Tuesday, 22 April 2025
NEWSFEED

สามารถ พยัคฆ์อรุณ อดีตยอดนักมวยไทยชื่อดัง และแชมป์โลกมวยสากลอาชีพคนที่ 10 ของไทย โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อ 27 ม.ค.2566

เมื่อวันที่ 27 ม.ค.66 ที่ผ่านมา นายสามารถ พยัคฆ์อรุณ อดีตยอดนักมวยไทยชื่อดัง และแชมป์โลกมวยสากลอาชีพคนที่ 10 ของไทย ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องมวยไทย ภายหลังที่มีกระแสการเคลมมวยไทยจากชาวกัมพูชาผ่านเฟซบุ๊ก 'Samart Payakaroon' ว่า...

เนื่องจากมีแฟนมวยหลายๆ คน ต้องการให้ผมแสดงความคิดเห็นในกรณีประเทศเพื่อนบ้าน ผมไม่ได้มีความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์อะไร เลยไม่อยากที่จะวิพากษ์วิจารณ์อะไรออกมา

แต่สิ่งที่ผมรู้ มวยไทยของเรา มีหลักฐานการบันทึก รูปภาพ การแข่งขัน มาอย่างยาวนานอยู่แล้ว และพวกเราชาวมวยไทยได้ผ่านอุปสรรค ได้ต่อสู้อะไรกันมามากมายกว่าจะมาถึงจุดนี้ จุดที่มวยไทยเป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมจากทุกมุมโลก

สำหรับความคิดผม พวกเรามาไกลเกินกว่าที่จะมาสนใจ ว่าใครจะใช้เราเป็นบันไดในการใช้สร้างชื่อเสียง สร้างเครดิตให้พวกเขา

มวยไทยเป็นกีฬาศิลปะการต่อสู้ที่มีเสน่ห์ มีศักดิ์ศรี มีเอกลักษณ์ มีความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งหาได้ยากจากกีฬาทั่วไปและไม่มีใครเหมือนแน่นอนครับ

‘อุ๊งอิ๊ง’ VS ‘หญิงหน่อย’ อาภรณ์ อุดมการณ์ ความรู้ ความรวย

เทียบฟอร์มกันชัดๆ ระหว่าง ‘อุ๊งอิ๊ง’ หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลูกสาวคนเล็กของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ ‘หญิงหน่อย’ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ผู้ช่ำชองในวงการการเมืองไทยมากกว่า 30 ปี

ไขปม!! แก่นแท้แห่ง ‘กรุงศรีฯ’ พินาศหนแรก เมื่อสาย ‘อ่อนโอน’ VS ‘คลั่งสงคราม’ วัดพลังกัน

เนื้อหาในรอบนี้น่าจะมีใครหลายคนอยากตามติด เพราะผมจะพาทุกท่านไปติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับการเสียกรุงศรีอยุธยาทั้ง 2 ครั้ง ที่เกิดจากการ ‘แสวงหาอำนาจ’ จนลืมนึกถึงคนในชาติ แต่ก่อนที่ผมจะเล่า ผมขอออกตัวก่อนว่านี่คือเรื่องเล่าจาก ‘บริบท’ ของอดีตที่จะนำมาสอนใจทุกท่าน เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศชาติให้แข็งแกร่ง ไม่ใช่การนำเอาอดีตมาตอกย้ำหรือสร้างดรามาให้ใครนะครับ 

สำหรับบทความแรกนี้ ผมจะสรุปถึงการเสียกรุงครั้งที่ 1 ของเรากันก่อน

หากพูดการเสียกรุงครั้งที่ 1 หลายคนคงทราบจากหนังสือประวัติศาสตร์ภาคบังคับแล้วว่ามี ‘ไส้ศึก’ ที่ชื่อ ‘พระยาจักรี’ ขุนนางกรุงศรีอยุธยาที่รู้เห็นเป็นใจกับกับพม่า ทำให้กองทัพพม่าสามารถบุกเข้ายึดกรุงศรีอยุธยาได้ แต่คุณเคยรู้หรือไม่ว่าก่อนที่จะเสียกรุงในปี พ.ศ.2112  ปัจจัยนอกจาก ‘พระยาจักรี’ มีเรื่องอะไรอีกบ้าง? แล้วพระยาจักรีคือคนขายชาติจริง ๆ หรือ? 

