1 ใน 3 เรือโดยสารชั้นโอลิมปิก ซึ่งดำเนินการโดยไวต์สตาร์ไลน์ สร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2452-2454 เป็นเรือที่ได้รับการออกแบบให้มีความสะดวกสบายและความหรูหราที่สุด โดยบนเรือมียิมเนเซียม สระว่ายน้ำ ห้องสมุด ภัตตาคารชั้นสูงและห้องจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีโทรเลขไร้สายทรงพลังซึ่งจัดเตรียมไว้เพื่อความสะดวกของผู้โดยสาร 

ก่อนที่ไททานิคจะออกเดินทาง ได้เกิดเหตุไฟไหม้บริเวณส่วนเก็บถ่านหินที่ บล็อก 5 และ 6 และไฟยังไหม้ต่อเนื่องตลอดการเดินทาง ส่งผลให้ผนังกั้นนํ้าชั้นที่ 4 ก่อนถึงห้องเครื่อง และ ส่วนที่เก็บถ่านหินนั้นร้อนมากจนผนังกั้นนํ้าร้อนจนแดง และตัวเหล็กของผนังกั้นนํ้าบิด งอ ลดการทนทานนํ้าลง

ในวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2455 เมื่อเดินทางห่างจากเซาท์แทมป์ตันไปทางใต้ราว 600 กิโลเมตร ไททานิค เกิดอุบัติเหตุชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง ทำให้แผ่นลำเรือเกิดความเสียหาย จนนํ้าทะลักเข้าไปในเรือ และเนื่องจากผนังกั้นนํ้าชั้นที่ 4 ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้จากห้องเก็บถ่านหิน ส่งผลให้นํ้าทะลักเข้ามาภายในตัวเรือ จนกระทั่งเรือจมลงสู่ก้นมหาสมุทรในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2455

เหตุการณ์นี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโศกนาฏกรรมที่สูญเสียเป็นอย่างมาก สมาชิกลูกเรือและผู้โดยสารมากมายต้องเสียชีวิตและสูญหาย นับเป็นภัยพิบัติทางทะเลที่มีผู้เสียชีวิตมากครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

14 เมษายน ของทุกปี ครม.กำหนดให้เป็น ‘วันครอบครัวแห่งชาติ’ หวังให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัว

ผ่านพ้นวันผู้สูงอายุ 13 เมษายนไปแล้ว ถัดมาในวันที่ 14 เมษายน ก็เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญในช่วง ‘สงกรานต์’ เช่นกัน นั่นก็คือ ‘วันครอบครัว’ (Family Day) หรือ ‘วันครอบครัวแห่งชาติ’ เป็นวันที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัวที่แม้ว่าจะเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด แต่ก็มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างก็มี ‘วันแห่งครอบครัว’ เช่นเดียวกันแต่อาจมีการกำหนดช่วงวันและเดือนที่แตกต่างกันออกไป 

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2532 คณะรัฐมนตรี ซึ่งมีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และมีคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยคุณหญิงสุพัตราได้เสนอมติให้ ครม. พิจารณาให้วันที่ 14 เมษายน ของทุกปี เป็นวันแห่งครอบครัว ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ของไทย 

สาเหตุที่เลือกวันครอบครัวในช่วง ‘เทศกาลสงกรานต์’ เนื่องจากถือเป็นโอกาสดีในการรวมญาติ รวมครอบครัว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบุพการี รดน้ำดำหัว ขอพร ผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล และเพื่อความอบอุ่น เป็นสุขของครอบครัว ตามประเพณีไทยที่เคยปฏิบัติกันมา ทั้งนี้ ต่อมา ครม.ได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติให้วันดังกล่าวเป็น ‘วันครอบครัว’ มาจนถึงปัจจุบัน

13 เมษายน ของทุกปี ครม.กำหนดให้เป็น 'วันผู้สูงอายุแห่งชาติ' ชวนคนไทยร่วมแสดงความกตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่

