Tuesday, 14 January 2025
LITE

‘แอ๊ด คาราบาว’ เปิดตัวสามแขกรับเชิญสุดพิเศษ ‘หงา – ฮิวโก้ – ลิเดีย’ ร่วมแจมใน ADD BAO ACOUSTIC CONCERT 5 ตุลา นี้ ที่ธันเดอร์โดม

(21 ก.ย.67) ใกล้เข้ามาทุกที สำหรับคอนเสิร์ต ADD BAO ACOUSTIC CONCRET (แอ๊ด บาว อะคูสติก คอนเสิร์ต) เดี่ยวคอนเสิร์ตอคูสติกของศิลปินตำนานเพลงเพื่อชีวิต ‘แอ๊ด คาราบาว’ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคมนี้ ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เรียกได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตที่เจ้าตัวทุ่มเทการซ้อมโชว์อย่างหนัก เพื่อแฟนเพลงทุกคน คอนเสิร์ตครั้งนี้ แฟน ๆ ยังจะได้พบกับแขกรับเชิญสุดพิเศษจาก 3 ศิลปินคุณภาพแห่งวงการเพลง หงา สุรชัย จันทิมาธร, ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ และ ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน ที่โคจรมาพบกัน เตรียมสร้างปรากฏการณ์ความสุขสุดยิ่งใหญ่ ในคอนเสิร์ตสุดพิเศษ รูปแบบเวอร์ชั่นอคูสติก โดย แอ๊ด คาราบาว ยังนั่งแท่นควบตำแหน่งโชว์ไดเรกเตอร์ด้วยตัวเอง

ADD BAO ACOUSTIC CONCRET (แอ๊ด บาว อะคูสติก คอนเสิร์ต) จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม นี้ ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี จำหน่ายบัตรแล้วทาง Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ และเว็บไซต์ AllTicket บัตรราคา 1500 , 3000 และ 4000 บาท พิเศษเฉพาะบัตร 4,000 ได้รับเสื้อที่ระลึก ADD BAO ACOUSTIC ที่หน้างาน 

ติดตามรายละเอียดได้ทางแฟนเพจ ‘ล้อมวงมันส์ Fun Network’ แฟนเพลง แอ๊ด คาราบาว ไม่ควรพลาด!!  

21 กันยายน ของทุกปี กำหนดให้เป็น ‘วันประมงแห่งชาติ’ สนับสนุนคนทำอาชีพประมง ตระหนักถึงความสำคัญ พร้อมสร้างขวัญกำลังใจให้ชาวประมงไทย

วันประมงแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 21 กันยายนของทุกปี เพื่อเป็นการสนับสนุนในการทำอาชีพประมง และเป็นที่ระลึก สร้างขวัญกำลังใจในการประกอบอาชีพของชาวประมงไทย

จุดเริ่มต้นของ ‘วันประมงแห่งชาติ’ เกิดจาก ‘สหกรณ์ประมงสมุทรสาคร’ ได้ทําหนังสือลงวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 ถึงนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เสนอให้รัฐบาลกําหนดวันประมงแห่งชาติขึ้น เพื่อให้เป็นกําลังใจในการประกอบอาชีพและอาสาปกป้องประเทศทางด้านทะเล 

นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้พิจารณา ซึ่งได้มอบให้ ‘กรมประมง’ เป็นผู้รับเรื่อง เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรง 

นอกจากนี้สํานักเลขาธิการฯ ได้ขอให้กระทรวงศึกษาธิการ สั่งการให้ราชบัณฑิตยสถานและกรมศิลปากรร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมอีกด้วย กรมประมงจึงได้ประสานงานกับกองทัพเรือและมีความเห็นร่วมกันให้ ‘วันสงกรานต์’ ซึ่งประชาชนชาวไทยยึดถือเสมือนเป็นวันขึ้นปีใหม่มาตั้งแต่อดีต เป็นวันที่หยุดปฏิบัติภารกิจประจําวัน ในวันดังกล่าว เพื่อไปทําบุญตักบาตร ปล่อยนก ปล่อยปลา เพื่อความเป็นสิริมงคลและในวันนี้ทางราชการได้ถือว่าเป็น ‘วันขยายพันธุ์ปลาแห่งชาติ’ โดยสนับสนุนให้ประชาชนนําพันธุ์ปลาไปปล่อย ตามแหล่งน้ำต่าง ๆ ในโอกาสที่วันนี้เป็นวันสําคัญวันหนึ่งโดยมีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงสมควร กําหนดให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปี เป็น ‘วันประมงแห่งชาติ’ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา 

นอกจากนี้ยังเห็นสมควรให้หยุดทําการประมง มีการปล่อยปลาในแหล่งน้ำต่าง ๆ รวมทั้งในทะเลด้วย เพื่อเป็นการชดเชยสําหรับการที่ได้ทําการประมงมาตลอดปี 

แต่ในปัจจุบันกรมประมงพิจารณาแล้วเห็นว่าสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยโดยรวมในช่วง เดือนเมษายนแล้งมากในทุกจังหวัด แหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำต่าง ๆ มีปริมาณค่อนข้างน้อย ดังนั้นการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในช่วงวันที่ 13 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิอากาศสูงมากพันธุ์สัตว์น้ำ ที่กรมประมงเตรียมมาให้ประชาชนปล่อยมีอัตราการตายสูง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนกันยายน ซึ่งเป็นฤดูฝน แหล่งน้ำต่าง ๆ มีปริมาณน้ำมาก สภาพทางธรรมชาติของแหล่งน้ำเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำวัยอ่อน 

กอปรกับวันที่ 21 กันยายน เป็น ‘วันสถาปนากรมประมง’ ดังนั้นเพื่อเป็นการรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีพระราชโองการเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2469 ตั้ง ‘กรมรักษาสัตว์น้ำ’ ขึ้น ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘กรมประมง’ ดังนั้นจึงมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2549 กําหนดให้เปลี่ยน ‘วันประมงแห่งชาติ’ จากเดิมวันที่ 13 เมษายน เป็นวันที่ 21 กันยายนของทุกปี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา

20 กันยายน ของทุกปี กำหนดเป็น ‘วันเยาวชนแห่งชาติ’ รำลึกวันพระราชสมภพ 2 ยุวกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

วันที่ 20 กันยายนของทุกปี ถือเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ไทย 2 พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 

โดยพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ ได้ขึ้นครองราชสมบัติขณะยังทรงพระเยาว์ 

ทั้งนี้ ประเทศไทย โดยคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดวันที่ 20 กันยายน เป็นวันสำคัญหลายเหตุการณ์ เช่น 

- ปี พ.ศ. 2528 กำหนดให้เป็นวันเยาวชนแห่งชาติ ซึ่งตรงกับที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้ปี 2528 เป็นปีเยาวชนสากล และเป็นวันพระราชสมภพและได้ขึ้นครองราชสมบัติขณะยังทรงพระเยาว์ของพระมหากษัตริย์ไทยทั้ง 2 พระองค์

- ปี พ.ศ. 2538 กำหนดเป็นวันอนุรักษ์และรักษาคูคลองแห่งชาติ เนื่องจากเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2537 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จประพาสทางเรือจากท่าน้ำสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ไปจนถึงประตูน้ำท่าไข่ จังหวัดฉะเชิงเทรา รวมระยะทางทั้งสิ้น 72 กิโลเมตร ใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง การเสด็จประพาสทางเรือครั้งนี้สร้างความปลื้มปีติแก่พสกนิกรอย่างหาที่สุดมิได้ และเป็นที่มาของความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่จะสืบสานปณิธาน และพระราชดำรัสของพระองค์ที่ว่า “คลองแสนแสบเป็นคลองสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่สมควรได้รับการดูแลรักษาต่อไป”

- ปี พ.ศ. 2544 กำหนดให้เป็นวันรัฐวิสาหกิจไทย เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

19 กันยายน พ.ศ. 2417 ‘รัชกาลที่ 5’ โปรดเกล้าฯ จัดตั้ง ‘พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย’ ถือเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกของประเทศไทย

19 กันยายนของทุกปี รัฐบาลได้ประกาศให้เป็น ‘วันพิพิธภัณฑ์ไทย’ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

