Sunday, 3 December 2023
LITE

'ศาลฯ' ลงดาบ!! หนุ่มคะนองแชร์คลิปตัดต่ออนาจาร 'ศรีริต้า' คุก 12 เดือน ปรับ 6 หมื่น ชดใช้ค่าเสียหายอีก 1 แสน

(25 ต.ค. 66) ศาลอาญาอ่านคำพิพากษา คดีที่ น.ส.ศรีริต้า เจนเซ่น ณรงค์เดช ดาราสาวชื่อดัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง หนุ่มแชร์คลิปตัดต่ออนาจารในสื่อออนไลน์ เป็นเหตุให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและได้รับความเสียหาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2564

โดยวันนี้ น.ส.ศรีริต้า โจทก์ เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมด้วยนายกรณ์ ณรงค์เดช สามี และน.ส.ศรันยา หวังสุขเจริญ หรือ ทนายนิด้า

น.ส.ศรันยา หรือ ทนายนิด้า กล่าวว่า ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(4)(5) ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท, ความผิดหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 100,000 บาท และ ทำให้ได้รับความอับอายความ ผิดลหุโทษ มาตรา 397 ลงโทษปรับ 1,000 บาท รวมโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 121,000 บาท

จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 12 เดือน ปรับ 60,500 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี เนื่องจากจำเลยไม่เคยกระทำความผิด และได้วางเงินชดใช้ค่าเสียหายก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา โดยให้รายงานตัวพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้งใน 1 ปี ทำงานบริการสังคม 24 ชั่วโมง และให้จำเลยลบ ทำลาย ข้อความอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ให้โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ 15 วัน และโพสต์คำขออภัยลงในเฟซบุ๊กเป็นเวลา 30 วัน พร้อมกับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย

น.ส.ศรันยา หรือทนายนิด้า กล่าวต่อว่า จำเลยส่งต่อข้อมูลลามกอนาจาร ซึ่งไม่ได้เป็นคนตัดต่อคลิปขึ้นมาเอง หากใครติดตามจะทราบว่าคุณศรีริต้าถูกกล่าวหาว่าไปปรากฏอยู่ในคลิปลามกอนาจาร ทั้ง ๆ ที่ปฏิเสธมาตลอดว่าเป็นคลิปตัดต่อไม่ใช่คุณศรีริต้า แต่จำเลยยังส่งต่อคลิปถือว่ามีความผิดเช่นเดียวกัน

"จากการพูดคุย อ้างว่าไม่ได้ตั้งใจ ทำไปด้วยความคึกคะนอง เมื่อได้รับหมายศาลก็สลดกันทุกคน ตนเองอยากให้ คนที่ทำแบบนี้ตระหนักได้แล้ว อย่างคุณริต้าเองวันนี้ที่ต้องมาศาลก็ต้องเสียทั้งเวลาทั้งเงิน แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ"

ด้าน น.ส.ศรีริต้า เจนเซ่น กล่าวว่า ขอบคุณผู้พิพากษา และทนายนิดาที่ทำให้ตนเองได้รับความเป็นธรรม ยอมรับว่าตนเองลำบากใจเพราะไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ทำด้วยความโกรธแค้น แต่ตนเองไม่สามารถเพิกเฉยได้จึงตัดสินใจดำเนินคดี เพื่อปกป้องชื่อเสียงศักดิ์ศรีของตัวเอง ครอบครัว โดยเฉพาะลูก ตนเองไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงที่เข้ามาบั่นทอนชีวิตของตนเองและชื่อเสียง อยากให้เรื่องนี้เป็นกรณีตัวอย่าง เป็นบทเรียนว่าการกระทำแบบนี้สามารถเข้าไปทำลายชีวิตคนอื่นได้จริง ๆ อยากให้คิดก่อนทำ ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจหรือด้วยความคึกคะนองอะไรก็ตาม อยากให้ฉุกคิดว่ามันจะไปสร้างผลกระทบต่อชีวิตคนอื่น และทำลายชีวิตใครหลาย ๆ คนตามที่เราเห็นข่าวทุกวันนี้จากอาชญากรรมไซเบอร์ อยากให้สังคมรู้ว่าบ้านเมืองมีกฎหมายมีศาล จึงยิ่งทำให้ตนเองไม่สามารถเพิกเฉยกับเรื่องดังกล่าวได้จริง ๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนตัดต่อ แต่วันนี้รู้ว่าใครเป็นคนแชร์คลิป ทั้งที่ปฏิเสธแล้วว่าไม่ใช่ตนเองแต่ก็ยังแชร์คลิปอยู่

ขณะที่นายกรณ์ ณรงค์เดช สามีดาราสาว กล่าวว่า วันนี้ดีใจกับภรรยาและขอบคุณกระบวนการยุติธรรม เพราะเป็นสิ่งที่ภรรยาทุกข์ใจหนักใจมาโดยตลอด หากหลายคนจำได้ตอนที่เกิดเรื่อง ภรรยากำลังตั้งท้อง กระทบจิตใจอย่างรุนแรง และตลอดระยะเวลาที่อยู่ในวงการวางตัวดีมาตลอดไม่เคยมีข่าวเสื่อมเสียใด ๆ วันนี้จะได้เคลียร์ให้ชัดว่าผู้หญิงที่อยู่ในคลิปเป็นการตัดต่อไม่ใช่ภรรยา และถือว่าได้เคลียร์ชื่อเสียง 100% เปอร์เซ็นต์

สื่อเกาหลีชม 'ลิซ่า' รวยล้นฟ้า แต่ยังนั่งเครื่องบินชั้นประหยัด แถมชอบใช้ชีวิต 'ธรรมดา-ติดดิน' แม้จะเป็นคนดังระดับโลก