วันนี้ 13 เมษายน ของทุกปี นอกจากจะเป็น ‘วันสงกรานต์’ หรือ ‘วันปีใหม่ไทย’ แล้ว รัฐบาลไทยกำหนดให้เป็น ‘วันผู้สูงอายุแห่งชาติ’ อีกด้วย เพื่อให้ลูกหลานได้เล็งเห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่บุพการี ญาติพี่น้อง ผู้อาวุโส หรือผู้ใหญ่ในชุมชนที่เคยทำคุณประโยชน์แก่สังคม

หากย้อนกลับไปในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบาย ส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพ และดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข

จึงได้มอบให้กรมประชาสงเคราะห์ จัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขึ้น เพื่อให้การสงเคราะห์ผู้สูงอายุ ที่เดือดร้อนมีความทุกข์ยาก ประสบปัญหาและไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง (แต่ในยุคนั้นยังไม่มีการกำหนด ‘วันผู้สูงอายุ’ ขึ้นมา)

กรมประชาสงเคราะห์จึงได้จัดตั้ง ‘สถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางแค’ ขึ้นมาเป็นแห่งแรกในปี พ.ศ. 2496 โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้

- ให้การสงเคราะห์คนชราที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ หรือประสบปัญหาความทุกข์ยาก ไม่มีที่อยู่อาศัย หรือไม่สามารถอยู่กับครอบครัวได้
- ให้บริการแก่คนชราที่อยู่กับครอบครัวของตน แต่มีความต้องการ บริการสงเคราะห์คนชราบางอย่าง เช่น การรักษาพยาบาล กายภาพบำบัด นันทนาการ
- แบ่งเบาภาระของครอบครัวผู้มีรายได้น้อย หรือยากจน ที่ไม่สามารถจะอุปการะเลี้ยงดูคนชราไว้ในครอบครัวได้
- ป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมอันเกี่ยวกับคนชรา ไม่ให้เร่ร่อน ทำความเดือดร้อนรำคาญแก่สังคม และให้สามารถอยู่ในสังคม ได้อย่างผาสุกตามอัตภาพ
- เป็นการตอบแทนคุณความดีที่คนชราได้ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ
- ช่วยให้ผู้สูงอายุได้คลายวิตกกังวล เมื่อชราภาพ ทางรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะเป็นผู้อุปการะคุณเลี้ยงดู

ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้จัดประชุมสมัชชาโลกเกี่ยวกับ ‘ผู้สูงอายุ’ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรเลีย และได้ให้ความหมายของคำว่า ‘ผู้สูงอายุ’ ไว้ว่า หมายถึง บุคคลทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป 

อีกทั้งได้พิจารณาประเด็นสำคัญเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ไว้ 3 ประการ คือ ด้านมนุษยธรรม ด้านการพัฒนา และด้านการศึกษา 

นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังได้กำหนดให้ปี พ.ศ. 2525 เป็นปีรณรงค์เพื่อส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ โดยกำหนดคำขวัญไว้ว่า ‘Add life to years’ เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ช่วยกันส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ

หลังจาก WHO ประกาศให้รัฐบาลทั่วโลกร่วมกันรณรงค์ ส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ประเทศไทยเองก็ได้ตอบรับการรณรงค์เรื่องนี้ด้วย โดยสมัยนั้นตรงกับรัฐบาลของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ และปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ และคิดว่าจะทำอย่างไร จึงจะให้ลูกหลานได้กลับมารวมตัวกันในวันสำคัญเช่นนี้

ต่อมามีการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงประเด็นดังกล่าว และที่ประชุม ครม. ได้มีมติเมื่อ วันที่ 14 ธันวาคม 2525 อนุมัติให้วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็น ‘วันผู้สูงอายุแห่งชาติ’

สำหรับสาเหตุที่เลือกวันที่ 13 เมษายน เนื่องจากเป็นวันที่ตรงกับวันสงกรานต์หรือปีใหม่ไทย ซึ่งถือเป็นเสมือนวันรวมญาติ ทางรัฐบาลเองมองว่ามีความสำคัญและมีความสอดคล้องกัน จึงกำหนดวันสงกรานต์ให้เป็นวันผู้สูงอายุร่วมด้วย