เมื่อปี พ.ศ. 2538 รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 19 กันยายนของทุกปีเป็น ‘วันพิพิธภัณฑ์ไทย’ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงเห็นความสำคัญของพิพิธภัณฑสถาน ซึ่งพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย ขึ้นในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 และเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดพิพิธภัณฑ์ด้วยพระองค์เอง

‘พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย’ หรือ ‘หอมิวเซียม’ เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกของไทย โดยสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2417 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่หอคองคอเดีย หรือศาลาสหทัยสมาคม ซึ่งเป็นอาคารใหม่ภายในพระบรมมหาราชวัง จัดแสดงศิลปะโบราณ วัตถุของไทย ของพระมหากษัตริย์ และต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ ได้บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของคนรุ่นก่อน ผ่านกาลเวลามานับร้อยปี และได้เปิดให้ประชาชนได้เข้าชมเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 เพื่อได้ศึกษา ได้เรียนรู้รากเหง้าตัวของเราเองมากขึ้น

เปิดตัวชุดประจำชาติ 'โอปอล สุชาตา' ใน MUT 2024 แรงบันดาลใจจาก 'สมเด็จพระมหาเทวีศรีสุริโยไท'

(18 ก.ย. 67) มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 เปิดตัวชุดประจำชาติ (National Costume) ‘สยามมานุสตรี’ ของ ‘โอปอล สุชาตา ช่วงศรี’ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 ตัวแทนสาวไทยในการเข้าร่วมการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2024 ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศเม็กซิโก ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

โดยในปีนี้ทางกอง TPN ตัดสินใจเลือก ชุดสยามมานุสตรี ที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากพระราชพงศาวดารกล่าวถึง ครั้งสมเด็จพระมหาเทวีศรีสุริโยไท ทรงกระทำยุทธหัตถีกลางสมรภูมิอย่างหาญกล้า ทรงเป็นวีรสตรีที่ละพระชนม์ชีพเพื่อเป็นตัวแทนปกป้องบ้านเมือง นี่คือตัวอย่างของพลังที่ไร้ขีดจำกัดของผู้นำหญิงของไทยที่มีมาแต่โบราณ ตอกย้ำความสามารถในการเป็นผู้นำด้วยความหาญกล้าของหญิงไทย นำมาสู่แรงบันดาลใจในการออกแบบชุดสยามมานุสตรี โดยใช้เทคนิคงานหัตถศิลป์ชั้นสูง รวมถึงงานประดับปีกแมลงทับอันวิจิตรบรรจงรวมผู้เชี่ยวชาญและครูช่างครบทุกแขนง นับเป็นความภาคภูมิใจและพลังในการขับเคลื่อนงานศิลปาชีพของไทยสู่สายตาชาวโลก

ซึ่งเป็นชุดที่โอปอลสวมใส่ขึ้นอวดความสวยอลังการในการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 และเป็น 1 ใน 10 ชุดที่ดีที่สุดในรอบการประกวดดังกล่าว ผลงานการออกแบบโดย คุณบุหลัน ปั้นบรรจง ร่วมสร้างสรรค์โดยสมาคมภริยาช่างสิบหมู่

ย้อนชมชุดประจำชาติในยุคของ TPN Global

ปี 2023
‘ชุดเทวสตรี ศรีอโยธยา’ ได้รับแรงบันดาลจากรูปปั้น ‘พระแม่ธรณี’ ในช่วงยุคอยุธยาที่สามและสี่ของอาณาจักรสยามที่มีอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 14 ถึง 18 

แม่ธรณีในประวัติศาสตร์พุทธไทย ถูกนับถือเป็นอย่างสูงและได้รับบูชาตลอดประวัติศาสตร์ไทย กล่าวถึงความเชื่อว่าตั้งอยู่ในดินแดนที่ทรงพระพรมความอุดมสมบูรณ์และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เป็นแทนความสำคัญของธรรมชาติต่อมนุษย์และแสดงถึงการปกป้องดินและความรุ่งเรืองของมันที่คนไทยเก็บไว้ในใจ ประดับประดาเครื่องแต่งกายด้วยเครื่องประดับ ที่ถูกสร้างให้เหมือนกับรูปปั้นจากอาณาจักรอยุธยา จิวเวลรีรวมกับการใช้ลวดเส้น และใช้สีหินและพลอยคำที่มีค่าเพื่อสอดคล้องกับข้อมูลธรณีวิทยาที่บันทึกไว้จริงจากสมัยนั้น ออกแบบโดย คุณกมลรส ทูลภิรมย์ จากห้องเสื้อทรงเสน่ห์ผ้าลายอย่าง

ปี 2022
‘ชุดสงกรานต์เทวี’ สัญลักษณ์ของเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากนางสงกรานต์ ประจำปี 2566 ‘นางกิมิทาเทวี’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพธิดาทั้งเจ็ดของท้าวกบิลพรหม

ลวดลายของชุดได้แรงบันดาลใจมาจากหัตถศิลป์ หัตถกรรม ผ้าทอโบราณ ผ้าทอลายน้ำไหล ประดับตกแต่งด้วยงานปัก ลูกปัด คริสตัล เลื่อม และขวดน้ำที่เหลือใช้จากการบริโภค นำมาประยุกต์ให้มีความทันสมัย พร้อมขันเงินที่ทำโดยช่างฝีมือคนไทย สื่อถึงการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ การเล่นน้ำ หรือใช้ในชีวิตประจำวัน แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีความประณีตสร้างสรรค์ รวมถึงสะท้อนให้เห็นถึงความสุข ความรัก ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความงดงามที่สืบทอดต่อกันมาอย่างช้านานอีกด้วย ออกแบบโดย คุณแชมป์ พีรณัฐ วิริยะ ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ Ciqure

ปี 2021
‘ชุดนางคาด’ แรงบันดาลใจมาจากพลังเลือดนักสู้ในตัวหญิงสาว ผ่านรูปแบบศิลปะการต่อสู้ไทยโบราณอย่างมวยคาดเชือก ประยุกต์ให้เข้ากับความเป็นสากล ดุจดังพลังความหาญกล้า ผสมความงามของหญิงสาว ผ่านเส้นเชือกที่ร้อยต่อถักทอประดับโลหะคาดไปกับหมัดและร่างกายของสาวงาม เป็นพลังสำคัญที่จะประกาศให้ทั้งโลกได้เห็นถึงวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์และพลังนักสู้ของคนไทย 

ไม่เพียงเท่านั้นนางคาดยังแสดงให้คุณเห็นว่านางงามว่าเป็นได้มากกว่าภาพลักษณ์ที่สวยงาม อีกนัยสำคัญของคำว่า ‘คาด’ คือการนำพลังใจจากคนไทยทั้งประเทศเรียงร้อยรวมกันอย่างเหนียวแน่น เพื่อส่งใจเชียร์ตัวแทนสาวไทยอย่างแอนชิลี ผลงานออกแบบโดย คุณจาตุรณ แร่เพชร ซึ่งเป็นผู้ชนะเลิศในการออกแบบชุดประจำชาติ จากบรรดาดีไซเนอร์ที่ส่งแบบเข้าประกวดกว่า 200 ชุดบนเวทีมิสยูนิเวิร์ส 2021

ปี 2020
‘ชุดไตรรงค์อนงค์นาถสุพรรณมัจฉา’ หรือ ชุดปลากัดไทย แรงบันดาลใจมาจากนางสุพรรณมัจฉา นางในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ โดยได้นำความงามสง่าของนางสุพรรณมัจฉาแต่ปรับโฉมออกมาให้เป็นความงามของปลากัดไทย สัตว์น้ำประจำชาติที่ทรงคุณค่าและมีสีสันสวยงาม เสริมความโดดเด่นด้วยสีสันของธงไตรรงค์ลงบนครีบอันพลิ้วไหว 

ซึ่งลวดลายดังกล่าวเป็นลายเสมือนจริงของปลากัดหางสั้นลายธงชาติ ที่ขึ้นชื่อว่ามีราคาสูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย ที่รู้จักกันในนามเจ้าไตรรงค์ ออกแบบโดย คุณอัครัช ภูษณพงษ์ หรือ อาร์ทอัครัช เนรมิตศิลป์ นักออกแบบชุดประจำชาติบนเวทีนางงาม ที่มีผลงานประจักษ์มาแล้วหลายเวที

