วันนี้ในอดีต 9 กันยายน พ.ศ. 2528 เกิด ‘กบฏ 9 กันยา’ ขึ้นในช่วงที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) และ พลเอก อาทิตย์ กำลังเอก ผบ.ทบ. (ในขณะนั้น) เดินทางไปราชการต่างประเทศ
เหตุการณ์เริ่มขึ้นช่วงเช้ามืดของวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 เวลาราว 03.00 น. กลุ่ม ‘ทหารนอกราชการ’ ได้นำกำลังทหารราว 500 นาย ก่อการยึดอำนาจ โดยการรัฐประหารเริ่มที่กำลังทหารจากกรมอากาศโยธินได้เข้าจับกุมตัวพลอากาศเอกประพันธ์ ธูปเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศที่บ้านพักเพื่อใช้เป็นตัวประกัน และกำลังทหารอีกส่วนหนึ่งพร้อมรถถังของกรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ได้เข้ายึดกองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า เพื่อใช้เป็นกองบัญชาการคณะรัฐประหาร
พร้อมกับได้เข้ายึด ทำเนียบรัฐบาล, ลานพระบรมรูปทรงม้า, สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย, กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) โดยมี พันเอกมนูญ รูปขจร (ปัจจุบัน พลตรีมนูญกฤต รูปขจร) นายทหารที่เคยถูกให้ออกจากราชการเนื่องจากก่อกบฏเมษาฮาวายเมื่อ 4 ปีก่อนหน้าเป็นผู้นำ พร้อมด้วยนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร น้องชาย โดยกำลังทหารที่ใช้รัฐประหารมาจากหน่วยทหารม้าที่พันเอกมนูญเคยเป็นผู้บังคับบัญชา และทหารอากาศของน้องชาย (ขาดหน่วยทหารราบซึ่งเคยเป็นกำลังสำคัญของการรัฐประหารแทบทุกครั้ง?)
นอกจากพันเอกมนูญแล้ว ยังมีนายทหารนอกราชการชั้นผู้ใหญ่อย่าง พลเอกเสริม ณ นคร, พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์, พลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รวมถึงพลเรือนที่เป็นผู้นำแรงงาน เช่น นายสวัสดิ์ ลูกโดด, นายประทิน ธำรงจ้อย และนายเอกยุทธ อัญชันบุตร เจ้าของแชร์ชาร์เตอร์ ผู้เสียประโยชน์จากการปราบปรามเงินนอกระบบและทรัสต์เถื่อนของรัฐบาลในขณะนั้นเป็นผู้ร่วมก่อการ
ทั้งนี้ คณะผู้ก่อการฉวยโอกาสยึดอำนาจในช่วงที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) อยู่ระหว่างเดินทางเยือนประเทศอินโดนีเซีย และพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่ที่สวีเดน
ส่วนสาเหตุที่ผู้ก่อการใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจคือ รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาการว่างงาน ปัญหาอาชญากรรม รวมทั้งยังล้มเหลวในการรักษาความเป็นเอกภาพและบูรณภาพของประเทศ (รายงานของ The New York Times)
เหตุการณ์ครั้งนั้น ได้มีการปะทะกันระหว่างฝ่ายกบฏและฝ่ายรัฐบาลเกิดขึ้นบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า โดยฝ่ายกบฏได้ระดมยิงเสาอากาศวิทยุและอาคารของสถานีวิทยุกระจายเสียงกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และบริเวณวังปารุสกวัน ที่ตั้งของกรมประมวลข่าวกลาง (สำนักข่าวกรองแห่งชาติในปัจจุบัน) ทำให้ นีล เดวิส (Neil Davis) และวิลเลียม แลตช์ (William Latch) สองนักข่าวชาวต่างชาติเสียชีวิต
ทว่า เมื่อถึงเวลาราว 15.00 น. กองกำลังฝ่ายกบฏก็ยอมจำนน
ความสูญเสียถึงชีวิตในวันนั้น นอกจากที่เกิดขึ้นกับสองนักข่าวต่างประเทศแล้ว ยังมีทหารอีก 2 ราย และประชาชนอีก 1 ราย ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 60 ราย
ในช่วงต้นของเหตุการณ์ ฝ่ายกบฏได้ประกาศชื่อของ พลเอกเสริม ณ นคร ว่าเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร แต่เมื่อการยึดอำนาจล้มเหลว พลเอกเสริม กลับอ้างว่าตนรวมถึง พลเอกเกรียงศักดิ์ และพลเอกยศ ล้วนถูกบีบบังคับให้เข้าร่วม
แม้การกบฏจะมีโทษร้ายแรงถึงชีวิต แต่หลังการเจรจารัฐบาลก็ยอมให้พันเอกมนูญเดินทางไปยังสิงคโปร์ ส่วนนาวาอากาศโทมนัส สามารถหลบหนีไปได้ และในปี พ.ศ. 2531 รัฐบาลก็ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้ต้องคดีกบฏในครั้งนี้
นอกจากนี้ การที่คณะกบฏไม่มีหน่วยทหารราบมาเข้าร่วมยึดอำนาจเช่นครั้งก่อน ๆ ยังทำให้เกิดการสันนิษฐานว่าอาจมีผู้ร่วมก่อการบางราย ‘ไม่มาตามนัด’ โดยเป้าจะอยู่ที่นายทหารคุมกำลังสำคัญอย่างพลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ แม่ทัพภาคที่ 1 ที่มาฐานบัญชาการต้านรัฐประหารที่กรมทหารราบที่ 11 ล่าช้า และพลโทพิจิตรเองก็ได้เป็นผู้เจรจากับฝ่ายรัฐประหารและเปิดโอกาสให้พันเอกมนูญออกนอกประเทศ
ภายหลังเหตุการณ์กบฏ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 ได้เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจภายในกองทัพ โดยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการยึดอำนาจ ได้ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการกองทัพบกแทนที่ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ซึ่งพลเอกเปรมประกาศในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2529 ว่าจะไม่มีการต่ออายุราชการให้พลเอกอาทิตย์อีกเป็นครั้งที่ 2 และสั่งปลดพลเอกอาทิตย์จากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 คงไว้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด