Friday, 9 June 2023
LITE

สถานีรถไฟกลางของนครแฟรงก์เฟิร์ต ต้นแบบของสถานีรถไฟ 'หัวลำโพง'

(24 มี.ค.66) ไม่นานมานี้ ทางสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ได้โพสต์เรื่องราวด้านสถาปัตยกรรมของสถานีรถไฟหัวที่มีต้นแบบมาจากสถานีรถไฟกลางของนครแฟรงก์เฟิร์ตผ่านเฟซบุ๊ก 'Royal Thai Consulate-General, Frankfurt' ว่า...

หากท่านเคยได้มีโอกาสเดินทางมาเยือนนครแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี ท่านคงมีความรู้สึกคุ้นตาเมื่อได้เห็นสถานีรถไฟกลางของนครแฟรงก์เฟิร์ตแห่งนี้ นั่นเป็นเพราะว่าสถานีรถไฟกลางของนครแฟรงก์เฟิร์ตเป็นต้นแบบของสถานีรถไฟหัวลำโพง อดีตสถานีรถไฟกลางของกรุงเทพมหานครนั่นเอง 

ย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2450 ระหว่างการเสด็จประพาสเยอรมนีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีโอกาสได้เสด็จผ่านสถานีกลางนครแฟรงก์เฟิร์ตและทรงประทับใจกับสถาปัตยกรรมทรงโดมของสถานี โดยหลังจากเสด็จกลับ ทรงได้เชิญสองสถาปนิกชาวอิตาเลียน Mario Tamagno และ Annibale Rigotti มาเป็นผู้ออกแบบสถานีรถไฟหัวลำโพง โดยมีสถาปัตยกรรมของสถานีรถไฟกลางนครแฟรงก์เฟิร์ตเป็นต้นแบบ

24 มีนาคม พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จนิวัติประเทศไทย พร้อม ม.ร.ว. สิริกิติ์ กิติยากร พระคู่หมั้น

วันนี้ เมื่อ 73 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จนิวัติประเทศไทยพร้อม ม.ร.ว. สิริกิติ์ กิติยากร พระคู่หมั้น และได้ทรงประทับบนเรือหลวงศรีอยุธยา ที่กองทัพเรือจัดถวาย เป็นเรือพระที่นั่งในคราวเสด็จพระราชดำเนิน จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นิวัติพระนคร

วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินนิวัติถึงประเทศไทยพร้อมด้วยหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พระคู่หมั้น เป็นครั้งแรก เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก การเสด็จฯนิวัติพระนครของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระคู่หมั้น ในครั้งนั้น เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทรงประกอบพิธีหมั้น ณ โรงแรมวินเซอร์ เมืองโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492

4 นางเอกสาว ‘แก๊ง ม. ม้า’ เปิดใจ กรณีเมาท์พาดพิงนางเอกดัง พร้อมกล่าวขอโทษ ยอมรับคิดน้อยเกินไป

(23 มี.ค. 66) สั่นสะเทือนวงการบันเทิงกันเลยทีเดียว หลังจากที่ได้เกิดประเด็นร้อนขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อ 4 นางเอกสาว ‘แก๊ง ม. ม้า’ อย่าง ใหม่ ดาวิกา, มาร์กี้ ราศรี, มิว นิษฐา และ มิ้นต์ ชาลิดา ได้ร่วมพูดคุยและทำชาเลนจ์จับสลากตอบคำถามในรายการ ‘เพื่อนใหม่’ ของนางเอกสาว ‘ใหม่ ดาวิกา’ ถึงเรื่องลับ ๆ ในวงการ ที่ได้มีการพาดพิงถึงบุคคลที่สามขึ้น ทำเอาเหล่ายอดนักสืบชาวเน็ตลงมือขุดคุ้ยกันสนั่นจนกลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วโซเชียล

จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม ที่ 4 สาวทำคอนเทนต์ยกเรื่องราวในอดีตมาพูด และได้มีการพาดพิงไปถึงบุคคลที่สาม ส่งผลให้มีชาวเน็ตเข้ามาทำการแสดงความเห็นกันเป็นจำนวนมาก จนทำให้แฮชแท็กชื่อของ 4 นางเอก แก๊ง ม.ม้า ติดเทรนด์อันดับ 1 ในทวิตเตอร์ข้ามวันข้ามคืน

หลังจากเกิดกระแสดรามาอยู่หลายวัน ล่าสุดทาง 4 นางเอกสาวแก๊ง ม.ม้า ‘ใหม่, มาร์กี้, มิว และ มิ้นต์’ ได้ออกมาเปิดใจถึงประเด็นดังกล่าว โดยสาว ๆ ได้ทำการกล่าวขอโทษ และน้อมรับในข้อผิดพลาด ถึงการคิดน้อยไปในการทำคอนเทนต์นี้ พร้อมยืนยัน ว่า ทุกคนไม่มีเจตนาที่จะพาดพิงหรือทำให้ใครต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง

สตาร์ทอัปจีน คิดค้น ‘เครื่องจูบ’ สุดล้ำ แสดงความรักได้ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทสตาร์ทอัปของจีน ได้วางขาย “เครื่องจูบทางไกล” สุดล้ำ ให้คู่รักที่อยู่ไกลกันสามารถแสดงความรักต่อกันได้ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหนก็ตาม