ปี 2019
‘ชุดผีตาโขน’ แรงบันดาลใจมาจากเอกลักษณ์ท้องถิ่นอย่างประเพณีผีตาโขน ของอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย นำเสนอลวดลายผ้าของภาคอีสาน ผ่านกระบวนการปักหลายเทคนิคเพื่อให้ความรู้สึกตระการตา ตัวชุดมีการนำวัสดุเหลือใช้อย่างเช่น ถุงก๊อปแก๊ปหลากสี ช้อนพลาสติก ขวดน้ำอัดลมพลาสติกสีเขียว เชือกฟาง หลอดดูดน้ำ ตะกร้าพลาสติกที่พังแล้ว ลูกโป่ง และพรมเช็ดเท้าสานแบบบาง มาเพิ่มคุณค่าในรูปแบบของงานศิลปะรีไซเคิล 

ซึ่งได้รับร่วมแรงร่วมใจกันจัดหาของกลุ่มแฟนนางงาม ตัวหน้ากากผีตาโขน ถูกออกแบบให้มีความสูงอยู่ที่ระดับ 2.5 เมตร จุดเด่นให้ครอบศีรษะลักษณะคล้ายหวดนึ่งข้าวเหนียว ใบหน้ายาว จมูกโค้งงอ ตกแต่งความงามให้สื่อถึงความบันเทิงและสนุกสนาน ออกแบบโดย คุณอลงกรณ์ กองอิน ผู้ชนะเลิศจากการแข่งขันประกวดชุดประจำชาติในโครงการ ความเป็นไทยร่วมสมัยที่ฟ้าใสจะใส่ไปคว้ามง

ซึ่งทั้ง 5 ชุดประจำชาติ ในปี 2019-2023 ซึ่งอยู่ในยุคของ TPN Global ยังไม่เคยมีชุดไหนได้รับรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม ดังนั้น ‘ชุดสยามมานุสตรี’ ที่ ‘โอปอล สุชาตา ช่วงศรี’ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 จะสวมใส่ขึ้นในรอบ National Costume ในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2024 ครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งความหวังของแฟนนางงาม ว่าประเทศไทยจะสามารถคว้ารางวัลมาได้ หลังจากที่ตัวแทนสาวไทย ‘แนท อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์’ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2015 เคยคว้ามาได้จาก ‘ชุดตุ๊กตุ๊ก ไทยแลนด์’

'บุ๋ม-ปนัดดา' เดินหน้าช่วยน้ำท่วม ไม่หวั่นแม้ตั้งครรภ์ 7 เดือน เมินคนแซะดาราทำดี ชี้!! จิตใจผู้ประสบภัยหลังน้ำลดสำคัญกว่า

ขณะนี้ประเทศกำลังเจอวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ คนบันเทิงและคนทั่วไป ต่างโอนเงินร่วมบริจาคผ่านองค์กรทำดี เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวเหนืออย่างต่อเนื่อง และเป็นจำนวนมาก บางรายโอนช่วยเงียบ ๆ ไม่บอกใครจนโดนดรามา ถึงขั้น ‘บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ ออกมาโต้แทน 

เมื่อวานนี้ (17 ก.ย. 67) บุ๋ม ปนัดดา รวมตัวเฉพาะกิจนักร้องลูกทุ่ง และ องค์กรทำดี เพื่อไลฟ์สดเพื่อหารายได้ไปช่วยฟื้นฟูโรงเรียนที่ถูกน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ณ เซียร์รังสิต เจ้าตัวก็ขอเปิดใจทุกเรื่อง ลั่น ทนไม่ได้หากใครมาแซะคนทำดี พร้อมยันไม่ต้องห่วงเรื่องอุ้มท้องโตลงพื้นที่ เพราะผัวอนุญาต

“เราก็พยายามจะหาทุนอย่างเพราะเรายังลงพื้นที่อยู่นะคะ เมื่อเช้าเราก็ดูแลที่พะเยา แล้วก็มาหนองคายต่อ แต่เชียงรายเราก็ยังดูแลพื้นที่อยู่ โรงครัวต่าง ๆ เพราะยังมีผู้ประสบภัยอยู่ หลังจากนี้เรายังมีการฟื้นฟูอีก 50 โรงเรียนเลยนะคะ แต่ละโรงเรียนก็เกือบหลักแสนนะคะ ยังไม่รวมกับเสื้อผ้าเด็ก ๆ อีก มันเป็นสิ่งที่เราต้องสู้กันต่อค่ะ น้ำท่วมว่าหนักแล้วนะ แต่พอไปดูสภาพหลังน้ำท่วมแล้วหนักยิ่งกว่า เพราะน้ำท่วมคราวนี้มันมาพร้อมโคลน มันมาพร้อมความเสียหาย อย่าเรียกว่าเริ่มต้นใหม่เลย เรียกว่าติดลบดีกว่า
บางหลังรากฐานล่างก็ต้องออกหมดเลยค่ะ อย่างที่สุโขทัยพื้นบ้านหายไปหมดเลย เรายังมีอะไรที่ต้องฟื้นฟูกันอีกเยอะค่ะ”

“คนในพื้นที่ตอนนี้สภาพจิตใจก็แย่ค่ะ ล่าสุดก็ได้มีทีมจิตแพทย์เข้าไปดูแลสภาพจิตใจกันด้วย เพราะคนตอนนี้กลายเป็นซึมเศร้า น่าสงสารมากเลย เพราะภาพที่เขาดูน้ำท่วมอยู่หน้าบ้าน แล้วมันเวิ้งว้างไม่มีความช่วยเหลือเข้าไป อันนั้นคือสภาพจิตใจที่แย่สำหรับพวกเขาแล้ว หลาย ๆ บ้านมองสภาพบ้านตัวเองที่มันไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งตอม่อ ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนมอเตอร์ไซค์มันยังเดินต่อ แต่สิ่งที่สร้างรายได้ให้เขามันไม่มีเลย บางบ้านเฟอร์นิเจอร์ไม่เหลือสักชิ้นนะคะ กลายเป็นบ้านโล่ง ๆ เปล่า ๆ แล้วแถมยังต้องทำความสะอาดบ้าน น้ำสะอาดก็ไม่มี นี่คือสภาพติดลบของประชาชนในพื้นที่ค่ะ”

“ทีนี้พอเราได้ลงพื้นที่จริง ๆ เราถึงได้เห็นสภาพจิตใจของพวกเขา เราถึงรู้ว่าเขายังต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะมาก ๆ อย่างเมื่อวานบุ๋มดูแลศูนย์พักพิง มีอยู่ประมาณเกือบ 200 คน ซึ่งมีคนแก่และเด็กเยอะมาก กลายเป็นว่าน้ำสะอาดก็ไม่มี เขาก็ไม่ได้อาบน้ำกัน ช่วงแรก ๆ ใช้เทียนกัน 4 วันเต็ม ๆ แล้วตอนนี้อุปกรณ์เครื่องมือทำอาหารบุ๋มก็ต้องส่งไป ส่งกันทุก ๆ วันค่ะ ถ้าคุณเป็นคนทำกับข้าว เป็นแม่ครัวทำอาหารน่าจะรู้ดีกว่าค่าใช้จ่ายมันขนาดไหน แล้วมีทั้งหมด 3 โรงครัวใหญ่ เราดูแลคนเยอะมากค่ะ”

>>ทำมูลนิธิ 10 ปี ครั้งนี้ครั้งแรกที่ไม่เข้าเนื้อ ไม่สนดรามา สนว่าประชาชนจะได้อะไร

