เมื่อฟิสิกส์ควอนตัม เริ่มก่อปรากฏการณ์ทางจิตที่ยากจะเข้าใจ จนสั่นคลอนวิทยาศาสตร์ว่า ‘มนุษย์เราตายแล้วไม่สูญ’

(18 มี.ค. 66) ทันตแพทย์สม สุจีรา ทันตแพทย์และนักเขียนชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘ชีวิตหลังความตาย’ ระบุว่า...

เมื่อครั้งยุคฟิสิกส์นิวตัน นักวิทยาศาสตร์เชื่อมั่นว่า มนุษย์มาจากการรวมตัวกันของอนุภาคอย่างพอเหมาะพอเจาะ เป็นความบังเอิญล้วน ๆ มนุษย์เราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว จิตวิญญาณไม่มีจริง แต่แล้ว เมื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มาค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ เปิดมิติที่สี่ออกมาให้เห็น นักวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักว่า ในจักรวาลนี้มีอะไรที่น่าพิศวงอีกมากมาย สิ่งที่ฟิสิกส์ยุคคลาสสิก อย่างนิวตัน รู้ ไม่ถึงเศษเสี้ยวของความจริง 

นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งในยุคสัมพัทธภาพ คิดว่า อาจมีชีวิตหลังความตาย แต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนัก จวบจนเข้ามาสู่ยุคฟิสิกส์ควอนตัม ซึ่งก้าวย่างเข้าไปศึกษามิติที่ห้า นักวิทยาศาสตร์สายควอนตัม เริ่มมั่นใจแล้วว่า ‘มนุษย์เราตายแล้วไม่สูญ’

ไบรอัน โจเซฟสัน (Brian Josephson) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ได้กล่าวไว้ว่า “ถ้านักวิทยาศาสตร์ เห็นว่าเรื่องของจิตไม่มีอยู่จริง กลศาสตร์ควอนตัมจะเข้ามาช่วยอธิบาย” เขาฝึกสมาธิอย่างหนักเป็นเวลาหลายปี จนพบปรากฏการณ์ทางจิตที่ยากจะเข้าใจ และพยายามใช้หลักทางควอนตัมมาอธิบาย ไบรอัน โจเซฟสัน ได้รับการยอมรับว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจเรื่องตัวนำยิ่งยวดและอุโมงค์ควอนตัมมากที่สุดในโลก    

ศาสตราจารย์ฮานส์ ปีเตอร์ เดอร์ (Hans-Peter Durr) นักฟิสิกส์ควอนตัมที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 อดีตรองผู้อำนวยการ สถาบันแมกซ์ พลังค์ และเป็นลูกศิษย์คนโปรดของ เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ยืนยันว่า ความคิด ความรู้สึกของมนุษย์ ล้วนถูกอัพโหลดสู่สนามควอนตัมทางจิตวิญญาณในเวลาเดียวกับที่เราคิดหรือรู้สึก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะยังคงอยู่หลังจากที่เราเสียชีวิต การส่งผ่านข้อมูลอาจใช้หลักการพัวพันทางควอนตัม (Quantum Entanglement) ซึ่งเกิดขึ้นในทันใด และส่งไปได้ไกลถึงสุดขอบจักรวาล ดังนั้น ทุกครั้งที่เราคิดหรือทำอะไร จะมีอนุภาคคู่ขนานเกิดขึ้น ณ จุดใด จุดหนึ่งในจักรวาล เพื่อบันทึกข้อมูลเก็บไว้

โทรศัพท์มือถือราคาเครื่องละสองพันบาท ยังสามารถส่งข้อมูลขึ้นสู่ระบบคลาวน์ได้ แล้วถ้าคิดว่าสมองของมนุษย์ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ชีวภาพสุดล้ำของธรรมชาติ จะไม่สร้างระบบนี้ไว้ ก็เป็นการดูแคลนความสามารถของธรรมชาติมากไป

ศาสตราจารย์ไมเจอร์ เดิร์ก เค เอฟ (Meijer Dirk KF) ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานของสมอง บอกว่า ฐานข้อมูลของจิตจักรวาล สามารถส่งผลต่อการทำงานของสมองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหนี่ยวนำให้เกิด สภาวะที่เรียกกันว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ เขายังบอกอีกว่า ในจักรวาลอื่น ๆ สูตร E=mc2 ก็สามารถใช้ได้ เพียงแต่ c คือค่าความเร็วแสงในแต่ละจักรวาลไม่เท่ากัน ทำให้ m หรือมวลที่ออกมา ต่างจากมวลในจักรวาลเรา จึงมองไม่เห็นซึ่งกันและกัน

เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถสร้าง รูป รส  กลิ่น เสียง ได้เหมือนจริงมาก ถ้าเราใส่แว่น VR แล้วเข้าไปในเกม จะเห็นสรรพสิ่งราวกับเรื่องจริง สิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้ว่า มันไม่จริง ก็เพราะสัมผัสไม่ได้ ในโลกที่เราอยู่ทุกวันนี้ ก็เหมือนภาพโฮโลแกรมที่สัมผัสได้ จักรวาลสร้างสัมผัสที่ 5 มาให้เราแตะต้อง สัมผัสได้ เพื่อให้หลงไปว่า สิ่งนั้นมีจริง

มวลที่เราสัมผัสได้ คือการเล่นมายากลของจักรวาล ถ้าไม่มีสนามพลังจากอนุภาคฮิกส์ที่ส่งมาจากมิติที่ 5 จักรวาลที่เราเห็นจะเป็นเพียงภาพโฮโลแกรม ปีเตอร์ ฮิกส์ (Peter Higgs) ผู้ค้นพบความลับนี้ได้รับรางวัลโนเบลไปเมื่อปี 2013

ทุกคนรู้ว่า ประสาทสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น หลอกเราได้ ภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่โชย รสที่สัมผัส อาจเป็นเพียงมายา สิ่งเดียวที่ทำให้เราเชื่อว่าเป็นความจริงคือ กายต้องสัมผัสได้ แต่เมื่อเสียชีวิตลง หรือไม่เสียชีวิตแต่บรรลุฌาน 4 ก็จะเข้าใจว่า แท้จริงแล้ว ประสาทสัมผัสทั้งหมดหลอกเรา รวมทั้งกายสัมผัสด้วย โลกนี้ไม่มีอะไรจริงเลย


ที่มา: https://fb.watch/jkMGkw9p5g/