แม้จะเป็นป็อปสตาร์ตัวท็อปที่โด่งดังระดับโลก แต่ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ ก็ยังเลือกที่จะใช้ชีวิตธรรมดาติดดิน เหมือนคนทั่วไป เมื่อล่าสุดสื่อเกาหลีชื่นชมที่เจ้าตัวยังโดยสารเครื่องบินในชั้นประหยัดแม้ว่าจะมีเงินมหาศาลก็ตาม

ตามรายงานจากสื่อเกาหลีชื่อดัง ได้รายงานถึงเรื่องราวดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า ลิซ่า ได้เดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับกับเพื่อน ๆ และเนื่องจากเป็นการเดินทางระยะสั้น เธอจึงแต่งตัวสบาย ๆ แต่เพราะความดังและความโดดเด่นของลิซ่า จึงทำให้เธอเป็นที่สนใจจากบุคคลโดยรอบ

การเดินทางจากเวียดนามกลับไทยครั้งนี้ ลิซ่าเลือกที่จะโดยสารเครื่องบินในชั้นประหยัดร่วมกับเพื่อน ๆ และยังยืนต่อแถวรอเช็กอินเหมือนคนอื่น ๆ พร้อมกับเอร็ดอร่อยกับอาหารว่างที่ซื้อมากินระหว่างรอขึ้นเครื่องบิน

ซึ่งแม้จะรวยมีเงินมหาศาล แต่ความถ่อมตน และ ติดดินของลิซ่า ก็ได้ใจแฟน ๆ ไปไม่น้อย ซึ่งส่วนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “ลิซ่าเจ๋งสุดๆ”, “สุดยอดเลย ลิซ่า”, “ลิซ่า วิเศษที่สุด”, “แม้ว่าเธอจะโด่งดัง แต่มิตรภาพระหว่างเธอกับเพื่อนยังแน่นแฟ้น”, “ขนาดใส่ชุดธรรมดา แต่ลิซ่าก็ยังดูเด่นมาก” ฯลฯ

แม้ว่าบนเวทีคอนเสิร์ต ลิซ่าจะดูสวยสง่าและดูเข้าไม่ถึง แต่เมื่ออยู่ร่วมกับเพื่อน ๆ ลิซ่า มักจะทำตัวธรรมดา และชื่นชอบที่จะออกไปลองอาหารที่ขายตามข้างทาง ชนิดที่หลงใหลอาหารไทยแบบสุด ๆ จนกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ทำให้อาหารไทยฟีเวอร์ไปทั่วบ้านทั่วเมืองอีกด้วย

ยอมใจ!! 'สาวจีน' ปั่นจักรยาน 4,000 กิโลเมตร เพื่อมาเรียนมวยไทย กับ 'บัวขาว บัญชาเมฆ'

(25 ต.ค.66) นับว่าเป็นเรื่องราวดี ๆ ของวงการมวยไทย หลังจากเพจเฟซบุ๊ก Banchamek Gym (Buakaw Banchamek, บัวขาว บัญชาเมฆ) ได้เผยว่า มี ผู้หญิงชาวจีน ลงทุนลงแรงปั่นจักรยาน 4,000 กิโลเมตร มาเรียนมวยไทยกับ บัวขาว บัญชาเมฆ ที่ค่ายในจังหวัดเชียงใหม่ นับเป็น ซอฟต์พาวเวอร์ชั้นดี จนกลายเป็นที่ฮือฮาในประเทศจีนอย่างมาก

เพจของบัวขาว ระบุว่า “นี่ก็อีกราย Soft power อีกราย คนนี้จากประเทศจีน ตอนนี้ติดชาร์ตอันดับที่ 3 ของเวยป๋อละ กับการที่ หลี่ เจิน เซียง สาวจีน จากเมืองเหมียนหยาง มณฑลเสฉวน ได้ตัดสินใจขี่จักรยาน เป็นระยะทางกว่า 4,000 กิโลเมตร มายังประเทศไทยเพื่อทำความฝันให้สำเร็จในการมาฝึกซ้อมมวยไทยที่ค่ายพี่บัวขาวที่เชียงใหม่ละขึ้นชก ในประเทศต้นตำรับของมวยไทย พวกเรามาเอาใจช่วยกันครับ เผื่อใครในนี้เจอเขา ก็ทักยิ้มให้บ้างช่วยกันแสดงความเป็นเจ้าบ้านที่ดี และต้อนรับเขาในฐานะที่ชื่นชอบมวยไทยเหมือนกัน เราควรภาคภูมิใจที่ชาวต่างชาติต่างหลงใหลในมวยไทยที่เป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติของเรา”

25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกแห่งกรุงสยาม

วันนี้ เมื่อ 93 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกแห่งกรุงสยาม

วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรเวชศาตรบัณฑิต (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแพทยศาสตรบัณฑิต) ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของไทยที่มีการพระราชทานปริญญาบัตร ณ ห้องประชุมตึกบัญชาการ (ตึก 1 คณะอักษรศาสตร์ปัจจุบัน) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่ห้องประชุม พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร-เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์ครุยบัณฑิตพิเศษแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานครุยกิตติมศักดิ์แก่ข้าราชการของมหาวิทยาลัย 2 ท่าน คือ

1.บัณฑิตชั้นโท (มหาบัณฑิตในปัจจุบัน) ทางวิทยาศาสตร์แก่พระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา) ผู้บัญชาการ (อธิการบดีในขณะนั้น)

2.บัณฑิตชั้นเอก (ดุษฎีบัณฑิตในปัจจุบัน) แก่ศาสตราจารย์ น.พ. A.G.Ellis คณบดีคณะแพทยศาสตร์ (ต่อมาเป็นอธิการบดีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่าง พ.ศ. 2478-2479)

จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานประกาศนียบัตร (ปริญญาบัตรในปัจจุบัน) แก่เวชบัณฑิตชั้นตรี จำนวน 29 คน ประกอบด้วยผู้สอบได้บัณฑิตชั้นตรีในปี 2471 จำนวน 18 คน และปี 2472 จำนวน 16 คน

โดยในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท ตอนหนึ่งความว่า "ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสมาให้ปริญญาแก่นักเรียนมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรกในวันนี้ นับว่า เป็นวันสำคัญสำหรับประวัติการของมหาวิทยาลัย และโดยเหตุนั้น นับว่าเป็นวันสำคัญในประวัติการของประเทศสยามด้วย เพราะว่า ไม่ว่าประเทศใด ๆ ความเจริญของประเทศนั้นย่อมวัดด้วยความเจริญของการศึกษานั้นอย่างหนึ่ง ในประเทศสยามนี้ ต้องนับว่า การมหาวิทยาลัยยังล้าหลังอยู่มาก ที่เป็นเช่นนั้นก็ด้วยเหตุผลหลายประการคือ การที่จะตั้งมหาวิทยาลัยให้ใหญ่โตนั้น ถ้าเอาเงินถมลงไปก็อาจทำได้ แต่ถ้าวิชาที่สอนนั้นประชาชนยังไม่ต้องการ หรือสอนไปไม่เป็นประโยชน์ในทางอาชีพของเราแล้ว การที่จะตั้งเช่นนั้นก็หาเป็นประโยชน์"

‘YG’ คอนเฟิร์ม ‘จีซู BlackPink-อันโบฮยอน’ เลิกกันแล้ว หลังทั้งคู่เพิ่งประกาศคบกันได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น

(24 ต.ค.66) คนในวงการบันเทิงเกาหลีใต้ ได้เปิดเผยกับสื่อท้องถิ่นของที่นั่นว่า “ความสัมพันธ์ของจีซูและอันโบฮยอน เริ่มจะห่าง ๆ กันไปเอง เพราะทั้งคู่ยุ่งกับงานมาก และล่าสุดทั้งสองก็เพิ่งจะเลิกกันไปแล้ว"

ขณะเดียวกัน YG Entertainment ต้นสังกัดของ BLACKPINK ก็ได้ออกมายืนยันข่าวอย่างทางเป็นทางการว่า “เป็นเรื่องจริงที่จีซูและอันโบฮยอนเลิกกัน”

โดยก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยว่า ‘จีซู’ และ ‘อันโบฮยอน’ กำลังออกเดตกันเมื่อเดือนสิงหาคม โดย จีซู ในวัย 28 ปี เป็นสมาชิกของเกิร์ลกรุ๊ปที่ดังที่สุดในเกาหลี ส่วนฝ่ายชาย ในวัย 35 ปี เป็นทั้งนายแบบและนักแสดง โดยเริ่มมีผลงานการแสดงเมื่อปี 2014 และเริ่มมีชื่อเสียงจากการเล่นซีรีส์ Itaewon Class (2020) รวมถึงได้รับรางวัล Excellence Award สาขานักแสดงนำชายจากบทบาทของเขาใน Yumi's Cells และ My Name ในงาน APAN Star Awards

'อนุทิน' ชื่นชมหนัง 'สัปเหร่อ' ยกของดีที่ควรต้องโชว์  ตัวอย่างความสำเร็จซอฟต์พาวเวอร์ผ่านวิถีชาวบ้าน

(24 ต.ค.66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกระแสภาพยนตร์เรื่อง ‘สัปเหร่อ’ ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ คือตัวอย่างความสำเร็จจากการนำเสนอสิ่งที่เป็นวิถีของชาวบ้าน หลายสิ่งหลายอย่างเราเคยสงสัย หนังเรื่องนี้ เฉลยไว้หมดแล้ว แล้วยังให้แง่คิดเรื่องชีวิต ครอบครัว ความรัก ไว้ด้วย หนังทำให้เราเห็นว่า วิถีไทย ไทยสไตล์ ไม่ว่าจะรูปแบบไหน ก็ต่างมีเสน่ห์ทั้งนั้น ไม่ต้องไปทำตามแบบใครเลย ภูมิใจในความเป็นเรานี่เอง ดีที่สุด ต้องชื่นชมคนนำเสนอที่ภูมิใจในวิถีของตัวเอง กล้านำเสนอ อย่างตรงไปตรงมา กินใจผู้ชม ของอะไรก็ตาม มันมีดี ให้โชว์ทั้งนั้น ขอแค่ภูมิใจ แล้วกล้าโชว์ อย่าไปมองว่า เราด้อยกว่าเขา เราอ่อนกว่าเขาเด็ดขาด กับของไทยๆ สินค้าไทย กับฝีมือคนไทย มั่นใจว่าไม่แพ้ใครในโลก“อย่าง OTOP สำหรับผม ผมว่าหลายอย่างงดงามระดับโลกเลยนะ ผ้าไทย ผมใส่โชว์เลย ก็มันสวย แล้วผมก็เป็นคนที่ภาคภูมิใจในการใช้ของไทยอยู่แล้ว ถ้า

เรากล้าอวดซะอย่าง ของที่เราอวดมันก็มีคุณค่าขึ้นมาแล้ว เหมือนหนังเรื่องไทบ้าน ก่อนที่จะมีสัปเหร่อ คนทำเขากล้า หนังมันก็ได้ฉาย อย่างน้อยที่สุด สมมติ ถ้าไม่ได้กำไร ขาดทุน แต่เรื่องราววิถีไทบ้านที่เขาอยากนำเสนอมันก็ไปถึงคนอื่นๆ แล้ว ใครอยากจะปั้น Soft Power ไทยต้องกล้าทำ กล้าโชว์ก่อน ถ้ามานั่งกล้าๆ กลัวๆ ที่แย่กว่าคือด้อยค่ากันเอง แบบนั้นไปไม่รอด ถ้วยกาแฟใบโปรดของผมก็ซื้อจากงาน OTOP สวยงามมาก ผมยังโพสต์อวดอยู่เลย” นายอนุทิน กล่าว

24 ตุลาคม พ.ศ. 2488 องค์การสหประชาชาติ ได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ

วันนี้ เมื่อ 78 ปีก่อน องค์การสหประชาชาติ หรือ ‘ยูเอ็น’ (United Nation: UN) ได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ จึงถือเอาวันที่ 24 ตุลาคม ของทุกปีเป็น ‘วันสหประชาชาติ’

24 ตุลาคม พ.ศ. 2488 องค์การสหประชาชาติ หรือ ‘ยูเอ็น’ (United Nation: UN) ได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง โดยมีประเทศสมาชิกผู้เริ่มก่อตั้ง 51 ประเทศ นำโดยประเทศมหาอำนาจของโลกอย่าง สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และจีน ลงนามให้สัตยาบันรับรอง ‘กฎบัตรสหประชาชาติ’ (United Nations Charter) ซึ่งเป็นธรรมนูญของสหประชาชาติมีผลบังคับใช้ 

ยูเอ็นเป็นองค์การระหว่างประเทศ ก่อตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ทั่วโลกเกิดสันติภาพและความยุติธรรม มีความมั่นคงระหว่างประเทศ พัฒนาสัมพันธ์ไมตรีระหว่างประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม มนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน และเป็นศูนย์กลางความร่วมมือและประสานงานของชาติต่าง ๆ ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 192 ประเทศ (เกือบทุกประเทศในโลก) สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงนิวยอร์ก และถือเอาวันที่ 24 ตุลาคม ของทุกปีเป็น ‘วันสหประชาชาติ’

‘วันเดอร์เฟรม’ ระบายทั้งน้ำตา หลังโดนบูลลี่รูปร่างจนเสียความมั่นใจ วอน ขอให้โฟกัสที่ผลงาน-หยุดบูลลี่คนอื่น เพราะคนที่โดนจำไม่เคยลืม

(23 ต.ค. 66) ทำเอานักร้องสาวมากความสามารถ อย่าง ‘เฟรม-ศุภัคชญา สุขใบเย็น’ หรือ ‘วันเดอร์เฟรม’ วัย 29 ปี ออกมาระบายความรู้สึก เมื่อถูกคอมเมนต์วิจารณ์รูปร่าง หลังจากขึ้นโชว์คอนเสิร์ตหนึ่ง แล้วมีการเผยแพร่คลิป โดยมีบางคอมเมนต์บางส่วนโฟกัสไปที่หุ่นแทน ในทำนองว่า “วันเดอร์เฟรมตอนแรกผอมนะ พอมาตอนนี้ระยะอวบเลย”

เมื่อล่าสุด วันเดอร์เฟรม ได้อัดคลิประบายความในใจทั้งน้ำตา เกี่ยวกับคำวิจารณ์ดังกล่าว พร้อมกับระบุแคปชัน “เราโดนล้อเรื่องน้ำหนักมาตั้งแต่จำความได้ ผ่านมา 29 ปี สังคมแห่งการบูลลี่นี้ไม่มีอะไรพัฒนาเลย คนพิมพ์แป๊ปเดียวก็ลืม แต่คนที่โดนอะไม่เคยลืมเลย”

โดยเนื้อหาในคลิปนี้ วันเดอร์เฟรม ได้พูดเอาไว้ว่า “คือเราอ่ะ ตอนแรกเราผอมกว่านี้เยอะ แต่ว่าเราขาหัก เราก็เลยไม่ได้ขยับร่างกาย เพราะว่าเราเดินไม่ได้อยู่ 2 เดือน น้ำหนักเราก็เลยขึ้นมา และนั่นก็คือเป็นคอนเสิร์ตแรกหลังจากที่... (ร้องไห้) เป็นคอนเสิร์ตแรกหลังจากที่เราเดินได้ และกลับมาเต้นได้

ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาบูลลี่เราขนาดนี้ น้ำหนักเราขึ้นอ่ะ มันก็ขึ้นที่ตัวเราเอง ไม่ได้ไปขึ้นกับพวกคุณสักหน่อย ทำไม... จริงๆ เรารู้สึกดีกับร่างกายตัวเองนะ แต่เราก็ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่เราเห็นคอมเมนต์พวกนี้ มันทำให้เราแบบ... มันทำให้เรา รู้สึกมั่นใจในตัวเองน้อยลงอ่ะ ซึ่งจริงๆ มันไม่ควรเป็นแบบนั้นเลย”

วันปิยมหาราช ๒๓ ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกให้กับประเทศไทยครั้งใหญ่หลวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี) เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น ‘กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ’ ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น ‘กรมขุนพินิตประชานาถ’ บรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 ทรงพระนามว่า ‘พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’

เนื่องจากขณะนั้นมีพระชันษาเพียง 16 ปี ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญพระมหาอุปราช

ระหว่างที่สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่นั้น สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ทรงใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาเป็นอันมาก เช่น โบราณราชประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชามวยปล้ำ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม

ในตอนนี้ยังได้เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา 2 ครั้ง เสด็จประพาสอินเดีย 1 ครั้ง การเสด็จประพาสนี้มิใช่เพื่อสำราญพระราชหฤทัย แต่เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรปนำมาใช้ปกครองเมืองขึ้นของตน เพื่อจะได้นำมาแก้ไขการปกครองของไทยให้เหมาะสมแก่สมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนการแต่งตัว การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานก็ใช้ยืน และนั่งตามโอกาสสมควร ไม่จำเป็นต้องหมอบคลานเหมือนแต่ก่อน

เมื่อพระชนมายุบรรลุพระราชนิติภาวะ ได้ทรงผนวชเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วจึงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 และนับจากนั้นมาก็ทรงพระราชอำนาจเด็ดขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน

ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ ทรงปกครองทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้มั่งคั่งสมบูรณ์ ด้วยรัฐสมบัติ พิทักษ์พสกนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข บำบัดภัยอันตรายทั้งภายในภายนอกประเทศ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่าง ๆ อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ และสามารถธำรงเอกราชไว้ตราบจนทุกวันนี้

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมพระชนมายุได้ 58 พรรษา ครองราชสมบัติมานานถึง 42 ปี

ในรัชสมัยของพระองค์ สยามประเทศได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความวัฒนาให้กับชาติเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น การไฟฟ้า การไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ ฯลฯ ด้วยพระราชกรณียกิจที่ยังความผาสุกให้เกิดแก่ประชาชน ทวยราษฎร์ทั้งปวงจึงน้อมใจแสดงความจงรักภักดี ด้วยการถวายพระนามว่า ‘พระปิยมหาราช’ หรือพระพุทธเจ้าหลวง และกำหนดให้ทุกวันที่ 23 ตุลาคม เป็น ‘วันปิยมหาราช’

‘สัปเหร่อ’ ตัวอย่าง ‘วิถีไทย’ ความจริงใจที่ไม่ปรุงแต่ง ฝ่าแรงบูลลี่ ‘วิถีเชย’ ด้วย ‘ความซื่อ’ ที่น่าอวด

(22 ต.ค.66) จากเฟซบุ๊ก ‘KUL’ โดย ‘นายกุลวิชญ์ สำแดงเดช’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความถึงหนังไทยกระแสแรงอย่าง ‘สัปเหร่อ’ ที่กำลังไล่ล่าความสำเร็จและรายได้อย่างมากมาย ไว้ว่า…

“จริงใจ ไม่ปรุงแต่ง
10/10 #อวดดี

เราอาจจะเคยได้ยินพวกที่ป่าวประกาศว่ารักหนังไทย รักวัฒนธรรมไทย แต่กลับบูลลี่เหยียดหยันความเป็นวิถีไทย ว่า ‘เชย, ล้าหลัง’ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ มองมุมต่าง ซึ่งจริงๆ หนังในจักรวาลไทยบ้านทุกเรื่อง คือ การเอาสิ่งที่บางคนกังขา มานำเสนออย่างตรงไปตรงมา

ความเป็นไทยบ้าน ที่ซื่อ ทื่อ ดิบ มันอาจจะไม่ศิวิไลซ์ แต่วัฒนธรรมแบบนี้ ก็สร้างคนให้เติบโตมาเป็นล้านๆ คน

ผมว่า คนนำเสนอ เขาภูมิใจในสิ่งที่เขาเป็นนะ และบางที การเป็นตัวเองนี่แหละคือดีที่สุด

มันไม่ต้องไปพยายามเป็นคนอื่นหรอก

นี่คือตัวอย่างของคำว่า วิถีไทย มันไม่น่าอาย มันโชว์ได้

มัน #อวดดีได้”

22 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงผนวช ได้พระสมณนามว่า ‘ภูมิพโลภิกขุ’

วันนี้เมื่อ 67 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้พระสมณนามว่า ‘ภูมิพโลภิกขุ’

ก่อนที่จะถึงวันพระราชพิธีทรงผนวช ในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้มีพระราชทานกระแสพระราชดำรัสในการที่จะทรงผนวชแก่พระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะทูต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ข้าราช ซึ่งเข้าเฝ้าฯ ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย แจ้งข้อพระราชดำริที่จะบรรพชาอุปสมบท และขอให้ทุกฝ่ายสมัครสมานกันรักษาประเทศ ทรงขอบใจรัฐบาลที่รับภาระเตรียมการบรรพชาอุปสมบท

ครั้นเสร็จพระราชพิธีภายใน พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัยแล้ว จึงเสด็จฯ มายังพระที่นั่งสุทไธสวรรค์พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จออกสีหบัญชร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสว่า

“ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ท่านทั้งปวงได้มาประชุมกัน ณ ที่นี้ ขอถือโอกาสแจ้งดำริ ที่จะบรรพชาอุปสมบทให้อาณาประชาราษฎรทราบทั่วกัน

อันพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจําชาติของเรา ตามความอบรมที่ได้รับมาก็ดี ตามศรัทธาเชื่อถือส่วนตัวของข้าพเจ้าก็ดี เห็นเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง มีคําสั่งสอนให้คนประพฤติตนเป็นคนดี ทั้งเพรียบพร้อมด้วยบรรดาสัจธรรมอันชอบด้วยเหตุผลน่าเสื่อมใสยิ่งนัก ข้าพเจ้าเคยคิดอยู่ว่า ถ้าโอกาสอำนวยก็น่ารักได้อุปสมบทในพระศาสนาตาม ประเพณีสักเวลาหนึ่ง ซึ่งมักเป็นทางสนองพระเดชพระคุณพระราชบุพการีตามคตินิยมอีกโสดหนึ่งด้วย 

และนับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ขึ้นครองราชสมบัติสืบสันตติวงศ์มาเป็นเวลาช้านานพอสมควรแล้ว น่าจะเป็นโอกาสที่จะทําตามความตั้งใจไว้นั้นได้แล้วประการหนึ่ง อนึ่ง การที่สมเด็จพระสังฆราชซึ่งทรงมีพระคุณูปการในส่วนตัวข้าพเจ้าได้หายประชวรในครั้งหลังนี้ ก่อให้เกิดความปิติยินดีแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก มาคํานึงเห็นว่า ถ้าในการที่ข้าพเจ้าจะอุปสมบทนี้ ได้พระองค์ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วยแล้ว ก็จะเป็นการแสดงออกซึ่งความศรัทธา เคารพ ของข้าพเจ้าที่มีอยู่ในพระองค์ท่านได้อย่างเหมาะสมด้วยอีกประการหนึ่ง อาศัยเหตุเหล่านี้จึงได้ตกลงใจจะอุปสมบทในวันที่ 22 เดือนนี้