“อยากจะบอกว่าทำมูลนิธิมา 10 ปีนี่เป็นครั้งแรกที่ไม่เข้าเนื้อ (หัวเราะ) เพราะตั้งแต่โควิดตอนนั้นบุ๋มก็ควักไป 5 ล้าน แล้วน้ำท่วมก็ไม่ใช่แค่แม่สายนะ องค์กรทำดีเราดูแลมาตั้งแต่เทิงแม่ต๋ำ เดือนกว่าแล้วนะคะ แล้วไปแพร่ ไปน่าน ไปสุโขทัย ไปอยุธยา กลับมาขึ้นแม่สายต่อแล้วตอนนี้อยู่หนองคาย ซึ่งหลังจากนี้บุ๋มก็ต้องบินไปหนองคายต่อ เราดูแลมาเดือนนึงเต็ม ๆ แล้วค่ะที่แช่น้ำกันมา ค่าใช้จ่ายที่เราต้องดูแลในแต่ละวันเยอะมากค่ะ ดังนั้นนี่คือครั้งแรกค่ะที่ไม่เข้าเนื้อ ที่ผ่านมาคือเงินบุ๋มหมด รถที่ใช้วิ่งที่ใช้ลากเรือนี่ ดิฉันไม่ได้ใช้โซลาร์เซลล์ค่ะ ดิฉันใช้น้ำมัน (หัวเราะ) ผัดกับข้าว ทำโรงครัวเป็นพัน ๆ กล่องต่อวัน เราต้องใช้น้ำมัน ต้องใช้แก๊สค่ะ ค่ากล่องใส่ข้าวอีก”

“มีคนบอก ค่าใช้จ่ายอะไรบ้างเหรอ ไอ้คนที่ถามนี่ไม่ได้บริจาคหรอกบุ๋มเชื่อ แต่คนที่บริจาคเขาไม่พูดหรอกค่ะ เพราะเขารู้ว่าเราทำอะไรบ้าง เขาดูตารางงานของบุ๋มในแต่ละวันก็รู้ ข้อเสียของบุ๋มคือถ่ายรูปไม่เก่ง บุ๋มไม่ค่อยถ่ายรูปลงเท่าไหร่ เพราะทีมงานเราลงอยู่ในน้ำค่ะ เพื่อเอาของใส่เรือให้ได้มากที่สุด ดังนั้นทีมงานไม่สามารถควักมือถือมาถ่ายรูปได้ว่าเราทำอะไรอยู่ตอนนั้น แต่สิ่งที่เราเจอคือเราได้รับสิ่งของจากหลาย ๆ หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ตอนนี้บนดอยต่าง ๆ เราส่งของถึงแล้วนะคะเรามีมอเตอร์ไซค์วิบาก มีรถออฟโร้ด ทีมที่มาเป็นอาสาสมัครให้กับเรา มาร่วมกับองค์กรทำดี ทุกคนมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน บุ๋มก็เลยไม่ได้โพสต์อะไร เพราะตอนนี้บุ๋มไม่สนดรามาค่ะ แต่เราจะสนว่าประชาชนได้อะไรมากกว่า”

>>ทีมอาสาขององค์กรทำดีมีเกือบร้อยชีวิต

“ถ้าทีมขององค์กรทำดีก็เกือบ 100 ชีวิต แต่ถ้าทีมอาสาสมัครตอนนี้เยอะมาก เพราะมีหน่วยงานบริษัทบ้าง มีมหาวิทยาลัยบ้าง แต่เราก็ต้องซัปพอร์ตในเรื่องของอุปกรณ์ น้ำยาทำความสะอาด และค่าเดินทางของพวกเขา ค่าอาหารอะไรต่าง ๆ เราก็ต้องดูแลพวกเขาตรงนี้ด้วย”

“เอาง่าย ๆ ว่าถ้าน้ำยังท่วมอยู่เราก็ยังไปเรื่อย ๆ ของพวกเรา เพราะเดี๋ยวจะบอกว่าช่วยแต่เชียงรายเหรอ เราก็ต้องไปทุกที่ เพราะทุกที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือหมด แม้กระทั่งพื้นที่ที่แห้งไปแล้ว อย่างสุโขทัย อยุธยา หรือแม้กระทั่งเทิงแม่ต๋ำ แต่ความเสียหายมันยังอยู่ค่ะ ไม่ใช่ว่าน้ำแห้งแล้วจบค่ะ เรายังต้องช่วยเขาต่อ บุ๋มอยากขอบคุณทุกพลังค่ะ 1 บาทของคุณ 1 ล้านบาทของคุณมันคือพลังอันยิ่งใหญ่ค่ะเพราะเรือเราพัง รถเราพัง เราเลยรู้สึกมันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าน้ำใจของทุกคนที่ส่งมาให้กับบุ๋ม ขอบคุณมาก ๆ ที่ทุกคนเชื่อในตัวบุ๋ม ขอบคุณมาก ๆ ที่เชื่อในองค์กรทำดี ในการที่เราจะส่งต่อทุกอย่าง ทุกบาท ทุกสตางค์ให้ถึงพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุดค่ะ”

>>ไม่กล้าคิดเรื่องเงินสมทบทุน แค่มีคนให้ก็ดีใจแล้ว ขอบคุณดาราออกมาช่วยกันเยอะเป็นล้าน ๆ ครั้ง

“ไม่รู้ ไม่กล้าคิดเลย แค่มีคนมาดิฉันก็ดีใจแล้ว ไม่กล้าตั้งเป้าอะไรเลย เพราะว่าตอนนี้เงินมาก็เงินออกค่ะ (หัวเราะ) อยากให้มาเป็นบัญชีดิฉันจังเลย อย่างวันนี้เราก็ไม่คาดคิดว่าจะมีศิลปินดารามาเยอะขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าน่าจะสัก 2 ชม. จบ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว”

“และมีน้อง ๆ ดารามากันอีกเยอะมาก ก็อยากจะขอบคุณเป็นล้าน ๆ ครั้งจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณที่มาช่วยประชาชนค่ะ“

>>แซะคนทำดี ทนไม่ได้

“คือใครที่แซะบุ๋ม บุ๋มทนได้นะ แต่ถ้าแซะคนทำดี บุ๋มทนไม่ได้ บางทีน้องเขาไม่ได้ออกตัว น้องเขาไม่ได้พูดอะไร อย่างน้องชมพู่ (อารยา เอ ฮาร์เก็ต) เขาบอกว่าหนูต้องจ่ายเท่าไหร่ให้พี่ไม่ลงน้ำ (หัวเราะ) เราคุยกันทางไลน์ บุ๋มก็บอกว่าไม่เรียกร้องเลย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเรือเราแตกหลังจากที่เจอคลื่นแรง เราต้องซื้อเรือใหม่ เขาบอกโอเคได้ งั้นหนูให้แม่ล้านนึง เงินเข้ามาก็ออกไปทันที เพราะเราก็เอาไปช่วยเหลือคนต่อ ก็เป็นสิ่งที่อยากขอบคุณจริง ๆ ค่ะ อยากบอกว่าคนที่ไม่ออกนามมีอีกเยอะนะคะ คุณอย่าไปแซะเขาเลยค่ะ ถ้ามีเวลาว่างนะ ช่วยกันหาดีกว่าว่าโรงเรียนไหนยังเดือดร้อน ประชาชนตรงไหนยังเดือดร้อน แล้วส่งมาที่องค์กรทำดี เรามาช่วยเหลือกันดีกว่า อย่ามัวแต่แซะคนนั้นคนนี้เลย ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์กันดีกว่า“

>> รับอุ้มท้อง 7 เดือนลงพื้นที่ ไม่ได้นอน กลับมาเลือดกำเดาไหล แต่ยังไงก็รักลูกที่สุด ไม่ต้องห่วง ยังหาหมอปกติ เดี๋ยวผัวดุ ถ้าผัวยังอนุญาตให้ไป ก็สบายใจได้

“ตอนที่ลงแม่สายยอมรับว่าไม่ได้นอนค่ะ กลับมาก็เลือดกำเดาไหล เพราะเราไม่ค่อยได้ดื่มน้ำ ในพื้นที่ห้องน้ำไม่มี แต่หลังจากนั้นก็กลับมาดูแลตัวเองแล้วค่ะ ยังไงดิฉันก็ต้องรักลูกดิฉันมากที่สุดค่ะ ไม่ต้องห่วง ส่วนที่มีคนบอกว่าไม่ยอมไปหาหมอ หาอยู่ค่ะ หมอสูตินารีนัดสิ้นเดือนค่ะ ไม่ต้องห่วง ๆ เดี๋ยวผัวดุค่ะ ไม่ได้ค่ะ (หัวเราะ) จริง ๆ ที่บ้านก็ยังไม่ค่อยห่วง ก็ถ้าขนาดสามีดิฉันยังปล่อยดิฉันไปได้ พวกคุณก็สบายใจได้ค่ะ (ยิ้ม) นี่หลายคนตั้งชื่อให้ลูกดิฉันแล้วนะคะ ชื่อน้องน้ำใจบ้าง น้ำเหนือบ้าง แต่น้ำเหนือคงไม่ได้ เดี๋ยวอีสานน้อยใจ (หัวเราะ)”

