Monday, 20 January 2025
NEWSFEED

กราดยิงหนองบัวลำภู โศกนาฏกรรม ทำคนไทยหัวใจสลาย

วันที่ 6 ตุลาคม 2565 ได้ถูกจารึกไว้ให้เป็นอีกหนึ่งวันสุดสลดที่คนไทยทุกคนแทบหัวใจแตกสลาย เมื่อเกิดเหตุเศร้ากราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอย่างน้อยเกือบ 50 ราย ก่อนผู้ก่อเหตุจะยิงตัวตายพร้อมลูกและภรรยาในเวลาต่อมา 

ภายหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ในวันที่ 7 ตุลาคม 2565 ก็มีรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเสด็จพระราชดำเนิน ไปยังหนองบัวลำภู เพื่อทรงเยี่ยมผู้บาดเจ็บและให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นการส่วนพระองค์ 

ทั้ง 2 พระองค์ ทรงทุกข์ใจ กับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เพราะผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเด็ก ๆ นั่นจึงทำให้ทรงประสงค์ไปเยี่ยมราษฎรทันที พร้อมทั้งรับผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์

สำหรับลำดับเหตุการณ์โศกนาฏรรมครั้งนี้จะพบว่า คนร้ายเป็นตำรวจนอกราชการ อายุ 34 ปี ตำแหน่งสุดท้ายในทางราชการ คือ ผบ.หมู่ (งานป้องกันและปราบปราม) สภ.นาวัง ก่อนถูกจับกุมตัวพร้อมของกลางยาบ้า ทำให้ถูกไล่ออกจากราชการเมื่อ 17 มิ.ย. 2565

รถไฟฟ้าจีนแรงเกินต้าน สะเทือนบัลลังก์ ‘ญี่ปุ่น-ตะวันตก’

ค่ายรถยนต์จีนกำลังบุกตลาดโลกต่อเนื่อง หวังต่อกรกับแบรนด์ดังจากค่ายรถยนต์ยุโรป รวมถึงกระโดดเข้ามากวาดตลาดที่กำลังเติบโตอย่างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบไม่หยุด

ในประเทศไทยเอง ก็เป็นหนึ่งในหมุดหมายของค่ายรถยนต์จีน และพร้อมเข้ามากระชากส่วนแบ่งออกจากอกค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ที่เดิมครองตำแหน่งเบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาดถึง 80% มาช้านาน

โดยเมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดจีนค่ายดังอย่าง BYD ประกาศที่จะสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าสาขาต่างประเทศแห่งแรกของบริษัทที่ไทย โดยเลือกที่ทำเลที่จังหวัดระยองในการสร้างโรงงาน เพื่อผลิตรถยนต์ป้อนตลาดในอาเซียน

ด้าน Great Wall Motor ค่ายรถยนต์จากจีนอีกแห่ง ที่มาเปิดโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด ในระยองเช่นกันก็เพิ่งบรรลุเป้าหมายผลิตรถยนต์คันที่ 1 หมื่นได้สำเร็จ ส่วน Hozon New Energy ค่ายรถยนต์จากเซี่ยงไฮ้ขอชิมลางด้วยการเปิดโชว์รูมแห่งแรกในไทยที่เซ็นทรัล พระราม 2

ไม่เพียงแต่ค่ายรถที่เข้ามาเปิดโชว์รูม หรือสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในไทยเท่านั้น!!

ในตลาดเมืองไทยเอง ก็ยังมีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาจำหน่ายด้วย โดยปัจจุบันมียอดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พิจารณาจากตัวเลขล่าสุดพบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2565 ไทยนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนแล้วถึง 59,375 คัน ยอดเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 176% และทำให้ประเทศไทยขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ของตลาดส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน รองจากเบลเยียม และอังกฤษ

สาเหตุที่ตลาดรถยนต์ของไทยเป็นที่ดึงดูดใจของค่ายรถยนต์จากจีน สืบเนื่องจากที่ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลกจนได้รับสมญาว่าเป็น ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’
โดยไทยเป็นชาติแรกในภูมิภาคนี้ที่รัฐบาลอนุมัติเงินสนับสนุนสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในวงเงินตั้งแต่ 15,000 - 180,000 บาท รวมกับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีแล้ว รวมมูลค่าสูงถึง 4.3 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมากขึ้นทดแทนรถยนต์น้ำมัน

งานประชุมระดับโลก ที่คนไทยภาคภูมิใจ

นับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกอย่าง APEC 2022 เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ต้องบอกเลยว่าช่วงที่มีการประชุม ประเทศไทยเราได้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่เป็นถึงผู้นำระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน, เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส, จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีของแคนาดา, เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งซาอุดีอาระเบีย และผู้นำของเขตเศรษฐกิจอื่น ๆ อีกหลายท่าน

โดยการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ ไทยได้กำหนดหัวข้อหลักการประชุมไว้ว่า Open. Connect. Balance. หรือ ‘เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล’ และมีเป้าหมายที่สำคัญ เรียกว่า ‘เป้าหมายกรุงเทพฯ Bangkok’s Goals’

โดยเป้าหมายกรุงเทพฯ คือ การต่อยอดจากโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG ของประเทศไทยที่วางอยู่บนแนวคิดสำคัญคือ ‘ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’ และความต้องการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs 2030) ที่ประเทศไทยต้องการเชิญชวนให้ทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ร่วมกันสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Economies) 

ทั้งนี้ เป้าหมายกรุงทพฯ ต้องการให้ทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก มีเป้าหมายร่วมกันใน 4 มิติ ได้แก่
1. ร่วมกันสร้างระบบการค้าและการลงทุนที่ยั่งยืน (Sustainable Trade and Investment)
2. ร่วมกันบริหารจัดการทรัพยากรและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน
3. ร่วมกันรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นเขตเศรษฐกิจผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
4. ร่วมกันบริหารจัดการของเสียและขยะอย่างยั่งยืน
และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้ง 4 นี้ ประเทศไทยเสนอให้ต้องมีการดำเนินการพร้อมกันใน 4 ด้าน ได้แก่
1. สร้างกรอบการกำกับดูแลทางนโยบาย และบังคับใช้กฎเกณฑ์ในรูปแบบที่ทำได้จริง
2. ร่วมกันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง
3. สร้างโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อไปสู่การบรรลุเป้าหมาย
4. ผลักดันให้เกิดเครือข่ายการทำงานร่วมกันในระดับโลก

จะเห็นได้ว่า เป้าหมายกรุงเทพฯ ที่ประเทศไทยต้องการผลักดัน คือ กลไกสำคัญที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรกว่า 2 พันล้านคน ใน 21 เขตเศรษฐกิจ และต่อเนื่องถึงระดับโลก ให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีความรับผิดชอบที่สูงขึ้นของทุกภาคส่วน

รอดปม 8 ปี ‘ลุงตู่’ ได้ไปต่อ ศาลรธน. ชี้ขาด ‘ประยุทธ์’ นั่งนายกฯ เริ่มนับปี 60

ข่าวใหญ่ที่สุด ‘การเมืองไทย’ ในรอบปี 2565 คงต้องยกให้ข่าวที่ทุกคนเฝ้าติดตาม เรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ตามรัฐธรรมนูญใหม่ เริ่มนับตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่

ซึ่งกรณีดังกล่าว ทาง ส.ส. ฝ่ายค้าน ได้ยื่นคำร้องผ่านประธานสภาส่งถึงสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ตีความว่าความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ. ประยุทธ์สิ้นสุดลง เนื่องจากดำรงตำแหน่งครบกำหนดเวลา ตามมาตรา 170 วรรคสาม และมาตรา 158 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยฝ่ายค้านเห็นว่า พลเอก ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ครบ 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค. 2565 นับจากได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ ครั้งแรกเมื่อ 24 ส.ค. 2557 

ทั้งนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นมติเอกฉันท์ รับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย พร้อมกับ มติเสียงข้างมาก 5:4 ให้ผู้ถูกร้อง (พลเอกประยุทธ์) หยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ 24 ส.ค. 2565 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยอีกด้วย

‘บุพเพสันนิวาส 2’ หนังไทยน้ำดี ที่มัดใจ 'ไทย-เทศ' แบบอยู่หมัด

‘ออเจ้า’ เป็นคำพูดยอดฮิตติดปากคนไทยอยู่หลายเดือนหรือเผลอ ๆ อาจจะเป็นปีด้วยซ้ำ เนื่องจากในปี 2561 ละครโทรทัศน์อิงประวัติศาสตร์ไทยที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ ‘รอมแพง’ เรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส’ ออกฉาย แสดงนำโดย โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ และ เบลล่า ราณี แคมเปน ที่พอออนแอร์ไปได้ไม่กี่ตอนก็ดึงดูดคอละครรวมไปถึงคนทุกเพศทุกวัยให้ติดกันงอมแงมทั่วบ้านทั่วเมือง 

ทั้งนี้ก็ต้องยกเครดิตให้กับทีมเขียนบท ผู้กำกับ รวมไปถึงนักแสดงและทีมงานทุกคน ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพออกมาให้คนไทยได้รับชม พร้อมยังทำให้คนไทยสนใจประวัติศาสตร์ และหันมาสนใจสวมใส่ชุดไทยที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยรวมไปถึงใช้คำเรียกคู่สนทนาว่า ‘ออเจ้า’ ด้วย

แม้ละครเรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส’ ฉายจบ แต่กระแสไม่จบง่ายๆ หลายคนเรียกร้องให้ทำภาค 2 หรือถึงขั้นทำในรูปแบบภาพยนตร์เลยก็มี และคำเรียกร้องก็เป็นจริงดังที่หวัง เพราะในปี 2565 นี้ ภาพยนตร์เรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส 2’ ที่ร่วมทุนสร้างระหว่างค่าย GDH และบริษัทบรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด กำกับการแสดงโดย ปิ๊ง-อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม ก็ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ โดยมีนักแสดงนำคือ โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ รับบทเป็น ขุนสมบัติบดี, เบลล่า ราณี แคมเปน รับบทเป็นแม่หญิงเกสร และ ไอซ์ พาริส อินทรโกมาลย์สุต รับบทเป็นเมธัส

ส่วนเนื้อเรื่องก็สอดแทรกประวัติศาสตร์ไทยเช่นเดิม แต่เปลี่ยนช่วงเวลามาในยุคต้นรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ยังใส่ความแฟนตาซี มุกตลก มุกหยอดหวาน ๆ น่ารัก ๆ เข้าไว้ให้คนดูได้อมยิ้มขณะดูด้วย

ถือว่ากระแสการรับชม ‘บุพเพสันนิวาส 2’ ดีมาก ๆ เลยทีเดียว เพราะเข้าฉายวันแรกก็กวาดรายได้ทั่วประเทศไปกว่า 51 ล้านบาท ผ่านไป 3 วัน รายได้ทะยานไปถึง 134 ล้านบาท และเมื่อผ่านไป 14 วันรายได้ก็พุ่งสูงถึง 304 ล้านบาทเลยทีเดียว

งานนี้ทั้งนักแสดงและทีมงานก็ปลาบปลื้มกันไปถ้วนหน้า โดยพระเอกของเรื่องอย่าง ‘โป๊ป - ธนวรรธน์’ ที่ก็ได้ออกมาขอบคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุนดีเช่นนี้ ดีใจมากที่ยอดเปิดตัววันแรกเกิน 50 ล้านบาทและประทับใจมาก ๆ ที่ได้เห็นครอบครัว ลูก หลาน พาพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พี่ป้าน้าอา ออกมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ด้วยกัน มันเป็นความสุขของครอบครัวที่ห่างหายกันไปนานมาก

ทางด้านนางเอกของเรื่องอย่าง ‘เบลล่า - ราณี’ ก็ออกมาแสดงความคิดเห็นด้วยเช่นกัน โดยขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนผลงาน รู้สึกดีใจมากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ทุกคนยิ้ม หัวเราะ และมีความสุขได้ ยินดีจริง ๆ ที่ได้มอบความสุขให้กับทุกครอบครัว

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเสด็จสวรรคต

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งราชวงศ์อังกฤษ เสด็จสวรรคตอย่างสงบที่ปราสาทบัลมอรัลในสกอตแลนด์ เมื่อตอนบ่ายของวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565 พระชนม์พรรษา 96 ปี ทรงครองราชย์สมบัตินานที่สุดของราชวงศ์อังกฤษ

บีบีซีได้ประกาศข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ตามเวลาในประเทศไทยเมื่อ 1 นาฬิกา 18 นาที ในคำแถลงของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ที่ตรัสว่า...

“การสวรรคตของสมเด็จพระมารดาอันเป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้าเป็นเวลาที่เศร้าโศกที่สุดสำหรับข้าพเจ้าและพระราชวงศ์ทุกพระองค์ เราไว้อาลัยกับการจากไปของพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและพระมารดาอันเป็นที่รักยิ่ง ข้าพเจ้ารู้ดีว่าการสวรรคตของพระองค์คงเป็นความรู้สึกของคนทั้งประเทศ ตลอดจนประเทศในเครือจักรภพและคนทั่วโลก”

ก่อนที่จะมีการแถลงข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 นั้น ได้มีรายงานข่าวของบีบีซีภาคภาษาอังกฤษออกมาตามเวลาในอังกฤษประมาณบ่าย 5 โมงเย็นของวันที่ 8 กันยายน โดยคำแถลงของสำนักพระราชวังบักกิงแฮมได้อ้างถึงความกังวลของคณะแพทย์ในพระพลานามัยของสมเด็จพระราชินี หลังจากการประเมินผลการตรวจในตอนเช้า จึงขอพระราชทานให้อยู่ภายใต้การดูแลของคณะแพทย์

อย่างไรก็ดี ในคำแถลงของสำนักพระราชวังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “The Queen is comfortable.” หรือสมเด็จพระราชินีทรงสบายดี

ยูเครน VS รัสเซีย สงครามยืดเยื้อ ที่ยังไม่รู้วันจบ

ปี 2565 กำลังจะจากไป ชาวโลกได้เห็นความยืดเยื้อของสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียข้ามปี และยังไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด ซ้ำยังจะรุนแรงในช่วงปีใหม่ซึ่งยังเป็นฤดูหนาวในสองเดือนแรก ความหนาวเย็นได้เป็นอาวุธของรัสเซีย

เหยื่อของสงครามที่ต้องทนทุกข์อย่างมากคือชาวยูเครนที่ยังติดอยู่ในประเทศและเจอกับความยากลำบากเพราะขาดไฟฟ้า น้ำประปา และความสะดวกด้านสาธารณูปโภคซึ่งถูกทำลายโดยกองทัพรัสเซีย

และผู้นำยูเครนอดีตตัวตลกยังคงโลดแล่น อาบแสงสีเพื่อความโดดเด่นในฐานะเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาของโลกตะวันตกนำโดยสหรัฐฯ ซึ่งใช้ยูเครนเป็นตัวแทนทำสงครามเพื่อบั่นทอนแสนยานุภาพของรัสเซีย

ยูเครนจึงต้องเป็นสมรภูมิสำหรับอาวุธจากโลกตะวันตกและของรัสเซียซึ่งสร้างความพินาศย่อยยับให้กับหลายเมือง แม้กระทั่งเมืองหลวงกรุงเคียฟก็ยังไม่ปลอดภัย ทั้งยังขาดแคลน ไฟฟ้า น้ำประปา ระบบขนส่งโทรคมนาคมที่เดี้ยง

โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ชอบกับการถูกยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษสงครามสวมเสื้อยืดตัวเดียวเป็นผู้นำยูเครนท่ามกลางความพินาศของบ้านเมือง และความทุกข์ยากของชาวยูเครนซึ่งมองไม่เห็นอนาคตว่าสงครามจะสิ้นสุดเมื่อไหร่

โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศว่าจะทุ่มอาวุธและเงินช่วยเหลือยูเครนรบกับรัสเซียให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้เหลือเพียงชาวยูเครนคนสุดท้ายก็จะต้องทำ

และคนสุดท้ายน่าจะเป็นตัวตลก เซเลนสกี้ ที่ถูกมองว่ากำลังกอบโกยความมั่งคั่งจากสงครามร่วมกับพวกพ่อค้าทรงอิทธิพลที่แอบยักยอกเอาอาวุธ จากนาโตไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋า ผู้ก่อการร้ายในแอฟริกาอ้างว่ามีอาวุธสมัยใหม่จากสงครามยูเครน

ถ้าจะประเมินว่าใครอยู่ในสภาพที่ดีกว่าด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตก ต้องบอกว่ายุโรปและอังกฤษกำลังทุกข์ระทมกับวิกฤตที่เกิดจากพลังงานราคาแพง อัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้ค่าครองชีพสูง

ชาวอังกฤษหลายล้านคนกลายเป็นผู้ดีตกยาก ต้องเก็บออมเงินไว้จ่ายค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซ มาตรฐานการครองชีพต่ำลง ต้องอดมื้อกินมื้อ อาหารที่เคยมีคุณภาพต้องงด พวกรายได้น้อยไม่ต้องพูดถึง อยู่ในสภาพทุกข์ยาก โดยรัฐบาลไม่มีทางช่วยเหลือได้

พยาบาล พนักงานองค์กรต่าง ๆ ได้นัดหยุดงานประท้วง เรียกร้องค่าแรงเพิ่ม แต่รัฐบาลไม่มีเงิน ต้องกู้กว่า 2.6 หมื่นล้านปอนด์เพื่อใช้จ่าย

เยอรมนีอยู่ในสภาพที่กำลังจะสิ้นความเป็นชาติอุตสาหกรรม พลังงานจากรัสเซียที่เคยทำให้ประเทศเป็นขุมพลังของยุโรปไม่มีต่อไปอีกแล้ว ท่อก๊าซใต้ทะเลทั้งสองถูกก่อวินาศกรรมโดยฝีมือของสหรัฐฯ และอังกฤษตามหลักฐานที่ไม่เปิดเผยได้

เท่ากับว่าเป็นการตัดหนทางที่จะให้เยอรมนีได้หวนคืนไปรับก๊าซจากรัสเซียในราคาถูก ต้องซื้อก๊าซธรรมชาติเหลวจากสหรัฐฯ ในราคาที่แพงกว่า 4 เท่าตัว

กลุ่มประเทศยุโรปต้องขออาวุธไปให้ยูเครน เมื่อคลังแสงพร่อง ต้องสั่งซื้อเพิ่ม ส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ ที่เป็นผู้นำ และกำหนดมาตรฐานอาวุธของนาโต เท่ากับว่าสหรัฐฯ มีแต่ได้กับได้ จากการขายพลังงานและอาวุธ ยุโรปกลายเป็นเหมือนเมืองขึ้น

ยุโรปไม่มีทางถอนตัวออกจากการนำของสหรัฐฯ เศรษฐกิจมีแต่จะทรุด

เยอรมนีต้องกู้เงินมากกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์เพื่อพยุงเศรษฐกิจ โดยไม่มีโอกาสจะเห็นวันฟื้นตัวจากภาวะถดถอย ตราบใดที่ราคาพลังงานยังแพง ธุรกิจตั้งแต่ขนาดใหญ่จนถึงรายย่อยต่างเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ลดการผลิตหรือปิดตัวลง