จริง ๆ แล้วการเสียกรุงนั้นเกิดขึ้นจากการสะสมความขัดแย้งของตระกูลราชวงศ์เป็นปฐมเหตุ นับแต่เมื่อคราวที่ ‘สมเด็จพระไชยราชาธิราช’ แห่งราชวงศ์ ‘สุพรรณภูมิ’ สวรรคต ‘พระยอดฟ้าราชโอรส’ ได้ขึ้นครองราชย์ โดยมี ‘แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์’ เป็นผู้สําเร็จราชการ จนเมื่อผ่านไป 1 ปี 2 เดือน พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ จากนั้นก็ได้สถาปนา ‘ขุนวรวงศาธิราช’ ขึ้นครองบัลลังก์ ซึ่งตามรากของตระกูลที่พอสมมติได้ ‘ขุนวรวงศาธิราช’ และ ‘แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์’ นั้นมาจาก ‘ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา’ ที่อยากมีอำนาจเหนือราชบัลลังก์กรุงศรีอยุธยาอันนี้เป็นคำรบหนึ่งแห่งความวุ่นวาย

แต่เพียงแค่ 42 วัน ‘ขุนวรวงศาธิราช’ ก็ตกบัลลังก์โดยการจัดหนักของทีมงาน ‘ขุนพิเรนทรเทพ’ ซึ่งสืบเชื้อสายพระร่วงเจ้า มาแต่ราชวงศ์สุโขทัย ซึ่งถือว่าเป็นใหญ่ในหัวเมืองฝ่ายเหนือตามชอบธรรม เมื่อกู้บัลลังก์คืนแล้วจะขึ้นครองเองก็ได้แต่ด้วยความไม่พร้อมบางประการ จึงได้มอบบัลลังก์ให้แก่ ‘พระเทียรราชา’ จากราชวงศ์สุพรรณภูมิ ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์เป็น ‘สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ’ พระอนุชาต่างมารดากับ ‘สมเด็จพระไชยราชาธิราช’

เมื่อได้เสวยราชสมบัติแล้ว 'สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ' ทรงตอบแทนคุณความดีของคณะผู้ก่อการทั้งหลายอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะ 'ขุนพิเรนทรเทพ' ที่ได้อวยยศเป็นถึง 'พระมหาธรรมราชา' และยังยก 'พระสวัสดิราช' ซึ่งกาลต่อมาคือ 'พระวิสุทธิกษัตรี' ที่ผู้ที่พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเรียกว่า 'สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฝ่ายใน' ให้เป็นพระมเหสีแก่ 'พระมหาธรรมราชา' ก่อนขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก คุมหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมด ซึ่งเป็นการตอบแทนที่ใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง และเป็น 'ดาบสองคม' ที่เป็นเหตุทำให้ถึงกับเสียกรุงศรีอยุธยาเลยทีเดียว

ซึ่งถ้ามองประวัติศาสตร์ในห้วงเวลานี้อย่างถ่องแท้จะเห็นว่าความผูกพันระหว่างกรุงศรีอยุธยากับเมืองเหนือ เหมือนจะดีแต่เอาเข้าจริง ๆ มันยังคงมีลักษณะของความไม่แน่นอนแฝงอยู่มาก เช่น ตำแหน่งของราชบุตรเขยที่ 'พระมหาธรรมราชา' เปรียบเหมือนรัชทายาท เป็นเจ้าผู้ครองแคว้น เป็นเจ้าฟ้าสองแคว ปกครองหัวเมืองเหนือทั้งหมด ใหญ่กว่า 'พระราเมศวร' รัชทายาทที่มีอำนาจรองจาก 'สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ' ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอะไร เพราะสิทธิ์ขาดอยู่ที่องค์เหนือหัว อำนาจบารมีก็ไม่ได้ก่อร่างสร้างขึ้น แตกต่างจาก 'พระมหาธรรมราชา' อย่างสิ้นเชิง สรุปคือ 'พระราชบุตรเขย' มีอำนาจมากกว่า 'พระราชโอรส' ของกษัตริย์อยุธยา ดังนั้นเมื่อมีมือที่สามเข้ามาแทรก หรือมีคนมาเสี้ยม ไม่แปลกที่ย่อมทำให้แตกร้าว ออกอาการกันได้ และการศึกพม่าจากหงสาวดีก็เปรียบเสมือนเป็นลิ่มที่ตอกรอยแตกแยกให้ปรากฏชัดเร็วขึ้น 