บริษัทสตาร์ตอัปในประเทศจีนคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ ‘เครื่องจูบ’ (kissing machine) สำหรับคู่รักที่ต้องรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ต้องทำให้พวกเขาต้องรักษาระยะห่างกันไม่สามารถใกล้ชิดเพื่อสานสัมพันธ์กันได้ โดยภายในเครื่องจะบันทึกข้อมูลการจูบของผู้ใช้ผ่านเซนเซอร์ที่ติดอยู่ข้างในซิลิโคนรูปปาก ซึ่งสามารถขยับเคลื่อนไหวขณะถูกจูบ 
 
เครื่องนี้มีชื่อว่า MUA เป็นการตั้งชื่อตามเสียงจูบที่หลายคนรู้สึกคุ้นเคยกัน ความพิเศษของเครื่องจูบนี้ยังสามารถส่งเสียงและค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิเพื่อความสมจริงในการจูบอีกด้วย ไอเดียเหล่านี้เป็นผลพลอยได้จากสถานการณ์โควิด-19 ที่บางคนตอนนี้ยังต้องกักตัวอยู่บ้านหลายเดือน

อุปกรณ์ดังกล่าวถูกโฆษณาและวางขายอยู่บนเว็บไซต์ขายสินค้ายอดนิยมของจีนอย่าง เถาเป่า (Taobao) พร้อมคำบรรยายสินค้าว่า “เป็นวิธีให้คู่รักที่อยู่ไกลกันสามารถแบ่งปันความใกล้ชิดทางร่างกายที่แท้จริงได้”

เครื่องจูบทางไกลนี้ มีหน้าตาเหมือนกับริมฝีปากของคนจริง ๆ ที่ทำจากซิลิโคน ฝังอยู่ในอุปกรณ์ที่คล้ายกับที่วางโทรศัพท์

ส่วนที่เป็นริมฝีปากนี้มีเซ็นเซอร์วัดแรงกด และสามารถเลียนแบบการจูบจริงได้โดยการจำลองแรงกด การเคลื่อนไหว และอุณหภูมิของริมฝีปากของผู้ใช้ นอกจากนี้ ยังสามารถส่งเสียงที่ผู้ใช้สร้างขึ้นได้อีกด้วย

ในการจะจูบทางไกลได้นั้น ผู้ใช้ทั้งสองฝ่ายต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันลงในโทรศัพท์มือถือ และเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับโทรศัพท์ จากนั้นเมื่อผู้ใช้จับคู่กับคนรักของตนเองในแอปฯ แล้ว ก็จะสามารถวิดีโอคอลและจูบกันและกันได้

ตามรายงานของสื่อจีน Global Times สิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวได้รับการจดสิทธิบัตรโดยสถาบันเทคโนโลยีเมคคาทรอนิกส์ฉางโจว

เจียง จงลี่ นักประดิษฐ์ผู้ออกแบบเครื่องจูบทางไกล บอกว่า “สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันกับแฟนมีความสัมพันธ์แบบรักทางไกล เราติดต่อกันได้ทางโทรศัพท์เท่านั้น นั่นคือที่มาของแรงบันดาลใจของอุปกรณ์นี้”

23 มีนาคม พ.ศ. 2369 วีรกรรมหญิงกล้า ‘ท้าวสุรนารี’ วันแห่งชัยชนะเหนือทัพลาว

วันนี้ในอดีต เมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2369 'ท้าวสุรนารี' (คุณหญิงโม) นำทัพต่อสู้ปกป้องเมืองนครราชสีมา กอบกู้อิสรภาพเเละกำชัยเหนือทัพลาวได้สำเร็จ จนเป็นที่มาของ 'วันแห่งชัยชนะท้าวสุรนารี'

ถ้าเอ่ยนาม ท้าวสุรนารี คนไทยจะรู้จักกันดีว่า หมายถึง ย่าโมของชาวจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งที่จริงแล้วคนไทยทั้งประเทศก็ให้ความเคารพบูชาและรำลึกถึงในวีรกรรมที่ท่านทรงทำไว้เพื่อชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ

วันนี้เมื่อ 197 ปีก่อน หรือตรงกับวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2369 คือวันที่ประวัติศาสตร์ไทย ได้จารึกพระนามของท่าน ที่สามารถปกป้องอธิปไตยของชาวไทยไว้ได้อย่างกล้าหาญ เกินกว่าสตรีทั่วไปจะทำได้

ตามประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้ ในช่วงปี พ.ศ. 2369 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ตรงกับรัชสมัยของ เจ้าอนุรุทธราช (เจ้าอนุวงศ์) ผู้ครองนครเวียงจันทร์ ได้ขอเกณฑ์ครอบครัวคนลาวที่เมืองสระบุรี ซึ่งถูกกวาดต้อนมาจากเวียงจันทน์ ในคราวสงครามครั้งที่ได้พระพุทธปฏิมากรแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ ณ กรุงธนบุรีนั้น กลับนครเวียงจันทร์ แต่ได้รับการปฏิเสธ

เมื่อไม่ได้ดังประสงค์ก็ก่อการกบฏ โดยยกกองทัพจะลงมาตีกรุงเทพมหานคร โดยเดินทัพมาอย่างเงียบๆ ให้กรุงรัตนโกสินทร์ไม่ทราบความเคลื่อนไหว โดยมีกองทัพหน้าเดินทางไปทางทิศตะวันตกตรงไปยังเมืองสระบุรี (ปากเพรียว)

ต่อมาวันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2369 เมื่อกองทัพมาถึงเมืองนครราชสีมา ได้ตั้งมั่นฐานทัพอยู่จนถึงวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 จึงได้เข้าโจมตี ซึ่งเป็นช่วงที่พระยาปลัดทองคำ (พระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัย) สามีของคุณหยิงโม ผู้รักษาเมืองไม่อยู่พอดี ด้วยติดปราบการจลาจลที่เมืองขุขันธ์