ฝรั่งเศสและอิตาลีก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกันมากนัก ต้องเร่งหาพลังงานทดแทน ฟื้นโรงงานผลิตไฟฟ้าโดยพลังงานนิวเคลียร์ บางประเทศต้องหันไปใช้ถ่านหิน ทำให้แผนที่จะลดภาวะโลกร้อนต้องชะลอตัว ประเทศยุโรปอื่น ๆ ก็เดือดร้อนเช่นกัน

‘ความโลภบังตา หายนะบังเกิด’ FOREX 3D สะท้อนแชร์ลูกโซ่ไม่มีวันหมด

การหากินบนความโลภของคน ผ่านรูปแบบที่เรียกว่า ‘แชร์โลกโซ่’ ยังคงเกิดขึ้นมาตลอด แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป คนมีความรู้มากขึ้น แต่ถ้ายังมีความโลภบังตา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะตกเป็นเหยื่อ

เช่นเดียวกับ ข่าวดังในรอบปี กรณีแชร์ลูกโซ่ Forex 3D ที่สร้างความเสียหายมูลค่ากว่าสามหมื่นล้านบาท ผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อกว่าห้าหมื่นราย และมีดาราดัง คนมีชื่อเสียงเข้าไปพัวพันเป็นจำนวนมาก 

คำว่า Forex (ฟอเร็กซ์) ย่อมาจากคำว่า Foreign Exchange Market แปลให้เข้าใจง่ายคือ ‘ตลาดซื้อขายอัตราเงินตราต่างประเทศ’ เป็นการลงทุนประเภทหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูง เพราะอัตราแลกเปลี่ยนมีการขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนที่จะเล่น Forex ต้องมีความรู้สูงมาก และเข้าใจในภาวะเศรษฐกิจโลก ไม่อย่างนั้นอาจจะเงินหมดบัญชีโดยไม่รู้ตัว

ขณะที่จุดเริ่มต้นของ Forex 3D เกิดจาก นายอภิรักษ์ โกฎธิ และเพื่อนได้ร่วมกันเปิดบริษัทชื่อ RMS Familia สร้างเว็บไซต์ชื่อ Forex 3D เมื่อปี พ.ศ. 2558 โดยชักชวนคนที่อยากลงทุนในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศหรือที่เรียกว่าการเทรด Forex แต่ไม่กล้าลงทุนเอง เนื่องจากอาจจะกลัวว่าจะขาดทุน สามารถมาฝากเงินไว้กับ Forex 3D ได้เลย แล้ว ทาง Forex 3D จะนำเงินไปลงทุนให้ ด้วย AI อัจฉริยะ และทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ถึง 10% ต่อเดือน

โดยในช่วงแรกที่จ่ายผลตอบแทนได้จริง (เงินที่จ่ายผลตอบแทนก็คือเงินของนักลงทุนเองที่เอามาลงทุน) บวกกับการทำการตลาดผ่าน ดารา นักแสดง ที่มีชื่อเสียง มีการเปิดตัวโชว์รูมรถหรู ชื่อ RKK Auto Car ขายรถหรูอย่าง ลัมบอร์กินี่, ปอร์เช่, เฟอร์รารี่ การสร้าง profile ของทีมผู้บริหารได้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมากทุกคนที่มาลงทุนต่างอยากขับรถสปอร์ต อยากใช้ของแบรนด์เนม ตามภาพที่ได้เห็นจึงตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก

คืนสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ ผลงานชิ้นโบแดง ‘รัฐบาลลุงตู่’

อีกเหตุการณ์ที่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของประเทศไทยในปีนี้ คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ได้แก่ ‘ไทย’ และ ‘ซาอุดีอาระเบีย’ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งได้เห็นภาพก่อน-หลังการประชุม APEC 2022 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพและได้เชิญแขกสำคัญอย่าง ‘มกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด’ มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย มาประเทศไทยพร้อมมีการลงนามความร่วมมือกันหลายฉบับ ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่า ความสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุดีอาระเบีย’ กลับมาแน่นแฟ้นแน่นอนแล้ว

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปถึงความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ เรียกว่า มีความตึงเครียดกันมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ โดยสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเกิดปัญหานั้นก็มีอยู่หลายเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องก็ซับซ้อนจนยากจะเข้าใจ 

นานมาแล้วเคยฟังผู้ใหญ่ฝ่ายซาอุดีอาระเบียพูดผ่านผู้ใหญ่ฝ่ายไทยว่าเรื่องเพชรที่ฝ่ายเรามองว่าเป็นเรื่องสำคัญนั้น เอาเข้าจริงแล้วกลับไม่ใช่ หากแต่เป็นความคลุมเครือเรื่องการสูญหายของคนซาอุฯ ในประเทศไทยที่สำคัญกว่า แต่ยังมีประเด็นอื่นที่สำคัญกว่านั้น โดยเรื่องนี้ ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ผอ.ศวฮ.) เคยโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กให้เห็นภาพดังกล่าวไว้ว่า…

หลังจากผ่านไป 30 ปี ในความเห็นของผม การขึ้นสู่อำนาจของมกุฎราชกุมาร MBS นับเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากพระองค์ท่านทรงมีความคิดทันสมัย อีกทั้งบุคลิกภาพของนายกรัฐมนตรีของไทยกล่าวกันว่าฝ่ายซาอุดีอาระเบียพึงพอใจค่อนข้างมาก เท่าที่ทราบจากหลายฝ่าย ความสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐบาลดีขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 ผมเดินทางไปประชุมมาตรฐานฮาลาลที่ซาอุดีอาระเบียพร้อมอาจารย์ปกรณ์ ปรียากร ดร.อาณัฐ เด่นยิ่งโยชน์ และ ดร.มุฮัมหมัดอมีน เจ๊ะนุ ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้รับทราบข่าวดีด้านการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ทั้งจากประธานหอการค้าซาอุดีอาระเบีย จากอธิการบดีและผู้บริหารมหาวิทยาลัยอิสลามมะดีนะฮฺ และอีกหลายฝ่าย ทว่าเป็นแค่ข่าวยังไม่มีรายละเอียด

ผมและทีมงานไปประชุมที่ซาอุดีอาระเบียสองสามครั้ง ที่ผ่านมาเมื่อได้พบกับผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายซาอุดีอาระเบีย เห็นว่าเขาระวังตัวกันมากในการพบปะพูดคุยกับฝ่ายเรา แต่มาครั้งใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว ฝ่ายซาอุดีอาระเบียเปิดกว้างจนเห็นได้ชัด ขอเข้าพบผู้บริหารมหาวิทยาลัยยังได้พบทั้งท่านอธิการบดีและผู้บริหารทั้งชุด พูดคุยกันเรื่องความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ฮาลาลระหว่างประเทศไทยกับซาอุดีอาระเบียเสียด้วยซ้ำ ความที่ท่านอธิการบดีทรงเป็นบุคคลระดับเชื้อพระวงศ์ ยิ่งทำให้พวกเรามั่นใจว่าคงได้ข่าวดีด้านความสัมพันธ์ และมันก็เป็นอย่างที่คาดจริงๆ

ระหว่างที่ความสัมพันธ์ง่อนแง่นเราคนไทยได้รับผลกระทบกันมาตลอด ผลประโยชน์ของประเทศไทยจำนวนมหาศาลสูญเสียไป จึงต้องขอบคุณทุกฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและซาอุดีอาระเบียกลับมาเป็นปกติ ความสัมพันธ์ที่ดีจะก่อประโยชน์มากมายให้กับทั้งสองฝ่าย เชื่อมั่นอย่างนั้น

แน่นอนว่า ในวันนี้กำแพงแห่งความหมางใจตลอด 32 ปีของ ‘ไทย-ซาอุฯ’ ได้พังทลายลง จากการขับเคลื่อนของรัฐบาลไทยภายใต้ ‘รัฐบาลลุงตู่’

เริ่มต้นที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยือนซาอุดีอาระเบียเมื่อต้นปี (2565) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ

การไปเยือนซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้ มีรายละเอียดที่กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ สรุปไว้น่าสนใจหลายอย่าง 

1.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยได้เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 มกราคม 2565 ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย

2.) มกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียทรงให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย และทั้งสองฝ่ายได้ประชุมหารืออย่างเป็นทางการ โดยทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันความตั้งใจร่วมกันในการสะสางประเด็นที่คั่งค้างทั้งหมดระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียและปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองราชอาณาจักรให้เป็นปกติ ทั้งสองฝ่ายยังได้ย้ำความสำคัญของการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรของสองราชอาณาจักรและการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับความสัมพันธ์ฉันมิตรกับซาอุดีอาระเบีย และแสดงความเสียใจยิ่งต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นที่ประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2532-2533 (ค.ศ. 1989-1990)

นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยยืนยันว่า ไทยได้พยายามอย่างที่สุดแล้วในการสะสางกรณีต่าง ๆ และหากมีหลักฐานใหม่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น ก็พร้อมที่จะนำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยพิจารณา นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยยังได้ยืนยันความมุ่งมั่นของไทยในการให้ความคุ้มครองที่เหมาะสมแก่บุคคลในคณะผู้แทนของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียที่กรุงเทพฯ ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต ปี ค.ศ. 1961 ทั้งสองฝ่ายยังได้ยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อดูแลความปลอดภัยของคนชาติของกันและกันในแต่ละประเทศ