จากการเรียนประวัติศาสตร์ไทย ก่อนที่เราจะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2112 นั้น พม่าได้ยกทัพเข้ามาทําศึกกรุงศรีอยุธยาถึง 3 ครั้ง ดังนี้ 

ครั้งแรกเป็นสงครามเสียพระสุริโยทัย พ.ศ. 2091 'พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้' ยกทัพมาทางด่านในเขตจังหวัดกาญจนบุรีเข้าประชิดกรุงศรีอยุธยา ครั้งนี้พระมหาธรรมราชายังร่วมมือกับกรุงศรีอยุธยาแต่เป็นการร่วมมือแบบห่าง ๆ ไม่ได้ลงมาตีกระหนาบ กองทัพเมืองเหนือได้เข้าปะทะกองทัพพม่าก็เมื่อพม่าได้ล่าถอยเข้าสู่เขตแดนเมืองเหนือแล้ว ซึ่งพม่าก็ได้เห็นถึงความเปราะบางของความผูกพันนี้ โดยเฉพาะแม่ทัพที่ชื่อ 'บุเรงนอง' ซึ่งคือตัวละครหลักในการเสียกรุงจากฝั่งพม่า

ครั้งที่สองเป็นสงครามช้างเผือก พ.ศ. 2106 'พระเจ้าบุเรงนอง' ยกกองทัพใหญ่เข้ามาทางด่านแม่สอดจังหวัดตาก มีหน่วยลําเลียงเสบียงอาหารจากล้านนา และยึดเมืองเหนือได้ทั้งหมด เหลือเพียงเมืองพิษณุโลกของ 'พระมหาธรรมราชา' ที่ต่อสู้ป้องกันเมือง แต่กระนั้นก็ไม่มีกำลังเสริมใด ๆ โดยเฉพาะกรุงศรีฯ ที่ส่งสารไปแล้วก็ไม่ตอบสนองการทัพขึ้นไปช่วยแต่อย่างใด สุดท้ายก็ต้องยอม ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองคาดการณ์สิ่งนี้ไว้แล้ว 

จากนั้นกองทัพของพระเจ้าบุเรงนองก็ยกเข้าประชิดกรุงศรีอยุธยา โดยมี 'พระมหาธรรมราชา' คุมกําลังเมืองเหนือร่วมทัพมาด้วย การยกทัพมาประชิดเมืองครั้งนี้ 'พระเจ้าบุเรงนอง' อ้างเหตุมาขอแบ่งช้างเผือกเพื่อประดับบารมี แต่พระมหาจักรพรรดิไม่ยอมถวาย ก็พยายามเข้าราวี ต่อกร แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งของทัพพม่าได้ ซึ่งสงครามครั้งนี้มีบันทึกไว้ว่านอกจากจะเสีย 'ช้างเผือก' แล้ว ยังต้องมอบ 'พระราเมศวร' พระราชโอรสองค์โตในฐานะ 'องค์ประกัน' และต้องมอบขุนนางที่อำนวยการสงครามอีกผู้หนึ่ง นั่นก็คือ 'พระยาจักรี' ให้ไปเป็นข้ารับใช้พระเจ้าบุเรงนอง ที่หงสาวดีด้วย 