กองทหารของเจ้าอนุวงศ์ จึงตีเมืองโคราชได้โดยง่าย แล้วกวาดต้อนกรมการเมือง ตลอดจนพลเมืองทั้งชายหญิงไปเป็นเชลย รวมถึง คุณหญิงโม และราชบริพารไปด้วย โดยมี เพี้ยรามพิชัย เป็นหัวหน้าควบคุม เหล่าเชลยออกเดินทางสู่เมืองเวียงจันทน์โดยผ่านเมืองพิมาย ส่วนเจ้าอนุวงศ์นั้น ยังตั้งฐานทัพอยู่ที่เมืองนครราชสีมา

ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 ในระหว่างการเดินทางเป็นเชลยศึกนั้น คุณหญิงโม ได้คิดแผนการกอบกู้อิสรภาพกับกรมการเมือง ซึ่งมีนางสาวบุญเหลือ บุตรีหลวงเจริญกรมการเมืองนครราชสีมา ได้มีส่วนร่วมให้ข้อปรึกษาอย่างใกล้ชิด

คุณหญิงโมได้มอบหมายให้นางสาวบุญเหลือ ซึ่งเสมือนเป็นหลาน เป็นผู้รับแผนการไปปฏิบัติ โดยใช้อุบายให้ชาวบ้านเชื่อฟังทหารผู้ควบคุม แกล้งทำกลัวเกรง และประจบเอาใจจนทหารของเจ้าอนุวงศ์ทั้งหลายหลงตายใจ และพยายามถ่วงเวลาในการเดินทาง กับทั้งยังลอบส่งข่าวถึงเจ้าเมืองนครราชสีมา เจ้าพระยากำแหงสงครามรามภักดี (ทองอินทร์ ณ ราชสีมา) และพระยาปลัดทองคำ อีกด้วย

ที่สุดเมื่อเดินทางมาถึง ทุ่งสัมฤทธิ์แขวงเมืองพิมาย ได้พักตั้งค่ายค้างคืนอยู่ คุณหญิงโมจึงได้ออกอุบายให้ชาวเมืองนำอาหารและสุราไปเลี้ยงดูผู้ควบคุมอย่างเต็มที่ จนทหารต่างก็เมามายไม่ได้สติ หมดความระมัดระวัง

ครั้นถึงเวลาสองยามไปแล้วของวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2369 แผนการทุกอย่างจึงเริ่มเปิดฉากขึ้นโดยชาวนครราชสีมา พากันระดมยื้อแย่งอาวุธจากเหล่าทหารลาว และได้โห่ร้องขึ้นทำให้กองทัพเวียงจันทน์เกิดความโกลาหล

สาวไต้หวัน พิชิต ‘ข้าวมันไก่ไจแอนท์’ คนที่ 37 ซัดหมดเกลี้ยง ภายในเวลาเพียง 35 นาทีเท่านั้น

และแล้วเราก็ได้ผู้พิชิต คนที่ 37 ซึ่งเป็นสาวจากไต้หวัน ที่สามารถจัดการข้าวมันไก่จานยักษ์ของร้านศรีเหลืองโภชนา ได้หมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียง 35 นาที !

(22 มี.ค.66) เฟซบุ๊กของร้าน "ศรีเหลืองโภชนา สะพานควาย-ข้าวมันไก่ไจแอนท์” ได้โพสต์ภาพและข้อความของผู้พิชิตข้าวมันไก่จานยักษ์รายล่าสุดได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเป็นสาวสวยจากไต้หวัน โดยระบุว่า

“ผู้พิชิตข้าวมันไก่ไจแอนท์คนที่ 37 นักเรียนสาวจากไต้หวัน JAI-WEI-KU ใช้เวลากิน 35 นาที น่ารักมาก”

ทั้งนี้ สาวไต้หวัน ถือเป็นผู้พิชิตข้าวมันไก่จานยักษ์ได้เป็นรายที่ 37 โดยนอกจากอิ่มแปล้แล้ว ยังได้รับจานที่ระลึกจากทางร้าน เพื่อรับรองว่า “ท่าน คือ ผู้พิชิต” ที่สามารถกินข้าวมันไก่ไจแอนท์ หมดตามเวลาที่กำหนด ซึ่งในหนึ่งจานประกอบไปด้วย ข้าวมัน 2 กิโลกรัม เนื้อไก่ต้ม 1 กิโลกรัม

สำหรับ “ศรีเหลืองโภชนา” สะพานควาย เป็นร้านที่มีจุดขาย คือ ข้าวมันไก่จานใหญ่ยักษ์ไว้ให้ลองชิม ซึ่งร้านเดิมเปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 สมัยก่อนอยู่ในซอยโรงหนังพหลโยธินรามา แต่ปัจจุบันย้ายมาอยู่ตรงถนนสาลีรัฐวิภาค ใกล้กับแยกสะพานควาย ซึ่งที่นี่นอกจากจะมีข้าวมันไก่ไซส์ยักษ์ ก็ยังมีแบบปกติให้ชิม แล้วก็มีไก่ทอด ไก่ย่าง และก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นให้ลองลิ้มกันด้วย

World's Biggest Liar เทศกาล 'แข่งโกหกคำโต' ให้สาธารณชนเชื่อ ข้อแม้!! ห้าม 'นักการเมือง' และ 'ทนายความ' ลงแข่ง

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีงานแบบนี้บนโลก

งาน 'World's Biggest Liar' คือเทศกาลประจำปีซึ่งจัดขึ้นที่เมืองคัมเบรีย (Cumbria) ประเทศอังกฤษ โดยรับสมัครผู้เข้าแข่งขันจากทั่วโลก ซึ่งกำหนดให้ทุกคนมีเวลา 5 นาทีสำหรับการ 'แต่งเรื่องโกหกและน่าเชื่อถือที่สุด' ออกมา โดยมีกฏเพียงห้ามใช้อุปกรณ์ประกอบฉาก หรือสคริปต์ใดๆ อาศัยเพียงการเตรียมตัวและด้นสดตามสถานการณ์ตรงหน้า

ที่ผ่านมาพวกเขามีเรื่องอะไรซึ่งเป็นเรื่อง 'โกหกที่สุดในโลก' กันบ้าง

ในปี ค.ศ. 2003 'แอบรีย์ ครูเกอร์' (Abrie Krueger) จากดินแดนแอฟริกาใต้ ได้รับเลือกให้เป็น 'นักโกหกผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก' หลังเขาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาเองได้รับตำแหน่งราชาแห่งหุบเขาวาสเดล (Wasdale) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ชาวต่างชาติ (นอกเกาะอังกฤษ) ชนะการแข่งขัน ท่ามกลางคำกล่าวหาว่าครูเกอร์นั้น 'โกง' ด้วยเนื้อหาคล้ายกับเรื่อง 'บิชอปแห่งคาร์ไลล์' ในอดีต

นักแสดงตลกสาวใหญ่ 'ซู เพอร์กินส์' ชนะการแข่งขันโกหกในปี 2006 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สตรีชนะการแข่งขัน โดยเรื่องเล่าของเธอคือ "ชั้นโอโซนเสียหาย น้ำแข็งละลาย และผู้คนต้องถูกพาไปทำงานกับอูฐ"

หลายเรื่องหลายพล็อตที่ถูกนำมาเล่าแข่งขันกันส่วนใหญ่จะมีความเสียดสี เล่าอย่างหน้าตาย บ้างก็ใส่อารมณ์ของแสตนด์อัพคอมมิดี้ ตามสไตล์ผู้ดีอังกฤษซึ่งส่วนใหญ่มองทุกอย่างรอบตัวเป็นเรื่องขำขัน ไม่เว้นแม้แต่มุมมองทางการเมือง การปกครอง

ครั้งหนึ่งมีผู้เข้าประชันการโกหกที่ควรเป็นผู้ชนะการแข่งขันด้วยสุนทรพจน์สั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา ครั้งนั้นเขาขึ้นพูดง่าย ๆ ว่า "ฉันไม่เคยโกหกมาก่อนเลยในชีวิตนี้" (ฮา)

ปี ค.ศ. 2008 จอห์น 'ไลเออร์' เกรแฮม ผู้ซึ่งมากประสบการณ์บนเวทีนี้จนได้รับฉายา 'จอห์นตอแหล' ชนะการแข่งขันเป็นครั้งที่ 7 หลังเล่าเรื่องการนั่งรถมหัศจรรย์ไปยังสกอตแลนด์ด้วยถังขยะที่ล่องไปภายใต้ท้องทะเล และเรื่องโกหกที่ชนะของจอห์น เกรแฮม ที่ว่า อ้างอิงมาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ที่เรือดำน้ำเยอรมันนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บุกอังกฤษเพื่อจับตัวถอดรหัสโทรเลข

ยังมีเรื่องโม้ของ Paul Burrows จากเมือง Essex ในปี 2010 ว่าทะเลสาบและภูเขาปัจจุบันในชนบทของ Cumbrian นั้น ก่อนหน้านี้ถูกขโมยไปจากเทศมณฑล Essex บ้านเขาเอง จนทุกวันนี้เมืองเอสเส็กซ์มีสภาพเป็นพื้นที่ราบเรียบสุดลูกหูลูกตา

มีเรื่องราวมากมายที่เล่าออกมากี่ครั้ง ๆ ก็รู้ว่าคือคำ 'โกหก' แต่ผู้ชม กรรมการผู้ตัดสิน รวมถึงกองเชียร์ก็ยังติดตามกันอย่างเหนียวแน่นและดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกปี เพียงเพราะพวกเขาเชื่อว่านั่นคือสันทนาการ คือการพบปะเพื่อเอาเรื่องตลกไร้สาระ (แต่หลายครั้งมีสาระมากกว่านักวิชาการพูดเสียอีก) จบท้ายที่การมอบรางวัลและเฉลิมฉลองด้วยการดื่มกิน

นายเกล็น บอยแลน (2011) เล่าว่าเขาเคยเดิมพันแข่งหอยทากกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) โดยพระองค์ยังทรงแนะนำให้เกล็นถอดเปลือก (หอยทาก) ออก ตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อให้หอยคลานเร็วขึ้น แต่ในท้านที่สุดหอยทากของเกล็นก็แพ้หอยของพระเจ้าชาร์ลส เพราะพระองค์ใช้หอยทากที่เดินเครื่องด้วยแบตเตอรี่ - นี่เป็นอีกตัวอย่างของเรื่องตอหลดตอแหลอย่างคนอังกฤษนิยม

‘เทพ โพธิ์งาม’ โต้หนีไปลาว ทิ้งหนี้ให้ ‘หม่ำ’ รับเครียดปัญหาหนี้สิน โดนภาษีย้อนหลังกว่า 2 ล้าน