โดยกระทรวงสาธารณสุขไทยในขณะนั้น ได้มีมติให้ใช้ คำขวัญวันผู้สูงอายุ เป็นภาษาไทยว่า ‘ให้ความรัก พิทักษ์อนามัย ผู้สูงวัยอายุยืน’ 

นอกจากนี้ รัฐบาลในสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็ได้เลือก ‘ดอกลำดวน’ เป็นดอกไม้แทนสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุด้วย สาเหตุที่เลือกดอกไม้ชนิดนี้ เนื่องจากว่าต้นลำดวนเป็นพืชยืนต้นที่มีอยู่มากในสวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่สำคัญ.. สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงดำริให้จัดสวนแห่งนี้ขึ้นเพื่อให้เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้สูงอายุ

‘จอย ชวนชื่น’ เปิดเซฟ โชว์แบงก์พันกองใหญ่ ลั่น!! “เก็บไว้ใช้ยามแก่ ไม่ต้องง้อลูกหลาน”

(12 เม.ย. 67) ‘จอย ชวนชื่น’ หรือ ‘แสงดาว ทรงแสง’ นักแสดงตลก โพสต์ภาพลงเฟซบุ๊ก เป็นภาพธนบัตรฉบับละ 1 พันบาทจำนวนหลายปึกที่เก็บอยู่ในตู้เซฟ พร้อมเผยความมุมานะการออมเงินไว้ใช้ยามแก่ ระบุว่า 

"เก็บไว้ใช้ยามแก่ค่ะ ไม่ต้องง้อลูกหลาน #จอยชวนชื่น ดูแลตัวเองได้ค่ะ #สุขสันต์วันสงกรานต์"

‘ฟ่าน ปิงปิง’ เช็กอินเที่ยวกรุงเทพฯ พร้อมชม!! ‘มะพร้าวไทย’ อร่อยมาก

(12 เม.ย.67) ภายหลังจากเซอร์ไพรส์คนไทย นางพญาแดนมังกร ‘ฟ่าน ปิงปิง’ ร่วมขบวนพาเหรด เปิดงาน ‘Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567’ ที่บริเวณถนนราชดำเนินกลาง งามวิจิตรในชุดไทยสะกดสายตา เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา

ล่าสุดวันนี้ ‘ฟ่าน ปิงปิง’ ได้โพสต์ภาพลงอินสตาแกรมส่วนตัวรัว ๆ ระบุว่า “Sawadee ka!  Thai coconut, yummy!” (สวัสดีค่า มะพร้าวไทย อร่อยมาก!)

ซึ่งก็มีคนไทย และคนดังของไทยเข้าไปคอมเมนต์อย่างต่อเนื่อง เช่นว่า สวัสดีค่า, ยินดีต้อนรับสู่ประเทศไทย, คุณสวยมาก, Welcome to thailand, Happy Songkrant kaaaa my Queen, รักคุณมาก

12 เมษายน พ.ศ. 2476 ‘ปรีดี พนมยงค์’ เดินทางออกนอกประเทศไทย ก่อนไปพำนักที่ฝรั่งเศส ตามคำสั่งของรัฐบาล

12 เมษายน เป็นวาระครบรอบ 91 ปีที่ ‘ปรีดี พนมยงค์’ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษอาวุโสของไทย ต้องเดินทางไปพำนักที่ประเทศฝรั่งเศสตามคำสั่งของรัฐบาล เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2476 ภายหลังการเสนอร่าง ‘เค้าโครงการเศรษฐกิจ’ หรือที่เรียกกันว่า ‘สมุดปกเหลือง’ แต่แนวคิดของปรีดีกลับถูกคัดค้านด้วยเสียงส่วนใหญ่ในสภา รวมถึงยังมีการออก ‘สมุดปกขาว’ ซึ่งเป็นข้อวินิจฉัยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ตอบโต้ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจฉบับนี้ว่า เป็นแนวคิดที่ลอกเลียนพรรคบอลเชวิคของรัสเซีย อีกทั้งยังเกิดข้อกล่าวหาว่าปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปรีดีตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง และเดินทางออกนอกประเทศในที่สุด

นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของกฎหมายต่อต้านคอมมิวนิสต์ยังเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ปรีดีต้องถูกเนรเทศออกจากประเทศ ไปยังประเทศฝรั่งเศสในช่วงนั้น รวมถึงคณะผู้ก่อการคณะราษฎรถูกจำกัดบทบาทให้หมดอำนาจหน้าที่ไป แต่ในท้ายที่สุดปรีดีก็ได้กลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งภายหลังเหตุการณ์รัฐประหารครั้งที่ 2 โดยพระยาพหลพลพยุหเสนาได้ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 และเมื่อได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ได้เชิญปรีดีกลับมาช่วยเหลืองานรัฐบาลต่อไป โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องไม่รื้อฟื้นเค้าโครงการเศรษฐกิจอีก

'เปิ้ล ไอริณ' โพสต์ภาพถ่ายคู่ 'ทราย เจริญปุระ' เผย!! ทุกคนบนโลกนี้ ล้วนเคยผิดพลาดมาก่อน

ไม่นานมานี้ คุณเปิ้ล ไอริณ ศรีแกล้ว นักแสดง นักร้อง และพิธีกรชาวไทย ได้โพสต์ข้อความและภาพที่ถ่ายคู่กับ ทราย เจริญปุระ ผ่านเฟซบุ๊ก 'Irin Sriklao (เปิ้ล ไอริณ)' โดยมีเนื้อหา ระบุว่า...

ความรู้สึกนึกคิด ความรักความศรัทธา ของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ล้วนอนิจจัง ไม่เสถียร!

อดีตที่ผ่านมา คุณอาจหมดศรัทธาอะไรสักอย่าง แต่ปีถัดไป จิตวิญญาณคุณเติบโตขึ้น จากการได้รับข้อมูลข่าวสาร จากการได้รับบทเรียนหนัก ๆ และแบบทดสอบยาก ๆ นั่นอาจทำให้ ความรักเคารพและศรัทธาในบางสิ่งบางอย่าง อาจเปลี่ยนแปลงไปก็ได้

เช่นเดียวกับผู้คน, เยาวชน และศิลปินบางคน เค้าอาจเคยได้รับข้อมูล ที่ผิดพลาด ทำให้เสื่อมศรัทธาในบางสิ่ง แต่ความศรัทธานั้น ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ

ในวันปฐมทัศน์ภาพยนตร์มอร์ริสัน น้องทราย ซึ่งเราเองก็ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวกับน้องมาก่อน เดินเข้ามาหาเรา แบบตื่นเต้น แล้วบอกว่า "อุ๊ย! พี่เปิ้ล!! ขอถ่ายรูปหน่อยนะ!" แล้วน้องก็ดู ชื่นชมเราและมีความสุขที่ได้เจอเรามาก ๆ รวมทั้งน้อง ๆ ที่มากับทรายก็กล่าวว่า "ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว พี่เปิ้ลคือสุดยอดจริง ๆ ค่ะ!!"

โดยปกติ เราเอง ละอัตตาตัวตนจนแทบไม่รู้สึกยินดียินร้าย กับการชื่นชมสรรเสริญอะไรแล้ว แต่เรารู้สึกว่า "นี่อาจ เป็นนิมิตหมายอันดี" เพราะศิลปินและเด็กรุ่นใหม่ ย่อมรู้ดีว่า ที่ผ่านมา เรามีจุดยืนในความรักและศรัทธาในสถาบันหลักของชาติแค่ไหน นั่นแสดงว่า พวกเค้า อาจมีความคิดเปลี่ยนไป จากข่าวสารและข้อมูลที่อัปเดตเพิ่มขึ้น และอาจเริ่มศรัทธาในสิ่งที่เปิ้ลเองก็รัก และศรัทธาเช่นกันค่ะ

ดู ๆ กันไป และให้โอกาสคนนะคะ ทุกคนบนโลกนี้ เเม้แต่เปิ้ล หรือคุณเอง ก็อาจเคยทำอะไรผิดพลาดเหมือนกันค่ะ

การเกลียดชัง การแบ่งแยก ไม่ได้ทำให้คลื่นพลังงานของโลก และคลื่นพลังงานในร่างกายเราดีขึ้นเลย 

รักกันมาก ๆ นะคะ!!

"จงอย่าเกลียดกัน" เป็นคำพูดฝากไว้ให้คิด ของลุงคนนึง 

ขอบคุณทุก ๆ คนที่ติดตามเสมอค่ะ!❤️

‘ลิซ่า’ ประกาศจับมือกับค่ายยักษ์ใหญ่ ‘RCA Records’ เดินหน้าผลิตผลงานเพลง ในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว

เมื่อวานนี้ (10 เม.ย. 67) ‘ลิซ่า’ และ Lloud Co. ได้ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับ RCA Records ภายใต้ข้อตกลงนี้ ‘ลิซ่า’ จะปล่อยเพลงเดี่ยวใหม่กับ RCA Records ที่จะเป็นเจ้าของผลงานเพลงทั้งหมดของเธอโดยสมบูรณ์ตามแถลงการณ์

โดย ลิซ่า บอกในแถลงการณ์ว่า "ตื่นเต้นมากที่ได้เข้าร่วมเป็นครอบครัว RCA และมั่นใจว่าพวกเขาเป็นทีมที่ดีที่สุดที่จะสร้างแรงกระเพื่อม ในการทำเพลงโซโล่ของฉันในครั้งนี้”

ขณะที่ฝั่ง RCA โดย ปีเตอร์ เอ็จ และ จอห์น แฟลคเคนสไตน์ ประธาน/CEO ของบริษัทได้ยืนยันข่าวในแถลงการณ์ว่า "เราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรกับ ลิซ่า และ Lloud Co.! ลิซ่าเป็นผู้มีความสามารถหลากหลาย และทรงอิทธิพลในระดับโลก เราจึงรู้สึกตื่นเต้นจริง ๆ ที่จะได้ต้อนรับเธอ และทีมงานของเธอสู่ครอบครัว RCA Records ของเรา”

ทั้งนี้ RCA Records เป็นค่ายเพลงสัญชาติอเมริกันในเครือของ Sony Music Entertainment ซึ่งช่วยผลิต และจัดจำหน่ายงานเพลงให้กับศิลปินหลากหลายแนว ทั้ง ป๊อป คลาสสิก ร็อค ฮิปฮอป แอโฟรบีต อิเล็กทรอนิกส์ อาร์แอนด์บี บลูส์ แจ๊ส และคันทรี่

ศิลปินระดับโลกที่อยู่ภายใต้สังกัดนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็มีทั้ง เคลลี่ คลาร์กสัน, ไมลีย์ ไซรัส, ชากีรา, เซีย, บริทนีย์ สเปียร์ส, จัสติน ทิมเบอร์เลค, ไชลด์ดิช แกมบิโน, H.E.R., คาลิด, ไคโก้, เทต แม็คเร, มาร์ค รอนสัน, ซาชา สโลน, แจซมิน ร็อกลิแวน, วาซ่า, เซน และอีกมากมาย

สำหรับตัวของ ลิซ่า นอกจากผลงานในฐานะสมาชิกของ Blackpink ก็ยังเคยออกผลงานเดี่ยวที่ใช้ชื่อว่า ‘Lalisa’ ที่มียอดขายเกือบ 750,000 ชุดในสัปดาห์แรกของการเปิดตัวในเกาหลีใต้มาแล้ว

นอกจากงานเพลง ลิซ่า ยังได้ร่วมแสดงในซีซันที่ 3 ของซีรีส์ยอดนิยมทาง HBO เรื่อง ‘The White Lotus’ ข่าวบอกว่าบทของ ลิซ่า จะเป็น ‘ตัวละครหลัก’ ในซีรีส์ปีนี้ที่กำลังถ่ายทำอยู่ในประเทศไทยในขณะนี้ด้วย

11 เมษายน พ.ศ. 2436 ‘ในหลวง ร.5’ เสด็จฯ เปิดทางเดินรถไฟสายแรกของสยาม เส้นทาง ‘กรุงเทพฯ - สมุทรปราการ’ ระยะทาง 21 กิโลเมตร

ครบรอบ 131 ปี เปิดทางเดินรถไฟสายปากน้ำ ระหว่างกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ รถไฟสายแรกในสยามประเทศ

ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2429 รัฐบาลสยามได้อนุมัติสัมปทานแก่ กอมปานีรถไฟ หรือ บริษัทรถไฟปากน้ำ บริหารงานโดยพระยาชลยุทธโยธินทร์ (อองเดร ดู เปลซี เดอ ริเชอลิเออ) ชาวเดนมาร์ก และพระนิเทศชลธี (แอลเฟรด ยอนลอบเตอด เยฟอานีเอช) ได้รับสัมปทานตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2429

บริษัทชาวเดนมาร์คสร้างทางรถไฟสายแรก ขึ้นในประเทศไทย ระหว่าง กรุงเทพฯ - สมุทรปราการ ระยะทาง 21 กิโลเมตร เพราะเล็งเห็นว่าทางรถไฟสายนี้จะอำนวยคุณประโยชน์ทางเศรษฐกิจและด้านยุทธศาสตร์ แม้ว่าบริษัทชาวเดนมาร์คจะได้รับอนุมัติสัมปทาน แต่บริษัทก็ยังไม่สามารถดำเนินก่อสร้างได้เนื่องจากขาดทุนทรัพย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยืมทุนทรัพย์ไปสมทบด้วยส่วนหนึ่ง นับเป็นพระปรีชาสามารถลึกซึ้งที่รัฐสนับสนุนยอมให้เป็นครั้งแรกในโครงการอุตสาหกรรมขนส่งที่เอกชนลงทุน

ต่อมาวันที่ 16 กรกฏาคม พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินแซะดินเป็นปฐมฤกษ์สร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-สมุทรปราการ และจากนั้นวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดบริการ และเสด็จขึ้นประทับโดยสารขบวนรถไฟพระที่นั่ง พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ในพิธีเปิดการเดินรถครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัส ปรากฏความตอนหนึ่งว่า

"...เรามีความยินดีที่ได้รับหน้าที่อันเป็นที่พึงใจ คือจะได้เป็นผู้เปิดรถไฟสายนี้ ซึ่งเป็นที่ชอบใจและปรารถนามาช้านานแล้วนั้น ได้สำเร็จสมดังประสงค์ลงในครั้งนี้ เพราะเหตุว่าเป็นรถไฟสายแรกที่จะได้เปิดในบ้านเมืองเรา แล้วยังจะมีสายอื่นต่อ ๆ ไปอีกจำนวนมากในเร็ว ๆ นี้ เราหวังว่าจะเป็นการเจริญแก่ราชการและการค้าขายในบ้านเมืองเรายิ่งนัก..."

อย่างไรก็ตาม แต่เดิมทางรถไฟสายปากน้ำมีทั้งหมด 10 สถานี ต่อมาจึงเพิ่มเติมเป็น 12 สถานี และหลังสิ้นสุดสัมปทานในเวลา 50 ปี เส้นทางรถไฟดังกล่าวตกอยู่ในการบริหารกิจการของกรมรถไฟต่อ ครั้นในรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ยกเลิกเส้นทางรถไฟสายปากน้ำเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2503 โดยได้มีการสร้างถนนแทน ปัจจุบัน คือ ถนนพระราม 4 และถนนทางรถไฟสายเก่าปากน้ำ

‘สรยุทธ’ เผย ไม่กล้าดู ‘หลานม่า’ เพราะกลัวร้องไห้ ลั่น!! มีประสบการณ์ส่วนตัว ถ้าได้ไปดู คงตายแน่ๆ

(10 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก beartai BUZZ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

จากในรายการ ‘กรรมกรข่าว คุยนอกจอ’ ช่วงเมื่อวานที่ผ่านมา พิธีกรรายการอย่าง สรยุทธ สุทัศนะจินดา และ ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ ได้พูดถึง ‘หลานม่า’ หนังใหม่ล่าสุดจากค่าย GDH ที่ฉายไปเพียงไม่กี่วันก็สามารถทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท โดยช่วงหนึ่งของรายการ สรยุทธได้พูดถึง ‘หลานม่า’ พร้อมเผยว่าตนเองจะไม่ไปดูหนังเรื่องนี้