>>หมอห้ามลงน้ำลึกเกินมดลูก หวั่นติดเชื้อ

“คุณหมอห้ามลงน้ำลึกค่ะ ลึกห้ามเกินมดลูก เพราะเขากลัวติดเชื้อ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เกินค่ะ ยังอยู่แค่เข่า แต่ ณ ตอนนี้แค่เข่าทีมงานก็ไม่ให้แล้วค่ะ ทีมงานก็ให้เป็นแม่ย่านางนั่งสั่งการอยู่บนเรือไป”

>>แฮปปี้ถูกลอตเตอรี่ แต่ได้เงินมาก็ออกหมด

“เราได้ที่ดินเป็นมูลนิธิสาขา 2 ที่ลำปางนะคะ อันนี้ตั้งใจจะทำเป็นพื้นที่ในการช่วยเป็นบ้านพักพิงให้กับผู้หญิงและเด็กที่โดนทำร้ายร่างกาย โดนข่มขืนมา พอเราได้บ้านปุ๊บ ดิฉันก็โพสต์เลขที่บ้านค่ะ 237 ก็ไม่คิดหรอกว่าจะออกจริง ๆ งวดที่แล้วดิฉันก็ยืนอยู่ตรงรถกู้ภัยของดิฉันนี่แหละ แล้วก็ออกอีก ชาวบ้านก็เลยบอกว่าแม่บุ๋มให้โชคเยอะมาก แต่ถ้าจะให้ดีคุณให้ดิฉันบ้างก็ได้นะคะ (หัวเราะ)”

“ดิฉันไม่เคยได้โชคอะไรอย่างนี้เลย มีแค่เมื่อวานแหละค่ะที่ถูก 2 ใบ เงินที่ได้ก็เอาไปเป็นค่าน้ำให้กับศูนย์พักพิงไปเรียบร้อยแล้วค่ะ ได้มาก็ออกไปค่ะ ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะสำหรับทุกคนที่เป็นพลังน้ำใจให้กับบุ๋ม ขอบคุณสื่อมวลชน ขอบคุณศิลปินดาราทุก ๆ คน บุ๋มเชื่อว่าทุกคนทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ แล้วมันกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ค่ะ ขอบคุณที่เชื่อในองค์กรทำดีค่ะ”

18 กันยายน พ.ศ. 2521 ‘ในหลวง ร.9’ ทรงมีรับสั่ง “ถ้าน้ำแรง ทำไมไม่คิดทำไฟฟ้าด้วย” จุดเริ่มต้นก่อสร้าง ‘โรงไฟฟ้าพลังน้ำบ้านสันติ’ จังหวัดยะลา

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2521 หรือ 46 ปีที่แล้ว พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวง ร.9 พร้อมด้วยสมเด็จฯพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้ง 2 พระองค์ เสด็จฯ ไปทรงวางศิลาฤกษ์เขื่อนบางลาง ตำบลบาเจาะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ซึ่งจากการเสด็จฯ ในวันนี้ ได้ทำให้เกิดโครงการ ‘โรงไฟฟ้าพลังน้ำบ้านสันติ’ ขึ้นบริเวณเหนือเขื่อนบางลาง ในเวลาต่อมา 

ในช่วงเวลาของการก่อสร้างเขื่อนบางลาง จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำแห่งแรกของภาคใต้ตอนล่างนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากในการก่อสร้าง เนื่องด้วยในขณะนั้นยังมีการต่อสู้กับผู้ก่อการความไม่สงบคอมมิวนิสต์ โดยในระหว่างการก่อสร้างในหลวง ร.9 และพระราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินมาที่เขื่อนแห่งนี้หลายครั้ง ด้วยพระราชประสงค์จะพระราชทานกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน 

ในการเสด็จพระราชดำเนิน เมื่อ 46 ปีก่อน เพื่อมาทรงวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างเขื่อนบางลาง โดยมีนายเกษม จาติกวณิช ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในขณะนั้นร่วมรับเสด็จ พระองค์ได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรฝายละแอ ซึ่งเป็นฝายทดน้ำขนาดเล็กจากคลองละแอที่สร้างด้วยการเจาะอุโมงค์ขนาดเล็กและต่อท่อส่งน้ำไปให้ประชาชนในหมู่บ้านสันติใช้ 

พลอากาศตรีกำธน สินธวานนท์ องคมนตรี ซึ่งเวลานั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กราบบังคมทูลว่า น้ำประปาไหลแรง เพราะต่อน้ำลงมาจากที่สูงทำให้ก๊อกน้ำเสียเป็นประจำ ในหลวง ร.9 จึงทรงมีรับสั่งขึ้นว่า 

“ถ้าน้ำแรง ทำไมไม่คิดทำไฟฟ้าด้วย”

จากแนวพระราชดำริดังกล่าวนั้นเอง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จึงก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำบ้านสันติขึ้นบริเวณเหนือเขื่อนบางลาง โดยติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 1,275 กิโลวัตต์ จำนวน 1 เครื่อง และติดตั้งท่อส่งน้ำยาว 1,800 เมตร สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ในเดือนตุลาคม 2525 

นับเป็นอีกหนึ่งโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก ที่เกิดขึ้นจากแนวพระราชดำริ เพราะทรงห่วงใยต่อพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดารหรือในพื้นที่ห่างไกล ทรงสนพระทัยสอบถามถึงความเป็นอยู่ โดยเฉพาะเรื่องน้ำบริโภคและทำการเกษตร ด้วยทรงมีพระราชประสงค์ให้แต่ละชุมชนใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พึ่งพาตนเองได้ และทุกครั้งที่ทรงมองเห็นโอกาสในการสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน จะทรงมีแนวพระราชดำริ ให้ใช้ประโยชน์จากการก่อสร้างเขื่อนขนาดเล็ก ที่นอกจากเพื่อเก็บกักน้ำแล้วยังสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ใช้ในชุมชนได้อีกด้วย

17 กันยายน พ.ศ. 2403 ‘ในหลวง รัชกาลที่ 4’ ปฏิวัติระบบเงินตราครั้งใหญ่ ประกาศใช้ ‘เงินเหรียญบาท’ ครั้งแรกในสยาม

วันนี้เมื่อ 17 กันยายน พ.ศ. 2403 หรือ 164 ปีก่อน ‘สยาม’ ประกาศใช้เงินเหรียญบาทเป็นครั้งแรก โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้ผลิตขึ้นโดยเครื่องจักรที่สั่งจากประเทศอังกฤษ เพื่อใช้แทนเงินพดด้วง เป็นตราพระมหามงกุฎ-ช้างในวงจักร

ในรัชสมัย ‘พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4’ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ‘โรงกระสาปน์สิทธิการ’ โรงกษาปณ์แห่งแรกของไทย ภายในพระบรมมหาราชวังบริเวณที่เคยเป็นโรง ทำเงินพดด้วงเดิม ด้านหน้าพระคลังมหาสมบัติ บริเวณมุมถนนใกล้กับทางออกประตูสุวรรณบริบาลด้านทิศตะวันออก และติดตั้งเครื่องจักรผลิตเหรียญกษาปณ์ขับเคลื่อนด้วยแรงดันไอน้ำเป็นเครื่องแรก ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่สั่งจากประเทศอังกฤษ

วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2403 รัชกาลที่ 4 ได้ออกประกาศพิกัดราคาเงินเหรียญบาทและเงินแป โดยให้นำเงินเหรียญอย่างใหม่ซึ่งเป็นเงินแบนที่ผลิตได้จากโรงกระสาปน์สิทธิการ นำออกใช้แทน เงินพดด้วง เหรียญดังกล่าวนั้น ด้านหน้าเป็นรูปพระมหามงกุฎ มีฉัตรกระหนาบทั้ง 2 ข้าง ด้านหลังเป็นรูปช้าง อยู่กลางพระแสงจักร เหรียญเนื้อเงินแท้ ราคา ๑ บาท น้ำหนัก 15.33 กรัม เส้นผ่าศูนย์กลางเหรียญ 31 มิลลิเมตร

และเหรียญชนิดต่าง ๆ ประกอบด้วยเหรียญเงินราคา 1 บาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง กึ่งเฟื้อง และเหรียทองพัดดึงส์อีกจำนวนหนึ่ง นับเป็นการปฏิวัติระบบเงินตราครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของไทย

อนึ่ง โรงกษาปณ์แห่งนี้ ภายหลังจากการสร้างโรงกษาปณ์แห่งที่ 2 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นโรงหมอตอนหนึ่ง และเป็นคลังราชพัสดุอีกตอนหนึ่ง และต่อมาในปี พ.ศ. 2440 เกิดไฟไหม้หมดทั้งหลัง

'สมาคมโรคหัวใจสหรัฐฯ' ยกเพลง ROCKSTAR เหมาะใช้ช่วยทำ CPR เพราะมีจังหวะ 120 บีทต่อนาที เท่ากับจำนวนครั้งที่ควรปั๊มหัวใจต่อ 1 นาที

(16 ก.ย. 67 ) กลายเป็นรางวัลที่สร้างความภูมิใจให้กับคนไทยและวงการดนตรีจากเอเชียสุดๆ หลัง 'ลิซ่า BLACKPINK' ได้มีโอกาสขึ้นโชว์ผลงานเดี่ยวของตัวเอง บนเวที Video Music Awards รวมทั้งคว้ารางวัล Best K-Pop จากผลงานเพลง Rockstar เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ผลงานของศิลปินสาวไทย บนเวทีระดับโลกนั้น

ล่าสุด ลิซ่า กับเพลง 'Rockstar' ก็ถูกพูดถึงอีกครั้ง เมื่อสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (American Heart Association) โพสต์เฟซบุ๊กแนะนำว่า เพลง Rockstar ของลิซ่า เหมาะนำมาใช้ในการ CPR เพราะมีจังหวะ 120 บีทต่อนาที เท่ากับจำนวนครั้งที่ควรปั๊มหัวใจต่อ 1 นาทีเป๊ะ

โดยเนื้อความระบุว่า “Gold teeth sittin' on the dash, she a rockstar (เนื้อเพลง ROCKSTAR) ผู้ชนะ และผู้ช่วยชีวิต"

"เพลง ROCKSTAR ของลิซ่า ซึ่งชนะรางวัล Best K-POP ใน MTV VMAs 2024 เป็นเพลงที่มีจังหวะ 120 bpm เหมาะสำหรับการทำ CPR แบบ Hands-Only (CPR โดยการใช้มือ) หากผู้ใดเห็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่หมดสติ ให้โทร 911 และกดกลางหน้าอกอย่างหนักและรวดเร็ว”

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

✨ประจำวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2567

🟢รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท : 608662

🔴รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท : 608661 / 608663

🔴รางวัลเลขหน้า 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท : 230 / 904

🔴รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท : 008 / 408

🔴รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท : 37

🟢รางวัลที่ 2 รางวัลละ 200,000 บาท : 
474510 / 544978 / 705432 / 910627 / 841682 

🟢รางวัลที่ 3 รางวัลละ 80,000 บาท : 

107957 / 865708 / 651722 / 915662 / 653692
416024 / 516143 / 210002 / 384311    215554 

🟢รางวัลที่ 4 รางวัลละ 40,000 บาท: 
293084 / 282328 / 229977 / 766221 / 750870
588907 / 872383 / 259692 / 086569 / 142283
253314 / 341772 / 037845 / 838082 / 087336
741298 / 034649 / 593189 / 199628 / 262378
238591 / 187159 / 318862 / 889637 / 034227
830841 / 308005 / 337475 / 233606 / 715426
121211 / 544682 / 110415 / 629901 / 376400
422395 / 761518 / 964585 / 924799 / 417959
623304 / 393518 / 598884 / 551987 / 563701
479532 / 296792 / 988954 / 879001 / 295315

🟢รางวัลที่ 5  รางวัลละ 20,000 บาท: 
317867 / 747154 / 764664 / 384037 / 565238
730128 / 514400 / 620017 / 075674 / 795510 
511981 / 513205 / 111864 / 091138 / 682221 
772854 / 595342 / 544628 / 696729 / 108678
032161 / 493937 / 287190 / 012401 / 589854
935599 / 590395 / 397932 / 856500 / 913767
864344 / 145819 / 866852 / 765243 / 918926
326403 / 680908 / 231523 / 002519 / 574380
203879 / 349545 / 006406 / 456825 / 889817
817090 / 506021 / 243088 / 132898 / 824718
831432 / 307856 / 700823 / 807492 / 969948
534205 / 222892 / 766935 / 313149 / 348231
745440 / 864704 / 979175 / 500567 / 622766
447283 / 180151 / 698564 / 381463 / 676774
901761 / 517205 / 161717 / 150476 / 148912
881539 / 668005 / 277961 / 220586 / 095407
612384 / 792740 / 351070 / 720563 / 500614
796179 / 661390 / 848935 / 307742 / 254844
789368 / 317318 / 572341 / 038392 / 495854
609436 / 383406 / 503256 / 244115 / 371744 

16 กันยายน พ.ศ. 2465 ‘ในหลวงรัชกาลที่ 6’ พระราชทานที่ดินทรงสงวนที่สัตหีบ ก่อสร้าง ‘ฐานทัพเรือ’ เพื่อดูแลผลประโยชน์ชาติทางทะเล

วันนี้ เมื่อ 102 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานที่ดินหวงห้ามที่สัตหีบให้ใช้เป็นฐานทัพเรือ ตามที่นายพลเรือเอก กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ได้ขอพระราชทาน

ย้อนไป เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2465 หรือ 102 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานที่ดินหวงห้ามที่สัตหีบให้ใช้เป็นฐานทัพเรือ ตามที่นายพลเรือเอก กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ได้ขอพระราชทาน และกองทัพเรือสร้างฐานทัพเรือที่สัตหีบ ตามพระราชประสงค์ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ

ฐานทัพเรือสัตหีบ เริ่มก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2457 ขณะที่เสด็จประพาสทางชลมารคเลียบฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย โดยเรือพระที่นั่งมหาจักรี พระองค์ได้เสด็จฯ มาประทับในอ่าวสัตหีบ เพื่อทอดพระเนตรการซ้อมรบของกองทัพเรือด้วย

ในการเสด็จคราวนั้นพระองค์ได้ทอดพระเนตรหมู่บ้านสัตหีบ เห็นว่า เป็นชัยภูมิอันเหมาะที่จะตั้งเป็นฐานทัพเรือ จึงได้มีพระบรมราชโองการด้วยพระโอษฐ์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2457 แก่พระยาราชเสนาผู้แทนสมุหเทศาภิบาล มณฑลจันทบุรี และพระยาประชาไศรยสรเดช ผู้ว่าราชการเมืองชลบุรี

ขณะทรงประทับอยู่ในเรือพระที่นั่งว่า มีพระราชประสงค์ที่ดินฝั่งตำบลสัตหีบ และที่ใกล้เคียงตลอดทั้งเกาะใหญ่น้อยบรรดาที่มีอยู่ริมฝั่งน้ำ อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับใบเหยียบย่ำ หรือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินบนฝั่ง หรือเกาะที่สงวนไว้แล้วนั้นเป็นอันขาด

ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2465 พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขณะที่ดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ได้มีหนังสือไปกราบถวายบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานที่ดินตำบลสัตหีบที่ทรงสงวนไว้เพื่อจัดเป็นฐานทัพเรือ โดยทรงเน้นให้เห็นคุณและโทษ ของการจัดสัตหีบเป็นฐานทัพเรือไว้

ต่อมาทางกองทัพเรือจึงได้ก่อสร้างฐานทัพเรือ จนมาเป็นฐานทัพเรือสัตหีบ จวบจนถึงปัจจุบัน