(22 มี.ค. 66) ต้องออกมาเคลียร์ข่าวยกใหญ่ หลังจากที่มีคนมาถามตลกดัง ‘เทพ โพธิ์งาม’ จะย้ายไปอยู่ประเทศลาวเหรอ รวมทั้งยังมีข่าวลือออกมาว่า ป๋าเทพ หมดต้วจนต้องไปขอให้ ‘หม่ำ จ๊กมก’ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ใช้หนี้ให้ และเตรียมจะหนีไปอยู่ที่ลาว ล่าสุด เทพ โพธิ์งาม ก็ได้ชี้แจงเรื่องนี้ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ โดยเผยว่า…,

“เนื่องจากมีแฟนๆ ป๋าหลายท่านแจ้งถามมาว่าป๋าจะย้ายไปอยู่ลาวแล้วเหรอ? เพราะไปเห็นข่าวเพจออนไลน์ลงข่าวมา ป๋าจะบอกว่าข่าวนี้เป็นข่าวนานมาแล้วนะครับ บางครั้งเพจข่าวออนไลน์บางเพจก็เชื่อถือไม่ได้ครับ อาจจะต้องพิจารณาว่าเพจนั้นน่าเชื่อถือเพียงใดครับ เพราะบางทีเขาอาศัยใช้ข้อมูลข่าวเก่ามาลงโพสต์แล้วก็แขวนโพสต์เพื่อเรียกยอดวิวครับ

เข้าใจครับว่าเราห้ามความคิดใครไม่ได้ แต่บางครั้งสิ่งพวกนี้ถ้ามันมากเกินไปก็มีผลกระทบกับความรู้สึกคนรอบข้างอยู่เหมือนกันครับ อย่างเช่นครอบครัวป๋าครับ ทีมงานได้ประสานงานไปยังเพจที่โพสต์เรียบร้อยแล้วครับ แต่เขาไม่อ่านโพสต์และไม่ยอมลบโพสต์ครับ

22 มีนาคม พ.ศ. 2277สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จพระราชสมภพ

วันนี้ เมื่อ 189 ปีก่อน หรือ วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2277 เป็นวันเสด็จพระราชสมภพ ของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ ที่คนไทยนิยมเรียกว่า พระเจ้าตากสิน

ในปีพุทธศักราช 2311 ได้ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า ‘สมเด็จพระบรมราชาที่ 4’ แต่ประชาชนนิยมเรียกว่า ‘พระเจ้าตากสิน’ หรือ ‘สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี’

แม้กรณีวันพระราชสมภพ ของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือที่เราคนไทยคุ้นเคยเรียกขานพระนามกันว่า พระเจ้าตาก จะยังเป็นที่ถกเถียง โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ เสนอไว้ในหนังสือการเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยใช้การคำนวณย้อนหลังจากวันเสด็จสวรรคตตามที่บันทึกไว้ในจดหมายเหตุโหรว่า เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมพรรษาได้ 48 ปี 15 วัน และตามหลักฐานของชาวฝรั่งเศสบันทึกว่า ทรงถูกประหารชีวิตในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2325 และวันพระราชสมภพคือวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2277

เมื่อเราขาดผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ (ธัญญ่า) เราก็เลือกทำแบบนี้ (เลิกเจ้าชู้)

เมื่อเราขาดผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ (ธัญญ่า) เราก็เลือกทำแบบนี้ (เลิกเจ้าชู้) แต่ถ้าเราคิดไม่ได้ จะลุ่มหลงชั่วขณะหรืออะไรก็แล้วแต่ มันอาจจะทำให้ชีวิตเราพังไปเลย แล้วก็ต้องเสียผู้หญิงคนนี้ (ธัญญ่า) 
 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เจ้านายที่ 'คณะราษฎร-ปรีดี-จอมพล ป.' ชื่นชอบ

ในตอนนี้ผมจะมาเล่าถึง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เจ้านายพระองค์หนึ่งที่สามารถทำงานร่วมกับคณะราษฎรได้ อย่างกลมกลืน และขึ้นถึงจุดสูงสุดโดยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 ด้วยพระชนมายุเพียง 31 พรรษา สามารถฝ่ามรสุมทางการเมืองภายในคณะราษฎรมาได้อย่างตลอดรอดฝั่ง แถมเป็นที่ 'ปลาบปลื้ม' ของคณะราษฎรอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ ผู้นำฝ่ายพลเรือนอย่าง นายปรีดี พนมยงค์ มาถึงผู้นำฝ่ายทหารอย่าง พระยาพหลพลพยุหเสนา ก่อนที่คณะราษฎรจะกลายเป็นคณะของข้าพเจ้าภายใต้การปกครองของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พระองค์ทำได้ยังไง ? 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประสูติแต่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 มีพระนามแรกประสูติว่า หม่อมเจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 4 พรรษา พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ พระมารดาได้ปลงพระชนม์ชีพพระองค์เองด้วยการเสวยยาพิษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงรับหม่อมเจ้าอาทิตย์ทิพอาภาไปทรงเลี้ยงดู ต่อมาไม่กี่ปี หม่อมเจ้าอาทิตย์ทิพอาภาตามเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปพระราชวังบางปะอิน วันหนึ่งทรงเล่นน้ำแล้วพลาดจมน้ำ เผชิญมีผู้ช่วยเหลือไว้ได้ พระพุทธเจ้าหลวงจึงทรงทำขวัญ พระราชทานน้ำมหาสังข์ ทรงเจิม และผูกข้อพระกร แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น 'พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา' เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 นับว่าได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษต่างจาก เจ้าพี่ เจ้าน้อง 