ส่วนกิจการบ้านเมืองนั้นก็หวังว่า ในระยะเวลาที่ข้าพเจ้าบวชนี้คงไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดขัดข้อง โดยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ข้าพเจ้าก็ได้แต่งตั้งสมเด็จพระราชินีเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ไว้แล้ว ขอท่านทั้งหลายจงช่วยกันรักษาความสงบสุขในกิจการบ้านเมืองของเราให้ดําเนินไปด้วยดีเถิด

ขอคุณพระศรีรัตนตรัย ได้อภิบาลคุ้มครองท่านทั้งหลายให้มีความสุขสวัสดี ขอทุกๆ ท่านจงมีส่วนได้รับกุศลความดีงามอันจักพึงมีจากการที่ข้าพเจ้าเข้าอุปสมบทในพระศาสนาครั้งนี้โดยทั่วกัน เทอญ”

สำหรับพระราชพิธีทรงผนวชในครั้งนั้น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระราชอุปัชฌาจารย์ เมื่อเสร็จพิธีแล้วพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงได้รับสมญานามจาก ว่า ‘ภูมิพโล’

ในระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศ ทรงปฏิบัติพระราชกิจ เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เช่น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า-เย็น ตลอดจนทรงสดับพระธรรมและพระวินัย นอกจากนี้ยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจพิเศษอื่นๆ เช่น เสด็จฯ ไปทรงรับบิณฑบาต จากพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เสด็จฯ ไปทรงรับบิณฑบาต ณ วังสระปทุม เสด็จฯ ไปทรงนมัสการพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เสด็จฯ ไปทรงรับบิณฑบาตจากประชาชนทั้งในบริเวณถนนพระสุเมรุ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสี่แยกราชเทวี ถนนเพชรบุรี เป็นต้น

‘แจ๊ส’ โชว์รอยสักฝีมือ ‘น้องแตงไทย’ วัย 8 ขวบ หลังลูกสาวเอ่ยปากขอไปเรียนอย่างจริงจัง

(21 ต.ค.66) ถือเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์น่ารักของคู่พ่อลูก ‘แจ๊ส ชวนชื่น' กับ ‘น้องแตงไทย’ เลยก็ว่าได้ หลังจากลูกสาวเริ่มสนใจในการสักลาย ถึงขั้นลงคอร์สเรียนจริงจังกับ ‘ชาช่า อริต์ตา’ รามณรงค์ ช่างสักชื่อดัง โดยในครั้งนี้น้องแตงไทยได้ตั้งใจว่าจะสักลายให้คุณพ่อเป็นการประเดิมสนาม ทำเอาหนุ่มแจ๊สถึงกับออกอาการตื่นเต้นสุด ๆ

โดยคลิปวิดีโอเบื้องหลังน้องแตงไทยสักลายให้แจ๊ส ถูกเผยแพร่ผ่านทาง YouTube : MissTangDiary และ แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก ซึ่งจากคลิปจะเห็นว่าน้องแตงไทยมีความตั้งใจในการเรียนเป็นอย่างมาก ก่อนจะมีโอกาสได้ร่วมกันออกแบบลายสักร่วมกับคุณครู เพื่อเตรียมประทับลายลงบนแขนของคุณพ่อ

ซึ่งรอยสักที่น้องแตงไทยได้ออกแบบให้พ่อแจ๊ส มาในธีมกาแล็กซี่ที่ประกอบด้วยจรวดโอบล้อมด้วยดวงดาว และจะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษ JSPKK (แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก) ซึ่งเป็นชื่อย่อของหนุ่มแจ๊สรวมอยู่ด้วย

เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง ลวดลายที่น้องแตงไทยได้บรรจงสักให้พ่อแจ๊สก็เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย งานนี้คุณพ่อดูจะภูมิอกภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้มาก ๆ ถึงขนาดมองรอยสักบนแขนของตัวเองแบบไม่วางตากันเลยทีเดียว

21 ตุลาคม วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า)

วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จย่า ของปวงชนชาวไทย 

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระนามเดิมว่า สังวาลย์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 ทรงเป็นพระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทรงเป็นพระอัยยิกา (ย่า) ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10)

ตลอดพระชนม์ชีพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระองค์ทรงงานอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนที่ยากไร้และชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพในปี พ.ศ. 2538 รวมพระชนมายุ 95 พรรษา

องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ได้ยกย่องให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็น ‘บุคคลสำคัญของโลก’ ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นเพื่อส่วนรวมในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ประยุกต์ การพัฒนามนุษย์ สังคม และสิ่งแวดล้อม

พระราชกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงมีต่อชาวไทยและประเทศชาติมีมากมาย พระองค์ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ ทรงอุทิศพระวรกายและสละเวลาให้แก่ประชาชน เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยตลอดมา รัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ จึงได้กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม เป็นวันสำคัญของประเทศไทย ดังนี้

• วันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ 
ด้วยพระเมตตา และพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จย่า ทรงมีต่อประชาชนที่ได้พบเห็นในถิ่นทุรกันดารในเรื่องของโรคภัย คือ เรื่องโรคฟัน ถือเป็นโรคหนึ่งที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับประชาชนในถิ่นทุรกันดารและไม่สามารถช่วยตนเองได้ ในปี พ.ศ. 2512 พระองค์จึงทรงจัดตั้ง ‘หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระราชชนนี’ (พอ.สว.) ขึ้น และทรงให้ทันตแพทย์ร่วมปฏิบัติงานในหน่วยแพทย์พอ.สว.นี้ รวมทั้งพระองค์ได้พระราชทานวิชาชีพทันตแพทยศาสตร์และทันตบุคลากร ในปี พ.ศ.  2532 คณะรัฐมนตรีเห็นว่าสมเด็จย่ามีพระมหากรุณาธิคุณ จึงกำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม เป็นวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ และพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญาแก่พระองค์เป็น ‘พระมารดาแห่งการทันตแพทย์ไทย’

• วันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ
สืบเนื่องจากพระองค์ทรงอุทิศกำลังพระวรกายและเวลาเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมิได้ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยาก และสมควรนำมาเป็นแบบอย่างในการประพฤติตนและการปฏิบัติงานเพื่อสังคมส่วนรวม เมื่อปี พ.ศ. 2528 รัฐบาลจึงได้กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ในปี 2542 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศพระนามให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ : การพัฒนามนุษย์ สังคมและสิ่งแวดล้อม 

• วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ
วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ หรือ วันรักต้นไม้แห่งชาติ หรือ ‘วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ’ (National Annual Tree Care Day) ถือกำเนิดขึ้นจากแรงปณิธานของสมเด็จย่า ที่ทรงให้ความสำคัญการบำรุงรักษาต้นไม้และฟื้นฟูความสมดุลของธรรมชาติ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2533 กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีเป็น ‘วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ’ เพื่อแสดงความกตัญญูต่อสมเด็จย่า ที่ทรงงานพัฒนาชนบทโดยเฉพาะการฟื้นฟูสมดุลของธรรมชาติ

• วันพยาบาลแห่งชาติ 
ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจในการพัฒนาสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา และด้วยพระวิริยะอุตสาหะ กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี ให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีเป็น วันพยาบาลแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา

'นครพนม' ดึง ‘กรีน-ญิ๋งญิ๋ง’ รำบวงสรวงสะกด นทท. ในชุด ‘ระบำนาคนารี’ Soft Power สุดสง่า เสริมแรงส่งการท่องเที่ยวจังหวัดชายแดนอีสาน

เมื่อวานนี้ (19ต.ค.66) ที่ลานพญาศรีสัตตนาคราชพญานาคศักดิ์สิทธิ์ริมแม่น้ำโขง ถนนสุนทรวิจิตร ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผวจ.นครพนม พร้อมด้วย นางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดนครพนม นางสาวกรอปแก้ว ปัญยารชุน รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์ ภาพลักษณ์และการสื่อสารองค์กร บริษัทเดอะวัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัดมหาชน พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้นำชุมชนท้องถิ่น และประชาชน นักท่องเที่ยว ร่วมพิธีบวงสรวงถวายสักการบูชาต่อองค์พญาศรีสัตตนาคราช พญานาคศักดิ์สิทธิ์ นาคาธิบดีสองฝั่งโขง เพื่อเป็นสิริมงคล และส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดชายแดนอีสาน

นอกจากนี้เป็นการประกาศความพร้อมในการต้อนรับประชาชน นักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางมาท่องเที่ยว งานประเพณีไหลเรือไฟ ในเทศกาลออกพรรษา ระหว่างวันที่ 20-30 ตุลาคม 2566

สำหรับไฮไลต์ ของงานจะมีขึ้นในคืนเดือนเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา จะมีการไหลเรือไฟ สวยงามอลังการ จากชาวบ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินเรือไฟ สร้างจากไม้ไผ่มากกว่าลำละ 5,000 ลำ แล้วใช้กระป๋องกาแฟเป็นตะเกียงบรรจุน้ำมันก๊าด หรือน้ำมันดีเซล แขวนบนเส้นลวดประดับลวดลายตามจินตนาการ รวม 12 อำเภอ 

อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือการส่งเสริม กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว  สืบสานประเพณีความเชื่อของคนแถบลุ่มน้ำโขงของทีมละครเรื่องพนมนาคา ที่กำลังออกอากาศทางช่องวัน 31 (one 31) เป็นที่นิยมของแฟนละครอยู่ในขณะนี้ โดยละครดำเนินเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อสายมูพญานาค รวมถึงเรื่องลี้ลับพญานาค มีดารานักแสดงนำ คือ น้องกรีน-อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล ในบทแสดงเป็นตัวละคร ถึงสองบทบาท คือ “อนัญชลี” กับ “หมอเอเชีย” รวมถึง น้องญิ๋งญิ๋ง-ศรุชา เพชรโรจน์ ที่รับบทเป็นนางรอง “โสวันนี”

ในโอกาสนี้ทั้ง 2 นักแสดงสาวสวย ได้ร่วมรำบวงสรวง ในชุดระบำนาคนารี ถือเป็นการรำแสดงในพิธีศักดิ์สิทธิ์ถวายองค์พญานาคสองพี่น้อง อันตชัย กับ อเนกตชาติ พญานาคสองพี่น้อง แห่งเมืองพนมนาคา สร้างมนต์เสน่ห์ สวยงามอลังการ เป็นมนต์ขลังต่อสายต่อประชาชน นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังได้ร่วม รำบวงสรวงในชุดศรีโคตรบูรณ์ ร่วมกับนางรำชนเผ่านครพนม ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวของ จ.นครพนม

ด้าน น้องกรีน-อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล แสดงเป็นตัวละคร สองบทบาท คือ “อนัญชลี” กับ “หมอเอเชีย” รวมถึง น้องญิ๋งญิ๋ง-ศรุชา เพชรโรจน์ รับบทเป็นนางรอง “โสวันนี” เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้มา จ.นครพนม เมืองศักดิ์สิทธิ์ลุ่มแม่น้ำโขงอีสาน เชื่อมโยงตำนานความเชื่อพญานาค รวมถึงมีโอกาสมารำถวายองค์พญานาคศรีสัตตนาคราช เป็นสิริมงคลต่อทีมละคร และแก่ตนเอง ส่วนตัวยอมรับมีความเชื่อเรื่องพญานาค มีบ้างเกิดที่เรื่องลี้ลับในขณะการถ่ายละคร โดยน้องกรีนยอมรับ อินมากกับบทละครสองบทบาท ทั้งอนัญชลี รวมถึงหมอเอเชีย