15 กันยายน ของทุกปี กำหนดเป็น ‘วันศิลป์ พีระศรี’ เพื่อรำลึกถึง ‘ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี’ บิดาแห่งศิลปะร่วมสมัยของไทย ผู้ก่อตั้ง ‘มหาวิทยาลัยศิลปากร’

วันที่ 15 กันยายน ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น ‘วันศิลป์ พีระศรี’ เพื่อรำลึกถึง ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี บิดาแห่งศิลปะร่วมสมัยของไทย และผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ครูผู้อุทิศตนทั้งชีวิต เพื่อนักเรียนและศิลปะ

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี มีชื่อเดิมว่า CORRADO FEROCI เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2435 ในเขตซานโจวันนี (San Giovanni) เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี บิดาชื่อ นาย Artudo Feroci และมารดาชื่อ นาง Santina Feroci เมื่ออายุ 23 ปี สามารถสอบผ่านเป็นศาสตราจารย์ จากราชวิทยาลัยศิลปะแห่งนครฟลอเรนซ์ (The Royal Academy of Art of Florence)

สำหรับเรื่องการศึกษานั้น ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เข้าศึกษาในระดับชั้นประถม เมื่อปี 2441 พอจบหลักสูตร 5 ปี ก็ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยมอีก 5 ปี หลังจากนั้นก็ได้เข้าศึกษาทางด้านศิลปะในโรงเรียนราชวิทยาลัยศิลปะแห่งนครฟลอเรนซ์ จนจบหลักสูตรวิชาช่าง 7 ปี และได้รับประกาศนียบัตรช่างปั้นช่างเขียน ในขณะที่มีอายุ 23 ปี หลังจากนั้นไม่นานก็รับปริญญาบัตรเป็นศาสตราจารย์ ที่มีความรอบรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ วิจารณ์ศิลป์และปรัชญา นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ยังมีความสามารถทางด้านศิลปะแขนงประติมากรรมและจิตรกรรมอีกด้วย

เมื่อปี 2466 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ชนะการประกวดการออกแบบเหรียญเงินตราสยามที่จัดขึ้นในยุโรป ซึ่งผลการประกวดครั้งนี้เองที่ทำให้ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้เดินทางมารับราชการเป็นช่างปั้นประจำกรมศิลปากร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และในวันที่ 14 มกราคม 2466 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนวิชาช่างปั้นหล่อ แผนกศิลปากรสถานแห่งราชบัณฑิตยสภา

จนกระทั่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี 2484 ประเทศอิตาลียอมพ่ายแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ส่งผลให้ชาวอิตาเลียนที่อาศัยอยู่ภายในประเทศไทยตกเป็นเชลยของประเทศเยอรมนีกับญี่ปุ่น แต่รัฐบาลไทยได้ขอควบคุมตัวศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ไว้เอง ก่อนที่จะให้หลวงวิจิตรวาทการ ดำเนินการเดินเรื่องขอโอนสัญชาติจากอิตาเลียนมาเป็นสัญชาติไทย พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘นายศิลป์ พีระศรี’ เพื่อป้องกันมิให้ต้องถูกเกณฑ์เป็นเชลยศึกไปสร้างทางรถไฟสายมรณะ และสะพานข้ามแม่น้ำแคว เมืองกาญจนบุรี

สำหรับการวางรากฐานการศึกษา ในช่วงแรก ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้จัดตั้ง ‘โรงเรียนประณีตศิลปกรรม’ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘โรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง’ เมื่อปี 2480 ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ได้มีการเปิดสอนหลักสูตรวิชาจิตรกรรมและประติมากรรม และในสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้สั่งให้แยกกรมศิลปากรออกจากกระทรวงศึกษาธิการ และให้มาขึ้นอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรีแทน เนื่องจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตระหนักถึงความสำคัญของศิลปะว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งสาขาหนึ่งของชาติ จึงได้มีคำสั่งให้ พระยาอนุมานราชธน อธิบดีกรมศิลปากร ในขณะนั้น ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรและตราพระราชบัญญัติ เพื่อยกฐานะ ‘โรงเรียนศิลปากร’ ขึ้นเป็น ‘มหาวิทยาลัยศิลปากร’ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 

โดยมหาวิทยาลัยศิลปากรในขณะนั้น มีศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้อำนวยการสอนและดำรงตำแหน่งคณบดีคนแรก และคณะวิชาเดียวที่มีการเปิดสอน คือ คณะจิตรกรรมประติมากรรม (สาขาจิตรกรรมและสาขาประติมากรรม)

นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลไทยให้ออกแบบปั้นและควบคุมการหล่อพระราชานุสาวรีย์ และอนุสาวรีย์สำคัญของประเทศไทย อาทิ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ปี 2475), อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ปี 2477), พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า (ปี 2484) และพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช (ปี 2493-2494) เป็นต้น

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ยังมีประโยคที่มักใช้สอนนักเรียนอยู่เสมอว่า "ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น" เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่า ชีวิตของมนุษย์ช่างแสนสั้นนัก เมื่อเปรียบเทียบกับการยืนยงคงอยู่ของศิลปกรรมที่จะยืนยงคงอยู่ยาวนานนับร้อยนับพันปี หรือประโยคที่ว่า "นายไม่อ่านหนังสือ นายจะรู้อะไร" เพื่อเตือนใจลูกศิษย์ให้หมั่นศึกษาหาความรู้ โดยเฉพาะความรู้ใหม่ ๆ 

และเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ถึงแก่กรรมที่โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุได้ 69 ปี 7 เดือน 29 วัน

14 กันยายน พ.ศ. 2485 คนไทยร่วมใจ ‘ยืนตรงเคารพธงชาติ’ วันแรก ต้นแบบที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

“ธงชาติและเพลงชาติไทย…เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย…เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ…ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราชและความเสียสละของบรรพบุรุษไทย…” 

นี่คือเสียงเชิญชวนให้ยืนตรง ‘เคารพธงชาติ’ ที่ฟังกันจนคุ้นหู และปฏิบัติกันจนเป็นกิจวัตร โดยเราจะยืนเคารพธงชาติเมื่อถึงเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. โดยทำติดต่อกันเป็นจริงเป็นจังมา 82 ปีแล้ว (ตั้งแต่ปี 2485) ทั้งที่ประเทศไทยมีการใช้ธงชาติมานาน เฉพาะธงไตรรงค์ที่ใช้เป็นธงชาติในปัจจุบันก็มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว

เหตุใดคนไทยจึงยืนเคารพธงชาติ?

ต้องย้อนกลับไปในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา ที่ออกกฎกระทรวงมหาดไทยเรื่อง ระเบียบการชักธงชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2478 ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่กำหนดถึงระเบียบในการชักธงและการประดับธงชาติ แต่การยืนเคารพธงชาติก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก

แต่ความสำเร็จในการยืนเคารพธงชาตินั้น เกิดจากรายการวิทยุกระจายเสียง ‘นายมั่น-นายคง’ ซึ่งผู้ดำเนินการทั้ง 2 คนจะสนทนากับผู้ฟังทางบ้านในประเด็นต่าง ๆ (วิทยุเป็นเครื่องมือโฆษณาที่สำคัญของรัฐบาลในเวลานั้น) โดยการออกอากาศวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2485 ได้เชิญชวนและนัดหมายกับประชาชนให้ยืนตรงเคารพธงชาติพร้อมกันว่า…

“เวลา 8.00 น. นับตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้เปนต้นไปผู้ที่มีเครื่องรับวิทยุ ก็ขอได้โปรดเปิดไห้ดัง ๆ ด้วย เพื่อเพื่อนบ้านไกล้เรือนเคียง และคนสัญจรไปมาจะได้ยินทั่ว ๆ กัน…

“สิ่งแรกฉันหยากขอไห้ยุวชนช่วยฉันไห้พร้อมเพรียง เมื่อเวลาประกาสไห้เคารพทงชาติไห้ทำทุกคนเปนการเคารพชาติที่มีคุนแก่เรา และไห้บอกคนไนบ้านทุกคนทำการเคารพด้วยบอกว่าทงชาติยังหยู่ชักขึ้นแล้ว เอกราชของไทยยังบุญมั่นขวันยืนดี เราต้องพร้อมไจกันทำการเคารพทั่วทั้งชาติ และไนเวลาเดียวกันแหละ…