เมื่อ พ.ศ. 2460 พระชนมายุได้ 13 พรรษา เข้าศึกษาที่โรงเรียน Fessenden สหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงย้ายมาศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ โดยแรกเริ่มราว ๆ 2 ปี พระองค์ทรงศึกษาวิชาทหารเรือ จากนั้นพระองค์ทรงมีอาการประชวร จึงลาออก แล้วเข้าศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จนทรงจบหลักสูตรวิชาปกครองในปี พ.ศ. 2470 ได้ปริญญา B.A. และ M.A. จึงเสด็จกลับประเทศสยาม ซึ่งที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์นี่เอง ที่พระองค์ได้ศึกษากับศาสตราจารย์จอห์น ฮอลแลนด์-โรส ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศสและนโปเลียน หลังทรงสำเร็จการศึกษาแล้วก็ทรงกลับมารับราชการอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย ในยุคที่มีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์เป็นเสนาบดี โดยตำแหน่งเจริญก้าวในการทรงงานจนได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ตั้งแต่ พ.ศ. 2473 นอกจากนี้ยังทรงเป็นสมาชิกของราชบัณฑิตสภา ซึ่งก่อตั้งโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวใน พ.ศ. 2470

ณ ราชบัณฑิตยสภานี้เองที่พระองค์ได้ทรงรู้จักกับนักเรียนนอกสายฝรั่งเศสที่ชื่อ 'ปรีดี พนมยงค์' ด้วยความที่ทั้งสองต่างสนใจในเรื่องฝรั่งเศส จึงค่อนข้างให้ความเคารพและมีความสนิทกันพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ทรงเป็นพระอาจารย์พิเศษสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างที่เป็นพระอาจารย์อยู่นี้ พระองค์ได้ทรงนิพนธ์หนังสือประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศสและชีวประวัติของนโปเลียนเป็นภาษาไทยใน พ.ศ. 2477 เพื่อใช้เป็นตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งคนที่ผลักดันให้เกิดหนังสือเล่มนี้พร้อมเขียนคำนำให้ก็คือ 'ปรีดี พนมยงค์' นั่นเอง ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้เล่าเรื่องเปรียบเทียบสภาพแวดล้อมทางการเมืองของไทยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองกับประเทศฝรั่งเศสก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนังสือที่ 'สร้างความชอบธรรม' ให้เกิดขึ้นกับคณะราษฎรนั่นเอง ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจที่ 'ปรีดี' จะใช้โอกาสอันงามนี้ในการทั้งผลัก ทั้งดัน ให้เกิดหนังสือเล่มนี้ขึ้น และเกิดขึ้นโดยฝีมือของเจ้านายชั้นสูงในราชวงศ์ !!! 

ย้อนกลับนิดนึงในวันที่คณะราษฎรยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ยังทรงดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้ทรงเรียกข้าราชการทั้งหมดอาณัติมาประชุมหารือ โดยได้ข้อสรุปว่าพระองค์และข้าราชการจังหวัดนครปฐม ตัดสินใจ 'สนับสนุนคณะราษฎร' ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือยืนข้างคณะราษฎรเลยล่ะ 

แต่การอยู่ฝั่งคณะราษฎรก็ใช่จะไม่โดนจัดหนัก เพราะในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ 'เจ้านาย' ที่คณะราษฎรชื่นชอบพระองค์นี้ถูกชาวคณะจัดหนัก กราบบังคมทูลฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาเป็นเจ้านายที่ 'ได้ใช้ถ้อยคำอันเป็นเสี้ยนหนามแก่ความสงบ…เสียดสีคณราษฎรด้วยอาการอันไม่สมควร' งง พอสมควร ยึดอำนาจมาแล้ว แต่เวลามีปัญหาก็ไปกราบบังคมทูลฟ้อง สุดยอดความย้อนแย้งจริง ๆ แต่ในหลวงรัชกาลที่ 7 ท่านก็ทรงมีพระเมตตา ทรงเรียกให้มาปรับความเข้าใจกัน 

พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา จึงเสด็จฯ มารีบมอบพระองค์และให้คำมั่นว่าจะไม่คิดร้ายต่อคณะราษฎร และได้ส่งสุนทรพจน์เรื่อง 'การปกครองในระบอบใหม่' ที่พระองค์ประทานแก่ราษฎรจังหวัดนครปฐมให้คณะราษฎรทราบ ซึ่งได้รับความชื่นชอบอย่างมาก จนคณะราษฎรถึงกับกล่าวสรรเสริญพระองค์ว่า 'เป็นเจ้าที่รักชาติพระองค์หนึ่ง สมควรเป็นเยี่ยงอย่างแก่เจ้าอื่นๆ ได้' ถึงขนาดที่ พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร มีหนังสือชมเชยสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยยึดแนวทางของพระองค์ไปใช้ในการอบรมข้าราชการและประชาชนเพื่อให้เข้าใจในระบบการปกครองใหม่ด้วย เอาสิ !!! 