หลังจากเสร็จสงครามช้างเผือกแล้ว 'สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ' ก็ทรงลาผนวช โดยมี 'สมเด็จพระมหินทราธิราช' ขึ้นครองบัลลังก์อยุธยา แต่แค่เพียงอยุธยาและเมืองที่ขึ้นกับอยุธยาในด้านอื่น ๆ เท่านี้นะครับ ไม่รวมหัวเมืองเหนือและเมืองที่ขึ้นตรงกับหงสาวดี โดยเฉพาะเมืองเหนือนั้น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาบันทึกไว้ว่า “เมืองเหนือทั้งปวงเป็นสิทธิแก่พระมหาธรรมราชาเจ้า อนึ่งการแผ่นดินในกรุงพระมหานครศรีอยุธยา พระมหาธรรมราชาบังคับบัญชาลงมาประการใด สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินต้องทำตามทุกประการ” สรุปกรุงศรีอยุธยาอยู่ภายใต้อํานาจของพม่าแล้ว โดยมีพระมหาธรรมราชาที่เมืองเหนือกํากับดูแลเป็นหูเป็นตาแทน แต่ยังให้เกียรติแก่กรุงศรีอยุธยาไม่ได้นับเป็นเมืองขึ้น (สวามิภักดิ์ในฐานะเมืองน้อง ห้ามกระด้างกระเดื่อง) และยังให้อำนาจปกครองตนเองอยู่ ก่อนจะเข้าสู่สงครามครั้งที่ 3 

ครั้งที่สาม คือสงครามกรุงศรีอยุธยาแตก พ.ศ. 2112 สงครามครั้งนี้ห่างจากสงครามช้างเผือกประมาณ 6 ปี เป็นช่วงเวลาที่ราชอาณาจักรพม่าหงสาวดีภายใต้การนําของบุเรงนอง มีความเป็นปึกแผ่น และทรงพลานุภาพที่สุด แต่กระนั้นฝั่งกรุงศรีฯ ยังคงมีความคิดแข็งข้อกับพม่า โดยหันไปคบกับพระไชยเชษฐาแห่งราชอาณาจักรลาวล้านช้างด้วยหวังจะให้มาเช็กบิลกับ 'พระมหาธรรมราชา'

อุ๊งอิ๊ง VS คุณหญิงหน่อย อาภรณ์ อุดมการณ์ ความรู้ ความรวย

เริ่มเป็นที่ชัดเจนว่า สนามเลือกตั้งครั้งต่อไปของประเทศเรา จะมีสตรีสองคนลงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หนึ่งคือ 'คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์' หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กับสอง 'คุณอุ๊งอิ๊ง - แพทองธาร ชินวัตร' หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นับเป็นสีสันและความหวังของเหล่าสตรีบนฐานะผู้นำพรรคการเมือง แต่สิ่งน่าสนใจกว่า (ตอนนี้) อุดมการณ์สร้างประโยชน์แก่ชาติ ก็ด้วยทั้งสองมีพื้นเพมาจากครอบครัว 'Hight Rich' อาภรณ์ห่อหุ้มกายจึงควรค้นหา จับตา ทุกครั้งที่ปรากฏตัวต่อสาธารณชน

"...การแต่งกาย คือ 'แบรนด์ดิ้ง' (branding) คนไทยอาจไม่ได้แต่งตัวถูกต้องตามแบบแผนนัก แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับบุคคลสาธารณะ เพราะการแต่งตัวบ่งบอกว่าเราเป็นใคร ถ้าจะดูนักการเมืองสมัยก่อน อย่างจำลอง ศรีเมือง ต้องใส่เสื้อผ้าม่อฮ่อมคอจีน แขนสั้น เนื้อผ้าเก่า ๆ หรือ ป๋าเปรมก็จะต้องชุดพระราชทาน ซึ่งท่านเป็นคนเผยแพร่ชุดพระราชทานในประเทศไทย และใส่ออกมาดูดี ด้วยรูปร่างและบุคลิกที่นิ่ง เป็นคนที่พิถีพิถันมาก"

ประโยคข้างต้น - 'ภาณุ บุรุษรัตนพันธุ์' กูรูด้านแฟชั่นและบุคลิกภาพ อดีตบรรณาธิการนิตยสาร 'Esquire' ที่ทุกวันนี้คนรู้จักในนาม 'ลุงเฮม่า' เจ้าของคอลัมน์ตอบปัญหาสารพันบนออนไลน์ เคยกล่าวอรรถาธิบายไว้

ยุคต้นของคุณหญิงสุดารัตน์ ที่เพิ่งร่วมงานทางการเมืองกับพรรคไทยรักไทย เธอย่างก้าวสู่สายตาประชาชนด้วยมาดนักธุรกิจซึ่งประสบความสำเร็จแล้วระดับหนึ่ง เธอเป็นหญิงไม่ห้อยท้ายนามสกุลฝ่ายชาย สวมแว่นสายตาทรงเฉี่ยว โดดเด่น สมัยนั้นมักปรากฏตัวด้วยชุดเดรสส์สีสันสะดุดตา อันหมายถึงความเป็นผู้นำท่ามกลางชายบอดี้การ์ดชุดดำดุจสตรีทรงศักดิ์และอำนาจ

แทบไม่ต่างจากยุคเปิดฤดูกาลเลือกตั้ง 2566 ที่ 'อุ๊งอิ๊ง' ลูกสาวคนสุดท้องของบ้าน 'จันทร์ส่องหล้า' เพราะเพียงแค่เสื้อโค้ทสวมขึ้นเวทียี่ห้อ 'GUCCI' แบรนด์เสื้อผ้าโปรดจากอิตาลีตัวเดียวก็ปาไปเกือบแสน (93,000 บาท) เข้าคู่กับรองเท้า 'Amina Muaddi' ซึ่งกำลังได้รับความนิยม (ผลิตจากประเทศโรมาเนีย) สนนราคา 3,100 เหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับ 102,412 บาทไทย

จนสื่อมวลชนต่างพากันเน้นที่ราคาเสื้อผ้ามากกว่าถ้อยคำปราศรัย

แต่การเลือกตั้งหนที่จะถึงนี้ 'หญิงหน่อย' ทำการบ้านอย่างดีล่วงหน้า ด้วยการศึกษาการแต่งกายของนักการเมืองระดับตำนานของเกาะอังกฤษ 'มาร์กาเรต แทตเชอร์' นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร จากภาพจำขุดสูทสีน้ำเงินเข้ม (Royal Blue) เข้ารูป กับกระโปรงยาวปิดเข่าสีโทนเดียวกัน ตัดกับเชิ้ตผ้าฝ้ายสีขาวด้านใน ล้วนผ่านการเลือกคัดสรรอย่างดี เพื่อภาพลักษณ์เช่นที่เห็น สมฉายา 'สตรีเหล็ก'

เข้าใจว่าคุณแพทองธารยิ่งต้องปรับตัวมากกว่า เพราะต้องออกหาเสียงด้วยการ 'อุ้มท้อง' จนกว่าจะจบการเลือกตั้ง โดยทุก ๆ ภาพ ต้องดูดี มีอุดมการณ์ สานความฝัน ดันพ่อกลับบ้าน

ลือสะพัด!! ‘ลิซ่า’ ได้รับข้อเสนอย้ายค่าย มูลค่าเกือบ 3 พันล้านบาท

ฮือฮาไปบนโลกออนไลน์ กำลังเป็นกระแสติดเทรนด์ ‘LISA LEAVE YG’ และ #GetThatMoneyLISA หลังจากมีรายงานว่า ลิซ่า แห่ง BLACKPINK ซูเปอร์สตาร์ดังชาวไทย ได้รับข้อเสนอ 81 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อออกจากค่าย YG เพราะกำลังจะหมดสัญญาลงในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

ตัวเลขข้อเสนอถือว่าน่าสนใจและน่าตกใจเป็นอย่างมากนั่นคือ 100,000 ล้านวอน คิดเป็นเงินไทยคือ 2,665,839,713 บาท หรือเกือบ 3 พันล้านบาท

ลิซ่า ลลิษา มโนบาล แห่งค่าย YG ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งแดนกิมจิ ประเทศเกาหลีใต้ ที่มีพี่น้องร่วมค่ายอย่าง Big Bang และ 2NE1 เธอเป็นเด็กไทยมากความสามารถ ที่ไปแจ้งเกิดโด่งดังเป็นศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปที่ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งฮอตและมากความสามารถ สมกับเป็นไอดอลรุ่นใหม่ แถมความสวยยังโกอินเตอร์ระดับโลก

'อั้ม พัชราภา' เปิดใจถึงเรื่องความรักและการมีครอบครัว ลั่น อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่เคยขอเงินผู้ชาย

หลังข่าวเลิกรากับแฟนหนุ่ม ไฮโซพก-ประธานวงศ์ พรประภา จนเป็นที่จับตาของสังคม ล่าสุด อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ นางเอกชื่อดัง ได้มาออกงาน 'Siam Paragon Grand Celebration of Golden Prosperity 2023' ณ บริเวณ พาร์ค พารากอน ชั้นเอ็ม สยามพารากอน ก่อนเปิดใจเรื่องดังกล่าว

โดยอั้มกล่าวว่า "คืออั้มเลิกกันมาตั้งแต่ 10 ธันวาคม และก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย เราก็ไม่รับรู้เรื่องอะไร เรื่องหึงหวง บางคนบอกอั้มหึงหวง ไม่มีเลย ไม่เคยโทรเช็ก ไม่เคยทะเลาะกันเรื่องผู้หญิง ไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้ และอั้มก็ไม่เคยถามเรื่องผู้หญิงด้วย"

เมื่อถามถึงสาเหตุที่เลิกกัน สาวอั้มตอบว่า “เรื่องเดิมเหมือนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ไม่มีเรื่องอื่นเลย เป็นเรื่องนิสัยที่เราไม่เหมือนกันจริงๆ พยายามปรับแล้ว ปรับไม่ได้ แล้วก็เกิดขึ้นซ้ำๆ หลายรอบมาก จนคิดว่าพอกันแค่นี้" อั้ม พัชราภากล่าว

ชวนชม!! นิทรรศการ 'แดนสนธยา 3' การคัมแบ็กสุดยิ่งใหญ่ในรอบ 4 ปี

หากใครชื่นชอบงานศิลปะ ห้ามพลาดอย่างยิ่งกับ นิทรรศการ ‘แดนสนธยา ๓’ โดยนิทรรศการนี้เป็นการกลับมาจัดแสดงผลงานอย่างยิ่งใหญ่ในรอบ 4 ปี ของ ‘ช่วง มูลพินิจ’ ศิลปินผู้ได้รับฉายาว่า ‘จิตรกรผู้มองเห็นมดยิ้มสวย’ จากศิลปินแห่งชาติ และนักเขียนผู้มีชื่อเสียงของไทย ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ 

สำหรับประวัติของช่วง มูลพินิจ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ประจำปี พ.ศ. 2556 เป็นศิลปินผู้มีชื่อเสียง เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2483 ที่จังหวัดสมุทรสงคราม จบอนุปริญญาจากคณะ จิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อปี พ.ศ. 2505

ผลงานที่สร้างชื่อให้กับช่วงมาจากการเขียนภาพปกและภาพประดับในหนังสือและนิตยสารชั้นนำของไทยในยุคสมัยนั้น อาทิ ช่อฟ้า, ชาวกรุง, เฟื่องนคร และสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ จนเริ่มเป็นที่รู้จักด้วยผลงานเขียนลายเส้นแบบฟรีแฮนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงได้เขียนลายเส้นที่หน้าปกหนังสือ เสเพลบอยชาวไร่ ของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ และหน้าปกหนังสือ กามนิต วาสิฏฐีด้วย จากนั้นได้ลาออกจากกระทรวงอุตสาหกรรมหลังจากทำอยู่ 9 ปี เพื่อเริ่มงานใหม่ ที่บริษัทโฆษณาอีก 3 ปี และหลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นศิลปินอิสระแบบเต็มตัว