สำหรับน้องญิ๋งญิ๋ง-ศรุชา เพชรโรจน์ ที่รับบทเป็น”โสวันนี” อยากให้แฟนละครติดตาม เพราะยังเหลืออีก 5 ตอน ก็ถึงตอนอวสานแล้ว จะมีเรื่องตื่นเต้นสนุกสนานมากกว่านี้แน่ ขอบคุณที่ให้การติดตาม และในโอกาส จ.นครพนม จะมีการจัดประเพณีออกพรรษาไหลเรือไฟ ฝากเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยว มาท่องเที่ยวเพราะเป็นจังหวัดที่สวยงาม และมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญหลายแห่ง มั่นใจว่าจะได้สัมผัสความสวยงาม และเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

'เกาะสิมิลัน' คัมแบ็ก!! อ้าแขนรับ นทท. 'เช้าไป-เย็นกลับ-พักแรม' เอาใจ 'สายแชะ-ดำน้ำ-คลำคลื่นทะเล' 15 ต.ค.66-16 พ.ค.67

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน คิกออฟ!! ฤดูกาลท่องเที่ยว 66-67 แค่วันแรกโกยนักท่องเที่ยวกว่า 1,300 คน เยือน 'สิมิลัน-เมียง' พร้อมเรียงแถวเช็กอิน 2 จุดไฮไลต์ประจำเกาะ 'หินเรือใบ-หาดเจ้าหญิง'

ไม่นานมานี้ ทาง 'อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน' ต.เกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา ได้เปิดทริปเอาใจสายท่องเที่ยวแบบเช้าไป-เย็นกลับ และรวมถึงกลุ่มที่ต้องการรูปแบบพักแรมอีกครั้ง ในวันเปิดฤดูกาล (15 ต.ค.) โดยงานนี้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติชุดแรก เข้ามาท่องเที่ยวแล้วกว่า 1,300 คน 

สำหรับทริปฤดูท่องเที่ยวหนนี้ จะเปิดฟลอร์โดยเรือสปีดโบ้ท ที่จะพานักท่องเที่ยวเดินทางออกจากท่าเรือบ้านทับละมุ อ.ท้ายเหมือง เพื่อไปทำกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ ในหมู่เกาะสิมิลัน 

เริ่มจากจุดแรกเป็นจุดดำน้ำดูปะการังและปลาสวยงาม ที่หน้าเกาะเก้า หรือเกาะบางู จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่เกาะแปด หรือเกาะสิมิลัน ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เกาะไฮไลต์ ที่สามารถขึ้นฝั่งเที่ยวได้ในอุทยานฯแห่งนี้ 

โดยเกาะแปด หรือ 'เกาะสิมิลัน' นั้น ถือเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะสิมิลัน สามารถทำกิจกรรมดำน้ำได้ทั้งน้ำลึกและน้ำตื้น 

สำหรับเกาะแปดมีไฮไลต์ คือ 'หินเรือใบ' สัญลักษณ์แห่งหมู่เกาะสิมิลัน ที่มีลักษณะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายใบเรือยักษ์ตั้งอยู่ริมหน้าผาแบบหมิ่นเหม่ชวนให้สงสัยว่าตั้งอยู่ได้อย่างไร ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นเขาไปเล็กน้อย เพื่อไปสัมผัสกับหินเรือใบ แต่ขอบอกว่า บนนั้นเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่จะมองเห็นท้องทะเลได้อย่างสวยงามกว้างไกล

นอกจากนี้เกาะแปดยังมีสิ่งน่าสนใจอื่น ๆ อาทิ 'อ่าวเกือก' เป็นรูปโค้งเหมือนเกือกม้า หาดทรายขาวละเอียดเนียนนุ่มน้ำทะเลสวยใสน่าเล่น อีกทั้งยังมีหินรูปร่างแปลกตาอยู่ทางด้านเหนือของเกาะ ได้แก่ หินรูปรองเท้าบู๊ท หินรูปหัวเป็ดโดนัลด์ดั๊ก

ขณะที่เกาะเมียง หรือ เกาะสี่ ที่เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวไฮไลต์นั้น มีจุดท่องเที่ยวสำคัญอยู่ที่ 'หาดเจ้าหญิง' และ 'หาดเล็ก' รวมถึงเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ สล.1 (เกาะเมียง) ที่มีทั้งร้านค้าสวัสดิการของอุทยานฯ หน่วยรักษาความปลอดภัยฐานทัพเรือพังงา และหน่วยช่วยเหลือพยาบาล 

สำหรับหาดเจ้าหญิง เป็นหาดหน้าเกาะเมียงหรือเกาะสี่ ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน มีหาดทรายขาวละเอียดยาวประมาณ 400 เมตร นับเป็นทรายขาวสวยมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย น้ำทะเลสีฟ้า เป็นจุดลงเล่นน้ำและดำน้ำตื้น มีปะการังกระจายอยู่เป็นกลุ่มต่อเนื่องไปถึงแนวโขดหิน

ส่วนหาดเล็ก ที่เป็นหาดอยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะ สามารถเดินจากหาดเจ้าหญิงตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทาง 300 เมตร เป็นป่าดิบชื้น ระหว่างทางหากโชคดีก็จะพบกับปูไก่ ปูเจ้าถิ่นของหมู่เกาะสิมิลัน และบริเวณหาดเล็กนี้ยังมีแนวปะการังขนาดเล็กกระจายเป็นหย่อมๆ มีปลาทะเลสวยงามตามแนวปะการัง เช่น ปลาการ์ตูนส้มขาว หรือที่คนนิยมเรียกว่า 'นีโม' ปลาผีเสื้อ และหอยมือเสือ รวมถึงเต่าทะเล 

สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวหมู่เกาะสิมิลันปี 2566-2567 เปิดให้เข้าเที่ยวชมแล้ว ระหว่างวันที่ 15 ต.ค.66 ถึง 15 พ.ค.67 ห้ามพลาด!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top