ซึ่งการแสดงพระองค์ลักษณะนี้ก็ทำให้พระองค์ทรงได้รับความไว้วางใจ จากนครปฐมพระองค์ก็ได้ย้ายไปทรงดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และรักษาการแทนสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ซึ่งในช่วงนั้นได้เกิดเหตุกบฏบวรเดชขึ้น หลังจากพระองค์ทรงได้รับหนังสือเตือนจากรัฐบาล พระองค์ทรงสั่งให้หน่วยความมั่นคงของจังหวัด จัดเตรียมการลาดตระเวนและจับทหารของกลุ่มกบฏ อย่างเข้มแข็ง รัฐบาลก็เลยได้โอกาสปราบปรามกบฏทางฝั่งอีสานโดยไม่ต้องห่วงภาคใต้เลย หลังจากเหตุการณ์สงบ รัฐบาลได้มอบ 'เหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ' ให้แก่ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ และประชาชนที่มีส่วนร่วมในการปราบกบฏ ซึ่งพระองค์ ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์เพียงพระองค์เดียวที่ได้รับทูลเกล้า ฯ ถวายเหรียญดังกล่าว เรียกว่าคณะราษฎรไว้วางใจมาก สุด สุด 

ความไว้ใจนี้ยังไปต่อครับทุกท่าน เมื่อจบเหตุกบฏบวรเดชแล้ว จากภูเก็ตพระองค์ก็ได้รับตำแหน่งเป็น 'ราชเลขานุการในพระองค์' พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แทน ม.จ.วิบูลย์สวัสดิวงศ์ สวัสดิกุล ที่ถูกปลด ด้วยพระชันษาเพียง 29 เท่านั้นเอง แต่ตรงนี้ก็พอจะเข้าใจ เพราะ 'หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา' หม่อม ในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เป็นนางพระกำนัลใน สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ซึ่งตรงนี้ส่งผลดีต่อทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งคณะราษฎรยังมั่นใจได้ว่าพระองค์เจ้าอาทิตย์นั้นจะไม่หันกลับไปสนับสนุนสถาบันฯ เหมือนเจ้านายพระองค์อื่น ๆ แต่การเป็นราชเลขานุการในพระองค์เป็นแต่เพียงไม่นานเพราะในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงเสด็จ ฯ ไปต่างประเทศ โดยมีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกระทั่งในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ เข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล คณะราษฎรได้เลือก 'พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตน์จาตุรนต์' ให้ทรงดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และสมาชิกอีก 2 ท่านคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ก่อนที่ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา 'กรมหมื่นอนุวัตน์จาตุรนต์' ได้ทรงปลงพระชนมชีพเนื่องจากความกดดันจากทั้งพระราชวงศ์และคณะราษฎรที่ถาโถมใส่พระองค์ หลังจากนั้นคณะราษฎรตัดสินใจเลือก พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาให้ทรงดำรงตำแหน่งดังกล่าว พร้อมกับการแต่งตั้ง นายเสวก นิรันดร หนึ่งในสมาชิกคณะราษฎรซึ่งใกล้ชิดกับ จอมพล ป. ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (นายเสวกนี่เองคือตัวเบียดบังทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เลยขอบอก) และนายเสวกก็ยังเป็นเลขาส่วนพระองค์ในพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาไปพร้อมๆ กัน

21 มีนาคม พ.ศ. 2497 วันคล้ายวันเกิด ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย

เชื่อว่าหากพูดถึงชื่อนี้ คงไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้จักเขา ‘พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ นายกรัฐมนตรีของไทยคนปัจจุบัน แน่นอนว่าหากพูดถึงเขาคนนี้ ทุกคนต้องรู้จักเขาในบทบาทของนักการเมืองใหญ่ ทหารยศสูง วันนี้จึงจะพาทุกคนมาเปิดประวัติ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทย เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด ครบรอบ 69 ปี ของ ‘พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา’

‘พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2497 ชื่อเล่น ตู่ เกิดที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรชายของพันเอก (พิเศษ) ประพัฒน์ จันทร์โอชา และเข็มเพชร จันทร์โอชา มารดาซึ่งรับราชการครู เป็นบุตรชายคนโตจากพี่น้องทั้งหมดสี่คน คนหนึ่งคือ พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมและอดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก

20 มีนาคม พ.ศ. 2279 วันพระบรมราชสมภพ ล้นเกล้า รัชกาลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

วันนี้ เมื่อ 287 ปี เป็นวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ล้นเกล้า รัชกาลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระนามเดิม ด้วง หรือทองด้วง เป็นบุตรพระอักษรสุนทร (ทองดี) ข้าราชการกรมอาลักษณ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เสนาบดีกรมพระคลังในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กับท่านหยก ธิดาเศรษฐีจีน มีพระบรมราชสมภพเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ 

ต่อมาได้ทรงรับราชการเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต จนพระชนมพรรษาครบ 21 พรรษา ได้ทรงผนวช ณ วัดมหาทลายพรรษาหนึ่ง หลังจากทรงลาผนวชแล้วทรงกลับเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงอีกครั้ง ครั้นพระชนมพรรษาได้ 25 พรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสุริยาศน์อมรินทร์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นหลวงยกกระบัตร ออกไปรับราชการที่เมืองราชบุรี

ใน พ.ศ. 2311 หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เสด็จเข้ามารับราชการในกรุงธนบุรี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระราชวรินทร์ ในกรมพระตำรวจหลวง ได้โดยเสด็จสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปปราบก๊กต่าง ๆ จนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางกรมพระตำรวจ

ต่อจากนั้นทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นแม่ทัพไปปราบหัวเมืองต่าง ๆ หลายครั้ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบำเหน็จความชอบให้เป็นพระยายมราช และทรงทำหน้าที่สมุหนายกด้วย 

ในปีต่อมาทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าพระยาจักรี ที่สมุหนายก และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก รับพระราชทานเครื่องยศอย่างเจ้าต่างกรม