3.) ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นในภูมิภาคและระหว่างประเทศต่าง ๆ และได้หารือถึงแนวทางในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกสาขา ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์และการติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของแต่ละฝ่ายเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีเพื่อประโยชน์ร่วมกันของราชอาณาจักรทั้งสอง

4.) โดยคำนึงถึงจิตวิญญาณของความร่วมมือและความตั้งใจร่วมกันเพื่อฟื้นฟูมิตรภาพและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างสองราชอาณาจักรและประชาชน ภายใต้การนำและพระราชวิสัยทัศน์อันเข้มแข็งของผู้พิทักษ์ สองมหามัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์ สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด (His Majesty King Salman bin Abdulaziz Al Saud) และมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันให้เป็นปกติอย่างสมบูรณ์ ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความพยายามในหลายระดับของทั้งสองฝ่ายที่มีมาอย่างยาวนานเพื่อฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกัน

5.) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกับขั้นตอนสำคัญต่าง ๆ ที่จะดำเนินการเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคี ซึ่งรวมถึงการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำเมืองหลวงของทั้งสองประเทศในอนาคตอันใกล้ และการจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี การติดต่อประสานงานอย่างเต็มที่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้าเพื่อหารือความร่วมมือทวิภาคีในสาขายุทธศาสตร์ที่สำคัญ

เจ้าชายนักบิน ‘พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต’ พระโอรสบุญธรรมในรัชกาลที่ 7

สำหรับเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ หลายท่านคงเคยได้อ่าน ได้ยินผ่านหู ผ่านตากันมาบ้างแล้ว สำหรับ ‘เจ้าชาย’ พระองค์นี้ แต่หลายท่าน อาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพระองค์มาก่อน เพราะสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่พระองค์มีพระชนมายุเพียง 25 พรรษา แต่เรื่องราวของพระองค์มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรไปติดตามกันครับ

‘พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต’ มีพระนามลำลองว่า ‘เจอรี่’ เป็นพระโอรสพระองค์เล็กใน ‘สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช’ ประสูติแต่หม่อมเล็ก ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา โดยมีพระโสทรเชษฐาและเชษฐภคิณีรวม 4 พระองค์ ได้แก่…

1. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารำไพประภา 
2. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภัสสรวงศ์ 
3. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช (พระองค์พีระ เจ้าดาราทอง) 
และ 4. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์

ทุกพระองค์เมื่อประสูติมีพระอิสริยยศเป็น ‘หม่อมเจ้า’ ต่อมา ‘พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ 7 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนหม่อมเจ้าทั้งหมดขึ้นเป็น ‘พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า’

เกี่ยวกับ สมเด็จฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระบิดานั้น พระองค์เป็นพระราชอนุชาร่วมพระโสทรใน ‘พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ 5 เป็นต้นราชสกุลภาณุพันธุ์ โดย สมเด็จฯ กรมพระยาภาณุพันธุ์ฯ ทรงมีหม่อมหลายคน และมีพระโอรสธิดาเกินกว่า 10 องค์ 

และด้วยการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไม่ทรงมีพระราชโอรสหรือพระราชธิดา ด้วยการนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาภาณุพันธุ์ฯ จึงได้ทรงนำพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช มาถวายสมเด็จพระปกเกล้าฯ ตั้งแต่พระองค์พีระฯ ทรงพระเยาว์ เป็นพระองค์แรก (ทำไม? ต้องพระองค์แรก) ก็เป็นที่โปรดปราน ทรงอุปถัมภ์โดยให้ไปศึกษาต่อที่อังกฤษ แต่พระองค์พีระฯ เกิดไปถูกชะตากับพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งทรงอยู่ที่ลอนดอน ก็เลยย้ายไปอยู่ในพระอุปถัมภ์ของพระองค์จุลฯ 

สมเด็จฯ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช ก็เลยทรงนำพระโอรสองค์เล็ก (พระองค์ที่ 2) ซึ่งกำพร้าหม่อมแม่มาทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เป็นอย่างยิ่ง โดยทรงทุ่มเทความรักและความเอาใจใส่ให้เหมือนบิดากับบุตรแท้ ๆ เรียกได้ว่ารักเหมือน ‘พระราชโอรส’ จนเมื่อพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ พระชนมายุได้ 13 พรรษา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ก็ทรงส่งพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ ไปศึกษาต่อที่อเมริกา เพราะทรงเกรงว่าถ้าส่งไปอังกฤษ ก็อาจจะไปพบพระองค์จุลฯ แล้วขอทูลลาไปอยู่ในความอุปถัมภ์ของพระองค์จุลฯ เสียอีกองค์หนึ่ง อย่างที่เคยเกิดมาแล้วในกรณีพระองค์พีระฯ (แสดงว่าพระองค์จุล ฯ นี่ช่างดึงดูดทุกพระองค์จริงๆ) 

จากหนังสือ ‘ชีวิตเหมือนฝัน’ โดย ‘คุณหญิงมณี สิริวรสาร’ ได้บันทึกไว้ว่า...ทูลกระหม่อมทรงมีรับสั่งว่า ‘เล็ก’ (หมายถึงพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ) นั้นคงต้องมีความสัมพันธ์กับพระองค์ท่านมาแต่ชาติปางก่อน เพราะลักษณะหน้าตาก็มีส่วนคล้ายคลึง รวมทั้งอุปนิสัยใจคอหลายอย่างก็มีส่วนเหมือนกัน เช่น เล็กชอบเครื่องตุ๊กกะฉึก (เป็นศัพท์ที่ทูลกระหม่อมทรงตั้งขึ้น หมายถึงเครื่องเล่นที่เป็นกลไกต่าง ๆ ที่ฝรั่งเรียกว่า Gadgets) และชอบเครื่องยนต์กลไกต่าง ๆ เช่นเดียวกับพระองค์ ‘เล็ก’ เป็นเด็กนิสัยดี ไม่เคยอวดอ้างว่าเป็น ‘คนโปรด’ เลย

ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงห่วงใยพระองค์จิรศักดิ์ฯ มาก มีพระราชหัตถเลขาถึงพระโอรสบุญธรรมทุกวันและรอจดหมายตอบทุกอาทิตย์ ความในพระราชหฤทัยต่างๆ นั้นก็ถ่ายทอดลงในจดหมาย เล่าให้พระโอรสบุญธรรมฟัง อย่างที่ไม่อาจจะทรงเล่าให้ผู้อื่นฟังได้ แม้แต่พระบรมวงศานุวงศ์ ผมขอยกตัวอย่างเนื้อหาจดหมาย ลงวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2475 มาให้ทุกท่านได้อ่านกันดังนี้... 

ถึงลูกที่รัก

อาทิตย์นี้ฉันไม่ได้หนังสือจากเล็กอีกเป็นอาทิตย์ที่ 2 คงเป็นเพราะเมล์ แต่ก็เจ้ากรรมที่สุดที่มักจะยุ่งอย่างนี้ พร้อมกับเวลาที่ฉันไม่สบายที่สุดเสมอ หนังสือฉบับก่อนที่เขียนไปนั้น เล็กอาจเห็นว่าฉันตื่นอะไรต่างๆ ไม่เป็นเรื่อง แล้วก็ไม่มีเหตุยุ่งอะไร เพราะว่ากว่าหนังสือจะไปถึงเล็กเรื่องจะมีหรือไม่มีก็แล้วไปแล้ว

อย่างไรก็ดี พวกเราอยู่กันที่นี่กลัวกันจริงๆ และตกใจกันจริงๆ ด้วย เราทุกคนรู้ไม่ได้เลยว่าจะถูกเชือดคอเมื่อไร เสียวกันอยู่เสมอ พอมีลืออะไรกันทีหนึ่งก็ตกใจกันแทบตาย เพราะจะไม่เชื่อเสียงลือก็ไม่ได้ เข็ดจากคราวก่อนที่ไม่เชื่อกัน แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ เวลานี้มีเสียงลืออะไรก็ต้องเชื่อหมด ฉันเองก็เชื่อแน่ว่าความยุ่งยากในเมืองไทยจะต้องมีต่อไปอีกอย่างน้อย 20 ปี เพราะอะไรๆ มันยุ่งๆ ไปหมด ไม่มีใครไว้ใจกันหมดทั้งเมืองไทย เวลานี้เป็นนรกแท้ๆ

คิดถึงเหลือเกิน
จากพ่อ
ประชาธิปก

เนื้อความดูน่าสนใจนะครับ ข่าวลือในช่วงก่อนปฏิวัติ 2475 นั้นแรงจริงๆ แต่เอาไว้ครั้งหน้าค่อยมาเล่าดีกว่า พระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ เจริญพระชนม์ขึ้นเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มาดดี กิริยามารยาทเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ใช้ชีวิตอย่างลูกผู้ดีอังกฤษ มีนิสัยดี มีความประพฤติเป็นสุภาพบุรุษแท้ แต่พระองค์ไม่ค่อยจะทรงถนัดทางวิชาการนัก แต่ทรงมีหัวด้านงานประดิษฐ์และเครื่องยนต์กลไก  นอกจากนี้ยังเก่งเรื่องขับรถและขับเครื่องบินเป็นพิเศษ โดยทรงเรียนขับเครื่องบินพร้อมกับ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพียงแค่ 8 ชั่วโมง ก็ทรงบินเดี่ยวได้  หลังจากนั้นก็สอบประกาศนียบัตรนักบินได้ ในหลวงรัชกาลที่ 7 จึงทรงซื้อเครื่องบินเล็กให้ลำหนึ่ง ท่านก็ขับเครื่องบินเข้าแข่งแรลลี่ได้ที่ 1 ซึ่งตอนนั้นพระองค์ยังไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top