“จริง ๆ พี่ก็ตั้งใจแล้วว่าพี่ไม่ดู ไม่ได้แปลว่าอะไรนะ เข้าใจว่าตอนนี้มีกระแสเพราะเข้าฉายไปเมื่อวันที่ 4 เม.ย. เพราะพี่มีประสบการณ์เป็นหลานม่า กูร้องไห้แน่ คือกลัวจะเก็บอาการไม่ได้ ผมเป็นหลานม่าที่ไม่ได้หวังสมบัตินะ ตอนอาม่าพี่เสียทีแรกก็ปกติตอนจัดงาน แต่พอผ่านไปสักพักหนึ่งร้องไห้จนไม่รู้ตัวเหมือนคลั่ง มันออกมาเองแบบไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นถ้าพี่ไปดูเรื่องนี้พี่ตายแน่ เป็นความรู้สึกส่วนตัว เมื่อก่อนผมก็ไปช่วยอาม่าขายของนะ แต่พอเติบโตขึ้นมาเริ่มทำงานแล้วก็ไม่ได้กลับไป มาคิดได้ในวันที่เขาไม่อยู่แล้ว”

‘หนองคาย’ โชว์ซอฟต์พาวเวอร์ ผุด ‘กางเกงบั้งไฟพญานาค’ ชูจุดเด่นเอกลักษณ์ประจำจังหวัด ชี้!! ล็อตแรกมีจำนวนจำกัด

(10 เม.ย.67) นางสุกานดา พันธุ์เสือ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดหนองคาย เปิดเผยว่า สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จ.หนองคาย ได้หารือกับส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อแสดงอัตลักษณ์ของจังหวัดหนองคาย จัดทำเป็นกางเกง เพราะเห็นหลายจังหวัดเริ่มทำกันแล้ว

ทั้งนี้ เมื่อหารือกันเพื่อพิจารณาจุดเด่นของจังหวัดหนองคาย จึงลงตัวที่จะผลิตกางเกงลายบั้งไฟพญานาค ออกแบบโดย อาจารย์ณัฎฐ์ จันทร์อ่วม ปราชญ์ด้านการออกแบบลายผ้าจังหวัดหนองคาย

โดยหัวกางเกงเป็นลายพญานาคใหญ่ ซึ่งจะไม่ใช้พญานาคมาเป็นลายบนผ้าเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน พญานาคคนส่วนใหญ่ให้ความเคารพศรัทธา จึงควรเลือกวางตำแหน่งให้ถูกต้องเหมาะสม ดังนั้นจึงใช้ลายผ้าที่เรียกว่าลายนาคใหญ่ไว้ด้านบน ถัดลงมาเป็นรูปบั้งไฟพญานาค ดวงสีชมพู มีรถไฟวิ่งบนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เนื่องจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่จังหวัดหนองคายเป็นสะพานเดียวที่มีรถไฟระหว่างประเทศแล่นผ่าน

สำหรับกางเกงลายบั้งไฟพญานาคนี้ จะมีให้เลือก 2 สี คือ สีส้มอิฐ ซึ่งเป็นสีประจำจังหวัดหนองคาย และ สีกรมท่าค่อนไปทางสีฟ้า ให้ความรู้สึกคล้ายสีของแม่น้ำ ผลิตจากผ้าไหมอิตาลี เพราะมีความพลิ้ว สวมใส่สบาย ซักแล้วไม่ต้องรีดก็ได้ ทรงกางเกงแบบจั๊ม เอวรูด ฟรีไซส์ ใส่ได้ทุกเพศ มีกระเป๋าด้านข้างทั้งสองข้าง ความยาวกางเกง 40 นิ้ว

โดยล็อตแรกนี้ตัดมาจำนวนจำกัดเพียง 200 ตัว ราคาตัวละ 250 บาท ผู้ที่สนใจเลือกซื้อได้แล้ววันนี้ที่บริษัทกานตนาทัวร์ อ.เมืองหนองคาย หรือ ร้านอินเตอร์สปอต อ.เมืองหนองคาย ช่องทางออนไลน์ ไอดีไลน์ nang9964 หรือโทรศัพท์ 091-5969964


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top