‘เด็กจีน’ ตั้งคำถาม “คนรุ่นใหม่ควรทำอะไรให้แก่โลกบ้าง” ตอบ “อย่าเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราเคยรังเกียจในสมัยเด็ก”

(19 มี ค.66) ‘อ.ต่อตระกูล’ รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘คนรุ่นใหม่ทำอะไรให้แก่โลกบ้าง’ ซึ่งได้นำเสนอสุนทรพจน์ของ นักศึกษาหญิง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่เข้าประกวดสุนทรพจน์ในรายการทีวี สั้น ๆ เพียง 3 นาที ที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ ที่น่ายกย่อง

โดย อ.ต่อตระกูล กล่าวว่า สุนทรพจน์นี้ ทาง ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร์ อาจารย์ที่นิติศาสตร์ จุฬาฯ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน ซึ่งจบปริญญาตรีมาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่เดียวกัน แปลมา บอกว่าอยากให้ คนไทยได้อ่านกัน ความว่า...

ฉันเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ทุกคนของฉันเคยพูดว่า “กฎหมายบัญญัติไว้ว่าอย่างนี้ แต่ในทางปฏิบัติในชีวิตความเป็นจริง…” ชีวิตความเป็นจริง เป็นโลกที่น่าพิศวง ในชีวิตความเป็นจริง คนซื่อ ๆ ที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด มักใช้ชีวิตเงียบ ๆ ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม ส่วนคนที่มากเล่ห์เพทุบาย สุดท้ายกลับมีทั้งชื่อเสียง มีลาภสมบัติ เพราะฉะนั้น เด็กไร้เดียงสาอย่างฉัน จึงมักมีรุ่นพี่ที่มากประสบการณ์มาตบไหล่ฉันเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู และบอกฉันว่า “เด็กน้อย รอจนเธอเข้าใจโลกเสียก่อน”

สิ่งที่ฉันอยากถามก็คือ คนหนุ่มสาวอย่างฉัน สามารถทำอะไรให้กับโลกได้บ้าง วันหนึ่งข้างหน้า ผู้ว่าการแบงก์ชาติ จะเป็นคนที่เกิดหลังปี 1990 นักธุรกิจชั้นนำ จะเป็นคนที่เกิดหลังปี 1990 แม้กระทั่ง ประธานาธิบดี ก็จะเป็นคนที่เกิดหลังปี 1990 ในวันที่สังคมเป็นที่ยืนของคนที่เกิดหลังปี 1990 ฉันอยากถามเพื่อนร่วมรุ่นทุกคนว่า พวกเราอยากให้สังคมเป็นเช่นไร ฉันรู้ดีว่า ไม่ใช่ทุกคนสามารถก้าวขึ้นมาฝ่าฟันพายุและคลื่นลม จนเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประเทศชาติ ฉันและคุณ ล้วนเป็นคนเล็กๆธรรมดา ๆ ภายในกลไกเครื่องจักรสังคมอันมหึมา พวกเราเป็นเพียงหมุดตะปูตัวเล็ก ๆ

สมัยเรียนหนังสือ พ่อแม่พูดทุกวันว่า ให้ตั้งใจเรียนเป็นอันดับแรก อย่าเพิ่งสนใจอย่างอื่น พอถึงวันจบการศึกษา พวกเราก็เที่ยวเอาจดหมายสมัครงานหว่านไปทั่ว ด้วยความหวังว่าจะมีบริษัทรับเข้าทำงาน ผ่านไปไม่กี่ปี ก็ถูกกดดันให้แต่งงาน ซื้อบ้าน แล้วก็ใช้เวลาอีกประมาณ 20 ปีแรกของชีวิตการทำงาน ช่วงที่มีกำลังเต็มที่ หาเงินมาใช้หนี้ จนทำให้คนหนุ่มสาวยุ่งกับการใช้ชีวิต จนไม่เหลือความฝัน ไม่มีเวลาสนใจการเมือง ไม่มีเวลาสนใจสิ่งแวดล้อม ไม่มีเวลาสนใจชะตากรรมบ้านเมือง แล้วจะยังเหลือกำลังวังชา ทำอะไรให้แก่สังคมส่วนรวมได้อีก

แต่ภายหลังฉันพบว่า มีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันและคุณทำได้ สิ่งนั้นคือ คนรุ่นเรา ไม่ว่าจะเดินไปในเส้นทางใด ขออย่าได้ทำชั่ว ขอแค่ อย่าเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราเคยรังเกียจในสมัยเด็ก ถ้าต่อไปเราเป็นคนขายของแผงลอย ก็อย่าเอาน้ำมันทิ้งแล้วมาทอดของขาย ถ้าขายผลไม้ ก็อย่าโกงน้ำหนักตาชั่ง ถ้าเปิดโรงงาน เป็นเจ้านายคน ก็อย่ากดค่าแรงลดคุณภาพวัตถุดิบ ผลิตของด้อยคุณภาพ คนธรรมดาหนึ่งคน ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่แสนธรรมดา ถ้าทำหน้าที่ของตนให้ดีได้ ย่อมเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เพราะเราทุกคน ตั้งแต่วันที่เราเกิดมา ก็มีผลเปลี่ยนแปลงโลกฉันเป็นนักศึกษากฎหมาย ถ้าในภายภาคหน้า ฉันสามารถเป็นผู้พิพากษาที่มีความยุติธรรม สังคมเราก็จะมีผู้พิพากษาที่ดีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ย่อมเป็นสังคมที่ดีขึ้นอย่างน้อยก็นิดหนึ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top