งานของช่วงในระยะแรกเริ่มจากภาพลายเส้นที่ประยุกต์ความอ่อนช้อยของลายไทย เข้ากับรูปทรงแบบเหมือนจริงได้อย่างกลมกลืน ต่อมาจึงได้พัฒนามาใช้เทคนิคสีน้ำและสีน้ำมัน แต่ยังคงเอกลักษณ์เรื่องลายเส้นผสมผสานเข้ากับศิลปะสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ช่วงได้สร้างสรรค์ผลงานอย่างมากมายทั้งงานออกแบบ จิตรกรรม ประติมากรรมและสถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่แสดงถึงเรื่องราวของดอกไม้ แมลง สัตว์ มนุษย์ ทั้งในแง่อีโรติก ไปจนถึงนัยการมองเห็นในวัฏสงสารของชีวิต เป็นการผนึกเรื่องราวทางอุดมคติกับธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม

‘ฮาย Paper Planes’ เปิดใจ หลังมีเด็กๆ ติดตามมากขึ้น

ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่ารักมาก ๆ เลยทีเดียว เมื่อเพลง ‘ทรงอย่างแบด’ ของวง Paper Planes กลายเป็นเพลงฮิตในกลุ่มวัยรุ่นฟันน้ำนม ซึ่งเมื่อช่วงวันเด็ก (14 ม.ค.66) ที่ผ่านมา 2 หนุ่ม เซนและฮาย วง Paper Planes ก็ได้จัดแสดงโชว์กันที่สวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ สร้างความประทับใจให้กับสาวกฟันน้ำนมกันถ้วนหน้า

ทั้งนี้ ก่อนหน้าวันเด็กหนึ่งวัน รายการ WOODY FM ได้ปล่อยวิดีโอสัมภาษณ์ หนุ่มฮาย หนึ่งในสมาชิกวง Paper Planes โดยมีช่วงหนึ่งที่หนุ่มฮาย ได้กล่าวถึงหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในฐานที่เด็ก ๆ ติดตามเยอะและยกให้เป็นไอดอล โดยหนุ่มฮายระบุว่า “ปกติเราก็มีความแบดในแบบของเรา แต่พอมีสปอตไลต์ส่องมา ก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ไม่ได้ทำให้ตัวเองดูดี แต่เราทำเพื่อเด็ก ๆ”

‘เทสลา’ ประกาศ ปรับราคาจำหน่าย หวังกระตุ้นยอดขาย - จูงใจผู้บริโภค

Tesla ประกาศลดราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งในแถบเอเชีย ใกล้ๆ บ้านเรา ยกตัวอย่างเช่น ประเทศจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย โดยเหตุผลในการปรับลดราคาคือ ในเอเชียรถยนต์ไฟฟ้านั้น มีการแข่งขันที่สูงขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ภาพรวมตลาดรถยนต์อีวียังประสบปัญหา 

และหากเจาะไปที่ประเทศจีนจะพบว่า การปรับลดราคาของ Tesla รุ่น Model Y และ Model 3 จะทำให้ราคาจำหน่ายของทั้งสองรุ่นถูกกว่าที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา 23-32% เช่น รุ่น Model 3 จากราคาเริ่มต้น 2.65 แสนหยวน เหลือ 2.29 แสนหยวน หรือราว 1.13 ล้านบาท

นอกจากนี้การปรับลดราคายังมาผลมาจากการเลิกมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจากทางการปักกิ่ง ทำให้ Tesla ต้องตัดสินใจ ปรับลดราคาเพื่อกระตุ้นตลาดและจูงใจผู้บริโภคในยุคที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว และโรคโควิด-19 ยังระบาด ทำให้ทุกคนต้องควบคุมค่าใช้จ่าย แต่ในการตัดสินใจครั้งนี้ ก็ได้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่ซื้อรถยนต์ Tesla ไปก่อนหน้านี้จนเกิดการประท้วงกันที่หน้าโชว์รูม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top