“ฉันเชื่อมั่นว่าการเคารพทงชาติคราวหน้านี้จะสำเหร็ดได้ด้วยความรักชาติของยุวชนเปนสำคัน ทำตามนี้เรียกว่ายุวชนสร้างชาติ”

13 กันยายน พ.ศ. 2425 วันประสูติ ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม’ ผู้ปรีชาสามารถด้านดนตรี นิพนธ์เพลงอมตะ ‘ลาวดวงเดือน’

ครบรอบ 142 ปี ประสูติกาล ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม’ พระราชโอรสพระองค์ที่ 38 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราชสกุลเพ็ญพัฒน เป็นผู้นิพนธ์เพลงลาวดวงเดือน

‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม’ พระนามเดิม พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 38 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันประสูติแต่เจ้าจอมมารดามรกฎ ในรัชกาลที่ 5 ธิดาของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ประสูติเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2425 เสด็จไปศึกษาทางด้านเกษตรศาสตร์จากประเทศอังกฤษ สำเร็จการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2446 ขณะพระชันษา 20 ปี กลับมารับราชการเป็นผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงเกษตราธิการ

ในปี พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชวินิจฉัยให้อุดหนุนการทำไหมและทอผ้าของประเทศ โดยได้ว่าจ้าง ดร.คาเมทาโร่ โทยาม่า จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ทดลองเลี้ยงไหมตามแบบฉบับของญี่ปุ่น สอนและฝึกอบรมนักเรียนไทยในวิชาการเลี้ยงและการทำไหม พร้อมกับสร้างสวนหม่อนและสถานีเลี้ยงไหมขึ้นที่ตำบลศาลาแดง กรุงเทพ ทรงจัดตั้งกองช่างไหมขึ้นในกระทรวงเกษตราธิการ 

ต่อมา วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2446 กระทรวงเกษตราธิการได้รวมกองการผลิต, กองการเลี้ยงสัตว์ และกองช่างไหม ตั้งขึ้นเป็น ‘กรมช่างไหม’ โดยมี พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงษ์ เป็นอธิบดีกรมช่างไหมพระองค์แรก นับว่ามีพระกรณียกิจในการวางรากฐานเรื่องไหมไทย โดยตั้งโรงเรียนและโรงเลี้ยงไหมขึ้นที่กรุงเทพฯ นครราชสีมา และบุรีรัมย์

งานหลักของกรมช่างไหม คือ การดำเนินงานตามโครงการของสถานีทดลองเลี้ยงไหม เริ่มด้วยการก่อตั้งโรงเรียนสอนการทำไหมขึ้นในพระราชวังดุสิต เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2446 และเปิดโรงเรียนสอนการทำไหมขึ้นที่ปทุมวัน เรียกว่า ‘โรงเรียนกรมช่างไหม’ เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2447 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญ ศึกษาวิจัย และฝึกพนักงานคนไทยขึ้นแทนคนญี่ปุ่น ในเวลาต่อมาโรงเรียนแห่งนี้ได้พัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ทรงสนพระทัยดนตรีไทย โปรดให้มีวงปี่พาทย์วงหนึ่ง เรียกกันว่า ‘วงพระองค์เพ็ญ’ พระองค์ยังทรงเล่นดนตรีได้หลายชนิด และทรงเป็นนักแต่งเพลงที่สามารถ เมื่อครั้งเสด็จกลับจากประเทศอังกฤษ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมได้เสด็จไปนครเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2446 ทรงชอบพอกับ เจ้าหญิงชมชื่น ณ เชียงใหม่ พระธิดาใน เจ้าราชสัมพันธวงศ์ ธรรมลังกา ณ เชียงใหม่, เจ้าราชสัมพันธวงศ์นครเชียงใหม่ กับเจ้าหญิงคำย่น (ณ ลำพูน) ณ เชียงใหม่ ได้โปรดให้ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพเป็นเฒ่าแก่เจรจาสู่ขอ แต่ได้รับการทัดทาน ไม่มีโอกาสที่จะได้สมรสกัน ทำให้พระองค์โศกเศร้ามาก และได้ทรงพระนิพนธ์เพลงลาวดำเนินเกวียน (หรือลาวดวงเดือน) ขึ้น เมื่อใดที่ทรงระลึกถึง เจ้าหญิงชมชื่น ก็จะทรงดนตรีเพลงนี้มาตลอดพระชนมชีพ

วังที่ประทับของกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม เป็นบ้านของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) บิดาของเจ้าจอมมารดามรกฎ มีชื่อเรียกว่าวังท่าเตียน (เรียกชื่อตามสถานที่ตั้งวัง เช่นเดียวกับวังท่าเตียนหรือวังจักรพงษ์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์) มีโรงละครอยู่โรงหนึ่ง ในสมัยนั้นเรียกกันว่า ปรินส์เทียเตอร์

วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ทรงศักดินา 15000

กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ผู้เป็นต้นราชนิกุล ‘เพ็ญพัฒน์’ มีพระพลามัยไม่สมบูรณ์นัก อาจจะเป็นเพราะพระทัยที่เศร้าสร้อยจากความผิดหวังเรื่องความรัก จึงมีพระชนมายุสั้นเพียง 28 พรรษา สิ้นพระชนม์ด้วยโรคปอดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452

และบังเอิญเสียเหลือเกิน ในปี 2453 เจ้าหญิงชมชื่นก็สิ้นชีพิตักษัยในวัยเพียง 21 ปีเท่านั้น

‘ลิซ่า’ สร้างตำนานบทใหม่ คว้ารางวัล Best K-pop ครั้งที่ 2 จากเวที VMAs พร้อมเรียกเสียงกรี๊ด!! หลังโชว์เดี่ยว ‘New Woman-Rockstar’ ทำถึงสุดๆ

(12 ก.ย.67) จากเวที MTV Video Music Awards 2024 หรือ VMAs สาว 'ลิซ่า' ลลิษา มโนบาล ได้คว้ารางวัล 'Best K-pop' จากผลงานเพลงแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่าง 'ROCKSTAR' ซึ่งเธอเคยได้รางวัลดังกล่าวมาแล้วเมื่อปี 2022 โดยลิซ่ากล่าวหลังจากรับรางวัลว่า เพลง 'ROCKSTAR' เป็นการคัมแบ็กที่มีความหมายสำหรับเธอมาก หลังจากซิงเกิลเดี่ยวเพลงแรกอย่าง LALISA 

นอกจากนี้เธอยังได้กล่าวขอบคุณทั้งค่าย RAC และ LLOUD สำหรับความสำเร็จครั้งนี้ด้วย ซึ่งบรรดาแฟนคลับต่างดีใจกันอย่างมาก เพราะลิซ่าเป็นศิลปินเดี่ยวเพียงคนเดียวที่ได้รางวัลนี้ถึง 2 ครั้ง

ไม่เพียงแค่เรียกเสียงฮือฮาจากการขึ้นรับรางวัลเท่านั้น แต่ลิซ่ายังได้เสียงกรี๊ดเป็นอย่างมากจากการแสดงในฐานะศิลปินเดี่ยวอีกด้วย โดยเธอเปิดโชว์ด้วยเพลง New Women ตามด้วยเพลง ROCKSTAR ซึ่งการแสดงนี้ได้รับการพูดถึงโปรดักชันที่ยิ่งใหญ่อลังการ และนี่คือการก้าวสู่ระดับโลกอย่างแท้จริงของ ลิซ่า หลังได้แสดงบนเวทีเดียวกับศิลปินดังระดับโลกอีกมากมาย เช่น Sabrina Carpenter, Katy Perry, Megan Thee Stallion, LE SSERAFIM, Shawn Mendes, Karol G และ EMINEM เป็นต้น

สำหรับปีนี้ลิซ่าได้เข้าชิงรางวัลถึง 4 สาขาด้วยกัน ได้แก่ Best K-pop, Best Editing, Best Art Direction และ Best Choreography


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top